#20
ตื่นตอนเช้า คิดถึงกันบ้างไหม
หลับตาฝัน เห็นสองเราบ้างไหม
ส่วนตัวฉัน ถึงแม้นานแค่ไหน
ตื่นและฝัน ของฉันยังอ่อนไหว.. คิดถึงเธอ
คิดถึงกันบ้างไหม - เจสัน ยัง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
ก่อนนอนเมื่อคืน
ผมบอกตัวเองอย่างแข็งขันว่าเช้าวันนี้ ผมจะต้องตื่นก่อนเพื่อมาแอบดูพี่หนาวตอนนอนหลับให้จงได้
ซึ่งถ้าข้ามช่วงเกร็งตัวตะกายขอบเตียงอยู่นานก่อนจะหลับไป
ร่างกายผมก็ว่าง่ายจนน่าทึ่ง เพราะอยู่ดี ๆ ผมก็สะดุ้งตื่นก่อนเสียงนาฬิกาปลุกสำเร็จ
รางวัลของคนตื่นเช้าคือทันทีที่ลืมตา
ผมก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าบ้านอยู่ใกล้มาก ใกล้แบบที่ถ้าอีกฝ่ายเป่าลมใส่หน้ากัน
ขนตาผมน่าจะกระพือพั่บ ๆ
ก่อนคบกับพี่บูม
การที่ผมไม่เคยมีแฟนทำให้ผมไม่เคยรู้รสนิยมทางเพศของตัวเอง
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมพ่ายแพ้ผู้ชายแก่กว่าแบบหมดรูป แต่พอได้เปิดโลกเท่านั้นแหละ
สายตาผมก็มองคนรุ่นเดียวกันไม่หล่ออีกเลย หลังจากแอบติ่งท่าน HR Director มาหลายเดือน ผมพูดได้เต็มปากว่าพี่หนาวเป็นผู้ชายที่หล่อครบเครื่องถูกใจผมมาก
ระยะไกลว่าฟาดว่าปังแล้ว พอได้มานอนสังเกตเครื่องหน้าลุงแกแต่ละส่วนแบบประชิดติดขอบหมอน
ผมยิ่งอดคิดไม่ได้ว่า ผมช่างโชคดีเหลือเกินที่วันนั้นกดกาชาปองจนได้ลุงแกมาเป็นแฟน
(ปลอม ๆ ) จนถึงทุกวันนี้
ส่วนตัวแล้ว ผมไม่ชอบตัวเองตอนตื่นนอนใหม่
ๆ เพราะตากับปากผมจะบวม ๆ ยังไม่เข้าที่ แต่ดูพี่หนาวสิ... คนอะไรวะ ขนาดนอนตะแคง
แก้มยังไม่ย้อยเสียทรงสักนิด มอง ๆ ไป ผมว่ารอยยับขีดเล็ก ๆ
ตรงหางตากับหว่างคิ้วเข้ม ๆ นั่นดูชัดขึ้นนิดหน่อยเมื่ออยู่ในที่แสงน้อยแบบตอนนี้ จมูกพี่หนาวที่โด่งเป็นสันจนน่าอิจฉาดูเข้ากันดีกับริมฝีปากน่าบดจูบที่เผยอและยกขึ้นนิด
ๆ ...
อื้อหือ พี่หนาวนอนอมยิ้มด้วย
สงสัยจะกำลังฝันเรื่องสนุกอยู่
ว่าแต่ เขาจะเคยฝันถึงผมบ้างไหมนะ
“อืม”
เฮ่ย?! เพราะมัวแต่มโนไปเรื่อยเปื่อย ผมเลยไม่ทันรู้สึกตัวตอนลุงไซด์ไลน์เริ่มยุกยิก
ทว่าทันทีที่เสียงครางของคนนอนข้าง ๆ ลอยเข้าหู ผมก็รีบแกล้งตายก่อนที่อีกฝ่ายจะลืมตา
ขืนปล่อยให้ท่าน HR Director จับได้ว่าโดนผมแอบจ้องหน้าตอนนอนหลับอยู่นานสองนาน ผมคงไม่ได้กลับมานอนที่บ้านพี่หนาวอีกแหง
อีกไม่กี่อึดใจถัดมา
เสียงสวบสาบคล้ายคนขยับตัวก็ตอกย้ำให้ผมยิ่งแน่ใจว่าลุงไซด์ไลน์คงจะตื่นนอนแล้วจริง
ๆ รู้ดังนั้น ผมเลยแสร้งนอนต่อหากแต่เงี่ยหูฟังเสียงที่ดังเดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกลพลางจินตนาการว่าอีกฝ่ายทำอะไรบ้างหลังตื่นนอน...
หลังตื่นนอน?
หลัง...
ตื่นนอน!
โอ๊ย เสียดาย
เมื่อกี้ผมไม่น่าลืมสำรวจเลยว่าตอนเช้า ๆ พี่หนาว ‘แข็งแรง’ มากไหม
“ทูอาบน้ำได้เลยนะ
เดี๋ยวพี่ไปดูลูกก่อน”
หืม? ประโยคเมื่อครู่ของอีกฝ่ายพัดความหื่นของผมปลิวหายไปต่อหน้าต่อตา...
เมื่อกี้ลุงแกรู้ตัวอยู่ตลอดงั้นเหรอ?!
