Sunday, August 12, 2018

• รักหลอก ๆ ต้องบอกลุง •||#20|| 13.08.2018


#20

ตื่นตอนเช้า คิดถึงกันบ้างไหม
หลับตาฝัน เห็นสองเราบ้างไหม
ส่วนตัวฉัน ถึงแม้นานแค่ไหน
ตื่นและฝัน ของฉันยังอ่อนไหว.. คิดถึงเธอ
คิดถึงกันบ้างไหม - เจสัน ยัง

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

ก่อนนอนเมื่อคืน ผมบอกตัวเองอย่างแข็งขันว่าเช้าวันนี้ ผมจะต้องตื่นก่อนเพื่อมาแอบดูพี่หนาวตอนนอนหลับให้จงได้ ซึ่งถ้าข้ามช่วงเกร็งตัวตะกายขอบเตียงอยู่นานก่อนจะหลับไป ร่างกายผมก็ว่าง่ายจนน่าทึ่ง เพราะอยู่ดี ๆ ผมก็สะดุ้งตื่นก่อนเสียงนาฬิกาปลุกสำเร็จ

รางวัลของคนตื่นเช้าคือทันทีที่ลืมตา ผมก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าบ้านอยู่ใกล้มาก ใกล้แบบที่ถ้าอีกฝ่ายเป่าลมใส่หน้ากัน ขนตาผมน่าจะกระพือพั่บ ๆ

ก่อนคบกับพี่บูม การที่ผมไม่เคยมีแฟนทำให้ผมไม่เคยรู้รสนิยมทางเพศของตัวเอง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมพ่ายแพ้ผู้ชายแก่กว่าแบบหมดรูป แต่พอได้เปิดโลกเท่านั้นแหละ สายตาผมก็มองคนรุ่นเดียวกันไม่หล่ออีกเลย หลังจากแอบติ่งท่าน HR Director มาหลายเดือน ผมพูดได้เต็มปากว่าพี่หนาวเป็นผู้ชายที่หล่อครบเครื่องถูกใจผมมาก ระยะไกลว่าฟาดว่าปังแล้ว พอได้มานอนสังเกตเครื่องหน้าลุงแกแต่ละส่วนแบบประชิดติดขอบหมอน ผมยิ่งอดคิดไม่ได้ว่า ผมช่างโชคดีเหลือเกินที่วันนั้นกดกาชาปองจนได้ลุงแกมาเป็นแฟน (ปลอม ๆ ) จนถึงทุกวันนี้

ส่วนตัวแล้ว ผมไม่ชอบตัวเองตอนตื่นนอนใหม่ ๆ เพราะตากับปากผมจะบวม ๆ ยังไม่เข้าที่ แต่ดูพี่หนาวสิ... คนอะไรวะ ขนาดนอนตะแคง แก้มยังไม่ย้อยเสียทรงสักนิด มอง ๆ ไป ผมว่ารอยยับขีดเล็ก ๆ ตรงหางตากับหว่างคิ้วเข้ม ๆ นั่นดูชัดขึ้นนิดหน่อยเมื่ออยู่ในที่แสงน้อยแบบตอนนี้ จมูกพี่หนาวที่โด่งเป็นสันจนน่าอิจฉาดูเข้ากันดีกับริมฝีปากน่าบดจูบที่เผยอและยกขึ้นนิด ๆ ...

อื้อหือ พี่หนาวนอนอมยิ้มด้วย สงสัยจะกำลังฝันเรื่องสนุกอยู่
ว่าแต่ เขาจะเคยฝันถึงผมบ้างไหมนะ

“อืม”

เฮ่ย?! เพราะมัวแต่มโนไปเรื่อยเปื่อย ผมเลยไม่ทันรู้สึกตัวตอนลุงไซด์ไลน์เริ่มยุกยิก ทว่าทันทีที่เสียงครางของคนนอนข้าง ๆ ลอยเข้าหู ผมก็รีบแกล้งตายก่อนที่อีกฝ่ายจะลืมตา ขืนปล่อยให้ท่าน HR Director จับได้ว่าโดนผมแอบจ้องหน้าตอนนอนหลับอยู่นานสองนาน ผมคงไม่ได้กลับมานอนที่บ้านพี่หนาวอีกแหง

อีกไม่กี่อึดใจถัดมา เสียงสวบสาบคล้ายคนขยับตัวก็ตอกย้ำให้ผมยิ่งแน่ใจว่าลุงไซด์ไลน์คงจะตื่นนอนแล้วจริง ๆ รู้ดังนั้น ผมเลยแสร้งนอนต่อหากแต่เงี่ยหูฟังเสียงที่ดังเดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกลพลางจินตนาการว่าอีกฝ่ายทำอะไรบ้างหลังตื่นนอน...

หลังตื่นนอน?
หลัง... ตื่นนอน!
โอ๊ย เสียดาย เมื่อกี้ผมไม่น่าลืมสำรวจเลยว่าตอนเช้า ๆ พี่หนาว แข็งแรง มากไหม

“ทูอาบน้ำได้เลยนะ เดี๋ยวพี่ไปดูลูกก่อน”

หืม? ประโยคเมื่อครู่ของอีกฝ่ายพัดความหื่นของผมปลิวหายไปต่อหน้าต่อตา... เมื่อกี้ลุงแกรู้ตัวอยู่ตลอดงั้นเหรอ?!

