Monday, August 6, 2018

• รักหลอก ๆ ต้องบอกลุง •||#19|| 06.08.2018


#19

ต่อไปนี้นะ จะไม่ยุ่งเลย
ถ้าหากมันทำให้เธอต้องกลุ้มใจ
ต่อไปนี้นะ - นิโคล เทริโอ

…………………………………………………………………………………………………………


แอะ ๆ พี่ทู
อะไร
เมื่อเช้านั่งรถใครมาอะ เห็นนะ
ใจร้าย ปล่อยน้องนั่งรถตู้คนเดียว
อย่าดราม่า
ได้ข่าวว่าพวกคุณมิ้มนั่งมาด้วย
หนูไม่ได้พูดถึงยูสเซอร์ป่ะ
ไปเลย
ไปช่วยพี่ฟี่ดูหน้าจอ
คุณโอ้เอ้ซิว่าเทสต์ถูกหรือเปล่า
กลบเกลื่อนเก่ง
อยากจู๋จี๋กับแฟนก็ยอมรับมาเหอะ
ไปเลยนะ
แหมมมมมมมมมมม
เดี๋ยวเถอะ!’
ถถถ โอเคค่า


“คุณทู ทำไมมันถึงขึ้นว่าไม่ได้ล่ะคะ” คุณเซียงเงยหน้าขึ้นจากจอพลางกวักมือเรียกผมเหยง ๆ

ทันทีที่การทดสอบระบบเริ่มต้นขึ้น ประตูมรณะแห่งความทรมานของเหล่ายูสเซอร์ก็เปิดกว้าง ยิ่งกับส่วนงาน HR ที่ต้องวุ่นวายกับการทำเงินเดือนพนักงานของทั้งองค์กรด้วยแล้ว ช่วงรอยต่อระหว่างการเรียนรู้ระบบใหม่ไปพร้อม ๆ กับประคับประคองงานปัจจุบันให้เดินหน้าโดยไม่สะดุดทั้งที่มีเวลาจำกัด (ยิ่งกว่าเดิม) ทำให้ยูสเซอร์บางส่วนเหนื่อยจนไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย ธาตุแท้ที่เคยซ่อนไว้จึงมักจะค่อย ๆ เผยออกมาให้เห็นกันในช่วงนี้

อย่างคุณเซียงที่ปกติมักจะเยือกเย็นเฉยชายิ่งกว่าภูเขาน้ำแข็ง แต่พอเริ่มล็อกอินเข้าระบบใหม่เท่านั้นล่ะ งานอ๊อง งานเอ๋อ งานอู้มาครบจนผมแทบต้องคอยประกบอยู่ตลอดเวลา

“พนักงานคนนี้ คุณเซียงคีย์เปลี่ยนสถานะการว่าจ้างจากลูกจ้างชั่วคราวเป็นพนักงานประจำแล้วหรือยังนะครับ”

“อ๋อ เซียงลืมค่ะ”

อูย ยูสเซอร์คู่บุญของผมเขินจนแอบดึงผมตัวเองออกมาอีกเส้นแล้ว ชักเริ่มสงสัยแล้วสิว่าก่อนโปรเจค go live หนังศีรษะคุณเซียงจะยังสู้ไหวหรือเปล่า

“เคสนี้ คุณเซียงต้องเปลี่ยนสถานะการว่าจ้างก่อนครับ ระบบถึงจะยอมให้คุณเซียงคีย์ข้อมูลฝึกอบรม” ผมชี้ตัวอย่างหน้าจอที่ถูกต้องในเอกสารประกอบการทดสอบให้ยูสเซอร์ที่รักเปรียบเทียบกับภาพบนจอคอมฯ “ดูตรงนี้นะครับ... ลำดับแรก คุณเซียงต้องเข้าหน้าจอนี้เพื่อเปลี่ยนสถานะพนักงานแล้วค่อยแก้ข้อมูลเทรนนิ่งอีกทีครับ”

“โอเคค่ะ”

“เดี๋ยวคุณเซียงลองใหม่นะครับ ผมจะช่วยดูให้” คุณเซียงพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านเทสต์สคริปต์ใหม่อีกรอบ

“ปลาทู!” น้ำเสียงสดใสฟังคุ้นหูที่ดังมาจากด้านนอกห้องประชุมเรียกความสนใจของคนทั้งห้องให้หันไปมองเจ้าของเสียงเป็นตาเดียว ภาพเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบในชุดนักเรียนที่กำลังวิ่งตึง ๆ มุ่งหน้าเข้ามาทำให้ผมรีบสับขาไปเลื่อนประตูกระจกเปิดรอรับเจ้าตัว

“ปลาวาฬมาได้ยังไงครับ?” ไม่ทันขาดคำ เด็กหญิงก็พุ่งทะลุกรอบประตูแล้วถลาเข้ามารวบกอดขาผมเหมือนทุกที ไอ้ผมที่กำลังอยู่ในโหมดที่ปรึกษาจึงได้แต่ลูบหัวลูบหูเจ้าวาฬน้อยแค่พอเป็นพิธีเท่านั้น

“คุณแม่มาส่งค่ะ” เมื่อมองออกไปด้านนอก ผมก็เห็นท่าน HR Director ยืนสะพายกระเป๋าเป้เอลซ่าคุยกับผู้จัดการโรงงานด้วยสีหน้าผ่อนคลาย...

จากที่เข้าใจว่าถ้าย้ายมาทดสอบระบบที่โรงงานแล้วจะไม่ได้เจอกัน กลายเป็นว่า ตารางทดสอบระบบดันตรงกับช่วงที่พี่หนาวต้องมาประชุมกับคุณปิ๊กพอดี เมื่อเช้าท่านผู้บริหารจึงส่งไลน์มาเรียกตัวผมไปนั่งเป็นเพื่อนคุยระหว่างขับรถมาโรงงาน คุณโอ้เอ้กับยีนส์ที่เห็นเหตุการณ์จึงแท็กทีมกันแซวผมผ่านระบบแชทภายในของบริษัทแทบทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมต้องเดือดร้อนละสายตาจากคุณเซียงไปคอยสุ่มดูสองสาวทดสอบระบบต่ออีกทอด ไม่อย่างนั้นพี่ฟี่คงหัวร้อนจนระเบิดตัวเองไปก่อนแน่ ๆ

“อุ๊ยน้องปลาวาฬ!