แม้จะตกใจที่เด๋อใส่พี่หนาวรับอรุณ
แต่ผมก็ป๊อดพอที่จะทำมึนฝืนนอนคลุมโปงต่ออีกสักพัก จวบจนเมื่อนับหนึ่งถึงสิบหลังได้ยินเสียงลูกบิดประตูครบสามรอบแล้วนั่นแหละ
ผมจึงค่อย ๆ มุดหัวออกจากผ้าห่มเพื่อจะพบว่าเจ้าของบ้านกำลังยืนยิ้มแป้นจ้องผมจากกรอบประตู
“เฮ่ย?!”
“อรุณสวัสดิ์”
พอเห็นผมตกใจ อีกฝ่ายก็กลั้นขำแล้วพูดกับผมสั้น ๆ ก่อนจะเดินหายเข้าห้องปลาวาฬไป ส่วนตัวผมที่โป๊ะซ้ำซ้อนและอ่อนเกินจะโต้ตอบลุงแกได้ก็ฝังหน้าลงพ่นลมหายใจใส่หมอนใบข้าง
ๆ สลับกับสูดกลิ่นจาง ๆ เพื่อล้างแค้นอยู่นานหลายนาที
บ้าจริง
ขนาดหมอนยังหอม แล้วลุงไซด์ไลน์ตัวเป็น ๆ ล่ะจะหอมเบอร์ไหน
••••••
“อ้าวธาม!”
เจ้าของชื่อดูจะตกใจมากกว่ายินดีที่เจอพวกผมตรงหน้าโรงเรียนประถมของพวกเด็ก
ๆ แต่แม้การปรากฏตัวของผมกับพี่หนาวจะเหนือความคาดหมาย แต่สุดท้ายคุณธามก็ฝืนยิ้มรับเราสองคนจนได้
“พี่หนาว คุณทู”
“สวัสดีครับ”
ผมผงกหัวรับพลางคลี่ยิ้มคืนให้อีกฝ่ายตามมารยาทก่อนที่หางตาจะเหลือบไปเห็นใครอีกคนที่คุ้นหน้าพอกัน
ไม่นึกเลยว่าเช้านี้คุณธามจะควงเจ้าของร้านดอกไม้คนสวยที่ผมเจอเมื่อวันก่อนมาส่งเวลาด้วยกัน
แต่ที่น่าปลื้มใจเป็นพิเศษเห็นจะเป็น เมื่อเราสบตากัน คุณเชนก็ฉีกยิ้มหวานจ๋อยส่งให้จนผมแอบรู้สึกเขินอย่างไรบอกไม่ถูก
ตอนเจอกันวันก่อนว่าสวยแล้ว
แต่พออยู่ใต้แสงแดดอ่อน ๆ ตอนเช้า คุณเชนก็ยิ่งสวยหมดจดเจิดจ้าไปกันใหญ่ สวยจนถ้าไม่ติดว่าผมรู้จักคุณธามกับคุณเชนมาก่อน
และถ้าไม่ใช่เพราะพ่อเวลากำลังทำหน้าบูดเป็นตูดเป็ดอยู่ล่ะก็นะ ผมคงเผลอเข้าใจว่า
ชายหนุ่มสองคนตรงหน้าคือคู่สามีภรรยาที่พร้อมใจกันมาส่งลูกชายที่โรงเรียนตอนเช้า...
ซึ่งเมื่อเหลือบมองข้อมือตัวเองที่ถูกปลาวาฬฉุดให้เดินเข้าไปหาเวลาที่ยืนประกบคุณเชนไม่ห่างผมก็อดยิ้มปลื้มไม่ได้
ฮึ่ย
บ้าจัง พวกเราสองครอบครัวตื่นมาส่งลูกที่โรงเรียนเหมือนกันเลย!
“คุณเชนสวัสดีครับ
วันนี้มาส่งเวลาด้วยเหรอครับ”
“ครับ”
เจ้าของชื่อยิ้มรับก่อนจะหันไปมองเจ้าวาฬน้อยอย่างสนใจ “โอ้โห วันนี้ผมปลาวาฬสวยจังเลยครับ
ใครทำผมให้ปลาวาฬเอ่ย”
“ปลาทูค่ะ
วันนี้ปลาทูถักหางเปียให้ปลาวาฬ” ผมกลั้นยิ้มขณะเฝ้ามองเด็กหญิงลูบโบว์บนหางเปียข้างหนึ่งอย่างทะนุถนอม...
