Monday, August 20, 2018

• รักหลอก ๆ ต้องบอกลุง •||#21|| 20.08.2018


#21

ก่อนที่ฉันจะได้เห็นทุกอย่าง... อย่างที่ฝันที่ฉันทุ่มเท
น้ำทะเลก็สาดเข้ามา
ไม่เหลืออะไรเลย แหลกสลายลงไปกับตา
เหลือเพียงทรายที่ว่างเปล่ากับน้ำทะเลเท่านั้น
ไม่เหลืออะไรเลย จากที่เคยมีความใฝ่ฝัน
ไร้กำลังจะสร้างใหม่ให้เหมือนเดิม
ปราสาททราย - สุรสีห์ อิทธิกุล

…………………………………………………………………………………………………………


กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นกระตุ้นเจ้าของร่างที่คู้ตัวนอนอยู่บนโซฟาให้รู้สึกตัวตื่น เมื่อลืมตา ลำแสงสีทองที่ส่องลอดช่องแสงด้านหลังของอาคารทำให้มองเห็นเงาราง ๆ ของใครคนหนึ่ง คนผู้นั้นกำลังก้ม ๆ เงย ๆ หยิบนั่นจับนี่ง่วนอยู่ในครัว อาการแปลกที่กับกลิ่นผิดแผกทำให้ชายหนุ่มจำต้องหลับตานอนนึกทบทวนถึงเหตุการณ์เมื่อคืนอยู่พักใหญ่ สุดท้ายจึงระลึกขึ้นได้ว่า ตนคงอ่อนล้าจนผล็อยหลับไปทั้ง ๆ ที่ตั้งใจว่าจะมารับเวลากลับไปนอนที่บ้านเสียด้วยกัน

ในเมื่อความตั้งใจแรกไม่เป็นผล เขาก็ไม่ควรโอ้เอ้ชักช้า ถึงเวลาที่ต้องรีบลุกแล้วพาลูกชายกลับไปอาบน้ำแต่งตัวที่บ้านให้เรียบร้อย จะได้ไปส่งที่โรงเรียน แล้วค่อยกลับไปโรงพยาบาลเพื่อผลัดเวรเฝ้ามารดาเสียที

ขณะกำลังจะพลิกตัวเตรียมลุกจากโซฟาหูเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าตึงตังดังมาจากบันได ธามจึงเปลี่ยนใจแสร้งนอนหลับแล้วแอบหยีตามองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ ด้วยนึกสงสัยมาตลอดว่า ตอนที่ลูกชายอยู่กับเจ้าของร้านดอกไม้ตุ้งติ้งนั่นตามลำพัง ทั้งสองคุยอะไรกันบ้าง

“มาครับเวลา มานั่งนี่”

คเชนทร์วางถาดเล็ก ๆ ใส่สิ่งละอันพันละน้อยลงบนโต๊ะกินข้าว ชายหนุ่มอมยิ้มชอบใจเมื่อเห็นเวลาค่อย ๆ เดินต้วมเตี้ยมเข้าไปหาก่อนจะปีนขึ้นนั่งเก้าอี้อย่างว่าง่าย เด็กชายยิ้มเขินพลางปาดหยดน้ำเหนือคิ้วด้วยปลายนิ้วอย่างลวก ๆ  

“หิวหรือยัง”

“ยังครับ” แม้จะจมอยู่กับความบาดหมางที่ไม่มีทางแก้มาเนิ่นนาน แต่การต้องทนเห็นเวลาเปิดใจให้ คนอื่น หนำซ้ำยังยอมคุยด้วยโดยดี ทั้ง ๆ ที่เมื่ออยู่กับเขา กระทั่งหน้ายังไม่อยากจะมองกันนั้นทำให้คนเป็นพ่ออดรู้สึกอิจฉาระคนขมขื่นไม่ได้

“งั้นรอขนมปังปิ้งแป๊บนึงนะ... เวลาชอบกินขนมปังทากับอะไรครับ แยม เนย นมข้น หรือช็อกโกแล็ต” อดีตนางโชว์ยิ้มกว้างพลางผายมือให้เด็กชายพิจารณาตัวเลือกทั้งหลายในถาดตรงหน้าที่ตนภูมิใจนำเสนอ ปกติคเชนทร์ไม่กินจุบจิบ แต่หลังจากรู้จักกับเวลา ชายหนุ่มก็มักจะหาซื้อขนมนมเนย และของขบเคี้ยวยอดฮิตขวัญใจเด็ก ๆ ติดบ้านไว้เสมอ

กาลกมลขมวดคิ้ว เด็กชายกวาดตามองขวดมากมายตรงหน้าพลางครุ่นคิดอย่างจริงจังก่อนที่ดวงตำดำขลับจะส่องประกายวาววับเมื่อเห็นขวดสีน้ำตาลของโปรด “ช็อกโกแล็ตครับ”

“โอเคครับ... เดี๋ยวลุงตักช็อกโกแล็ตแบ่งใส่ถ้วยเล็กให้นะ” คเชนทร์ยิ้มรับพลางตบฝากระปุกช็อกโกแล็ตทาขนมปังเบา ๆ เจ้าของร้านดอกไม้จ้องมองเด็กชายอย่างพินิจพิเคราะห์ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไหน... ลุกก่อนซิครับ ลุงจะผูกเสื้อให้ แขนเสื้อจะได้ไม่แย่งเวลากินข้าวเนอะ”

เสื้อยืดลายการ์ตูนหลวมโคร่งที่เด็กชายใส่อยู่นี้เป็นอภินันทนาการของเจ้าบ้านที่จัดเตรียมพร้อมไว้ เผื่อวันไหนเวลาเล่นกับแมวแล้วเกิดเปื้อน จะได้มีเสื้อซักใหม่ หอม ๆ สะอาด ๆ สับเปลี่ยน แต่เพราะไม่เคยซื้อเสื้อผ้าเด็กมาก่อน เจ้าของร้านดอกไม้จึงกะขนาดตัวของเด็กชายผิดไปอย่างไม่น่าให้อภัย ขืนไม่จัดการมัดแขนเสื้อรุ่มร่ามแต่เนิ่น ๆ หลังกินอาหารเช้าเสร็จ กาลกมลอาจจะมอมแมมหนักกว่าเดิม

“ครับ” เวลาหยัดตัวยืนอมยิ้มเขิน ๆ อยู่บนเบาะเก้าอี้พลางชูแขนขึ้นรอท่า ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ธามยิ่งนึกถึงภรรยาผู้ล่วงลับ ก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง เล็กมักจะจับเวลาหมุนตัวไปมาอยู่หลายรอบเพื่อเช็กว่าวันนั้น บุตรชายแต่งตัวเรียบร้อยแล้วหรือยัง... กระทั่งเสื้อผ้าของเขา สักครั้ง เล็กก็ไม่เคยละเลย

“โอเค เสร็จแล้วครับ... หล่อมาก” เด็กชายหลุดหัวเราะเมื่อเห็นแขนเสื้อตัวเองถูกหนังยางมัดแกงจัดการเสียอยู่หมัด

