#31
วันเวลาที่แสนเศร้า คงจางไป
ไม่นานความสดใส ที่เธอหวังคงคืนมา
โอ้พรอันใด ศักดิ์สิทธิ์เพียงไหนจงบันดาล
สู่แดนดินแด่ตัวเธอผู้ช้ำตรมในดวงใจ... ให้หายความจาบัลย์
อย่าหยุดยั้ง - ดิโอฬารโปรเจ็ค
…………………………………………………………………………………………………………
“อ้าวธาม
มาส่งเวลาเหรอ” พอเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงพี่หนาวผมก็เห็นคนคุ้นหน้ากำลังเดินเข้ามาในลานจอดรถด้านหน้าโรงเรียน
คุณธามยิ้มมุมปาก ยกมือไหว้แฟนผมแล้วมาหยุดยืนใกล้ ๆ
“ครับพี่”
คุณธามหันมาพยักหน้าให้ผม ผมเลยฉีกยิ้มหวานให้เพื่อนบ้าน (สามี) ด้วยจริตมิว นิษฐา
เพราะกะว่าจะฝากเนื้อฝากตัวกับอีกฝ่ายเสียแต่เนิ่น ๆ
“ทำไมเมื่อกี้พี่ไม่เห็นธามล่ะ”
“เมื่อกี้ผมส่งลูกเข้าประตูเล็กครับ
แวะไปกินโจ๊กกันมา” คุณธามพูดพลางเหลือบมองหน้าพวกเราสองคนสลับกันไปมาคล้ายกำลังสงสัย
“พี่หนาวเพิ่งมาส่งปลาวาฬเหรอครับ”
“ก็อืม...” พี่หนาวหัวเราะเบา
ๆ แล้วหันมาทำตาวิบวับใส่ผมแบบที่รู้กันแค่สองคน
“...พอดีเมื่อเช้าตื่นสายกันทั้งบ้าน”
ไม่ผิดจากที่คิดไว้
สุดท้ายคุณพ่อรูปหล่อก็สปอยล์ลูกสาวด้วยชดเชยเวลานอนให้ปลาวาฬอีกชั่วโมงกว่า ๆ จากปกติที่ปลาวาฬจะต้องตื่นนอนตอนหกโมง
วันนี้พี่หนาวเข้าไปปลุกแกตอนเจ็ดโมง ซึ่งเมื่อรวมกับการงอแงแง่งอนของเจ้าตัวเล็กอีกนิดหน่อย
กว่าพวกเราสามคนจะยกขโยงกันมาถึงโรงเรียน เพลงชาติที่ดังผ่านลำโพงหน้าประตูรั้วก็ดังกระหึ่ม
“อ้อ ครับ” ดีเท่าไรแล้วที่คุณธามยังมีใจยกมุมปากยิ้มตามมารยาทโดยไม่ถามซอกแซกหรือแซะกันจนหน้าม้านเหมือนบรรดาขาเม้าท์ที่ทำงาน
แต่พอมองมุมกลับ ผมก็สำนึกได้ด้วยตัวเองว่าภายใต้สีหน้าเครียด ๆ นั้น เจ้าตัวไม่น่าจะกำลังขบคิดเรื่องครอบครัวหัวกระเซิง
(ของพี่หนาวกับผม) ให้เปลืองแรม*ในหัวหรอก (หมายเหตุ: แรม (RAM : Random
Access Memory) คือ
หน่วยความจำที่ใช้เป็นหน่วยความจำหลักของเครื่องคอมพิวเตอร์
เป็นหน่วยความจำประเภทที่อ่าน/เขียน ข้อมูลลงไปได้ตลอดเวลา
แต่ถ้าไฟดับหรือปิดเครื่อง ข้อมูลในหน่วยความจำจะหายหมดทันที)
“หม่าม้าหายดีแล้วใช่ไหม”
“หายแล้วครับ
เมื่อคืนม้าไปงานศพเลยแวะไปค้างบ้านเจ้ เย็น ๆ น่าจะกลับ” ผมชักเอะใจกับสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งที่คุณธามทำใส่เราสองคนเป็นพัก
ๆ ... ไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ คุณธามก็เกิดเกลียดขี้หน้าผมขึ้นมานะ
“พี่หนาวครับ”
ก่อนผมจะมโนไปไกล พ่อของเวลาก็เปรยขึ้นเบา ๆ คล้ายคนเกรงใจ
“หืม
มีไรหรือเปล่าธาม”
“งานวันเกิดปลาวาฬปีนี้พี่หนาวยังจะจัดพร้อมกันเหมือนเดิมไหมครับ”
พอได้ยินคุณธามพูดออกมาแบบนั้น
พี่หนาวที่กำลังทำหน้าเข้มเป็นเด็กเนิร์ดหน้าห้องอยู่ดี ๆ
ก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยินดีทันควัน “เฮ้ย ก็ต้องเหมือนเดิมสิ” ว่าแล้วคุณแฟนรูปหล่อของผมก็ก้าวเข้าไปประชิดตัวคู่สนทนาแล้วตบบ่าอีกฝ่ายเบา
ๆ อยู่หลายครั้ง “หรือถ้าธามจะจัดแยกให้เวลาโดยเฉพาะพี่ก็โอเคนะ”
คุณธามยิ้มเขินพลางโบกมือวุ่นวาย
“ไม่แยกครับ ผมแค่อยากถามพี่ให้แน่ใจเฉย ๆ ”
“ถ้าธามโอเค
พี่ก็โอเค... หรือธามอยากให้พี่เป็นเจ้าภาพ”
“ไม่ ๆ
ครับพี่” เป็นอีกครั้งที่เจ้าของร้านขนมปังคลี่ยิ้ม
สงสัยคุณธามแกจะตื่นเต้นกับงานวันเกิดของพวกเด็ก ๆ จริง ๆ
ไม่อย่างนั้นคนหน้านิ่งคงไม่ยิ้มเรี่ยราดเบอร์นี้ “จัดที่บ้านผมเหมือนเดิมครับ
ปีนี้ผมว่าจะทำเค้กให้เวลากับปลาวาฬเอง”
“ดีเลย
ปลาวาฬชอบเค้กของธามมาก แกบ่นตลอดว่าอยากให้อาธามทำเค้กขายอีก” ยิ่งพี่หนาวพูด คุณธามก็ยิ่งฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม
พอเห็นพวกพ่อ ๆ เขายิ้มกันไม่หุบ ผมเลยพลอยอารมณ์ดีตามไปด้วยอีกคน “อยากให้พี่ช่วยอะไรก็บอกนะ
จะโทรมาคุยกันกลางวันหรือเย็นนี้เลยก็ได้”
“ขอบคุณครับพี่
ถ้างั้นขอผมไปคิดก่อนว่าต้องใช้อะไรบ้างแล้วผมจะรีบบอกนะครับ”
“โอเค
ไว้คุยกัน เดี๋ยวพี่กับทูไปทำงานก่อน” พูดจบ คุณแฟนรูปหล่อก็หันมาพยักหน้าให้
ผมที่ไม่เคยขัดใจผู้ชายก็เอียงหน้าน้อย ๆ พลางกะพริบตาปริบ ๆ รับอย่างนุ่มนวลน่าทะนุถนอม
“ครับพี่”
“ขับรถดี ๆ ล่ะ
ไว้คุยกัน”
.