ถ้าตัดเรื่องอู้ออกไป ผมเดาว่าเจ้าวาฬน้อยน่าจะมีอิทธิพลต่อสาว ๆ ทั้งหกคนเอามาก ๆ เพราะทันทีที่ลูกพี่หนาวตัวเป็น ๆ ผลุบเข้ามาในห้องประชุม ขนาดคุณมิ้มที่วันทั้งวันแทบจะมุดหน้าหายเข้าไปในจอคอมฯ ยังยอมวางมือจากสคริปต์ แล้วลุกขึ้นมานั่งยอง ๆ มองหน้าเด็กหญิงด้วยสีหน้าปลื้มปริ่มเหมือนยีนส์ตอนแอบส่องโมเมนท์ของไอดอลสุดที่รักลับหลังซีเนียร์ประจำทีม

“ลูกใครอ่ะคะ น่ารักจังเลย” หลังจากคุณมิ้มแสดงตัวว่าเป็นติ่งปลาวาฬ พี่ฟี่กับสาว ๆ ที่เหลือก็ตามมารุมเจ้าวาฬน้อยกันหมด

“นี่น้องปลาวาฬ ลูกสาวคุณหนาวค่ะทุกคน”

“โอ๊ย... น่ารักมาก” สิ้นเสียงแนะนำของคุณมิ้ม เหล่าสมาชิกที่เหลือก็แข่งกันโอดครวญด้วยเสียงสองกันยกใหญ่ เจ้าวาฬน้อยคงตกใจที่อยู่ ๆ ก็ตกเป็นเป้าความสนใจของคนทั้งห้อง ผมเลยลูบหลังพลางกระซิบเบา ๆ ข้าง ๆ ใบหูเล็ก ๆ เพื่อให้แกทักทายผู้ใหญ่ตามมารยาท

“ปลาวาฬสวัสดีพี่ ๆ ก่อนครับ”

“สวัสดีค่า” เด็กหญิงพนมมือแล้วย่อไหว้จังหวะติ๊ดชึ่งตามความเคยชินก่อนจะหันมาเกาะขาผมแน่นกว่าเดิม “ปลาทูทำอะไรอยู่คะ”

“อาทูทำงานอยู่ครับ”

“ปลาทูต้องทำงานอีกนานไหมคะ” เด็กหญิงเอียงคอพลางจ้องผมอย่างมีความหวัง แต่ก่อนที่ผมจะทันได้อ้าปาก แฟนคลับคนสำคัญก็อาสาตอบคำถามแทนเสียก่อน

“อีกชั่วโมงนึงถึงจะเลิกงานค่ะน้องปลาวาฬ อยากกลับบ้านแล้วใช่ไหมเอ่ย” คุณมิ้มยิ้มแหย่ ฝ่ายเจ้าตัวเล็กก็อมยิ้มอาย ๆ ก่อนจะพยักหน้าแรง ๆ อยู่หลายทีจนหางเปียกระพือ ภาพน่ารักดังกล่าวทำให้สาว ๆ พากันร้องโอดโอยกับดาเมจล้นเหลือที่ลูกพี่หนาวปล่อยออกมาโดยไม่รู้ตัว

“น้องปลาวาฬไปบอกคุณพ่อให้เลิกงานเลยสิคะ พวกเราจะได้กลับบ้านกัน” คุณโอ้เอ้ยุยงก่อนจะหันไปหลิ่วตากับยีนส์ แต่เท่าที่ผมได้ยินคุณมิ้มบ่นมาตั้งแต่เมื่อเช้าคือ หลังเลิกงาน ยูสเซอร์ทั้งสามจะต้องกลับไปทำโอทีเพื่อเคลียร์งานประจำต่อที่ออฟฟิศไม่ใช่เหรอ

เจ้าตัวเล็กส่ายหัวพลางทำปากอูด “คุณพ่อบอกว่าให้ปลาวาฬมาช่วยคุณพ่อทำงานค่ะ แต่เมื่อกี้มีอุบัติเหตุ รถติดยาวมาก ๆๆๆ ปลาวาฬเลยเพิ่งมาถึง ปลาวาฬยังไม่ได้ช่วยคุณพ่อทำงาน ปลาวาฬยังกลับบ้านไม่ได้หรอกค่ะ”

“โอ๊ยยย ทำไมน่ารักขนาดนี้!” สาวใหญ่ทั้งหกพร้อมใจกันหวีดเด็กหญิงเป็นเสียงเดียว... เป็นไงล่ะ เจ้าวาฬน้อยของผม น่ารักน้อยกว่าใครที่ไหนกัน

“คุณพ่อบอกว่าถ้าวันนี้ปลาวาฬทำงานดี คุณพ่อจะพาปลาวาฬไปกินไอติมสตรอว์เบอร์รี่ค่ะ”

“สงสัยวันนี้จะต้องมีคนได้กินไอติมสตรอว์เบอร์รี่แน่ ๆ เลย”

พอนึกถึงของกิน เจ้าวาฬน้อยก็อมยิ้มจนแก้มปูดเป็นลูกกลม ๆ เด็กหญิงช้อนตามองผมพร้อมกับดึงแขนเบา ๆ “ปลาทูขา เดี๋ยวถ้าปลาวาฬช่วยงานคุณพ่อเสร็จแล้ว ปลาวาฬจะมาหานะคะ”

“ได้ครับ” ผมรีบรับคำเจ้าตัวเล็กก่อนจะแอบเหลือบมองลุงไซด์ไลน์ครู่หนึ่ง ไม่รู้ทำไม พอได้ยินปลาวาฬพูดแบบนี้ หัวใจผมก็พองฟูเป็นซูเฟล่เลย

“ปลาทูรอปลาวาฬนะคะ”

“อาทูจะรอครับ”

Pinky swear” ผมอมยิ้มเมื่อเจ้าวาฬน้อยชูนิ้วก้อยเล็ก ๆ ขึ้นมากระดิกรอ แล้วเรื่องอะไรที่ผมต้องทำให้สาวน้อยคนโปรดของผมต้องผิดหวังด้วยล่ะครับ

Cross my heart, princess” ทันทีที่พิธีเกี่ยวก้อยสัญญาเสร็จสมบูรณ์ เจ้าตัวเล็กก็วิ่งตื๋อตรงออกไปหาคุณพ่อทันที แน่นอนว่าเมื่อทุกคนมองเห็นพี่หนาว พวกเราต่างก็แยกย้ายกันกลับไปนั่งประจำที่โดยไม่พูดไม่จา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ผมจะรอดพ้นจากสายตาและรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของสาว ๆ ทั้งหกที่เฝ้าวนเวียนมองมาเป็นระยะ ๆ คล้ายจะจับผิดเสียเมื่อไร

