#32
ความคลางแคลงหายไป โลกสดใสคืนมาอีกครา
ฟ้าหลังฝนงามตา ความมืดโรยรามลายหายพลัน
มีแต่ความเข้าใจ อุ่นไอรักไมตรีต่อกัน
ผ่านมานั้น ลืมมัน ลบไป
ใจประสานใจ - ดิอิมพอสซิเบิ้ล
…………………………………………………………………………………………………………
ฝนตกหนักจนเช้านี้กระทั่งแสงแรกก็ยังเป็นสีเทาทึม
แม้ความชุ่มฉ่ำจะช่วยให้ไม้กระถางมีชีวิตชีวาน่ามอง แต่ก็เป็นเพราะสายฝนอีกเช่นกันที่ทำให้การจัดเตรียมความพร้อมเนิ่นนานกว่าเคย
หลังรับดอกไม้ชุดใหม่รวมถึงเคลียร์บิลกับสายส่งเสร็จสรรพ คเชนทร์ก็รีบอาศัยช่วงเวลาก่อนเปิดทำการออกมาขับไล่เม็ดฝนตกค้างกับแอ่งน้ำตามทางเดินเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาล้มลื่น
ขณะกำลังง่วนงมก้มเงย หางตาเขาก็เหลือบไปเห็นย่าของเวลากำลังเดินเข้ามาใกล้ หนุ่มผมยาวจึงละมือจากบานกระจกหน้าร้าน
ยกมือไหว้พลางเอ่ยทักทายอีกฝ่ายอย่างตั้งอกตั้งใจ
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีหนู เช็ดหน้าร้านเหนื่อยเลยนะ”
“ก็นิดหน่อยครับ” แม้คำพูดจะคล้อยตาม แต่เจ้าของร้านดอกไม้กลับส่ายหัวน้อย
ๆ เห็นดังนั้น หญิงชราจึงคลี่ยิ้มอย่างเอ็นดู “อาม่าไปส่งเวลาที่โรงเรียนมาเหรอครับ”
“ใช่จ้ะ แต่เดี๋ยวเก้าโมงก็ต้องออกไปอีกแล้วล่ะ”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ”
“วันนี้ที่โรงเรียนเวลาอีมีงานวันแม่
ฉันเลยว่าจะกลับมาแต่งตัวใหม่เสียหน่อย หลานจะได้ไม่อายเพื่อน” แม้จะเหนื่อยไปสักหน่อย
แต่นอกจากจะไม่ต้องนั่งแกร่วรอเวลาอย่างเปล่าดายแล้ว ผลพลอยได้อีกประการของการกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้าน
คือ ลูกชายหล่อนจะได้กินก๋วยจั๊บร้อน ๆ จากร้านโปรดใกล้โรงเรียนก่อนเปิดร้านนั่นเอง
เรื่องที่เพิ่งได้ยินทำให้คนฟังฉุกคิดถึงบทสนทนากับเวลาเมื่อคืน...
ขืนปล่อยไปโดยไม่ทำอะไร เขาคงอยู่ไม่สุขไปทั้งวัน
“ผมขอเดินไปส่งที่บ้านนะครับ” ว่าแล้ว คเชนทร์ก็พาดไม้กวาดกับผ้าขี้ริ้วไว้ตรงข้างกรอบประตูแล้วงับบานกระจกปิดพร้อมพลิกแผ่นป้ายหน้าร้านเป็น
‘ปิด’ ก่อนจะหันมาจ้องตากับผู้อาวุโสด้วยความจริงจังจนยากจะปฏิเสธ
“อ้อ จ้ะ ขอบใจนะ” หญิงชรายิ้มรับโดยไม่ซักไซ้พิรี้พิไร
แต่ถึงหล่อนจะล่วงรู้ถึงความตั้งใจลึก ๆ ของชายหนุ่มเข้าจริง ๆ เชื่อเถอะว่าหล่อนจะต้องสนับสนุนคเชนทร์อย่างเต็มที่
เมื่อทั้งคู่ออกเดินไปได้สักพัก อดีตนางโชว์ซึ่งอาสาเดินชิดขอบบาทวิถีก็เปิดบทสนทนาขึ้นอีกครั้ง
“ที่โรงเรียนเวลาจัดงานวันแม่ทุกปีเลยเหรอครับ”
“จ้ะ... ปีที่แล้วฉันก็ไปมา” คนพูดถอนหายใจพรูเมื่อภาพเหตุการณ์วันแม่เมื่อปีก่อนผุดขึ้นในหัว
“ตอนนั้นเวลารู้แล้วล่ะว่าอาเล็กอีไปสบายแล้ว หลานฉันเลยไม่ร้องไห้ที่เห็นฉันไปนั่งให้เขาไหว้แทนม้าอีน่ะ”
คเชนทร์นิ่งงัน ทั้ง ๆ ที่ตนไม่เกี่ยวอะไรด้วย แต่พอนึกถึงสีหน้าผิดหวังระคนเสียใจของเด็กชาย
หัวอกข้างซ้ายก็พลันเจ็บปวด
“ถ้าเวลาอีไม่ย้ายโรงเรียนซะก่อน
ฉันตั้งใจว่าฉันจะไปให้อีไหว้จนกว่าฉันจะเดินไม่ไหว อีจะได้ไม่ร้องไห้เพราะต้องยกมือไหว้เก้าอี้เปล่า
ๆ ”
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา หญิงชราไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมรำลึกบุญคุณความหลังทำนองนี้มาก่อน
ดังนั้นการต้องทนเห็นเด็กนักเรียนบางคนนั่งตาลอย ทำหน้ามึนงงระคนเศร้าสร้อยขณะพนมมืออยู่ตรงหน้าเก้าอี้ซึ่งไม่มีใครนั่งจึงฝังจิตฝังใจหล่อนจนยากจะลบเลือน
“ครับ” แม้จิตใจจะคุกรุ่นสะสมจากเรื่องของเวลาและเรื่องที่เพิ่งได้ยิน
แต่คเชนทร์กลับก้มหน้าลงมองพื้นพลางก้าวเดินเงียบ ๆ ไม่ได้ร่วมวิพากษ์วิจารณ์หรือออกความเห็นใด
ๆ
“แล้วหนูล่ะจ้ะ ได้เจอแม่บ้างไหม”
“แม่ผมเสียแล้วครับ” เจ้าของร้านดอกไม้ยิ้มบาง
“ฉันขอโทษนะ ฉันไม่น่าถามให้หนูต้องเสียใจเลย”
“ไม่เป็นไรครับ ผมทำใจได้นานแล้ว”
คเชนทร์ส่ายหัวยืนยันคำพูด
แรกที่รู้ว่ามารดาตรอมใจตายไปก่อนตนจะกลับบ้านเพียงไม่กี่เดือน
คเชนทร์มักจะน้ำตารื้นทุกครั้งที่ใคร ๆ ถามถึงนางชั้น ณ เวลานั้น ชายหนุ่มยังไม่รู้เท่าทันตัวเอง
จึงพานเข้าใจไปว่าน้ำตาทุกหยาดหยดกลั่นมาจากความโศกเศร้า ทั้งที่เมื่อตรองดูดี ๆ แล้วก็พบว่า