.
.
.
“เมื่อกี้คุณธามพูดเรื่องวันเกิดของพวกเด็ก
ๆ เหรอครับ” ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะหันไปชวนคนขับคุยหลังจากพรีอุสค่อย ๆ
ไต่เนินขึ้นทางด่วน
สงสัยผลบุญจากการอ่านนิทานก่อนนอนให้ปลาวาฬฟังจะตอบสนองเอาเช้าวันนี้
เพราะปริมาณรถบนทางพิเศษเบาบางกว่าที่เราสองคนเผื่อใจ เท่าที่ลองกะดูคร่าว ๆ
ผมมั่นใจมากว่าถ้าการจราจรปรานีเราตลอดเส้นทาง ถึงวันนี้จะต้องสาย
แต่บวกลบผมให้ไม่เกินครึ่งชั่วโมงเด็ด ๆ ดังนั้นพี่หนาวจึงไม่ต้องอัญเชิญองค์ดอม โทเรตโตมาดริฟท์ทิ้งโค้งให้โลกต้องจดจำก่อนจะถึงที่ทำงานแต่อย่างใด
หนุ่มหล่อหลังพวงมาลัยละสายตาจากถนนข้างหน้าครู่หนึ่งเพื่อหันมายิ้มให้ผมโดยเฉพาะ
พอทำใจผมเต้นตูมตามได้ เขาก็อมยิ้มพอใจแล้วหันกลับไปตั้งใจขับรถเหมือนเดิม “อื้ม
พี่ยังแปลกใจเลยที่อยู่ ๆ ธามก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา”
“ทำไมล่ะครับ”
มือซ้ายของพี่หนาวผละจากพวงมาลัย
ก่อนจะรู้ตัว ลุงแกก็คว้ามือขวาผมไปกุมแล้ววางไว้เหนือหน้าตัก ผมเลยปรับองศาท่านั่งให้สบายเผื่อว่าผู้ชายจะไม่ยอมปล่อยมือง่าย
ๆ สีข้างจะได้ไม่เป็นตะคริว “เวลาเกิดวันที่สิบสาม ส่วนปลาวาฬเกิดวันที่ยี่สิบเอ็ด...
เดือนสิงหาทั้งคู่ สองบ้านเลยมีธรรมเนียมจัดวันเกิดให้พวกแกพร้อมกัน
เพิ่งมีปีที่แล้วนี่แหละที่บ้านธามยุ่ง ๆ กับงานศพเล็ก เลยไม่ได้จัดด้วยกัน”
“คุณเล็กเสียช่วงนี้เหรอครับ”
ผมอดตกใจกับเรื่องที่เพิ่งได้ยินไม่ได้
“ถ้าพี่จำไม่ผิดน่าจะเป็นวันที่สองสิงหานะ
เพราะพี่ไปงานเผามาวันที่ห้า”
“เหรอครับ” พอนึกภาพตามผมก็เผลอยกมืออีกข้างขึ้นกุมเหนือหน้าอก
รู้สึกใจหายแทนเวลา เพราะนอกจากจะเสียแม่ช่วงใกล้วันแม่แห่งชาติแล้ว เดือนนี้ดันเป็นเดือนเกิดของแกเสียอีก
นี่ถ้าต่อไปเวลาจะนึกเกลียดเดือนสิงหาเข้าไส้ ผมจะไม่แปลกใจเลย
“แต่ตอนนี้อะไร
ๆ คงดีขึ้นมากแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นธามคงไม่ชวนพี่จัดงานวันเกิดให้พวกเด็ก ๆ
ด้วยกันหรอก” คำปลอบใจที่มาพร้อมแรงบีบเบา ๆ ตรงฝ่ามือชวนให้ใจชื้นและโล่งอกอย่างน่าทึ่ง
ไม่ใช่ว่าผมไม่เอ็นดูเวลานะ
แต่การได้รับรู้เบื้องหลังครอบครัวคุณธามก็ทำให้ผมแอบดีใจแทนปลาวาฬอยู่ลึก ๆ คิดดูสิ
เด็กสองคนเป็นเพื่อนรักกัน ทว่าทั้งคู่กลับมีปูมหลังครอบครัวแตกต่างกันสิ้นเชิง
เจ้าวาฬน้อยของผมสว่างสดใส เจิดจ้า ร่าเริงถึงขีดสุดเพราะแกได้รับความรักจากทั้งพ่อและแม่อย่างท่วมท้น
ในขณะที่อีกคนกลับเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่พูดไม่จาหลังต้องเผชิญหน้าการสูญเสียเร็วกว่าเด็กคนอื่น
ๆ
“ครับ
แล้วงานมีวันไหนเหรอครับ” ถึงหัวใจจะยังหน่วง ๆ อึน ๆ แต่เพราะพี่หนาวไม่เคยเปรยเรื่องวันเกิดของปลาวาฬให้ฟังมาก่อน
ผมเลยเริ่มนั่งไม่ติด
“อืม...”