••••••

เสียงแตรรถที่ดังกระชั้นเป็นจังหวะเร็วรัวจากริมถนนด้านหน้าร้านทำให้คเชนทร์ต้องละมือจากสมุดบัญชีเพื่อเดินออกไปดู จังหวะที่ชายหนุ่มเดินพ้นกรอบประตูก็พอดีกับที่เวสป้าคันสีเงินเงาพุ่งเข้ามาจอดเทียบตรงฟุตบาท

“ช้า ๆ หน่อยเวลา ลูกน้องมันไม่หนีไปไหนหรอก” ไอซ์ในสภาพเด็กแว้นซ์เต็มรูปแบบกำชับพลางประคองแขนเด็กชายในชุดนักเรียนที่เดิมนั่งโต้ลมอยู่ตรงหว่างขาตนเองให้ค่อย ๆ ก้าวลงจากมอเตอร์ไซค์

เมื่อสองเท้าเหยียบพื้น กาลกมลก็ยกมือไหว้เจ้าของร้านดอกไม้เร็ว ๆ จนชายหนุ่มจำต้องรีบรับไหว้อย่างว่องไวพอกัน “หวัดดีครับเวลา”

คเชนทร์กุมข้อมือเด็กชายแล้วดึงให้อีกฝ่ายมายืนข้าง ๆ ตัว จังหวะที่เจ้าของร้านดอกไม้วาดแขนไปรอรับกระเป๋าสะพายของเวลาที่ไอซ์เพิ่งยื่นให้ เขาก็ไม่วายซักถาม “แล้วอาม่าล่ะไอซ์”

“แป๊บนึงนะครับพี่” เด็กหนุ่มล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าแจ็คเก็ต กดยุกยิกแล้วแนบหูอยู่ครู่นึงก่อนจะยื่นมือถือส่งให้คนโตกว่า “อ่ะพี่ คุยเองเลย”

(ฮัลโหล ไอ้ไอซ์ โทรมาทำไมไม่พูด)

“ฮัลโหล” ต่อให้ไม่เคยได้ยินเสียงธามผ่านสายโทรศัพท์มาก่อน แต่ประโยคเมื่อครู่ก็ทำให้หัวคิ้วบนใบหน้าขาวเนียนร่นเข้าหากันโดยที่เจ้าของไม่ทันรู้ตัว

(นั่นใคร)

คเชนทร์มองหน้าไอซ์ด้วยความไม่เข้าใจ ขณะที่เด็กชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ตัวก็เริ่มกระดุกกระดิกยุกยิกไปมาจนเจ้าของร้านดอกไม้ต้องโน้มตัวลงกระซิบสั่ง “เวลาเข้าไปนั่งรอลุงข้างในก่อนนะครับ เดี๋ยวลุงคุยโทรศัพท์เสร็จแล้วลุงจะตามเข้าไป”

“ครับ” อดีตนางโชว์ลูบหัวเด็กชายเบา ๆ แล้วทอดสายตามองตามจนแน่ใจว่าเวลาเดินเข้าในร้านโดยไม่สะดุดหกล้ม จวบจนเห็นภาพที่น่าพอใจ เขาก็ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูอีกครั้ง

(คุณ)

คเชนทร์เดาว่าธามคงรู้แล้วว่าเมื่อครู่เป็นตนที่ถือสาย เพราะล่าสุด น้ำเสียงที่ได้ยินลอดลำโพงออกมานั้นฟังเย็นชาระคนห่างเหินกว่าเดิมมาก “ฮัลโหล”

(ผมฝากเวลาไว้กับคุณหน่อยนะ เดี๋ยวดึก ๆ ผมจะไปรับ)

“นี่คุณธามใช่ไหม” ทั้ง ๆ ที่ก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่คเชนทร์กลับไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ ๆ ตนจึงโพล่งออกไปแบบนั้น หรือเพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก่อนจะพูดคุยกับใครผ่านโทรศัพท์เป็นครั้งแรก เขาและคู่สนทนามักจะแนะนำตัวเองกับอีกฝ่ายเสมอล่ะมั้ง

ฝ่ายไอซ์ที่แสร้งเหม่อมองถนนสลับกับถอนหายใจหน่าย ๆ อยู่พักใหญ่ก็หันมาพยักหน้ายืนยันพร้อม ๆ กันกับที่คนปลายสายส่งเสียงตอบ (เมื่อกลางวันม้าเป็นลม หมอให้อยู่ดูอาการสองวัน ผมไม่อยากให้เวลาเป็นห่วง)

ข่าวคราวของหญิงชราทำให้คนฟังอดตกใจไม่ได้ ชายหนุ่มเหลือบมองเวลาที่นั่งเล่นแมวอยู่ด้านในด้วยสายตาเป็นห่วง “ครับ เดี๋ยวผมดูเวลาให้เองครับ อาม่าไม่เป็นไรมากใช่ไหมครับ”

(หมอบอกอ่อนเพลียเลยเป็นลม แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้จะตรวจร่างกายอีกที)

“อ๋อ ครับ” ทั้ง ๆ ที่ภายในหัวมีคำถามผุดขึ้นมากมาย แต่ด้วยฐานะคนนอกของตนกับระดับความสนิทสนมที่มีต่อคู่สนทนาทำให้คเชนทร์ได้แต่รับคำสั้น ๆ โดยไม่อาจซักไซ้ข้อมูลใด ๆ เพิ่มเติม

(ผมจะพยายามกลับไปก่อนสี่ทุ่มนะ)

“ครับ” เจ้าของร้านดอกไม้ถอนหายใจยาวระหว่างที่สมองจำลองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายไปต่าง ๆ นา ๆ ... เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นในบ้านของเวลาระหว่างที่เขาวุ่นวายกับการบอกทางแก่มอเตอร์ไซค์รับจ้างเพื่อนำออเดอร์ของลูกค้าไปส่งอย่างถูกต้อง หญิงชราที่เขาเพิ่งคุยเรื่องเครียดด้วยเมื่อเย็นวานกลับต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลอย่างนั้นน่ะหรือ?