แม้จะตกใจที่เด๋อใส่พี่หนาวรับอรุณ แต่ผมก็ป๊อดพอที่จะทำมึนฝืนนอนคลุมโปงต่ออีกสักพัก จวบจนเมื่อนับหนึ่งถึงสิบหลังได้ยินเสียงลูกบิดประตูครบสามรอบแล้วนั่นแหละ ผมจึงค่อย ๆ มุดหัวออกจากผ้าห่มเพื่อจะพบว่าเจ้าของบ้านกำลังยืนยิ้มแป้นจ้องผมจากกรอบประตู

“เฮ่ย?!

“อรุณสวัสดิ์” พอเห็นผมตกใจ อีกฝ่ายก็กลั้นขำแล้วพูดกับผมสั้น ๆ ก่อนจะเดินหายเข้าห้องปลาวาฬไป ส่วนตัวผมที่โป๊ะซ้ำซ้อนและอ่อนเกินจะโต้ตอบลุงแกได้ก็ฝังหน้าลงพ่นลมหายใจใส่หมอนใบข้าง ๆ สลับกับสูดกลิ่นจาง ๆ เพื่อล้างแค้นอยู่นานหลายนาที

บ้าจริง ขนาดหมอนยังหอม แล้วลุงไซด์ไลน์ตัวเป็น ๆ ล่ะจะหอมเบอร์ไหน

••••••

“อ้าวธาม!

เจ้าของชื่อดูจะตกใจมากกว่ายินดีที่เจอพวกผมตรงหน้าโรงเรียนประถมของพวกเด็ก ๆ แต่แม้การปรากฏตัวของผมกับพี่หนาวจะเหนือความคาดหมาย แต่สุดท้ายคุณธามก็ฝืนยิ้มรับเราสองคนจนได้ “พี่หนาว คุณทู”

“สวัสดีครับ” ผมผงกหัวรับพลางคลี่ยิ้มคืนให้อีกฝ่ายตามมารยาทก่อนที่หางตาจะเหลือบไปเห็นใครอีกคนที่คุ้นหน้าพอกัน

ไม่นึกเลยว่าเช้านี้คุณธามจะควงเจ้าของร้านดอกไม้คนสวยที่ผมเจอเมื่อวันก่อนมาส่งเวลาด้วยกัน แต่ที่น่าปลื้มใจเป็นพิเศษเห็นจะเป็น เมื่อเราสบตากัน คุณเชนก็ฉีกยิ้มหวานจ๋อยส่งให้จนผมแอบรู้สึกเขินอย่างไรบอกไม่ถูก

ตอนเจอกันวันก่อนว่าสวยแล้ว แต่พออยู่ใต้แสงแดดอ่อน ๆ ตอนเช้า คุณเชนก็ยิ่งสวยหมดจดเจิดจ้าไปกันใหญ่ สวยจนถ้าไม่ติดว่าผมรู้จักคุณธามกับคุณเชนมาก่อน และถ้าไม่ใช่เพราะพ่อเวลากำลังทำหน้าบูดเป็นตูดเป็ดอยู่ล่ะก็นะ ผมคงเผลอเข้าใจว่า ชายหนุ่มสองคนตรงหน้าคือคู่สามีภรรยาที่พร้อมใจกันมาส่งลูกชายที่โรงเรียนตอนเช้า...

ซึ่งเมื่อเหลือบมองข้อมือตัวเองที่ถูกปลาวาฬฉุดให้เดินเข้าไปหาเวลาที่ยืนประกบคุณเชนไม่ห่างผมก็อดยิ้มปลื้มไม่ได้
ฮึ่ย บ้าจัง พวกเราสองครอบครัวตื่นมาส่งลูกที่โรงเรียนเหมือนกันเลย!

“คุณเชนสวัสดีครับ วันนี้มาส่งเวลาด้วยเหรอครับ”

“ครับ” เจ้าของชื่อยิ้มรับก่อนจะหันไปมองเจ้าวาฬน้อยอย่างสนใจ “โอ้โห วันนี้ผมปลาวาฬสวยจังเลยครับ ใครทำผมให้ปลาวาฬเอ่ย”

“ปลาทูค่ะ วันนี้ปลาทูถักหางเปียให้ปลาวาฬ” ผมกลั้นยิ้มขณะเฝ้ามองเด็กหญิงลูบโบว์บนหางเปียข้างหนึ่งอย่างทะนุถนอม... ปลาวาฬภูมิใจเบอร์ไหน ไอ้ที่ผมรู้สึกอยู่ในใจคือคูณเข้าไปอีกสิบเท่าเลยครับ

“คุณทูเก่งจังเลยครับ”

ไม่อยากจะบอกเลยว่า ตั้งแต่ผมเห็นลุงไซด์ไลน์ทำผมให้ปลาวาฬเมื่อคราวก่อน ผมมักจะตะบี้ตะบันไล่ดูคลิปสอนถักผมเปียให้เด็กผู้หญิงในยูทูปอย่างบ้าคลั่ง พอมีเวลาว่างทีไร ผมก็จะยืมผมยีนส์เพื่อฝึกฝีมือก่อนจะสบโอกาสแสดงแสนยานุภาพให้พี่หนาวกับเจ้าวาฬน้อยต้องร้องว้าวรัว ๆ ในที่สุด

