Monday, September 7, 2015

Ħ บน บาน ศาล รัก Ħ The 26th Blessing || 07.09.2015



เรามีเรื่องจะแจ้งดังนี้ค่ะ...
หนึ่งคือตอนนี้ยาวที่สุดเท่าที่เขียนมา เพราะฉะนั้น ค่อยๆอ่านนะคะ
ขออภัยด้วยที่ยิ่งเขียนยิ่งยาว (กราบงามๆ)

และปรับการลงนิยายเป็นอาทิตย์ละครั้งนะคะ
สัญญาว่าถ้าปั่นได้เร็ว เราจะมาลงให้ทันที
ขอบพระคุณสำหรับการติดตามและกำลังใจค่ะ
รักคนอ่านทุกท่านเหมือนเดิมค่ะ ^^



Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ




The 26th Blessing
ป่าเดียวกัน




จากเดิมที่ฌอนเคยเข้าใจว่าพวกเขาทั้งเก้าน่าจะเตลิดหลงเข้าป่าลึกจนเกือบหลุดเข้าเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติ...
เอาเข้าจริง... เมื่อได้วิ่งกลับเข้าป่าตามทิศทางที่กุมารพลายชี้นำ
แฝดน้องเริ่มจะแน่ใจว่า... ทั้งหมดกำลังเดินงุ่มง่ามวนไปเวียนมาเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าอยู่ในป่าหลังบ้านบ๊วยเท่านั้น  

อย่างไรก็ดี... ลองว่าถ้าตัวเขาไม่มีเด็กวิเศษคอยให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด
ต่อให้เป็นพื้นที่ป่าเล็กกระจิดริดเท่ารูหนู...  แฝดน้องก็ไม่อาจรู้ได้ว่า การออกตามหาอิ๊กให้เจอก่อนที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเหนื่อยจนถอดใจไปเสียก่อนจะกินเวลาเนิ่นานขนาดไหน

ไม่เท่านั้น สภาพอากาศภายในป่าซึ่งแปรปรวนผวนผันผิดกันราวฟ้ากับเหวก็ทำให้ฌอนรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาตงิดๆ
ก่อนหน้านี้... บริเวณที่เขากับพี่ชายและสกลหลงผ่านเข้าไป ถูกแสงแดดอาบไล้ทั่วทุกตารางนิ้วโดยไม่ได้ขาด
ทว่าปลายทางที่กายละเอียดสีทองอร่ามลอยปราดๆนำหน้าพลางคะยั้นคะยอให้แฝดน้องพุ่งตัวตามไปนั้น  กลับมีฝนฟ้าคะนองอย่างหนักประหนึ่งโดนพายุดีเปรสชันพัดเข้าถล่ม


”พ่อฌอน...คนน่ารักอยู่ข้างหน้านี่เองขอรับ”
”พ่อฌอน...เร็วๆสิขอรับ คนน่ารักบาดเจ็บด้วยนะขอรับ”
”ใจเย็นๆพลาย... ฝนมันตกหนัก ฌอนวิ่งเร็วมากไม่ได้”


สิ้นเสียงคะยั้นคะยอ ร่างทองของเด็กวิเศษก็หายผลุบเข้าไปในไม้พุ่มหนึ่ง  
แฝดน้องจึงรีบเร่งฝีเท้าตามด้วยกลัวพี่พลายจะลับตาไปเสียก่อน

เมื่อฝ่ากิ่งก้านของพุ่มหนาหลุดเข้าไปด้านใน  
ร่างแบบบางของชายหนุ่มคนที่ฌอนเฝ้าตามหาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ก็ปรากฏขึ้นตรงกลางกรอบสายตา


“อิ๊ก... คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?” แฝดน้องถามอดีตเดือนบริหารผู้นั่งเสียอาการอยู่กับพื้นในสภาพหัวหูดูไม่ได้ 

นายขอรับ!!!” อิ๊กคลี่ยิ้มกว้างพลางส่งเสียงร้องเรียกอีกฝ่ายด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น...

ร่างบางซึ่งโดนสถานการณ์ไม่คาดฝันเล่นงานจนง่อยเปลี้ยเสียขาไปชั่วขณะ
ชูแขนทั้งสองขึ้นเหนือหัวพลางกระพือขาฟาดพื้นพั่บๆประหนึ่งเด็กน้อยรอคอยให้พ่อแม่อุ้ม
จนฌอนต้องยอบตัวลงแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายโถมตัวเข้ากอดจนให้สมกับความตื้นตันใจหลังจากทั้งสองได้พบหน้ากันอีกครั้ง  


“แล้วทำไมคุณถึงโทรมแบบนี้ล่ะ?... นี่ขาเจ็บด้วยเหรอ?”  แฝดน้องตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงตกใจ เมื่อประจักษ์แก่สายตาว่า สารรูปของอคิราในขณะนี้ ไม่ต่างไปจากลูกหมาตกบ่อโคลนเลยสักนิด...

ใบหน้าสวยหวานเปื้อนเปรอะเลอะมอมแมม  สองแก้มมีรอยขีดข่วนแต่งแต้มอยู่ประปราย
ผมบ็อบล้อมกรอบหน้าสีทองซีดที่เคยสยายล้อแดดอย่างงดงามเปียกลู่ปรกไปตามใบหน้าคล้ายหญ้าแห้งเปียกฝน  
บนหัวเข่าข้างซ้ายมีแผลถลอกขนาดใหญ่เลือดไหลซิบๆอยู่อีกหนึ่ง... ถือเป็นอดีตเดือนบริหารเวอร์ชันชวนให้รู้สึกสะพรึงได้ดีเสียจริงๆ

มีหรือที่สิ่งที่ลอยกระทบหูอิ๊กไปเมื่อครู่ จะไม่ฝังเข้าสู่หัวจิตหัวใจของร่างบางโดยไม่สร้างแรงสั่นสะเทือน


“นายบอกว่าฉันโทรมเหรอ? ฉันโทรมมากไหม?” อคิราว่าพลางจับหน้าจับตา ลูบหัวลูบหูตัวเองอยู่นั่น “ตายแล้วนายขอรับ!!! ฉันจะทำไงดี?!  ถ้าคนอื่นมาเห็นฉันสภาพนี้...ฉันต้องขายหน้าไปตลอดชาติแน่ๆเลย” อิ๊กร้องร่ำรำพันปากคอสั่น

“อายผมตอนนี้คงไม่ทันแล้วมั้งคุณ” แฝดน้องเอ่ยยิ้มๆ...

เขาจะจดจำให้ขึ้นใจว่า สำหรับอีกฝ่าย...หนังหน้ามีค่ามากกว่าขาซ้าย
หากต้องตัดขาทิ้งไป... อคิราคงยังยิ้มอยู่ได้เพราะใบหน้ายังเต่งตึง


“เฮอะ! กับนายฉันไม่อายหรอก! ” อดีตเดือนบริหารสะบัดบ็อบใส่ แต่เมื่อเห็นสีหน้าสงสัยจนดูบื้อใบ้ของหนุ่มสถาปัตย์  ความรู้สึกหงุดหงิดก็ทำให้อิ๊กหลุดปากพูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกมาดื้อๆ “ก็นายไม่ใช่คนอื่นนี่!!!

เฮ่ย!!!!” ร่างบางสะดุ้งสุดตัวกับการคายความลับระดับท็อปให้กับศัตรูได้ล่วงรู้ไปง่ายๆ...

พอรู้ว่าตนเผลอพูดจาไม่เข้าท่าออกไป ใบหูเล็กๆข้างแก้มใสก็ค่อยๆเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงแป๊ดจนลามไปทั่วใบหน้า  
อาการดังกล่าว ทำเอาร่างสูงที่จ้องมองอดีตเดือนบริหารตาไม่กระพริบเกิดความรู้สึกคันยุบยิบในอกไม่ต่างกัน
กระนั้น...ฌอนกลับเลือกกลบเกลื่อนความกระดากด้วยการหันไปสนใจแผลถลอกที่หัวเข่าของอีกฝ่ายแทน


“แล้วนี่พอจะเดินไหวไหมล่ะคุณ?”

“แค่ลุกขึ้นยืนฉันยังจะไม่ไหวเลย เข่าอ่อนจนต้องนั่งตากฝนอยู่กับพื้นฉะๆเนี่ย” อคิราหงุดหงิดตัวเองจนเริ่มพาล ฌอนจึงต้องรีบแก้สถานการณ์ก่อนที่อีกฝ่ายจะโวยวายไปมากกว่านี้

“ถ้างั้นเราคงต้องหาที่หลบฝนกันก่อน  รอให้ฝนซา...ไม่ก็รอให้คุณพอมีเรี่ยวแรง แล้วเราค่อยเดินกลับบ้านกัน ตกลงไหม?”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่มีแรงๆ นา...ย......เหวอออออออ!!! / ไม่มีแรงแล้วทำไมบ่นได้?” แฝดน้องไม่เปิดโอกาสให้อิ๊กได้ต่อปากต่อคำ   หนุ่มสถาปัตย์จัดการช้อนร่างอดีตเดือนบริหารขึ้นอุ้มแนบอก จนอีกฝ่ายเกือบจะเหนี่ยววงแขนขึ้นคว้าคอของฌอนแทบไม่ทัน  

เมื่อตั้งหลักยืนได้มั่นคงแล้ว... ช่วงขายาวๆก็ก้าวออกไปหาทำเลที่พอพักหลบฝนได้ในทันใด...
ระหว่างที่คนอุ้มกำลังทำหน้าที่อย่างขมักเขม้น... คนถูกอุ้มก็ไม่ปล่อยจังหวะการโต้เถียงให้เว้นว่าง


“ก็ขามันไม่มีแรง แต่นี่ปาก...มันคนละส่วนกัน เข้าใจไหมนายบื้อ?!!” ร่างบางแดกดัน ตากลมโตหวานฉ่ำจับจ้องมองฌอนด้วยสายตากระเง้ากระงอด

“กล้าเถียงเหรอ?” ฌอนคำรามเสียงต่ำในลำคอพลางกดใบหน้าหล่อเหลาลงใกล้กับวงหน้าของอีกฝ่ายจนอดีตเดือนบริหารต้องย่นคอหลบแบบอัตโนมัติ... ก็กระบวนท่านี้ไม่มีความแตกต่างจากฉากเสียจูบให้อีกฝ่ายไปเมื่อคืนเลยนี่นา!!   

“เปล่า!” อิ๊กโต้

“แอบเถียงผมอยู่ในใจใช่ไหม?” การกลั่นแกล้งร่างบางยังคงดำเนินต่อไป ฌอนขยับเข้าใกล้เพื่อร่นระยะห่างระหว่างใบหน้าของพวกเขาเข้าไปเรื่อยๆ... ได้ค่าเหนื่อยเป็นจูบสักหน คงจะทำให้แฝดน้องเดินได้ทนกว่านี้เยอะ

“รีบๆเดินเข้าสิ ฝนสาดหน้าฉันจนเจ็บไปหมดแล้วเนี่ย!!” อคิราขู่เหมือนลูกแมวแล้วจึงรีบซุกใบหน้าเบียดแผ่นอกกว้างของอีกฝ่ายด้วยไม่อยากเพลี่ยงพล้ำโดนปล้ำจูบซ้ำสอง  

ปฏิกิริยาน่ารักน่าชังของอดีตเดือนบริหาร  พาลทำให้หนุ่มสถาปัตย์หวนนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้อีกครั้ง 
ฌอนจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างไม่มีความลังเล


“อิ๊ก... คุณรับปากผมได้ไหม...
...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ไป คุณจะอยู่กับผม...ผมคนเดียวเท่านั้น”  

“ถามจริงๆเถอะ...ทำไมฉันต้องรับปากนายเรื่องนี้ด้วย?...
...นอกจากจะไม่ได้อะไร ยิ่งฉันอยู่ใกล้นาย...ฉันก็ยิ่งโดนทำร้ายจิตใจไม่เว้นแต่ละวัน! อดีตเดือนบริหารบ่นเป็นหมีกินผึ้ง...

สิ่งที่ทำให้อิ๊กหัวเสียจนต้องพาลใส่อีกฝ่าย ไม่ใช่การตอกย้ำข้อตกลงระหว่างกันของแฝดน้องเมื่อสักครู่
หากแต่อดีตเดือนบริหารรู้ดีว่า เขาไม่อาจต่อต้านอาการไร้สติของตัวเองเพื่อทำตามสัญญาที่เคยรับปากไว้ได้...
ทั้งที่ตั้งใจและพร้อมให้ความร่วมมือกับหนุ่มสถาปัตย์อย่างเต็มเปี่ยมแท้ๆ... ทำไมต้องยอมแพ้ให้กับอาการไร้สติของตัวเองด้วยก็ไม่รู้?!


“อยู่ข้างๆผม... ผมจะช่วยคุณไม่ให้ทำผิดพลาดซ้ำๆอีกต่อไป” ฌอนอธิบายสั้นๆตามสไตล์ “ว่ายังไง จะรับปากได้หรือยัง?”

“แต่บางครั้งฉันก็บังคับตัวเองไม่ได้...
.
...ยิ่งเวลาไอ้ตั่วเฮียมันจิกหัวใช้  ไม่รู้ทำไม...ขาฉันก็มักจะก้าวออกไปทุกที!!” อิ๊กคร่ำครวญอย่างอัดอั้นตันใจชวนให้อีกฝ่ายรู้สึกสงสาร  ฌอนจึงรีบปลอบขวัญพร้อมให้คำแนะนำในการรับมือกับปัญหาที่ยากจะแก้ไขดังกล่าวทันที

“ไม่ต้องห่วงหรอกคุณ...เพราะผมจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยคุณเอง...
.
...ส่วนกับเฮียฟู ถ้าคุณไม่ทำตามเสียอย่าง...ฝั่งนั้นก็ทำอะไรคุณไม่ได้...
...ตกลงจะสัญญากับผมได้หรือยัง?”
.
.
.
.
.
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่ๆ ร่างบางก็ให้คำตอบที่เรียกรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์ของฌอนได้ทันที
“อื้อ เอาตามนั้นก็ได้ ฉันรับปาก... ฉันจะอยู่กับนายตลอดเวลาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”  

ทว่าแฝดน้องกลับไม่มีโอกาสดื่มด่ำกับความปรองดองระหว่างตนกับร่างบางหน้ามนได้นานนัก
เพราะอิ๊กดันร้องทักอากัปกิริยาแปลกประหลาดของเขาด้วยความสงสัยเป็นที่สุด


“แล้วนายเป็นอะไรของนาย? ทำไมต้องเดินๆหยุดๆอยู่ตลอดเวลาด้วย? ฉันตัวหนักเหรอ?!!!!!!” ดวงตาที่เคยกลมโตกลับหรี่มองสีหน้าของแฝดน้องอย่างจับผิด

“คุณเพี้ยนหรือไง? ผมเดินๆหยุดๆที่ไหนกัน” ฌอนเฉไฉพลางเสหลบสายตาอดีตเดือนบริหารที่ตามประกบใบหน้าของเขาไม่วาง

“ไม่ต้องมากลบเกลื่อน! ก็นายอุ้มฉันอยู่...แล้วฉันจะไม่รู้ได้ยังไงว่านายเดินติดๆขัดๆขนาดไหน...
...บอกมาเลยว่าฉันอ้วน  ฉันพร้อมจะฟังแล้ว” คนพูดกัดปาก พร้อมกำมือทั้งสองข้างพลางหลับตาปี๋  สภาพหนังหน้าโดยรวมในยามนี้ ดูจะไม่สู้ดีสักเท่าไร... สาบานได้ว่าพร้อมจะฟังจริงๆ?!