(ขอผมคุยกับไอซ์หน่อย)

“ครับ”

คเชนทร์ไม่ได้สนใจว่าธามพูดคุยอะไรกับไอซ์บ้าง หลังจากส่งมือถือคืนให้เจ้าของ ชายหนุ่มก็หมุนตัวพลางสืบเท้าเตรียมก้าวกลับเข้าไปในร้านด้วยเป็นห่วงความรู้สึกของเด็กชายเป็นสำคัญ แต่ยังไม่ทันจะไปไหน เด็กหนุ่มบนมอเตอร์ไซค์ก็รั้งตัวเขาไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวพี่”

“มีอะไรหรือเปล่า” อดีตนางโชว์เลิกคิ้วพลางมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาแปลกใจอีกครั้ง

“ผมขอเบอร์พี่ไว้หน่อยดิ เผื่อมีเรื่องฉุกเฉินผมจะได้โทรหา” สิ้นคำ เจ้าของร้านดอกไม้ก็กดตัวเลขสิบหลักให้อีกฝ่ายอย่างรวดเร็วเพราะนึกอยากเดินกลับเข้าไปดูเด็กชายกับแมวสองตัวด้านในร้านดอกไม้เต็มที

••••••

“หนูกลับก่อนน้าพี่ทู” ยีนส์อมยิ้มก่อนจะเดินไปหยุดรอพี่ฟี่ตรงประตูห้องประชุม

“เออ กลับดี ๆ ล่ะ” ผมโบกมือไล่ไอ้ตัวร้ายที่ขยันทำผมปวดหัวได้ทั้งวัน

“เปลี่ยนใจกลับกับพวกฉันไหม” ผมเกือบหลงเชื่อแล้วเชียวว่าซีเนียร์ที่เคารพปรารถนาดีอยากให้ติดรถกลับบ้านไปด้วยกัน แต่แหม... สายตากับรอยยิ้มล้อเลียนแบบนั้น ผมใช้มองชาวบ้านเวลาจะแซวคนอื่นว่ะเจ๊

“ไม่เป็นไรครับ พี่ฟี่กับยีนส์กลับก่อนเลย” ผมยิ้มมุมปากพลางจ้องตาสู้กับพี่ฟี่อยู่ชั่วอึดใจ

เหตุที่ตอนนี้ผมสามารถชูคอต่อกรกับสองสาวได้โดยไม่ต้องห่วงภาพลักษณ์นั่นก็เพราะยูสเซอร์ทั้งสาม (ผู้ไม่ขับรถยนต์) โดนรถตู้บริษัทกวาดตัวกลับออฟฟิศเรียบร้อยไปตั้งแต่เมื่อห้าโมงแล้ว เพราะฉะนั้น ในห้องประชุมจึงเหลือเพียงพวกผมที่นั่งตอบเมลและเคลียร์งานเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อรอเวลาเลิกงานตอนห้าโมงครึ่งแบบสวย ๆ เท่านั้น สองสาวที่กำลังจะกลับบ้านจึงโจมตีผมด้วยเรื่องพี่หนาวอย่างคะนองปาก

“ตามใจ”

“ขอให้กินไอติมสตรอว์เบอร์รี่ให้อร่อยนะค้าพี่ทู”

ผมถลึงตามองน้องเล็กประจำทีมที่หัวเราะหน้าเป็นไม่มีสลด ยิ่งเมื่อเห็นลุงไซด์ไลน์จูงปลาวาฬเดินสวนเข้ามาในห้องประชุม สองสาวก็หยุดมองล้อเลียนผมทิ้งท้ายก่อนจะยกขบวนกันกลับบ้านไปแต่โดยดี โชคดีที่ห้องประชุมนี้อยู่ในส่วนออฟฟิศที่แยกออกจากไลน์ผลิต ไม่อย่างนั้นตอนที่ท่าน HR Director คนดังพาลูกสาวมารับผมถึงหน้าห้องทำงาน ผมยิ่งคงเขินจนเสียอาการกว่านี้แน่ ๆ
.
.
.
.
“คุณพ่อขา” เจ้าวาฬน้อยส่งเสียงจ้อย ๆ มาจากเบาะหลัง ผมที่นั่งข้าง ๆ คนขับเป็นประจำจึงหันไปมองหน้าเด็กหญิงที่ส่งเสียงทันทีที่พริอุสเคลื่อนตัว

“ครับลูก” จากการสั่งสมประสบการณ์นั่งรถที่พี่หนาวขับมาได้พักใหญ่ ๆ ผมสังเกตได้ว่า บรรยากาศภายในห้องโดยสารขณะที่มีปลาวาฬนั่งเป็นแม่ย่านางอยู่ตรงเบาะหลังนั้นจะอ่อนหวานและรื่นเริงกว่าตอนที่มีเพียงพี่หนาวกับผมแค่สองคน ที่สำคัญ ปลาวาฬคือยันต์กันดอมินิก โทเร็ตโต้ชั้นยอดจริง ๆ

“คุณพ่อต้องมาทำงานที่โรงงานนานไหมคะ”

“อีกสองวันครับ... พรุ่งนี้กับมะรืนนี้” ลุงไซด์ไลน์ยิ้มให้เจ้าตัวเล็กผ่านกระจกมองหลัง

“เหรอคะ... แล้วปลาทูล่ะคะ ปลาทูต้องมาทำงานที่โรงงานนานไหม”

“ไม่นานครับ อีกสองวันอาทูก็ต้องกลับไปทำงานที่ออฟฟิศแล้ว” คำถามของเจ้าวาฬน้อยทำให้ผมนึกสงสัยจนต้องเหลือบมองหน้าคุณพ่อ พอเห็นรายนั้นอมยิ้มกรุ้มกริ่มเหมือนพวกเจ้าเล่ห์จอมวางแผน ผมเลยเท้าศอกกับที่พักแขนตรงกลางแล้วเบี่ยงตัวหันไปรอฟังคำตอบของเด็กหญิงอย่างตั้งใจ “มีอะไรหรือเปล่าครับปลาวาฬ”

เจ้าของชื่อเหลือบตามองออกไปนอกกระจกแล้วนิ่งไปพักหนึ่ง จากนั้นเด็กหญิงจึงถอนหายใจจนไหล่ห่อแล้วจึงหันมาทำหน้าบู้บี้ใส่ผม “ปลาทูขา”

“ครับ?” สีหน้าทุกข์ระทมของคู่สนทนาตัวจิ๋วทำผมเป็นกังวลโดยไม่รู้ตัว...

