Monday, January 14, 2019

• รักหลอก ๆ ต้องบอกลุง •||#32|| 14.01.2019


#32

ความคลางแคลงหายไป โลกสดใสคืนมาอีกครา
ฟ้าหลังฝนงามตา ความมืดโรยรามลายหายพลัน
มีแต่ความเข้าใจ อุ่นไอรักไมตรีต่อกัน
ผ่านมานั้น ลืมมัน ลบไป
ใจประสานใจ - ดิอิมพอสซิเบิ้ล

…………………………………………………………………………………………………………


ฝนตกหนักจนเช้านี้กระทั่งแสงแรกก็ยังเป็นสีเทาทึม แม้ความชุ่มฉ่ำจะช่วยให้ไม้กระถางมีชีวิตชีวาน่ามอง แต่ก็เป็นเพราะสายฝนอีกเช่นกันที่ทำให้การจัดเตรียมความพร้อมเนิ่นนานกว่าเคย หลังรับดอกไม้ชุดใหม่รวมถึงเคลียร์บิลกับสายส่งเสร็จสรรพ คเชนทร์ก็รีบอาศัยช่วงเวลาก่อนเปิดทำการออกมาขับไล่เม็ดฝนตกค้างกับแอ่งน้ำตามทางเดินเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาล้มลื่น ขณะกำลังง่วนงมก้มเงย หางตาเขาก็เหลือบไปเห็นย่าของเวลากำลังเดินเข้ามาใกล้ หนุ่มผมยาวจึงละมือจากบานกระจกหน้าร้าน ยกมือไหว้พลางเอ่ยทักทายอีกฝ่ายอย่างตั้งอกตั้งใจ

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีหนู เช็ดหน้าร้านเหนื่อยเลยนะ”

“ก็นิดหน่อยครับ” แม้คำพูดจะคล้อยตาม แต่เจ้าของร้านดอกไม้กลับส่ายหัวน้อย ๆ เห็นดังนั้น หญิงชราจึงคลี่ยิ้มอย่างเอ็นดู “อาม่าไปส่งเวลาที่โรงเรียนมาเหรอครับ”

“ใช่จ้ะ แต่เดี๋ยวเก้าโมงก็ต้องออกไปอีกแล้วล่ะ”

“อ้าว ทำไมล่ะครับ”

“วันนี้ที่โรงเรียนเวลาอีมีงานวันแม่ ฉันเลยว่าจะกลับมาแต่งตัวใหม่เสียหน่อย หลานจะได้ไม่อายเพื่อน” แม้จะเหนื่อยไปสักหน่อย แต่นอกจากจะไม่ต้องนั่งแกร่วรอเวลาอย่างเปล่าดายแล้ว ผลพลอยได้อีกประการของการกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้าน คือ ลูกชายหล่อนจะได้กินก๋วยจั๊บร้อน ๆ จากร้านโปรดใกล้โรงเรียนก่อนเปิดร้านนั่นเอง

เรื่องที่เพิ่งได้ยินทำให้คนฟังฉุกคิดถึงบทสนทนากับเวลาเมื่อคืน...
ขืนปล่อยไปโดยไม่ทำอะไร เขาคงอยู่ไม่สุขไปทั้งวัน

“ผมขอเดินไปส่งที่บ้านนะครับ” ว่าแล้ว คเชนทร์ก็พาดไม้กวาดกับผ้าขี้ริ้วไว้ตรงข้างกรอบประตูแล้วงับบานกระจกปิดพร้อมพลิกแผ่นป้ายหน้าร้านเป็น ปิด ก่อนจะหันมาจ้องตากับผู้อาวุโสด้วยความจริงจังจนยากจะปฏิเสธ

“อ้อ จ้ะ ขอบใจนะ” หญิงชรายิ้มรับโดยไม่ซักไซ้พิรี้พิไร แต่ถึงหล่อนจะล่วงรู้ถึงความตั้งใจลึก ๆ ของชายหนุ่มเข้าจริง ๆ เชื่อเถอะว่าหล่อนจะต้องสนับสนุนคเชนทร์อย่างเต็มที่

เมื่อทั้งคู่ออกเดินไปได้สักพัก อดีตนางโชว์ซึ่งอาสาเดินชิดขอบบาทวิถีก็เปิดบทสนทนาขึ้นอีกครั้ง “ที่โรงเรียนเวลาจัดงานวันแม่ทุกปีเลยเหรอครับ”

“จ้ะ... ปีที่แล้วฉันก็ไปมา” คนพูดถอนหายใจพรูเมื่อภาพเหตุการณ์วันแม่เมื่อปีก่อนผุดขึ้นในหัว “ตอนนั้นเวลารู้แล้วล่ะว่าอาเล็กอีไปสบายแล้ว หลานฉันเลยไม่ร้องไห้ที่เห็นฉันไปนั่งให้เขาไหว้แทนม้าอีน่ะ”

คเชนทร์นิ่งงัน ทั้ง ๆ ที่ตนไม่เกี่ยวอะไรด้วย แต่พอนึกถึงสีหน้าผิดหวังระคนเสียใจของเด็กชาย หัวอกข้างซ้ายก็พลันเจ็บปวด

“ถ้าเวลาอีไม่ย้ายโรงเรียนซะก่อน ฉันตั้งใจว่าฉันจะไปให้อีไหว้จนกว่าฉันจะเดินไม่ไหว อีจะได้ไม่ร้องไห้เพราะต้องยกมือไหว้เก้าอี้เปล่า ๆ ”

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา หญิงชราไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมรำลึกบุญคุณความหลังทำนองนี้มาก่อน ดังนั้นการต้องทนเห็นเด็กนักเรียนบางคนนั่งตาลอย ทำหน้ามึนงงระคนเศร้าสร้อยขณะพนมมืออยู่ตรงหน้าเก้าอี้ซึ่งไม่มีใครนั่งจึงฝังจิตฝังใจหล่อนจนยากจะลบเลือน

“ครับ” แม้จิตใจจะคุกรุ่นสะสมจากเรื่องของเวลาและเรื่องที่เพิ่งได้ยิน แต่คเชนทร์กลับก้มหน้าลงมองพื้นพลางก้าวเดินเงียบ ๆ ไม่ได้ร่วมวิพากษ์วิจารณ์หรือออกความเห็นใด ๆ

“แล้วหนูล่ะจ้ะ ได้เจอแม่บ้างไหม”

“แม่ผมเสียแล้วครับ” เจ้าของร้านดอกไม้ยิ้มบาง

“ฉันขอโทษนะ ฉันไม่น่าถามให้หนูต้องเสียใจเลย”