ยิ่งเล็กไม่อยู่ อาการหมางเมินของลูกชายก็ยิ่งหนักข้อ แม้จะน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ลึก ๆ แล้ว ธามกลับหวาดหวั่นหากต้องยอมรับกับตัวเองตรง ๆ ว่า ทุกครั้งที่เห็นเลือดเนื้อเชื้อไขอยู่กับคเชนทร์ ภายใต้ความรู้สึกอิจฉาอย่างรุนแรง คือ ความปีติยินดีที่ได้เห็นกาลกมลยิ้มและหัวเราะได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงแม้ต้นเหตุของรอยยิ้มนั้นจะไม่ใช่ตัวเขา ซ้ำร้ายยังเป็นเจ้าของร้านดอกไม้ที่ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนผู้ชายคนนั้นก็ตาม

ฝ่ายอดีตนางโชว์ที่เหลือบไปเห็นร่างสูงใหญ่บนโซฟา ก็อดเปรยขึ้นเบา ๆ ด้วยสีหน้าลำบากใจไม่ได้ “ลุงว่าเราช่วยกันปลุกป๊ามากินขนมปังพร้อมกันดีไหมครับ” ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไร เครื่องปิ้งขนมปังในครัวก็ส่งเสียงขึ้นเสียก่อน “นั่งรอนี่นะ เดี๋ยวลุงไปเอาขนมปังมาให้”

ทันทีที่เจ้าถิ่นหมุนตัวเดินคล้อยหลัง กาลกมลก็เบือนหน้าไปยังโซฟารับแขกของร้านดอกไม้ด้วยสีหน้ากล้ำกลืน ธามเองก็ตกใจที่นอกจากจะถูกคเชนทร์พาดพิงถึงโดยไม่คาดฝันแล้ว จู่ ๆ ลูกชายยังเหลียวมองมาทางเขาเสียอีก... ไม่รู้ว่าเวลาจะดูออกไหมว่าเขาแกล้งหลับ

แต่เมื่อเห็นเด็กชายถอนหายใจจนหลังงองุ้มพลางก้มหน้าก้มตาจ้องมองฝ่ามือจนเสียสง่าราศี ธามก็นึกเสียใจ
กว่าจะรู้ตัวว่าละเลยเลือดในอกมาโดยตลอด ก็สายเกินแก้... คนอื่น ๆ เขาทำดีกับลูกกันยังไงนะ?

อดีตนางโชว์ที่เพิ่งเดินกลับมาแล้วเห็นเวลานั่งห่อตัวก็อดถอนหายใจไม่ได้ ชายหนุ่มวางจานขนมปังกับนมสดแก้วใหญ่ลงตรงหน้าเด็กชายพลางตักช็อกโกแล็ตทาขนมปังใส่ถ้วย จากนั้นจึงยื่นให้เพื่อนร่วมโต๊ะอาหารตัวน้อย

“เวลา” เมื่อเห็นกาลกมลเริ่มทาขนมปัง เจ้าของร้านดอกไม้ก็เอ่ยพลางเหลือบมองธามที่ยังคงนอนหลับอยู่อีกมุม “ป๊าบอกเวลาแล้วใช่ไหมครับว่าอาม่าไม่สบาย”

เด็กชายพยักหน้ารับหากแต่ไม่สบตา “ครับ”

“เมื่อวานป๊าไปเฝ้าอาม่า กว่าจะกลับมาก็ดึกมาก ๆ แต่ถึงป๊าจะเหนื่อย ป๊าก็รีบกลับมารับเวลา แต่พอเห็นเวลาหลับ ป๊าเขาเลยไม่อยากกวน ลุงเลยชวนป๊ามานั่งคุยกันข้างล่าง”

เวลานิ่งฟังพลางกัดขนมปังอย่างช้า ๆ

“แต่ยังคุยได้ไม่เท่าไร ป๊าก็เพลียจนหลับไปเสียก่อน เวลาไม่โกรธป๊าใช่ไหมครับ” แม้จะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าสองพ่อลูกเป็นเหมือนน้ำมันกับไฟ แต่กับเรื่องครั้งนี้ คเชนทร์กลับตีความท่าทีหมางเมินของเด็กชายว่าเป็นผลจากการที่ธามผิดนัด ทว่าเมื่อได้เห็นคู่สนทนาส่ายหัวแล้วก้มหน้าเคี้ยวขนมปังเงียบ ๆ คล้ายกับไม่มีอารมณ์โต้ตอบ เขาก็เข้าใจ

“ป๊าอาจจะพูดไม่เก่ง บางทีป๊าก็ดุ แต่ลุงคิดว่าป๊ารักเวลามากที่สุดนะครับ” สายตาลังเลของเด็กชายทำให้อดีตนางโชว์กลั้นยิ้ม เจ้าถิ่นจึงเสนอทางเลือกกึ่งกลางที่คู่พ่อลูกน่าจะสบายใจกันทั้งสองฝ่าย “ไว้เดี๋ยวเวลากินขนมปังเสร็จ ตอนลุงเอาจานไปล้าง เวลาช่วยลุงปลุกป๊าขึ้นมากินกาแฟหน่อยได้ไหมครับ... วันนี้ป๊าจะได้มีแรงไปเฝ้าอาม่าที่โรงพยาบาลไง”

“ครับ”

แม้ที่สุดแล้วเด็กชายจะไม่ได้ปลุกธามตอนที่คเชนทร์ล้างจานตามที่ตกลง หากแต่ก่อนจะวิ่งขึ้นไปแปรงฟันพร้อมกันกับเจ้าของร้านดอกไม้ เวลากลับแอบแวะมาเขย่าตัวธามเบา ๆ อยู่สองสามครั้ง ก่อนจะผละจากอย่างว่องไว ต่อให้นั่นจะเป็นเศษเสี้ยวของความใส่ใจ แต่ท่าทีเล็กน้อยเพียงแค่นั้น ก็ทำให้ธามคลี่ยิ้มได้เต็มหน้า...