ตัวเขาคับแค้นและละอายใจที่หลงทะนงในศักดิ์ศรีโง่เง่าจนปล่อยให้ทุกอย่างสายเกินแก้มากกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น
“อืม” หญิงชราครางรับก่อนจะก้มหน้าเดิน
“งานวันแม่ที่โรงเรียนของเวลาเริ่มกี่โมงเหรอครับอาม่า”
เป็นอีกครั้งที่หนุ่มผมยาวตั้งคำถามอย่างสุภาพ
“เห็นคุณครูเขาบอกให้ไปที่โรงเรียนตอนเก้าโมงครึ่งนะจ๊ะ”
คเชนทร์พยักหน้าหงึกหงัก ฝ่ายหญิงชราที่เดินถึงหน้าร้านขนมปังก่อนอีกฝ่ายจึงหันไปทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม
“ขอบใจนะจ๊ะหนูที่เดินมาส่ง”
“ครับ” อดีตนางโชว์ฉีกยิ้มพอเป็นพิธีก่อนจะสอดส่ายสายตาแอบเหลือบมองหาชายหน้าหงิกในร้านเป็นระยะ
ๆ
“ฉันไปก่อนนะ” ดูเหมือนหญิงชราจะพอเข้าใจท่าทีดังกล่าว
จึงไม่เซ้าซี้ หล่อนหมุนตัวเดินหายเข้าด้านในร้านไป
ซึ่งทันทีที่อาม่าของเวลาคล้อยหลังลับตา คนที่คเชนทร์อยากเจอตัวเป็นที่สุดก็ทำหน้าตูมเดินดุ่ม
ๆ ออกมาคล้ายกับโดนใครบังคับข่มขู่
“จะซื้ออะไรคุณ”
“คุณรู้หรือเปล่าว่าวันนี้ที่โรงเรียนเวลามีงานวันแม่”
เจ้าของร้านดอกไม้สวนกลับทันควันโดยไม่แม้แต่จะเกริ่นนำ
พ่อม่ายขมวดคิ้วพลางตวัดสายตากวาดมองใบหน้าชื้นเหงื่อของอาคันตุกะอย่างฉุน
ๆ “แล้วยังไง”
เท่าที่ดูจากสีหน้าไม่พอใจของคนเป็นพ่อ เจ้าของร้านดอกไม้ก็พอจะเดาได้แล้วว่า
การที่เวลาอมพะนำ ไม่ยอมรับปากตนเรื่องรูปวาดนั่นก็เพราะเจ้าตัวไม่อยากจะเสวนากับบิดาเลยสักนิด
ลองว่าสองพ่อลูกไม่คุยกัน ธามจะต้องไม่รู้แน่ ๆ ว่าวันนี้มีความสำคัญกับพวกเด็ก
ๆ แค่ไหน
“ที่โรงเรียนจัดงานวันแม่แปลว่าพวกเด็ก ๆ ก็ต้องไหว้แม่”
คเชนทร์ยืนกอดอกพลางจ้องตาอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้ “เวลาเองก็ต้องไหว้แม่เหมือนกัน... คุณไม่เข้าใจหรือไง”
“เข้าใจ”
พอเห็นธามกระตุกมุมปากไส่แล้วยักไหล่ซ้ำ เส้นความอดทนของผู้หวังดีจึงขาดสะบั้นลงเดี๋ยวนั้น
“เข้าใจแล้วทำไมยังยืนอยู่ตรงนี้อีก ไปโรงเรียนได้แล้ว!”
“ผม?” เจ้าถิ่นแสร้งทำหน้าตกใจก่อนจะคลี่ยิ้มมองเย้ยเยาะทำนองว่า
‘คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า’
คเชนทร์หลับตาพลางสูดลมหายใจเข้ายืดยาว
จากนั้นจึงลืมตามองหน้าคู่สนทนาอย่างอดกลั้น
เขาจะไม่เต้นเร่า ๆ เพราะตาทึ่มตรงหน้า...
ไม่มีวัน
“ใช่ คุณต้องไปงานวันแม่ที่โรงเรียนของเวลาเดี๋ยวนี้
เร็วเข้า”
“แต่ผมต้องเฝ้าร้านนะคุณ”
“วันก่อนผมบอกคุณว่าไง” หนุ่มผมยาวถอนหายใจปลง ๆ
หลังอีกฝ่ายยังยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นไม่สะทกสะท้านใด ๆ “ผมบอกให้คุณทำอะไรก็ได้ที่ช่วยให้เวลารู้ว่าคุณรักแกมากใช่ไหม”
“แล้วงานวันแม่มันเกี่ยวอะไรด้วย” ธามเลิกคิ้วมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ
เขาพยายามถอดข้อความที่ซ่อนไว้ภายใต้ท่าทีร้อนรนจนดูผิดปกตินั่นอยู่นาน
แต่ก็ยังหาจุดเชื่อมโยงของเรื่องทั้งหมดไม่เจอ...
แค่งานวันแม่ที่โรงเรียน ทำไมต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย
“ต่อให้แม่คุณจะไปแทนคุณได้ แต่ใจคอคุณคิดจะรอให้อาม่าไม่อยู่ก่อนหรือไง
ถึงจะเริ่มทำหน้าที่ครอบครัวให้เวลาสักที” คนพูดจับจ้องคู่สนทนาด้วยสายตาเข้มข้นจริงจัง
“ลูกคุณโตขึ้นทุกวัน แม่คุณก็แก่ลงเรื่อย ๆ ขืนคุณยังผัดผ่อนรอเวลา พรุ่งนี้อาจจะสายเกินไปจนต่อให้คุณนึกเสียดายทีหลัง
มันก็ไม่ทันแล้ว”
ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องของตัวเองแท้ ๆ แต่ธามกลับดูไม่เดือดร้อน
หนำซ้ำยังไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ โดนเข้าไปแบบนั้น คนนอกอย่างคเชนทร์จึงรู้สึกหมดหวังระคนหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก
“ตามใจ คุณอยากทำอะไรก็แล้วแต่คุณ
ยังไงตอนนี้เวลาก็ยังมีอาม่าอยู่ทั้งคน” พูดจบ เจ้าตัวก็หมุนตัวเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมามอง
••••••
ผมอมยิ้มกับกระจกเงาตรงอ่างล้างมือในห้องน้ำเมื่อรู้สึกว่ามือถือในกระเป๋ากางเกงสั่นรัว
ๆ สงสัยจะมีคนถ่ายรูปเจ้าวาฬน้อยในงานวันแม่ส่งมาอวดอีกแล้ว ผมฮัมเพลงพลางคิดในใจว่าถ้าล้างมือเสร็จเมื่อไรจะรีบตอบไลน์พี่หนาวให้ว่อง...