“ไม่เป็นไรครับ ผมทำใจได้นานแล้ว” คเชนทร์ส่ายหัวยืนยันคำพูด

แรกที่รู้ว่ามารดาตรอมใจตายไปก่อนตนจะกลับบ้านเพียงไม่กี่เดือน คเชนทร์มักจะน้ำตารื้นทุกครั้งที่ใคร ๆ ถามถึงนางชั้น ณ เวลานั้น ชายหนุ่มยังไม่รู้เท่าทันตัวเอง จึงพานเข้าใจไปว่าน้ำตาทุกหยาดหยดกลั่นมาจากความโศกเศร้า ทั้งที่เมื่อตรองดูดี ๆ แล้วก็พบว่า ตัวเขาคับแค้นและละอายใจที่หลงทะนงในศักดิ์ศรีโง่เง่าจนปล่อยให้ทุกอย่างสายเกินแก้มากกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น

“อืม” หญิงชราครางรับก่อนจะก้มหน้าเดิน

“งานวันแม่ที่โรงเรียนของเวลาเริ่มกี่โมงเหรอครับอาม่า” เป็นอีกครั้งที่หนุ่มผมยาวตั้งคำถามอย่างสุภาพ

“เห็นคุณครูเขาบอกให้ไปที่โรงเรียนตอนเก้าโมงครึ่งนะจ๊ะ” คเชนทร์พยักหน้าหงึกหงัก ฝ่ายหญิงชราที่เดินถึงหน้าร้านขนมปังก่อนอีกฝ่ายจึงหันไปทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม “ขอบใจนะจ๊ะหนูที่เดินมาส่ง”

“ครับ” อดีตนางโชว์ฉีกยิ้มพอเป็นพิธีก่อนจะสอดส่ายสายตาแอบเหลือบมองหาชายหน้าหงิกในร้านเป็นระยะ ๆ

“ฉันไปก่อนนะ” ดูเหมือนหญิงชราจะพอเข้าใจท่าทีดังกล่าว จึงไม่เซ้าซี้ หล่อนหมุนตัวเดินหายเข้าด้านในร้านไป ซึ่งทันทีที่อาม่าของเวลาคล้อยหลังลับตา คนที่คเชนทร์อยากเจอตัวเป็นที่สุดก็ทำหน้าตูมเดินดุ่ม ๆ ออกมาคล้ายกับโดนใครบังคับข่มขู่

“จะซื้ออะไรคุณ”

“คุณรู้หรือเปล่าว่าวันนี้ที่โรงเรียนเวลามีงานวันแม่” เจ้าของร้านดอกไม้สวนกลับทันควันโดยไม่แม้แต่จะเกริ่นนำ

พ่อม่ายขมวดคิ้วพลางตวัดสายตากวาดมองใบหน้าชื้นเหงื่อของอาคันตุกะอย่างฉุน ๆ “แล้วยังไง”

เท่าที่ดูจากสีหน้าไม่พอใจของคนเป็นพ่อ เจ้าของร้านดอกไม้ก็พอจะเดาได้แล้วว่า การที่เวลาอมพะนำ ไม่ยอมรับปากตนเรื่องรูปวาดนั่นก็เพราะเจ้าตัวไม่อยากจะเสวนากับบิดาเลยสักนิด

ลองว่าสองพ่อลูกไม่คุยกัน ธามจะต้องไม่รู้แน่ ๆ ว่าวันนี้มีความสำคัญกับพวกเด็ก ๆ แค่ไหน

“ที่โรงเรียนจัดงานวันแม่แปลว่าพวกเด็ก ๆ ก็ต้องไหว้แม่” คเชนทร์ยืนกอดอกพลางจ้องตาอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้  “เวลาเองก็ต้องไหว้แม่เหมือนกัน... คุณไม่เข้าใจหรือไง”

“เข้าใจ”

พอเห็นธามกระตุกมุมปากไส่แล้วยักไหล่ซ้ำ เส้นความอดทนของผู้หวังดีจึงขาดสะบั้นลงเดี๋ยวนั้น “เข้าใจแล้วทำไมยังยืนอยู่ตรงนี้อีก ไปโรงเรียนได้แล้ว!

“ผม?” เจ้าถิ่นแสร้งทำหน้าตกใจก่อนจะคลี่ยิ้มมองเย้ยเยาะทำนองว่า คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า

คเชนทร์หลับตาพลางสูดลมหายใจเข้ายืดยาว จากนั้นจึงลืมตามองหน้าคู่สนทนาอย่างอดกลั้น
เขาจะไม่เต้นเร่า ๆ เพราะตาทึ่มตรงหน้า... ไม่มีวัน

“ใช่ คุณต้องไปงานวันแม่ที่โรงเรียนของเวลาเดี๋ยวนี้ เร็วเข้า”

“แต่ผมต้องเฝ้าร้านนะคุณ”

“วันก่อนผมบอกคุณว่าไง” หนุ่มผมยาวถอนหายใจปลง ๆ หลังอีกฝ่ายยังยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นไม่สะทกสะท้านใด ๆ “ผมบอกให้คุณทำอะไรก็ได้ที่ช่วยให้เวลารู้ว่าคุณรักแกมากใช่ไหม”

“แล้วงานวันแม่มันเกี่ยวอะไรด้วย” ธามเลิกคิ้วมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ เขาพยายามถอดข้อความที่ซ่อนไว้ภายใต้ท่าทีร้อนรนจนดูผิดปกตินั่นอยู่นาน แต่ก็ยังหาจุดเชื่อมโยงของเรื่องทั้งหมดไม่เจอ...

แค่งานวันแม่ที่โรงเรียน ทำไมต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย

“ต่อให้แม่คุณจะไปแทนคุณได้ แต่ใจคอคุณคิดจะรอให้อาม่าไม่อยู่ก่อนหรือไง ถึงจะเริ่มทำหน้าที่ครอบครัวให้เวลาสักที” คนพูดจับจ้องคู่สนทนาด้วยสายตาเข้มข้นจริงจัง “ลูกคุณโตขึ้นทุกวัน แม่คุณก็แก่ลงเรื่อย ๆ ขืนคุณยังผัดผ่อนรอเวลา พรุ่งนี้อาจจะสายเกินไปจนต่อให้คุณนึกเสียดายทีหลัง มันก็ไม่ทันแล้ว”

ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องของตัวเองแท้ ๆ แต่ธามกลับดูไม่เดือดร้อน หนำซ้ำยังไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ โดนเข้าไปแบบนั้น คนนอกอย่างคเชนทร์จึงรู้สึกหมดหวังระคนหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก

“ตามใจ คุณอยากทำอะไรก็แล้วแต่คุณ ยังไงตอนนี้เวลาก็ยังมีอาม่าอยู่ทั้งคน” พูดจบ เจ้าตัวก็หมุนตัวเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมามอง

••••••

ผมอมยิ้มกับกระจกเงาตรงอ่างล้างมือในห้องน้ำเมื่อรู้สึกว่ามือถือในกระเป๋ากางเกงสั่นรัว ๆ สงสัยจะมีคนถ่ายรูปเจ้าวาฬน้อยในงานวันแม่ส่งมาอวดอีกแล้ว ผมฮัมเพลงพลางคิดในใจว่าถ้าล้างมือเสร็จเมื่อไรจะรีบตอบไลน์พี่หนาวให้ว่อง... ฮือ คิดถึงลุง ไม่เจอหน้ากันแค่ไม่กี่ชั่วโมง ทำไมคิดถึงนักก็ไม่รู้

จังหวะที่ผมกำลังพร่ำเพ้อถึงผู้อยู่นั้น ประตูห้องน้ำก็เปิดผางตามด้วยร่างสูงใหญ่ของใครบางคนที่พรวดพราดเข้ามา พอเห็นหน้าอีกฝ่ายเต็มสองตาเท่านั้นแหละ ผมก็ตกใจแทบหงายหลัง

เชี่ยเอ๊ย... ไอ้พี่บูม มาได้ไงวะ

“ฮึ?!” อีกฝ่ายก็น่าจะเหวอพอกันที่เห็นผมยืนหัวโด่อยู่ตรงหน้า แหงล่ะ ทำโปรเจกต์นี้มาจะห้าเดือน แต่กลับเพิ่งเคยเจอกันในห้องน้ำลูกค้าเป็นครั้งแรก ไม่แปลกใจก็บ้าแล้ว

แต่ช่างเถอะ แค่ต้องเห็นหน้าไอ้พี่บูมใกล้ ๆ ผมก็อดนึกถึงเหตุการณ์ระทึกขวัญเมื่อวานซืนไม่ได้ ก่อนจะตกเป็นเหยื่ออีกครั้งอย่างโง่ ๆ ผมก็รีบปิดน้ำ เบี่ยงตัวหันข้างแล้วพุ่งไปยังหน้าประตูทันควัน แต่นอกจากแฟนเก่าจะทำเมินเหมือนผมเป็นอากาศธาตุแล้ว มันยังหลบฉากไปอีกทาง ก่อนจะผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำด้านในคล้ายไม่อยากจะเสวนากัน

ถึงท่าทีของไอ้พี่บูมจะแปลกไป แต่เรื่องอะไรที่ผมจะต้องอยู่รอพิสูจน์ล่ะ

“เฮ้อ” ทันทีที่ก้าวเท้ากลับเข้าด้านในออฟฟิศได้ในสภาพครบสามสิบสอง ผมก็หยุดยืนลูบหน้าลูบตาพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก หัวสมองนึกทบทวนถึงเรื่องน่าประหลาดที่เพิ่งเกิดขึ้นหมาด ๆ อย่างรวดเร็ว...

ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ไอ้พี่บูมน่าจะโดนพี่จี๊ดคาดโทษตาย มันเลยเลิกตอแยผมเป็นการถาวร

เย่ส! ผมกำมือแน่นพลางยิ้มยิงฟังอย่างสะใจ ในที่สุด ผมก็กำจัดเจ้ากรรมนายเวรอย่างมันออกจากสารบบได้เสียที ต่อจากนี้ ชีวิตผมคงจะสงบสุขขึ้นมาก

แรงสั่นอย่างต่อเนื่องในกระเป๋ากางเกงทำผมหลุดจากภวังค์ ผมอมยิ้มพลางล้วงกระเป๋าเอามือถือออกมาไถหน้าจอ ก่อนจะพบว่า เกือบสิบนาทีที่ผ่านมา คนที่ขยันส่งไลน์มาหาผมไม่ได้มีแค่พ่อของปลาวาฬ พี่ป๊อบปี้คืออีกคนที่ถล่มกล่องข้อความเครื่องผมอย่างเกรี้ยวกราดและเด็ดขาดจนผมยังกลัวใจ

กลางวันนี้ทูว่างไหมจ๊ะ
พอดีพี่จะแวะไปทำธุระแถวนั้น
สะดวกแวะมากินข้าวกับพี่หรือเปล่า
เอาอย่างนี้แล้วกัน
เดี๋ยวพี่ส่งโลฯ ร้านที่เราจะกินกลางวันไปให้นะจ๊ะ
เจอกันจ้ะ

ลองว่าเกริ่นมาขนาดนี้ ขืนผมยังกล้าปฏิเสธคำเชิญ (แกมบัญชา) ของพี่ป๊อบปี้ คาดว่าผมคงไม่มีโอกาสได้ถวายตัวให้ผัวเก่าแกเด็ด ๆ และด้วยเหตุนี้เอง ผมเลยกดพิมพ์คำว่า ได้ครับส่งกลับไปโดยไม่ลีลา

••••••

หลังต้องยืนเข้าแถวรอท่ามกลางดงคุณแม่เป็นเวลาร่วมชั่วโมง ความรู้สึกขุ่นเคืองแปลกแยกก็หายวับไปทันทีที่ธามเห็นสีหน้าประหลาดใจของเลือดเนื้อเชื้อไขซึ่งยืนถือพวงมาลัยอยู่ตรงหน้า เวลาเป็นเด็กเพียงคนเดียวที่ยืนนิ่งอยู่นาน จวบจนเมื่อเด็กคนอื่น ๆ ในแถวนั้นพร้อมใจกันนั่งลงกับพื้นสนามฟุตซอลจนครบหมดแล้วนั่นแหละ เจ้าตัวจึงยอมก้าวเข้ามาหาเขาที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวที่เล็ก และอาม่าเคยนั่งเมื่อปีก่อน ๆ

แม้ใบหน้าซึ่งดูละม้ายตนเองในวัยเยาว์จะส่อเค้าขัดเขินระคนประหม่า แต่เมื่อสังเกตเห็นว่าเพื่อน ๆ เริ่มก้มลงกราบเท้าผู้ให้กำเนิดตามที่คุณครูประจำชั้นฝึกให้นักเรียนทั้งชั้นหัดทำตาม กาลกมลก็ค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าบิดา ประนมมือทั้งสองข้างประกบกอบพวงมาลัยไว้ด้านใน อึดใจนั้น เจ้าตัวเล็กแอบเหลือบมองเพื่อนข้าง ๆ อีกครั้งเพื่อทบทวนท่วงท่า จากนั้นจึงค้อมตัวลงอย่างช้า ๆ โดยมีจุดหมายเป็นปลายเท้าพ่อ ทว่าก่อนที่กระหม่อมบาง ๆ ของลูกชายจะจรดลงเหนือสันฝ่ามือที่ประกบกันเป็นรูปดอกบัวตูม ธามก็อุ้มร่างเล็ก ๆ นั่นขึ้นมากอดเต็มรัก

“ป๊าขอโทษ...”