มันยังไม่สาย เขายังมีโอกาสแก้ตัว

••••••

“โอเคค่ะ เรียบร้อยแล้วค่ะคุณฟี่” ทันทีที่ประมวลผลเงินเดือนและตั้งค่าใช้จ่ายเสร็จสรรพ คุณมิ้มก็หันมาพยักหน้าให้หัวหน้าทีมผมก่อนจะละสายตาจากโน้ตบุ๊กแล้วเงยหน้าขึ้นมองหน้าจอที่ฉายภาพผ่านโปรเจคเตอร์อย่างลุ้น ๆ

หลังจากการทดสอบภายในจบลงก็ถึงคิวของการทดสอบการเชื่อมโยงระหว่างระบบ แน่นอนว่าเมื่อเป็นการทดสอบของหลาย ๆ ระบบงาน พวกเราทั้งหมดจึงต้องย้ายกลับมาประจำการที่ออฟฟิศเพื่อเข้าประชุมร่วมกับทีมจากแผนกอื่นที่เกี่ยวข้องโดยพร้อมหน้า โดยที่หนึ่งในนั้นคือระบบ FI (ระบบการเงิน)

“คุณไวท์ ทาง HR ผ่านรายการบัญชีไปแล้วค่ะ” (หมายเหตุ: การผ่านรายการบัญชี เป็นขั้นตอนการนำค่าใช้จ่ายของบุคลากรที่เกิดขึ้นไปลงบัญชียังระบบการเงินเพื่อให้ยอดดครดิตและเดบิตสมดุล)

พี่บูมที่นั่งอยู่อีกฝั่งหันไปคุยกับคุณไวท์ตรงเก้าอี้ข้าง ๆ กัน จากนั้นภาพที่ฉายขึ้นหน้าจอใหญ่ใจกลางห้องประชุมก็เปลี่ยนจากหน้าจอเดิมของคุณมิ้มเป็นหน้าจอของยูสเซอร์ FI ซึ่งกำลังรัวคีย์บอร์ดป้อนคำสั่งอย่างคล่องแคล่ว

“โอเค เจอเอกสารแล้วครับ” สิ้นเสียงคุณไวท์ หน้าจอใหญ่ก็เปลี่ยนเป็นรูปเคอร์เซอร์ขณะกำลังกดเลือกเอกสารล่าสุด ก่อนที่ยอดรวมและรายละเอียดการผ่านรายการค่าใช้จ่ายที่คุณมิ้มเพิ่งทำไปทั้งหมดจะปรากฏอย่างสมบูรณ์

เห็นแบบนี้ ยูสเซอร์กับทีมผมทุกคนก็ถอนหายใจกันโดยพร้อมเพรียง... ไอ้ที่กัดฟันเข้าประชุมทุ่มเถียงกันมาตั้งหลายเดือน ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้แผนกที่รับลูกต่ออย่าง FI ทำงานได้อย่างราบรื่นด้วยนี่แหละ

ระหว่างรอให้คุณไวท์เช็กเอกสารแล้วคอนเฟิร์มความถูกต้องอย่างเป็นกิจลักษณะ สายตาไม่รักดีที่ป้วนเปี้ยนเหล่มองท่านผู้บริหารรูปหล่อซึ่งเข้ามาร่วมสังเกตการณ์อยู่เนือง ๆ ก็เหลือบไปเห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มบนใบหน้าลุงแกเข้าจนได้ พอเราสบตากัน พี่หนาวก็ยิ้มมุมปากพลางบุ้ยใบ้ให้ผมทอดสายตามองตามไปยังด้านนอกห้องประชุม

ผนังห้องประชุมส่วนใหญ่ในออฟฟิศแห่งนี้กรุด้วยกระจกเกือบรอบด้านโดยช่วงตรงกลางจะคาดฟิล์มสีขุ่นบังสายตาเพื่อมอบความเป็นส่วนตัวให้แก่ผู้ใช้งานด้านใน ทว่าสำหรับคนวอกแวกสมาธิแตกซ่าน (เพราะผู้ชาย) อย่างผมแล้ว วิวท่อนขาป้อม ๆ ที่กำลังป้วนเปี้ยนไปมาด้านนอกกลับน่ามองเป็นพิเศษ

น่องเล็ก ๆ ซึ่งกำลังก้าวพารองเท้านักเรียนสีดำคู่ที่มักจะเห็นบ่อย ๆ ในพักหลัง ๆ เดินวนเป็นวงกลมอยู่ตรงหน้าห้องประชุมด้วยอย่างมุ่งมั่นและอดทนทำให้ผมอดยิ้มตามท่าน HR Director ไม่ได้... เจ้าวาฬน้อยของผมมาแล้ว

“โอเคครับ กระทบยอดแล้วถูกต้อง ไม่มีปัญหา”

“ถ้าอย่างนั้นส่วนของ HR ก็ไม่มีอะไรแล้วนะคะ” พี่ฟี่สวนขึ้นทันทีที่ได้ยินคำพูดของยูสเซอร์ FI

“ครับ” สิ้นเสียงคุณไวท์ พวกผมกับยูสเซอร์ทั้งสามก็ต่างเก็บของพลางนับถอยหลังเวลาที่จะดีดตัวออกจากห้องประชุมเพื่อไปผจญกับมรสุมงานคั่งค้าง แต่ก่อนที่ใครจะได้ไปไหน พี่บูมก็ยกมือพลางเอ่ยแทรกขึ้นคล้ายกับมีอะไรจะพูด

“เดี๋ยวครับพี่ฟี่”

ต่อให้รู้ตัวว่าโดนแฟนเก่าจ้องจนตาจะหลุดมาตั้งแต่เริ่มประชุม แต่ผมกลับตีมึนแสร้งทำเมินได้โดยไม่ไหวหวั่น จุด ๆ นี้ไม่ต้องถามหรอกว่า ผมต้องใช้ความพยายามหลบเลี่ยงอีพี่บูมมากไหม แต่ให้ถามคุณไวท์ดีกว่าว่าเมื่อไรจะกระโดดข้ามโต๊ะมาแดกหัวผมให้จบ ๆ

“มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“เอ่อ” ถึงจะได้ซีนแล้ว แต่พี่บูมกลับดูอึกอัก ไม่รู้เป็นเพราะมีคนอื่นนั่งอยู่เต็มห้องหรือเพราะเกรงใจคุณไวท์ที่แทบจะสิงแกรอมร่อกันแน่ “ไม่มีอะไรครับ ผมแค่จะถามว่า HR ทดสอบระบบเสร็จแล้วหรือยังน่ะครับ”

ฟังแล้วผมก็แอบเกาหัวอย่างงงใจ ก็ถ้าทดสอบระบบไม่เสร็จ พวกผมคงจะเสนอหน้ามาเทสต์ข้ามระบบได้หรอกนะ
รู้แล้วยังจะถาม... ก่อนเข้าประชุม พี่บูมไปโดนตัวไหนมาวะ

“อ๋อ เรียบร้อยแล้วค่ะ” ถึงเมนเทอร์ผมจะไม่ได้ชักสีหน้าหนำซ้ำยังตอบคำถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ แต่การฉีกยิ้มทั้ง ๆ ที่จิกตาใส่ก็บอกกลาย ๆ ว่าแกน่าจะรำคาญคอนซัลท์ FI หนักอยู่

“คุณบูมครับ รบกวนดูทางนี้ด้วยครับ”

“อ้อครับ โอเคครับ” เท่าที่รู้จักกันมา ผมเชื่อว่าคนรักเก่าคงอยากจะพูดอะไรกับพี่ฟี่สักอย่าง แต่พอคุณไวท์จิกตาใส่เท่านั้นแหละ พี่บูมก็ได้แต่หุบปากก่อนจะปั้นยิ้มให้หน้ายังพอดูได้เท่านั้น

 “พวกเราขอตัวก่อนนะคะ”

“เชิญครับ” สีหน้ากล้ำกลืนของคู่หู FI ที่เห็นตอนก่อนเดินออกจากห้องประชุมทำให้ผมก็อดนึกขอบคุณพี่จี๊ดไม่ได้ นี่ถ้าแกไม่ตัดสินใจสลับหน้าที่ของผมกับพี่ฟี่ ป่านนี้ผมคงโดนคุณไวท์ดึงดราม่าใส่จนวันทั้งวันไม่เป็นอันทำงานแหง ๆ

แต่ผมจะสนอะไรล่ะในเมื่อทันทีที่หลุดพ้นจากสถานการณ์น่าอึดอัดมาได้ สาวน้อยผมเปียสุดสวยก็วิ่งถลาเข้าหาแล้วทิ้งตัวใส่ผมเสียเต็มแรง “ปลาทู!

