#33
แน่หรือพี่จ๋า บอกว่าจะมาขอหมั้น
ปีนี้ฤกษ์ดีวันจันทร์ น้องนับวันตั้งตารอ
อกหวาม หวั่นไหว หวั่นใจ ผู้ชายรูปหล่อ
อายเพื่อน อายแม่ อายพ่อ ก็กลัวจะรอเก้อ เหมือนสายบัว
จะขอก็รีบขอ - ศิรินทรา นิยากร
…………………………………………………………………………………………………………
“ถึงแล้วครับ” ผมฉีกยิ้มพลางเหล่มองเจ้าตัวเล็กผ่านกระจกส่องหลัง
เด็กหญิงผงกหัวรับหงึกหงักแล้วผุดลุกขึ้นมายืนแนบแก้มข้างเบาะคู่ด้านหน้าอย่างกระฉับกระเฉง
“พวกเราเข้าข้างในกันเลยเนอะ”
“ค่ะ”
คนขับดับเครื่อง ปลดเข็มขัดนิรภัย
เท้าแขนกับพวงมาลัยแล้วเบือนหน้ามาจ้องปลาวาฬที่กำลังยืนยิ้มยิงฟันอยู่ตรงกลางระหว่างเราสองคน
“ไปครับลูก ไปไหว้คุณตา คุณยายกัน”
“โอเคค่ะ”
ฟังแล้วแอบรู้สึกทะแม่ง ๆ ผมเลยเหลือบมองพี่หนาวกับเจ้าวาฬน้อยสลับกันไปมาก่อนจะนึกได้...
เฮ่ย ยังไม่ทันก้าวเข้าบ้าน
พี่หนาวก็สอนให้ลูกสาวหัดนับญาติกับครอบครัวผมแล้วงั้นเรอะ!?!
จากที่ใจเต้นเป็นบ้าเพราะต้องพาผู้ชายเข้าไปฝากตัวกับครอบครัว
พอสองพ่อลูกหัวก้าวหน้าแสดงธาตุแท้ออกมาให้เห็นเท่านั้นแหละ ความประหม่าก็โดนความตกใจเบียดเสียกระเด็น
.
.
.
.
สาบานเลย ตั้งแต่เกิดมาจนอายุจะสามสิบ
ผมไม่เคยเดินเข้าบ้านแล้วเห็นทุก ๆ คนนั่งรวมตัวกันอยู่ตรงโซฟาหน้าทีวีแบบครบองค์ประชุมมาก่อน
ดูเหมือนว่าการมาของสองพ่อลูกจะทำให้ทั้งครอบครัวของผมตื่นเต้นจนวางตัวกันแทบไม่ถูก
แต่จะว่าอะไรได้ล่ะ
ในเมื่อผมเองก็เพิ่งเคยพาแฟนมากราบพ่อกับแม่อย่างเป็นทางการครั้งแรกเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ทางที่ดี ผมจะต้องพยายามหักห้ามใจ ไม่หลุดขำกับภาพครอบครัวสุขสันต์ที่ดูเก้
ๆ กัง ๆ แถมยังโคตรไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย
“พ่อ... แม่” ผมยกมือไหว้พลางฉีกยิ้มแจกจ่ายไปทั่ว...
เอาล่ะนะทุกคน พร้อมยัง?
“อ้อ เอ้อ มากันแล้วเหรอ”
ทันทีที่พูดจบ พ่อ แม่ กับพี่เอิงก็พร้อมใจกันหันมามองผมสลับกับสองพ่อลูกด้านหลังพลางส่งสายตาถามว่า
‘ใช่ไหม ๆ ’ ใส่อย่างเกรี้ยวกราด ผมเลยยิงฟันใส่ก่อนจะพยักหน้าหนึ่งทีพลางกะพริบตาปริบ
ๆ กลับไป ผมไม่รู้หรอกกว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจไหม แต่ไม่เป็นไร เอาเป็นว่าผมแนะนำทีเดียวเลยแล้วกัน
“นี่พี่หนาวกับน้องปลาวาฬครับ”
สุดหล่อของผมก็รู้งานเป็นที่หนึ่ง เพราะเจ้าตัวจูงลูกสาวก้าวออกมายืนผึ่งผายอยู่ข้าง
ๆ พลางยกมือไหว้พ่อแม่ผมอย่างสวยงาม แถมยังโปรยยิ้มหวานโชว์ฟันขาวได้ถูกจังหวะดีเหลือเกิน
“สวัสดีครับ ผมหนาว นี่ลูกสาวผม... ชื่อปลาวาฬครับ”
“สวัสดีครับ เชิญนั่ง ๆ ”
“เชิญนั่งก่อนค่ะ”
แม้จะดูจะแตกตื่นกว่าปกติ
แต่พ่อกับแม่ผมกลับรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าได้ดีกว่าพี่เอิงและไอ้สามมาก
คิดดูสิ จนป่านนี้ พี่กับน้องผมยังนั่งอ้าปากกว้างทำตาค้างไม่เลิก...
เฮ้อ อนาถใจแทนพ่อกับแม่จริง ๆ
ระหว่างที่พ่อผายมือเชื้อเชิญแขกคนพิเศษทั้งสองนั่ง
ผมก็แอบกวาดตามองบุพการีอีกครั้งเพื่อเก็บรายละเอียด (จะได้มีเรื่องแซวกันไปอีกนาน
ๆ ) วันนี้พ่อผมลงทุนใส่เสื้อเชิ้ตผ้าลินินแขนสั้นตัวที่ท่านหวงนักหวงหนา กับกางเกงผ้าสีอ่อนที่เจ้าตัวชอบเก็บเอาไว้ใส่เวลาออกงาน
สาบานจากใจเลยว่าผมไม่อยากจะเม้าท์พ่อ แต่แขนเสื้อกับกางเกงกลีบโง้งคมกริบ กับผมที่ประโคมเจลแล้วหวีปาดจนเป็นรอยซี่หวีขยับทีสะท้อนแสงวิบวับก็ใช่จะมองข้ามได้
ส่วนแฟชั่นของแม่ผมนั้นเรียกได้ว่าจัดจ้านร้อนแรง...