เสียงจอแจรอบข้างไม่ได้ลดทอนความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจความสั้น ๆ เมื่อสักครู่ กลับกัน คำพูดนั้นกระแทกเข้าตรงกลางใจผู้ฟังอย่างรุนแรงเสียด้วยซ้ำ ยิ่งเมื่อมันเป็นครั้งแรกที่พ่อพูดว่า ขอโทษ ให้ฟัง หัวใจดวงน้อย ๆ ก็บีบรัดจนพานให้รู้สึกคัดจมูกและแสบตาไปทั้งหน่วย

“...ต่อไปป๊าจะเป็นทั้งป๊าและม้าให้เวลาเองนะ”

แม้จะยังมึนงงกับสัมผัสชิดใกล้และถ้อยคำที่พรั่งพรู ทว่าเด็กชายกลับสูดน้ำมูกพลางกะพริบเปลือกตาพลางนิ่งฟังสิ่งที่บิดาต้องการจะบอกอย่างตั้งใจ

“ป๊ารักเวลานะลูก”

เวลายังคงไม่ส่งเสียงโต้ตอบเหมือนทุกที แต่ที่สุดแล้ว ลำแขนเล็ก ๆ ก็ตวัดรอบคอ เด็กชายซบหน้าลงบนบ่าพ่อแล้วหลั่งน้ำตาเงียบเชียบ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำพูดของคเชนทร์ตีแสกหน้าเขาอย่างจัง ทว่าเมื่อทบทวนดูดี ๆ พ่อม่ายก็ไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ หนำซ้ำยิ่งเมื่อประจักษ์แจ้งแล้วว่า การอ้างเรื่องสุขภาพของมารดาจนสามารถมางานโรงเรียนแทนหล่อนได้ในนาทีสุดท้ายนั้น คือการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างแท้จริง ธามจึงตั้งปณิธานกับตัวเองว่า เขาจะไม่ละเลยงานวันแม่ รวมถึงทุก ๆ กิจกรรมของบุตรชาย  ต่อให้ทั้งหมดนั้นจะน่าเบื่อ สิ้นเปลืองเวลา หรือค่อนข้างชวนประหม่าสำหรับผู้ชายสักแค่ไหนก็ตาม

••••••

“พี่ป๊อบปี้หวัดดีครับ” ตอนที่ผมเดินเข้าไปในร้าน พี่ป๊อบปี้ก็นั่งรออยู่ที่โต๊ะแล้ว ที่สำคัญ ผมเดาว่าแกน่าจะมาถึงได้สักพักใหญ่ ๆ เพราะมีอาหารเรียกน้ำย่อยจานเล็กจานน้อยวางอยู่เต็มไปหมด

“ดีจ้ะ มานั่งนี่สิ” เมียเก่าพี่หนาวคลี่ยิ้มหวานพลางกวักมือไหว ๆ แล้วตบลงบนเบาะข้างตัว เห็นแบบนั้นผมเลยย้ายจากเก้าอี้ตัวตรงข้ามไปนั่งตรงตำแหน่งที่อีกฝ่ายบอกใบ้ “เป็นไง หาร้านยากไหม”

“ไม่ยากครับ” ผมยิ้มรับอย่างเขิน ๆ ทำงานแถวนี้มาจะครึ่งปีก็เพิ่งจะรู้นี่แหละว่า แถว ๆ ออฟฟิศพี่หนาวมีร้านอาหารไทยบรรยากาศดีแบบนี้อยู่ด้วยเหมือนกัน “มอเตอร์ไซค์วินตรงหน้าออฟฟิศพี่หนาวรู้ทางครับ”

พี่ป๊อบปี้ทำหน้าพอใจแล้วคุยไปกับเด็กเสิร์ฟสั้น ๆ ก่อนจะหันกลับมา “พี่สั่งอาหารให้แล้วนะ อีกสักพักก็น่าจะมาเสิร์ฟ หิวหรือยังจ๊ะ”

“ก็เริ่ม ๆ แล้วครับ”

“งั้นกินออร์เดิฟรอไปพลาง ๆ ก่อนนะ”

“ได้ครับ” ผมผงกหัวขอบคุณพนักงานเสิร์ฟที่เพิ่งวางแก้วน้ำเย็นลงตรงหน้าก่อนจะมองไปรอบ ๆ ร้านอย่างประหม่า

จนแล้วจนรอดผมก็ยังนึกไม่ออกว่าทำไมพี่ป๊อบปี้ถึงเรียกผมมากินข้าวกลางวันด้วย แต่ที่น่าเจ็บใจคือ พอไลน์ไปถามพี่หนาว เจ้าตัวดันตอบมาแค่ว่า ขอให้กินข้าวให้อร่อย... เฮ้อ ลุงนะลุง จะเฉไฉเก่งไปไหน

“เมื่อเช้าหนาวมาคุยกับพี่เรื่องทูแล้วนะ Congratulations นะจ๊ะ” พี่ป๊อบปี้ยิ้มกรุ้มกริ่มไม่พอ แกยังส่งสายตาล้อเลียนผมเสียอีก

“ขอบคุณครับ” ผมทั้งเขินทั้งอายจนเผลอเกาจมูกพลางฉีกยิ้มโง่ ๆ อย่างห้ามตัวเองไม่ได้

แหม จะให้ผมสวนพี่ป๊อบปี้กลับไปว่า ไงล่ะ... สุดท้ายผมก็เคลมแฟนเก่าพี่ได้แล้วนะครับ เก่งไหมงี้เหรอ ใครทำก็บ้าแล้ว

“เห็นหนาวบอกว่าทูคิดมากเรื่องปลาวาฬอยู่ใช่ไหมจ๊ะ”

ได้ยินที่พี่ป๊อบปี้พูดแล้วผมก็หรุบตาลงมองฝ่ามือบนหน้าตักตัวเองอย่างอาย ๆ ต่อให้นึกให้ตาย ผมก็ไม่รู้หรอกว่าพี่หนาวเล่าอะไรให้เมียเก่าฟังบ้าง ครั้นจะโทรไปถามรายละเอียดผมก็ดันป๊อด กลัวว่าถ้าชวนอีกฝ่ายคุยตอนขับรถ ลุงแกอาจจะเสียสมาธิจนโดนองค์ดอม โทเรตโตสิงสู่ เฮ้อ สงสัยต้องสารภาพความจริงกับพี่ป๊อบปี้ไปตรง ๆ เสียล่ะมั้ง...