ปลาวาฬภูมิใจเบอร์ไหน ไอ้ที่ผมรู้สึกอยู่ในใจคือคูณเข้าไปอีกสิบเท่าเลยครับ
“คุณทูเก่งจังเลยครับ”
ไม่อยากจะบอกเลยว่า
ตั้งแต่ผมเห็นลุงไซด์ไลน์ทำผมให้ปลาวาฬเมื่อคราวก่อน
ผมมักจะตะบี้ตะบันไล่ดูคลิปสอนถักผมเปียให้เด็กผู้หญิงในยูทูปอย่างบ้าคลั่ง
พอมีเวลาว่างทีไร ผมก็จะยืมผมยีนส์เพื่อฝึกฝีมือก่อนจะสบโอกาสแสดงแสนยานุภาพให้พี่หนาวกับเจ้าวาฬน้อยต้องร้องว้าวรัว
ๆ ในที่สุด
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”
คำชมของคุณเชนทำให้ผมยิ่งต้องหักห้ามใจไม่เผลอยิ้มอวดเเบ่งใส่คนสวย
ซึ่งเดาว่าความพยายามดังกล่าวกำลังทำให้เหง้าหน้าของผมเบี้ยวเสียทรงอยู่เด็ด ๆ
เจ้าของร้านดอกไม้ก้มลงลูบหลังเด็กชายพลางยิ้มถาม
“ว่าไงเวลา วันนี้ปลาวาฬสวยไหมครับ”
“สวยครับ”
เวลาอมยิ้มจนแก้มกลมดิก
ผมเกือบยกมือทาบอกด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงของเด็กชายเป็นครั้งแรก
อ้าว
ไหนพี่หนาวบอกว่าเวลาไม่คุยกับใครไง แล้วทำไมกับคุณเชนถึงเป็นข้อยกเว้น... อ๋อ
ผมรู้แล้ว ที่แท้เวลาก็แพ้คนสวยตั้งแต่เด็กนี่เอง
“ไปคุณ
เดี๋ยวผมพาไปพบคุณครู” อยู่ ๆ
คุณธามที่ผมนึกว่ากำลังคุยติดพันกับพี่หนาวก็โผล่เข้ามาแทรกกลางวงสนทนา ผมไม่แปลกใจนักที่พ่อเวลาโพล่งขึ้นห้วน
ๆ แต่ที่ผมสงสัยก็คือ ทำไมเด็กชายถึงดูติดคุณเชนมากกว่าพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง?
“อ๋อ
ครับ... ไปกันเถอะครับเวลา” ยิ่งเวลาเกาะคุณเชนไม่ปล่อย คุณธามก็ยิ่งดูไม่พอใจแต่อาจเพราะอยู่ต่อหน้าลูกชาย
คุณธามเลยได้แต่ชักสีหน้าใส่ทุกคนในโลกเท่านั้น... สรุปว่าสองคนนี้มีปัญหากันงั้นเหรอ
“ผมขอตัวก่อนนะครับคุณทู”
“ครับ”
ผมคลี่ยิ้มให้เจ้าของร้านดอกไม้คนสวยก่อนจะก้มลงคุยกับเจ้าวาฬน้อยที่ยังยืนจับหางเปียตัวเองไม่เลิก
“ไปครับเจ้าหญิง ได้เวลาเข้าเรียนแล้ว”
“โอเคค่ะ
เดี๋ยวเย็นนี้เจอกันที่บ้านนะคะ”
ลูกสาวพี่หนาวโผเข้ากอดแล้วหอมแก้มผมเต็มแรง
ผมเลยหอมแกคืนแบบไม่ให้น้อยหน้ากัน “ได้เลยครับ!” เมื่อเสร็จจากผม เด็กหญิงก็ร่ำลาคุณพ่อสุดหล่อด้วยกระบวนท่าเดียวกันก่อนจะหันกลับมาโบกมือไหว
ๆ ส่งให้พวกเราขณะเดินผ่านประตูรั้วและกลุ่มคุณครู
ระหว่างยืนรอส่งปลาวาฬเดินเข้าโรงเรียน
พี่หนาวก็เปรยขึ้นเบา ๆ ด้วยสีหน้าหนักใจ “เมื่อวานแม่ธามเข้าโรงพยาบาล
หมอให้แอดมิทดูอาการสองวัน”
ฟังแล้วผมก็อดตกใจไม่ได้
ไม่นึกเลยว่าแม่คุณธามที่เพิ่งเจอกันเมื่อวันก่อนจะกำลังนอนอยู่โรงพยาบาล
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”
“เห็นธามบอกว่าเป็นลมแล้วก็ล้ม
ดีที่ท่านนั่งอยู่เลยไม่มีส่วนไหนกระแทกพื้น แต่ม้าอายุเยอะแล้ว หมอเลยขอเช็กร่างกายให้ละเอียดหน่อย”
ลุงไซด์ไลน์ถอนหายใจพลางโบกมือ คลี่ยิ้มให้ลูกสาวที่ยังแอบวิ่งกลับมาโผล่หน้ามองพวกเราจากข้าง
ๆ ตึกเรียนอยู่สักพักก่อนที่เด็กหญิงจะเดินเข้าโรงเรียนไปในที่สุด
“อืม