ฮือ คิดถึงลุง ไม่เจอหน้ากันแค่ไม่กี่ชั่วโมง ทำไมคิดถึงนักก็ไม่รู้
จังหวะที่ผมกำลังพร่ำเพ้อถึงผู้อยู่นั้น
ประตูห้องน้ำก็เปิดผางตามด้วยร่างสูงใหญ่ของใครบางคนที่พรวดพราดเข้ามา พอเห็นหน้าอีกฝ่ายเต็มสองตาเท่านั้นแหละ
ผมก็ตกใจแทบหงายหลัง
เชี่ยเอ๊ย... ไอ้พี่บูม มาได้ไงวะ
“ฮึ?!” อีกฝ่ายก็น่าจะเหวอพอกันที่เห็นผมยืนหัวโด่อยู่ตรงหน้า แหงล่ะ
ทำโปรเจกต์นี้มาจะห้าเดือน แต่กลับเพิ่งเคยเจอกันในห้องน้ำลูกค้าเป็นครั้งแรก
ไม่แปลกใจก็บ้าแล้ว
แต่ช่างเถอะ แค่ต้องเห็นหน้าไอ้พี่บูมใกล้
ๆ ผมก็อดนึกถึงเหตุการณ์ระทึกขวัญเมื่อวานซืนไม่ได้ ก่อนจะตกเป็นเหยื่ออีกครั้งอย่างโง่
ๆ ผมก็รีบปิดน้ำ เบี่ยงตัวหันข้างแล้วพุ่งไปยังหน้าประตูทันควัน แต่นอกจากแฟนเก่าจะทำเมินเหมือนผมเป็นอากาศธาตุแล้ว
มันยังหลบฉากไปอีกทาง ก่อนจะผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำด้านในคล้ายไม่อยากจะเสวนากัน
ถึงท่าทีของไอ้พี่บูมจะแปลกไป แต่เรื่องอะไรที่ผมจะต้องอยู่รอพิสูจน์ล่ะ
“เฮ้อ” ทันทีที่ก้าวเท้ากลับเข้าด้านในออฟฟิศได้ในสภาพครบสามสิบสอง
ผมก็หยุดยืนลูบหน้าลูบตาพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก หัวสมองนึกทบทวนถึงเรื่องน่าประหลาดที่เพิ่งเกิดขึ้นหมาด
ๆ อย่างรวดเร็ว...
ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ไอ้พี่บูมน่าจะโดนพี่จี๊ดคาดโทษตาย
มันเลยเลิกตอแยผมเป็นการถาวร
เย่ส! ผมกำมือแน่นพลางยิ้มยิงฟังอย่างสะใจ ในที่สุด
ผมก็กำจัดเจ้ากรรมนายเวรอย่างมันออกจากสารบบได้เสียที ต่อจากนี้ ชีวิตผมคงจะสงบสุขขึ้นมาก
แรงสั่นอย่างต่อเนื่องในกระเป๋ากางเกงทำผมหลุดจากภวังค์
ผมอมยิ้มพลางล้วงกระเป๋าเอามือถือออกมาไถหน้าจอ ก่อนจะพบว่า เกือบสิบนาทีที่ผ่านมา
คนที่ขยันส่งไลน์มาหาผมไม่ได้มีแค่พ่อของปลาวาฬ พี่ป๊อบปี้คืออีกคนที่ถล่มกล่องข้อความเครื่องผมอย่างเกรี้ยวกราดและเด็ดขาดจนผมยังกลัวใจ
กลางวันนี้ทูว่างไหมจ๊ะ
พอดีพี่จะแวะไปทำธุระแถวนั้น
สะดวกแวะมากินข้าวกับพี่หรือเปล่า
เอาอย่างนี้แล้วกัน
เดี๋ยวพี่ส่งโลฯ
ร้านที่เราจะกินกลางวันไปให้นะจ๊ะ
เจอกันจ้ะ
ลองว่าเกริ่นมาขนาดนี้ ขืนผมยังกล้าปฏิเสธคำเชิญ
(แกมบัญชา) ของพี่ป๊อบปี้ คาดว่าผมคงไม่มีโอกาสได้ถวายตัวให้ผัวเก่าแกเด็ด ๆ และด้วยเหตุนี้เอง
ผมเลยกดพิมพ์คำว่า ‘ได้ครับ’ ส่งกลับไปโดยไม่ลีลา
••••••
หลังต้องยืนเข้าแถวรอท่ามกลางดงคุณแม่เป็นเวลาร่วมชั่วโมง
ความรู้สึกขุ่นเคืองแปลกแยกก็หายวับไปทันทีที่ธามเห็นสีหน้าประหลาดใจของเลือดเนื้อเชื้อไขซึ่งยืนถือพวงมาลัยอยู่ตรงหน้า
เวลาเป็นเด็กเพียงคนเดียวที่ยืนนิ่งอยู่นาน จวบจนเมื่อเด็กคนอื่น ๆ
ในแถวนั้นพร้อมใจกันนั่งลงกับพื้นสนามฟุตซอลจนครบหมดแล้วนั่นแหละ เจ้าตัวจึงยอมก้าวเข้ามาหาเขาที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวที่เล็ก
และอาม่าเคยนั่งเมื่อปีก่อน ๆ
แม้ใบหน้าซึ่งดูละม้ายตนเองในวัยเยาว์จะส่อเค้าขัดเขินระคนประหม่า
แต่เมื่อสังเกตเห็นว่าเพื่อน ๆ เริ่มก้มลงกราบเท้าผู้ให้กำเนิดตามที่คุณครูประจำชั้นฝึกให้นักเรียนทั้งชั้นหัดทำตาม
กาลกมลก็ค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าบิดา ประนมมือทั้งสองข้างประกบกอบพวงมาลัยไว้ด้านใน
อึดใจนั้น เจ้าตัวเล็กแอบเหลือบมองเพื่อนข้าง ๆ อีกครั้งเพื่อทบทวนท่วงท่า
จากนั้นจึงค้อมตัวลงอย่างช้า ๆ โดยมีจุดหมายเป็นปลายเท้าพ่อ ทว่าก่อนที่กระหม่อมบาง
ๆ ของลูกชายจะจรดลงเหนือสันฝ่ามือที่ประกบกันเป็นรูปดอกบัวตูม ธามก็อุ้มร่างเล็ก ๆ
นั่นขึ้นมากอดเต็มรัก
“ป๊าขอโทษ...”