ถ้าให้เดา คุณนายน่าจะตื่นไปทำผมแต่งหน้าที่ร้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง
เพราะต่อให้ชุดผ้าไหมที่มาพร้อมระบายตรงชายกระโปรงกับทองหยองประดับพลอยสารพัดสีจะทำให้แม่กลายเป็นเมียปลัดตอนตัดริบบิ้น
แต่ทั้งหมดนั่นยังนับว่าซอฟท์ใสหากเทียบกับเมคอัพคมชัดทุกอวัยวะระดับเดียวกับการประกวดนางงาม
ไหนจะลอนผมดัดจัดช่อแน่นแบบที่ต่อให้โดนพัดลมเป่าใส่จัง ๆ หน้าม้าก็ยังไม่กระดิกนั่นอีก
เฮ้อ ถ้าจะจัดงานเสื้อผ้าหน้าผมชุดใหญ่ ทำไมพ่อไม่สั่งทำป้ายไวนิลมาแปะหน้ารั้วบ้านเสียเลยล่ะว่าวันนี้จะมีงานต้อนรับลูกเขยคนใหม่
ผมจะได้แต่งตัวไม่ผิดธีมเหมือนไม่ได้อ่านไลน์กลุ่มอยู่คนเดียวแบบนี้
“เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำมาให้นะคะ”
“แม่นั่งเหอะ เดี๋ยวสามไปเอาน้ำให้เอง” ก่อนแม่จะปลีกตัวลุกไปในครัว
ไอ้สามก็โพล่งขึ้นเดี๋ยวนั้น แม่ผมเลยหน้าม้านจนต้องฉีกยิ้มแห้ง ๆ อย่างน่าสงสาร
“อ้อ อืม เอาสิ”
“ทูไปช่วยสามหยิบน้ำหน่อย” แทนที่จะหลบไปทำหน้าที่ลูกที่ดีตามลำพัง
ไอ้สามดันหันมากดตามองต่ำ ทำหน้าถมึงทึงใส่ ผมเลยหันรีหันขวางพลางเหลือบมองไปรอบ ๆ
อย่างงง ๆ
“สามไปคนเดียวไม่ได้เหรอ”
“มาเร็ว!” น้องชายตัวดียืนกอดอกค้ำหัวพ่อกับแม่พลางมองกดดัน
“...เอ่อ...” บอกเลยว่าวินาทีนั้นใจผมพะวงมาก
ไม่อยากปล่อยพี่หนาวกับปลาวาฬไว้ตามลำพังทั้ง ๆ ที่เพิ่งพาทั้งคู่เข้ามาในบ้านได้ไม่ถึงนาที
แต่พอเหลือบไปเห็นลุงไซด์ไลน์ยิ้มพลางพยักหน้าให้ ผมก็จำใจเดินตามหลังน้องชายเข้าไปในครัวอย่างไม่มีทางเลือก
“บ้าไปแล้วเหรอทู นึกไงถึงคบคนนี้วะ” ทันทีที่อยู่กันสองคน
ไอ้สามที่กำลังหยิบของในตู้เย็นก็หันมาส่งเสียงข่มขู่
ข้อดีของชั้นล่างบ้านผม คือ แม้พื้นที่ใช้สอยจะถูกแบ่งแยกและกั้นขอบเขตชัดเจน
แต่โดยรวมแล้วกลับไม่มีส่วนไหนที่กั้นผนัง (เว้นก็แต่ห้องน้ำ) น้องผมเลยพูดเสียงดังไม่ได้
ไม่อย่างนั้นป่านนี้คนทั้งโลกคงรู้กันหมดแล้วว่า ไอ้สามมันเป็นบ้า
“อะไรของสามเนี่ย” ถึงจะยังงุนงงกับประโยคห้วน ๆ
เมื่อครู่ แต่ผมก็ไม่ยืนเฉย ผมเอื้อมเปิดบานตู้เหนือหัวแล้วหยิบแก้วกับจานรองแก้วออกมาอย่างละคู่
ไอ้สามปราดเข้ามาคว้าแก้วหมับแล้วเดินไปคีบน้ำแข็งจากในช่องฟรีซใส่แก้วทั้งสองใบ
ผมเลยเดินเข้าไปรอรับแก้วจากน้องต่ออีกทอดหนึ่ง
“ไม่เห็นเหรอไงว่าเขามีลูกแล้ว”
“ก็แล้วไงล่ะ” ถึงจะเริ่มเดาเจตนาของน้องชายได้เลา
ๆ ผมก็แกล้งทำไก๋อยู่ดี
“ผู้ชายแท้ ๆ ที่ไหนจะชอบผู้ชายด้วยกันวะ” ไอ้สามพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด
“อยากโดนฟันแล้วทิ้งอีกหรือไง”
“จะบ้าหรือไงสาม พูดอะไรออกมารู้ตัวบ้างไหมเนี่ย”
“หรือว่าทูยอมมันไปแล้ว...” คนพูดจิกตามองผมแล้วทำปากยื่นปากยาวชี้หน้าเพราะมือมันไม่ว่าง
“ใช่ไหม หายไปนอนบ้านมันมาตั้งหลายวัน ยอมมันแล้วใช่ไหม”
“ยอมเยิ...”
“โธ่โว้ย
ถึงจะไม่ซิงแล้วแต่ก็ต้องหัดรักนวลสงวนตัวบ้างดิวะ!” ผมยังไม่ทันได้อ้าปากโต้ตอบ น้องชายก็ยัดแก้วหนึ่งใบใส่มือ
จากนั้นมันก็เกาหัวตัวเองยิก ๆ พลางทำท่าจะเป็นจะตายคล้ายพรุ่งนี้เป็นวันสิ้นโลก
“โอ๊ยสาม สามแม่งโคตรมโนเลยรู้ปะ!” ผมถลึงตาใส่น้องเดี๋ยวนั้น ไม่รู้วัน ๆ
ในหัวสมองไอ้สามจะคิดเรื่องดี ๆ เป็นบ้างไหม หรือในสายตามัน ผมจะเป็นพวกชอบทอดกายให้ผู้ชายเชยชม...
กับผีสิ! ทุกวันนี้ ลำพังแค่จะหอมแก้มพี่หนาวก่อน ผมยังไม่กล้าคิดเลย
“นั่นไง เฉไฉ ถามอะไรก็ไม่ตอบ” คู่สนทนาชะโงกออกไปนอกครัวแล้วเชิดหน้าวางท่าใหญ่โต
“ได้ เดี๋ยวสามออกไปถามมันเองก็ได้ว่าได้กันยัง... โอ๊ย!”