อยู่โรงบาลให้หมอเช็กก่อนก็ดีครับ จะได้สบายใจ” ผมเห็นด้วยกับการตัดสินใจของคุณหมอร้อยเปอร์เซนต์
ยิ่งถ้าเรื่องนี้เกิดกับคนในครอบครัวตัวเอง ผมก็อยากให้คุณหมอเช็กร่างกายให้ครบทุกส่วนจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีใครเป็นโรคร้ายแรงจริง
ๆ ผมถึงจะคลายกังวล
“เฮ่อ”
อยู่ ๆ คู่สนทนาก็ถอนหายใจยาวจนผมอดเป็นห่วงลุงแกไม่ได้
“มีอะไรหรือเปล่าครับพี่หนาว”
“พี่เป็นห่วงธามน่ะ
นี่ถ้าเมื่อกี้ไม่เจอกัน ธามคงไม่ยอมบอกพี่ว่าม้าเข้าโรงบาล”
อ๋อ
ที่เมื่อกี้สองหนุ่มแยกวงไปยืนเสียห่างก็เพราะจะคุยกันเรื่องนี้เอง “เขาคงเกรงใจพี่หนาวล่ะมั้งครับเลยไม่อยากเล่าให้ฟัง”
ท่าน
HR Director ส่ายหัวพลางบุ้ยใบ้ให้ผมหมุนตัวกลับไปยังซองจอดรถ
“ธามมันเป็นพวกไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยเล่า เวลามีปัญหาอะไรก็ชอบเก็บไว้คนเดียว” แม้จะเห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย
แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงความวิตกแบบเต็มเปี่ยม “ถ้าไม่ใช่เพราะม้าเล่าให้ฟัง ป่านนี้พี่คงยังไม่รู้ว่าเวลาไม่ยอมพูดกับใครอีกเลยตั้งแต่เล็กเสีย”
“โห
แบบนี้คุณธามไม่อึดอัดแย่เหรอครับ”
“ถ้าถามพี่
พี่ก็ไม่แน่ใจนะว่าธามอึดอัดไหม แต่ถ้าปล่อยไว้แบบนี้นาน ๆ
พี่กลัวจะแย่กันหมดทั้งบ้านน่ะสิ”
แม้จะชอบหนีปัญหารวมถึงคอยชิ่งคนพูดจาไม่รู้เรื่องเป็นนิสัย
ทว่าทุกครั้งที่เจอเรื่องร้าย ๆ
ผมมักจะพร่ำเพ้อความรู้สึกทั้งหลายให้ครอบครัวกับเพื่อนสนิทฟังอย่างหมดเปลือกเสมอ
ผมเลยไม่ค่อยเครียดกับชีวิตเท่าไร แต่คุณธามนี่สิ... ทนเก็บกดอยู่ได้ยังไง
ข้างในไม่ใกล้ระเบิดเต็มทีแล้วเหรอ?
ถึงผมจะคิดตรงกันกับพี่หนาว
แต่ครั้นจะพูดโดยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ผมก็ทำไม่ลง ยิ่งเห็นสีหน้าลำบากใจของลุงแกด้วยแล้ว
ผมคงชงให้สถานการณ์ยิ่งดิ่งลงเหวอีกไม่ไหว “คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้งครับ”
“อืม”
คนข้าง ๆ ครางรับแบบที่แค่ฟังก็รู้ว่า กระทั่งแกเองก็ยังไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อ พอเห็นพี่หนาวปลดล็อกพริอุส
ผมเลยรีบขึ้นรถเพราะขืนชักช้ารถอาจจะติดกว่านี้ “พี่ว่าเย็นนี้พี่จะไปเยี่ยมแม่ธามเสียหน่อย
เดี๋ยวพี่โทรคุยกับป๊อบปี้ก่อนว่าจะพาปลาวาฬมาก่อนห้าโมงได้ไหม”
“อ้าว
แล้ววันนี้ปลาวาฬไม่ต้องไปเรียนว่ายน้ำเหรอครับ” ผมปล่อยให้สองมือจัดการคาดเข็มขัดแล้วย้ายสายตาไปหยุดอยู่ตรงใบหน้าเคร่งเครียดของคนขับ
“คงต้องให้ป๊อบปี้เขาดูเอานั่นแหละ
ถ้าไม่ทันก็อาจจะไม่เรียน”
“ครับ”
ในเมื่อพี่หนาวว่ามาแบบนี้ แล้วคนนอกครอบครัวอย่างผมจะทำอะไรได้...
ถ้าพี่หนาวกับพี่ป๊อบปี้พาปลาวาฬไปเยี่ยมแม่คุณธาม
สงสัยคืนนี้ผมคงต้องกลับไปนอนที่บ้านเสียล่ะมั้ง
“ทู”
“ครับ?”
“เย็นนี้ทูไปเยี่ยมแม่ธามกับพี่แล้วก็ลูกนะ”
อ้าว...
พี่หนาวไม่ได้จะไปกับพี่ป๊อบปี้หรอกเหรอ?