พอสาว ๆ ทั้งหกเห็นเด็กหญิงในอ้อมกอดผมก็พากันอมยิ้มพลางมองผมกับลุงไซด์ไลน์อย่างมีเลศนัยก่อนทั้งหมดจะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว เดาว่าสาเหตุที่คนอื่น ๆ ยอมรามือแต่โดยดีก็เพราะจะรีบกลับไปจับกลุ่มเผาผมลับหลังอย่างเมามันนั่นเอง

“ปลาทู คิดถึงปลาทูจังเลยค่ะ!

“อาทูก็คิดถึงปลาวาฬครับ” ผมตอบคำเด็กหญิงพลางกอดแกแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว กลิ่นหอมหวานของลูกอมอะไรสักอย่างในปากรูปกระจับเล็ก ๆ สีแดงสดกับกลิ่นแชมพูจาง ๆ จากหางเปียที่คลอเคลียข้างแก้มทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายคล้ายกับตอนที่เพิ่งกลับถึงบ้าน

“ตอนอยู่ในห้องอาทูเห็นปลาวาฬมารออยู่ข้างนอกด้วยล่ะ” ถึงจะไม่ได้เห็นแกเป็นคนแรกก็เถอะ แต่ผมอยากบอกให้เจ้าวาฬน้อยรู้นี่นาว่าผมเองก็ดีใจมาก ๆ ที่เราได้เจอหน้ากันก่อนเวลาเลิกงาน (อีกตั้งหนึ่งวันแน่ะ)

อยู่ ๆ เด็กหญิงก็ดิ้นขลุกขลักออกจากอ้อมกอดผม เจ้าตัวทำปากจู๋ก่อนจะยู่หน้าอย่างผิดหวัง “อ้าว... ปลาทูเห็นปลาวาฬได้ยังไงคะ เมื่อกี้ปลาวาฬแอบอยู่นะ”

“หึ ๆๆ ก็ตรงข้างล่างห้องประชุมมันเป็นกระจกใสไงครับปลาวาฬ อาทูเลยเห็นรองเท้าคู่สวยของคนแถวนี้เข้าเต็ม ๆ ” ว่าแล้วผมก็ชี้ตัวการที่ทำให้ผมจำเจ้าวาฬน้อยได้ทันที

“ว้า! เลยไม่ได้เซอร์ไพรส์ปลาทูเลย” ยิ่งพูด เจ้าตัวเล็กก็ยิ่งทำหน้าบู้ บึนปากจนผมอยากจะฟัดแก้มกลม ๆ ตรงหน้าเหลือเกิน

“ใครบอกล่ะครับว่าอาทูไม่เซอร์ไพรส์... แค่ได้กอดปลาวาฬก่อนเลิกงาน อาทูก็เซอร์ไพรส์ฝุด ๆ ไปเลยครับ” ได้ยินแล้ว เจ้าวาฬน้อยก็หลุดยิ้มจนตาหยี ผมเปลี่ยนท่าเป็นนั่งชันเข่าข้างหนึ่งแล้วดึงร่างเล็ก ๆ ลงนั่งเหนือต้นขาพลางลูบผมปลาวาฬอย่างเบามือ “เมื่อยไหมครับ ทำไมไม่ไปนั่งรออาทูดี ๆ ล่ะครับคนสวย”

นึกแล้วก็เป็นห่วง นี่ถ้าต้องประชุมนานกว่านี้ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเล็กจะต้องเดินรอผมอีกนานเท่าไร

“ปลาวาฬไม่เมื่อยค่ะ ปลาวาฬอยากมาเซอร์ไพรส์คุณพ่อกับปลาทู ปลาวาฬเลยมาดักรอหน้าห้อง คุณพ่อล่ะคะ เซอร์ไพรส์ไหม” เด็กหญิงเอียงคอมองท่าน HR Director ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ

“คุณพ่อเซอร์ไพรส์ที่สุดเลยครับลูก”

“เย่! สำเร็จ!” ปลาวาฬตบมือเปาะแปะก่อนจะโยกตัวดุ๊กดิ๊กบนตักผม พี่หนาวนี่ช่างสมเป็นพ่อคนจริง ๆ เพราะหลังจากโดนผมเผลอทำให้เสียเซลฟ์ไปเมื่อครู่ ลุงแกก็กู้รอยยิ้มกลับคืนมาให้ลูกสาวได้ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว

“ชู่ว! เบา ๆ ครับลูก” แค่ท่าน HR Director ป้องปากพลางส่ายหัวให้ เจ้าวาฬน้อยก็ทำตาโต ดูตกอกตกใจพลางเม้มปากกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างหลุกหลิก จนเมื่อได้ยินพี่หนาวกับผมหลุดหัวเราะก่อนนั่นแหละ เด็กหญิงจึงกระซิบเบา ๆ ซ้ำอีกครั้งแค่พอให้พวกเราได้ยิน

“เย่ ๆ ปลาวาฬดีใจจัง” เจ้าของประโยคทำหน้าเจ้าเล่ห์พลางแลบลิ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน เห็นแบบนั้น ผมก็ยิ่งกลั้นขำไม่อยู่

ผมคงมัวแต่หัวเราะจึงไม่ทันรู้ตัวว่าลุงไซด์ไลน์ได้นั่งยอง ๆ ลงข้าง ๆ กันเพื่อปล่อยให้เด็กหญิงที่เพิ่งผละตัวตีจากผมสวมกอดคอพวกเราด้วยแขนคนละข้าง แม้จะไม่มีปัญญาเหลือบมองหน้าคุณพ่อรูปหล่อเพราะโดนปลาวาฬกอดเอาไว้ แต่ลมหายใจร้อน ๆ ที่จ่อลงตรงแก้มก็ทำให้ผมตื่นเต้นฉิบหายวายป่วง

ทำไงดี พี่หนาวอยู่ใกล้มาก...
ใกล้แบบที่... ฮือ ใกล้แบบที่จมูกผมไม่สามารถรับรู้กลิ่นนมเนยหวาน ๆ ของเจ้าวาฬน้อยได้อีกต่อไป
เวร ต่อไปถ้าได้กลิ่นน้ำหอมของพี่หนาวใกล้ ๆ อีก สาบานเลยว่าหัวสมองผมคงนึกอะไรไม่ออกนอกจากเรื่อง porn  