เสียงจอแจรอบข้างไม่ได้ลดทอนความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจความสั้น
ๆ เมื่อสักครู่ กลับกัน คำพูดนั้นกระแทกเข้าตรงกลางใจผู้ฟังอย่างรุนแรงเสียด้วยซ้ำ
ยิ่งเมื่อมันเป็นครั้งแรกที่พ่อพูดว่า ‘ขอโทษ’ ให้ฟัง หัวใจดวงน้อย ๆ ก็บีบรัดจนพานให้รู้สึกคัดจมูกและแสบตาไปทั้งหน่วย
“...ต่อไปป๊าจะเป็นทั้งป๊าและม้าให้เวลาเองนะ”
แม้จะยังมึนงงกับสัมผัสชิดใกล้และถ้อยคำที่พรั่งพรู
ทว่าเด็กชายกลับสูดน้ำมูกพลางกะพริบเปลือกตาพลางนิ่งฟังสิ่งที่บิดาต้องการจะบอกอย่างตั้งใจ
“ป๊ารักเวลานะลูก”
เวลายังคงไม่ส่งเสียงโต้ตอบเหมือนทุกที
แต่ที่สุดแล้ว ลำแขนเล็ก ๆ ก็ตวัดรอบคอ เด็กชายซบหน้าลงบนบ่าพ่อแล้วหลั่งน้ำตาเงียบเชียบ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำพูดของคเชนทร์ตีแสกหน้าเขาอย่างจัง
ทว่าเมื่อทบทวนดูดี ๆ พ่อม่ายก็ไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ หนำซ้ำยิ่งเมื่อประจักษ์แจ้งแล้วว่า
การอ้างเรื่องสุขภาพของมารดาจนสามารถมางานโรงเรียนแทนหล่อนได้ในนาทีสุดท้ายนั้น คือการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างแท้จริง
ธามจึงตั้งปณิธานกับตัวเองว่า เขาจะไม่ละเลยงานวันแม่ รวมถึงทุก ๆ กิจกรรมของบุตรชาย
ต่อให้ทั้งหมดนั้นจะน่าเบื่อ สิ้นเปลืองเวลา
หรือค่อนข้างชวนประหม่าสำหรับผู้ชายสักแค่ไหนก็ตาม
••••••
“พี่ป๊อบปี้หวัดดีครับ” ตอนที่ผมเดินเข้าไปในร้าน
พี่ป๊อบปี้ก็นั่งรออยู่ที่โต๊ะแล้ว ที่สำคัญ ผมเดาว่าแกน่าจะมาถึงได้สักพักใหญ่ ๆ เพราะมีอาหารเรียกน้ำย่อยจานเล็กจานน้อยวางอยู่เต็มไปหมด
“ดีจ้ะ มานั่งนี่สิ” เมียเก่าพี่หนาวคลี่ยิ้มหวานพลางกวักมือไหว
ๆ แล้วตบลงบนเบาะข้างตัว เห็นแบบนั้นผมเลยย้ายจากเก้าอี้ตัวตรงข้ามไปนั่งตรงตำแหน่งที่อีกฝ่ายบอกใบ้
“เป็นไง หาร้านยากไหม”
“ไม่ยากครับ” ผมยิ้มรับอย่างเขิน ๆ ทำงานแถวนี้มาจะครึ่งปีก็เพิ่งจะรู้นี่แหละว่า
แถว ๆ ออฟฟิศพี่หนาวมีร้านอาหารไทยบรรยากาศดีแบบนี้อยู่ด้วยเหมือนกัน “มอเตอร์ไซค์วินตรงหน้าออฟฟิศพี่หนาวรู้ทางครับ”
พี่ป๊อบปี้ทำหน้าพอใจแล้วคุยไปกับเด็กเสิร์ฟสั้น
ๆ ก่อนจะหันกลับมา “พี่สั่งอาหารให้แล้วนะ อีกสักพักก็น่าจะมาเสิร์ฟ หิวหรือยังจ๊ะ”
“ก็เริ่ม ๆ แล้วครับ”
“งั้นกินออร์เดิฟรอไปพลาง ๆ ก่อนนะ”
“ได้ครับ” ผมผงกหัวขอบคุณพนักงานเสิร์ฟที่เพิ่งวางแก้วน้ำเย็นลงตรงหน้าก่อนจะมองไปรอบ
ๆ ร้านอย่างประหม่า
จนแล้วจนรอดผมก็ยังนึกไม่ออกว่าทำไมพี่ป๊อบปี้ถึงเรียกผมมากินข้าวกลางวันด้วย
แต่ที่น่าเจ็บใจคือ พอไลน์ไปถามพี่หนาว เจ้าตัวดันตอบมาแค่ว่า
ขอให้กินข้าวให้อร่อย... เฮ้อ ลุงนะลุง จะเฉไฉเก่งไปไหน
“เมื่อเช้าหนาวมาคุยกับพี่เรื่องทูแล้วนะ
Congratulations นะจ๊ะ” พี่ป๊อบปี้ยิ้มกรุ้มกริ่มไม่พอ
แกยังส่งสายตาล้อเลียนผมเสียอีก
“ขอบคุณครับ” ผมทั้งเขินทั้งอายจนเผลอเกาจมูกพลางฉีกยิ้มโง่
ๆ อย่างห้ามตัวเองไม่ได้
แหม จะให้ผมสวนพี่ป๊อบปี้กลับไปว่า ‘ไงล่ะ... สุดท้ายผมก็เคลมแฟนเก่าพี่ได้แล้วนะครับ
เก่งไหม’ งี้เหรอ ใครทำก็บ้าแล้ว
“เห็นหนาวบอกว่าทูคิดมากเรื่องปลาวาฬอยู่ใช่ไหมจ๊ะ”
ได้ยินที่พี่ป๊อบปี้พูดแล้วผมก็หรุบตาลงมองฝ่ามือบนหน้าตักตัวเองอย่างอาย
ๆ ต่อให้นึกให้ตาย ผมก็ไม่รู้หรอกว่าพี่หนาวเล่าอะไรให้เมียเก่าฟังบ้าง
ครั้นจะโทรไปถามรายละเอียดผมก็ดันป๊อด กลัวว่าถ้าชวนอีกฝ่ายคุยตอนขับรถ ลุงแกอาจจะเสียสมาธิจนโดนองค์ดอม
โทเรตโตสิงสู่ เฮ้อ สงสัยต้องสารภาพความจริงกับพี่ป๊อบปี้ไปตรง ๆ เสียล่ะมั้ง...
