#19
ต่อไปนี้นะ จะไม่ยุ่งเลย
ถ้าหากมันทำให้เธอต้องกลุ้มใจ
ต่อไปนี้นะ - นิโคล เทริโอ
…………………………………………………………………………………………………………
‘แอะ ๆ พี่ทู’
‘อะไร
‘เมื่อเช้านั่งรถใครมาอะ เห็นนะ’
‘ใจร้าย ปล่อยน้องนั่งรถตู้คนเดียว’
‘อย่าดราม่า’
‘ได้ข่าวว่าพวกคุณมิ้มนั่งมาด้วย’
‘หนูไม่ได้พูดถึงยูสเซอร์ป่ะ’
‘ไปเลย’
‘ ไปช่วยพี่ฟี่ดูหน้าจอ
คุณโอ้เอ้ซิว่าเทสต์ถูกหรือเปล่า’
‘กลบเกลื่อนเก่ง’
‘อยากจู๋จี๋กับแฟนก็ยอมรับมาเหอะ’
‘ไปเลยนะ’
‘แหมมมมมมมมมมม’
‘เดี๋ยวเถอะ!’
‘ถถถ โอเคค่า’
“คุณทู
ทำไมมันถึงขึ้นว่าไม่ได้ล่ะคะ” คุณเซียงเงยหน้าขึ้นจากจอพลางกวักมือเรียกผมเหยง ๆ
ทันทีที่การทดสอบระบบเริ่มต้นขึ้น
ประตูมรณะแห่งความทรมานของเหล่ายูสเซอร์ก็เปิดกว้าง ยิ่งกับส่วนงาน HR ที่ต้องวุ่นวายกับการทำเงินเดือนพนักงานของทั้งองค์กรด้วยแล้ว
ช่วงรอยต่อระหว่างการเรียนรู้ระบบใหม่ไปพร้อม ๆ กับประคับประคองงานปัจจุบันให้เดินหน้าโดยไม่สะดุดทั้งที่มีเวลาจำกัด
(ยิ่งกว่าเดิม) ทำให้ยูสเซอร์บางส่วนเหนื่อยจนไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย ธาตุแท้ที่เคยซ่อนไว้จึงมักจะค่อย
ๆ เผยออกมาให้เห็นกันในช่วงนี้
อย่างคุณเซียงที่ปกติมักจะเยือกเย็นเฉยชายิ่งกว่าภูเขาน้ำแข็ง
แต่พอเริ่มล็อกอินเข้าระบบใหม่เท่านั้นล่ะ งานอ๊อง งานเอ๋อ
งานอู้มาครบจนผมแทบต้องคอยประกบอยู่ตลอดเวลา
“พนักงานคนนี้
คุณเซียงคีย์เปลี่ยนสถานะการว่าจ้างจากลูกจ้างชั่วคราวเป็นพนักงานประจำแล้วหรือยังนะครับ”
“อ๋อ
เซียงลืมค่ะ”
อูย
ยูสเซอร์คู่บุญของผมเขินจนแอบดึงผมตัวเองออกมาอีกเส้นแล้ว ชักเริ่มสงสัยแล้วสิว่าก่อนโปรเจค
go live หนังศีรษะคุณเซียงจะยังสู้ไหวหรือเปล่า
“เคสนี้
คุณเซียงต้องเปลี่ยนสถานะการว่าจ้างก่อนครับ
ระบบถึงจะยอมให้คุณเซียงคีย์ข้อมูลฝึกอบรม” ผมชี้ตัวอย่างหน้าจอที่ถูกต้องในเอกสารประกอบการทดสอบให้ยูสเซอร์ที่รักเปรียบเทียบกับภาพบนจอคอมฯ
“ดูตรงนี้นะครับ... ลำดับแรก
คุณเซียงต้องเข้าหน้าจอนี้เพื่อเปลี่ยนสถานะพนักงานแล้วค่อยแก้ข้อมูลเทรนนิ่งอีกทีครับ”
“โอเคค่ะ”
“เดี๋ยวคุณเซียงลองใหม่นะครับ
ผมจะช่วยดูให้”
คุณเซียงพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านเทสต์สคริปต์ใหม่อีกรอบ
“ปลาทู!” น้ำเสียงสดใสฟังคุ้นหูที่ดังมาจากด้านนอกห้องประชุมเรียกความสนใจของคนทั้งห้องให้หันไปมองเจ้าของเสียงเป็นตาเดียว
ภาพเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบในชุดนักเรียนที่กำลังวิ่งตึง ๆ
มุ่งหน้าเข้ามาทำให้ผมรีบสับขาไปเลื่อนประตูกระจกเปิดรอรับเจ้าตัว
“ปลาวาฬมาได้ยังไงครับ?”