“เดี๋ยวพอเลิกงานแล้ว ปลาวาฬกับคุณพ่อจะไปส่งปลาทูที่บ้านนะคะ” แต้มบุญผมยังคงพอเหลือ เพราะก่อนจะลืมตัว ซุกหน้าฝังเข้าสูดดมซอกคอลุงข้าง ๆ เด็กหญิงก็ยอมปล่อยพวกผมเป็นอิสระ

เมื่อปลาวาฬพูดถึงเรื่องที่เราเพิ่งตกลงกันได้เมื่อเช้า สติผมก็กลับคืนสู่ร่างอย่างสมบูรณ์ ผมกวาดตามองอีกฝ่ายที่ยังปักหลักนั่งกอดคอผมอย่างอาลัยอาวรณ์พลางนึกถึงตอนที่แกพยายามงัดสารพัดวิธีมาหว่านล้อมให้ผมเปลี่ยนใจกลับไปนอนด้วยอีกคืน ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างภูมิใจที่สุดท้ายเจ้าหญิงของผมก็ไม่งอแง

“โอเคครับ” แม้ใจจะอยากย้ายสำมะโนครัวฝากตัวเข้าบ้านพี่หนาว (ในฐานะแฟนใหม่พ่อ) สักแค่ไหน แต่เนื่องจากผมยังไม่เคยเล่าเรื่องลุงไซด์ไลน์ให้ที่บ้านฟัง อีกทั้งยังรับปากพ่อกับแม่เอาไว้ว่าจะกลับไปให้พวกท่านเห็นหน้าหลังจากเก็บผ้าผ่อนหนีตามผู้อยู่หลายวัน ผมเลยไม่อยากผิดสัญญากับที่บ้านพร่ำเพรื่อ

ที่สำคัญ ถ้าท่าน HR Director ยังไม่เปิดปากบอกว่าคิดยังไง ผมก็ไม่ควรออกตัวแรง เดี๋ยวจะหน้าแหกจนงานการวอดวายไปเสียก่อน

••••••

“ไปครับเวลา กลับบ้านกันนะ” คเชนทร์คลี่ยิ้มละไมพลางพยักหน้าให้เด็กชายที่ตนเพิ่งพาเดินออกจากรั้วโรงเรียน

“ครับ” เจ้าของชื่อรับคำก่อนจะดูดนมช็อกโกแล็ตอย่างเพลิดเพลิน

การมารอรับเวลาที่หน้าโรงเรียนเมื่อวานทำให้ชายหนุ่มเรียนรู้ว่า ช่วงเวลาหลังเลิกเรียน เด็ก ๆ ส่วนใหญ่มักจะหิวโซกว่าปกติ วันนี้เขาจึงฝากร้านไว้กับไอซ์นานกว่าเดิมตั้งใจด้วยเพราะอยากมาหาซื้อขนมกับน้ำแถว ๆ หน้าโรงเรียนเตรียมไว้รอรับกาลกมล ซึ่งทันทีที่เห็นเจ้าของร้านดอกไม้หิ้วถุงของกินเต็มสองมือ เด็กชายก็ยิ้มแก้มปริ

ชายหนุ่มกุมฝ่ามือเล็ก ๆ อีกข้างพลางชวนคุย “วันนี้ตอนอยู่โรงเรียนเวลาทำอะไรบ้างครับ ไหนลองเล่าให้ลุงเชนฟังหน่อยซิ”

ขณะที่อีกฝ่ายกำลังครุ่นคิดคำตอบ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน เขาจึงเอ่ยขึ้นเบา ๆ “เดี๋ยวขอลุงรับโทรศัพท์แป๊บนึงนะครับ ระหว่างนี้เวลาก็ลองนึกคำตอบดูนะ”

เวลาพยักหน้า ส่วนเขาก็กดรับสายจากเจ้าของเบอร์แปลกที่แม้จะไม่บันทึกเก็บไว้แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเริ่มคุ้นตา “ครับ?”

(คุณยังอยู่ที่โรงเรียนใช่ไหม)

“ใช่ครับ” เจ้าของร้านดอกไม้เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ แต่เมื่อได้ฟังคำตอบของคนปลายสาย เขาก็ยิ่งประหลาดใจขึ้นอีกหลายเท่า

(งั้นรออยู่ตรงนั้นแป๊บนึง เดี๋ยวไปกินข้าวกัน)

กินข้าวกันงั้นเหรอ? นี่เขารู้ตัวใช่ไหมว่าพูดอะไรออกมา?
แต่เวลาที่เราอยากให้ใครไปกินข้าวด้วย อย่างน้อย ๆ ก็ควรทำเสียงให้มันเต็มใจกว่านี้ไม่ใช่เหรอ?  

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวถ้าคุณมาถึง ผมขอตัวกลับเลยแล้วกัน” ลำพังแค่ต้องพยายามเสวนากับพ่อของเวลาตามมารยาทเมื่อคืน ก็น่าอึดอัดจะแย่ ขืนต้องฝืนนั่งกินข้าวร่วมโต๊ะเพื่อรักษาน้ำใจกันอีก คเชนทร์คงเหนื่อยจนหมดแรงข้าวต้ม ร้านรวงคงไม่ได้ปิดกันพอดี

(แค่นี้นะ ผมขับรถอยู่) เหนือฟ้ายังมีฟ้าฉันใด ธามก็ยังตัดบทสนทนาได้อย่างไร้เยื่อใยฉันนั้น
.
.
.
.
หลังจากธามวางสาย อดีตนางโชว์ตั้งใจมั่นว่าจะหาโอกาสชิ่ง แต่พอมารู้ทีหลังว่า ที่แท้อาม่าที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาล คือ เจ้าภาพตัวจริง ชายหนุ่มจึงจำใจปิดร้านเร็วหน่อยเพื่อปล่อยไอซ์กลับบ้าน จากนั้นจึงค่อย ๆ ลากขากลับมาที่ร้านขนมเพื่อร่วมรับประทานอาหารเย็นกับครอบครัวของเวลาอย่างเสียไม่ได้

สำหรับคนนอกแล้ว บรรยากาศบนโต๊ะอาหาร ณ ขณะนี้ ค่อนข้างตึงเครียดชวนให้รู้สึกตะขิดตะขวง ขนาดพยายามมองข้ามความบาดหมางของสองพ่อลูกไปแล้วก็ตาม ทว่าคเชนทร์กลับยังจับสังเกตอารมณ์คุกรุ่น ไม่ลงรอยกัน ระหว่างอาม่ากับธามได้อยู่ดี

“อาหารจีนมันจะมัน ๆ หน่อยนะ กินได้ไหมหนู” ในเมื่อเด็กชายไม่ยอมพูดทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าพ่อ ซ้ำร้ายธามยังชักสีหน้าใส่เจ้าของร้านดอกไม้ไม่เลิก ผู้อาวุโสสูงสุดจึงออกหน้าพูดคุยกับแขกที่หล่อนเชิญมากินข้าวที่บ้านเสียเอง