ผมตบหัวน้องไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปเทน้ำแดงที่เคาน์เตอร์ครัวใส่แก้วทั้งสอง
จากนั้นจึงวางขวดน้ำเย็นเพิ่มลงในถาดแล้วชี้หน้าไอ้สามทิ้งท้าย “อย่าพูดอะไรบ้า ๆ
ออกมานะสาม ไม่งั้นทูเอาสามตายแน่!”
ทันทีที่ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ดังมาจากโซฟารับแขก
ผมก็เทความรู้สึกหนักอึ้งในใจซึ่งเป็นผลพวงจากบทสนทนาเมื่อครู่ทิ้งไปในพริบตา แถมที่น่าประหลาดใจยิ่งไปกว่านั้นเห็นจะเป็น
แกนนำทำเสียงดังน่าจะเป็นเจ้าวาฬน้อยของผมที่กำลังนั่งอยู่ตรงหว่างขาของพี่เอิง ผมเลิกคิ้วมองพี่หนาวแล้วถามผ่านสายตาว่าเกิดอะไรขึ้น
คุณแฟนก็ยักไหล่แล้วยักคิ้วให้ก่อนจะหันกลับไปจ้องลูกสาวกับพี่ชายผมพลางอมยิ้มชอบใจไม่หยุด
“ทำไมคุณอาถึงชื่อเอิงล่ะคะ
ไม่ได้ชื่อเป็นปลาเหมือนปลาทูเหรอ”
พี่เอิงยิ้มแก้มปริก่อนจะอธิบายด้วยเสียงสองอย่างคล่องแคล่วไม่เคอะเขิน
“อาเอิงชื่อเอิงก็เพราะอาเอิงเกิดคนแรกค่ะ ส่วนอาทูเป็นลูกคนที่สองของคุณตาคุณยาย
เลยชื่อทูไงคะ”
บุญบาป... พี่เอิงพูดคะขา โดนตกแล้วไหมล่ะพี่ผม!
“ทำไมเกิดคนแรกถึงชื่อเอิงล่ะคะ
ปลาวาฬเกิดคนแรกยังชื่อปลาวาฬเลยค่ะ”
ขณะทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาวฝั่งเดียวกับลุงไซด์ไลน์
ผมทอดสายตามองเจ้าตัวเล็กกับพี่ชายไม่วางตา ฝ่ายไอ้สามที่ปักหลักตรงที่เดิมข้าง ๆ
พี่เอิงก็มองพี่หนาวกับผมเหมือนหมากำลังจ้องชิ้นเนื้อ
“ฮ่า ๆๆๆ ” ภาพพี่ชายอ้าปากหัวเราะร่วนช่างดูแปลกตา
พี่เอิงไม่ใช่พวกตายด้าน แต่ก็ไม่ได้หัวเราะพร่ำเพรื่อเป็นคนบ้าแบบไอ้สาม
พี่ผมยิ้มหวานให้ปลาวาฬแล้วพูดเสียงนุ่ม “เอิงเป็นภาษาฝรั่งเศสแปลว่าหนึ่งค่ะ
คุณตาคุณยายมีลูกสามคนเลยตั้งชื่อเรียงกัน หนึ่ง สอง สามแต่คนละภาษาไงคะ”
“อ๋อ” เจ้าวาฬน้อยยิ้มกริ่ม
ดวงตากลมเป็นประกายเจิดจ้าน่ามอง “ถ้าอย่างนั้นอาเอิงก็ต้องเป็นปลาวาฬน่ะสิคะ”
“ทำไมล่ะคะ”
“ก็เพราะปลาวาฬเป็น Number one เลยชื่อปลาวาฬค่ะ”
“เอ เหรอคะ ทำไมอาเอิงฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจเลย”
“เฮ้อ” ผมเกือบหลุดหัวเราะหลังเจ้าตัวเล็กขมวดคิ้วทำเข้มดุพี่เอิงโทษฐานที่ไม่เข้าใจภาษาเทพ...
โธ่ลูกสาว
ขนาดอาทูที่เล่นอยู่กับหนูทุกวันยังไม่รู้เลยครับว่าไอ้ที่หนูพูดน่ะหมายความว่าอะไร
“อาเอิงลองพูดชื่อปลาวาฬเร็ว ๆ สิคะ” เด็กหญิงจับข้อมือพี่ชายผมแล้วกระตุกเบา
ๆ แล้วจึงพยักหน้าคะยั้นคะยอจนพี่เอิงยอมผสมโรงพูดตามแกไปอีกคน “ปลาวาฬ ปลาวาฬ
ปลาวาฬ ปลาวาฬ ปลาวัน ปลาวัน ปลาวัน...”
เมื่อถึงจุดนึง พี่ชายผมก็มองหน้าเจ้าตัวเล็กแล้วฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันเกือบครบทุกซี่
จากนั้นทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ก็หัวเราะใส่กันทันทีที่ได้ข้อสรุป “...ปลา-วัน!”
“เห็นไหมคะ อาเอิงต้องเป็นปลาวาฬเหมือนปลาวาฬจริง
ๆ ”
“ใช่ครับ อาเอิงเป็นปลาวาฬเหมือนปลาวาฬเลย”
“แต่ปลาวาฬเป็นปลาวาฬตัวเล็ก
ส่วนอาเอิงเป็นปลาวาฬตัวใหญ่นะคะ”
“โอเคครับผม!”
พี่เอิงตะเบ๊ะน่ารักจนเจ้าตัวเล็กกลั้นยิ้มอย่างเขิน
ๆ อยู่ชั่วอึดใจ
จากนั้นความสนใจของปลาวาฬก็ย้ายไปหยุดที่น้องชายที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับของผมเป็นรายถัดมา
“แล้วคุณอาล่ะคะ เป็นปลาอะไร” พูดจบ ลูกพี่ก็หนาวเอียงคอจ้องหน้าไอ้สามตาแป๋ว
ดูท่าว่าความน่ารักสดใสของเจ้าวาฬน้อยจะมีอานุภาพเหนือสิ่งใด
เพราะกระทั่งพ่อแม่ผมยังนั่งยิ้มตาเชื่อมราวกับโดนป้ายยา ลองว่าออกอาการชัดเจนแบบนี้
แปลว่าเด็กหญิงทรัพย์สมุทรโปรยเสน่ห์ใส่สมาชิกในบ้านผมสำเร็จไปแล้วกว่าแปดสิบเปอร์เซนต์
พี่หนาวคิดถูกจริง ๆ ที่พาลูกสาวมาด้วย เพราะครอบครัวผมแพ้ทางเด็กเล็ก ๆ ช่างฉอเลาะเหมือนกันเกือบทั้งบ้าน
จะเว้นก็แต่น้องชายติงต๊องของผมที่ยังคงสงวนท่าทีไม่เปลี่ยน...