ลุงไซด์ไลน์ตีไฟเลี้ยวแล้วหมุนพวงมาลัยเบี่ยงนำรถลงยังพื้นราบอย่างนุ่มนวลพลางส่งเสียงครางในลำคอคล้ายไม่ค่อยมั่นใจ
“ปีนี้น่าจะวันที่สิบห้านะ”
อ้าว
นี่เราไม่ได้กำลังคุยกันเรื่องวันเกิดลูกสาวลุงแกอยู่หรอกเหรอ ทำไมพี่หนาวถึงดูลังเลล่ะ
อย่าบอกนะว่าพวกพ่อ
ๆ ไม่ได้ระบุวันตรงกลางระหว่างสิบสามกับยี่สิบเอ็ดเอาไว้
“ใช่ไหมทู
วันที่สิบห้าเป็นวันเสาร์ถูกไหมครับ” นอกจากจะไม่ช่วยคลายข้อสงสัยแล้ว ไอ้อาการแอบกระดิกปลายนิ้วไล่นับวันในใจที่ลุงแกทำอยู่นั่นก็น่าหมั่นเขี้ยวเสียจนผมต้องรีบล้วงมือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเช็กปฏิทินไปอีก
“ครับ
วันที่สิบห้าวันเสาร์ครับ”
“ถ้างั้นก็วันที่สิบห้าล่ะครับ”
พี่หนาวยิ้มเผล่พลางใช้ปลายนิ้วโป้งเขี่ยหลังมือผมเป็นวงกลมไปมา... บุญบาป
ทั้งที่เคยเข้าใจว่าผู้ชายขับรถมือเดียวนั้นเท่มากแล้ว
แต่พอมาเจอผู้ชายขับรถมือเดียวที่ขับรถดี หนำซ้ำยังมีท่วงท่าสง่างาม ผ่อนคลาย
แถมยังมีแก่ใจลูบไล้กันตลอด ๆ กายละเอียดผมก็ร่ำร้องเรียกอีกฝ่ายว่า ‘ผัว ๆ ’ รัว ๆ ไม่ขาดปาก
“วันที่สิบห้าเหรอครับ”
ผมรีบดึงสติแล้วถามต่อเพราะไม่อยากให้คู่สนทนาจับสังเกตสายตาหื่นกระหายของตัวเองได้
เดี๋ยวลุงแกจะไหวตัว
“พวกพี่ตกลงกันว่าจะจัดงานวันเกิดให้พวกเด็ก
ๆ ตอนคืนวันเสาร์ที่อยู่ระหว่างวันเกิดของพวกแกน่ะ ทุกคนจะได้นอนดึกได้”
อ้อ
อย่างนี้นี่เอง ผมพยักหน้าหงึกหงักพลางบีบมือลุงแกกลับ “แล้วงานนี้จัดที่ไหนเหรอครับ”
“ดาดฟ้าบ้านธาม”
“ผมยังไม่ได้ซื้อของขวัญให้ปลาวาฬเลย
ทำไงดีครับ” หลังดูปฏิทินอีกรอบ ผมก็ชักลน อีกแค่ไม่กี่วันก็จะถึงวันงานแล้ว แต่ผมยังไม่ได้เตรียมหาของขวัญให้พวกเด็ก
ๆ เลยสักชิ้น...
สงสัยช่วงพักกลางวันผมจะต้องแอบแว่บไปสำรวจแผนกของเล่นเด็กตามห้างดูเสียหน่อย
คนขับหัวเราะสั้น
ๆ ก่อนจะทำหน้าเครียดจนบรรยากาศภายในรถเริ่มมาคุ “พี่ว่าเรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ”
พี่หนาวหักหัวเลี้ยวเข้าถนนย่อยซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของเรา
แต่ก็อย่างที่รู้ว่าย่านนี้มีแต่ตึกสำนักงาน ต่อให้การจราจรทั่วโลกจะลื่นไหล
ถนนเส้นนี้ก็จะดับวิญญาณนักล่าความเร็วในตัวทุกคนลงอย่างราบคาบเสมอ ผมละสายตาจากตึกออฟฟิศของพี่หนาวที่เห็นอยู่รำไรแล้วตวัดสายตาไปจ้องหน้าคนขับอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไมล่ะครับ”
ทำไมอยู่ ๆ
พี่หนาวก็ไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้วล่ะ... วันเกิดปลาวาฬคือวาระแห่งการเฉลิมฉลองของครอบครัวเลยนะเฮ้ย!
“ทูลืมแล้วเหรอว่าเสาร์นี้เรามีนัดกัน”
พี่หนาวเคาะคอนโซลรถเบา ๆ พลางเลิกคิ้วมองหน้าผมเหมือนจะเตือนความจำ
เออว่ะ...
ผมจะพาพี่หนาวไปไหว้พ่อกับแม่นี่นา ว้า
ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเลื่อนนัดที่บ้านผมออกไปก่อนงั้นสิ
ไม่ได้ ๆ กลางวันนี้ผมต้องรีบโทรบอกแม่ว่าผู้ชายแคนเซิลแต่เนิ่น
ๆ ไม่อย่างนั้นแม่ผมคงทำความสะอาดบ้านเก้อกันพอดี
ระหว่างที่ผมกำลังวางแผนอยู่ในใจ
คนขับที่เงียบไปพักนึงก็ยอมส่งเสียงในที่สุด “ทู”
“ครับ?” เห็นพี่หนาวทำหน้าเหมือนคนปลงตก
ผมก็ชักใจไม่ดี
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนเช้าพอส่งปลาวาฬเสร็จพี่ไปส่งทูที่รถไฟฟ้านะ”
“ทำไมล่ะครับ” อยู่
ๆ คนขับก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันควัน ผมบึนปากพลางตวัดสายตามองหน้าลุงแกอย่างงง ๆ
“พรุ่งนี้พี่จะลาช่วงเช้า”
ทำไมอยู่ ๆ ท่าน HR
Director ผู้เคร่งขรึมถึงจะเบี้ยวงานเสียล่ะ พี่หนาวคงเห็นหน้าเอ๋อ ๆ
ของผมแกเลยอมยิ้มแล้วยักคิ้วใส่อย่างร้าย ๆ พร้อมทอดสายตามองกันเบา ๆ “พรุ่งนี้เช้าที่โรงเรียนปลาวาฬมีงานวันแม่น่ะ”
โวะ!
ใจคอจะไม่นึกถึงหัวอกติ่งบ้างเลยหรือไง ซีนเมื่อกี้คือลุงแกหล่อละลาย จนตัวผมในโลกมโนจมเลือดกำเดาตายอย่างสงบ
แต่พักเรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะ...