“ตอนแรก ๆ ก็ใช่ครับ แต่ตอนนี้... ผมว่าผมโอเคขึ้นมากแล้วครับ”

ผมไม่ได้พูดเอาใจคู่สนทนา ตั้งแต่ขนของเข้าบ้านผู้ชายเมื่อเย็นวันอาทิตย์ ผมก็เลิกคิดมากเรื่องเจ้าวาฬน้อยโดยสิ้นเชิง ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะคำยืนยันของพี่หนาว แต่ที่สำคัญคือ ลึกๆ แล้ว ผมเชื่อมั่นว่า ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพ่อของแกทำให้พวกเราทั้งสามคนมีความสุข เด็กที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ดีเยี่ยมแบบปลาวาฬก็น่าจะเข้าใจและยอมรับเราสองคนได้ในที่สุด

พี่ป๊อบปี้ดึงมือข้างหนึ่งของผมไปบีบเบา ๆ “เรื่องปลาวาฬน่ะ ไม่ต้องคิดมากนะจ๊ะ ปลาวาฬรู้แล้วนานแล้วล่ะว่าพ่อเขาชอบทู”

“ฮะ?!” จังหวะที่หลุดปากร้องเสียงหลง ผมก็งัดหน้าขึ้นจ้องแม่ปลาวาฬอย่างเสียจริต...

เมื่อกี้พี่ป๊อบปี้พูดว่าไงนะ ปลาวาฬรู้นานแล้วว่าพี่หนาวชอบผมงั้นเรอะ?!
บุญบาป แม่ลูกคู่นี้ชักจะอยู่เหนือจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารเกินไปแล้วนะ

“ทูรู้ไหมว่าทำไมตอนนั้นพี่ถึงนัดเจอทูที่อควาเรียม”

ผมส่ายหัวดิก ถึงอย่างนั้นก็ไม่วายทายเจตนาของอีกฝ่าย “ไม่ใช่เพราะพี่อยากเจอผมเหรอครับ”

“นั่นก็ด้วยจ้ะ แต่พี่อยากให้ปลาวาฬเจอกับทูมากกว่า” พี่ป๊อบปี้ยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ “พี่อยากรู้ว่าถ้าทูเจอลูกพี่แล้วจะเป็นยังไง ทูจะเข้ากับปลาวาฬได้รึเปล่า แกจะต่อต้านทูไหม”

“...อ่า ครับ...” ผมยิ้มอ่อนเพราะเข้าใจความหมายของประโยคเมื่อครู่เป็นอย่างดี

สาเหตุที่พี่ป๊อบปี้อยากให้ผมเจอปลาวาฬคงเป็นเพราะ ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่หนาวจะเกิดขึ้นหรือไม่ จะอย่างไรความรักครั้งนี้ย่อมไม่มีทางเป็นเรื่องของคนแค่สองคนไปได้ ยิ่งถ้ามีตัวแปรสำคัญอย่างเจ้าวาฬน้อยอยู่อีกทั้งคน จะเร็วจะช้า วงโคจรของผมก็ต้องซ้อนทับกับแกจนได้

แต่พูดก็พูดเถอะ ผมว่าตอนนั้นผมเนียนมากแล้วนะ ทำไมพี่ป๊อบปี้ถึงยังดูออกอีกวะว่าผมจ้องจะเคลมพี่หนาวอยู่เร่า ๆ  
พับผ่าสิ เมียเก่าพี่หนาวนี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ

“อีกอย่าง พี่อยากรู้ด้วยว่าหนาวจะทำยังไงถ้ารู้ว่าทูมาเที่ยวกับปลาวาฬ” คนพูดหยุดจิบน้ำผลไม้ในแก้วพลางยิ้มกริ่ม พอโดนพี่ป๊อบปี้จ้องตาแบบจัง ๆ แก้มผมก็ร้อนยังกับฟายเอ้อในบัดดล “จริง ๆ วันนั้นพี่ไม่ได้ชวนหนาวมาเที่ยวด้วยกันหรอกนะ”

“เหรอครับ” ผมเสมองแก้วน้ำของตัวเองแล้วหยิบขึ้นมาจิบพอเป็นพิธี สาบานเลยว่าไม่ได้หิวน้ำแต่อย่างใด แต่เพราะเขินสายตารู้ทันแบบครอบจักรวาลของแม่ปลาวาฬจนไม่รู้จะสู้หน้าแกยังไงต่างหาก

“ใช่ พอหนาวรู้ว่าทูจะมาเจอพี่เท่านั้นแหละ อยู่ ๆ ก็ตามมาแจมด้วยเฉยเลย” พี่ป๊อบปี้เบ้หน้าอย่างหมั่นไส้พลางเม้าท์ต่อยิ้ม ๆ “ปากแข็งมาก คนนี้เนี่ย”

พอนึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อตอนนั้นแล้วใจผมก็เต้นตุบ ๆ เหมือนกับมีใครเอาค้อนมาทุบข้างในอก
พี่หนาวคนซึนของน้องทู อยู่ ๆ ก็อยากรู้ขึ้นมาเลยว่าปากลุงแกจะแข็งอย่างที่พี่ป๊อบปี้ว่าจริงไหม... งื้อ คนบ้า!

“นั่นแหละจ้ะ คุณคิมหันต์ตัวจริงเสียงจริง”

เมียเก่าพี่หนาวเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วมองหน้าผมนิ่ง ๆ บทสนทนาหยุดลงครู่หนึ่งระหว่างรอให้พนักงานเรียงจานอาหารลงบนโต๊ะ และตักข้าวให้เราสองคน พี่ป๊อบปี้ตักทอดมันกุ้งไข่เค็มชิ้นหนึ่งวางใส่จานผม แกพยักพเยิดให้ผมรีบสังหารเหยื่อก่อนที่มันจะเย็น ผมเลยน้อมรับไมตรีอย่างยินดีเป็นที่สุด

“หลังจากวันนั้นพี่ก็ถามปลาวาฬว่าคิดยังไงถ้าพ่อเขาจะมีแฟน พอรู้ว่าทูจะมาเป็นแฟนพ่อ เขาก็ดีใจกรี๊ดลั่นบ้าน”

“ฮะ?! (แค่ก ๆ )...” ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่พอได้ยินที่อีกฝ่ายพูดเมื่อครู่ ทอดมันกุ้งก็แทบพุ่งออกทางรูจมูกผมเสียให้ได้ จังหวะที่พี่ป๊อบปี้ย้ายมือมาลูบหลังลูบไหล่ด้วยความเป็นห่วง ผมก็รีบดื่มน้ำแล้วเช็ดปากก่อนจะหันไปพยายามฉีกยิ้มให้คุณแม่คนสวยอย่างทุลักทุเลเป็นที่สุด “ไม่เป็นไรแล้วครับ ขอบคุณครับ”