“คนนี้เป็นน้องอาทูเองครับ ชื่ออาสาม” ผมรีบแทรกขึ้นก่อนจะหันไปจิกตาใส่น้อง
มันจะได้ทำตัวดี ๆ กว่านี้สักหน่อย บอกตรง ๆ ว่าผมยอมไม่ได้หรอกนะ ถ้าไอ้สามจะโพล่งพล่ามอะไรห่าม
ๆ ออกมา เดี๋ยวปลาวาฬจะใจเสียเปล่า ๆ
ทว่าแทนที่น้องผมจะเปิดปากพูด กลับกลายเป็นเจ้าวาฬน้อยที่ออกอาวุธก่อนใครเพื่อน
“นี่ปลาวาฬตัวเล็ก...” คนพูดหันปลายนิ้วชี้เข้าหาตัวเอง จากนั้นจึงชี้ปลายนิ้วไปทางพี่ชายและน้องชายผมตามลำดับ
“นี่ก็ปลาวาฬแต่เป็นปลาวาฬตัวใหญ่ ส่วนนี่ปลาฉลาม เราสามคนเป็นปลากันหมดเลย” ว่าแล้วเด็กหญิงก็ยิ้มร่า
แต่พอเห็นไอ้สามเก๊กหน้า ปลาวาฬก็หุบยิ้มฉับ “ปลาฉลามเป็นอะไรคะ ไม่สบายเหรอ
ทำไมไม่ยิ้มเลย”
“เปล่าค่ะ อาสามแค่เขินปลาวาฬเฉย ๆ เอง” และแล้วพี่ชายผมก็ทนความหน้ามึนของไอ้เด็กบ๊องไม่ไหว
พี่เอิงจ้องหน้าไอ้สามแล้วถามเสียงขุ่น “ใช่ไหมสาม”
“อืม”
พอเห็นสีหน้าจะยิ้มก็ไม่ใช่
จะบึ้งก็ไม่เชิงของน้องชาย ผมก็แอบหัวเราะในใจ... ที่เห็นนั่งเงียบอยู่นานคงเป็นเพราะมันเองก็หลงเสน่ห์ปลาวาฬจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วเหมือนกัน
แต่สงสัยจะกลัวโดนแซะเลยแสร้งทำเข้มกลบเกลื่อนทั้งที่ใจแอบกดไลค์เด็กน้อยรัว ๆ หึ ช่วยไม่ได้ เสือกทำตัวฟอร์มจัดแต่แรกเอง
เป็นไงล่ะ สมน้ำหน้า อดเล่นกับปลาวาฬเลย กิ๊ว ๆ
“อาสามขี้อายมากค่ะ เวลาเจอใคร
อาสามจะนั่งเงียบเลย”
“แต่ปลาวาฬไม่เงียบนะคะ ปลาวาฬชอบคุยค่ะ”
“ดีเลยค่ะ ปลาวาฬอยากลองชวนอาสามคุยดูหน่อยไหมคะ”
พี่เอิงคงดูออกว่าไอ้สามกำลังตกหล่ม ถึงยอมช่วยอุ้มสมให้น้องผมได้แปลงกายเป็นคุณอาปลาฉลามผู้แสนดีในที่สุด
“โอเคค่ะ”
ถึงไอ้สามจะพยายามกลั้นยิ้มให้ตาย แต่สาบานได้เลยว่าเมื่อกี้ผมเห็นมุมปากมันกดลึกจนแก้มเป็นรอยบุ๋ม...
อื้อหือ น้องใครทำไมขี้เก๊กจังวะ
“ถ้างั้นเราออกไปนั่งคุยกันตรงข้าง ๆ บ่อปลาดีไหมคะ
ปล่อยให้คุณพ่อคุยธุระกับกับคุณตาคุณยายแป๊บนึง” พี่เอิงก้มลงจนใบหน้าอยู่ในระดับสายตาเดียวกันกับเด็กหญิง เจ้าตัวยืดแขนแล้วยื่นปลายนิ้วชี้ไปยังสวนหย่อมกับบ่อปลาคาร์ฟหลังบ้านที่เห็นผ่านประตูกระจกบานใหญ่
ถ้าครัวคือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของแม่ สวนหย่อมกับบ่อปลาย่อมถือเป็นความภาคภูมิใจของพ่อกับพี่เอิงไม่ต่าง
หลายปีก่อน พ่อกับพี่ชายผมช่วยกันออกแบบและคุมช่างอย่างใกล้ชิดทั้งที่ไม่มีความรู้ด้านช่างหรือภูมิสถาปัตย์
แน่นอนว่าเมื่อผลสุดท้ายภาพร่างลายเส้นง่าย ๆ กลายมาเป็นสวนสวยตรงหน้า ต่อให้พ่อกับพี่เอิงไม่ขิง
ผมเองนี่แหละที่จะอวดให้คนทั้งโลกรู้เอง
“คุณพ่อขา ปลาวาฬไปนั่งตรงโน้นได้ไหมคะ” ปลาวาฬเอียงคอพลางมองหน้าคุณพ่อรูปหล่ออย่างลุ้น
ๆ ฝ่ายคนตามใจลูกสาวก็ไม่ยอมเสียยี่ห้อง่าย ๆ
“ได้ครับลูก”
“ไปค่ะ ไปนั่งตรงนั้นกันนะคะ”
พี่ผมลุกก่อนคนแรกพร้อมกับจูงมือเจ้าตัวเล็กไปด้วย แต่พอเห็นไอ้สามยังนั่งทื่อ
พี่เอิงก็ปรายหางตามองจิกแล้วเปรยขึ้นเนิบ ๆ “ไปสาม ผู้ใหญ่เขาจะคุยกัน”
พอเห็นไอ้สามเดินคอตกตามออกไปโดยไม่มีปากเสียง ผมก็อดทอดสายตามองตามแผ่นหลังกว้างของพี่ชายด้วยความซาบซึ้งใจไม่ได้
นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าวันนี้พี่เอิงจะช่วยออกหน้าเป็นกองหนุนทัพหน้าช่วยกำจัดเด็กบ๊องไปไกล
ๆ เอาล่ะ ทีนี้ก็เหลือแค่พ่อกับแม่นี่แหละที่ต้องจับเข่าคุยให้รู้เรื่องเสียที
“คุณพ่อ คุณแม่ครับ” คล้อยหลังผู้ก่อกวน
คนข้างตัวผมก็เปิดฉากเจรจาทันควัน
พ่อผมสะดุ้งเบา ๆ คล้ายยังไม่ชินกับสรรพนามที่พี่หนาวเรียก
แต่ยังดีที่ไม่หลุดทำหน้าเหวอออกมา “คะ ครับ”
รอบนี้สีหน้าตลก ๆ ของพ่อทำผมถอนหายใจ...