“ตอนแรก ๆ ก็ใช่ครับ แต่ตอนนี้...
ผมว่าผมโอเคขึ้นมากแล้วครับ”
ผมไม่ได้พูดเอาใจคู่สนทนา ตั้งแต่ขนของเข้าบ้านผู้ชายเมื่อเย็นวันอาทิตย์
ผมก็เลิกคิดมากเรื่องเจ้าวาฬน้อยโดยสิ้นเชิง ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะคำยืนยันของพี่หนาว
แต่ที่สำคัญคือ ลึกๆ แล้ว ผมเชื่อมั่นว่า ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพ่อของแกทำให้พวกเราทั้งสามคนมีความสุข
เด็กที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ดีเยี่ยมแบบปลาวาฬก็น่าจะเข้าใจและยอมรับเราสองคนได้ในที่สุด
พี่ป๊อบปี้ดึงมือข้างหนึ่งของผมไปบีบเบา
ๆ “เรื่องปลาวาฬน่ะ ไม่ต้องคิดมากนะจ๊ะ ปลาวาฬรู้แล้วนานแล้วล่ะว่าพ่อเขาชอบทู”
“ฮะ?!” จังหวะที่หลุดปากร้องเสียงหลง ผมก็งัดหน้าขึ้นจ้องแม่ปลาวาฬอย่างเสียจริต...
เมื่อกี้พี่ป๊อบปี้พูดว่าไงนะ ปลาวาฬรู้นานแล้วว่าพี่หนาวชอบผมงั้นเรอะ?!
บุญบาป แม่ลูกคู่นี้ชักจะอยู่เหนือจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารเกินไปแล้วนะ
“ทูรู้ไหมว่าทำไมตอนนั้นพี่ถึงนัดเจอทูที่อควาเรียม”
ผมส่ายหัวดิก ถึงอย่างนั้นก็ไม่วายทายเจตนาของอีกฝ่าย
“ไม่ใช่เพราะพี่อยากเจอผมเหรอครับ”
“นั่นก็ด้วยจ้ะ
แต่พี่อยากให้ปลาวาฬเจอกับทูมากกว่า” พี่ป๊อบปี้ยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์
“พี่อยากรู้ว่าถ้าทูเจอลูกพี่แล้วจะเป็นยังไง ทูจะเข้ากับปลาวาฬได้รึเปล่า
แกจะต่อต้านทูไหม”
“...อ่า ครับ...” ผมยิ้มอ่อนเพราะเข้าใจความหมายของประโยคเมื่อครู่เป็นอย่างดี
สาเหตุที่พี่ป๊อบปี้อยากให้ผมเจอปลาวาฬคงเป็นเพราะ
ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่หนาวจะเกิดขึ้นหรือไม่ จะอย่างไรความรักครั้งนี้ย่อมไม่มีทางเป็นเรื่องของคนแค่สองคนไปได้
ยิ่งถ้ามีตัวแปรสำคัญอย่างเจ้าวาฬน้อยอยู่อีกทั้งคน จะเร็วจะช้า วงโคจรของผมก็ต้องซ้อนทับกับแกจนได้
แต่พูดก็พูดเถอะ ผมว่าตอนนั้นผมเนียนมากแล้วนะ
ทำไมพี่ป๊อบปี้ถึงยังดูออกอีกวะว่าผมจ้องจะเคลมพี่หนาวอยู่เร่า ๆ
พับผ่าสิ เมียเก่าพี่หนาวนี่ไม่ธรรมดาจริง
ๆ
“อีกอย่าง พี่อยากรู้ด้วยว่าหนาวจะทำยังไงถ้ารู้ว่าทูมาเที่ยวกับปลาวาฬ”
คนพูดหยุดจิบน้ำผลไม้ในแก้วพลางยิ้มกริ่ม พอโดนพี่ป๊อบปี้จ้องตาแบบจัง ๆ แก้มผมก็ร้อนยังกับฟายเอ้อในบัดดล
“จริง ๆ วันนั้นพี่ไม่ได้ชวนหนาวมาเที่ยวด้วยกันหรอกนะ”
“เหรอครับ” ผมเสมองแก้วน้ำของตัวเองแล้วหยิบขึ้นมาจิบพอเป็นพิธี
สาบานเลยว่าไม่ได้หิวน้ำแต่อย่างใด แต่เพราะเขินสายตารู้ทันแบบครอบจักรวาลของแม่ปลาวาฬจนไม่รู้จะสู้หน้าแกยังไงต่างหาก
“ใช่ พอหนาวรู้ว่าทูจะมาเจอพี่เท่านั้นแหละ
อยู่ ๆ ก็ตามมาแจมด้วยเฉยเลย” พี่ป๊อบปี้เบ้หน้าอย่างหมั่นไส้พลางเม้าท์ต่อยิ้ม ๆ “ปากแข็งมาก
คนนี้เนี่ย”
พอนึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อตอนนั้นแล้วใจผมก็เต้นตุบ
ๆ เหมือนกับมีใครเอาค้อนมาทุบข้างในอก
พี่หนาวคนซึนของน้องทู อยู่ ๆ ก็อยากรู้ขึ้นมาเลยว่าปากลุงแกจะแข็งอย่างที่พี่ป๊อบปี้ว่าจริงไหม...
งื้อ คนบ้า!