เมียเก่าพี่หนาวอมยิ้มพลางมองหน้าผมอย่างอ่อนใจ “ถ้าให้พี่แนะนำ พี่ก็อยากบอกทูนะจ๊ะว่า แค่ทูเป็นตัวของตัวเอง รักหนาวกับลูกพี่เหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ พี่ว่ามันก็น่าจะโอเคแล้วล่ะ... เชื่อพี่สิว่าปลาวาฬรับได้”

“ครับ ขอบคุณครับ” ถึงจะเริ่มสบายใจ แต่ก็กลับมีอยู่อีกเรื่องหนึ่งที่ยังติดค้างในใจผมมาโดยตลอด “พี่ป๊อบปี้ครับ”

“ว่าไงจ๊ะ” อีกฝ่ายเลิกคิ้วมอง สายตาแกจ้องมาตรงแหน็วจนผมตัดสินใจได้ เอาวะ ไหน ๆ ก็มีโอกาสได้คุยกันตามลำพังแล้ว ขอผมใช้สิทธิให้เต็มที่หน่อยเถอะ

“เมื่อก่อนพี่ป๊อบปี้กับพี่หนาวเคยสัญญาอะไรกันเหรอครับ”

จำได้ว่าครั้งแรกที่ผมเจอพี่ป๊อบปี้ แกเคยหลุดปากพูดถึงสัญญาอะไรสักอย่างที่ทำไว้กับพี่หนาว จริงอยู่ว่าผมตกลงคบหากับลุงไซด์ไลน์มาได้หลายวันแล้ว แต่เพราะพี่หนาวไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลยสักครั้ง แถมผมเองก็ไม่กล้าถามลุงแกไปตรง ๆ พอสบโอกาสได้นั่งคุยกับผู้รู้เห็นเหตุการณ์คราวนั้น ต่อมเผือกผมเลยสั่นระรัวอย่างห้ามไม่อยู่

พี่ป๊อบปี้ลูบหัวผมเบา ๆ ก่อนจะสบตาผมแล้วก็อมยิ้มกรุ้มกริ่มเหมือนทุกที “ตอนอยู่ปีสี่พี่เคยบอกหนาวว่าถ้าอายุสามสิบห้าแล้วพวกเรายังไม่มีใคร เราจะแต่งงานกัน”

“ฮะ?!” พอหลุดปากร้องจนขายขี้หน้าแล้วผมก็นั่งอ้าปากหวออย่างเหวอ ๆ

เฮ้ย ถามจริง... พี่หนาวกับพี่ป๊อบปี้ไม่ได้รักกันเหรอวะ

“ตอนเรียนมหาลัย กลุ่มพี่มีกันสี่คน พี่เป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มชายโสด เวลาเดินกับพวกนั้นทีไร พี่นะเหมือนเจ้าหญิงเลย ฮอตมาก ไปไหนใคร ๆ ก็มอง... เขามองพวกผู้ชายนะ ไม่ได้มองพี่” เล่นตัวเองเสร็จ พี่ป๊อบปี้ก็หัวเราะร่วน

ฟังแล้วอยากจะร้องแหมยาว ๆ แล้วยื่นกระจกให้คู่สนทนาเหลือเกิน
ทรงนี้ไม่ต้องสืบหรอกครับ คนอื่นเขาน่าจะมองพี่มากกว่า สวยฟาดระดับพี่นี่ถ้าไม่เป็นดาวหรือหลีดคณะ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเคยถือป้ายมหาลัย ซึ่งต่อให้พี่ไปเดินเล่นบนดาวอังคาร เชื่อเถอะว่ายังไงก็จะมีคนตามไปส่องพี่อยู่ดี

“สมัยนั้นพี่หัวหกก้นขวิดมาก ใจมันอยากออกไปค้นหาตัวเอง อยากไปพบเจอผู้คนที่ไม่เหมือนกับเรา อยากไปเที่ยวในที่ที่คนอื่นเขาไม่ไปกัน แต่ลึก ๆ พี่ก็รู้ตัวนะว่าต่อให้หนีไปไกลแค่ไหน วันนึงพี่ก็ต้องกลับมาปักหลักที่เมืองไทย” แม่ปลาวาฬถอนหายใจพลางฉีกยิ้ม แต่แปลกที่ผมกลับรู้สึกว่า รอยยิ้มครั้งนี้ของแกดูเศร้าจนประกายวิบวับในแววตาเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด “ยังไงก็ต้องกลับมาทำหน้าที่ลูกที่ดีให้พ่อแม่ภูมิใจอยู่ดี”

ผมไม่ได้พูดอะไร ได้แต่นั่งก้มหน้าก้มตาเคี้ยวข้าวในปากอย่างสงบเสงี่ยมแล้วทำหน้าที่ผู้ฟังที่ดีต่อไปเรื่อย ๆ

“ทูก็รู้ใช่ไหมว่าสิ่งที่พ่อแม่คาดหวังจากเราไม่ได้มีแค่หน้าที่การงาน มีทรัพย์สมบัติหรือบ้านใหญ่โต” พูดมาถึงตรงนี้ ริมฝีปากสีแดงเลือดนกก็เม้มแน่นจนกลายเป็นเพียงเส้นตรงสีแดงขีดบาง ๆ เท่านั้น “พี่ต้องแต่งงาน ต้องมีลูก”

“ครับ” ผมพยักหน้าอย่างเห็นใจ ขนาดตัวผมเคยไปเที่ยวไกลสุดแค่ฮ่องกง พอกลับมาก็ยังลงรูปในไอจีแล้วเขียนแคปชันบ่นบ้าถึงของกินที่นั่นอยู่เป็นเดือน ๆ แล้วคนที่ฝันจะใช้ชีวิตอย่างอิสระอย่างพี่ป็อบปี้ล่ะจะลำบากใจแค่ไหนที่เมื่อถึงจุดนึงก็ต้องละทิ้งทุกอย่างแล้วกลับมาตั้งรกราก แต่งงานเพื่อจะมีทายาทให้พ่อแม่ภูมิใจ

“ตอนนั้นพี่ตั้งใจไว้ว่าถ้าเรียนจบจะไปต่อนอกแล้วเที่ยวจนกว่าพ่อแม่จะทนไม่ไหว พอใจมันรั้นจะทำให้ได้ พี่เลยต้องเตรียมแผนสำรองเอาไว้ เผื่อว่าถ้ากลับมาแล้วต้องแต่งงานเลย พี่จะได้ไม่ต้องคว้าผู้ชายที่ไม่รู้นิสัยใจคอมาเป็นพ่อของลูก...” พูดแล้วแกก็จ้องตาผมนิ่งนาน “...สำหรับพี่ หนาวเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”