โธ่เอ๋ย...หนู คิดมากอะไรอยู่ลูก ตัวแค่นี้ รู้จักถอนหายใจเสียแล้ว

“ถ้าปลาวาฬจะขอให้ปลาทูไปอยู่กับปลาวาฬจนกว่าปลาทูจะกลับไปทำงานที่ออฟฟิศคุณพ่อ ปลาทูจะยอมไหมคะ”

“หืม?” วูบแรกที่ได้ฟังคำขอของปลาวาฬนั้น บอกตรง ๆ ว่าผมทั้งแปลกใจและตกใจไปพร้อม ๆ กัน แต่พอหันไปเห็นลุงคนขับนั่งอมยิ้ม หนำซ้ำยังดูพอใจแปลก ๆ ผมก็เริ่มเอ๊ะ... “เมื่อกี้ปลาทูว่าอะไรนะครับ อาทูฟังไม่ทัน”

“ปลาทูไปนอนที่บ้านปลาวาฬจนกว่าจะกลับไปทำงานที่ออฟฟิศคุณพ่อได้ไหมคะ”

ถึงคราวนี้คนขับจะไม่หลุดยิ้มเหมือนเมื่อกี้ แต่ผมดูออกหรอกนะว่าสายตาลุงแกวิบวับกว่าปกติอยู่หลายเบอร์

แน่ ๆ ... สองพ่อลูกนี่จะต้องเตี๊ยมกันมาก่อนแน่ ๆ  

ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แทนที่จะโกรธ ผมกลับอดตื่นเต้นระริกระรี้ไม่ได้

“ทำไมปลาวาฬถึงอยากให้อาทูไปอยู่ที่บ้านด้วยล่ะครับ” แม้กายละเอียดจะดีดดิ้นยินดีเป็นอีผีบ้า แต่ภายนอกผมยังตีหน้ามึนทำการแสดงแสร้งขรึมได้อย่างแนบเนียน... แอคติ้งโค้ชทั่วประเทศไทยจะต้องร้องไห้ให้กับการตบตาผู้ชายของผมในครั้งนี้!

“ก็เพราะโรงงานของคุณพ่ออยู่ใกล้บ้านมากกว่า ถ้าปลาทูกลับบ้านกับปลาวาฬทุกวัน เราก็จะได้เล่นด้วยกันนาน ๆ ได้ดู Animal Planet กับ National Geographic ด้วยกัน แล้วตอนกลางคืน ปลาวาฬก็จะได้ฟังปลาทูเล่านิทานก่อนนอนด้วยยังไงล่ะคะ” เด็กหญิงยื่นหน้าโผล่พ้นที่ว่างตรงกลางระหว่างเบาะหน้าแล้วพาดคางลงบนไหล่ผม “นะคะ อีกสองวันเองนะคะปลาทู ไปอยู่กับปลาวาฬเถอะนะคะ”

โอ้โห เหตุผลมาเต็มยิ่งกว่าตอนผมพรีเซนต์โครงงานวิทยาศาสตร์ตอนป.ห้าเสียอีก
ปลาวาฬลูก สารภาพกับอาทูมาเสียดี ๆ ว่าพ่อจ้างหนูกี่บาท

ก่อนหน้านี้ มีอยู่หลายครั้งที่เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตที่ต้องตัดสินใจบางอย่าง ผมเคยพยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากพี่หนาวซึ่งอีกฝ่ายมักจะทำให้ผิดหวังอยู่ตลอด ครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าต่อให้ผมจ้องลุงแกจนตาถลนออกมาจากเบ้า ท่าน HR Director ผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่มีทางสำนึกเดือดร้อนแต่อย่างใด...

ใช่สิ นี่มันแผนการอันเหนือชั้นของลุงแกนี่นา
ลุงแม่งแผนสูงชะมัดเลยที่ใช้ปลาวาฬมาล่อลวงผม
แต่ไอ้ที่น่าเจ็บใจกว่านั้น ก็คือ สิ่งที่ลุงทำมันดันได้ผลนี่สิ

“ก็ได้ครับ แต่แค่สองคืนเท่านั้นนะครับ”

“เย่!” เด็กหญิงกระโดดเหยง ๆ จนคนขับที่กำลังเลี้ยวรถเข้าคอนโดต้องหันกลับไปดุ

“กลับไปนั่งที่ก่อนครับลูก เราไม่กระโดดตอนรถวิ่งนะครับ”

แหม อยากจะร้องแหมให้ยาวถึงดาวอังคาร
ขับรถมาตั้ง... ยี่สิบนาที เพิ่งจะหาเสียงเจอเอาตอนนี้เหรอครับลุง

คิดแล้วก็หันไปมองค้อนคนขับเสียหนึ่งดอก แต่แทนที่จะดีขึ้น สีหน้าสงบนิ่งประหนึ่งผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ของอีกฝ่ายช่างน่าหมั่นไส้เสียจนผมอดรวนกุนซือเฒ่าจอมวางแผนไม่ได้ “แต่อาทูขอผลัดเป็นพรุ่งนี้แทนได้ไหมครับ พอดีอาทูไม่ได้เตรียมกระเป๋ามา” ผมแกล้งกอดอกมองออกไปนอกหน้าต่างพลางยกมุมปากยิ้มอย่างผู้ชนะ ทว่าสองหูกลับรอฟังว่าคนข้าง ๆ จะดิ้นยังไง

แต่ผมคงลืมไปว่าพี่หนาวมีผู้ช่วยสมองใสอยู่อีกหนึ่งคน...

“คุณพ่อขา เดี๋ยวคุณพ่อพาอาทูไปเก็บกระเป๋าที่บ้านเลยได้ไหมคะ”

“ได้ครับ” เมื่อลูกสาวว่าอย่างนั้น ท่าน HR Director ก็หมุนพวงมาลัยวนรถออกจากคอนโดทันควันแล้วหันมายิ้มยิงฟันใส่ผมทั้ง ๆ ที่กำลังตอบโต้กับเจ้าวาฬน้อยอยู่แท้ ๆ “งั้นเดี๋ยวเราค่อยแวะกินข้าวระหว่างทางไปบ้านอาทูนะครับลูก ลูกหิวหรือยังครับ”

“ยังค่ะ ปลาวาฬยังอิ่มไอติมสตอรว์เบอร์รี่อยู่เลย” พูดจบ เด็กหญิงก็หลุดปากเรอออกมาเสียงดังจนผมกับคนขับเหลือบมองหน้ากันอย่างขำ ๆ ก่อนที่เราทั้งสามคนจะระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นรถ

เอาเถอะ ถึงแผนการเหนือเมฆของสองพ่อลูกจะทำให้ผมเสียเชิงจนคันหัวใจยุบยิบ แต่พอนึกภาพพี่หนาวล่อลวงปลาวาฬด้วยไอติมสตอรว์เบอร์รี่กระปุกใหญ่ ผมก็ยอมใจ... ครั้งนี้ผมจะคิดเสียว่าครั้งนี้ผมช่วยให้เจ้าวาฬน้อยได้กินของโปรดเยอะหน่อยก็แล้วกัน

••••••

หมายเลขโทรศัพท์ไม่คุ้นตาที่โทรเข้าเบอร์ส่วนตัวของคเชนทร์ตอนเกือบห้าทุ่มทำให้เจ้าของร้านดอกไม้อดนึกถึงหนุ่มน้อยเจ้าของเวสป้าที่เพิ่งขอเบอร์เขาไปเมื่อตอนเย็นไม่ได้ “ฮัลโหล?”