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” คำชมของคุณเชนทำให้ผมยิ่งต้องหักห้ามใจไม่เผลอยิ้มอวดเเบ่งใส่คนสวย ซึ่งเดาว่าความพยายามดังกล่าวกำลังทำให้เหง้าหน้าของผมเบี้ยวเสียทรงอยู่เด็ด ๆ

เจ้าของร้านดอกไม้ก้มลงลูบหลังเด็กชายพลางยิ้มถาม “ว่าไงเวลา วันนี้ปลาวาฬสวยไหมครับ”

“สวยครับ” เวลาอมยิ้มจนแก้มกลมดิก

ผมเกือบยกมือทาบอกด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงของเด็กชายเป็นครั้งแรก
อ้าว ไหนพี่หนาวบอกว่าเวลาไม่คุยกับใครไง แล้วทำไมกับคุณเชนถึงเป็นข้อยกเว้น... อ๋อ ผมรู้แล้ว ที่แท้เวลาก็แพ้คนสวยตั้งแต่เด็กนี่เอง

“ไปคุณ เดี๋ยวผมพาไปพบคุณครู” อยู่ ๆ คุณธามที่ผมนึกว่ากำลังคุยติดพันกับพี่หนาวก็โผล่เข้ามาแทรกกลางวงสนทนา ผมไม่แปลกใจนักที่พ่อเวลาโพล่งขึ้นห้วน ๆ แต่ที่ผมสงสัยก็คือ ทำไมเด็กชายถึงดูติดคุณเชนมากกว่าพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง?

“อ๋อ ครับ... ไปกันเถอะครับเวลา” ยิ่งเวลาเกาะคุณเชนไม่ปล่อย คุณธามก็ยิ่งดูไม่พอใจแต่อาจเพราะอยู่ต่อหน้าลูกชาย คุณธามเลยได้แต่ชักสีหน้าใส่ทุกคนในโลกเท่านั้น... สรุปว่าสองคนนี้มีปัญหากันงั้นเหรอ “ผมขอตัวก่อนนะครับคุณทู”

“ครับ” ผมคลี่ยิ้มให้เจ้าของร้านดอกไม้คนสวยก่อนจะก้มลงคุยกับเจ้าวาฬน้อยที่ยังยืนจับหางเปียตัวเองไม่เลิก “ไปครับเจ้าหญิง ได้เวลาเข้าเรียนแล้ว”

“โอเคค่ะ เดี๋ยวเย็นนี้เจอกันที่บ้านนะคะ”

ลูกสาวพี่หนาวโผเข้ากอดแล้วหอมแก้มผมเต็มแรง ผมเลยหอมแกคืนแบบไม่ให้น้อยหน้ากัน “ได้เลยครับ!” เมื่อเสร็จจากผม เด็กหญิงก็ร่ำลาคุณพ่อสุดหล่อด้วยกระบวนท่าเดียวกันก่อนจะหันกลับมาโบกมือไหว ๆ ส่งให้พวกเราขณะเดินผ่านประตูรั้วและกลุ่มคุณครู

ระหว่างยืนรอส่งปลาวาฬเดินเข้าโรงเรียน พี่หนาวก็เปรยขึ้นเบา ๆ ด้วยสีหน้าหนักใจ “เมื่อวานแม่ธามเข้าโรงพยาบาล หมอให้แอดมิทดูอาการสองวัน”

ฟังแล้วผมก็อดตกใจไม่ได้ ไม่นึกเลยว่าแม่คุณธามที่เพิ่งเจอกันเมื่อวันก่อนจะกำลังนอนอยู่โรงพยาบาล “เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”

“เห็นธามบอกว่าเป็นลมแล้วก็ล้ม ดีที่ท่านนั่งอยู่เลยไม่มีส่วนไหนกระแทกพื้น แต่ม้าอายุเยอะแล้ว หมอเลยขอเช็กร่างกายให้ละเอียดหน่อย” ลุงไซด์ไลน์ถอนหายใจพลางโบกมือ คลี่ยิ้มให้ลูกสาวที่ยังแอบวิ่งกลับมาโผล่หน้ามองพวกเราจากข้าง ๆ ตึกเรียนอยู่สักพักก่อนที่เด็กหญิงจะเดินเข้าโรงเรียนไปในที่สุด

“อืม อยู่โรงบาลให้หมอเช็กก่อนก็ดีครับ จะได้สบายใจ” ผมเห็นด้วยกับการตัดสินใจของคุณหมอร้อยเปอร์เซนต์ ยิ่งถ้าเรื่องนี้เกิดกับคนในครอบครัวตัวเอง ผมก็อยากให้คุณหมอเช็กร่างกายให้ครบทุกส่วนจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีใครเป็นโรคร้ายแรงจริง ๆ ผมถึงจะคลายกังวล

“เฮ่อ” อยู่ ๆ คู่สนทนาก็ถอนหายใจยาวจนผมอดเป็นห่วงลุงแกไม่ได้

“มีอะไรหรือเปล่าครับพี่หนาว”

“พี่เป็นห่วงธามน่ะ นี่ถ้าเมื่อกี้ไม่เจอกัน ธามคงไม่ยอมบอกพี่ว่าม้าเข้าโรงบาล”