“คุณไม่ต้องสงสัยหรอก ผมแค่กำลังหาที่หลบฝนให้เราสองคนอยู่เท่านั้นเอง” ว่าแล้ว...หนุ่มสถาปัตย์ก็เหม่อมองฟ้านิ่งๆเหมือนกำลังถ่ายมิวสิควิดิโออยู่ก็ไม่ปาน  








“แฟนใครน้อ?... ร้องไห้จนหนังตายับพับเหลือขีดเดียวแล้วเนี่ย” อดีตเดือนมหาลัยกระเซ้าเจ้าของฝ่ามือนุ่มที่เขาจับแน่นอย่างอารมณ์ดี ระหว่างเดินตีคู่กับอีกฝ่ายมุ่งหน้ากลับไปยังจุดที่ทิ้งแฟนเก่าเอาไว้อย่างไม่สนใจใยดี

“ฮื่อ พี่หมี...อย่าแซวสิครับ!

“จะไม่ให้แซวได้ยังไงล่ะครับ ใครสั่งใครสอนให้บูบู้ร้องไห้เพราะดีใจจนตาบวมฉึ่งเสียขนาดนี้น่ะฮึ?” เก็กตำหนิอย่างไม่ใคร่จะจริงจังนัก มืออีกข้างที่ยังว่างอยู่หนีบปลายจมูกเล็กๆของแฟนตัวน้อยแล้วบิดไปมาด้วยความหมั่นเขี้ยว...

แม้การทนยืนมองบ๊วยร้องไห้จ้าส่งเสียงดังจนเกือบกู่ไม่กลับจะทำให้เขาทำตัวไม่ถูก
แต่เมื่อปลุกปลอบกันได้สักพักจนคนรักเลิกสะอึกสะอื้น  
ธันวาก็อดรู้สึกระรื่นไม่ได้ เมื่อรู้ว่าชายกลางชื่นอกชื่นใจกับคำอธิบายของเขาจนต้องหลั่งน้ำตา...
ซึ่งดูเหมือนว่าประโยคเมื่อครู่ของเขา จะเข้าไปสะกิดแผลดีใจของอีกฝ่ายขึ้นมาอีกครั้ง


“ก็เมื่อกี๊เค้าดีใจมากนี่นา ฮึก...ฮึก...” บ๊วยยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มลงมาอีกครั้ง...

ทั้งๆที่พร่ำบอกตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังจะเอาแต่ร้องไห้ขี้มูกโป่งต่อหน้าต่อตาอีกฝ่าย
แล้วอย่างนี้อดีตเดือนมหาลัยจะไม่เข้าใจว่าเขาเป็นพวกขี้แยชอบงอแงไม่รู้จักจบรู้จักสิ้นกันพอดีหรือ?!


“ดีใจก็ส่วนดีใจ แต่ดีใจจนร้องไห้ขี้มูกโป่งตาบวมนี่... ไม่เอาแล้วนะครับ” คนฟังผงกหน้ารับหงึกหงักระหว่างที่ปลายนิ้วของเก็กไล่เช็ดน้ำตาบนใบหน้าอย่างอ่อนโยน


ก่อนที่บรรยากาศระหว่างชายหนุ่มทั้งสองจะโดนละอองสีชมพูฟรุ้งฟริ้งประดับประดาจนมองอะไรไม่เห็น
บ๊วยก็เบนสายตาหลบแววตากรุ่มกริ่มของอีกฝ่ายชำเลืองมองไปรอบๆบริเวณที่พวกเขาเคยใช้เป็นจุดนั่งพัก
กระทั่งเมื่อร่างผอมแน่ใจว่าอดีตเดือนบริหารไม่ได้อยู่ร่วมเฟรม หนุ่มสถาปัตย์ก็ลั่นคำถามเพื่อขอความเห็นที่สองของเพื่อนร่วมทางรูปงามทันที


“พี่หมี... คุณอิ๊กหายไปไหนแล้วล่ะครับ?”  สีหน้าฉงนของแฟนตัวน้อยทำให้เก็กยอมออกจากม่อโซน เพื่อช่วยมองหาหอกข้างแคร่ที่ทำตัวแย่อย่างไม่น่าให้อภัยอย่างเสียไม่ได้...

หลังกวาดสายตาแล้วพบแต่ต้นไม้ใบหญ้า อดีตเดือนมหาลัยก็อดโล่งใจจนแทบจะหลั่งน้ำตาไม่ได้...
ในที่สุด!!... ในที่สุดก็ไม่มีก้างชิ้นไหนบังอาจขัดขวางช่วงเวลาสวีทหวานระหว่างเขากับชายกลางได้อีกแล้ว!!!

ครั้นจะเอ่ยความรู้สึกปริ่มภายในออกมาให้บ๊วยฟัง เขาคงไม่ต่างจากตัวร้ายดาดๆในละครเป็นแน่แท้
กระนั้น... ความรู้สึกด้านมืดก็ทำให้ธันวาตั้งข้อสันนิษฐานลวกๆอย่างไม่สนใจใยดีในสวัสดิภาพของคนรักเก่า เข้าทำนอง...เมื่อยามรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน ครั้นเนิ่นนานน้ำอ้อยก็กร่อยขมแท้ๆ


“ที่หายไป อาจเป็นเพราะรู้สึกผิดกับเราสองคนจนแอบกระโดดหน้าผาหนีความอายไปแล้วก็ได้มั้ง”

ถ้าเลือกได้ เก็กอยากจะย้อนเวลากลับไปแล้วบอกให้พี่เสือคาบอคิราไปกินเป็นอาหารเสียให้รู้แล้วรู้รอด 
ชีวิตรักของเขากับแฟนตัวน้อยจะได้ปลอดภัยจากเงื้อมมือของพวกชอบพวกสร้างความร้าวฉานให้ครอบครัวคนอื่นเสียที
กระนั้น...ความต้องการอันเลวทรามต่ำช้าของหนุ่มรูปงามนามธันวา สวนทางกับความคิดของชายกลางผู้ปรารถนาดีต่อมนุษย์โลกทุกหมู่เหล่าเป็นที่สุด


“อย่าพูดแบบนี้อีกรู้ไหมครับพี่หมี  มันไม่ดีกับทั้งตัวพี่หมีเอง รวมทั้งคุณอิ๊กด้วย!” บ๊วยเอ็ดอีกฝ่ายเสียงดังพลางตีหน้ายักษ์ใส่คนตัวโตกว่าอย่างไม่คิดยอมแพ้  

ฝั่งเก็กกลับไม่เห็นด้วยกับท่าทีเป็นห่วงเป็นใยตัวปัญหาจนออกนอกหน้าของคนรักเลยสักนิด 
ถ้าจะกังวลเกี่ยวกับคนอื่น ห่วงคนที่เป็นมิตรและให้การสนับสนุนความรักของพวกเขาไม่ดีกว่าหรือ?!


“ทำไมครับ? หรือบูบู้ชอบที่เราผิดใจกัน?” เก็กตีรวน

“แต่มันก็คนละเรื่องกับความปลอดภัยของคุณอิ๊กนะครับ” บ๊วยพยายามให้เหตุผลอย่างใจเย็น...  

ถึงอิ๊กจะคอยสร้างปัญหาให้พวกเขาต้องพูดคุย ต้องอธิบายความคิดให้กันและกันฟังอย่างไม่รู้จักจบสิ้น  
แต่ถ้าพวกเขาปล่อยให้อดีตเดือนบริหารต้องดิ้นรนหาทางเอาตัวรอดจากป่าเพียงลำพัง  
บ๊วยก็ไม่อาจหันหลังและวางเฉยให้กับเรื่องไร้มนุษยธรรมแบบนี้ได้เป็นอันขาด

สุดท้าย หลังจากทั้งคู่ต่อสู้กันด้วยพลังวัตรผ่านเกมจ้องตาอีกฝ่ายอยู่พักใหญ่ๆ
ความเป็นห่วงเป็นใยและความหวังดีต่อผู้อื่นอันเป็นคุณสมบัติประจำตัวของบ๊วย...ก็เอาชนะใจธันวาได้อีกครั้ง


“โอเคครับบูบู้... โอ๋ โอ๋ ไม่โมโหเค้านะ” อดีตเดือนมหาลัยประจบแฟนตัวน้อยด้วยการนวดหลังนวดไหล่ให้อีกฝ่ายอย่างทนุถนอม... เพื่อรอยยิ้มน่ามองของบ๊วย เก็กยอมอ่อนข้อลงให้ได้เสมอ

“เค้าไม่น่าหุนหันจนขาดสติเลยจริงๆ ป่านนี้คุณอิ๊กจะหลงทางไปถึงไหนๆแล้วก็ไม่รู้” หนุ่มสถาปัตย์ยังไม่เลิกโทษตัวเองที่เป็นสาเหตุทำให้อคิราหายตัวไป

“อย่าเพิ่งคิดอะไรในแง่ร้ายไปเลยครับ เค้าว่าที่เราต้องห่วงในเวลานี้ ก็คือตัวเราเองมากกว่า...
.
...บูบู้ไม่เคยได้ยินเหรอ... เวลาจมน้ำ เราต้องเอาตัวรอดให้ได้ก่อน แล้วค่อยคิดยื่นมือไปช่วยเหลือคนอื่น...
...ดูสิ กระทั่งตอนนี้ เราสองคนยังจับต้นชนปลายแยกซ้ายออกจากขวาจนหาทางกลับบ้านไม่ถูกกันอยู่เลย...
...แล้วอย่างนี้พวกเราจะออกตามหาอิ๊กเจอได้ยังไงกันล่ะครับ?”  ในเมื่อไม้แข็งใช้ไม่ได้ ธันวาจึงให้เหตุผลแล้วพูดจาตะล่อมชายกลางแทน

“แต่เค้าเป็นห่วงคุณอิ๊กนี่ครับ... คุณอิ๊กหลงป่าอยู่คนเดียวเพราะพวกเรานะ”

“ถ้างั้นเอางี้... ตอนนี้ พวกเราช่วยกันหาทางกลับบ้านให้เร็วที่สุดเพื่อจะได้ให้คนมาช่วยออกตามหาอิ๊กกันดีไหมล่ะครับ?” เก็กยังไม่ละความพยายามล่อลวงให้บ๊วยเปลี่ยนความตั้งใจ... ใครจะไปอยากให้ กขค.เข้ามามีบทบาทในช่วงเวลาข้าวใหม่ปลามันแบบนี้กันล่ะ?!

“พวกเราลองตะโกนเรียกคุณอิ๊กกันก่อนดีไหมครับพี่หมี เผื่อคุณอิ๊กจะยังอยู่ใกล้ๆแถวนี้...
...พวกเราจะได้กลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้ง...
...นะครับพี่หมี... นะ นะ” บ๊วยทอดเสียงอ่อนต่อรองอีกฝ่ายอย่างน่าฟัง...

จากที่คิดว่าจะทำเข้มใส่แล้วรวบรัดให้อีกฝ่ายล้มเลิกความตั้งใจที่จะตามหาอคิรา
แต่พอโดนสีหน้า ท่าทางออดอ้อนของหนุ่มสถาปัตย์เล่นงานเข้าอย่างจังเป็นครั้งแรก
หนุ่มรูปงามก็ยิ้มแก้มแทบแตก ก่อนจะยอมทำตามความต้องการของชายกลางอย่างไม่มีข้อแม้


“ลองดูสักตั้งก็ได้ครับ” อดีตเดือนมหาลัยรับปาก ทว่าใจกลับภาวนาให้แฟนเก่าเดินหายลับเข้าป่าไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ








“ตกหนักแบบนี้  อีกนานเลยมั้งกว่าที่แม่งจะหยุด” กังฟูเปรยกับตัวเองระหว่างที่ทั้งสามหนุ่มยืนปักหลักเบียดกันหลบฝนอยู่ใต้ชายคาเรือนยกพื้นหลังย่อมอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง  หลังเพื่อนผมยาวยืนกรานและให้เหตุผลว่าพวกเขาไม่ควรถือวิสาสะเข้าไปใช้นิวาสถานของผู้ใดโดยพลการ

“กะเทย... สงสัยพวกเราคงต้องเข้าไปหลบฝนข้างในกระท่อมแล้วล่ะ” เต๋อสรุปจากสภาพการณ์ปัจจุบัน...

แม้ขณะนี้จะเป็นเวลากลางวัน  ทว่าอาการฟ้าที่รั่วอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าจะหยุด
ทำให้ท้องฟ้ามืดมนหม่นครึ้มจนบรรยากาศอึมครึมคล้ายช่วงเวลาก่อนพลบค่ำอย่างไรอย่างนั้น...
ไม่แปลก หากนั่นจะฉุดให้อุณหภูมิลดต่ำลงขนาดสามารถทำพวกเขาปากสั่นเพราะความหนาวเหน็บได้โดยไม่รู้ตัว


“จะดีเหรอ? เกิดเจ้าของมาเจอเข้า พวกเราจะไม่แย่เอาเหรอ?” ด้วงยังไม่อาจวางใจด้วยพื้นนิสัยชายหนุ่มไม่ชอบละเมิดสิทธิหรือของๆใครเป็นทุน

“กะเทย กูก็ไม่รู้หรอกว่า กระท่อมนี่มีเจ้าของหรือเปล่า แต่ถ้าจะให้พวกเรามายืนขาแข็งอยู่ตรงชายคาเป็นชั่วโมงๆ...
...สู้พวกเราเข้าไปหลบฝนข้างในแล้วค่อยอธิบายให้เจ้าของกระท่อมฟังเอาทีหลังไม่ดีกว่าเหรอวะ?” เต๋อโน้มน้าวอย่างอดทน เพราะไม่คิดจะหักหน้าอีกฝ่ายโดยไม่จำเป็น 

กระนั้น...หมื่นพันล้านเหตุผลของหนุ่มร่างหมี
ก็ไม่มีน้ำหนักเท่ากับเสียงสั่นๆของกังฟูที่ดังสะท้อนก้องไปทั้งอกของด้วงได้โดยไม่ต้องพยายาม


“ด้วง...กูหนาว!