“แล้วพี่หนาวยอมเหรอครับ”

ถึงเรื่องสัญญาอะไรนั่นจะฟังคล้ายนิยายไปสักหน่อย แต่พอมันออกมาจากปากพี่ป๊อบปี้ ใจผมก็เชื่อง่าย ๆ เหมือนโดนป้ายยา แต่พอนึกถึงหน้านิ่ง ๆ ไม่รับแขกของพี่หนาวขึ้นมา ใจผมกลับแหกปากค้านสุดเสียงเลยว่าคนอย่างเขาไม่น่าจะเอาด้วยเลยสักนิด

“เรียกว่าพี่พนันถูกข้างดีกว่า” พี่ป๊อบปี้ยิ้มกริ่มเหมือนกำลังสนุก “กลุ่มพี่ตอนนั้นมีเซ็น หนาว แล้วก็ธรณ์... เซ็นนี่ทูคงรู้จักดีใช่ไหมว่ารายนั้นเป็นยังไง”

“ครับ” ทันทีที่นึกถึงสายตาเจ้าชู้ของคาสโนว่าตัวพ่ออย่างคุณพันเลิศ ผมก็หัวเราะลั่น แต่อีกใจผมก็อดห่วงคุณอาทิมา หัวหน้าสุดแกร่งของตัวเองไม่ได้ เจ้าประคู้ณ ขอให้พี่จี๊ดเอาคุณเซ็นอยู่หมัดทีเท้อะ

“พอเหลือชอยส์แค่สองคน พี่ก็แค่ต้องเลือกคนที่มีแนวโน้มว่าชาตินี้ไม่น่าจะมีแฟนแน่ ๆ ยังไงล่ะ”

“ฮะ?!”... ง่าย ๆ แค่นี้น่ะเหรอ

“ทูจะโกรธพี่ก็ได้นะ” คู่สนทนาหยุดหัวเราะแล้วกรีดนิ้วแตะซับน้ำตาเบา ๆ ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาป้องปากพูดใกล้ ๆ หูผม “แต่ถ้าพี่ไม่กลับมา ป่านนี้หนาวคงเป็นเจ้าอาวาสไปแล้วมั้ง”

“จริงเหรอครับ” ผมยกมือขึ้นทาบอกพลางจ้องหน้าพี่ป๊อบปี้ตาแทบถลน เหยด ทำไมยิ่งคุย เรื่องที่พี่ป๊อบปี้เล่าถึงได้พีคสุดติ่งขึ้นเรื่อย ๆ แบบนี้วะ

“จริง ๆ เรื่องบวชพี่ก็แค่แซวกันเล่น ๆ เอาขำเท่านั้นแหละ” ว่าแล้วแกก็แลบลิ้นก่อนจะหัวเราะเสียงใส คู่สนทนาดูจะระรื่นชื่นบานเมื่อเห็นผมเหวอจนเสียอาการต่อหน้าต่อตา “แต่จะว่าไป เมื่อก่อนเซ็นชอบพูดอยู่บ่อย ๆ นะว่า หนาวน่ะเป็นพวกหล่อเสียของ เหมือนเกิดมาเพื่อเรียน ทำงาน แล้วก็ตายไปเท่านั้น”

กิตติศัพท์ของพี่หนาวทำผมหัวเราะจนปวดท้อง แต่พอตั้งสติได้ ผมก็วกเข้าเรื่องสำคัญทันที “ที่พี่ป๊อบปี้อยู่กับพี่หนาวก็เพราะคำสัญญาเท่านั้นเองเหรอครับ”

คู่สนทนาสบสายตาผมอย่างรู้ทัน แกถอนหายใจเบา ๆ พลางเล่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ตอนแรกก็แค่นั้นแหละจ้ะ แต่คนที่มันอยู่ด้วยกันทุกวัน จะห้ามไม่ให้รู้สึกดี ๆ ต่อกันเลยก็คงไม่ได้”

พูด ๆ อยู่ พี่ป๊อบปี้ก็ตักกับข้าวใส่จานให้ผมอีก สรุปว่าผมเป็นคน ๆ เดียวที่กินทุกอย่างที่วางอยู่ตรงหน้า ในขณะที่เมียเก่าพี่หนาวเอาแต่จิบน้ำผลไม้ในแก้วเป็นระยะ ๆ เท่านั้น แต่พอนึกขึ้นได้ว่า อีกเดี๋ยวก็ต้องกลับไปทำงานงก ๆ ผมเลยค้อมหัวแล้วยื่นจานไปใกล้ ๆ เพื่อรับน้ำใจจากอีกฝ่ายโดยไม่เล่นตัว “ขอบคุณครับ”

“สมัยเรียนพี่รักหนาวแบบเพื่อน พอแต่งงานกันก็ค่อย ๆ หัดรักอย่างคู่ชีวิต แต่หลังจากเลิกกันพี่ก็รักและนับถือเขาเหมือนเพื่อน เหมือนครอบครัวจนกว่าเราจะตายจากกันนั่นแหละจ้ะ” พี่ป๊อบปี้ทอดสายตามองเหม่อไปไกล “พี่ว่าพี่โชคดีนะที่รู้จักหนาว เพราะน้อยนะที่ผู้ชายไทยจะใจกว้างขนาดยอมเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้เมียเก่าตัวเองทั้งที่เพิ่งเลิกกันได้ไม่ถึงปี”

โอ้โห สุดยอดข้อมูลเชิงลึกที่เมียบ่าวอย่างผมคงไม่มีปัญญาง้างปากท่าน HR Director ให้เล่าออกมาได้เด็ด ๆ

“ผมถามได้ไหมครับว่าทำไมพวกพี่ถึงเลิกกัน”

“จริง ๆ พี่ไม่ได้แต่งงานกับหนาวตอนพี่อายุสามสิบห้าหรอกนะ พี่ยื้อจนสามสิบหกก่อนนั่นแหละ ถึงได้ยอมกลับไทย”

“หืม?” ผมเลิกคิ้วพลางมองหน้าอีกฝ่ายอย่างแปลกใจเพราะหลงคิดว่าเจ้าตัวจะยึดถือคำมั่นเรื่องแต่งงานอย่างเหนียวแน่นซะอีก (กว่าผมจะรู้ว่าพี่ป๊อบปี้รักษาสัญญาเป็นอย่างดีเพราะแกแก่กว่าพี่หนาวปีนึง ก็ตอนที่แฟนผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟังอีกรอบในอีกหลายเดือนต่อมานั่นแหละ)