อ๋อ ที่เมื่อกี้สองหนุ่มแยกวงไปยืนเสียห่างก็เพราะจะคุยกันเรื่องนี้เอง “เขาคงเกรงใจพี่หนาวล่ะมั้งครับเลยไม่อยากเล่าให้ฟัง”

ท่าน HR Director ส่ายหัวพลางบุ้ยใบ้ให้ผมหมุนตัวกลับไปยังซองจอดรถ “ธามมันเป็นพวกไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยเล่า เวลามีปัญหาอะไรก็ชอบเก็บไว้คนเดียว” แม้จะเห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงความวิตกแบบเต็มเปี่ยม “ถ้าไม่ใช่เพราะม้าเล่าให้ฟัง ป่านนี้พี่คงยังไม่รู้ว่าเวลาไม่ยอมพูดกับใครอีกเลยตั้งแต่เล็กเสีย”

“โห แบบนี้คุณธามไม่อึดอัดแย่เหรอครับ”

“ถ้าถามพี่ พี่ก็ไม่แน่ใจนะว่าธามอึดอัดไหม แต่ถ้าปล่อยไว้แบบนี้นาน ๆ พี่กลัวจะแย่กันหมดทั้งบ้านน่ะสิ”

แม้จะชอบหนีปัญหารวมถึงคอยชิ่งคนพูดจาไม่รู้เรื่องเป็นนิสัย ทว่าทุกครั้งที่เจอเรื่องร้าย ๆ ผมมักจะพร่ำเพ้อความรู้สึกทั้งหลายให้ครอบครัวกับเพื่อนสนิทฟังอย่างหมดเปลือกเสมอ ผมเลยไม่ค่อยเครียดกับชีวิตเท่าไร แต่คุณธามนี่สิ... ทนเก็บกดอยู่ได้ยังไง ข้างในไม่ใกล้ระเบิดเต็มทีแล้วเหรอ?

ถึงผมจะคิดตรงกันกับพี่หนาว แต่ครั้นจะพูดโดยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ผมก็ทำไม่ลง ยิ่งเห็นสีหน้าลำบากใจของลุงแกด้วยแล้ว ผมคงชงให้สถานการณ์ยิ่งดิ่งลงเหวอีกไม่ไหว “คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้งครับ”

“อืม” คนข้าง ๆ ครางรับแบบที่แค่ฟังก็รู้ว่า กระทั่งแกเองก็ยังไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อ พอเห็นพี่หนาวปลดล็อกพริอุส ผมเลยรีบขึ้นรถเพราะขืนชักช้ารถอาจจะติดกว่านี้ “พี่ว่าเย็นนี้พี่จะไปเยี่ยมแม่ธามเสียหน่อย เดี๋ยวพี่โทรคุยกับป๊อบปี้ก่อนว่าจะพาปลาวาฬมาก่อนห้าโมงได้ไหม”

“อ้าว แล้ววันนี้ปลาวาฬไม่ต้องไปเรียนว่ายน้ำเหรอครับ” ผมปล่อยให้สองมือจัดการคาดเข็มขัดแล้วย้ายสายตาไปหยุดอยู่ตรงใบหน้าเคร่งเครียดของคนขับ

“คงต้องให้ป๊อบปี้เขาดูเอานั่นแหละ ถ้าไม่ทันก็อาจจะไม่เรียน”

“ครับ” ในเมื่อพี่หนาวว่ามาแบบนี้ แล้วคนนอกครอบครัวอย่างผมจะทำอะไรได้... ถ้าพี่หนาวกับพี่ป๊อบปี้พาปลาวาฬไปเยี่ยมแม่คุณธาม สงสัยคืนนี้ผมคงต้องกลับไปนอนที่บ้านเสียล่ะมั้ง

“ทู”

“ครับ?”

“เย็นนี้ทูไปเยี่ยมแม่ธามกับพี่แล้วก็ลูกนะ”

อ้าว... พี่หนาวไม่ได้จะไปกับพี่ป๊อบปี้หรอกเหรอ?
ฮือ แม่ครับ ผู้ชายชวนน้องทูไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ที่โรงพยาบาลด้วยล่ะ

“ครับ” แม้จะยังเขินกับประโยคเมื่อครู่ไม่หาย แต่ผมก็ทำหน้าตายขณะเอ่ยรับคำได้อย่างแนบเนียน เชื่อเถอะว่าต่อให้ลุงแกไม่ออกปาก และต่อให้จะต้องเป็นส่วนเกินซึ่งติดสอยห้อยตามครอบครัวนี้ไปเรื่อย ๆ ผมก็ยังพร้อมจะไปทุก ๆ ที่ที่ผู้ชายคนนี้ไปอยู่ดีนั่นแหละ