“ก็ได้ฟู” หนุ่มผมยาวยอมหมอบราบคาบแก้วลงให้แก่ร่างเล็กทันทีที่สังเกตเห็นใบหน้าซีดเผือดเหมือนเลือดไม่เดินของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยที่ย่ำขาตลอดเวลาเพื่อช่วยสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกายเปียกชื้นของตน

“ไปกะเทย... เรื่องอื่นค่อยว่ากัน” เต๋อตัดบทก่อนเดินนำสมาชิกทั้งหมดไต่บันไดขึ้นกระท่อมหลังน้อยโดยไม่คอยเวลา ไม่ถึงอึดใจ ทั้งหมดก็ก้าวเข้าสู่ด้านในกระท่อมหลังน้อยอันว่างเปล่าไร้เงาผู้อยู่อาศัยทันที

“ดูดูแล้ว กูว่าที่นี่น่าจะร้างว่ะ...
.
...เพราะถ้ามีเจ้าของ...ก็น่าจะมีร่องรอยการใช้งานหรือทำความสะอาดบ้างเหอะ” หนุ่มสถาปัตย์คาดการณ์ระหว่างที่แสงสว่างจากไฟฉายมือถือส่องผ่านทุกซอกทุกมุมภายในกระท่อม   

น่าประหลาดที่แม้ภายในสิ่งปลูกสร้างแห่งนี้จะอับแสงเนื่องจากไม่มีหน้าต่าง หรือช่องแสงขนาดใหญ่  
แต่กลับไม่มีกลิ่นเหม็นอับเหมือนห้องเก็บของหรือบริเวณที่ถูกทิ้งร้างเลยสักนิด


“มีเตากับฟืนด้วยอยู่ตรงมุมนี้ด้วย”  

“ก็เท่านั้น!... ไม้ขีดไฟสักกล่องก็ไม่มี...นี่มึงยังไม่เข้าใจความรู้สึกของหัวล้านได้หวีอีกเหรอวะด้วง?”

นั่นคือความเห็นเดียวของร่างเล็กที่ไม่เหลืออารมณ์ชื่นชมสิ่งใดในโลกา
หลังจากตระหนักได้ว่าตัวเขาเป็นสาเหตุของความวุ่นวายทั้งหมดโดยแท้
แต่มีหรือที่ชายหนุ่มผู้พร้อมรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายมาล่วงหน้าอย่างเต๋อ จะปล่อยให้กังฟูหดหู่จนทำตัวโหดร้ายต่อสังคมเพื่อระบายอารมณ์และความผิดหวังไปเรื่อยๆ


“ใครว่าล่ะครับฟู” หนุ่มร่างหมียิ้มพลางตบกระเป๋ามหัศจรรย์เบาๆด้วยสีหน้าเป็นต่อ “รอแป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวพวกเราก็จะหายหนาวและอิ่มสบายท้องกันแล้ว”








“นายโอเคหรือเปล่า? เหนื่อยมากไหม?” อคิราถามหนุ่มร่างสูงใหญ่ด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยเมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนบีบนวดแขนตัวเองอยู่นานสองนานตั้งแต่ที่พวกเขาทั้งคู่เข้ามาหลบฝนกันอยู่ในถ้ำซึ่งไม่ห่างจากจุดที่ทั้งสองเจอกันมากนัก

“แขนผมโดนอัมพาตกิน ดูสิ...ไม่รู้สึกอะไรแล้วเนี่ย” ฌอนยอมรับด้วยสีหน้าหนักใจก่อนจะชูแขนทั้งสองขึ้น แล้วปล่อยให้แขนทิ้งตกลงไกวต่องแต่งอย่างอิสระเพื่อจะแกล้งอีกฝ่าย... ซึ่งนับว่าได้ผลเป็นอย่างดี  เพราะอดีตเดือนบริหารตอบรับด้วยสีหน้าเหม็นเบื่อพร้อมกลอกตาด้วยความระอาใจ

“นายนี่มันน่าหมั่นไส้จริงๆ แทนที่จะตอบดีๆ ไอ้เรารึอุตส่าห์เป็นห่วง!!!” การที่อิ๊กบ่นพึมพำ ทำให้แฝดน้องหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ  ร่างสูงใหญ่ลดตัวลงนั่งยองๆข้างๆหนุ่มบริหารหน้าหวานที่ยังงอนไม่หาย

“ไม่ต้องห่วงหรอก ต่อให้ต้องอุ้มคุณนานกว่านี้ผมก็ไหว” ฌอนง้อพอเป็นพิธีก่อนจะเปลี่ยนเรื่องไปยังหัวข้อที่สำคัญที่สุดในเวลาบ่ายกว่าๆแบบนี้  “ว่าแต่คุณหิวหรือยัง?”

“พอนายถามก็เริ่มหิวขึ้นมาเสียแล้วสิ...
.
...แต่ติดแหง็กอยู่กลางป่าแบบนี้ เราจะไปหาของกินได้ที่ไหน?”

“เดี๋ยวผมมา ผมจะไปหาอะไรมาให้คุณกินเอง”

พูดจบ...
แฝดน้องก็เงี่ยหูฟังเนวิเกเตอร์วิเศษเกี่ยวกับแหล่งอาหารกลางวันตามเบาะแสที่เจ้าพ่อทั้งสององค์ได้ทิ้งไว้ให้โดยเฉพาะ
กระนั้น...ประโยคบอกเล่าง่ายๆโดยไร้คำอธิบายทว่าฟังแน่วแน่ของฌอนทำให้ร่างบางอดประหลาดใจไม่ได้  


“เฮ่ย! นายเป็นเมาคลีลูกหมาป่าหรือไง?...
.
...ไปเอาความมั่นใจมาจากที่ไหนว่าจะหาของกินกลางป่าได้... แถวนี้มันมีเซเว่นอยู่หรือยังไงนายขอรับ?” อิ๊กเลิกคิ้วสำรวจอาการของหนุ่มหล่อที่นั่งยองๆอยู่ข้างๆอย่างไม่เชื่อน้ำยานัก...

ถึงโดยส่วนตัว อคิราจะเป็นพวกชอบเพ้อฝันไม่บันยะบันยัง...
แต่หากเรื่องนั้นๆเกี่ยวพันกับความเป็นความตายของคนอื่น ดังเช่นเรื่องนี้
เขาก็มีสติมากพอที่จะไม่ล้อเล่นกับความรู้สึกหิวโหยของเพื่อนร่วมชะตากรรมเป็นอันขาด
 ก็ฝนตกหนักออกเสียขนาดนี้ แถมตลอดสองข้างทางที่พวกเขาเดินผ่านมานั้น  
ดูจะไม่มีหัวมันหัวแห้วหรือผลหมากรากไม้ใดๆเพื่อให้อาศัยกินประทังชีวิตได้ แล้วอีกฝ่ายเอาอะไรมาพูด?!!

กระนั้น... หนุ่มสถาปัตย์กลับไม่ได้แสดงอาการหวั่นไหวกับสายตาปรามาสของอดีตเดือนบริหารเลยสักนิด
ดูจะออกอาการผยองน้อยๆจนน่าบิดให้เนื้อเขียวเสียด้วยซ้ำ


“ถ้าผมหาของกินมาให้คุณได้... คุณต้องเลิกเรียกผมว่านายขอรับเสียที ตกลงไหม?” ฌอนเลิกคิ้วล้อเลียนอีกฝ่ายพลางส่งสายตาท้าทายไปต่อรอง

“เสียใจ! ฉันว่าฉันคงได้เรียกนายว่า นายขอรับไปตลอดชาตินั่นแหละ”

เมื่อเห็นร่างบางสะบัดบ็อบใส่ แถมยังเชิดหน้าหยิ่งแบบไว้ตัวเต็มแรง  
แฝดน้องจึงแกล้งทำหน้าตึงก่อนจะทะลึ่งลุกพรวดพราดจนอดีตเดือนบริหารออกอาการใจเสีย


“นั่นนายจะไปไหน? นายโกรธฉันเหรอ? อย่าทิ้งฉันไปเลยนะ... ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว!”   แผลถลอกตรงหัวเข่าที่เริ่มระบมทำให้อคิราขยับร่างกายไม่ได้อย่างใจนึก ร่างบางเลยโอดครวญร้องขอความเห็นใจจากอีกฝ่ายทั้งที่ยังนั่งกองอยู่กับพื้นถ้ำ 

ท่าทางหวาดหวั่นขวัญเสียจนน่าเอ็นดูของอดีตเดือนบริหารทำให้หัวใจของแฝดน้องเต้นแรง...
เพราะอีกฝ่ายเป็นเสียแบบนี้นี่แหละ เขาเลยต้องหาเรื่องแกล้งอคิราอยู่มิได้ขาด
หนุ่มสถาปัตย์จึงลดตัวลงนั่งอีกครั้ง โดยตั้งพิกัดให้ใกล้กับร่างบางของอคิรามากที่สุดก่อนจะพูดเนิบๆด้วยน้ำเสียงนิ่มๆ


“เรียกผมว่าฌอน และเรียกแทนตัวเองว่าอิ๊กก่อน แล้วผมจะรีบไปรีบกลับพร้อมกับของกินของเราสองคน!

การโน้มตัวเข้าใกล้อีกฝ่ายในระยะเผาขนคือสิ่งที่คนตัวโตกว่ามอบให้เป็นของแถม นอกไปจากคำพูดจากับหน้าข่มขวัญ...
แม้จะรู้เต็มอกว่าปลายทางที่รออยู่คืออะไร...แต่อคิรากลับไม่อาจห้ามร่างกายให้ทำตัวสงบเสงี่ยมเรี่ยมเร้เรไรได้สักนิด


“ก็ไหนนายบอ... / เรียก!”  

“อย่าไปนานนะ.....ฌอน  อิ๊กกลัว” ร่างบางเอ่ยอย่างละล่ำละลัก เมื่อใบหน้าหล่อเหลาหากแต่ถมึงทึงพุ่งเข้าใส่อย่างว่องไวให้อารมณ์ดูหนังผีสามมิติอย่างไรอย่างนั้น

“หึ!” แฝดน้องยักคิ้วพลางยิ้มมุมปากพร้อมกับทำสีหน้าเยาะเย้ย “อิ๊กรอฌอนไม่นานหรอกครับ เดี๋ยวฌอนกลับมานะ” แฝดน้องฉวยจังหวะที่ร่างบางวางตัวไม่ถูกเมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ ฝังจมูกลงบนแก้มอิ่มของอีกฝ่ายแล้วดอมดมกลิ่นปรางนุ่มอย่างเต็มรักก่อนผละจากโดยเร็ว  

“ไอ้นายขอรับบ้า!!” ผู้เสียหายยกมือถูแก้มพร้อมชี้หน้าอาชญากรหล่อร้ายที่กำลังจะหยัดกายลุกขึ้นยืน

“เดี๋ยวจะโดน!”  โจรขโมยจูบแยกเขี้ยวส่งเสียงฮึ่มฮั่มคำรามไล่ขวัญอดีตเดือนบริหารจนกระเจิดกระเจิงแทนการสั่งสอน  ก่อนจะออกไปตามหาอาหารทิพย์ที่เจ้าพ่อทั้งสองเตรียมไว้ให้ ณ ตำแหน่งที่กุมารพลายได้รับแจ้งทางกระแสจิต








“บูบู้ครับ เค้าว่าอิ๊กไม่น่าจะอยู่แถวนี้แล้วล่ะ...
.
...ถ้าขืนเรายังไม่ไปไหนกันเสียที เราสองคนนี่แหละที่จะตกที่นั่งลำบากเอานะครับ” แนวร่วมตามหาอดีตเดือนบริหารร่างสูงสมส่วนเอ่ยประท้วงเป็นครั้งที่สามร้อยหลังจากคอยตะล่อมอีกฝ่ายทุกๆสิบวินาที 

ดูท่าว่ารอบนี้น่าจะเป็นผล...เพราะเมื่อเดินวนรอบๆเพื่อค้นหาอดีตเดือนบริหารโดยละเอียด
ก็เห็นจะมีแต่กบ เขียด ปาดและแมลงต่างๆให้พบเห็นเท่านั้น


“ครับๆ... ไปเลยก็ได้ครับพี่หมี” ชายกลางรับคำด้วยน้ำเสียงอ่อนใจเพราะเขารู้ดีว่าไม่ควรยื้อเวลาตามหาอคิราให้ยืดเยื้อไปกว่านี้ มิฉะนั้น...คงจะกลายเป็นเขากับธันวาที่ประสบปัญหากับการหาทางกลับบ้านเสียเอง

“แล้วพวกเราจะไปทางไหนกันดีล่ะครับบูบู้?” อดีตเดือนมหาลัยขอความเห็นจากเจ้าถิ่น  ซึ่งเมื่อบ๊วยตั้งท่าออกเดิน... ร่างสูงสมส่วนของหนุ่มรูปงามก็กลับมาประจำการข้างกายของชายกลางอย่างรู้หน้าที่

“กลับไปตั้งต้นกันที่ลำธารก่อนก็แล้วกันครับ เดี๋ยวลองเดินเลาะริมน้ำไปเรื่อยๆ...
.
...ไม่แน่...สายน้ำเส้นนี้อาจจะพาเรากลับไปที่น้ำตกข้างหลังบ้านเค้าก็ได้” บ๊วยคาดคะเนจากความทรงจำเกี่ยวกับป่าหลังบ้านของตน ซึ่งหนุ่มวิศวะก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี...

หลังจากนั้น  ธันวากับแฟนตัวน้อยก็เดินทวนสายน้ำเพื่อตามหาแหล่งกำเนิดของลำธารดังกล่าวกันอย่างตั้งอกตั้งใจ
จนเมื่อทั้งสองเดินเลาะชายฝั่งมาได้ระยะหนึ่ง อดีตเดือนมหาลัยก็ตั้งคำถามต้องห้ามของคนหลงป่ามือเปล่าอย่างพวกเขาทั้งสองขึ้นลอยๆ


“บูบู้”

“ครับ?”

“บหิวหรือยังครับ?”

“เอ่อ... ก็นิดหน่อยครับ...
...แต่พี่หมีไม่ต้องห่วงนะครับ เค้าเคยนั่งทำโมเดลส่งอาจารย์แบบไม่ได้กินข้าวทั้งวันก็ยังอยู่ได้ครับ...
.
...ที่พี่หมีถามแบบนี้ เพราะว่าหิวหรือเปล่าครับ?” ชายกลางอ้อมแอ้ม สุดท้าย...บ๊วยก็อดเป็นห่วงคนถามไม่ได้เสียเอง

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะครับ... ตอนนี้เค้าแค่อยากรู้ว่า บูบู้เคยเห็นต้นกล้วยอยู่ในป่ามาก่อนหรือเปล่าครับ?” ร่างสูงสมส่วนที่เปลี่ยนมาเป็นคนเดินนำหน้าถามไถ่โดยไม่หันกลับไปสบสายตาฉงนสนเท่ห์ของหนุ่มสถาปัตย์ที่เดินตามหลัง

“เท่าที่จำได้...เค้าเคยเห็นแต่กล้วยป่าน่ะครับ พี่หมีถามทำไมเหรอ?”