“อ๋อครับ
จริงด้วย ผมลืมไปเลยว่าโรงเรียนมีงานวันแม่” ผมอดแปลกใจไม่ได้ที่สมัยนี้โรงเรียนยังจัดงานนี้อยู่
ทั้ง ๆ ที่เด็กบางคนต้องไหว้คุณครูแทนแม่ที่มาร่วมงานไม่ได้จนกลายเป็นดราม่าในโลกโซเชียลมาแล้วหลายปีซ้อน
สำหรับคนที่ห่างหายจากรั้วโรงเรียนไปหลายปี
วันแม่แห่งชาติเป็นเพียงวันหยุดวันหนึ่งที่อนุญาตให้พนักงานบริษัทได้นอนผึ่งพุงดูเน็ตฟลิกซ์อยู่บ้านโดยไม่โดนหักค่าจ้างเท่านั้น
แต่พอลองนึกย้อนไปถึงช่วงที่ตัวเองยังเป็นเด็ก ผมก็อดยอมรับไม่ได้ว่า เมื่อก่อนนี้
วันที่สิบสองสิงหา คือ อีเวนท์สุดยิ่งใหญ่ซึ่งมีการประกวดมากมายแบบที่ผมต้องแยกร่างเดินสายซักซ้อมกับครูหลายหมวด
แน่นอนว่าแม้จะเอาตัวรอดจากด่านแข่งตอบปัญหาวิชาการ แข่งอ่านในใจ หรือประกวดบอร์ดเทิดพระคุณแม่ไปได้
มันก็ยังเหลือด่านสุดท้ายที่ทำให้เกรียนวัยหัวเลี้ยวหัวต่อส่วนใหญ่เสียน้ำตาลูกผู้ชายกันมานักต่อนัก
แหม
ก็จะอะไรล่ะครับ ถ้าไม่ใช่ว่าต้องเอาพวงมาลัยดอกมะลิกระดาษสี (หนึ่งในเมกะโปรเจกต์ที่สั่นสะเทือนวงการเด็กกางเกงน้ำเงินของครูหมวดพื้นฐานวิชาชีพโรงเรียนผมเองนี่แหละ)
ไปไหว้แม่แบบที่ไม่ต้องอับอายสายตาใคร เพราะเพื่อน ๆ
ในโรงเรียนก็โดนบังคับให้ทำเหมือน ๆ กัน
สารภาพเลยว่าตอนนั่งดูคนอื่นร้องไห้เพราะได้ก้มกราบเท้าแม่
ผมยังพอได้ยินเสียงพวกเด็กหลังห้องที่ซ่า ๆ แซะคนอื่นอยู่บ้าง แต่พอถึงตาแม่ตัวเองมานั่งยิ้มอยู่ตรงหน้า
แถมท่านยังมองตรงมาด้วยสองตาแดงก่ำด้วยแล้ว เป็นใครก็ทนเก็กแมน ทำเข้มไม่ไหวกันทั้งนั้น
“พรุ่งนี้
พี่จะบอกป๊อบปี้เรื่องของเรา” คนขับว่าพลางลูบหัวผมเบา ๆ
“แต...”
“วันที่สิบสองพี่จะพาปลาวาฬไปกราบแม่ทูด้วยกัน”
แค่พี่หนาวพูดออกมาเพียงประโยคเดียว ผมที่ตั้งท่าจะอ้าปากห้ามด้วยไม่อยากให้ลุงแกวู่วามจนเสียเรื่องก็ต้องกลืนถ้อยคำทั้งหลายลงคอ
ก่อนจะนั่งอมลิ้นเป็นใบ้เพราะดันเขินจนหน้าแทบไหม้เมื่อแอบมโนถึงโมเมนต์ที่ว่าได้เป็นฉาก
ๆ
••••••
ขณะกำลังรับออร์เดอร์ลูกค้าผ่านทางโทรศัพท์
คเชนทร์ก็ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งเร่งเครื่องดังลั่น ก่อนที่พาหนะต้นเสียงจะพุ่งเข้ามาจอดตรงหน้าร้าน
ภาพของปลาวาฬกับเวลาขณะไต่ลงจากเวสป้าคันงามของไอซ์พร้อมด้วยกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่โลดแล่นอยู่ในกรอบสายตาทำให้เจ้าของร้านดอกไม้นึกอยากวางสายที่ติดพันลงเดี๋ยวนั้น
แต่เพราะสำนึกได้ว่านี่คือส่วนหนึ่งของงานที่รัก ชายหนุ่มจึงจำต้องปล่อยให้เด็ก ๆ
วิ่งเข้ามาในร้านกันเองโดยไม่ได้ออกไปช่วยเหลือหรือทักทาย
โชคดีที่เมื่อตกลงรายละเอียดกันเรียบร้อย ลูกค้าก็เป็นฝ่ายชิงวางสายโดยพลัน
หนุ่มผมยาวจึงรีบหมุนตัวแล้วเดินไปหยิบนมสองกล่องกับกล่องคุกกี้ติดมือมาแจกจ่ายแก่นักเรียนตัวน้อยที่กำลังชุลมุนหัวหมุน
วิ่งไล่ต้อนจู่โจมสองลูกพี่น้องอย่างขยันขันแข็ง
“อย่าเพิ่งเล่นแมวครับ
มากินนมก่อนเร็ว”
เด็กสองคนเลี้ยวกลับมารับนมไปคนละกล่องอย่างว่าง่าย
พอเห็นแบบนั้น อดีตนางโชว์จึงระบายยิ้มอย่างพอใจแต่ก็ไม่วายถามถึงที่มาที่ไปของเหตุการณ์เมื่อครู่
“วันนี้พี่ไอซ์ไปรับที่โรงเรียนเหรอครับ”
ทรัพย์สมุทรรีบกลืนนมเอื้อกใหญ่แล้วยืดอกอภิปรายเสียงดังฟังชัด
“ใช่ค่ะ พี่ไอซ์พาซิ่งมอเตอร์ไซค์บรื้น ๆ เลย”
“ทำไมวันนี้พี่ไอซ์ถึงไปรับล่ะครับ” แปลก
ทำไมวันนี้ตานั่นถึงไม่ไปรับพวกเด็ก ๆ เอง หรือจะต้องให้เขาย้ำจนปากเปียกปากแฉะอีกหรือไงว่าต่อให้ไอซ์จับเจ้าตัวเล็กทั้งสองใส่หมวกกันน็อกแน่นหนา
แต่ถ้าเกิดเหตุสุดวิสัยใด ๆ ขึ้นมา ฝ่ายที่ขับขี่ (และซ้อน) มอเตอร์ไซค์มักจะได้รับบาดรุนแรงเสียเป็นส่วนใหญ่
“พี่ไอซ์บอกว่าอาม่ายังไม่กลับ
อาธามเลยให้พี่ไอซ์ไปรับปลาวาฬกับเวลาที่โรงเรียนค่ะ”