••••••

จากแรกที่หลงคิดว่าพี่ป๊อบปี้จะมาเยี่ยมแม่คุณธามด้วย กลับกลายเป็นว่า การที่วันนี้ปลาวาฬไม่ได้เรียนว่ายน้ำพอดีกับตารางของแฟนเก่าพี่หนาวเช่นกัน เพราะอยู่ ๆ น้องดีก็เกิดปวดฟัน พี่ป๊อบปี้เลยต้องพาปลาวาฬที่เพิ่งเลิกเรียนไปรอน้องที่ร้านหมอฟันเสียด้วยกันจากนั้นจึงกระเตงสองสาววนรถมาแวะส่งคนพี่ที่โรงงานทันก่อนห้าโมง ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ตอนนี้พวกเราทั้งสามก็มาอยู่บนพรีอุสสีขาวเป็นที่เรียบร้อย (เห็นพี่หนาวบอกว่า พรุ่งนี้เช้าพี่ป๊อบปี้จะส่งกระเช้าของเยี่ยมไปให้แม่คุณธามต่างหาก)

“คุณพ่อขา เปิดเพลงนั้นได้ไหมคะ”

“ได้สิครับ”

ผมแอบสนใจรอยยิ้มมีความสุขแปลก ๆ ของพี่หนาวหลังได้ฟังรีเควสของสาวน้อยเบาะหลัง แต่เมื่อท่อนแรกของเพลงเก่าที่พ่อเคยเปิดให้พวกผมฟังตอนเด็ก ๆ ดังขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงร้องคลอของคนข้าง ๆ ผมก็อดยิ้มตามไม่ได้

“เกิดสงครามพันครั้ง เด็กก็ยังสวยงาม เป็นเพียงแค่สงคราม ความเดียงสาเท่าเดิม”

เพลงนี้ผมรู้จัก แต่มีบางท่อนเท่านั้นที่ผมพอจะร้องตามได้...
นอกจากพี่เต๋อกับพี่แจ้แล้ว แม่ผมยังปลื้มเฉลียงเอามาก ๆ แต่พอรู้ว่าแม่ชอบ พ่อก็ไม่ค่อยยอมเปิดเพราะดูเห็นแม่กรี๊ดกร๊าดผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเองไม่ไหว นี่ถ้ารู้ว่าอาการหึงหวงของพ่อในวันนั้นจะส่งผลให้ผมเข้าสังคม (กับสองพ่อลูก) ได้อย่างยากลำบากในวันนี้ ตอนเด็ก ๆ ผมจะแอบขโมยเทปเฉลียงไปเปิดฟังซ้ำ ๆ ให้มันพังไปเลย

“กล้วยน้ำว้าเวลาสุกงอม อีกกล้วยหอมกินแล้วชื่นใจ ฉันชอบกล้วยไข่... เพราะ?”

“เพราะมันไม่มีกระดูก!” จากเดิมที่เคยเข้าใจว่าพี่หนาวตอนร้องเพลงนั้นช่างมีพลังทำลายล้างรุนแรง แต่เมื่อได้เห็นลุงแกกำมือทำท่ายื่นไมค์ไปจ่อปากเจ้าวาฬน้อยต่อหน้าต่อตา ผมก็รู้ซึ้งแล้วว่า หัวใจที่บางเป็นกระดาษนั้นยังถูกความน่ารักมุ้งมิ้งของอีกฝ่ายรีดให้บางได้อีก

ฮือ ลุงไซด์ไลน์ตอนเล่นกับลูกคือที่สุด... อยากได้ใส่ห่อกลับไปกินต่อที่บ้านมาก

ผมนั่งฟังสองพ่อลูกร้องเพลงที่ตัวเองยังฮัมทำนองตามแทบไม่ถูกอย่างปลื้มปริ่ม ผมมีความสุขจนบอกไม่ได้ว่า จริง ๆ แล้วระยะทางจากโรงงานไปยังโรงพยาบาลในละแวกคอนโดของพี่หนาวนั้นสั้นมากดังคำอวดอ้าง หรือเพราะผมม่วนแรงจนเวลายังติดปีกบินผ่านไปอย่างที่ใคร ๆ ชอบพูดกัน
.
.
.
.
“ม้าสวัสดีครับ” กว่าผมกับปลาวาฬจะเดินตามพี่หนาวทัน ท่าน HR Director ที่ถือกระเช้าผลไม้ใบใหญ่ก็เดินนำเข้าไปยกมือไหว้หญิงชราที่นั่งพิงหมอนอยู่บนเตียงเป็นที่เรียบร้อย

“พี่หนาว คุณทู เชิญนั่งก่อนครับ” คุณธามยิ้มเมื่อเห็นหน้าพวกเราสามคนพร้อมหน้า

“ม้าสวัสดีครับ”

“อาม่าสวัสดีค่ะ” ผมไม่แน่ใจว่า ตามปกติแล้วเด็กหญิงทำอย่างไรเวลาที่แม่คุณธามไปรับแกกับเวลาที่โรงเรียน แต่พอเห็นผมทำความเคารพท่าน เจ้าวาฬน้อยก็รีบยกมือไหว้อาม่าของเพื่อนสนิททันที

“นั่งก่อนลูกนั่งก่อน” อาม่ากับพี่หนาวคงรู้ว่าผมเป็นส่วนเกินที่แท้ทรู ทั้งคู่เลยพร้อมใจกันชี้ให้ผมพาปลาวาฬไปนั่งดูทีวีรอตรงโซฟา ผมก็ไม่ขัดศรัทธาเพราะไม่อยากให้ปลาวาฬต้องยืนเก้ ๆ กัง ๆ เดี๋ยวแกจะเมื่อยไปเสียก่อน