(คุณ... ผมอยู่ตรงหน้าร้าน คุณช่วยเปิดประตูให้หน่อยได้ไหม)

แม้จะแปลกใจที่คนปลายสายไม่ใช่ไอซ์ แต่เมื่อนึกถึงใบหน้ามู่ทู่บอกบุญไม่รับของธาม คเชนทร์ก็ไม่ยึกยักมากท่า “ครับ รอเดี๋ยวนะครับ”

ตามปกติแล้ว อดีตนางโชว์จะปิดหน้าร้านราว ๆ เกือบสองทุ่ม แต่สำหรับวันนี้ ชายหนุ่มเปิดประตูเหล็กม้วนบานหน้าสุดแล้วนั่งเคลียร์บัญชีรอพ่อเวลาจนสี่ทุ่มกว่า แต่เมื่อไร้วี่แววของอีกฝ่าย เขาก็ปิดร้านแล้วอุ้มเด็กชายที่เฝ้าแมวจนผล็อยหลับขึ้นไปนอนบนห้องชั้นสองด้วยกัน

เมื่อดันประตูเหล็กม้วนขึ้น คเชนทร์ก็เห็นพ่อของเวลาในสภาพแปลกตากว่าทุกที สีหน้าเย่อหยิ่งระคนรังเกียจเดียดฉันท์ที่ตนเคยเห็นจนชินตา เวลานี้ถูกความเหน็ดเหนื่อยกังวลกลบจนมิด แม้จะนึกสงสาร แต่เนื่องจากอีกฝ่ายจอดรถโดยไม่ดับเครื่อง หนำซ้ำยังจอดขวางกลางหน้าร้านซึ่งเป็นเพียงถนนหนึ่งเลนเส้นเล็ก ๆ เจ้าบ้านจึงรีบนำอีกฝ่ายขึ้นบันไดสู่ส่วนพักอาศัยโดยไม่ได้ปริปากพูดอะไรสักคำ

เบื้องหลังบานประตูห้องนอนคือภาพของเด็กชายในชุดนักเรียนหลุดลุ่ย เวลานอนขดตัวซุกในผืนผ้าห่มนวมหนานุ่มบนเตียงสีขาวขนาดใหญ่ ภายในห้องนอนที่ทาผนังทั้งสี่ด้านด้วยสีม่วงไลแลคนี้ มีเครื่องเรือนไม่มาก อีกทั้งยังตกแต่งแบบง่าย ๆ กระนั้นกลับมีกลิ่นหอมหวานบาง ๆ ชวนให้รู้สึกอบอุ่นผ่อนคลายลอยอ้อยอิ่งอบอวลอยู่ทั่วทุกอณู

จู่ ๆ ห้องตรงหน้าก็ทำให้ธามนึกถึงบ้านตัวเองเมื่อครั้งที่ภรรยายังมีชีวิตอยู่

สิ่งของทุกชิ้น รวมถึงทุก ๆ ซอกมุมภายในบ้านที่เล็กชื่นชอบเป็นพิเศษมักจะซุกซ่อนกลิ่นหอมของแป้งหรืออะไรสักอย่างที่เจ้าตัวชอบใช้ เมื่อไรก็ตามที่เขาเผลอหยิบจับข้าวของส่วนตัวของเล็ก หรือกระทั่งเดินผ่านสถานที่เหล่านั้นทีไร ธามก็มักจะนึกถึงเจ้าของกลิ่นไปเสียทุกที

ยิ่งในห้องนอนของเรา กลิ่นของเล็กก็ยิ่ง...

ก่อนที่ความคิดจะเตลิดไปไกล เจ้าของร้านขนมก็ก้มลงช้อนตัวลูกชายขึ้นอุ้มแล้ววางศีรษะเล็ก ๆ ลงพาดบ่าอย่างนุ่มนวล

“อือ”

ธามเม้มปากกลั้นเสียงขณะลูบหลังปลอบโยนจนบุตรชายหลับสนิทอีกครั้ง จากนั้นชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินลงบันได้อย่างระมัดระวังโดยมีคเชนทร์เดินตามหลังอยู่ไม่ห่าง

“ขอบคุณ” อาคันตุกะเอ่ยทิ้งท้ายสั้น ๆ ขณะกำลังจะก้าวพ้นประตูหน้าร้าน

คำพูดที่ได้ยินโดยไม่คาดฝันทำให้อดีตนางโชว์กวาดตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่แปลกออกไป... เดิมที แผ่นหลังกว้างตรงหน้าเคยผึ่งผายตั้งตรงจนเขานึกชิงชัง ทว่าวันนี้มันห่อลู่ลงราวกับแบกก้อนน้ำหนักขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็น

ลำพังแค่ตัวเขาต้องรับผิดชอบร้านดอกไม้กับแมวอีกหนึ่งชีวิตให้ผ่านไปในแต่ละวันก็เหนื่อยล้าเอาการ แต่อีกฝ่ายกลับต้องรับมือกับเรื่องเจ็บป่วยของมารดา เรื่องร้าน ไหนจะเรื่องลูกชายที่ไม่แม้แต่จะพูดด้วย สิ่งที่ธามกำลังเผชิญ ย่อมหนักหนาสาหัสกว่าเขามากนัก

“ช่วงที่อาม่ายังอยู่โรงพยาบาล ผมช่วยดูเวลาให้ได้นะ” ถึงจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าให้อภัย แต่ความรู้สึกเห็นใจกลับมีมากกว่า คเชนทร์จึงเสนอความช่วยเหลือโดยแทบไม่เสียเวลาไตร่ตรอง

“พรุ่งนี้เจ็ดโมงครึ่งคุณว่างไปส่งเวลาที่โรงเรียนกับผมไหม” น้ำเสียงห้วน ๆ ดังมาจากแผ่นหลังลู่ที่ยืนบังประตูหน้าร้านจนมิด

กระทั่งหันหลังกลับมาคุยกันตามมารยาท ธามก็ยังไม่ยอมทำ แต่เจ้าของร้านดอกไม้กลับไม่ถือสา... จริง ๆ น่าจะพูดว่า เขากำลังอึ้งกับคำถามของอีกฝ่ายมากกว่า ทว่าต่อให้สนใจจะไปส่งเวลาที่โรงเรียนจริง คเชนทร์กลับตอบรับไม่ได้ “ผมต้องรอรับดอกไม้”