ให้ตายสิ จนแล้วจนรอด พ่อก็ยังไม่หายประหม่า
ย้อนไปตอนที่ผมคบกับไอ้พี่บูมใหม่ ๆ นอกจากรายนั้นจะไม่เคยลั่นวาจาว่าจะมากราบไหว้ผู้ใหญ่ฝั่งผมแบบที่พี่หนาวทำ
มันยังอาศัยฐานะพี่ที่ทำงานเสนอหน้าตามติดมาขอข้าวกินมั่ง
ขอมานอนค้างด้วยมั่ง หลัง ๆ พอเริ่มคุ้นที่คุ้นทาง บางทีผมก็ลืมตัว ส่วนมันเองก็ไม่ค่อยสำรวม
เผลอเป็นไม่ได้ ชอบทำงุ้งงิ้งง้องแง้งใส่กันเรื่อย คนในบ้านผมเลยเริ่มเดาได้ว่า สถานะความสัมพันธ์ของเราสองคนเป็นแบบไหนได้โดยไม่ต้องถาม
เฮ้อ เพราะไอ้พี่บูมสร้างมาตรฐานเปิดตัวไว้ต่ำตมแท้
ๆ พ่อกับแม่ผมเลยยังรับมือกับการจัดชุดใหญ่ของพี่หนาวไม่ได้เสียที
พ่อ แม่... สู้ ๆ ถือโอกาสตอนนี้ซ้อมมือไว้นะ เวลาไปขอสาวให้พี่เอิงกับไอ้สามจะได้ดูเจนเวทีหน่อย
“ที่วันนี้ผมมาที่นี่
เพราะผมอยากมาฝากเนื้อฝากตัวในฐานะแฟนทูน่ะครับ”
“อ้อครับ ได้ครับ... อุ้ย!” ผมรีบยกมือขึ้นอุดปากเพราะไม่อยากหลุดขำหลังเห็นพ่อสะดุ้งโหยงเพราะโดนแม่หยิก
พ่อหันไปจ้องตากับแม่พักหนึ่งก่อนจะหันกลับมาถามพี่หนาวด้วยสีหน้ากล้ำกลืนเหมือนเพิ่งโดนมัดมือชกมาหมาด
ๆ “พอดีผมไม่มีปัญหานะครับถ้ารัก ถ้าชอบกัน แต่ผมกับภรรยากังวลว่า ถ้าไปอยู่ด้วยกันแบบนี้
แล้วเกิดวันนึงคุณกับทูทะเลาะผิดใจกัน
ลูกผมไม่ต้องระเห็จออกจากบ้านเป็นเจ้าไม่มีศาลหรอกเหรอครับ”
“ไม่ครับ
ผมรับรองกับคุณพ่อได้เลยว่าจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นเด็ดขาด” ลุงไซด์ไลน์เหลือบมองผมอยู่ชั่วอึดใจแล้วว่าต่อ
“ถ้าเรามีปัญหากัน เราจะพูดคุยกันด้วยเหตุผล และถ้าไม่ใช่เจตนาของเจ้าตัว ไม่ว่าผมหรือใครก็ไม่มีสิทธิไล่ทูออกจากบ้านเราได้แน่นอนครับ”
หลังคบหาเป็นแฟน พี่หนาวกับผมทำข้อตกลงร่วมกันหลายข้อ
ถ้าไม่นับเรื่องรักเดียวใจเดียว ซื่อสัตย์ ห้ามโกหกปลิ้นปล้อนที่ผมเป็นฝ่ายขอ เงื่อนไขข้ออื่นก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่พี่หนาวคิดขึ้นทั้งสิ้น
ซึ่งสิ่งที่เจ้าตัวเพิ่งพูดไปเมื่อครู่ ลุงแกเคยให้เหตุผลกับผมว่า เพราะเป็นพ่อคน เขาเลยเข้าใจหัวอกพ่อกับแม่เป็นอย่างดี
การที่เขาพาผมมาอยู่ด้วยกันทั้งที่ไม่มีหลักประกันใด ๆ ที่บ้านผมย่อมจะเป็นห่วงกังวล
ดังนั้นพี่หนาวจึงสัญญากับผมว่า ไม่ว่าระหว่างเราจะเกิดเรื่องหมางใจใด ๆ เขาจะไม่ทำร้ายร่างกายและจิตใจผม
รวมถึงไม่ทำให้ผมตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมหรืออันตรายเป็นอันขาด
ในทางกลับกัน ผมเองก็ต้องควบคุมอารมณ์ ไม่หุนหันพลันแล่นแอบหนีหน้าแล้วพาตัวไปทำอะไรเสี่ยง
ๆ เพื่อประชดกัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว คงไม่ใช่แค่เขาที่เสียใจ ปลาวาฬ รวมถึงครอบครัวผมนี่แหละที่จะต้องโศกเศร้ายิ่งกว่า
“คืออย่างนี้ค่ะ ที่เราอยากจะถามคือ
เราจะแน่ใจได้ยังไงว่าคุณจะรักลูกชายของเราเพียงคนเดียวน่ะค่ะ” วีรกรรมทิ้งท้ายของไอ้พี่บูมคงจะเอาเรื่องอยู่
ไม่อย่างนั้นแม่ผมคงไม่ปาดหน้าเค้กพ่อแล้วออกหน้าซักพี่หนาวอย่างเอาเรื่องเสียเอง
แฟนผมคลี่ยิ้มบางแล้วสบตากับแม่อย่างใจเย็น “เราเพิ่งเจอกันวันนี้เป็นวันแรก
ผมคงทำให้คุณแม่เชื่อไม่ได้ทันทีว่าผมจริงจังกับทูแค่ไหน
แต่ขอโอกาสให้ผมได้พิสูจน์ตัวเองได้ไหมครับ”
ได้ยินแบบนั้น ผมเลยเอื้อมไปจับฝ่ามือลุงแกไว้แล้วบีบเบา
ๆ พอเห็นลักยิ้มตรงมุมปากน่าจูบนั่น ผมก็พลอยยิ้มตามไปอีกคน “ผมบอกไม่ได้หรอกนะครับว่าอนาคตจะเป็นยังไง
แต่ที่ผมรู้วันนี้ ตอนนี้ คือ ผมรักทูจริง ๆ และผมอยากมีเขาอยู่ข้าง ๆ
เพื่อที่เราสองคนจะได้คอยดูแล ประคับประคองกันไปแบบนี้... การได้อยู่กับเขาทุก ๆ
วันคือความสุขของผมกับลูกครับ”
นี่หรือคนรักกัน?