คเชนทร์คลี่ยิ้มให้ปลาวาฬด้วยความเอ็นดูก่อนจะหันไปมองเด็กชายที่นั่งอยู่อีกฟากของฟูกนอนแมวแล้วเอ่ยถามอย่างเฉพาะเจาะจง
“อาม่าไม่อยู่เหรอครับ”
“เมื่อคืนอาม่าไปนอนกับอาอึ้มครับ”
“อืม” ฟังคำของเวลาแล้วอดีตนางโชว์ก็นึกตำหนิตัวเองในใจ
ตอนที่คุยกันเมื่อคืน เขาน่าจะเอะใจ ซักธามเรื่องอาม่าให้ละเอียดสักหน่อย
อย่างน้อย ๆ ถ้าเขายืนกรานว่าจะขอไปรับพวกเด็ก ๆ เองคงดีกว่าปล่อยให้ทั้งคู่เกาะหน้าเกาะหลังไอซ์เป็นลูกลิงมาตลอดทาง
“หิวกันหรือยังครับ
เมื่อกลางวันลุงแวะไปซื้อขนมกุยช่ายมา อยากกินไหม” แม้ลึก ๆ
แล้วการจัดการของพ่อม่ายจะน่าหนักใจ แต่พอนึกขึ้นได้ว่า
ถ้าไอซ์เป็นคนออกไปรับพวกเด็ก ๆ ปลาวาฬกับเวลาน่าจะยังไม่ได้กินของว่างรองท้อง
หนุ่มผมยาวจึงพักเรื่องซิ่งมอเตอร์ไซค์ลงชั่วคราว
“กินค่า”
“ปลาวาฬจะกินไส้อะไรครับ มีไส้เผือก กุยช่าย
หรือหน่อไม้” ทั้งที่สองตากำลังจับจ้องคเชนทร์อยู่แท้ ๆ
แต่สองมือของเด็กหญิงกลับนวดเฟ้นเหนียงใต้คางของแมวส้มอย่างขยันขันแข็งไม่มีใครเกิน
อาการปรือตากับเสียงครางอย่างพึงพอใจของลูกน้องทำให้เจ้าของร้านดอกไม้ผ่อนลมหายใจพลางยกมุมปากทั้งสองข้างขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“ปลาวาฬชอบกุยช่ายค่ะ”
“เวลาล่ะ... เผือกใช่ไหม”
“ครับ”
หนุ่มผมยาวจำเมนูโปรดของกาลกมลได้แม่นยำ
ผลก็คือ เจ้าตัวได้รับรอยยิ้มจากเด็กชายตอบแทนจนรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจ
คเชนทร์กวาดตามองเด็กทั้งสองที่นั่งเล่นแมวอยู่บนพื้นอย่างช้า ๆ
ราวกับต้องการบันทึกภาพความสุขตรงหน้าประทับลงในจิตใจ ขณะเดียวกันนั้นเอง เขาก็เอ่ยปากสั่งความด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ถ้างั้นปลาวาฬกับเวลาไปล้างมือล้างหน้าแล้วนั่งรอลุงเดี๋ยวนะ ลุงจะไปอุ่นกุยช่ายให้”
“ได้ค่า”
หลังเสิร์ฟของว่างได้พักใหญ่ คเชนทร์ก็ปลีกตัวไปจัดการเก็บของ
ทำความสะอาดร้าน ล้างแจกันกับกระถางใส่ดอกไม้ ก่อนจะดึงบานประตูเหล็กม้วนด้านใหญ่ลงกว่าครึ่งแล้วจึงเดินมาร่วมวงกับพวกเด็ก
ๆ ที่ยังปักหลักอยู่ตรงหน้าโซฟาไม่ไปไหน
ทันทีที่เห็นเจ้าของร้านดอกไม้มาหยุดยืนใกล้
ๆ ทรัพย์สมุทรก็ลากกระเป๋าเป้สีฟ้ามาวางข้างตัว เด็กหญิงฉีกยิ้มกว้างพลางมองหน้าคุณลุงใจดีอย่างมาดหมาย
“ลุงเชนขา”
“ครับ เรียกลุงเชนทำไมเอ่ย” อดีตนางโชว์ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตรงที่ว่างระหว่างเด็กทั้งสองคน
“ลุงเชนดูนี่สิคะ...” ว่าแล้ว
ปลาวาฬก็รีบเปิดกระเป๋าเป้ใบโตลายเจ้าหญิงดิสนีย์สุดโปรดแล้วหยิบกระดาษเอสี่ใบหนึ่งออกมายื่นให้เจ้าของร้านดอกไม้ดู “...ปลาวาฬวาดเองค่ะ สวยไหมคะ”
บนกระดาษแผ่นนั้นเป็นรูปลายเส้นที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นฝีมือของเด็กวัยนี้
แต่เมื่อพิจารณาดี ๆ คเชนทร์ก็อดนึกชื่นชมเด็กหญิงไม่ได้
เพราะทุกครั้งที่ได้การบ้านเป็นการวาดรูปคนทีไร ตัวเขาในวัยประถมเป็นต้องวาดหัวกลม
ๆ บนลำตัวรูปก้างปลาไปส่งครูเสมอ
หนุ่มผมยาวสั่งตัวเองให้หยุดคิดเรื่องความหลังแล้วตั้งใจดูรูปวาดของปลาวาฬอีกครั้ง
รูปในมือนี้เป็นรูปผู้หญิงผมยาวใส่ชุดเกราะคล้ายนักรบ เจ้าหล่อนสวมกระโปรงสั้น
ยืนกางขายกแขนเบ่งกล้ามโดยที่ในมือข้างหนึ่งถือเชือกหรือบ่วงบาศอะไรสักอย่างที่เขาเองก็ไม่แน่ใจ
“โอ้โห สวยจังเลยครับ
ปลาวาฬวาดรูปใครเอ่ย”
“รูปคุณแม่ค่ะ
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วคุณครูให้วาดรูปคุณแม่ ปลาวาฬเลยวาดคุณแม่เป็นวันเดอร์ วูแมน
เพราะคุณแม่ของปลาวาฬเก่งที่สุดในโลกเลยค่ะ”
“ถ้าคุณแม่ปลาวาฬเป็นวันเดอร์ วูแมน
อย่างนั้นคุณแม่ก็ต้องมีพลังพิเศษใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ คุณแม่มีพลังพิเศษ...” ศิลปินน้อยทำท่าฉุกคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มจนตาหยี