ฮือ
แม่ครับ ผู้ชายชวนน้องทูไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ที่โรงพยาบาลด้วยล่ะ
“ครับ”
แม้จะยังเขินกับประโยคเมื่อครู่ไม่หาย
แต่ผมก็ทำหน้าตายขณะเอ่ยรับคำได้อย่างแนบเนียน เชื่อเถอะว่าต่อให้ลุงแกไม่ออกปาก
และต่อให้จะต้องเป็นส่วนเกินซึ่งติดสอยห้อยตามครอบครัวนี้ไปเรื่อย ๆ ผมก็ยังพร้อมจะไปทุก
ๆ ที่ที่ผู้ชายคนนี้ไปอยู่ดีนั่นแหละ
••••••
จากแรกที่หลงคิดว่าพี่ป๊อบปี้จะมาเยี่ยมแม่คุณธามด้วย
กลับกลายเป็นว่า การที่วันนี้ปลาวาฬไม่ได้เรียนว่ายน้ำพอดีกับตารางของแฟนเก่าพี่หนาวเช่นกัน
เพราะอยู่ ๆ น้องดีก็เกิดปวดฟัน พี่ป๊อบปี้เลยต้องพาปลาวาฬที่เพิ่งเลิกเรียนไปรอน้องที่ร้านหมอฟันเสียด้วยกันจากนั้นจึงกระเตงสองสาววนรถมาแวะส่งคนพี่ที่โรงงานทันก่อนห้าโมง
ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ตอนนี้พวกเราทั้งสามก็มาอยู่บนพรีอุสสีขาวเป็นที่เรียบร้อย
(เห็นพี่หนาวบอกว่า พรุ่งนี้เช้าพี่ป๊อบปี้จะส่งกระเช้าของเยี่ยมไปให้แม่คุณธามต่างหาก)
“คุณพ่อขา
เปิดเพลงนั้นได้ไหมคะ”
“ได้สิครับ”
ผมแอบสนใจรอยยิ้มมีความสุขแปลก
ๆ ของพี่หนาวหลังได้ฟังรีเควสของสาวน้อยเบาะหลัง แต่เมื่อท่อนแรกของเพลงเก่าที่พ่อเคยเปิดให้พวกผมฟังตอนเด็ก
ๆ ดังขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงร้องคลอของคนข้าง ๆ ผมก็อดยิ้มตามไม่ได้
“เกิดสงครามพันครั้ง
เด็กก็ยังสวยงาม เป็นเพียงแค่สงคราม ความเดียงสาเท่าเดิม”
เพลงนี้ผมรู้จัก
แต่มีบางท่อนเท่านั้นที่ผมพอจะร้องตามได้...
นอกจากพี่เต๋อกับพี่แจ้แล้ว
แม่ผมยังปลื้มเฉลียงเอามาก ๆ แต่พอรู้ว่าแม่ชอบ พ่อก็ไม่ค่อยยอมเปิดเพราะดูเห็นแม่กรี๊ดกร๊าดผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเองไม่ไหว
นี่ถ้ารู้ว่าอาการหึงหวงของพ่อในวันนั้นจะส่งผลให้ผมเข้าสังคม (กับสองพ่อลูก)
ได้อย่างยากลำบากในวันนี้ ตอนเด็ก ๆ ผมจะแอบขโมยเทปเฉลียงไปเปิดฟังซ้ำ ๆ ให้มันพังไปเลย
“กล้วยน้ำว้าเวลาสุกงอม
อีกกล้วยหอมกินแล้วชื่นใจ ฉันชอบกล้วยไข่... เพราะ?”
“เพราะมันไม่มีกระดูก!” จากเดิมที่เคยเข้าใจว่าพี่หนาวตอนร้องเพลงนั้นช่างมีพลังทำลายล้างรุนแรง
แต่เมื่อได้เห็นลุงแกกำมือทำท่ายื่นไมค์ไปจ่อปากเจ้าวาฬน้อยต่อหน้าต่อตา
ผมก็รู้ซึ้งแล้วว่า หัวใจที่บางเป็นกระดาษนั้นยังถูกความน่ารักมุ้งมิ้งของอีกฝ่ายรีดให้บางได้อีก
ฮือ
ลุงไซด์ไลน์ตอนเล่นกับลูกคือที่สุด... อยากได้ใส่ห่อกลับไปกินต่อที่บ้านมาก
ผมนั่งฟังสองพ่อลูกร้องเพลงที่ตัวเองยังฮัมทำนองตามแทบไม่ถูกอย่างปลื้มปริ่ม
ผมมีความสุขจนบอกไม่ได้ว่า จริง ๆ แล้วระยะทางจากโรงงานไปยังโรงพยาบาลในละแวกคอนโดของพี่หนาวนั้นสั้นมากดังคำอวดอ้าง
หรือเพราะผมม่วนแรงจนเวลายังติดปีกบินผ่านไปอย่างที่ใคร ๆ ชอบพูดกัน
.
.
.
.
“ม้าสวัสดีครับ”
กว่าผมกับปลาวาฬจะเดินตามพี่หนาวทัน ท่าน HR Director ที่ถือกระเช้าผลไม้ใบใหญ่ก็เดินนำเข้าไปยกมือไหว้หญิงชราที่นั่งพิงหมอนอยู่บนเตียงเป็นที่เรียบร้อย
“พี่หนาว
คุณทู เชิญนั่งก่อนครับ” คุณธามยิ้มเมื่อเห็นหน้าพวกเราสามคนพร้อมหน้า
“ม้าสวัสดีครับ”
“อาม่าสวัสดีค่ะ”