ทำไมจะต้องทำให้หัวใจผมล้มเหลว ความสุขจุกอกถึงแก่ความตายแบบเฉียบพลันด้วย
งื้อ... ลุงบ้า อยู่ดี ๆ ก็มาบอกรักเค้าต่อหน้าพ่อแม่
คนแก่อะไรไวไฟ... ไป! ขึ้นห้องแล้วแก้ผ้าเดี๋ยวนี้เลย
บ้านผมติดซีรีย์เกาหลีเข้าเส้น พอเห็นพระเอกสารภาพรักนายเอกในชีวิตจริงเข้าหน่อย
ก็พลอยหลอมละลายพ่ายแพ้กันทั้งหมด ถ้าไม่เชื่อดูจากพ่อผมเป็นตัวอย่างก็ได้ เพราะตั้งแต่
ฟังพี่หนาวพูดจนจบ พ่อผมก็เอาแต่นั่งยิ้ม แถมยังหันไปทำตาเยิ้มใส่แม่โดยไม่พูดอะไร
แม่เลยต้องลำบากเล่นใหญ่ คีพลุคโหดต่อไปให้สมกับที่ออกตัวแรงในทีแรก “เดี๋ยวแม่ขอตัวไปอุ่นกับข้าวก่อนแล้วกัน”
“ให้ผมช่วยนะครับ”
“หืม?” ผู้ชายบ้านผมทำครัวแม่ล่มจมมานักต่อนัก แม่เลยค่อนข้างแปลกใจหลังได้ยินว่าพี่หนาวเสนอตัวเป็นลูกมือ
ฝ่ายผมเองก็อาศัยจังหวะนั้นรีบสนับสนุนแฟนให้มีโอกาสได้แสดงความสามารถด้านงานบ้านงานเรือน
เผื่อว่าถ้าแม่เห็นว่าพี่หนาวเป็นคอเดียวกัน ท่านจะใจอ่อนยอมยิ้มหวานให้ลุงไซด์ไลน์เสียที
“แม่ให้พี่หนาวไปช่วยเถอะ
พี่หนาวเขาทำกับข้าวเก่งอย่างนี้เลย” ว่าแล้วผมก็ยกนิ้วโป้งทั้งสองข้างขึ้นแล้วฉีกยิ้มกว้างให้กำลังใจคุณแฟนสุดหล่ออย่างเต็มที่...
พี่หนาวอย่าเพิ่งท้อนะครับ แม่ผมแค่กำลังเก๊กอยู่เท่านั้น อีกเดี๋ยวก็หายแล้วล่ะ
“อืม ก็ได้” แม่พยักหน้าแล้วเดินนำพี่หนาวหายเข้าครัวไป
เย่ส!... ลองว่าคุณนายยอมให้ใครเหยียบย่างเข้าสู่ดินแดนต้องห้ามพร้อม
ๆ กัน แปลว่าแม่ยอมรับคน ๆ นั้นแล้ว เท่าที่แอบมองทั้งคู่จากตรงนี้ ผมก็พอเดาได้ว่า
ใจแม่คงอยากจะฉีกยิ้มให้หน้าบาน แต่ดันติดที่เผลอทำเข้มชงหนักเลยอดกระดากใจไม่ได้...
บุญบาป แม่กับไอ้สามนี่เหมือนกันชะมัด
“คุณหนาวเขาดีกับทูใช่ไหม” เสียงของพ่อที่ดังอยู่ใกล้หูบอกผมให้รู้ว่า
เจ้าตัวได้ย้ายทำเลมาปักหลักบนโซฟาตัวเดียวกันกับผมเป็นที่เรียบร้อย
“ดีสิพ่อ เขาดีกับทูที่สุดเลย” แหม...
ผมล่ะไม่อยากจะขิง (ว่าที่) ผัว กลัวพ่อหมั่นไส้จนไม่ยอมให้กลับไปบ้านผู้ชาย
ไม่ใช่อะไรหรอก
“ต่อไปก็พาเขากับหลานมาที่บ้านบ่อย ๆ สิ พ่อชอบ”
“อืม เดี๋ยวทูจะบอกเขาให้นะ” ผมอมยิ้มพลางเหลือบมองหน้าพ่อ
ก่อนจะเลื่อนสายตาลงไปมองเสื้อผ้าหน้าผมเต็มยศของท่านอย่างปลื้มปริ่มระคนซาบซึ้งใจ
ไม่ว่าผมจะรักจะชอบใคร พวกท่านก็พร้อมจะเปิดใจและให้โอกาสเสมอ ไม่อย่างนั้นวันนี้พ่อผมจะแต่งตัวแน่นแบบนี้เหรอ...
ผมรักพ่อกับแม่ที่สุด
พ่อผมกระแอมแล้วชะโงกหน้ามาพูดใกล้ ๆ “บอกเขาด้วยนะว่าอย่าเรียกคุณพ่อกับคุณแม่เลย...