“นั่นแหละจ้ะ คุณคิมหันต์ตัวจริงเสียงจริง”
เมียเก่าพี่หนาวเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วมองหน้าผมนิ่ง
ๆ บทสนทนาหยุดลงครู่หนึ่งระหว่างรอให้พนักงานเรียงจานอาหารลงบนโต๊ะ และตักข้าวให้เราสองคน
พี่ป๊อบปี้ตักทอดมันกุ้งไข่เค็มชิ้นหนึ่งวางใส่จานผม แกพยักพเยิดให้ผมรีบสังหารเหยื่อก่อนที่มันจะเย็น
ผมเลยน้อมรับไมตรีอย่างยินดีเป็นที่สุด
“หลังจากวันนั้นพี่ก็ถามปลาวาฬว่าคิดยังไงถ้าพ่อเขาจะมีแฟน
พอรู้ว่าทูจะมาเป็นแฟนพ่อ เขาก็ดีใจกรี๊ดลั่นบ้าน”
“ฮะ?! (แค่ก ๆ )...” ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่พอได้ยินที่อีกฝ่ายพูดเมื่อครู่
ทอดมันกุ้งก็แทบพุ่งออกทางรูจมูกผมเสียให้ได้ จังหวะที่พี่ป๊อบปี้ย้ายมือมาลูบหลังลูบไหล่ด้วยความเป็นห่วง
ผมก็รีบดื่มน้ำแล้วเช็ดปากก่อนจะหันไปพยายามฉีกยิ้มให้คุณแม่คนสวยอย่างทุลักทุเลเป็นที่สุด
“ไม่เป็นไรแล้วครับ ขอบคุณครับ”
เมียเก่าพี่หนาวอมยิ้มพลางมองหน้าผมอย่างอ่อนใจ
“ถ้าให้พี่แนะนำ พี่ก็อยากบอกทูนะจ๊ะว่า แค่ทูเป็นตัวของตัวเอง รักหนาวกับลูกพี่เหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
พี่ว่ามันก็น่าจะโอเคแล้วล่ะ... เชื่อพี่สิว่าปลาวาฬรับได้”
“ครับ ขอบคุณครับ” ถึงจะเริ่มสบายใจ
แต่ก็กลับมีอยู่อีกเรื่องหนึ่งที่ยังติดค้างในใจผมมาโดยตลอด “พี่ป๊อบปี้ครับ”
“ว่าไงจ๊ะ” อีกฝ่ายเลิกคิ้วมอง สายตาแกจ้องมาตรงแหน็วจนผมตัดสินใจได้
เอาวะ ไหน ๆ ก็มีโอกาสได้คุยกันตามลำพังแล้ว ขอผมใช้สิทธิให้เต็มที่หน่อยเถอะ
“เมื่อก่อนพี่ป๊อบปี้กับพี่หนาวเคยสัญญาอะไรกันเหรอครับ”
จำได้ว่าครั้งแรกที่ผมเจอพี่ป๊อบปี้
แกเคยหลุดปากพูดถึงสัญญาอะไรสักอย่างที่ทำไว้กับพี่หนาว จริงอยู่ว่าผมตกลงคบหากับลุงไซด์ไลน์มาได้หลายวันแล้ว
แต่เพราะพี่หนาวไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลยสักครั้ง แถมผมเองก็ไม่กล้าถามลุงแกไปตรง
ๆ พอสบโอกาสได้นั่งคุยกับผู้รู้เห็นเหตุการณ์คราวนั้น ต่อมเผือกผมเลยสั่นระรัวอย่างห้ามไม่อยู่
พี่ป๊อบปี้ลูบหัวผมเบา ๆ
ก่อนจะสบตาผมแล้วก็อมยิ้มกรุ้มกริ่มเหมือนทุกที “ตอนอยู่ปีสี่พี่เคยบอกหนาวว่าถ้าอายุสามสิบห้าแล้วพวกเรายังไม่มีใคร
เราจะแต่งงานกัน”
“ฮะ?!” พอหลุดปากร้องจนขายขี้หน้าแล้วผมก็นั่งอ้าปากหวออย่างเหวอ ๆ
เฮ้ย ถามจริง... พี่หนาวกับพี่ป๊อบปี้ไม่ได้รักกันเหรอวะ
“ตอนเรียนมหาลัย กลุ่มพี่มีกันสี่คน
พี่เป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มชายโสด เวลาเดินกับพวกนั้นทีไร พี่นะเหมือนเจ้าหญิงเลย
ฮอตมาก ไปไหนใคร ๆ ก็มอง... เขามองพวกผู้ชายนะ ไม่ได้มองพี่” เล่นตัวเองเสร็จ
พี่ป๊อบปี้ก็หัวเราะร่วน
ฟังแล้วอยากจะร้องแหมยาว ๆ แล้วยื่นกระจกให้คู่สนทนาเหลือเกิน
ทรงนี้ไม่ต้องสืบหรอกครับ คนอื่นเขาน่าจะมองพี่มากกว่า
สวยฟาดระดับพี่นี่ถ้าไม่เป็นดาวหรือหลีดคณะ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเคยถือป้ายมหาลัย ซึ่งต่อให้พี่ไปเดินเล่นบนดาวอังคาร
เชื่อเถอะว่ายังไงก็จะมีคนตามไปส่องพี่อยู่ดี
“สมัยนั้นพี่หัวหกก้นขวิดมาก
ใจมันอยากออกไปค้นหาตัวเอง อยากไปพบเจอผู้คนที่ไม่เหมือนกับเรา อยากไปเที่ยวในที่ที่คนอื่นเขาไม่ไปกัน
แต่ลึก ๆ พี่ก็รู้ตัวนะว่าต่อให้หนีไปไกลแค่ไหน วันนึงพี่ก็ต้องกลับมาปักหลักที่เมืองไทย”
แม่ปลาวาฬถอนหายใจพลางฉีกยิ้ม แต่แปลกที่ผมกลับรู้สึกว่า รอยยิ้มครั้งนี้ของแกดูเศร้าจนประกายวิบวับในแววตาเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“ยังไงก็ต้องกลับมาทำหน้าที่ลูกที่ดีให้พ่อแม่ภูมิใจอยู่ดี”
ผมไม่ได้พูดอะไร ได้แต่นั่งก้มหน้าก้มตาเคี้ยวข้าวในปากอย่างสงบเสงี่ยมแล้วทำหน้าที่ผู้ฟังที่ดีต่อไปเรื่อย
ๆ
“ทูก็รู้ใช่ไหมว่าสิ่งที่พ่อแม่คาดหวังจากเราไม่ได้มีแค่หน้าที่การงาน
มีทรัพย์สมบัติหรือบ้านใหญ่โต” พูดมาถึงตรงนี้ ริมฝีปากสีแดงเลือดนกก็เม้มแน่นจนกลายเป็นเพียงเส้นตรงสีแดงขีดบาง
ๆ เท่านั้น “พี่ต้องแต่งงาน ต้องมีลูก”