ผมไม่แน่ใจว่า ตามปกติแล้วเด็กหญิงทำอย่างไรเวลาที่แม่คุณธามไปรับแกกับเวลาที่โรงเรียน
แต่พอเห็นผมทำความเคารพท่าน เจ้าวาฬน้อยก็รีบยกมือไหว้อาม่าของเพื่อนสนิททันที
“นั่งก่อนลูกนั่งก่อน”
อาม่ากับพี่หนาวคงรู้ว่าผมเป็นส่วนเกินที่แท้ทรู ทั้งคู่เลยพร้อมใจกันชี้ให้ผมพาปลาวาฬไปนั่งดูทีวีรอตรงโซฟา
ผมก็ไม่ขัดศรัทธาเพราะไม่อยากให้ปลาวาฬต้องยืนเก้ ๆ กัง ๆ เดี๋ยวแกจะเมื่อยไปเสียก่อน
“ผมเห็นม้ากับเวลาชอบกิน
ผมเลยซื้อมาฝากครับ” พี่หนาวเอ่ยพลางยื่นกระเช้าผลไม้ส่งให้คุณธาม
แต่กลับเป็นคนป่วยที่เอ่ยสวนขึ้นทันควัน
“โอย
ไม่เห็นต้องลำบากเลยหนาว”
“ผมไม่ลำบากเลยครับ”
“ขอบใจนะหนาว”
ถึงสุดท้ายแล้วแม่คุณธามจะเอ่ยรับของไว้อย่างเสียไม่ได้ แต่ผมแน่ใจว่าลึก ๆ แล้วท่านน่าจะดีใจที่เห็นพี่หนาวกับปลาวาฬมาเยี่ยม
“ม้าเป็นยังไงบ้างครับ
หมอบอกว่ายังไงบ้าง”
คนป่วยถอนหายใจพลางส่ายหน้าดิก
“ม้าไม่ได้เป็นอะไร ม้าแค่นอนน้อยหลายวันเลยเป็นลม คุณหมอบอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ม้าก็กลับบ้านได้แล้ว”
หลังจากสังเกตสีหน้าอาการ กับนั่งฟังน้ำเสียงสดชื่นของแม่คุณธามอยู่พักใหญ่ ๆ
ผมก็เริ่มเชื่อว่าท่านน่าจะยังสบายดีตามที่พูดจริง ๆ ถึงอย่างนั้นกลับยังมีอยู่อีกคนที่คิดไม่เหมือนกัน
“ที่ไหนล่ะม้า
บอกกี่ครั้งแล้วว่าม้าต้องรอคุยกับหมอเรื่องผลตรวจคลื่นหัวใจก่อน”
คุณธามผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้เฝ้าไข้ที่วางติดขอบเตียงเพื่อยืนเถียงแม่โดยเฉพาะ
“ก็นั่นแหละ
หมอบอกอั๊วว่าพอคุยเสร็จบ่าย ๆ ก็กลับบ้านได้” ก่อนที่คุณธามจะโต้ อาม่าเวลาก็ขัดขึ้นด้วยสีหน้าพร้อมจะไฝว้ไม่แพ้กัน
“ไม่รู้ล่ะ ยังไงพรุ่งนี้อั๊วก็จะกลับบ้าน”
“บ้านมันไม่หนีไปไหนหรอกม้า
ม้าอยู่ให้หมอเขาดูอาการก่อน!”
“ลื้อจะไม่พาอั๊วกลับบ้านก็ไม่เป็นไร
เดี๋ยวอั๊วให้อาอ้ายอีจัดการ”
“ม้าจะไม่ฟังอั๊วก็ตามใจ
แต่ถ้าหมอให้ม้าอยู่ต่อ เจ้อ้ายก็ไม่ให้ม้ากลับบ้านหรอก”
ผมชักไม่แปลกใจแล้วสิว่าทำไมเวลาจึงไม่ยอมพูดกับใครนานหลายเดือน
เพราะถ้าให้สืบค้นถึงต้นตอความดื้อแล้ว
คงต้องเท้าความย้อนไปถึงรุ่นคุณแม่คุณธามโน่นเลย...
บ้านนี้เขาดื้อแรงแฝงในดีเอ็นเอแท้ ๆ
“อาธาม!”
“ม้า!”
“ลื้อนี่นะ!”
ผมมองคนป่วยกับลูกชายโต้คารมกันอย่างอึ้ง ๆ นี่ถ้าใครสักคนไม่ยอมหยุด
สงสัยคืนนี้พวกผมคงไม่ได้กลับบ้าน
“พรุ่งนี้รอคุยกับคุณหมอก่อนเถอะครับม้า
ถ้าไม่มีอะไร คุณหมอก็ต้องให้ม้ากลับบ้านแน่ ๆ ครับ”
ก่อนที่สองแม่ลูกจะเถียงกันจนโดนพยาบาลเดินเข้ามาดุ ท่าน HR Director ก็ยื่นมือเข้าไกล่เกลี่ย
ซึ่งดูเหมือนว่าคุณธามกับแม่จะเกรงใจพี่หนาวมากเอาการทีเดียว
“อืม”
คนป่วยเบือนหน้าไปเหม่อมองทีวีคล้ายกับไม่อยากเห็นหน้าลูกชาย
กาวใจสุดหล่ออย่างพี่หนาวเลยหันไปคุยกับพ่อของเวลาแทน
“เวลาล่ะธาม”
“ผมฝากลูกไว้ที่ร้านดอกไม้ครับ”
ถ้าดูไม่ผิด ผมว่าหัวคิ้วของคุณธามขมวดนิด ๆ แถมหน้ายังบึ้งหน่อย ๆ ตอนตอบคำถามเมื่อครู่...
คุณธามน่าจะไม่ถูกกับคุณเชนจริง ๆ อย่างที่ผมสงสัย แต่ถ้าไม่สบายใจ แล้วทำไมถึงต้องเอาลูกชายไปฝากไว้กับคนที่ตัวเองไม่ชอบหน้าด้วยล่ะ?