“เค้าว่า... ได้เวลาพักกินข้าวกลางวันกันแล้วล่ะครับบูบู้”  

ลำพังน้ำเสียงตื่นเต้นกับถ้อยคำที่เต็มไปด้วยลับลมคมในของธันวาก็ถือว่าผิดปกติมากแล้ว
แต่นั่นกลับไม่แจ่มแจ๋วเท่ากล้วยกอใหญ่ที่โผล่ขึ้นโต้งๆแบบไม่ปรึกษาใครราวกับกล้วยน้ำว้าอินดี้ที่ออกเร่ร่อนไปเรื่อยๆ...
ที่สำคัญ กล้วยกอนี้ยังมีลูกเล่นสุดตระการตายิ่งกว่ากล้วยกอไหนๆ... กล่าวคือ เครือกล้วยใหญ่สีเหลืองอร่ามงามตาที่ดูน่าลิ้มลองเป็นที่สุด


“แปลกจัง... เมื่อกี๊ตอนที่ออกมาเดินดูลาดเลา เค้าไม่เห็นจะจำได้เลยว่ามีกล้วยขึ้นอยู่ตรงนี้มาก่อนเลยนะครับ” ชายกลางรำพึงรำพันอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ถึงอย่างนั้น... กลับปฏิเสธไม่ได้ว่า กล้วยนั่นกำลังทำให้เขาโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก

“บูบู้อาจจะตาลาย ไม่ก็ก้มดูทางมากไปก็ได้ครับเลยไม่ทันเห็น...
.
...ตอนนี้กินก่อนเถอะครับ... อย่าลืมสิ กองทัพต้องเดินด้วยท้องนะบูบู้” อดีตเดือนมหาลัยเตือนสติพลางลากร่างผอมให้เดินตามเข้าไลน์บุฟเฟต์กล้วยน้ำว้าตรงหน้าทันที




หลังจากสองหนุ่มเติมพลังกันจนอิ่มหนำ อดีตเดือนมหาลัยก็จัดแจงเด็ดกล้วยติดมือมาด้วยหลายสิบผล
คนหัวใสและมั่นใจในรูปร่างของตัวเองเป็นที่หนึ่งอย่างเก็ก ก็ถอดเสื้อยืดคอวีสีเข้มที่ใส่ติดตัวมาเพื่อใช้แทนหีบห่อบรรทุกเสบียงฉุกเฉินก่อนจะออกเดินทางหาต้นสายของลำธารกันอีกครั้ง


“เราทิ้งกล้วยเอาไว้ตรงนี้ก็ได้ครับพี่หมี... พี่หมีรีบใส่เสื้อเถอะ” ร่างผอมที่เดินตามหลังยังคงเกลี้ยกล่อมคนเดินนำอย่างต่อเนื่อง การเดินถอดเสื้อท่อมๆกลางป่าของอีกฝ่าย...ทำให้บ๊วยไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก

“ทำไมล่ะครับบูบู้? เกิดเรายังหาทางออกจากป่าไม่ได้...
.
...อย่างน้อยๆ เราก็ยังมีกล้วยติดไว้กินแก้หิวยังไงล่ะครับ” ธันวาแสร้งตีหน้าซื่อ...

มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่าท่อนบนเปลือยเปล่าของเขา สร้างความกระวนกระวายใจให้อีกฝ่ายได้มากแค่ไหน...
ขนาดแผ่นอกบางๆ กล้ามเนื้อแทบไม่มีอย่างที่อีกฝ่ายเป็นเจ้าของ  เขายังชอบแอบมองเลยให้ตาย


“น้ำในลำธารเปลี่ยนเป็นสีโคลนแสดงว่าพื้นที่ข้างหน้าฝนกำลังตกหนัก” บ๊วยชี้ให้เก็กดูหลักฐานประกอบคำอธิบาย สายน้ำที่เคยใสเมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่แล้ว เปลี่ยนเป็นสีชาเย็นไปเสียแล้ว  

“เพราะกล้วยสำรองพวกนั้น พี่หมีเลยต้องถอดเสื้อเดินแบบนี้...
.
...แล้วถ้าข้างหน้าฝนตกจริงๆ พี่หมีอาจจะไม่สบายได้ง่ายๆเลยนะครับ”  ชายกลางหวังให้อีกฝ่ายยอมรับฟังเหตุผลของเขาบ้าง  แต่ฝั่งอดีตเดือนมหาลัยก็รั้นใช่น้อยเสียเมื่อไร

“ไม่ต้องห่วงครับบูบู้ เค้าแข็งแรงเป็นม้าเลยครับ... โดนฝนแค่นี้ จิ๊บๆ” เก็กยักคิ้วหลิ่วตาอย่างไม่ยี่หระ...

ถ้าต้องเปียกปอนเพราะสายฝนตอนอยู่ด้วยกันกับชายกลางก็คงจะเข้าที
เพราะเคยมีคนบอกว่า เวลาเขาเปียกน้ำ...ความเซ็กซี่ของเขาจะพุ่งสูงขึ้นอีกหลายสิบเท่า
หนุ่มรูปงามหวังจะเขย่าหัวใจของอีกฝ่ายให้หวั่นไหวกันไปข้าง  
ดีไม่ดี พอได้เห็นมุมน่ากินของเขาเข้าอย่างจัง... บ๊วยอาจจะยอมพลีกายถวายร่างให้เขาได้เชยชมจนสมใจเสียที


“จะดีเหรอครับพี่หมี?”  บ๊วยทัดทานด้วยความเป็นห่วงในสวัสดิภาพของอดีตเดือนมหาลัยเป็นสำคัญ... ส่วนอาการใจสั่นเมื่อต้องเห็นเรือนร่างน่ามองของอีกฝ่าย คงจะหายวับไปภายหลังจากหว่านล้อมอีกฝ่ายให้ใส่เสื้อได้สำเร็จ

เมื่อรับรู้ได้ว่าชายกลางไม่ให้ความร่วมมือกับตนเท่าที่ควร...
ธันวาจึงต้องอาศัยมาตรการขั้นเด็ดขาดในการดำเนินแผนอ่อยให้สำเร็จลุล่วงดังที่ตั้งใจอย่างไร้ปรานี


“หรือบูบู้อยากให้เค้าหิวจนตาลาย แล้วสุดท้ายก็ลุกขึ้นมากิน บ๊วยแทนที่จะได้กินกล้วยประทังความหิวกันล่ะครับ?...
.
...จะว่าไป ทิ้งกล้วยเอาไว้ตรงนี้ก็ดีเหมือนกันนะครับบูบู้...
...เพราะเค้าก็อยากจะลองลิ้มชิม บ๊วยมาได้สักพักแล้วล่ะ” คนเดินนำกระตุกข้อมือของร่างผอมที่เดินอยู่ข้างหลังเพื่อให้อีกฝ่ายเซถลาเข้าหาตัว แล้วจึงส่งสายตายั่วเย้าไปสะกิดสะเกาความรู้สึกเก้อกระดากของอีกฝ่ายให้ลุกฮือขึ้นอีกครั้ง 

ร่างผอมที่ไม่ทันรับมือกับท่าทีก้อร่อก้อติกเจือหื่นของอีกฝ่าย
จึงจำใจเปลี่ยนจุดยืนตามเหตุผลที่เพิ่งได้ยินไปอย่างไม่มืทางเลือก


“ไม่ต้องเลยครับพี่หมี..เอากล้วยติดไปด้วยน่ะดีแล้ว...
.
...พี่หมีแข็งแรง  พี่หมีคงไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอกเนอะ” ชายกลางพยายามขืนใบหน้าตึงก่อนจะดุหนุ่มวิศวะด้วยน้ำเสียงเข้มๆเพื่อกลบเกลื่อนอาการสะท้านสายตา จากนั้นจึงก้มหน้าก้มตาเดินนำหน้าอีกฝ่ายไปทันที  

ทว่ายังไม่ทันจะทิ้งระยะหนีได้เท่าไร... ร่างสูงสมส่วนก็รีบเดินตามมาประกบท้าย ก่อนกระซิบเบาๆด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ
เพื่อให้ชายกลางได้ยินความนัยส่วนลึกที่เขาปรารถนาเป็นคราแรก หลังจากทั้งคู่รับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายอย่างชัดแจ้ง


“แต่ถึงเค้าจะกินกล้วยอิ่มแล้ว... ก็ใช่ว่าจะไม่อยากกิน บ๊วย หรอกนะครับ หึ หึ หึ”

“เรารีบเดินกันเถอะครับ เดี๋ยวจะมืดจนมองทางไม่เห็นไปเสียก่อน” บ๊วยเสไปมองข้างทางแล้วจึงเดินหน้าตั้งโดยไม่หันหลังไปมองอดีตเดือนมหาลัยที่ถอดเสื้อเดินยิ้มกริ่มฝ่าเม็ดฝนที่ค่อยๆโปรยปรายลงมาจากฟ้าเหมือนคนบ้าผู้ร่าเริง


Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ


หลังจากมาม่าปลากระป๋องหม้อน้อยจะถูกกำจัดให้หายลับลงท้องไปด้วยน้ำมือของสามหนุ่มมาได้สักพัก 
กังฟูก็ยังตื่นเต้นกับสรรพสิ่งทั้งหลายที่อัดแน่นอยู่ภายในกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของเต๋อไม่หาย
สุดท้าย ร่างเล็กก็อดถามเจ้าของกระเป๋าด้วยน้ำเสียงทึ่งๆอีกครั้งไม่ได้อยู่ดี


“ใครจะไปคิดว่าในกระเป๋ามึงจะมีของกินเยอะแยะไปหมด... กลัวอดตายเหรอวะ?” ร่างเล็กแสดงสีหน้าสนอกสนใจกับสิ่งละอันพันละน้อยที่หนุ่มร่างหมีทยอยหยิบออกมาวางเอาไว้ข้างๆตัว

“ไม่เชิงกลัวอดตายเสียทีเดียวหรอกครับฟู  เต๋อแค่ชอบเดินป่ามาก...
.
...พอรู้ว่าบ้านบ๊วยอยู่ใกล้ๆเขาใหญ่ เลยเตรียมกระเป๋าที่ใช้ตอนออกป่าเป็นประจำมาด้วยเท่านั้น...
...ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้ใช้ของที่อยู่ข้างในนี่จริงๆ” หนุ่มสถาปัตย์ตอบตามความจริง...

สิ่งที่กังฟูเพิ่งได้ยินผ่านหู  นอกจากจะทำให้ร่างเล็กประทับใจในความละเอียดถี่ถ้วนของอีกฝ่ายแล้ว
ยังทำให้พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับอีกฝ่ายเพิ่มมากขึ้นไปในตัว...
ชอบเดินป่า พึ่งพาได้  มีน้ำใจ ไม่หยุมหยิม...ดูๆแล้ว นิสัยก็น่าจะเข้าทีเหมือนกัน


“ก็ดี! รอบคอบดี! ไม่มีมึงนี่สงสัยพวกเราจะหิวตายไปแล้ว” เพื่อไม่ให้ดูผิดสังเกต กรกฏจึงแสร้างพูดเสียงสูงผิดคีย์เพื่อให้ประโยคดังกล่าวฟังเผินๆคล้ายกับการกระแนะกระแหนอยู่ในทีมากกว่าจะชื่นชมอีกฝ่ายไปตรงๆ...

กระนั้น  เพื่อนรักที่เห็นกันมานานอย่างชายหนุ่มผมยาวก็จับสังเกตได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
เพราะนอกจากคนในครอบครัวแล้ว...กังฟูก็ไม่เคยเอ่ยปากให้เครดิตกับใครมาก่อนในชีวิต


“ฟู... หนาวไม่ใช่เหรอ มานั่งผิงไฟใกล้ๆสิ” ด้วงรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่อยากให้เต๋อรู้ตัว... และแน่นอน เขากำลังกลัวว่าตัวเองจะทนฟังกังฟูชื่นชมศัตรูหัวใจซึ่งซึ่งหน้าไม่ได้  

ส่วนหนุ่มสถาปัตย์ร่างหมีที่ไม่ซาบซึ้งกับประโยคชื่นชมอันซับซ้อนของกังฟูเท่าที่ควร 
ก็เพ่งความสนใจทั้งหมดไปกับประเด็นของหนุ่มผมยาว... หากพวกเขาติดอยู่ที่นี่จนถึงเช้าในเสื้อผ้าเปียกปอน คงไม่ดีแน่
คิดได้ดังนั้น ตรินจึงออกปากชักชวนผู้ร่วมชะตากรรมทั้งสองให้ร่วมแก้ปัญหาร่มผ้าอับชื้นด้วยวิธีที่ตรงจุดมากกว่าทันที


“นั่งผิงไฟไปก็เท่านั้นแหละว่ะ...
.
...กูว่า เปียกซ่กเป็นลูกหมาตกน้ำแบบนี้...
...ถอดแม่งให้หมดทั้งตัวนี่แหละ จะได้เอาเสื้อผ้ามาผึ่งใกล้ๆไฟให้พอหายชื้นแล้วค่อยเอามาใส่กันอีกที”

“เฮ่ย! มึงจะบ้าเหรอ? ไม่ต้องถึงขนาดแก้ผ้าแก้ผ่อนก็ได้มั้ง...เดี๋ยวก็หนาวตายห่ากันพอดี” กังฟูพูดประท้วงรัวเร็วจนลิ้นแทบพันกัน...

มันจะอะไรกันนักหนา?!!
แค่หลงป่าติดแหง็กอยู่ด้วยกันในบรรยากาศฝนกระหน่ำยังน่าตื่นเต้นไม่พออีกหรือ?
ทำไมไอ้เต๋อจะต้องอยากให้เขาแก้ผ้าอวดเนื้อหนังมังสาให้ดูด้วยล่ะ... หรือว่า?!!!...
.
.
.
...ไอ้เหี้ยเอ๊ย!!
...พอคิดลามกขึ้นมาเท่านั้นแหละ แม่ง...เขินเลยสัด!


ทว่าเรื่องเกี่ยวกับเต๋อที่กังฟูยังไม่รู้อีกอย่าง ก็คือ ตรินเป็นคนปรารถนาดีกับบุคคลอันเป็นที่รักอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู
อีกนัยหนึ่ง... อะไรที่ดูไม่เข้าท่า หรืออาจนำมาซึ่งความวินาศฉิบหายกับร่างกายและความปลอดภัยของคนที่รัก
เต๋อก็มักจะหาทางเจรจาจนอีกฝ่ายยอมแพ้ให้กับความจริงใจไปเสียทุกราย


“แต่ถ้าไม่ผึ่งเสื้อผ้าตั้งแต่ตอนนี้...เกิดฝนตกหนักจนเราต้องนอนค้างที่นี่ กลางคืนจะยิ่งหนาวนะครับฟู”

พดด้วงลอบมองสีหน้าราบเรียบจริงจังไม่เห่อเนื้อหนังมังสาของเต๋อด้วยสายตาล่อกแล่ก
วิญญูกำลังชั่งใจอย่างหนัก ใจนึงก็หวงของรัก... แต่อีกใจก็ชักจะคล้อยตามเหตุผลของเต๋อขึ้นมาดื้อๆ
สุดท้ายเพื่อนรักผมยาวของกังฟูก็โกงตาชั่งก็เทคะแนนให้ความหื่นชนะความหวงแหนแบบขาดลอย


“ที่เต๋อพูดมาก็มีเหตุผลนะฟู ถ้าอากาศเย็นลงยิ่งกว่านี้ เราอาจจะเป็นปอดบวมกันก็ได้นะ” หนุ่มผมยาวพูดเรียบๆ... สาบานได้ ตลอดเวลาที่เอ่ยประโยคเมื่อครู่นี้ออกมา คุณชายพดด้วงพยายามเกร็งเบ้าหน้าเพื่อรักษามาดสุขุมจนตะคริวเกือบขึ้นแก้ม


“ไม่ดีหรอกมั้ง!!...
...โดยเฉพาะมึงน่ะ เป็นสาวเป็นนาง...จะมานั่งแก้ผ้าต่อหน้าผู้ชายในที่รโหฐานได้ยังไงกัน... 
.
...เพราะฉะนั้น...กูจะเสียสละด้วยการไม่ถอดเสื้อผ้าเป็นเพื่อนมึงเอง” กรกฏโมเมหน้ามึน

ทว่าเพื่อนรักกลับปักหลักต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับหนุ่มร่างหมี
เพื่อจะได้มีโอกาสชื่นชมสรรพางค์อร้าอร่ามงามสล้างของกังฟูแบบจะจะให้จงได้


“ไม่เป็นไรหรอกฟู ถ้าเทียบความทรมานจากอาการปอดบวม กับความอายที่ต้องถอดเสื้อผ้าต่อหน้าผู้ชายคนอื่น...
.
...เราว่า ถอดเสื้อผ้าเป็นทางเลือกที่ดีกว่ามากๆเลยนะ”

“งั้นก็ถอดทีละคนก็ได้นิ... ผิงไฟทีละตัวไม่เร็วกว่าเหรอ?” กังฟูต่อรองด้วยอารมณ์ชั่ววูบเนื่องจากสมองไม่สั่งการตามปกติ... ร่างเล็กคิดแค่เพียงว่า การแก้ผ้าหมู่ดูจะน่าอายกว่าแก้ผ้าทีละคนเยอะทีเดียว... แต่เดี๋ยวนะ?!!