“ครับ” ผมพยักหน้าอย่างเห็นใจ ขนาดตัวผมเคยไปเที่ยวไกลสุดแค่ฮ่องกง
พอกลับมาก็ยังลงรูปในไอจีแล้วเขียนแคปชันบ่นบ้าถึงของกินที่นั่นอยู่เป็นเดือน ๆ แล้วคนที่ฝันจะใช้ชีวิตอย่างอิสระอย่างพี่ป็อบปี้ล่ะจะลำบากใจแค่ไหนที่เมื่อถึงจุดนึงก็ต้องละทิ้งทุกอย่างแล้วกลับมาตั้งรกราก
แต่งงานเพื่อจะมีทายาทให้พ่อแม่ภูมิใจ
“ตอนนั้นพี่ตั้งใจไว้ว่าถ้าเรียนจบจะไปต่อนอกแล้วเที่ยวจนกว่าพ่อแม่จะทนไม่ไหว
พอใจมันรั้นจะทำให้ได้ พี่เลยต้องเตรียมแผนสำรองเอาไว้
เผื่อว่าถ้ากลับมาแล้วต้องแต่งงานเลย
พี่จะได้ไม่ต้องคว้าผู้ชายที่ไม่รู้นิสัยใจคอมาเป็นพ่อของลูก...” พูดแล้วแกก็จ้องตาผมนิ่งนาน
“...สำหรับพี่ หนาวเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”
“แล้วพี่หนาวยอมเหรอครับ”
ถึงเรื่องสัญญาอะไรนั่นจะฟังคล้ายนิยายไปสักหน่อย
แต่พอมันออกมาจากปากพี่ป๊อบปี้ ใจผมก็เชื่อง่าย ๆ เหมือนโดนป้ายยา แต่พอนึกถึงหน้านิ่ง
ๆ ไม่รับแขกของพี่หนาวขึ้นมา ใจผมกลับแหกปากค้านสุดเสียงเลยว่าคนอย่างเขาไม่น่าจะเอาด้วยเลยสักนิด
“เรียกว่าพี่พนันถูกข้างดีกว่า” พี่ป๊อบปี้ยิ้มกริ่มเหมือนกำลังสนุก
“กลุ่มพี่ตอนนั้นมีเซ็น หนาว แล้วก็ธรณ์... เซ็นนี่ทูคงรู้จักดีใช่ไหมว่ารายนั้นเป็นยังไง”
“ครับ” ทันทีที่นึกถึงสายตาเจ้าชู้ของคาสโนว่าตัวพ่ออย่างคุณพันเลิศ
ผมก็หัวเราะลั่น แต่อีกใจผมก็อดห่วงคุณอาทิมา หัวหน้าสุดแกร่งของตัวเองไม่ได้ เจ้าประคู้ณ
ขอให้พี่จี๊ดเอาคุณเซ็นอยู่หมัดทีเท้อะ
“พอเหลือชอยส์แค่สองคน พี่ก็แค่ต้องเลือกคนที่มีแนวโน้มว่าชาตินี้ไม่น่าจะมีแฟนแน่
ๆ ยังไงล่ะ”
“ฮะ?!”... ง่าย ๆ แค่นี้น่ะเหรอ
“ทูจะโกรธพี่ก็ได้นะ” คู่สนทนาหยุดหัวเราะแล้วกรีดนิ้วแตะซับน้ำตาเบา
ๆ ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาป้องปากพูดใกล้ ๆ หูผม “แต่ถ้าพี่ไม่กลับมา ป่านนี้หนาวคงเป็นเจ้าอาวาสไปแล้วมั้ง”
“จริงเหรอครับ” ผมยกมือขึ้นทาบอกพลางจ้องหน้าพี่ป๊อบปี้ตาแทบถลน
เหยด ทำไมยิ่งคุย เรื่องที่พี่ป๊อบปี้เล่าถึงได้พีคสุดติ่งขึ้นเรื่อย ๆ แบบนี้วะ
“จริง ๆ เรื่องบวชพี่ก็แค่แซวกันเล่น ๆ
เอาขำเท่านั้นแหละ” ว่าแล้วแกก็แลบลิ้นก่อนจะหัวเราะเสียงใส คู่สนทนาดูจะระรื่นชื่นบานเมื่อเห็นผมเหวอจนเสียอาการต่อหน้าต่อตา
“แต่จะว่าไป เมื่อก่อนเซ็นชอบพูดอยู่บ่อย ๆ นะว่า หนาวน่ะเป็นพวกหล่อเสียของ
เหมือนเกิดมาเพื่อเรียน ทำงาน แล้วก็ตายไปเท่านั้น”
กิตติศัพท์ของพี่หนาวทำผมหัวเราะจนปวดท้อง
แต่พอตั้งสติได้ ผมก็วกเข้าเรื่องสำคัญทันที “ที่พี่ป๊อบปี้อยู่กับพี่หนาวก็เพราะคำสัญญาเท่านั้นเองเหรอครับ”
คู่สนทนาสบสายตาผมอย่างรู้ทัน แกถอนหายใจเบา
ๆ พลางเล่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ตอนแรกก็แค่นั้นแหละจ้ะ แต่คนที่มันอยู่ด้วยกันทุกวัน
จะห้ามไม่ให้รู้สึกดี ๆ ต่อกันเลยก็คงไม่ได้”
พูด ๆ อยู่ พี่ป๊อบปี้ก็ตักกับข้าวใส่จานให้ผมอีก
สรุปว่าผมเป็นคน ๆ เดียวที่กินทุกอย่างที่วางอยู่ตรงหน้า ในขณะที่เมียเก่าพี่หนาวเอาแต่จิบน้ำผลไม้ในแก้วเป็นระยะ
ๆ เท่านั้น แต่พอนึกขึ้นได้ว่า อีกเดี๋ยวก็ต้องกลับไปทำงานงก ๆ ผมเลยค้อมหัวแล้วยื่นจานไปใกล้
ๆ เพื่อรับน้ำใจจากอีกฝ่ายโดยไม่เล่นตัว “ขอบคุณครับ”
“สมัยเรียนพี่รักหนาวแบบเพื่อน พอแต่งงานกันก็ค่อย
ๆ หัดรักอย่างคู่ชีวิต แต่หลังจากเลิกกันพี่ก็รักและนับถือเขาเหมือนเพื่อน เหมือนครอบครัวจนกว่าเราจะตายจากกันนั่นแหละจ้ะ”
พี่ป๊อบปี้ทอดสายตามองเหม่อไปไกล “พี่ว่าพี่โชคดีนะที่รู้จักหนาว
เพราะน้อยนะที่ผู้ชายไทยจะใจกว้างขนาดยอมเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้เมียเก่าตัวเองทั้งที่เพิ่งเลิกกันได้ไม่ถึงปี”
โอ้โห สุดยอดข้อมูลเชิงลึกที่เมียบ่าวอย่างผมคงไม่มีปัญญาง้างปากท่าน
HR
Director ให้เล่าออกมาได้เด็ด ๆ
“ผมถามได้ไหมครับว่าทำไมพวกพี่ถึงเลิกกัน”
“จริง ๆ พี่ไม่ได้แต่งงานกับหนาวตอนพี่อายุสามสิบห้าหรอกนะ
พี่ยื้อจนสามสิบหกก่อนนั่นแหละ ถึงได้ยอมกลับไทย”
“หืม?”