“หลังแต่งงาน พี่อยากมีลูกทันที แต่ทำยังไงลูกก็ไม่มาทั้ง ๆ ที่ร่างกายพี่กับหนาวไม่มีปัญหา สุดท้ายพี่เลยตัดสินใจพึ่งหมอเพราะรอไม่ไหว” พี่ป๊อบปี้แกว่งหลอดดูดน้ำในแก้วพลางทอดถอนใจ “พี่ต้องอดทนอีกตั้งสองปีแน่ะทู กว่าปลาวาฬจะยอมมาเกิด”

วินาทีนี้ ต่อให้ปากจะเคี้ยวตุ้ย ๆ หรือสมองจะจินตนาการภาพตามไปถึงไหน ๆ แต่สาบานได้เลยว่าหูผมนี่ผึ่งกว้างยิ่งกว่าจานรับสัญญาณดาวเทียม แถมยังตั้งใจจดจำทุก ๆ ถ้อยคำของอีกฝ่ายยิ่งกว่าตอนฟัง requirements ของยูสเซอร์เสียอีก

“ถึงปลาวาฬจะทำให้พี่มีความสุข แต่สองปีที่ต้องรอลูกกับอีกสี่ปีกว่าที่พี่ต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อมาเลี้ยงปลาวาฬเองมันแย่มาก พี่แอบร้องไห้เกือบทุกวัน พอลูกหลับทีไรพี่ก็ถามตัวเองตลอดว่านี่คือชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ของพี่จริง ๆ น่ะเหรอ พี่จะห่อเหี่ยวตายก่อนได้เห็นลูกเรียนจบหรือเปล่า”

เห็นพี่ป๊อบปี้กะพริบตาถี่ ๆ คล้ายกำลังไล่น้ำตาผมเลยหันซ้ายหันขวามองหากระดาษทิชชูให้จ้าละหวั่น แต่พอแกแตะแขนผมเบา ๆ พร้อมส่ายหัวแล้วยิ้มให้ ผมก็นั่งนิ่งแล้วตั้งใจฟังต่อ

“สุดท้ายพี่ก็ฝืนเล่นพ่อแม่ลูกต่อไม่ไหว พี่เลยขอหนาวหย่าก่อนที่พี่จะเกลียดหนาวกับลูกเข้าจริง ๆ ”

ที่แท้เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้นี่เอง...
ถ้าพี่ป๊อบปี้ไม่เล่าให้ฟัง ผมคงไม่มีทางรู้แน่ ๆ ว่า กว่าครอบครัวพี่หนาวจะปรองดองสุขสันต์แบบที่เห็นกันทุกวันนี้ ลุงแกต้องผ่านเรื่องดราม่ามาหนักขนาดไหน คิด ๆ แล้วก็อยากจะหายตัวแว้บไปกอดปลอบพี่หนาวแน่น ๆ สักสามสี่ที

“ทูมีคำถามอะไรอีกไหมจ๊ะ”

“ไม่มีแล้วครับ”

ถึงพี่ป๊อบปี้จะยังคงยิ้มหวานไม่เปลี่ยน แต่ถ้าเป็นผม ให้ตายผมก็ไม่อยากขิงด้านดาร์ก ๆ ของตัวเองให้ใครฟังเท่าไร
แต่พูดก็พูดเถอะ... ทำไมอีกฝ่ายถึงกล้าเล่าเรื่องพวกนี้ให้ผมฟังวะ?

“ทู”

“ครับ?” ผมปัดคำถามทั้งหลายไปจากใจแล้วเงยหน้าขึ้นมองพี่ป๊อบปี้อย่างงง ๆ

“หนาวไม่เคยสนใจใครก่อนก็จริง แต่ถ้าเจ้าตัวเกิดติดใจใครขึ้นมา และยิ่งถ้าใครคนนั้นรักปลาวาฬมาก ๆ หนาวจะควักหัวใจแล้ววางลงในฝ่ามือของคน ๆ นั้นทันทีเลยนะ”

แย่ นี่มันแย่มาก ๆ ...
ต่อให้ไม่เคยได้ยินพี่หนาวบอกรักให้ฟัง แต่ประโยคเมื่อครู่กลับทำให้ใจผมเต้นแรงจนแทบเก็บอาการไม่อยู่ ใครก็ได้ช่วยน้องทูด้วย น้องทูเขินฉิบหายเลยครับ

“คะ... ครับ”

“พี่ฝากหนาวด้วยนะทู” คุณแม่คนสวยคว้ามือผมไปจับ ผมเลยบีบมือแกกลับพลางยืนยันความตั้งใจในฐานะสมาชิกใหม่ในครอบครัวใหญ่ของพี่หนาว

“ผมก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”

“เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วน้า”

“ครับ” ผมยกมือขึ้นแสร้งดันกรอบแว่นหลังโดนอีกฝ่ายยิ้มล้อ

“คุยกันมาตั้งนาน ทูยังไม่เลิกเขินพี่อีกเหรอ” เพราะไม่อยากจะยอมรับออกไปตรง ๆ ผมเลยเม้มปากพลางส่ายหัวดิก เห็นแบบนั้น อีกฝ่ายจึงลูบแก้มผมเบา ๆ แล้วย่นจมูกเหมือนมันเขี้ยวกันเต็มที่ “ทูนี่น้า... น่ารักเหมือนที่หนาวบอกจริง ๆ ด้วย”

“กินข้าวกันเถอะครับ กับข้าวเย็นหมดแล้ว”

“ก็ได้จ้ะ” ฟังคำแถของผมแล้วพี่ป๊อบปี้ก็หัวเราะเบา ๆ พลางหยิบช้อนกับส้อมขึ้นแล้วตั้งกวาดตามองอาหารตรงหน้าอย่างตื่นตาตื่นใจ เห็นแบบนั้นผมจึงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก... เฮ้อ ในที่สุดมื้ออาหารกลางวันสุดพิเศษก็เริ่มต้นขึ้นเสียที


••• TBC ••


ช่วงนี้อากาศในกรุงเทพและหลาย ๆ จังหวะแย่จริง ๆ
ถ้าใครต้องออกไปข้างนอก โดยเฉพาะในพื้นที่อันตราย
อย่าลืมใส่หน้ากาก N95 ที่ช่วยกรองฝุ่น PM 2.5 กันด้วยนะคะ

อ่านแล้วชอบ หรือไม่ชอบยังไง อย่าลืมติดแท็ก
#คันหิม #ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก นะคะ เราจะไปแอบส่อง อิอิ
ตอนหน้าไปตามพี่หนาวไปบ้านทูกันค่ะ ^^



No comments:

Post a Comment