“ผมกินได้ครับ” อดีตนางโชว์รีบกินกับข้าวที่หล่อนตักให้เพื่อความสบายใจของอีกฝ่าย “อร่อยมากเลยครับ อาม่าซื้อจากร้านไหนมาเหรอครับ” อาหารที่เพิ่งลิ้มลองสร้างความประทับใจแก่ชายหนุ่มอย่างแท้จริง ยิ่งหากไม่นับว่านี่คือกับข้าวที่ห่อมาอุ่นกินที่บ้าน ความสดใหม่ของวัตถุดิบรวมถึงรสชาติที่กลมกล่อมก็ทำให้เขานึกทึ่ง

“ร้านอาหารเสฉวนแถวบ้านเก่าตรงสาธุประดิษฐ์... ฉันฝากลูกสาวซื้อ ไว้ถ้าหนูอยากกินเมื่อไรก็บอกนะ เดี๋ยวฉันจะบอกให้ลูกสาวซื้อมาให้ ร้านมันใกล้บ้านเขา”

“ไม่รบกวนดีกว่าครับม่า ผมเกรงใจ”

“หนูอย่าเกรงใจฉันเลย หนูช่วยเลี้ยงเวลาให้ตั้งหลายวัน เรื่องแค่นี้เอง ฉันทำให้ได้”

เห็นมารดาขันอาสาเอาอกเอาใจ คนอื่น อย่างออกหน้าออกตา ธามก็ทนแสร้งทำเฉยต่อไปไม่ไหว “ม้า รีบกินข้าวเถอะน่า กับข้าวเย็นหมดแล้วเนี่ย”

“จิ๊!” หล่อนไม่แม้แต่จะตอบโต้ หากแต่ไม่วายปรายหางตามองเลือดเนื้อเชื้อไขอย่างโกรธเคืองก่อนจะตักผัดเต้าหู้ตรงหน้า ทว่าลูกชายหน้าหงิกกลับโวยวายเสียงดัง

“ไม่เอาม้า... ม้ากินซุปนี่เหอะ” ทันทีที่พูดจบ น้ำแกงชามใหญ่ควันกรุ่นก็ถูกหมุนไปหยุดตรงหน้าหญิงชราอย่างมีนัยยะ ทว่าเจ้าหล่อนกลับไม่แม้แต่จะตอบรับความหวังดี
“เอ๊ะอาธาม ก็อั๊วจะกินอันนี้!
“ก็หมอเขาบอกอยู่ว่าช่วงนี้อย่าเพิ่งกินอาหารที่มันเยอะ ๆ ... ม้าจะรอให้หายดีก่อนไม่ได้หรือไง”

อาม่าสะบัดหน้าไปอีกทาง จากนั้นหล่อนก็หันไปเอาใจหลานชายแทน “อ่ะนี่เวลา กินผักหน่อยนะจะได้แข็งแรง”

เด็กชายก้มหน้าก้มตากินข้าวเงียบ ๆ ราวกับไม่มีตัวตนจนคนนอกอย่างคเชนทร์ยังรู้สึกสะท้อนใจ ฝ่ายธามที่โดนมารดามองเมิน ก็อดคิดถึงหลาย ๆ ประเด็นที่หมอเตือนไม่ได้ เพราะนอกจากเรื่องอาหารการกินที่ต้องควบคุมอย่างเข้มงวดแล้ว หมอยังเน้นย้ำให้เขาเฝ้าระวังความผันผวนของอารมณ์และสภาพจิตใจของหล่อนในช่วงนี้เป็นพิเศษอีกด้วย เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มผู้ที่ตลอดชีวิตไม่เคยนึกใส่ใจใครเท่ากับภรรยาซึ่งล่วงลับก็ค่อย ๆ เลื่อนชามเล็ก ๆ ที่ตักแบ่งน้ำซุปกับปลากระพงชิ้นโตไปวางตรงหน้าหญิงชราโดยไม่พูดอะไร...

หากแต่สุดท้ายคนเป็นแม่ก็มองเห็น

“กินเยอะ ๆ นะหนู”

“ขอบคุณครับ” เจ้าของร้านดอกไม้ยิ้มเจื่อนพลางก้มหน้าก้มตากินข้าวในจานต่อไปอย่างมีมารยาท ส่วนหญิงชราที่แม้จะหันมาชวนคเชนทร์กับกาลกมลพูดคุยเป็นระยะ ๆ โดยไม่เหลือบแลบุตรชาย กลับเลือกตักเฉพาะน้ำซุปในถ้วยแบ่งกินโดยแทบไม่แตะต้องอาหารจานอื่น ๆ เลยสักนิด

จริงอยู่ที่การปะทะฝีปากกันของสองแม่ลูกจะชวนให้รู้สึกประดักประเดิดอยู่บ้าง แต่แทนที่จะอึดอัดอย่างที่เผลอเข้าใจไปเองในทีแรก ความสัมพันธ์สุดประหลาดของคนทั้งสามที่มีเพียงคำว่า ครอบครัว ผูกร้อยพันรัดพวกเขาเอาไว้ด้วยกันก็ทำให้คเชนทร์โหยหาช่วงเวลาในอดีตเมื่อครั้งที่พ่อยังขึ้นเสียงใส่เขาทุกครั้งที่เถียง หรือตอนที่ต้องฟังแม่บ่นเรื่องหยุมหยิมจนแทบทนไม่ไหว... นานเท่าไรแล้วนะที่ไม่ได้ล้อมวงกินข้าวพร้อมหน้ากัน

ทุกครั้งที่นึกถึงภาพทรงจำเหล่านั้น ต่อให้ร้องไห้อ้อนวอน หรือคร่ำครวญจนน้ำตาเป็นสายเลือด มันก็ไม่มีวันหวนกลับมาได้อีกแล้ว

••••••

“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง”

คนขับฉีกยิ้มหวานจ๋อยจนคอนซัลท์หนุ่มออกอาการลังเลอย่างเห็นได้ชัด “ทูเดินเข้าบ้านดี ๆ นะ”

“ครับ” ว่ากันตามจริง หากประโยคเมื่อครู่นี้หลุดออกจากปากคนอื่น ทูคงหลุดขำ เพราะบ้านหลังตรงหน้า คือที่พำนักของตนเองกับครอบครัวมากว่ายี่สิบปี เขาจึงแทบไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องระแวดระวังดังถ้อยคำกำชับกำชา แต่เมื่อคนพูดคือหนาว เจ้าตัวจึงรับคำด้วยความซาบซึ้งเท่านั้น

“ให้พี่เดินเข้าไปส่งไหม”

“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เอง ผมเดินได้”