“แล้วก็นั่งถอดเสื้อผ้าอยู่คนเดียวเพื่อให้อีกสองคนนั่งมองน่ะเหรอ?” หนุ่มผมยาวถามพลางเลิกคิ้วจ้องหน้ากังฟูคล้ายจะให้โอกาสเพื่อนรักคิดคำตอบให้ถี่ถ้วนดูอีกครั้ง  ส่วนหนุ่มสถาปัตย์ที่ลองคิดภาพตามข้อเสนอของกังฟูก็ถึงกับแอบขำก่อนจะแซะซ้ำไปอีกดอก

“ถ้าฟูกลัวขาดทุน... เต๋อต่อให้ฟูถอดก่อนก็ได้ครับ”

“เอางั้นก็ได้นะฟู... พอเสื้อผ้าฟูแห้ง ตอนนั้น...เรากับเต๋อค่อยถอดพร้อมๆกันเลยทีเดียว” คำพูดของเต๋อทำให้ด้วงอดไหลตามน้ำไปไม่ได้ สุดท้ายพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยผู้จนตรอกก็ได้ข้อสรุปที่ทำร้ายตัวเองน้อยที่สุดเข้าจนได้

“เรื่อง?!!! ถอดพร้อมๆกันแม่งหมดนี่แหละ ผู้ชายเหมือนๆกัน จะกลัวห่าอะไร”

“ใช่! ผู้ชายเหมือนกัน...จะคิดมากอะไร ใช่ไหมกะเทย?” เต๋อพูดพลางลุกขึ้นถอดเสื้อ ตามด้วยกางเกงตัวนอกออกทันทีราวกับเฝ้ารอจังหวะแก้ผ้าต่อหน้ากังฟูมาตลอดชีวิต ทำให้สมาชิกผู้ร่วมก๊วนเดินทางจำเป็นทั้งสองต้องรีบถอดเสื้อเปียกตามแทบไม่ทัน... ก็ถอดเสื้อผ้าโดยโดนสายตาคนอื่นประกบมองอยู่ตลอด มันเขินน้อยเสียเมื่อไรล่ะ?!  




“ไม่นึกเลยนะครับว่าเมื่อก่อนเราสองคนจะเอาแต่ท้าตีท้าต่อยกันเหมือนเด็กๆ”

หนุ่มสถาปัตย์ปีสามยิ้มพรายระหว่างเปิดประเด็นชวนกรกฏคุยเพื่อลดบรรยากาศกระอักกระอ่วน
หลังจากทั้งสามนั่งเรียงหน้ากระดานหน้าเตาฟืนในสภาพบ็อกเซอร์ตัวเดียวเปล่าเปลี่ยวหัวใจ...

สิ่งที่เพิ่งเอื้อนเอ่ยออกไป กับสภาพความใกล้ชิดในตอนนี้ ทำให้เต๋ออดประหลาดใจไม่ได้...
นี่เขามุ่งมั่นที่จะเดินเข้าสู่กลางใจกังฟูตั้งแต่เมื่อไรกันนะ?!

ความทรงจำในวัยเยาว์เก่าก่อนที่ทั้งสองมีเรื่องระหองระแหงกันอยู่บ่อยๆ
ทำให้พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยตอบอย่างใส่อารมณ์


“มึงนั่นแหละที่เด็กฉิบหาย... เห็นกูเป็นไม่ได้ ต้องคอยตามมาหาเรื่องทุกที... สันดาน!!” ร่างเล็กนั่งกลางระหว่างหมีใหญ่ทั้งสองหันไปแยกเขี้ยวใส่ชายร่างหมี... คู่อริในวันวานที่ผันตัวมาตามขายขนมจีบเขาต้อยๆในปัจจุบัน

“ก็เมื่อก่อนเต๋อยังไม่เห็นว่าฟูน่ารักขนาดนี้นี่ครับ” ...นั่นไง เจอช่องไม่ได้เป็นต้องหยอด!  

แต่ไหนๆก็ได้จังหวะจับเข่าคุยกันซึ่งๆหน้าในสภาพเสื้อผ้าน้อยชิ้น  
ตรินจึงถือโอกาสอธิบายเบื้องลึกเบื้องหลังเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของความรู้สึกพิเศษที่ตนมีให้อีกฝ่ายได้ทำความเข้าใจในรายละเอียดอย่างถูกต้องเสียที...

ซึ่งข้อดีอีกประการของการเกี้ยวพาราสีกังฟูต่อหน้าต่อตาหนุ่มวิศวะผมยาว...
นั่นคือ มันช่วยทำให้เต๋อได้โอกาสแหย่ศัตรูหัวใจให้เจ็บปวดเล่นได้อีกทางอย่างไรล่ะ...
อีกฝ่ายจะได้เข้าใจว่า การจีบกรกฏแบบตรงไปตรงมา ดีกว่าแฝงตัวเป็นอีแอบแหนบพวงมะม่วงเป็นไหนๆ    


“ไม่สิ... เต๋อต้องบอกว่า จริงๆเต๋อเห็นฟูน่ารักมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เรารู้จักกันตอนเรียนอนุบาลสามแล้วครับ...
...แต่ความที่ยังเป็นเด็ก...เต๋อเลยไม่ทันคิดว่าความรู้สึกชอบในวันนั้น จะพัฒนามาเป็นความรักในวันนี้”


เมื่อฟังแล้ว ใจคนอื่นจะตอบสนองอย่างไรไม่รู้...แต่หัวใจของกังฟูกำลังทำงานหนักผิดปกติ...
เวลาคนจีบกัน มันต้องหมั่นบอกรักถี่ๆแบบนี้เสมอเลยเหรอไร?!!!

ไอ้เต๋อบ้า! ใครใช้ให้มาเที่ยวพูดจาเลี่ยนๆเวลาที่อยู่ต่อหน้าคนอื่นกัน?!  แล้วทีนี้เขาจะเข้าหน้าด้วงติดได้อย่างไร?!  


“ไอ้สัดเต๋อ!! อย่าพูดจาหมาๆแบบนี้อีก กูไม่ชอบ!!”...เอาจริงๆ ร่างเล็กไม่มีปัญหากับคำพูดคำจาหวานๆเช่นนี้ ออกจะชอบใจเสียด้วยซ้ำ แต่ถ้าไม่ห้าม... ด้วงต้องรับไม่ได้แน่ๆหากรู้ว่าเพื่อนสนิทอย่างเขาเกิดรู้สึกชอบ ผู้ชายขึ้นมาจริงๆ

“ใช่! เราว่า นายอย่าพูดจาหรือแสดงท่าทางแบบนี้กับฟูอีกเลยจะดีกว่า ไม่รู้เหรอว่าฟูลำบากใจ” หนุ่มผมยาวรับสมอ้างเพื่อขัดขวางช่วงเวลาทำคะแนนของชายร่างหมีโดยไม่รอช้า ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้เต๋อพูดจายกเมฆตอกหน้าด้วงกลับไปอย่างทันกัน  

“ฟังไปฟังมา กูว่า... คนที่ลำบากใจน่าจะเป็นมึงมากกว่าล่ะมั้ง...
.
...เพราะทุกครั้งที่กูบอกรักฟู  กูก็ไม่เคยได้ยินฟูพูดว่าลำบากใจเลยสักครั้ง” เต๋อยักคิ้วหลิ่วตาให้หนุ่มผมยาวที่นั่งประกบกังฟูอย่างใกล้ชิดอยู่อีกฟากหนึ่ง...

ประโยคข้างหน้านี้มีค่าความเป็นจริงร้อยเปอร์เซนต์ เพราะกังฟูไม่เคยบอกว่าลำบากใจ แต่ด่าไม่เลี้ยงเลยต่างหาก
ฝั่งผู้ฟังที่ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบาง กลับโดนความอิจฉาริษยาเข้าสิงร่างจนแทบวางตัวให้เป็นปกติต่อไปไม่ได้


“นี่นายไม่รู้หรือไงว่าฟูไม่ชอบผู้ชาย...และคงไม่มีวันชอบผู้ชายแน่ๆ  เราพูดถูกใช่ไหมฟู?”

เมื่อดวงไฟในแววตาของทั้งสองหนุ่มที่เคยซัดใส่กันจนแทบจะส่องประกายแปลบปลาบ เลื่อนมาจับยังใบหน้านวลของกังฟู  
คนที่อยู่ตรงกลางระหว่างขั้วอำนาจยักษ์ใหญ่ทั้งสองฝ่าย จึงต้องจำใจเลือกข้างในที่สุด


“...เอ้อ!... ใช่!! กูไม่ชอบผู้ชาย และไม่มีวันชอบด้วย!!” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยพูดด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น  

“ไม่เป็นไรครับฟู... ฟูไม่ต้องชอบผู้ชายก็ได้ แค่ฟูชอบเต๋อก็พอ” ตรินยังคงหยอดจนหยดสุดท้ายโดยไม่สนใจสายตาอาฆาตของคู่แข่งหัวใจ หรือแม้กระทั่งการถอนหายใจยาวเหยียดและสีหน้ารังเกียจบังหน้าของกังฟู

“เต๋อ... กูถามมึงจริงๆเถอะ พ่อแม่มึงจะไม่เสียใจเหรอวะถ้าพวกเขารู้ว่ามึงชอบผู้ชายน่ะ?” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยถามอย่างอ่อนอกอ่อนใจ... ในเมื่อห้ามไม่ได้ ก็ลองฟังเหตุผลของอีกฝ่ายดูสักตั้งก็แล้วกัน

“คุณพ่อคุณแม่รู้เรื่องของฟูมาโดยตลอดแหละครับ...
.
...ก่อนมานี่เต๋อก็เพิ่งโทรไปบอกพวกท่านว่า... กลับบ้านไปคราวนี้ จะพาว่าที่แฟนไปกราบท่านให้ได้...
...เต๋อก็ไม่เห็นว่า ท่านสองคนจะว่าอะไรนะครับ... แถมยังกำชับว่าให้รีบพาฟูไปหาท่านให้ได้เร็วๆ” เต๋อรายงานอย่างภาคภูมิใจด้วยสีหน้าท่าทางราวกับเด็กชายที่ได้รางวัลชนะเลิศโครงงานวิทยาศาสตร์กำลังเล่าความสำเร็จให้พ่อกับแม่ฟังอย่างไรอย่างนั้น

แม้จะดีใจอยู่ลึกๆกับข้อมูลใหม่ที่อีกฝ่ายเพิ่งบอกให้รู้
แต่กังฟูก็ยังไม่อาจก้าวข้ามความรู้สึกผิดถูกตามขนบของคนส่วนใหญ่ในสังคมไปได้


“แม่งจะไม่เป็นไรได้ยังไง? ลูกชายทั้งคนจะชอบผู้ชายเลยนะเว่ย... พ่อแม่ที่ไหนๆก็ต้องเสียใจกันทั้งนั้นแหละ!!!!” ร่างเล็กกระแทกเสียงระหว่างสะท้อนความคิดของคนเป็นพ่อแม่ทั่วๆไป...

กรกฏแบกรับความคาดหวังของการเป็นพี่คนโตที่ดี ซึ่งต้องมีหน้าที่ทำให้พ่อแม่ภูมิใจ
ควบคู่ไปกับการเป็นไอดอลที่เหมาะสมให้กับน้องชายเอาไว้เต็มบ่า
แม้วันนี้จะไม่มีป๊ากับม้าอยู่ข้างๆ... แต่จะให้เขาทำลายความหวังของการสืบสกุลให้ยืนยาวต่อไป เพราะเกิดรู้สึกยินดีที่ได้รับความรักจากผู้ชายด้วยกันอย่างนั้นหรือ?!!


“เราว่า สิ่งที่พ่อกับแม่ของน้องบ๊วยบอกก็น่าจะช่วยยืนยันได้นะฟู” ด้วงอธิบายอย่างใจเย็นเมื่อเห็นหัวคิ้วของเพื่อนรักขมวดเป็นปม “เพราะโดยปกติ สิ่งที่พ่อแม่ทุกคนปรารถนามากที่สุด คงหนีไม่พ้นความสุขของพวกเรา”

“มึงก็พูดได้นิ... ก็พ่อแม่มึงรับได้แล้วนี่หว่า” กังฟูสวนทันควัน ทว่านั่นกลับทำให้ใบหน้าของเพื่อนรักสลดลงทันที

“แต่กว่าที่พวกท่านจะยอมรับตัวตนของเราได้... ก็ไม่ง่ายเลยนะ”

“ยังไงวะ?” เต๋อถามแทรกด้วยความสนอกสนใจ... ถือเป็นครั้งแรกที่ได้ยินอีกฝ่ายเปิดอกเล่าเรื่องละเอียดอ่อนภายในครอบครัวให้เขาได้รับฟัง  

“ครั้งแรกที่เราเดินไปบอกแม่กับพ่อว่าเราแอบชอบเพื่อนผู้ชายตั้งแต่ยังไม่ขึ้นมัธยม...
...พ่อถึงขั้นไม่ยอมคุยกับเราเป็นปีๆเลยนะ...
...ส่วนแม่...ถึงท่านจะช็อก แต่พอเห็นว่าพ่อโมโหเรามากจนไม่อยากจะมองหน้า...
...แม่ก็ยอมมองข้ามความเบี่ยงเบนของเรา มาคอยอยู่ดูแลเราเป็นอย่างดีเหมือนเดิม...
.
.
...อยู่มาวันหนึ่ง...พ่อก็ยื่นคำขาดกับเราว่า...
...ถ้าเรารักเพื่อนคนนั้นจริงๆ เราต้องพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่า  ถึงเราจะเป็นพวกรักร่วมเพศ แต่ตัวตนของเราในด้านอื่นๆก็สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ  เพราะพ่อเราไม่ต้องการให้ใครหน้าไหนเอาเราไปว่าลับหลังอย่างสาดเสียเทเสียได้เป็นอันขาด”

“กูไม่แปลกใจแล้วล่ะว่าทำไมมึงถึงเป็นพวกเก็บกดอย่างทุกวันนี้” เต๋อสรุปหลังจากเข้าใจกับข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้ยินอย่างถ่องแท้...