“...คุณแม่ทำเฟรนช์โทสต์อร่อยที่สุดในโลกเลยค่ะ”
“โอ้โห คุณแม่ปลาวาฬเก่งจังเลยครับ” ทั้งที่ปากเอ่ยคำชื่นชมไม่หยุด
แต่ยิ่งปลาวาฬดื่มด่ำกับบทสนทนานี้มากเท่าไร คเชนทร์ก็ยิ่งเป็นห่วงความรู้สึกของเด็กชายมากขึ้นเท่านั้น
เคราะห์ดีที่ในจังหวะนั้นเอง ผู้ช่วยชีวิตทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าประตูราวกับรู้ใจ
“อ้าวคุณหนาว สวัสดีครับ” เจ้าถิ่นคลี่ยิ้มพลางลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
ด้านหลังของคิมหันต์คือหนุ่มแว่นรูปร่างสมส่วน แต่งกายด้วยเสื้อผ้าทันสมัย
แถมยังดูสะอาดสะอ้านไม่ผิดไปจากทุกทีที่เจอกัน แม้คเชนทร์จะเพิ่งทำความรู้จักกับพ่อของปลาวาฬได้เพียงไม่นาน
แต่ทันทีที่รู้ตัว ภาพจำในสมองของพ่อม่ายผู้นี้ก็มักจะรวมเอาคุณทูอยู่เป็นคู่เคียงกันเสมอ
“สวัสดีครับ”
“คุณเชนสวัสดีครับ” สิ้นเสียงทักทายของทิวัตถ์
พ่อม่ายก็อมยิ้มพลางเหลือบมองคนข้างตัวด้วยสายตาอวดโอ่จนหนุ่มผมยาวยังนึกเอ็นดูทั้งคู่อยู่ในใจ
พอได้เห็นอากัปกิริยาเมื่อครู่ของคิมหันต์กับตา อดีตนางโชว์ก็เชื่อเรื่องที่ปลาวาฬเคยเล่าให้ฟังโดยไม่นึกกังขาอีกต่อไป
“สวัสดีครับคุณทู”
ฝ่ายเด็กหญิงซึ่งกำลังวาดวงแขนอ้ากว้างเพื่อสาธยายคุณสมบัติอันเพียบพร้อมของมารดาก็กลับไปหาชายหนุ่มทั้งสองที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านพลางยิ้มกว้างอย่างยินดี
“คุณพ่อ ปลาทู!”
“คุยอะไรกันอยู่ครับลูก”
“ปลาวาฬเอารูปคุณแม่ที่ปลาวาฬวาดให้ลุงเชนดูค่ะ”
“อ้อ เหรอครับ” หนาวยิ้มพลางรับคำบุตรีสั้น
ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องทันควัน “พ่อกับอาทูหิวจังเลยครับลูก
ถ้ายังไงไว้เราไปคุยเรื่องนี้ต่อกันที่ร้านข้าวดีไหมครับ”
ผลพวงจากบทสนทนาเมื่อช่วงเช้าทำให้คิมหันต์ใส่ใจกับสถานการณ์ตรงหน้าขึ้นอีกหลายเท่าตัว
เมื่อจับสังเกตได้ว่าคเชนทร์ส่งสายตาขอความช่วยเหลือสำทับตามหลังมา
อีกทั้งยังเห็นเวลาเอาแต่นั่งก้มหน้ามองพื้นจนดูผิดสังเกต พ่อม่ายจึงเข้าใจความต้องการของเจ้าบ้านได้ทะลุปรุโปร่งแม้ไม่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำ
“โอเคค่า”
“มาครับ เดี๋ยวอาทูช่วย”
ทิวัตถ์เอ่ยพลางช่วยจับกระเป๋าแข็งขัน ชายหนุ่มถือหูกระเป๋ารอให้เด็กหญิงสอดกระดาษเก็บเข้าด้านในอย่างอดทน
จนเมื่อปลาวาฬพอใจ ทั้งคู่ก็ช่วยกันรูปซิปปิดเป้
ก่อนที่คนเป็นพ่อจะแทรกเข้ามาคว้ากระเป๋าไปถือให้
“ไปครับลูก ไปกินข้าวกัน” คิมหันต์ยื่นมือข้างที่ยังว่างอยู่ไปตรงหน้าปลาวาฬ
เจ้าตัวเล็กที่รู้งานดีเหลือเกินก็หันไปไหว้ย่อใส่คเชนทร์ก่อนจะจับมือพ่อข้างนึง
คุณอาหน้าอ่อนอีกข้างนึง การกระทำดังกล่าวทำเอาผู้ใหญ่ทั้งสามคลี่ยิ้มด้วยความเอ็นดู
“พวกผมไปก่อนนะครับ... เวลา
ลุงไปแล้วนะ” และแล้วก็เป็นพ่อม่ายที่เอ่ยคำอำลาแก่เจ้าของร้านดอกไม้กับกาลกมลแทนครอบครัว
“เวลา สวัสดีลุงหนาวกับอาทูก่อนครับ”
สิ้นเสียงคเชนทร์ เด็กชายก็ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองลวก ๆ จากนั้นเจ้าตัวก็ก้มหน้าลงจ้องลูกพี่ที่นอนเหลวอยู่บนตักต่อทันที
หนุ่มผมยาวจึงทำได้เพียงส่งสายตาขอโทษขอโพยให้อาคันตุกะ แต่ทั้งหนาวและทูต่างส่ายหน้าพลางคลี่ยิ้มอย่างเข้าอกเข้าใจ
จากนั้นทั้งคู่ก็เดินจูงมือปลาวาฬออกจากร้านไปด้วยความสงบ
“เวลามาหาลุงเชนหน่อยครับ” พลันที่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง
อดีตนางโชว์ก็เปรยขึ้นเบา ๆ
ที่สุดเด็กชายก็ยอมละสายตาจากแมวหน้ากาก
เมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นว่า คเชนทร์กำลังผงกหัวพลางตบตักตัวเอง เวลาจึงหยัดตัวลุกขึ้น
เดินไปนั่งบนตักอีกฝ่ายแต่โดยดี
“เวลาวาดรูปคุณแม่ด้วยหรือเปล่าครับ”