ที่ผ่านมา ทูไม่เคยคิดว่าการก้าวลงรถแล้วเดินเข้าบ้านเป็นเรื่องยากเย็น ทว่าเมื่อทั้งตัวเขาและคนขับต่างแลกเปลี่ยนสายตาอาลัยอาวรณ์แก่กันและกัน ชายหนุ่มก็นึกอยากกลับไปนอนกับอีกฝ่ายเสียให้รู้แล้วรู้รอด ติดแต่เพียงว่า ภาพของปลาวาฬขณะกำลังนอนหลับคอพับคออ่อนอยู่ตรงเบาะหลังกลับทำให้ระลึกขึ้นได้ว่า ถึงเวลาแล้วที่พวกเขาควรแยกย้ายเสียที

“ผมเข้าบ้านเลยดีกว่าครับ พี่จะได้พาปลาวาฬกลับไปนอน”

“อืม” คิมหันต์ยังสองจิตสองใจ แต่สุดท้ายเขาก็หักห้ามใจได้เช่นกัน “เดี๋ยวถึงแล้วพี่โทรหานะ”

“ครับ ได้ครับ” ที่ปรึกษาระบบอมยิ้มเขิน ๆ “ขับรถดี ๆ นะครับ”

หนาวแอบนึกชอบใจที่ได้เห็นรอยยิ้มมุมปากของอีกฝ่ายไปเสียทุกครั้งที่เจ้าตัวได้ยินประโยคเมื่อครู่... รวมถึงอีกประโยคที่เขากำลังจะพูดในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้านี่ด้วย “ฝันดีนะทู”

“ฝันดีครับ”

แม้จังหวะจากลา ทูจะก้มหน้าจนมองอะไรแทบไม่เห็น แต่แก้มแดง ๆ ใต้กรอบแว่นหนากับรอยยิ้มขวยเขินนั่นก็ไม่อาจเล็ดลอดสายตาไปได้ หนุ่มใหญ่เหม่อมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายพลางอมยิ้มกับตัวเอง แต่ทันทีที่หางตาเหลือบไปเห็นช่อดอกไม้ที่ใหญ่กว่าทุกวันตรงเบาะหลังข้าง ๆ ลูกสาว หนาวก็ถอนหายใจยาวเหยียด

ไม่ใช่แค่ดอกไม้หรอกที่น่ารำคาญ สายตาจาบจ้วงของคนรักเก่าที่เฝ้ามองคอนซัลท์ HR ตลอดการประชุมเมื่อช่วงบ่ายก็ทำให้คิมหันต์นึกกังวลจนหงุดหงิด... ขนาดเลิกกันมาสี่เดือน หนำซ้ำยังเดินหน้าสานความสัมพันธ์เกินเลยกับไวท์จนใคร ๆ ที่โรงงานต่างรู้กันไปทั่ว ฝ่ายนั้นก็ยังกล้ามาขายขนมจีบคนทางนี้

ดอกไม้น่ะจิ๊บจ๊อย แต่ถ้ามากกว่านี้ล่ะ ทูจะหวั่นไหวไหม...
แค่ทูเป็นแฟนเขายังไม่มากพอจะกันคนอย่างบูมออกไปจริง ๆ น่ะเหรอ?

••••••

“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” เจ้าของร้านดอกไม้เอ่ยลาหญิงชราอย่างนอบน้อม ทว่าหล่อนกลับแย้งทันควัน

“จะกลับแล้วเหรอหนู ไม่อยู่เล่นกับเวลาก่อนเหรอ”

“ดึกแล้ว... ผมกลับเลยดีกว่าครับ” อดีตนางโชว์หันไปส่งยิ้มให้เด็กชายในชุดนอนที่กำลังฝืนปรือตานั่งจ้องหน้าเขาไม่วาง “ลุงกลับก่อนนะครับเวลา พรุ่งนี้เจอกัน” สาเหตุที่ทำให้คเชนทร์อยากกลับบ้านเร็ว ๆ ไม่ใช่เพราะเกรงใจ แต่เพราะหัวใจของเขาเหนื่อยล้าจนไม่อาจปั้นหน้าสนทนากับใครได้อีกแล้วต่างหาก

เด็กชายปรายหางตามองพลางพยักหน้ารับจ๋อย ๆ ทว่าชายหนุ่มกลับไม่นึกติดใจเพราะเวลาดูเซื่องซึมและใกล้จะหลับเต็มทน

“อาธาม เดี๋ยวลื้อเดินไปส่งหนูเชนที่บ้านด้วยนะ”
“แต่ม้...”
เมื่อเห็นลูกชายกำลังจะอ้าปากเถียง อาม่าก็ชิงตัดหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ม้าง่วงแล้ว จะพาเวลาไปนอน”

ธามถอนหายใจอย่างหงุดหงิดด้วยรู้แก่ใจว่า หากตนยังดื้อแพ่งยืนกรานปฏิเสธ สุดท้ายก็คงเป็นแม่เขานั่นแหละที่เดินไปส่ง คนอื่น ถึงหน้าบ้านทั้ง ๆ ที่เพิ่งหายป่วย คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็หันไปมอง แขกที่เขาไม่อยากเชิญ ตาขวาง “กลับสิ!

เจ้าของร้านดอกไม้เข้าใจและยอมรับการที่เวลาเลือกจะไม่พูด แต่กับคำพูดห้วน ๆ เหมือนสำรอกของผู้ชายคนนี้ คเชนทร์ในสภาพจิตใจไม่ปกติจึงจำต้องปล่อยให้มันลอยผ่านหูไปเหมือนอากาศ “ผมกลับก่อนนะครับอาม่า... เวลา”
.
.
.
.
ทันทีที่ทั้งคู่เดินมาถึงหน้าร้านดอกไม้ เจ้าของบ้านที่เพิ่งปลดล็อกประตูกระจกบานในก็เอ่ยเชื้อเชิญคนเดินมาส่งด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมขอเวลาคุณห้านาที ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ... เราเข้าไปนั่งคุยกันก่อนได้ไหมครับ”

ธามเลิกคิ้ว มองหน้าอีกฝ่ายที่กำลังจะเปิดประตูด้วยสายตากึ่งไม่เข้าใจกึ่งรำคาญ ท่าทีปฏิเสธระคนรังเกียจกลาย ๆ ของพ่อเวลาทำให้คเชนทร์เปลี่ยนใจ อดีตนางโชว์สูดลมหายใจลึกก่อนจะพรั่งพรูสิ่งที่ตนคิดออกมาเดี๋ยวนั้น “คุณ... คุณโชคดีมากนะที่มีครอบครัวแบบนี้”

“หืม?”