“รอรับดอกไม้ยุ่งมากไหม”

“ไม่ครับ แค่ต้องเปิดประตูข้างรอรถมาส่งดอกไม้” อันที่จริงคเชนทร์ไม่ต้องอยู่เฝ้าด้วยตัวเองก็ได้ เพราะสายส่งดอกไม้เจ้านี้เป็นคนรู้จักของโจโจ้ที่นอกจากจะไว้ใจได้แล้ว ยังคอยช่วยเหลือและแนะนำเขาในหลาย ๆ เรื่อง แต่เพราะไม่อยากเปิดร้านทิ้งไว้โดยไม่มีใครเฝ้า ชายหนุ่มจึงค่อนข้างเป็นกังวล

“ถ้างั้นเดี๋ยวผมให้ไอซ์มาช่วย แล้วคุณไปกับผม”

“ผมพาเวลาไปได้นะครับ ผมรู้ว่าโรงเรียนแกอยู่ไหน” แม้วิธีแก้ปัญหาของคู่สนทนาจะฟังเข้าที แต่อดีตนางโชว์ยังไม่เห็นเหตุผลที่ตนต้อง ไปด้วยกันกับธาม อยู่ดี... ถ้ายุ่งนักก็รีบไปทำธุระเถอะ เดี๋ยวเขาจะจัดการเรื่องเวลาเอง

ที่สุดแล้ว พ่อหม้ายก็จำใจหมุนคอกลับมาจ้องหน้าเจ้าของร้านดอกไม้อย่างเสียไม่ได้ ชายหนุ่มสูดลมหายใจก่อนจะเค้นคำอธิบายออกจากลำคออย่างยากเย็น “ผมต้องพาคุณไปให้คุณครูรู้จัก คุณจะได้ไปรับเวลาเองได้”

“อ้อครับ ได้ครับ” ฟังแล้วคเชนทร์ก็พยักหน้ารับคำทันที... อ๋อ เพราะอย่างนี้นี่เองถึงได้ต้องยกขโยงกันไป โรงเรียนสมัยนี้เข้มงวดจังแฮะ

••••••

หลังจากเข้าคลาสอ่านวรรณกรรมเด็กออกเสียง (หรือแฮร์รี่ พอตเตอร์) ให้คุณครูวัยเจ็ดขวบนอนกระดิกเท้าฟังอย่างเพลิดเพลินอยู่เกือบชั่วโมง ที่สุดแล้วเจ้าวาฬน้อยก็ม่อยหลับไป ผมแอบโล่งใจที่พี่หนาวชวนผมมานั่งคุยเล่นที่โซฟาด้านนอกโดยไม่ตรงเข้าห้องนอนทันที เพราะแค่เผลอคิดภาพตัวเองอยู่บนเตียง โดยที่อีกฝั่งมีท่าน HR Director ในชุดนอนสุดเซ็กซี่ (ที่สุดเมื่อใช้สายตาหื่น ๆ ของผมเฝ้ามอง) นั่งอยู่ ผมก็อดล่กไม่ได้ อีกอย่าง ผมอยากปิดเสียงเตือนของแอปฯ ต่าง ๆ ให้เรียบร้อยก่อน เพราะช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังสามทุ่มทีไร พี่เมธเป็นต้องฟลัดข้อความมาหาจนมือถือกับคอมฯ ผมร้องระงมเป็นชั่วโมง ๆ

ทว่าแทนที่วันนี้จะเป็นพี่เมธที่ถล่มข้อความผ่านแมสเซนเจอร์เหมือนเคย ๆ กลับเป็นเฟมที่ส่งไลน์มาดักผมด้วยรูปถ่ายคู่กับผู้ชายแปลกหน้าซึ่งผมไม่รู้จัก

พอโดนขิงใส่เรื่องผู้ คนไร้คู่อย่างผมเลยคันไม้คันมือจนต้องพิมพ์แซวเพื่อนรักเสียหน่อย

“ง่วงหรือยัง” น้ำเสียงนุ่ม ๆ ของพี่หนาวที่ดังอยู่ใกล้ ๆ ทำผมตกใจจนเผลอสะดุ้งก่อนจะรีบวางมือถือลงบนโต๊ะแล้วทำหน้าตายคล้ายไม่ได้แตะต้องมันมาก่อนเหมือนตอนสมัยเรียน

ลุงไซด์ไลน์ที่เพิ่งเดินออกจากครัวพร้อมแก้วมักสองใบเลิกคิ้วพลางยิ้มมุมปากแบบที่ฟ้องว่าเจ้าตัวกำลังกึ่งสงสัยกึ่งขำขัน... เดี๋ยวนะ หน้าผมตอนนี้มันดูตลกแรงเบอร์ไหนวะเนี่ย?

“เป็นอะไรหรือเปล่าทู ทำไมทำหน้าแบบนั้น”

ผมฉีกยิ้มยิงฟันทันทีเพื่อเปลี่ยนสีหน้าสับขาหลอกอีกฝ่าย “เปล่าครับ เมื่อกี้เพื่อนผมส่งไลน์มาอวดแฟนใหม่ที่เพิ่งคบน่ะครับ”

“อ๋อ” คู่สนทนาพยักหน้าหงึกหงัก “จะคุยต่อก็ได้นะ ตามสบาย”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมคลี่ยิ้มประจบ อยู่กับผู้ชาย จะมามัวสังคมก้มหน้าอยู่ทำไมล่ะ

“แล้วนี่ง่วงหรือยัง”

ผมส่ายหัวพลางจ้องเจ้าของบ้านที่นั่งลงตรงเบาะข้าง ๆ ด้วยสายตามุ่งมั่น “ปกติผมนอนสี่ทุ่มครับ” ผมจะมองพี่หนาวจนกว่าลุงแกจะรู้ตัวว่า ตัวแกนั้นน่าสนใจกว่ามือถือเครื่องตรงหน้าเป็นไหน ๆ

ท่าน HR Director พยักหน้ารับรู้พลางยื่นแก้วหนึ่งใบในมือแกมาตรงหน้าผม “ดื่มนี่เสียหน่อยสิ”

“ขอบคุณครับ” ของเหลวใส ๆ ที่ทำให้แก้วมักในมืออุ่นกรุ่นควันเรียกร้องให้ผมยกมันขึ้นจิบอย่างช้า ๆ เมื่อลิ้นรับรสเปรี้ยวอมหวาน ผมก็อดเลิกคิ้วถามอีกฝ่ายไม่ได้ “น้ำผึ้งมะนาวเหรอครับ”