“วาดครับ”
“ขอลุงเชนดูหน่อยได้ไหมครับ”
หนุ่มผมยาวรอคำตอบจากอีกฝ่ายเพียงชั่วอึดใจ
แม้จะสงวนถ้วยคำ แต่เวลาก็พยักหน้ายินยอม คเชนทร์มองตามแผ่นหลังเล็ก ๆ ที่เพิ่งผละจากไปยังโต๊ะตัวเล็กใกล้
ๆ กันด้วยความรู้สึกหลากหลายผสมผเสกันจนวุ่นวายใจไปหมด เด็กชายเปิดกระเป๋าเป้แล้วหยิบกระดาษหนึ่งใบติดมือกลับมายื่นให้
“ขอบคุณครับ” เจ้าของร้านดอกไม้ไม่รู้เลยว่า
สีหน้าลังเลระคนหวั่นใจที่อีกฝ่ายเผยให้เห็นขณะยื่นรูปวาดส่งให้กันนั้นจะติดตรึงอยู่ในความทรงจำของเขาไปอีกหลายปี
คเชนทร์ดึงร่างเล็กตรงหน้ามานั่งตัก
สอดมือเหนือเอวแล้วดันพุงกลม ๆ
เข้าหาตัวจนที่สุดเด็กชายก็เอนแผ่นหลังพิงกับหน้าท้องของตน
“ไหนเวลาลองเล่าให้ลุงเชนฟังหน่อยซิครับว่ามีอะไรอยู่ในรูปนี้บ้าง”
ลายเส้นที่ประกอบกันขึ้นเป็นภาพวาดในมือเขาแทบไม่แตกต่างจากรูปของปลาวาฬ
ทว่าแม่ของเวลาไม่ได้เป็นฮีโร่หญิงผู้เก่งกล้าด้านการทำขนม หล่อนเป็นเพียงหญิงสาวในชุดกระโปรงธรรมดาที่มีปีกนางฟ้าติดอยู่ตรงเหนือไหล่
“หม่าม้าขึ้นไปอยู่บนสวรรค์กับเทวดา
หม่าม้าเลยกลายเป็นนางฟ้าครับ”
“อืม” ฟังคำอธิบายของเด็กชายแล้วคเชนทร์ก็รู้สึกจุกที่ลำคอ
เขาจนปัญญา ไม่รู้จะต่อบทสนทนาอย่างไร สุดท้ายจึงได้แต่ซุกหน้าลงเหนือบ่าที่กว้างไม่ถึงคืบแล้วกอดร่างกะทัดรัดเหนือตักให้แน่นยิ่งขึ้น
“เวลาคิดถึงหม่าม้า” พูดจบ เด็กชายก็พลิกตัวกลับมากอดคอเจ้าของร้านดอกไม้อย่างเต็มรัก
แม้ที่ผ่านมา พวกเขาจะคุ้นเคยกับการโอบกอดกันและกัน แต่สัมผัสครั้งนี้กลับต่างไป
มันเรียกร้องและโหยหายิ่งกว่าครั้งไหน ๆ คเชนทร์จึงประคองเด็กชายเอาไว้ในอ้อมกอดด้วยความระมัดระวังพลางลูบผมบนกระหม่อมเล็ก
ๆ อย่างเบามือ
“ถึงตอนนี้หม่าม้าจะต้องไปอยู่บนสวรรค์
แต่ลุงเชนเชื่อว่าหม่าม้าก็คิดถึงเวลามากเหมือนกัน” ชายหนุ่มกดริมฝีปากจรดขมับชื้นเหงื่อของเด็กชายพร้อมกับปลุกปลอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ตอนนี้หม่าม้าน่าจะกำลังดูเวลาจากบนฟ้า หม่าม้าคงอยากรู้ว่าเวลามีความสุขไหม”
“ครับ” กาลกมลพึมพำพลางฝังหน้าซุกซบซอกคอ
สองมือตวัดไขว้กันเหนือบ่าผอมบางที่กว้างพอ ๆ กับไหล่มารดา ขณะเดียวกันนั้นเอง คเชนทร์ก็ปรายตาลงมองรูปในมืออีกครั้งอย่างพินิจพิเคราะห์
ซึ่งภาพใบหน้าของนางฟ้ากำลังยิ้มกว้างอย่างมีความสุขนั้นบอกกับเขาว่า
คุณเล็กในความทรงจำของเด็กชายจะต้องเป็นคนน่ารักและนิสัยดีอย่างที่สุด
“เวลารู้ไหมว่านอกจากหม่าม้าแล้วยังมีใครที่อยากให้เวลามีความสุขอีก”
ครั้งนี้เด็กชายนิ่งงัน
ทว่าคเชนทร์เองก็คล้ายจะไม่ได้รอฟังคำตอบเช่นกัน
“อาม่ากับป๊าไงครับ” หนุ่มผมยาวลดวงแขนลงแล้วเอนตัวออกห่างเพื่อมองสบตาเด็กชายอย่างแน่วแน่
“อาม่ากับป๊าอยากเห็นเวลามีความสุขที่สุดเลยนะครับ”
“แล้วลุงเชนล่ะครับ” แม้ลึก ๆ เขาจะรู้คำตอบอยู่แก่ใจ
แต่ดวงตาทั้งสองของกาลกมลก็ยังคงจับจ้องใบหน้าของคุณลุงใจดีอย่างมาดหมาย
เห็นดังนั้น ชายหนุ่มจึงคลี่ยิ้มบางพลางพยักหน้ารับกระฉับกระเฉง
“ลุงเชนก็อยากให้เวลามีความสุข
ลุงเชนอยากเห็นเวลายิ้มกว้าง ๆ หัวเราะดัง ๆ ทุกวันเลยครับ”
“เวลาจะมีความสุขครับ”
เจ้าของร้านดอกไม้สวมกอดเด็กชายอีกครั้ง
เขายิ้มพร้อมกับเอ่ยคำอวยพรด้วยความปรารถนาดีจากใจจริง “มีความสุขให้มาก ๆ นะครับ”
ต่อให้เป็นเพียงลุงข้างบ้านที่วันนึงข้างหน้าเขาอาจถูกหลงลืมหรือทิ้งขว้าง
แต่ ณ เวลานี้ ยิ่งทั้งสองคุ้นเคยและผูกพันกันมากเท่าไร หัวใจของคเชนทร์ก็เฝ้าภาวนาให้เด็กชายได้พบเจอกับผู้คนที่รัก
ได้รับแต่สิ่งดี ๆ และมีอนาคตสวยงาม ฝ่ายเวลาที่แม้จะไม่โต้ตอบใด ๆ แต่อ้อมกอดซึ่งกระชับแนบแน่นก็ช่วยยืนยันความเข้าใจที่ตรงกันได้อย่างน่าประหลาด
รู้ดังนั้น อดีตนางโชว์จึงอดนึกถึงใครอีกคนขึ้นมาไม่ได้
“เวลาครับ”
“ครับ?”