ให้เรียกพี่แต๋มกับพี่อินพอ อายุห่างกันไม่เท่าไร มาเรียกกันแบบนี้ พ่อกับแม่เขินว่ะ”
ผมหัวเราะแล้วเหล่มองล้อคู่สนทนา “แหม...
กลัวแก่เหรอพี่แต๋ม”
“รู้แล้วยังจะล้ออีกนะ” พ่อค้อนควักพลางผลักหัวผมเบา
ๆ ผมแลบลิ้นก่อนจะยกมือขึ้นไว้พ่อปลก ๆ
“ขอโทษคับพี่แต๋ม!”
“ถ้าสำนึกผิดจริงก็ไปเอาน้ำแดงมาให้พี่แต๋มกินแก้วดิ๊
พี่แต๋มกระหายน้ำมาก” ว่าแล้วพ่อผมก็กระพือคอเสื้อพร้อมวางมาดเสียใหญ่โต ผมเลยยกแก้วน้ำของตัวเองส่งให้เดี๋ยวนั้น
“กินของทูก่อนก็ได้ เดี๋ยวถ้าจะกิน ทูค่อยไปเทใหม่”
“อือ ขอบใจ” พอได้ดื่มน้ำหวานจนชื่นใจ พ่อก็ชวนผมคุยกันเรื่องสัพเพเหระโดยที่เราสองพ่อลูกก็ต่างมองภาพเคลื่อนไหวในครัวกับสวนหลังบ้านอย่างมีความสุข
••••••
แม้ธามจะมาถึงร้านดอกไม้ก่อนเวลาตามปกติ
แต่เพราะลูกชายแวะมาขลุกอยู่กับคเชนทร์ตั้งแต่ช่วงสาย ซ้ำร้ายเจ้าตัวยังวิ่งไล่แมวเกือบทั้งวัน
เวลาจึงเพลียจัดและผล็อยหลับไปหลังกินข้าวเย็นได้ไม่นาน พ่อม่ายถอนหายใจพลางคลี่ยิ้มยืนมองเลือดเนื้อเชื้อไขที่นอนคุดคู้อยู่บนเบาะใกล้กับโซฟาอย่างปลง
ๆ จากนั้นจึงหันไปเหลือบมองเจ้าถิ่นที่ยังคงวุ่นวาย หยิบจับข้าวของอยู่ในครัวคล้ายกับไม่รู้ว่ามีเขาอยู่ในร้านด้วยอีกคน
“อะแฮ่ม” ชายหนุ่มกระแอมเพื่อเรียกร้องความสนใจ
แต่แทนที่จะได้ในสิ่งที่ต้องการ เจ้าของร้านดอกไม้กลับชะงักมือจากงานเบ็ดเตล็ดตรงหน้า
ล้างและเช็ดมือกับผ้าเหนืออ่าง ก่อนจะหมุนตัวกลับมาแล้วเดินเลี่ยงไปนั่งทำงานตรงหลังเคาน์เตอร์โดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองผู้มาเยือน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนุ่มผมยาวแสดงท่าทีเพิกเฉยไม่แยแสธาม
อันที่จริง คเชนทร์วางตัวห่างเหินอีกทั้งยังไม่พูดไม่จากับเขามาตั้งแต่เมื่อวานเย็น
ทว่าเจ้าของร้านขนมปังกลับเข้าใจผิดคิดว่า อดีตนางโชว์น่าจะกรำงานจนเหน็ดเหนื่อย หรือไม่ก็พักผ่อนไม่เพียงพอ
เจ้าตัวจึงเงียบงำ ไม่ใคร่จะสนทนากันเหมือนทุกที กว่าจะสำนึกได้ว่าบรรยากาศหนักอึ้งอึมครึม
ณ เวลานี้เป็นผลจากเรื่องเมื่อวาน ก็ต้องรอให้อีกฝ่ายโกรธจนไม่อยากมองหน้ากันเสียก่อนนั่นแหละ
“คุณ...” พ่อม่ายยืนพิงอีกด้านของเคาน์เตอร์พลางจับจ้องหนุ่มผมยาวอย่างเอาเป็นเอาตาย
ทว่าคเชนทร์กลับยังคงก้มหน้าทำบัญชีคล้ายกับไม่ได้ยินที่ธามพูดเมื่อครู่ จากที่ตั้งใจว่าจะแสร้งทำเป็นลืม
ๆ ไม่ฟื้นฝอยหาตะเข็บแล้วปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไป แต่พอโดนเพิกเฉยใส่ ธามก็ทนไม่ไหวเสียเอง
“...ผมขอโทษ”
คเชนทร์ยังคงตวัดปากกาสลับกับเคาะแป้นเครื่องคิดเลขเป็นระยะ
ๆ ก่อนจะหยุดมือครู่หนึ่งพร้อม ๆ กับระบายลมหายใจพรูแล้วทำบัญชีต่อโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสนทนากับอีกฝ่ายแต่โดยดี
“ผมขอโทษคุณเรื่องเมื่อวาน”
จากเดิมที่แค่ทิ้งตัวยืนพิง เวลานี้เจ้าของร้านขนมปังกลับชะโงกกายข้ามสิ่งกีดขวาง
แล้วโน้มหัวลงก้มมองกดดันคู่สนทนาอย่างจดจ่อ น้ำหนักตัวของพ่อม่ายทำให้เคาน์เตอร์ค่อย
ๆ เขยื้อนเคลื่อนที่ แม้ฝ่ายผู้กระทำจะไม่ทันสังเกต
แต่มีหรือที่คเชนทร์จะไม่รู้สึก...
“คุณจะขอโทษผมทำไม
คุณไม่ได้ทำผิดอะไรเสียหน่อย” จริงอยู่ที่น้ำหนักตัว หรือน้ำหนักสายตาไม่อาจสะกิดผิวอารมณ์ราบเรียบให้เกิดวงคลื่นได้
ทว่าน้ำหนักของ ‘คำ’ เมื่อครู่กลับส่งผลกับจิตใจคนฟังยิ่งนัก ไม่อย่างนั้นอดีตนางโชว์คงปล่อยธามให้พล่ามพร่ำต่อไปโดยไม่ยอมกลับลำง่าย
ๆ แบบนี้
“ผมทำคุณโมโห ผมก็ต้องขอโทษสิ”
“ผมไม่ได้โมโหคุณ
ผมโมโหตัวเองที่เผลอตั้งความหวังกับคุณเกินไป ตอนผิดหวังเลยจัดการอารมณ์ได้ไม่ดี” พูดถึงตรงนี้
เจ้าถิ่นก็วางปากกา ยกสองมือขึ้นกอดอก เอนหลังพิงพนักก่อนจะเชิดหน้าขึ้นมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตานิ่งเรียบ
ไม่เผยความรู้สึก “จริง ๆ ต่อให้คุณจะไปหรือไม่ไปงานวันแม่ มันก็เรื่องของคุณ
ผมไม่ควรไปยุ่งด้วยแต่แรก”
“ไม่ได้ คุณต้องยุ่ง!”