“อ๋อ
อืม แล้วนี่ธามกับม้ากินอะไรหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วครับพี่
พี่กับคุณทูล่ะครับ”
“เดี๋ยวรอเยี่ยมม้าเสร็จก่อนค่อยว่ากัน”
พี่หนาวเหลือบมองมาแล้วยิ้มให้ผมครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไปหาคนข้าง ๆ “ถ้ามีอะไรอยากให้พี่ช่วย
ธามบอกพี่ได้เลยนะ”
“ไม่มีหรอกพี่
เดี๋ยวพอสามทุ่มเจ้มา ผมก็จะกลับไปรับเวลาเหมือนกัน”
“หนักหน่อยนะธาม”
ลุงไซด์ไลน์ปลอบพลางตบบ่าคู่สนทนาเบา ๆ
“ไม่เป็นไรพี่
ผมยังไหว”
เท่าที่สังเกตอาการหัวร้อนของคุณธามหลังโดนแม่ดื้อใส่
ผมก็เริ่มจะเป็นกังวลตามพี่หนาวไปอีกคน อันที่จริง ผมคิดว่าคุณธามเองก็เป็นคนน่าสงสารคนหนึ่ง
เพราะนอกจากแกจะต้องแบกรับภาระทั้งหมดในบ้านไว้บนบ่าตามลำพังแล้ว
แกยังไม่สามารถทำให้ใครเข้าใจความเป็นคนแข็ง ๆ กึ่ง ๆ ขี้ระแวงของแกได้เลยสักคนเดียว
นึกไม่ออกจริง
ๆ ว่าความอ้างว้างโดดเดี่ยวที่คุณธามต้องพบเจอแทบทุกวัน จะโหดร้ายรุนแรงกว่าช่วงเวลาแย่
ๆ ที่ผมเคยพบเจอสักแค่ไหนกัน
••••••
“ฮัลโหล”
ขณะรอฟังเสียงจากปลายสาย
คเชนทร์ก็เอื้อมหยิบกุญแจบ้านพลางเหลือบมองดูนาฬิกาตรงหัวนอนอีกครั้ง...
สี่ทุ่มครึ่ง ถึงจะเร็วกว่าเมื่อวาน แต่มันก็ดึกเกินกว่าที่เขาจะปล่อยให้เด็กชายถ่างตารอพ่อมารับอยู่ดี
(ผมมาถึงแล้ว)
“ครับ
รอเดี๋ยวนะครับ ผมกำลังลงไป” เจ้าของร้านดอกไม้รีบสาวเท้าลงบันไดอย่างรวดเร็ว
ไม่กี่อึดใจให้หลัง ชายหนุ่มก็ต้องแปลกใจเมื่อยกประตูเหล็กม้วนขึ้นแล้วเห็นเพียงธามยืนจังก้าหน้าประตูโดยไร้เงารถเอสยูวีสีดำคันที่จอดกีดขวางทางเมื่อคืนวาน
“อ้าว แล้วรถคุ...?”
“ผมแวะเข้าบ้านเอารถไปเก็บแล้วเดินมา”
“อ๋อ
ครับ” เท่าที่ประเมินจากใบหน้าชื้นเหงื่อกับน้ำเสียงหอบ ๆ ของอีกฝ่าย
อดีตนางโชว์ก็อดคิดไม่ได้ว่าพ่อของเวลาน่าจะวิ่งกระหืดกระหอบมามากกว่าเดิน
รู้ดังนั้น ชายหนุ่มจึงอดเสนอแนะด้วยความหวังดีไม่ได้ “คุณนั่งพักสักแป๊บดีไหมครับ
อีกเดี๋ยวค่อยขึ้นไป”
ที่พูดไปแบบนั้นเพราะนอกจากจะกลัวพ่อเวลาจะเหนื่อยจนเป็นลมล้มพับไปแล้ว
คเชนทร์ยังหวั่นใจว่า หากธามเกิดวูบไปขณะกำลังอุ้มเด็กชายขึ้นหรือลงบันได
เขาคงแบกรับความผิดและความเสียใจอีกไม่ไหว
น่าแปลกที่เมื่อธามได้ยินข้อเสนอของคเชนทร์
ชายหนุ่มกลับไม่โต้เถียงใด ๆ หนำซ้ำยังยอมทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาแต่โดยดี เจ้าถิ่นจึงเดินเลี่ยงไปเปิดพัดลมก่อนจะบ่ายหน้าเข้าครัวเพื่อรินน้ำเย็นใส่แก้วกลับมายื่นให้
“น้ำเย็นครับ... ดื่มสักนิดเถอะครับ”
“ขอบคุณ”
เพื่อไม่เป็นการเร่งรัดหรือทำให้อีกฝ่ายอึดอัดจนเกินไป
คเชนทร์จึงเดินไปนั่งตรงโต๊ะกินข้าวที่อยู่ไม่ไกล
ก่อนจะหยิบยกเรื่องสัพเพเหระมาพูดคุยเพื่อผ่อนความตึงเครียดในบรรยากาศให้คลายลง “ไอซ์ฝากถามว่าคุณจะเปิดร้านเมื่อไรครับ”
อันที่จริง
ตลอดทั้งวันที่อยู่ด้วยกัน ไอซ์ไม่ได้แค่ชวนคุย หากแต่เด็กหนุ่มหัวไวคนที่ธามฝากมาให้ช่วยดูร้านยังสามารถปรับตัวเข้ากับเขา