“เวลาเป็นเด็กดี แกใจเย็นและอ่อนโยนมากกว่าเด็กคนไหนที่ผมเคยเจอ” เจ้าของประโยคฝืนยิ้มอย่างกล้ำกลืนขื่นขม “ถ้าผมมีลูกชายน่ารักแบบแก ผมต้องรักต้องหลงแกจนโงหัวไม่ขึ้นแน่ ๆ ... ถ้าผมมีเวลาว่าง ผมจะพาแกไปทุก ๆ ที่แกอยากไป จะชวนแกเล่น ชวนแกทำทุก ๆ อย่าง ผมจะเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นพ่อ และเป็นทุก ๆ อย่างของแก ผมจะสนับสนุนให้แกได้ทำในสิ่งที่แกอยากทำให้ถึงที่สุด”

“หึ!” เจ้าของร้านขนมปังแค่นหัวเราะในลำคอ สายตาเหยียดหยามคู่นั้นเลื่อนมามองกัน แต่คเชนทร์กลับไม่ใส่ใจ

“ถ้าผมมีแม่ที่ใจดี ห่วงใย รักและเข้าอกเข้าใจแบบแม่คุณ ผมจะคุยกับแม่ดี ๆ ผมจะทำให้ท่านสบายใจ ผมจะทำให้ท่านภูมิใจที่ท่านมีคนอย่างผมเป็นลูก” ภาพเลือนรางของพ่อกับแม่ในความทรงจำที่ซ้อนทับภาพของธามกับอาม่าทำให้น้ำตาที่พยายามกั้นไว้เอ่อคลอ “ผมจะทำให้ท่านรู้ว่าผมดูแลตัวเอง ดูแลคนที่ผมรักได้”

ทั้ง ๆ ที่เคยลั่นวาจาเอาไว้แบบนั้น ทั้ง ๆ ที่เคยวาดภาพความฝันไว้สวยหรู...
แต่นอกจากหมั่นทำบุญกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ทั้งพ่อและแม่โดยที่ไม่รู้ว่าพวกเขาจะได้รับหรือไม่ คเชนทร์ในวัยสี่สิบสองก็ไม่เห็นหนทางใดที่จะช่วยไถ่ถอนความรู้สึกผิดบาปในใจให้เบาบางลงได้อีกเลย

“เข้าไปคุยข้างในเถอะคุณ!” อารามตกใจ ธามจึงกลับคำพูดเสียเอง

“ไม่! ขอผมพูดให้จบก่อน” เจ้าของร้านดอกไม้สูดน้ำมูกแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือหากเด็ดขาด “ผมอยากพูดให้จบ”

ผู้ชายตรงหน้ายังมีโอกาส ยังมีเวลา... และยังมีพร้อมทุกอย่างที่เขาไม่มี!

ธามถอนหายใจเพราะทำอะไรไม่ถูก ชายหนุ่มได้แต่ยืนอึ้งพลางจ้องมองหยดน้ำตาค่อย ๆ ทิ้งตัวลงมาเป็นสายบนแก้มขึ้นสีแดงก่ำของอีกฝ่าย แต่นั่นคือจังหวะที่เจ้าของร้านดอกไม้เฝ้ารอ

“คุณต้องดูแลแม่กับลูกคุณให้ดีทุกวันเพราะในโลกนี้ ไม่มีใครสำคัญกับคุณมากไปกว่าคนในครอบครัวอีกแล้ว” แม้การกลั้นสะอื้นจะเริ่มเป็นเรื่องยาก ทว่าคเชนทร์กลับยังมุ่งมั่น...

เวลากับอาม่าสมควรจะมีความสุข แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ถ้าธามยังไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
พ่อของเวลาจะต้องไม่ทำเรื่องผิดพลาดต่อบุคคลอันเป็นที่รักเพื่อจะมานั่งสำนึกเสียใจในภายหลังเหมือนอย่างที่เขาเป็น

“ฮึก ฮึก...อย่าผัดผ่อน อย่าคิดว่าไม่เป็นไร อย่าคิดว่าแม่กับลูกคุณรอได้ ฮือ... เพราะคุณอาจไม่มีโอกาสครั้งที่สอง ฮือออ...” พูดมาถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็ปล่อยโฮเสียงดังจนคนฟังหน้าเสีย “ฮือ... คุณอาจไม่มีโอกาสกลับไปแก้ไขความผิดที่คุณเคยทำ... และมันจะทำให้คุณเสียใจไปตลอดชีวิต ฮึก... เชื่อผม”

“เบา ๆ สิคุณ! ชู่ว! อย่าร้องสิ” เจ้าของร้านขนมมองไปรอบตัวเพราะกลัวโดนเข้าใจผิด แต่ดูเหมือนโชคจะเข้าข้าง เนื่องจากวันนี้มีรถราและผู้คนสัญจรไปมาบางตากว่าปกติ

“อะไรที่ยอมได้ก็ยอม ฮึก... อะไรที่ทำให้ครอบครัวมีความสุขได้ ฮึก... ฮึก ก็ให้รีบทำ เพราะแม่คุณ ลูกคุณ หรือกระทั่งตัวคุณ” กี่ครั้งแล้วที่ชายหนุ่มพยายามใช้หลังมือปาดน้ำตาทิ้ง ทว่าแก้มแดงก่ำของอดีตนางโชว์กลับเปียกชื้นด้วยหลักฐานของความเจ็บช้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ฮึก... ฮึก ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้เราจะตื่นขึ้นมาเจอกันอีกไหม”

คเชนทร์จ้องหน้าพ่อของเวลาด้วยสายตาวิงวอนพลางบังคับตัวเองให้กลืนหางเสียงสะอื้นลงคอ “ฮึก... คุณรับปากผมสิ”

“เอ่อ”

เมื่อยังไม่ได้ยินคำที่อยากฟัง คเชนทร์จึงดึงเสื้อธามแล้วรั้งเข้าหาตัวพลางคาดคั้นคำสัญญาอย่างตั้งอกตั้งใจ “รับปากผมสิว่าคุณจะพยายาม”

“เฮ่ย?!

“รับปากสิ!

สีหน้าเจ็บปวดกับท่าทางเอาเรื่องผิดกับมาดนุ่มนิ่มตามปกติของอีกฝ่ายทำให้ชายหนุ่มอีกคนตกใจจนเผลอตกปากรับคำออกไปโดยไม่ทันรู้ตัว “อะ... อือ ผมรับปาก”

แล้วธามก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเดิม  เมื่อจู่ ๆ เสียงร้องไห้คล้ายคนใกล้ขาดใจก็หยุดลงพร้อม ๆ กับร่างของคู่สนทนาที่เอนลงกระแทกซอกคอของเขาเข้าอย่างจัง เสี้ยววินาทีก่อนที่สองมือจะออกแรงผลักร่างง่อนแง่นโงนเงนไปให้พ้น ๆ จิตใต้สำนึกของชายหนุ่มกลับสั่งให้เขาฉุดเอวคนหมดสติเข้าหาตัวพลางกอดเอาไว้แน่นคล้ายกับต้องการซุกซ่อนความเปราะบางและร้าวรานตรงหน้าจากสายตาคนอื่น


••• TBC ••


 กลับมาแล้ว ^_^ มาพร้อมกับเนื้อหาที่หนักขึ้น... นิดนึง
แต่ไม่ต้องห่วง ตอนต่อ ๆ ไปความหน่วงก็จะค่อย ๆ คลายลง
อ่านแล้วชอบไม่ชอบอย่างไร เม้นท์แล้วติดแท็กทิ้ง #ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก #คันหิม
เราจะตามไปอ่านค่ะ รักนะคะทุก ๆ คน (โปรยจูบ)  



No comments:

Post a Comment