ลุงไซด์ไลน์ยิ้มมุมปากพลางทำหน้าอาย ๆ “คืนไหนที่ปลาวาฬตื่นเต้นมาก ๆ แบบคืนนี้ หลังกล่อมแกจนหลับ พี่ต้องออกมาชงน้ำผึ้งมะนาวกินทุกที” พี่หนาวจิบน้ำในแก้วของแกก่อนที่ริมฝีปากน่าจูบนั่นจะบิดโค้งจนกลายเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ อีกครั้ง “แรก ๆ พี่ก็ไม่กิน ตื่นมาอีกทีเสียงแหบเป็นเป็ดเลย”

ฟังแล้วผมก็หลุดหัวเราะ “ถึงขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าพี่หนาวเสียงเป็ดจะเป็นยังไง...
จะว่าไปก็อยากได้ยินเหมือนกันแฮะ

“ใช่ ไปทำงานก็โดนไอ้เซ็นล้อ แต่ที่แย่กว่านั้นคือตอนเล่านิทานคืนถัด ๆ มา พี่เจ็บคอมาก”

“ก็น่าจะจริงนะครับ” ผมพยักหน้าเห็นด้วย เพราะแค่อ่านหนังสือให้ปลาวาฬฟังไม่ถึงบท คอผมยังแห้งจนแทบจะป่นเป็นผง แล้วพี่หนาวที่ต้องดัดเสียงเล่านิทานให้ปลาวาฬคืนละหลาย ๆ เรื่องล่ะ เส้นเสียงจะต้องแข็งแกร่งเบอร์ไหน

จังหวะที่ผมจะหลอกถามเรื่องสัพเพเหระของพ่อปลาวาฬต่อ หน้าจอมือถือที่เผลอวางทิ้งไว้บนโต๊ะก็สว่างวาบพร้อมขึ้นกล่องแจ้งเตือนติด ๆ กันเป็นพรืด

“หืม?”

นั่นเสียงพี่หนาว ไม่ใช่เสียงผม... เพราะถ้าเป็นเสียงผมตอนนี้ บอกเลยว่าผมกรี๊ดอยู่

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในระยะนี้ ถ้าผมยังมองเห็นแสงจากหน้าจอเมื่อครู่ ลุงไซด์ไลน์เองก็น่าจะโดนมันรบกวนสายตาเหมือน ๆ กัน แต่เรื่องสยองขวัญสองบรรทัดของช่วงเวลานี้ คือ การที่เพิ่งสำนึกได้ว่าผมมัวแต่เม้าท์กับเฟมจนลืมกดปิดเสียงโปรแกรมล้านแปดในเครื่อง โดยที่ชื่อของคนที่เพิ่งส่งข้อความผ่านอินบ๊อกซ์เฟซบุ๊กล่าสุดไม่ใช่เพื่อนรัก หากแต่เป็น...

Suramet K. (สรุเมธ ก.)

ลุงไซด์ไลน์ที่นั่งยิ้มอยู่เมื่อครู่  อยู่ ๆ ก็ขมวดคิ้วเมื่อเห็นกล่องข้อความที่นำหน้าด้วยชื่อของพี่เมธบนหน้าจอมือถือของผม “คุณสจ๊วตยังไม่เลิกส่งข้อความหาทูอีกเหรอ”

ฉิบหาย ผมลืมไปได้ยังไงว่าลุงแกสายตายาว!

“อ่า... ครับ” ทำไมอยู่ ๆ ผมถึงรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาได้นะ “แต่ผมไม่ได้อ่านแล้วล่ะครับ ถ้าเขาอยากส่งก็ปล่อยให้เขาส่งไป”

“ทูไม่รำคาญเหรอ”

“ก็ถ้าผมไม่สนใจก็ไม่รำคาญอะไรนะครับ”

“แต่ปล่อยไว้อย่างนี้ พี่ว่ามันไม่ดีกับทั้งเขาและเรานะ” พี่หนาวหรี่ตามองผมนิ่ง ๆ ก่อนจะอธิบายเสียงนุ่ม “สำหรับคนรอ เขาคงยิ่งคาดหวังและเป็นกังวล ถึงทูจะบอกว่าแค่ไม่สนใจก็ไม่รำคาญแล้ว แต่ลึก ๆ ทูก็น่าจะรู้สึกไม่ดี พี่พูดถูกไหม”

“ครับ” ผมก้มหน้ามองแก้วในมือเพราะไม่กล้าสู้สายตาอีกฝ่าย

ยิ่งพี่หนาวไม่ดุผมอย่างที่เผลอเข้าใจ ผมก็ยิ่งรู้สึกแย่กับตัวเอง แต่ไหนแต่ไรมา ถ้าไม่ใช่เรื่องงานหรือเรื่องคอขาดบาดตายที่ต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด ผมมักจะติดนิสัยหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับบุคคลไม่พึงประสงค์อยู่เป็นประจำ จนบางครั้ง บางปัญหาก็ถูกปล่อยทิ้งค้างไว้อย่างนั้นโดยไม่มีจุดจบ อย่างเรื่องพี่เมธนี่ก็เหมือนกัน ลองว่าพี่หนาวไม่พูดขึ้นมา ผมก็ตั้งใจจะปล่อยเบลอไปเรื่อย ๆ จนกว่าทางนั้นจะเบื่อและเลิกราไปเอง

“ถ้าอย่างนั้นพี่ว่าทูควรจัดการเรื่องนี้ให้เด็ดขาดและชัดเจนเสียแต่ตอนนี้นะ”

“ก็ได้ครับ” ผมบึนปากพลางวางแก้วในมือก่อนจะเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มาพิมพ์ข้อความสุดท้ายก่อนจะกดบล็อกแอคเคาท์ของอีกฝ่ายเป็นการถาวร

ผมบอกเขาให้ติดต่อคุณแล้วนะครับ
หลังจากนี้ ไม่ต้องติดต่อมาอีกแล้วนะครับ เพราะผมลำบากใจ


••• TBC ••


ตอนนี้เติมความหวานกันหน่อยเนอะ จะได้ไม่เครียดเรื่องบ้านเวลากันมากเกินไป
อ่านแล้วชอบ หรือไม่ชอบอย่างไร อย่าลืมบอกกล่าวเล่าความรู้สึกกันบ้างนะคะ
#ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก #คันหิม









No comments:

Post a Comment