“ผมเห็นม้ากับเวลาชอบกิน ผมเลยซื้อมาฝากครับ” พี่หนาวเอ่ยพลางยื่นกระเช้าผลไม้ส่งให้คุณธาม แต่กลับเป็นคนป่วยที่เอ่ยสวนขึ้นทันควัน

“โอย ไม่เห็นต้องลำบากเลยหนาว”

“ผมไม่ลำบากเลยครับ”

“ขอบใจนะหนาว” ถึงสุดท้ายแล้วแม่คุณธามจะเอ่ยรับของไว้อย่างเสียไม่ได้ แต่ผมแน่ใจว่าลึก ๆ แล้วท่านน่าจะดีใจที่เห็นพี่หนาวกับปลาวาฬมาเยี่ยม

“ม้าเป็นยังไงบ้างครับ หมอบอกว่ายังไงบ้าง”

คนป่วยถอนหายใจพลางส่ายหน้าดิก “ม้าไม่ได้เป็นอะไร ม้าแค่นอนน้อยหลายวันเลยเป็นลม คุณหมอบอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ม้าก็กลับบ้านได้แล้ว” หลังจากสังเกตสีหน้าอาการ กับนั่งฟังน้ำเสียงสดชื่นของแม่คุณธามอยู่พักใหญ่ ๆ ผมก็เริ่มเชื่อว่าท่านน่าจะยังสบายดีตามที่พูดจริง ๆ ถึงอย่างนั้นกลับยังมีอยู่อีกคนที่คิดไม่เหมือนกัน

“ที่ไหนล่ะม้า บอกกี่ครั้งแล้วว่าม้าต้องรอคุยกับหมอเรื่องผลตรวจคลื่นหัวใจก่อน” คุณธามผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้เฝ้าไข้ที่วางติดขอบเตียงเพื่อยืนเถียงแม่โดยเฉพาะ

“ก็นั่นแหละ หมอบอกอั๊วว่าพอคุยเสร็จบ่าย ๆ ก็กลับบ้านได้” ก่อนที่คุณธามจะโต้ อาม่าเวลาก็ขัดขึ้นด้วยสีหน้าพร้อมจะไฝว้ไม่แพ้กัน “ไม่รู้ล่ะ ยังไงพรุ่งนี้อั๊วก็จะกลับบ้าน”

“บ้านมันไม่หนีไปไหนหรอกม้า ม้าอยู่ให้หมอเขาดูอาการก่อน!
“ลื้อจะไม่พาอั๊วกลับบ้านก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวอั๊วให้อาอ้ายอีจัดการ”
“ม้าจะไม่ฟังอั๊วก็ตามใจ แต่ถ้าหมอให้ม้าอยู่ต่อ เจ้อ้ายก็ไม่ให้ม้ากลับบ้านหรอก”

ผมชักไม่แปลกใจแล้วสิว่าทำไมเวลาจึงไม่ยอมพูดกับใครนานหลายเดือน เพราะถ้าให้สืบค้นถึงต้นตอความดื้อแล้ว คงต้องเท้าความย้อนไปถึงรุ่นคุณแม่คุณธามโน่นเลย... บ้านนี้เขาดื้อแรงแฝงในดีเอ็นเอแท้ ๆ

“อาธาม!
“ม้า!
“ลื้อนี่นะ!” ผมมองคนป่วยกับลูกชายโต้คารมกันอย่างอึ้ง ๆ นี่ถ้าใครสักคนไม่ยอมหยุด สงสัยคืนนี้พวกผมคงไม่ได้กลับบ้าน

“พรุ่งนี้รอคุยกับคุณหมอก่อนเถอะครับม้า ถ้าไม่มีอะไร คุณหมอก็ต้องให้ม้ากลับบ้านแน่ ๆ ครับ” ก่อนที่สองแม่ลูกจะเถียงกันจนโดนพยาบาลเดินเข้ามาดุ ท่าน HR Director ก็ยื่นมือเข้าไกล่เกลี่ย ซึ่งดูเหมือนว่าคุณธามกับแม่จะเกรงใจพี่หนาวมากเอาการทีเดียว

“อืม” คนป่วยเบือนหน้าไปเหม่อมองทีวีคล้ายกับไม่อยากเห็นหน้าลูกชาย กาวใจสุดหล่ออย่างพี่หนาวเลยหันไปคุยกับพ่อของเวลาแทน

“เวลาล่ะธาม”

“ผมฝากลูกไว้ที่ร้านดอกไม้ครับ” ถ้าดูไม่ผิด ผมว่าหัวคิ้วของคุณธามขมวดนิด ๆ แถมหน้ายังบึ้งหน่อย ๆ ตอนตอบคำถามเมื่อครู่... คุณธามน่าจะไม่ถูกกับคุณเชนจริง ๆ อย่างที่ผมสงสัย แต่ถ้าไม่สบายใจ แล้วทำไมถึงต้องเอาลูกชายไปฝากไว้กับคนที่ตัวเองไม่ชอบหน้าด้วยล่ะ?