คิดตามแล้วก็อดนับถือคู่แข่งหัวใจหน้าหยกไม่ได้
เพราะประสบการณ์ที่ด้วงต้องประสบ ช่างผิดแผกไปจากสิ่งที่เขาต้องเผชิญเป็นล้านเท่า
ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบสถานการณ์ความตึงเครียดภายในครอบครัวกับอีกฝ่ายแล้ว... พ่อแม่เขา ย่อมต้องกลายเป็นสุดยอดพ่อแม่ในฝันไปในทันตา


“แต่มันก็คุ้มนะ... เพราะสุดท้าย เราก็ได้รักคนๆนั้นโดยไม่ต้องรู้สึกผิดกับพ่อและแม่ยังไงล่ะ” หนุ่มผมยาวเอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางจรดสายตาสำรวจเสี้ยวหน้าด้านข้างของกังฟูด้วยความรักใคร่

“ไอ้คนที่ทำให้มึงยอมทุ่มเทได้มากขนาดนี้แม่งเป็นใครวะ?...กูถามมึงแต่ละที มึงก็เอาแต่อมพะนำอยู่นั่นแหละ” ร่างเล็กตวัดสายตาเปี่ยมความสงสัยไปจับผิดเพื่อนสนิท

กรกฏไม่ชอบใจเลยที่ด้วงคอยแต่จะปิดบังชื่อเสียงเรียงนามของผู้ชายคนนั้นโดยไม่คิดปริปากบอกเขา...
ไอ้คนงี่เง่าคนนั้นมันเป็นใครกันนะ? ใครกันจะกล้าทำให้ด้วงเพื่อนรัก ปักใจและมุ่งมั่นจะเป็นกะเทยให้ได้ตั้งแต่ยังไม่จบมอปลายเลยด้วยซ้ำ?!!

และก็เหมือนกับทุกที...
คำถามข้อนี้ของหนุ่มร่างเล็ก มักจะได้รับรอยยิ้มและการผัดผ่อนแทนคำตอบอยู่เสมอ


“ไว้รอให้เราทนเก็บความรู้สึกรักเอาไว้กับตัวไม่ไหว... เราจะบอกฟูเป็นคนแรกเลยล่ะ”

“ให้มันจริงเหอะวะ!” กังฟูชี้หน้าคาดโทษเพื่อนรักผมยาวคล้ายจะเอาเรื่อง ในขณะที่เพื่อนสนิทเลื่อนปลายนิ้วก้อยมาเกี่ยวกับนิ้วน้องเล็กของอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมกับให้สัญญาอีกครั้ง

“เชื่อเถอะฟู เรื่องนี้เราไม่มีวันผิดสัญญากับฟูแน่ๆ”

“...(ป๊อดชิ่ว!!!!)...” เต๋อแสร้งจามและแดกดันร่างสูงที่นั่งอยู่อีกฝั่งด้วยความหมั่นไส้ แต่สิ่งที่เหนือไปจากความคาดหมาย คือการที่กังฟูให้ความสนใจกับเสียงจามจอมปลอมเมื่อครู่จนผิดสังเกตนี่แหละ

“หึ! ไข้แดกแล้วสิมึง... ตัวโตซะเปล่า!!” กรกฏทำทีเป็นเยาะเย้ย ทั้งที่เจ้าตัวอยากจะเอ่ยคำพูดที่แสดงความเอาใจใส่และเป็นห่วงเป็นใยมากกว่านี้แท้ๆ

ส่วนหนุ่มร่างหมีที่ได้กำไรกับการหลอกด่าคู่แข่งหัวใจ พร้อมๆกับได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของบทสนทนาแทนที่ด้วงในพริบตากลับนั่งยิ้มกว้างรับฟังคำค่อนขอดของกังฟูด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน แล้วจึงโปรยประโยคหวานเลี่ยนออกมาอีกครั้ง


“แค่ฟูเป็นห่วง เต๋อก็ไม่เป็นไรแล้วล่ะครับ”

“เราว่าฟูไม่ได้เป็นห่วงนายหรอก... กลัวนายตายแล้วจะกลายเป็นภาระของพวกเราต่างหากน่ะ” ด้วงเหน็บอย่างเหลืออด แต่กลับโดนเต๋อจามด่าอีกครั้งอย่างไม่กลัวเกรง

“...(ฮ๊าดดดดดด เสือกกกกกกก!!)...”

“เอ้า! ถ้ามึงหนาว มึงก็เถิบไปใกล้ๆเตาสิวะ  นั่งจามอยู่ได้... น่ารำคาญฉิบหาย!!” กังฟูตัดบทด้วยการใช้ศอกกระทุ้งเอวเต๋อให้เขยิบเข้าไปผิงไฟด้วยชักจะไม่ไว้ใจกับสภาพไร้เครื่องนุ่งห่มปกคลุมของพวกเขาทั้งสาม 

แต่แทนที่หนุ่มร่างหมีจะปฏิบัติตาม...หนุ่มสถาปัตย์กลับกระแซะเข้าหาร่างเล็กของคนนั่งกลางโดยไม่พูดไม่จา
ฝ่ายด้วงที่เห็นว่าตนเองกำลังเพลี่ยงพล้ำกับการทำคะแนนตีตื้น ก็ไถลแก้มก้นจนย้ายมานั่งประกบอีกฝั่งของกังฟู

นับจากวินาทีนั้นเป็นต้นมา...
สุ้มเสียงโวยวายล้งเล้งของการตะเบ็งคอเถียงกันระหว่างหนุ่มๆก็เงียบหายไปอย่างไร้เหตุผล
เพราะทั้งสามกำลังตกอยู่ในห้วงสนทนาไร้ถ้อยคำที่มีเพียงความอบอุ่นของร่างกายทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างนั่งผิงไฟรอให้เสื้อผ้าแห้งอยู่ด้านในกระท่อมปลายนาหลังน้อยนั่นเอง








“เฮ่ย! ไปหามาจากที่ไหนอ่ะ?” อิ๊กร้องถามแฝดน้องด้วยน้ำเสียงตกใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินถือกล้วยครึ่งเครือกลับเข้ามาในถ้ำหลังจากแฝดน้องเดินตากฝนลับตาไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดี

“ก็บอกแล้วไงว่าหาได้” แฝดน้องตอบเรียบๆ พลางรีดน้ำออกจากเส้นผมหยักศกก่อนจะรวบมัดผมทั้งหมดเป็นหางม้าต่ำติดท้ายทอย

เมื่อนั้น... ใบหน้าหล่อเหลาไร้ผมยาวรุงรังปิดหน้าตา
ที่ดูคลับคล้ายคลับคลากับชีคหนุ่มก็ปรากฏขึ้นในคลองจักษุของอดีตเดือนบริหารทันที...
อิ๊กรีบกลืนน้ำลายด้วยท่าทางผู้ดี ก่อนจะตีหน้านิ่งแล้วชิงพูดเรื่องอื่นกลบอาการเขินอายผู้ชายหล่อพ่อแม่ช่างปั้นอย่างฌอน


“อย่ามาเนียน!! เมื่อกี๊นายแอบซิ่งแว๊นไปซื้อกล้วยที่ตลาดมาใช่ไหม?!

“เลิกจิ้นแล้วกินกล้วยดีไหมคุณ?” คำถามที่มาพร้อมน้ำเสียงเบื่อหนายทำให้อิ๊กถอนหายใจฟึดฟัดด้วยอารมณ์ขัดใจ ก่อนจะสวมบทประธานในพิธีด้วยการปอกกล้วยลูกแรกเข้าปากแทนการตัดริบบิ้น

“ก็ใครจะไปคิดว่านายจะพึ่งพาได้ขนาดนี้ล่ะ!” อดีตเดือนบริหารกระแทกเสียงระหว่างที่ในปากกำลังเคี้ยวหยับๆ

“ถ้าจะชม...ก็ชมกันดีๆ” ฌอนยืนกอดอกกดสายตามองร่างบางที่นั่งกินกล้วยอยู่บนพื้นด้วยสายตาคาดโทษ  ฝั่งอิ๊กก็อาศัยจังหวะที่กำลังกลืนกล้วยตวัดสายตาไปตามร่างน่ามองของแฝดน้องจอมโหดตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าท้าทายไม่แพ้กัน  

“หึ! นายมันเป็นคนดี...
.
.
...ดีแต่ใช้กำลัง แถมยังบ้าอำนาจอีกต่างหาก!!” พอได้กระฟัดกระเฟียดใส่ฌอนจนหนำใจ...อดีตเดือนบริหารก็หันไปเอาใจใส่กับกล้วยใบน้อยที่ยังเหลืออยู่ทันทีโดยไม่มีสังวรณ์ต่ออันตรายที่ย่างกรายเข้ามาใกล้ในคราบของหนุ่มสถาปัตย์รูปงาม

“รู้ตัวใช่ไหมว่าพูดแบบนี้แล้วจะโดนอะไร?” ฌอนเปลี่ยนอิริยาบทมาเป็นทิ้งตัวลงนั่งข้างๆกับร่างบางโดยมีกล้วยกั้นเป็นพรมแดน แต่ก่อนที่วงแขนของแฝดน้องจะข้ามเขตไปเยือนพื้นที่ของอีกฝ่าย อคิราก็ส่งเสียงโวยวายห้ามปรามอย่างเร็วรี่

“หยู้ดดดดดด!” ฝ่ามือเล็กๆของอิ๊กกางขึ้นตรงหน้าแฝดน้องเพื่อยืนยันน้ำหนักและความหมายของคำเมื่อครู่ แต่ท่าทางขึงขังจริงจังของหนุ่มบริหารหน้าหวานถูกทำลายความศักดิ์สิทธิ์ลงในพริบตาด้วยประโยคที่ตามมาของเจ้าตัวนั่นเอง “ขอเคี้ยวกล้วยให้ละเอียดก่อน... ตอนพ่นใส่หน้านายฉันจะได้นอนตายตาหลับ”  

“พูดดีๆไม่ชอบใช่ไหม?...ได้!” ฌอนแทบจะโผตัวเข้าใส่ทันทีที่ได้ยินประโยคท้าทายกับสีหน้ากวนๆของอดีตเดือนบริหาร  

ยังดีที่ร่างบางนึกขึ้นได้ว่ายังไม่มีกล้วยสักลูกตกถึงท้องของน้องชายร่างทรงหนุ่ม
ในขณะที่กระเพาะของเขาถูกสุมด้วยอดีตกล้วยสี่ลูกจนเริ่มจะจุกเต็มที อิ๊กเลยกลับเข้าสู่โหมดจริงจังได้อีกครั้งอย่างไม่ยากเย็นนัก


“เดี๋ยวดี้! อย่าเพิ่งเล่นตอนนี้!!!  กินก่อน... เดี๋ยวค่อยว่ากันใหม่  นะฌอนนะ”

“ก็ได้...กินก็กิน” หนุ่มสถาปัตย์จำต้องถอยกลับลงไปนั่งที่เดิมอย่างเสียไม่ได้.. ใช่จะหิวสักเท่าไร แต่พอได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อเล่นของเขาด้วยน้ำเสียงออดอ้อน... เขาก็อดใจอ่อนไม่ได้ไปเสียทุกที

“ฌอน” อดีตเดือนบริหารเอ่ยเรียกคนนั่งข้างๆหลังจากแฝดน้องเริ่มกินกล้วยได้ไม่นานเท่าไร โดยที่มือทั้งสองก็ง่วนกับการเลือกกล้วยผลใหม่เพื่อเตรียมปอกก่อนจะส่งให้ผู้ช่วยชีวิตรับไปกินอีกทอดหนึ่ง

“หืม?” แฝดน้องครางรับพลางเลิกคิ้วมองใบหน้าครุ่นคิดของอีกฝ่ายด้วยความฉงน  

จนเมื่อได้ยินคำถามสั้นๆของอคิราแล้วนั้นแหละ หนุ่มสถาปัตย์จึงได้รู้ว่าตัวเองไม่ใช่คู่ปรับที่จะรับมือกับความปรวนแปรทางอารมณ์และความคิดของอีกฝ่ายได้ดีอย่างที่เคยเข้าใจ


“ถามหน่อยดิ...
.
.
.
.
.
.
...นายชอบฉันเหรอ?

“...แค่ก... แค่ก... คุณถามอะไรของคุณเนี่ย?” คนฟังถึงกับสำลักแล้วไอจนหน้าดำหน้าแดงด้วยไม่รู้ว่าคนพูดใช้ไส้อ่อน หมอนรองกระดูก หรืออะไรคิดจึงรีบใช้สิทธิตั้งคำถามล้วงลูกท่ามกลางบรรยากาศไม่เป็นใจเช่นนี้?!!

“ไม่เห็นจะต้องตกใจเลย... ก็แค่ตอบมาว่าชอบ หรือไม่ชอบฉันก็เท่านั้นเอง” อดีตเดือนบริหารพูดเอื่อยๆเพราะกระหน่ำเคี้ยวกล้วยจนเมื่อยปาก

“แล้วคุณจะอยากรู้ไปทำไม?” ฌอนย้อนถามด้วยต้องการทำความเข้าใจกับที่มาที่ไปของคำถามเมื่อครู่ให้รู้ซึ้งกันไปข้าง ร่างบางจึงอธิบายง่ายๆตามสไตล์หนุ่มโสดใสไร้สติเป็นพักๆผู้ไม่เคยกั๊กข้อมูล

“ฉันแค่อยากแน่ใจว่าฉันไม่ได้ชอบนายอยู่ฝ่ายเดียวยังไงล่ะ...
.
.
...แต่ถ้านายไม่อยากบอก... ก็ไม่เป็นไรนะ...
...ฉันจะถือซะว่าฉันมันใจง่าย บ้าผู้ชาย แถมยังไม่รู้จักรักนวลสงวนตัว มัวเมาในเพ...

“ที่พล่ามนี่คือจะต้องรู้ให้ได้?” แฝดน้องกระทืบเบรคก่อนที่ทั้งคู่จะก้าวเข้าสู่สถานการณ์ดราม่าโดยไม่จำเป็นไปเสียก่อน  

“ก็ใช่น่ะสิ... เพราะถ้านายไม่ชอบฉัน นายก็ควรเลิกให้ความหวัง แล้วก็เลิกลวนลามฉันได้แล้ว!” อดีตเดือนบริหารตัดพ้อด้วยน้ำเสียงท้อแท้พลางปอกกล้วยลูกใหม่ส่งให้ฌอนอย่างไม่มีขาดช่วง... ถึงจะรู้สึกหน่วง แต่ร่างบางกลับไม่หยุดบริการอีกฝ่ายแต่อย่างใด

“แล้วถ้าผมไม่บอกคุณล่ะ?” ฌอนดึงเช็งเพราะอยากต้อนอดีตเดือนบริหารให้จนมุม

“ฉันก็จะโมโหมาก”

“อ้าว! ไหนบอกว่าผมไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรยังไงล่ะ?”

“กวนประสาท! 

“ถ้าผมกวนประสาท บ้าอำนาจ ดีแต่ใช้กำลัง แถมยังมีพลังพิเศษ...คุณจะชอบผมไหม?” ฌอนอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอหลอกถามความรู้สึกลึกๆเพื่อให้แน่ใจว่าอคิราคิดตรงกันกับตนเองจริงๆ

“ก็ถ้านายยังไม่เปลี่ยนนิสัยจากหน้ามือเป็นหลังเท้า  ถึงหนังหน้านายจะเน่า หรือเป้าแฟบกว่านี้ฉันก็ชอบ!