รวมถึงงานในร้านดอกไม้ได้เร็วกว่าที่คิด ยิ่งมีไอซ์มาช่วย คเชนทร์ก็มีเวลามากขึ้น
แถมอีกฝ่ายยังอาสาไปส่งดอกไม้ให้ลูกค้าที่อยู่ใกล้ ๆ จนชายหนุ่มไม่ต้องควักเงินค่าฝากส่งดอกไม้ให้มอเตอร์ไซค์วินแถว
ๆ นั้นอีกต่างหาก
ทว่าแม้ไอซ์จะเป็นผู้ช่วยที่น่าทึ่งสักเพียงไหน
คเชนทร์กลับไม่แน่ใจว่า ธามจะมีปฏิกิริยาเช่นไรเมื่อรู้ว่าเขากับลูกมือชั่วคราวเข้ากันได้ดี
ชายหนุ่มจึงเลือกหัวข้อทั่ว ๆ ไปมาสนทนาฆ่าเวลา
“เดี๋ยวผมโทรคุยกับไอซ์เอง”
“โอเคครับ”
แม้สีหน้าบอกบุญไม่รับของธามจะทำให้คเชนทร์โล่งใจที่เมื่อครู่ไม่ได้เผลอเอ่ยชื่นชมคุณงามความดีของไอซ์ออกไป
แต่ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าการต้องสนทนากับคนไม่มีมารยาท แถมยังพูดจาห้วน ๆ
นั้นช่างน่ากระอักกระอ่วนดีเหลือเกิน “อาม่าเป็นยังไงบ้างครับ”
“รอฟังผลตรวจคลื่นหัวใจพรุ่งนี้
ถ้าไม่มีอะไรก็คงกลับบ้านได้”
“แล้วนี่มีใครนอนเฝ้าอาม่าหรือเปล่าครับ”
“พี่สาวผม”
“อ๋อ
ครับ” อดีตนางโชว์แค่นยิ้มก่อนจะเสมองไปอีกทางพลางคิดหาหัวข้อสนทนาอื่น ๆ เพิ่มเติม...
ตอนช่วยโจโจ้รับรองแขกวีไอพี เขาชวนแขกคุยเรื่องอะไรบ้างนะ?
“ผมขอน้ำอีกแก้วสิ”
คเชนทร์ที่มัวแต่คิดว่าจะถามอะไรธามต่อดีสะดุ้งเบา
ๆ เมื่อได้ยินคำขอของอีกฝ่าย “ครับ ๆ ได้ครับ”
เจ้าของร้านดอกไม้รีบดิ่งกลับเข้าไปในครัวแล้วเปิดตู้เย็นฉวยขวดน้ำติดมือมาด้วยหนึ่งขวด
แต่เมื่อหมุนตัวกลับมา เขากลับพบว่าคนที่เพิ่งขอเติมน้ำนั่งหน้าคว่ำคอพับไปเสียแล้ว
หลังจากถกเถียงกับตัวเองด้วยความลังเลใจอยู่นานสองนาน อดีตนางโชว์ก็ล้มเลิกความคิดที่จะปลุกอีกฝ่ายลงชั่วคราว
เพราะขนาดแก้วพลาสติกในมือหล่นกระทบพื้นเสียงดัง เจ้าตัวก็ยังนอนหลับไม่รู้เรื่อง
เห็นธามในสภาพเหนื่อยจนซื่อเซื่องแล้ว
คเชนทร์ก็อดรู้สึกเวทนาไม่ได้...
เอาเถอะ
ให้นอนพักสักงีบก็แล้วกัน
ชายหนุ่มหันไปเลื่อนพัดลมมาวางใกล้
ๆ โซฟา แล้วบอกกับตัวเองว่า ถ้าอีกฝ่ายรู้สึกตัวตื่นขึ้นหลังจากที่ตนเดินขึ้นไปหยิบผ้าห่มแพร
เมื่อนั้นเขาจะพาธามขึ้นไปรับเวลาโดยดี แต่จนแล้วจนรอด คเชนทร์กลับต้องปล่อยให้พ่อหม้ายยึดครองผ้าห่มผืนบางกับพื้นที่บนโซฟาด้านล่างร้านดอกไม้จวบจนรุ่งเช้าของอีกวัน
••• TBC •••
ตอนนี้อาจจะสั้นสักหน่อย
ไว้เดี๋ยวเราชดเชยให้ในตอนต่อ ๆ ไปนะคะ
ฝั่งพี่หนาวว่าช้าแล้ว
ฝั่งธามกับคเชนทร์นี่น่าสงสารกว่า – ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้หวานกัน
555
ถ้าอ่านแล้วชอบ
หรือไม่ชอบอย่างไร ฝากข้อความไว้ให้เราชื่นชมบ้างนะคะ
และอย่าลืมติดแท็ก #ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก
กับ #คันหิม เด้อ เราจะได้ตามไปส่องค่ะ
ป.ล.
ขอใช้พื้นที่ประชาสัมพันธ์นิดนึงค่ะ
เดี๋ยวอีกสักสองสามวันเราจะลงรีไรท์เรื่อง
‘ถ้าต้อยได้
ชายจะเป็นอมตะ’
ถ้าใครอยากอ่านเนื้อหาใหม่
ๆ (แบบที่จะตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์)
แนะนำว่าให้กดไลค์เพจงานเขียนของเรา
จะได้ตามลิงค์อ่านนิยายกันได้ง่าย ๆ แบบเรียลไทม์ค่ะ
No comments:
Post a Comment