ผมเลิกคิ้วพลางมองหน้าอีกฝ่ายอย่างแปลกใจเพราะหลงคิดว่าเจ้าตัวจะยึดถือคำมั่นเรื่องแต่งงานอย่างเหนียวแน่นซะอีก
(กว่าผมจะรู้ว่าพี่ป๊อบปี้รักษาสัญญาเป็นอย่างดีเพราะแกแก่กว่าพี่หนาวปีนึง
ก็ตอนที่แฟนผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟังอีกรอบในอีกหลายเดือนต่อมานั่นแหละ)
“หลังแต่งงาน พี่อยากมีลูกทันที แต่ทำยังไงลูกก็ไม่มาทั้ง
ๆ ที่ร่างกายพี่กับหนาวไม่มีปัญหา สุดท้ายพี่เลยตัดสินใจพึ่งหมอเพราะรอไม่ไหว” พี่ป๊อบปี้แกว่งหลอดดูดน้ำในแก้วพลางทอดถอนใจ
“พี่ต้องอดทนอีกตั้งสองปีแน่ะทู กว่าปลาวาฬจะยอมมาเกิด”
วินาทีนี้ ต่อให้ปากจะเคี้ยวตุ้ย ๆ หรือสมองจะจินตนาการภาพตามไปถึงไหน
ๆ แต่สาบานได้เลยว่าหูผมนี่ผึ่งกว้างยิ่งกว่าจานรับสัญญาณดาวเทียม แถมยังตั้งใจจดจำทุก
ๆ ถ้อยคำของอีกฝ่ายยิ่งกว่าตอนฟัง requirements ของยูสเซอร์เสียอีก
“ถึงปลาวาฬจะทำให้พี่มีความสุข แต่สองปีที่ต้องรอลูกกับอีกสี่ปีกว่าที่พี่ต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อมาเลี้ยงปลาวาฬเองมันแย่มาก
พี่แอบร้องไห้เกือบทุกวัน พอลูกหลับทีไรพี่ก็ถามตัวเองตลอดว่านี่คือชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ของพี่จริง
ๆ น่ะเหรอ พี่จะห่อเหี่ยวตายก่อนได้เห็นลูกเรียนจบหรือเปล่า”
เห็นพี่ป๊อบปี้กะพริบตาถี่ ๆ คล้ายกำลังไล่น้ำตาผมเลยหันซ้ายหันขวามองหากระดาษทิชชูให้จ้าละหวั่น
แต่พอแกแตะแขนผมเบา ๆ พร้อมส่ายหัวแล้วยิ้มให้ ผมก็นั่งนิ่งแล้วตั้งใจฟังต่อ
“สุดท้ายพี่ก็ฝืนเล่นพ่อแม่ลูกต่อไม่ไหว
พี่เลยขอหนาวหย่าก่อนที่พี่จะเกลียดหนาวกับลูกเข้าจริง ๆ ”
ที่แท้เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้นี่เอง...
ถ้าพี่ป๊อบปี้ไม่เล่าให้ฟัง ผมคงไม่มีทางรู้แน่
ๆ ว่า กว่าครอบครัวพี่หนาวจะปรองดองสุขสันต์แบบที่เห็นกันทุกวันนี้ ลุงแกต้องผ่านเรื่องดราม่ามาหนักขนาดไหน
คิด ๆ แล้วก็อยากจะหายตัวแว้บไปกอดปลอบพี่หนาวแน่น ๆ สักสามสี่ที
“ทูมีคำถามอะไรอีกไหมจ๊ะ”
“ไม่มีแล้วครับ”
ถึงพี่ป๊อบปี้จะยังคงยิ้มหวานไม่เปลี่ยน
แต่ถ้าเป็นผม ให้ตายผมก็ไม่อยากขิงด้านดาร์ก ๆ ของตัวเองให้ใครฟังเท่าไร
แต่พูดก็พูดเถอะ... ทำไมอีกฝ่ายถึงกล้าเล่าเรื่องพวกนี้ให้ผมฟังวะ?
“ทู”
“ครับ?” ผมปัดคำถามทั้งหลายไปจากใจแล้วเงยหน้าขึ้นมองพี่ป๊อบปี้อย่างงง
ๆ
“หนาวไม่เคยสนใจใครก่อนก็จริง
แต่ถ้าเจ้าตัวเกิดติดใจใครขึ้นมา และยิ่งถ้าใครคนนั้นรักปลาวาฬมาก ๆ หนาวจะควักหัวใจแล้ววางลงในฝ่ามือของคน
ๆ นั้นทันทีเลยนะ”
แย่ นี่มันแย่มาก ๆ ...
ต่อให้ไม่เคยได้ยินพี่หนาวบอกรักให้ฟัง
แต่ประโยคเมื่อครู่กลับทำให้ใจผมเต้นแรงจนแทบเก็บอาการไม่อยู่ ใครก็ได้ช่วยน้องทูด้วย
น้องทูเขินฉิบหายเลยครับ
“คะ... ครับ”
“พี่ฝากหนาวด้วยนะทู” คุณแม่คนสวยคว้ามือผมไปจับ
ผมเลยบีบมือแกกลับพลางยืนยันความตั้งใจในฐานะสมาชิกใหม่ในครอบครัวใหญ่ของพี่หนาว
“ผมก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
“เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วน้า”
“ครับ” ผมยกมือขึ้นแสร้งดันกรอบแว่นหลังโดนอีกฝ่ายยิ้มล้อ
“คุยกันมาตั้งนาน ทูยังไม่เลิกเขินพี่อีกเหรอ”
เพราะไม่อยากจะยอมรับออกไปตรง ๆ ผมเลยเม้มปากพลางส่ายหัวดิก เห็นแบบนั้น อีกฝ่ายจึงลูบแก้มผมเบา
ๆ แล้วย่นจมูกเหมือนมันเขี้ยวกันเต็มที่ “ทูนี่น้า... น่ารักเหมือนที่หนาวบอกจริง
ๆ ด้วย”
“กินข้าวกันเถอะครับ กับข้าวเย็นหมดแล้ว”
“ก็ได้จ้ะ” ฟังคำแถของผมแล้วพี่ป๊อบปี้ก็หัวเราะเบา
ๆ พลางหยิบช้อนกับส้อมขึ้นแล้วตั้งกวาดตามองอาหารตรงหน้าอย่างตื่นตาตื่นใจ เห็นแบบนั้นผมจึงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก...
เฮ้อ ในที่สุดมื้ออาหารกลางวันสุดพิเศษก็เริ่มต้นขึ้นเสียที
••• TBC •••
ช่วงนี้อากาศในกรุงเทพและหลาย
ๆ จังหวะแย่จริง ๆ
ถ้าใครต้องออกไปข้างนอก
โดยเฉพาะในพื้นที่อันตราย
อย่าลืมใส่หน้ากาก N95 ที่ช่วยกรองฝุ่น
PM
2.5 กันด้วยนะคะ
อ่านแล้วชอบ หรือไม่ชอบยังไง
อย่าลืมติดแท็ก
#คันหิม #ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก
นะคะ เราจะไปแอบส่อง อิอิ
ตอนหน้าไปตามพี่หนาวไปบ้านทูกันค่ะ
^^
No comments:
Post a Comment