“ชู่ว์!” คเชนทร์ถลึงตามองคนที่ตบเคาน์เตอร์พลางขึ้นเสียงใส่ตัวเองเมื่อครู่พลางชำเลืองมองเด็กชายที่หลับอยู่บนพื้นอย่างตระหนก
ฝ่ายพ่อม่ายซึ่งยังคงมุ่งมั่นอธิบายกลับไม่ได้ใส่ใจสีหน้าดังกล่าว
“ถ้าเมื่อวานคุณไม่มาบอก ผมคงคิดเองไม่ได้”
เจ้าของร้านดอกไม้รับรู้ได้ว่า ลึก ๆ
แล้วธามเองคงอัดอั้นกับเรื่องที่เกิดขึ้นเช่นกัน ดังนั้น ต่อให้อยากจะตำหนิอีกฝ่ายที่ทำเสียงดัง
แต่เพราะเข้าใจ หนุ่มผมยาวจึงยอมปล่อยให้พ่อม่ายได้ระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกมาจนหมด
“ผมคิดมาตลอดว่างานวันแม่เป็นงานของพวกผู้หญิง
ตอนนั้นเลยคิดแค่ว่า เดี๋ยวพอม้าไป ทุกอย่างก็น่าจะจบ แต่พอเอาที่คุณพูดมานึกดู
ผมก็รู้ว่ามันสำคัญกับเวลาอย่างที่คุณบอกจริง ๆ ”
“อืม” ยิ่งฟังพร้อม ๆ กับยิ่งมองสีหน้าสำนึกผิดของอีกฝ่ายนาน
ๆ เข้า คเชนทร์ก็ยอมอ่อนข้อให้โดยไม่ทันรู้ตัว “แล้วเมื่อวานเป็นไงบ้าง”
“ผมขอโทษแล้วก็บอกรักเวลาแล้ว” ธามพูดไปก็กลั้นยิ้มไป
แต่พอหัวสมองหวนระลึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อวาน ริมฝีปากของชายหนุ่มก็ดัดขึ้นเป็นเส้นโค้งอยู่ดี
“ลูกกอดผมแล้วก็ร้องไห้”
“ผมดีใจด้วยนะ” อดีตนางโชว์คลี่ยิ้มชวนมอง
แม้จะเป็นเพียงความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ แต่ถ้าธามยังคงยืนหยัด ไม่ละทิ้งความพยายาม ในขณะที่เวลาเองก็ยอมลดทิฐิลงให้
สองพ่อลูกก็น่าจะกลับมาคืนดีกันได้ในอีกไม่ช้า
“ขอบคุณคุณมากนะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ
ผมคงพลาดโอกาสดี ๆ ไป” พูดจบ ผู้มาเยือนก็ไม่อายหุบยิ้มได้อีกต่อไป และก็เป็นรอยยิ้มนั้นเองที่ทำให้คน
ๆ เดียวซึ่งได้ชื่นชมมันใกล้ ๆ หัวใจเต้นผิดจังหวะ
“อืม ไม่เป็นไร” คเชนท์หรุบตามองสมุดบัญชีที่เปิดค้างไว้พลางตวัดปลายนิ้วก้อยเกี่ยวลูกผมขึ้นทัดหู
แปลกจริง ทำไมอยู่ ๆ ก็รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาได้นะ...
ทำไงดี ปล่อยไว้แบบนี้ต้องไม่ดีแน่ ๆ
โชคดีที่เมื่อเบือนหน้าเลื่อนกรอบสายตาหนีไปอีกทาง
เจ้าของร้านดอกไม้ก็พบข้ออ้างที่ช่วยให้ตนหลุดพ้นจากสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนเข้าจนได้
“สองทุ่มแล้ว คุณพาเวลากลับไปนอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้แกต้องตื่นไปโรงเรียนแต่เช้า”
“อืม” เมื่อเหลือบมองหน้าปัดนาฬิกาแขวน
อาคันตุกะก็ส่งเสียงครางในลำคอพลางส่ายหัวสลัดความรู้สึกหงุดหงิดที่ผุดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุทิ้งไป
“รีบไปเถอะ ผมจะทำบัญชีต่อ”
“อืม” ถึงจะยอมผละไปอุ้มบุตรชายแต่โดยดี
แต่ในใจธามกลับไม่สงบนิ่งเหมือนใบหน้า...
แปลกจริง... ทั้งที่จะได้พาเวลากลับไปนอนสบาย
ๆ ที่บ้านแท้ ๆ แต่ทำไมลึก ๆ แล้วเขากลับรู้สึกเซ็ง ๆ คล้ายกับเพิ่งโดนอีกฝ่ายฉกฉวยความสุขไปต่อหน้าต่อตากันนะ
แม้ใจจะยังพะวงครุ่นคิด แต่จังหวะที่กำลังจะก้าวพ้นชายคาร้านดอกไม้
พ่อม่ายกลับชักเท้าแล้วเบี่ยงตัวหันกลับมายิ้มกว้างให้คเชนทร์ อีกทั้งยังมีน้ำใจเอ่ยคำลาทิ้งท้ายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
“พรุ่งนี้เจอกันคุณ”
••• TBC •••
มีใครรู้สึกเหมือนเราไหมคะว่าครอบครัวทูเหมือนตระกูลสัตว์กินพืชจำพวกนกหนูเล็ก
ๆ
ยิ่งเขียนก็ยิ่งชอบความกากของทู...
ชอบลามไปถึงครอบครัวรักสงบของนาง (น่าน้วยเนอะ 555)
ถ้าอ่านแล้วชอบ หรือไม่ชอบอย่างไร
ทิ้งคอมเมนต์ไว้ให้เราอ่านบ้างนะคะ ^^
No comments:
Post a Comment