อดีตเดือนบริหารพรั่งพรูคำพูดเป็นน้ำไหลไฟดับคล้ายกับคนบ้าจี้  
ซึ่งเมื่ออยู่ในเวอร์ชันนี้...เชื่อขนมกินได้เลยว่า อคิราเอ่ยแต่ความจริงเท่านั้น
เพราะมันแทบไม่มีเวลาให้ฉุกคิดประดิษฐ์คำตอบสวยหรูเลยแม้แต่น้อย
นั่นจึงพลอยทำให้แฝดน้องยอมบอกความในใจให้อีกฝ่ายได้รับฟังด้วยความเต็มใจ


“ดี! งั้นฟังนะ...
.
...ผมชอบคุณ ชอบมาก...ชอบทั้งที่รู้ว่าคุณขี้มโน โก๊ะๆเกินๆ...
...ชอบแม้เวลาที่คุณเยินจนหมดสภาพแบบนี้ ชอบแบบไม่มีเหตุผลสนับสนุน...
...ผมรู้เพียงแค่ผมชอบคุณ... และต้องเป็นคุณคนเดียวเท่านั้น”

”ตั้งแต่เมื่อไรเหรอ?”

“ก็ตั้งแต่รับน้องมหาลัยปีหนึ่ง” ฌอนยอมรับตามตรง แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะเข้าสู่บรรยากาศกระหนุงกระหนิงอย่างที่ควรจะเป็น อดีตเดือนบริหารกลับนึกขึ้นได้ว่ายังมีประเด็นที่อีกฝ่ายต้องไขข้อข้องใจให้ชัดเจนเสียก่อน

“แต่เดี๋ยวนะ... เมื่อกี๊นายบอกว่านายมีพลังพิเศษ นายหมายความว่ายังไง?”

“คุณอย่าเพิ่งรู้เลย เดี๋ยวคุณจะกลัวไปเสียเปล่าๆ” แฝดน้องเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง กระนั้น...หนุ่มช่างฝันอย่างอคิรากลับมิได้นำพาเนื่องจากคันปากอยากรู้เป็นที่สุด

“อย่าบอกนะว่านาย... นาย... นายไม่ใช่คน”

“จะบ้าเหรอคุณ?!

“อ้าว! ก็ฉันไม่รู้นี่ ก็เห็นหน้านายมีลับลมคมในแปลกๆ พอคิดอะไรได้...ฉันก็เดาส่งไปก่อน”

“เฮ่อออออ!

“งั้นเป็นหนองในอ่ะ... น่ากลัว น่าอาย และแพร่กระจายได้ด้วย!” อดีตเดือนบริหารให้เหตุผลที่กลั่นออกมาจากบรรทัดฐานอันแปลกประหลาดเฉพาะตัว

“เฮ่ย!!เมากล้วยเหรอคุณ? เป็นหนองในนี่มันใช่พลังพิเศษตรงไหนกัน?!!” แฝดน้องเกือบจะร้องจ๊ากอย่างเสียอาการด้วยความตกใจในสิ่งที่เพิ่งรับฟัง แต่อีกฝ่ายกลับยังไม่หยุดทาย

“งั้นนายก็เป็นพวกซาดิสม์แน่ๆเลย เอะอะก็หาเรื่องรังแกฉันได้ตลอด”

“แต่คุณก็ดูจะชอบอยู่นะ”

“บ้า! สถานการณ์พาไปทั้งนั้นแหละ!!

“เหรอ? แล้วใครจูบตอบผมเมื่อคืน?”

“โอ๊ะ! หิวจัง” อิ๊กแกล้งทำทีเป็นสนใจเครือกล้วยอีกครั้งทั้งที่ก็อิ่มมากแล้ว

หลังจากนั้น สองหนุ่มก็นั่งต่อล้อต่อเถียงกันอย่างสนุกสนาน
ทำให้อาหารธรรมดาๆกลางป่าบนพื้นดินกลับกลายเป็นมื้อพิเศษของทั้งคู่ไปอย่างน่าอัศจรรย์









“ฌาน... พี่ว่าเราคงต้องรีบกลับออกไปแล้วล่ะ ฝนตกหนักแบบนี้...ฟ้าจะยิ่งมืดเร็ว พวกเราไม่ควรเดินท่อมๆกลางป่ากันตอนกลางคืนหรอกนะ” โป่งเตือนแฝดพี่ที่ยังมุ่งมั่นกับการออกตามหาเพื่อนรักที่กระจัดกระจายหลงหายไปในป่าอย่างไม่ย่อท้อ

“ขออีกสักชั่วโมงจะได้ไหมครับพี่โป่ง ผมว่า...เพื่อนผมน่าจะหลงอยู่ไม่ไกลจากชะง่อนหินแถวๆนี้หรอกครับ” ฌานต่อรองได้ไม่เต็มเสียงนักเมื่อเห็นแสงแดดค่อยๆอ่อนแรงลงเรื่อยๆ

“ตามใจ... แต่อีกแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นนะ” หนุ่มชาวไร่ไม่ยอมอะลุ้มอล่วยตามความต้องการของอีกฝ่ายเพราะไม่อยากให้ทุกคนต้องเสี่ยงตามไปด้วย แฝดพี่จึงจำใจยอมรับข้อเสนออย่างไม่มีทางเลือกมากนัก

“ครับ... ขอบคุณครับพี่”







“ฮื่อออออ พี่หมี... พี่หมีนั่งนิ่งๆก่อนสิครับ ขยุกขยิกแบบนี้เค้าจะเช็ดผมให้ได้ยังไงกันล่ะ?” บ๊วยตัดพ้ออดีตเดือนมหาลัยผู้ไม่ให้ความร่วมมือแต่อย่างใด  

ถ้าจับเวลาตั้งแต่แรกหลบฝนจวบจนถึงตอนนี้ ถือว่ากินเวลาเกือบสิบนาทีเข้าไปแล้ว
เป็นสิบนาทีที่ชายกลางพยายามนั่งงัดข้อกับไทเก็ก ด้วยหวังใช้เสื้อยืดของตัวเองเช็ดตัวให้อีกฝ่ายสบายเนื้อสบายตัว

สาเหตุที่อดีตเดือนมหาลัยเปียกซ่กไปทั้งตัว มาจากความตั้งใจของธันวาเป็นหลัก
หนุ่มรูปงามอาสาทำตัวเป็นร่มให้กับแฟนตัวน้อยด้วยการยกห่อกล้วยขึ้นเหนือหัวเพื่อบังตัวผอมกะหร่องของบ๊วยให้ปลอดภัยจากฝนจนทั้งคู่วิ่งฝ่าสายฝนเข้ามาหลบในถ้ำได้สำเร็จ


“บูบู้ก็กำลังขยับ... เค้าก็เช็ดผมให้บูบู้ไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละ” หนุ่มรูปงามตำหนิร่างผอมที่อยู่ในสภาพเปลือยท่อนบนไม่ผิดกันด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด สองมือก็ยื้อแย่งชายเสื้อยืดตัวโคร่งของบ๊วยอีกด้านเพราะหวังจะเช็ดละอองฝนออกจากผมของชายกลางไปพร้อมๆกัน

“โธ่พี่หมี!  ก็เค้าบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่ารอให้เค้าเช็ดผมให้พี่หมีเสร็จก่อน เดี๋ยวเค้าค่อยเช็ดผมตัวเองทีหลังได้” หนุ่มสถาปัตย์พยายามให้เหตุผลแก่คนวุ่นวายโดยไม่รามือไปจากปอยผมด้านหน้าของหนุ่มรูปงาม

“ไม่เอาอ่ะ... เดี๋ยวบูบู้ก็เป็นหวัดพอดี” เก็กดึงดัน พลางดึงเสื้อในมือบ๊วยหนักมือขึ้นจนเจ้าของเสื้อเกือบจะถลาเข้าไปนั่งตัก

“พี่หมีอย่าดื้อสิครับ! นี่ถ้าพี่หมีนั่งนิ่งๆแค่แป๊บเดียว ป่านนี้เค้าเช็ดผมพี่หมีแห้งไปแล้วนะเนี่ยะ” ชายกลางจำต้องปล่อยมือจากเสื้อข้างหนึ่งเพื่อเท้าไหล่ของอีกฝ่ายเอาไว้ ซึ่งท่าทางทุลักทุเลเก้ๆกังๆของหนุ่มสถาปัตย์ทำให้อดีตเดือนมหาลัยได้โอกาสรวบเอวบ๊วยมานั่งคร่อมเหนือหน้าตักอย่างที่ตั้งใจเสียสิ้นให้เรื่องสิ้นราว

“ทำงี้ดีกว่า... รับรองว่าเราสองคนเช็ดผมพร้อมๆกันได้แน่ๆ” อดีตเดือนมหาลัยกางเสื้อยืดแล้วพาดลงบนหัวตัวเองและอีกฝ่ายในคราวเดียว แล้วจึงจรดหน้าผากแนบหน้าผากของแฟนหนุ่ม ก่อนจะจับมือบ๊วยทั้งสองข้างวางลงเหนือผ้าที่คลุมหัวตน ในขณะเดียวกันก็ลงมือเช็ดผมให้บ๊วยไปด้วย

เสียงเต้นของหัวใจสองดวงดังลั่นกลบเสียงฝน ลมหายใจอุ่นๆที่พ่นรดพวงแก้มกันและกัน
กลิ่นหอมประจำกายของหนุ่มวัยฉกรรจ์ กับสถานการณ์ชวนหวั่นไหวในท่วงท่าล่อแหลม
ทำให้ชายกลางได้แต่กดตามองต่ำพลางจับจ้องปลายทางของหยาดน้ำใสไหลผ่านไรผมอีกฝ่ายที่ทิ้งตัวหยดติ๋งๆลงบนหน้าตักแทนการประสานสายตาในระยะใกล้เกินพอดีอย่างที่เป็นอยู่


“ฮื่อ... อย่ามัวแต่มองสิครับบูบู้ เช็ดผมให้เค้าได้แล้ว... ขืนบูบู้ชักช้า เดี๋ยวเค้าจะเป็นหวัดเอาได้นะครับ” ประโยคเร่งเร้าถูกส่งไปเพื่อกระตุ้นร่างผอมที่นั่งนิ่งราวกับไร้สัญญาณชีพให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง  

“พี่ห...  

แค่พยางค์แรกที่เปล่งผ่านริมฝีปากของชายกลางออกมากระทบโสต เก็กก็กดปากลงประทับกับปากของอีกฝ่ายด้วยความปรารถนา  อดีตเดือนมหาลัยขยับเม้ม ดูดดุนทุกอณูของกลีบเนื้อนุ่มด้วยความรักใคร่ก่อนจะไล้ปลายลิ้นชุ่มไปรอบๆเพื่อทักทายและขออนุญาตอยู่ในที  เมื่อสบจังหวะที่แฟนตัวน้อยเผลอไผลไปกับรสสัมผัสจากชิวหาชื่นฉ่ำ ลิ้นร้อนก็ตวัดล่วงล้ำเข้าชิมความหวานหวามที่รอท่าอยู่ภายในอย่างใจเย็น  

เมื่อปลายลิ้นของทั้งสองกระทบกัน...ความรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งสรรพางค์ก็เข้าเล่นงานพวกเขาทั้งคู่  ธันวาตวัดลิ้นอย่างชำนาญกว้านกวาดกลืนกินรสหวานสุดละมุนละไมเพื่อถมที่ว่างในใจให้ค่อยๆเพิ่มพูน  บางอย่างบอกกับเก็กว่า นี่คือสัมผัสที่ร่างกายของเขาเฝ้าปรารถนามาโดยตลอดนับตั้งแต่ถูกพรของเจ้าพ่อไทรทองเล่นงาน

สองมือหนาเลื่อนลงลูบไล้ผิวกายไร้อาภรณ์ปกปิดด้วยสัมผัสประหนึ่งเจ้าของ... หนึ่งมือประคองแผ่นหลังบางเอาไว้หลวมๆ ส่วนอีกข้างก็ลากแผ่วๆจากลำคอลงสู่หน้าท้องทั้งขึ้นและล่องอยู่อย่างนั้นจนขนอ่อนทั่วร่างหนุ่มสถาปัตย์รายงานตัวโดยพร้อมเพรียง

เก็กผละสัมผัสจากริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่งเพื่อทิ้งปลายจมูกฝังลงบนผิวอ่อนตรงลิ้นปี่ ก่อนจะไล่เม้มจูบไปตามลำคอเปล่าเปลือยของอีกฝ่ายโดยไม่ปล่อยให้เนื้อนุ่มๆส่วนไหนน้อยอกน้อยใจเพราะถูกละเลยจากจุมพิตสัมผัส


ฮั้ดชิ่วววววว!!”  

ถึงอาการจามจะทำให้อดีตเดือนมหาลัยชะงักไปครู่หนึ่ง ทว่า...ตราบใดที่อันตรายจากน้ำเปรี้ยวยังมาไม่ถึง...
หนุ่มรูปงามก็ยังไม่อาจยั้งมือจากร่างอุ่นๆรสหวานๆในอ้อมกอดได้

แต่สุดท้าย...พรของพี่ชายที่ขอไว้กับเทวบุตรสุดชิคก็หาได้ปรานีเขาอย่างที่เข้าใจ
เพราะหลังจากจามจนหัวสั่นหัวคลอนได้ไม่นาน... การรบกวนอันเป็นผลจากพรก็เปลี่ยนมาอยู่ในรูปของกระบังลมหดตัวผิดจังหวะจนร่างกายประท้วงผ่านเสียงสะอึกแทน


“...อื้อ...พี่หมี...ครับ...อ๊ะ!...พอก่อนเถอะ...ครับ...ฮื่อ...” ร่างผอมสะบัดโปงครอบหัวทิ้งพลางดิ้นขลุกขลักออกจากวงแขนแสนเหนียวของธันวาเพราะไม่อยากให้อาการไม่ปกติของอดีตเดือนมหาลัยกำเริบจนเป็นอันตรายกับเจ้าตัวไปเสียก่อน

“...อึ๊ก!!... เค้าไม่เป็น...อึ๊ก!!...ไรครับ...อึ๊ก!!...” เก็กพยายามต่อต้านลมหายใจเรรวนของตัวเองอย่างสุดพลังโดยยังไม่วางมือจากร่างผอมเสียทีเดียว แต่สภาพน่าสังเวชของหนุ่มรูปงามที่หวังจะทำรุ่มร่ามกับตนให้จงได้ทำให้บ๊วยรู้สึกสงสารเก็กขึ้นมาไม่ได้

“พอเถอะครับ พี่หมีฝืนตัวเองมากไปแล้วนะ”

“...อึ๊ก!!... เค้าไหวจริงจริง...อึ๊ก!!...” หนุ่มวิศวะรูปงามฝืนยิ้มทั้งที่สะอึกจนหัวสั่นหัวคลอน ซึ่งก่อนที่อดีตเดือนมหาลัยจะได้โน้มตัวลงนัวเนียชิดใกล้กับชายกลางอีกครั้ง น้ำเสียงจริงจังของบ๊วยก็ออกคำสั่งอย่างเฉียบขาด

“ฮื่อ... ถ้าพี่หมีไม่หยุด เค้าถีบจริงๆนะครับ!!

“...อึ๊ก!!... บบู้ใจ...อึ๊ก!!...ร้าย!!!...อึ๊ก!!...”