“อ๋อ อืม แล้วนี่ธามกับม้ากินอะไรหรือยัง”

“เรียบร้อยแล้วครับพี่ พี่กับคุณทูล่ะครับ”

“เดี๋ยวรอเยี่ยมม้าเสร็จก่อนค่อยว่ากัน” พี่หนาวเหลือบมองมาแล้วยิ้มให้ผมครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไปหาคนข้าง ๆ “ถ้ามีอะไรอยากให้พี่ช่วย ธามบอกพี่ได้เลยนะ”

“ไม่มีหรอกพี่ เดี๋ยวพอสามทุ่มเจ้มา ผมก็จะกลับไปรับเวลาเหมือนกัน”

“หนักหน่อยนะธาม” ลุงไซด์ไลน์ปลอบพลางตบบ่าคู่สนทนาเบา ๆ

“ไม่เป็นไรพี่ ผมยังไหว”

เท่าที่สังเกตอาการหัวร้อนของคุณธามหลังโดนแม่ดื้อใส่ ผมก็เริ่มจะเป็นกังวลตามพี่หนาวไปอีกคน อันที่จริง ผมคิดว่าคุณธามเองก็เป็นคนน่าสงสารคนหนึ่ง เพราะนอกจากแกจะต้องแบกรับภาระทั้งหมดในบ้านไว้บนบ่าตามลำพังแล้ว แกยังไม่สามารถทำให้ใครเข้าใจความเป็นคนแข็ง ๆ กึ่ง ๆ ขี้ระแวงของแกได้เลยสักคนเดียว

นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าความอ้างว้างโดดเดี่ยวที่คุณธามต้องพบเจอแทบทุกวัน จะโหดร้ายรุนแรงกว่าช่วงเวลาแย่ ๆ ที่ผมเคยพบเจอสักแค่ไหนกัน

••••••

“ฮัลโหล” ขณะรอฟังเสียงจากปลายสาย คเชนทร์ก็เอื้อมหยิบกุญแจบ้านพลางเหลือบมองดูนาฬิกาตรงหัวนอนอีกครั้ง... สี่ทุ่มครึ่ง ถึงจะเร็วกว่าเมื่อวาน แต่มันก็ดึกเกินกว่าที่เขาจะปล่อยให้เด็กชายถ่างตารอพ่อมารับอยู่ดี

(ผมมาถึงแล้ว)

“ครับ รอเดี๋ยวนะครับ ผมกำลังลงไป” เจ้าของร้านดอกไม้รีบสาวเท้าลงบันไดอย่างรวดเร็ว ไม่กี่อึดใจให้หลัง ชายหนุ่มก็ต้องแปลกใจเมื่อยกประตูเหล็กม้วนขึ้นแล้วเห็นเพียงธามยืนจังก้าหน้าประตูโดยไร้เงารถเอสยูวีสีดำคันที่จอดกีดขวางทางเมื่อคืนวาน “อ้าว แล้วรถคุ...?”

“ผมแวะเข้าบ้านเอารถไปเก็บแล้วเดินมา”

“อ๋อ ครับ” เท่าที่ประเมินจากใบหน้าชื้นเหงื่อกับน้ำเสียงหอบ ๆ ของอีกฝ่าย อดีตนางโชว์ก็อดคิดไม่ได้ว่าพ่อของเวลาน่าจะวิ่งกระหืดกระหอบมามากกว่าเดิน รู้ดังนั้น ชายหนุ่มจึงอดเสนอแนะด้วยความหวังดีไม่ได้ “คุณนั่งพักสักแป๊บดีไหมครับ อีกเดี๋ยวค่อยขึ้นไป”

ที่พูดไปแบบนั้นเพราะนอกจากจะกลัวพ่อเวลาจะเหนื่อยจนเป็นลมล้มพับไปแล้ว คเชนทร์ยังหวั่นใจว่า หากธามเกิดวูบไปขณะกำลังอุ้มเด็กชายขึ้นหรือลงบันได เขาคงแบกรับความผิดและความเสียใจอีกไม่ไหว

น่าแปลกที่เมื่อธามได้ยินข้อเสนอของคเชนทร์ ชายหนุ่มกลับไม่โต้เถียงใด ๆ หนำซ้ำยังยอมทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาแต่โดยดี เจ้าถิ่นจึงเดินเลี่ยงไปเปิดพัดลมก่อนจะบ่ายหน้าเข้าครัวเพื่อรินน้ำเย็นใส่แก้วกลับมายื่นให้ “น้ำเย็นครับ... ดื่มสักนิดเถอะครับ”

“ขอบคุณ”

เพื่อไม่เป็นการเร่งรัดหรือทำให้อีกฝ่ายอึดอัดจนเกินไป คเชนทร์จึงเดินไปนั่งตรงโต๊ะกินข้าวที่อยู่ไม่ไกล ก่อนจะหยิบยกเรื่องสัพเพเหระมาพูดคุยเพื่อผ่อนความตึงเครียดในบรรยากาศให้คลายลง “ไอซ์ฝากถามว่าคุณจะเปิดร้านเมื่อไรครับ”

อันที่จริง ตลอดทั้งวันที่อยู่ด้วยกัน ไอซ์ไม่ได้แค่ชวนคุย หากแต่เด็กหนุ่มหัวไวคนที่ธามฝากมาให้ช่วยดูร้านยังสามารถปรับตัวเข้ากับเขา รวมถึงงานในร้านดอกไม้ได้เร็วกว่าที่คิด ยิ่งมีไอซ์มาช่วย คเชนทร์ก็มีเวลามากขึ้น แถมอีกฝ่ายยังอาสาไปส่งดอกไม้ให้ลูกค้าที่อยู่ใกล้ ๆ จนชายหนุ่มไม่ต้องควักเงินค่าฝากส่งดอกไม้ให้มอเตอร์ไซค์วินแถว ๆ นั้นอีกต่างหาก