“ลุงเชนขออะไรเวลาสักอย่างนึงได้ไหมครับ”
“ลุงเชนอยากได้อะไรเหรอครับ”
“กลับบ้านไปคืนนี้เวลาช่วยเอารูปที่เวลาวาดรูปนี้ให้ป๊าดูด้วยได้ไหมครับ”
เท่าที่รับฟังปัญหาและสังเกตความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกเรื่อยมา คเชนทร์มั่นใจว่า
หากธามได้เห็นรูปที่เวลาวาด เจ้าตัวน่าจะเข้าใจหัวอกของลูกชายมากขึ้น ดีไม่ดี ภาพนี้อาจเป็นใบเบิกทางให้ทั้งคู่ปรับความเข้าใจกันก็ได้
คำขอดังกล่าวทำเอาเด็กชายผละห่าง
เจ้าตัวจ้องหน้าเจ้าของร้านดอกไม้ด้วยดวงตาสับสนระคนหวาดระแวง แน่นอนว่าเมื่อคเชนทร์สังเกตเห็นท่าทีต่อต้านดังกล่าว
เขาก็รีบอธิบายเหตุผลโดยไม่รอช้า “ถ้าป๊าเห็นรูปหม่าม้าที่เวลาวาด
ป๊าจะต้องดีใจมากแน่ ๆ นะครับ ถือว่าทำเพื่อลุงเชนได้ไหม”
เวลาไม่ตอบ หนำซ้ำยังหลบตา กระนั้นคเชนทร์กลับยังคงรักษาความเยือกเย็นได้ไม่เปลี่ยน
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มชวนมองพลางหว่านล้อมคู่สนทนาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ลุงคิดว่าป๊าเองก็น่าจะคิดถึงหม่าม้ามากเหมือนกัน
ถ้าป๊าได้เห็นรูปหม่าม้าตอนเป็นนางฟ้า ป๊าก็น่าจะดีใจและมีความสุขมาก ๆ น่ะครับ”
ถึงจะเผื่อใจไปแล้วว่าตอนที่พ่อม่ายมารับลูกชายกลับบ้านคืนนี้
เขาจะต้องจับเข่าเล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าตัวฟังอีกครั้ง แต่หนุ่มผมยาวก็ยังไม่ถอดใจจากกาลกมล
ตราบใดที่เด็กชายยังไม่ปฏิเสธกันซึ่งหน้า เขาจะพยายามเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ
น่าเสียดายที่อะไร ๆ ก็ดูจะไม่เป็นใจกับชายหนุ่มเอาเสียเลย...
“เวลา อาม่ามารับกลับบ้านแล้ว”
“สวัสดีครับอาม่า” เจ้าของร้านดอกไม้ซ่อนความผิดหวังไว้ภายใต้รอยยิ้มพิมพ์ใจ
ชายหนุ่มยกมือไหว้เจ้าของเสียงที่เพิ่งเดินผ่านประตูเข้ามาได้ไม่นานอย่างนอบน้อม จากนั้นจึงประคองแขนเด็กชายให้ลงยืนกับพื้นเพื่อที่เจ้าตัวจะได้ไปเก็บข้าวของเตรียมพร้อมกลับบ้าน
หญิงชรายิ้มกว้างพลางรับไหว้
“เป็นยังไงบ้างหนู สบายดีไหม ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“สบายดีครับ อาม่าล่ะครับ”
“ดี ๆ ฉันสบายดี”
เท่าที่สังเกตจากเสื้อผ้าของผู้อาวุโสที่ดูแปลกตาจากเครื่องแต่งกายลำลองตามปกติของเจ้าหล่อน
คเชนทร์ก็อดเหลือบมองไปด้านนอกร้านไม่ได้ ต่อเมื่อเห็นฟอร์จูนเนอร์คันหนึ่งเทียบจอดอยู่ตรงหน้าร้าน
เขาก็เข้าใจ “อาม่าเพิ่งกลับมาเหรอครับ”
“ใช่ ๆ
เมื่อวานฉันไปงานศพมาเลยแวะไปค้างบ้านลูกสาว ต้องรอเขาเลิกงานก่อน เขาถึงเพิ่งขับรถมาส่งนี่แหละ”
หญิงชราหันไปหาหลานชายที่สะพายกระเป๋านักเรียนขึ้นหลังรอท่า “ไปเวลา
กลับบ้านกับม่า”
ก่อนจะรับคำย่า กาลกมลก็หันมากอดขาหนุ่มผมยาวหนึ่งครั้งจากนั้นจึงจับมือหญิงชราเอาไว้มั่น
ในเมื่อรั้งไว้ไม่ได้ คเชนทร์ก็จำใจยกมือไหว้ผู้อาวุโสพร้อมเดินตามไปส่งสองย่าหลาน
แล้วมองรถคันที่เพิ่งเคลื่อนตัวพ้นจากหน้าร้านด้วยความกังวลใจซึ่งเอื้อนเอ่ยกับใครไม่ได้...
เว้นก็แต่ผู้ชายใจสลายที่คืนนี้คงไม่ได้เจอหน้า
••• TBC •••
สารภาพเลยว่าก่อนเขียนตอนนี้
เราเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะหน่วง 555
แต่เชื่อเรานะคะว่าหลังจากนี้มันจะดีขึ้น
และหวานขึ้นตามลำดับ
(ฮึบไว้ค่ะ ฮึบไว้
ท้องฟ้าที่สดใสกำลังรอทุกคนอยู่เหมือนเพลงประจำตอนนี้ไง)
ถ้าอ่านแล้วชอบ หรือไม่ชอบยังไง
อย่าลืมบอกกล่าวกันบ้างนะคะ
#คันหิม #ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก
No comments:
Post a Comment