จุดๆนี้... เก็กยังมีความวิริยะมากพอที่จะเล่นบทดราม่าเพื่อเรียกน้ำตาและความเห็นใจจากแฟนตัวน้อย
ทั้งที่อีกฝ่ายง้างฝ่าเท้าขึ้นมากลางทางแล้วก็ตาม... อย่างน้อยความพยายามก็อาจจะนำมาซึ่งลูกฟลุคที่นำไปสู่การรุกฆาตได้บ้างล่ะวะ!!


“เค้าไม่ได้ใจร้าย เค้ากลัวพี่หมีจะสะอึกตายไปซะก่อน... ที่สำคัญ...เราต้องคุยกันครับ”  

แม้จะตั้งท่าลุกขึ้นเพื่อยืนห่างๆจากร่างสมส่วนที่ยังนั่งกองอยู่กับพื้น
แต่แขนที่ยื่นมาจับเอวของเขาตรึงเอาไว้กับที่ทำให้ชายกลางทำได้แค่กระถดตัวเลื่อนออกห่างจากแผงอกแกร่งได้แค่คืบกว่าๆเท่านั้น


“...อึ๊ก!!... ก็ได้ครับ...อึ๊ก!!...บูบู้จะคุย...อึ๊ก!!...อะไรเหรอ...อึ๊ก!!...ครับ...อึ๊ก!!...”

“ก่อนจะคุยกัน ลองกลั้นหายใจแล้วกลืนน้ำลายหลายๆหนก่อนจะสูดลมหายใจอีกครั้งดูสิครับ”  ธันวาทำตามอย่างว่าง่ายเนื่องจากเคยใช้วิธีดังกล่าวสยบอาการสะอึกมาก่อน

ซึ่งทันทีที่จังหวะการหายใจกลับเข้าสู่ภาวะปกติ...
เจ้าของเรือนร่างสมส่วนชวนกินก็ใช้คำแนะนำของบ๊วยเมื่อครู่เป็นข้ออ้างในการรังแกชายกลางอีกคำรบ


“สุดยอดไปเลยครับบูบู้!!” เก็กเล่นใหญ่รัชดาลัยเธียร์เตอร์ก่อนจะดันหลังบ๊วยให้กระเถิบเข้าหาตัวอีกครั้ง แต่ร่างผอมกลับจิกปลายเท้าลงพื้นเพื่อขืนตัวเองแล้วตั้งท่าขู่อย่างจริงจังจนอดีตเดือนมหาลัยต้องยอมใจ

“หยุดเลยครับพี่หมี!!

“หยุดทำไมครับ?”

“เค้าว่า... เราสองคนควรจะอยู่ห่างๆกันเอาไว้จะดีกว่านะครับ”

“ทำไมล่ะครับบูบู้? ทำไมเค้าถึงจะกอดบูบู้ไม่ได้ล่ะครับ?”  ไทเก็กถามด้วยน้ำเสียงคร่ำครวญอย่างหมดรูป... ได้เห็น แต่ไม่ได้กอดจูบลูบคลำ... สู้ทำหมันอารมณ์ทางเพศเขามันซะเลยคงจะดีเสียกว่า!!

“ก็เค้าไม่อยากให้พี่หมีทรมานนี่ครับ” คำตอบของบ๊วยมาพร้อมกับสีหน้ายุ่งยากใจ...

ใช่ว่าเขาจะไม่อยากชิดใกล้ หรือแสดงความรักกับอีกฝ่ายอย่างที่คู่รักพึงกระทำ
แต่เพราะรู้สึกกลัวถึงผลลัพธ์ที่เกินจะหยั่ง... ความต้องการอย่างว่าจึงมาทีหลังอาการผิดปกติทั้งหลายของร่างกายธันวาที่อาจเกิดขึ้นได้หลังจากทั้งสองแตะต้องหรือสัมผัสกัน


“ไม่เอาอ่ะ!!...
...เค้าทนกับอาการประหลาดๆพวกนี้ได้ แต่เค้าทนที่จะไม่อยู่ใกล้ๆกับบูบู้ไม่ได้จริงๆนะครับ!!...
.
...ถ้าห้ามไม่ให้เค้าเข้าใกล้บูบู้... เอาปืนมายิงเค้าให้ตายยังจะง่ายซะกว่า!...
...นะครับ... หรือว่าบูบู้อยากให้เค้าเจ็บปวดที่ทำได้แค่มองบูบู้ แต่อยู่ข้างๆไม่ได้?” อดีตเดือนมหาลัยแทบจะคุกเข่าอ้อนวอนคนรักเพื่อขอโอกาสได้นัวเนียเคลียคลอกับอีกฝ่ายได้ทุกเมื่อ...

ประโยคอ้อนวอนขอความเห็นใจของเก็กเกิดจากความหื่นในอัตราส่วนที่มากกว่าหรือเท่ากับความรู้สึกรักที่ถูกลบหายไป...
ที่ธันวาแน่ใจร้อยเปอร์เซนต์ เพราะไอ้ความรู้สึกปั่นป่วนมวนท้องภายในมันใกล้จะกลับมาแล้วน่ะสิ... และคราวนี้ มัน ใหญ่ มาก!!  


หน้าตาเบะเหมือนเด็กโดนเตะตูดกับคำพูดน่าสงสารของหนุ่มรูปงามทำให้ชายกลางละทิ้งความตั้งใจเดิมอีกจนได้
“เฮ่อ! ก็ได้ครับ แต่ถ้าพี่หมีมีอาการผิดปกติรุนแรงแบบเมื่อกี๊เมื่อไร พี่หมีต้องหยุดทันทีเลยนะครับ”

“ได้ครับ!!” สุดหล่อรับปากพร้อมกับพยักหน้าเร็วรัว พลางกระชับร่างผอมให้กระเถิบเข้ามานั่งคร่อมเหนือบั้นเอวของตนราวกับกลัวว่าแฟนของตนจะเปลี่ยนใจไม่ให้ล่วงเกินเอากลางคัน...

ทว่าข้อตกลงที่อดีตเดือนมหาลัยเพิ่งได้ยินผ่านหูไปนั้น
เป็นแค่จุดเริ่มต้นของสนธิสัญญาระหว่างสองหนุ่มที่ชายกลางเพิ่งจะตกผลึกทางความคิดต่างหาก


“เดี๋ยวก่อนครับ... ยังมีอีกข้อนึงที่พี่หมีต้องรับปากเค้า”

“อะไรเหรอครับ? บูบู้บอกเค้ามาได้เลย เค้ายอมได้ทุกอย่าง!!” ...หากธันวาไม่เห่อสังวาสกิริยาจนขาดสติ เขาคงจะระลึกได้ว่า ไม่น่ารับปากอีกฝ่ายไปแบบนั้น... เพราะมันคือบ่อเกิดแห่งความเสียใจในภายหลังอย่างแท้จริง  

“พี่หมีต้องสัญญามาก่อนว่า...
.
...เราสองคนจะไม่มีอะไรกัน จนกว่าพวกเราจะล้างพรของเจ้าพ่อไทรทองได้สำเร็จ” ร่างผอมที่นั่งคร่อมประสานสายตากับหนุ่มรูปงามกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง  ลึกๆแล้ว...บ๊วยแอบหวังในใจว่า อีกฝ่ายจะยอมทำตามข้อตกลงนี้อย่างเคร่งครัดเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของตัวเอง

“เฮ้ยยยยยยยยยย!! ได้ไงอ่ะบูบู้?!” เก็กอุทธรณ์เสียงหลง... ถ้ากรี๊ดได้โดยไม่รู้สึกเสียเชิงชาย เดาว่าอดีตเดือนมหาลัยคงจะทำไปแล้ว

“พี่หมีต้องเข้าใจนะครับ เค้าไม่รู้ว่าผลจากพรของเจ้าพ่อจะทำร้ายพี่หมีได้มากขนาดไหน...
.
...แค่เมื่อกี๊ พี่หมีก็สะอึกตัวโยนจนน่ากลัว แล้วถ้าเกิดเร...


ประโยคอธิบายเมื่อครู่ละลายหายไปเมื่อธันวาป้อนจูบส่งถึงปากของชายกลางโดยไม่รั้งรอให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว ปลายลิ้นตวัดยั่วเย้าเร้าระรัวไปทั่วทุกๆซอกมุมภายในโพรงปากหอมหวนชวนรื่นรมย์ของแฟนตัวน้อย จากที่คิดว่าจะผละห่าง ทว่าฝ่ามือที่ประคองท้ายทอยของบ๊วยไว้มั่นกลับตัดทางหนีทีไล่ไปจนสิ้น ชายกลางจึงเริ่มออกอาการระทดระทวยด้วยปลายลิ้นของอดีตเดือนมหาลัยอย่างไร้ทางสู้


“...อื้อ...พี่หมี!!!...” บ๊วยต่อว่าพลางหอบหายใจหลังจากอีกฝ่ายยอมปล่อยให้ริมฝีปากของเขาได้เป็นอิสระอีกครั้ง  ซึ่งประโยคหลังจากนั้นของธันวา... ก็สามารถอธิบายการกระทำที่ตรงกันข้ามกับข้อตกลงอย่างสิ้นเชิงได้แจ่มแจ้งแดงแจ๋

“ของอย่างนี้เราต้องพิสูจน์ครับบูบู้” เมื่อเห็นว่าแฟนตัวน้อยตั้งท่าจะคัดค้าน ด้านอดีตเดือนมหาลัยจึงใช้ความว่องไวให้คำสัญญาปิดปากอีกฝ่ายเสียสนิทได้อย่างทันท่วงที “เค้าสัญญา... ถ้าเค้ามีอาการผิดปกติ เค้าจะหยุดทันทีเลยครับ” 

ประโยคดังกล่าวเป็นเหมือนเสียงปืนปล่อยตัวนักวิ่งออกจากเส้นอย่างไรอย่างนั้น...

ธันวาคว้าร่างผอมเพรียวติดจะเซียวนิดๆของบ๊วยเข้าแนบตัว แล้วจึงพรมปลายนิ้วไปตามแผ่นหลังรวมทั้งหน้าอกพร้อมๆกับระดมขยี้ปลายจมูกกดจูบไปตามผิวกายอ่อนคล้ายจะตีตราความเป็นเจ้าของอย่างทั่วถึง เสียงกึ่งแหบกึ่งกระเส่าครางอื้ออึงเมื่อฝ่ามือใหญ่เลื่อนขึ้นหยอกล้อกับยอดอกที่ยกตัวนูนเด่นเป็นจุดสนใจหลังร่างกายได้รับการกระตุ้นเพียงไม่นาน

แม้ความหฤหรรษ์ของรสสัมผัสจะครอบครองพื้นที่ของความรู้สึกนึกคิดเอาไว้เกือบทั้งหมด... แต่ธันวากลับอดประหวั่นพรั่นพรึงกับอาการผิดปกติของร่างกายไม่ได้  ชายหนุ่มรูปงามจึงเร่งรัดขั้นตอนเพื่อผูกมัดอีกฝ่ายเอาไว้โดยเร็ว  มือที่เคยวุ่นวายกับแผ่นหลัง...ก็เปลี่ยนมารุกรานอธิปไตยตรงกึ่งกลางร่างกายอีกฝ่ายด้วยความแม่นยำล้ำเลิศเหนือผู้ใดในทันที  

กระนั้น...จังหวะที่ธันวากำลังจะปลดพันธนาการซึ่งกีดขวางกางกั้นสัมผัสเนื้อแนบเนื้อออกจากร่างของบ๊วย  เขากลับรู้สึกเหมือนกับตนเองกลายสภาพเป็นทีวีที่อยู่ในภาวะจอล้ม ก่อนจะปิดตัวลงในอีกไม่กี่วินาทีถัดมาโดยไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้...

พรของเจ้าพ่อไทรทองดูจะกำเริบเสิบสานเล่นงานเขาหนักมือเกินไปเสียแล้ว!
ลาก่อน...ช่วงเวลาวาบหวิวชวนสยิวไปถึงต่อมหมวกไตของเขา!!!




“พี่หมี!!” บ๊วยร้องเรียกร่างหนากว่าที่อยู่ๆก็ดับเครื่องโดยการฟุบหน้าลงกับหัวไหล่ตัวเองไปดื้อๆโดยไม่บอกกล่าว และเมื่อสบโอกาสสัมผัสผิวกายของอดีตเดือนมหาลัยอย่างจริงๆจังๆ  หนุ่มสถาปัตย์ร่างผอมก็เพิ่งจะตระหนักได้ว่า ธันวาตัวร้อนจัด ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้กลับไม่มีวี่แววของอาการไข้เลยสักนิด  

“พี่หมี!!!!” ชายกลางเขย่าเรียกสติของผู้ป่วยกะทันหันด้วยความวิตกสูงสุด ผลของพรที่เก็กเคยพูดให้ฟังดูจะมีอำนาจร้ายแรงเกินกว่าที่เขาทั้งสองเข้าใจ...

เมื่อใจไพล่คิดไปถึงอิทธิฤทธิ์ของเจ้าพ่อไทรทอง...
หนุ่มสถาปัตย์จึงอดตั้งจิตร้องขอความช่วยเหลือจากเทวบุตรอีกองค์ขึ้นมาไม่ได้


 ‘เจ้าพ่อห่อไหล่ครับ... ช่วยพี่หมีด้วยครับ!!’  และดูเหมือนว่าคำอ้อนวอนของเขาจะถูกส่งไปถึงเทพเจ้าปลายทางเป็นที่เรียบร้อย เพราะบ๊วยแทบไม่ต้องเสียเวลารอคอยความหวังเลยสักนิด


 (บ๊วยยยยยยยย!!)


“ช่วยด้วยครับ! ช่วยด้วยยยยยยย!!!!” ร่างผอมตะโกนสุดเสียงเพื่อเรียกให้อีกฝ่ายจับทิศทางของตนและคนรักได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งเสียงตะโกนเรียกชื่อตัวเองที่ดังยิ่งกว่าครั้งแรกก็ทำให้หนุ่มสถาปัตย์ใจชื้น และอาการน้ำตารื้นเกิดขึ้นเมื่อเขาตระหนักได้ว่า เจ้าของเสียงที่ตะโกนฝ่าลมมานั้น... คือเพื่อนรักของตนนั่นเอง


 ( บ๊วยยยยยยยยยยยยยย!!)



“พี่ฌาน!! พี่ฌานช่วยด้วยยยยยยยย!!!!” บ๊วยร้องเรียกเพื่อนรักด้วยความดีใจแม้จะยังไม่เห็นอีกฝ่ายก็ตามที “ผมอยู่ตรงนี้ พี่ฌานนนนนนนนนน! ช่วยด้วยยยยยยยยยยยย!!... .....พี่ฌานนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน!!

“บ๊วย!/ บ๊วย!!!!”  

“พี่ฌาน! พี่โป่ง!!... ช่วยพี่หมีด้วยครับ!!” เมื่อเห็นหน้าเพื่อนรักกับผู้ช่วยส่วนตัวของพ่อเขียว บ๊วยก็คลี่ยิ้มทั้งน้ำตาโดยไม่ละอ้อมกอดไปจากร่างไร้สติเพราะพิษไข้ของธันวาเลยสักวินาที




Ħ------------------------------------ TBC ------------------------------------Ħ



No comments:

Post a Comment