ทว่าแม้ไอซ์จะเป็นผู้ช่วยที่น่าทึ่งสักเพียงไหน คเชนทร์กลับไม่แน่ใจว่า ธามจะมีปฏิกิริยาเช่นไรเมื่อรู้ว่าเขากับลูกมือชั่วคราวเข้ากันได้ดี ชายหนุ่มจึงเลือกหัวข้อทั่ว ๆ ไปมาสนทนาฆ่าเวลา

“เดี๋ยวผมโทรคุยกับไอซ์เอง”

“โอเคครับ” แม้สีหน้าบอกบุญไม่รับของธามจะทำให้คเชนทร์โล่งใจที่เมื่อครู่ไม่ได้เผลอเอ่ยชื่นชมคุณงามความดีของไอซ์ออกไป แต่ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าการต้องสนทนากับคนไม่มีมารยาท แถมยังพูดจาห้วน ๆ นั้นช่างน่ากระอักกระอ่วนดีเหลือเกิน “อาม่าเป็นยังไงบ้างครับ”

“รอฟังผลตรวจคลื่นหัวใจพรุ่งนี้ ถ้าไม่มีอะไรก็คงกลับบ้านได้”

“แล้วนี่มีใครนอนเฝ้าอาม่าหรือเปล่าครับ”

“พี่สาวผม”

“อ๋อ ครับ” อดีตนางโชว์แค่นยิ้มก่อนจะเสมองไปอีกทางพลางคิดหาหัวข้อสนทนาอื่น ๆ เพิ่มเติม... ตอนช่วยโจโจ้รับรองแขกวีไอพี เขาชวนแขกคุยเรื่องอะไรบ้างนะ?

“ผมขอน้ำอีกแก้วสิ”

คเชนทร์ที่มัวแต่คิดว่าจะถามอะไรธามต่อดีสะดุ้งเบา ๆ เมื่อได้ยินคำขอของอีกฝ่าย “ครับ ๆ ได้ครับ”

เจ้าของร้านดอกไม้รีบดิ่งกลับเข้าไปในครัวแล้วเปิดตู้เย็นฉวยขวดน้ำติดมือมาด้วยหนึ่งขวด แต่เมื่อหมุนตัวกลับมา เขากลับพบว่าคนที่เพิ่งขอเติมน้ำนั่งหน้าคว่ำคอพับไปเสียแล้ว หลังจากถกเถียงกับตัวเองด้วยความลังเลใจอยู่นานสองนาน อดีตนางโชว์ก็ล้มเลิกความคิดที่จะปลุกอีกฝ่ายลงชั่วคราว เพราะขนาดแก้วพลาสติกในมือหล่นกระทบพื้นเสียงดัง เจ้าตัวก็ยังนอนหลับไม่รู้เรื่อง

เห็นธามในสภาพเหนื่อยจนซื่อเซื่องแล้ว คเชนทร์ก็อดรู้สึกเวทนาไม่ได้...
เอาเถอะ ให้นอนพักสักงีบก็แล้วกัน

ชายหนุ่มหันไปเลื่อนพัดลมมาวางใกล้ ๆ โซฟา แล้วบอกกับตัวเองว่า ถ้าอีกฝ่ายรู้สึกตัวตื่นขึ้นหลังจากที่ตนเดินขึ้นไปหยิบผ้าห่มแพร เมื่อนั้นเขาจะพาธามขึ้นไปรับเวลาโดยดี แต่จนแล้วจนรอด คเชนทร์กลับต้องปล่อยให้พ่อหม้ายยึดครองผ้าห่มผืนบางกับพื้นที่บนโซฟาด้านล่างร้านดอกไม้จวบจนรุ่งเช้าของอีกวัน

••• TBC ••


ตอนนี้อาจจะสั้นสักหน่อย ไว้เดี๋ยวเราชดเชยให้ในตอนต่อ ๆ ไปนะคะ
ฝั่งพี่หนาวว่าช้าแล้ว ฝั่งธามกับคเชนทร์นี่น่าสงสารกว่า ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้หวานกัน 555
ถ้าอ่านแล้วชอบ หรือไม่ชอบอย่างไร ฝากข้อความไว้ให้เราชื่นชมบ้างนะคะ
และอย่าลืมติดแท็ก #ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก กับ #คันหิม เด้อ เราจะได้ตามไปส่องค่ะ

ป.ล. ขอใช้พื้นที่ประชาสัมพันธ์นิดนึงค่ะ
เดี๋ยวอีกสักสองสามวันเราจะลงรีไรท์เรื่อง ถ้าต้อยได้ ชายจะเป็นอมตะ
ถ้าใครอยากอ่านเนื้อหาใหม่ ๆ (แบบที่จะตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์)
แนะนำว่าให้กดไลค์เพจงานเขียนของเรา จะได้ตามลิงค์อ่านนิยายกันได้ง่าย ๆ แบบเรียลไทม์ค่ะ







No comments:

Post a Comment