ไม่ทันขาดคำ เด็กหญิงก็พุ่งทะลุกรอบประตูแล้วถลาเข้ามารวบกอดขาผมเหมือนทุกที
ไอ้ผมที่กำลังอยู่ในโหมดที่ปรึกษาจึงได้แต่ลูบหัวลูบหูเจ้าวาฬน้อยแค่พอเป็นพิธีเท่านั้น
“คุณแม่มาส่งค่ะ”
เมื่อมองออกไปด้านนอก ผมก็เห็นท่าน HR Director ยืนสะพายกระเป๋าเป้เอลซ่าคุยกับผู้จัดการโรงงานด้วยสีหน้าผ่อนคลาย...
จากที่เข้าใจว่าถ้าย้ายมาทดสอบระบบที่โรงงานแล้วจะไม่ได้เจอกัน
กลายเป็นว่า ตารางทดสอบระบบดันตรงกับช่วงที่พี่หนาวต้องมาประชุมกับคุณปิ๊กพอดี
เมื่อเช้าท่านผู้บริหารจึงส่งไลน์มาเรียกตัวผมไปนั่งเป็นเพื่อนคุยระหว่างขับรถมาโรงงาน
คุณโอ้เอ้กับยีนส์ที่เห็นเหตุการณ์จึงแท็กทีมกันแซวผมผ่านระบบแชทภายในของบริษัทแทบทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง
ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมต้องเดือดร้อนละสายตาจากคุณเซียงไปคอยสุ่มดูสองสาวทดสอบระบบต่ออีกทอด
ไม่อย่างนั้นพี่ฟี่คงหัวร้อนจนระเบิดตัวเองไปก่อนแน่ ๆ
“อุ๊ยน้องปลาวาฬ!”
ถ้าตัดเรื่องอู้ออกไป
ผมเดาว่าเจ้าวาฬน้อยน่าจะมีอิทธิพลต่อสาว ๆ ทั้งหกคนเอามาก ๆ เพราะทันทีที่ลูกพี่หนาวตัวเป็น
ๆ ผลุบเข้ามาในห้องประชุม ขนาดคุณมิ้มที่วันทั้งวันแทบจะมุดหน้าหายเข้าไปในจอคอมฯ
ยังยอมวางมือจากสคริปต์ แล้วลุกขึ้นมานั่งยอง ๆ มองหน้าเด็กหญิงด้วยสีหน้าปลื้มปริ่มเหมือนยีนส์ตอนแอบส่องโมเมนท์ของไอดอลสุดที่รักลับหลังซีเนียร์ประจำทีม
“ลูกใครอ่ะคะ
น่ารักจังเลย” หลังจากคุณมิ้มแสดงตัวว่าเป็นติ่งปลาวาฬ พี่ฟี่กับสาว ๆ
ที่เหลือก็ตามมารุมเจ้าวาฬน้อยกันหมด
“นี่น้องปลาวาฬ
ลูกสาวคุณหนาวค่ะทุกคน”
“โอ๊ย...
น่ารักมาก” สิ้นเสียงแนะนำของคุณมิ้ม เหล่าสมาชิกที่เหลือก็แข่งกันโอดครวญด้วยเสียงสองกันยกใหญ่
เจ้าวาฬน้อยคงตกใจที่อยู่ ๆ ก็ตกเป็นเป้าความสนใจของคนทั้งห้อง
ผมเลยลูบหลังพลางกระซิบเบา ๆ ข้าง ๆ ใบหูเล็ก ๆ เพื่อให้แกทักทายผู้ใหญ่ตามมารยาท
“ปลาวาฬสวัสดีพี่
ๆ ก่อนครับ”
“สวัสดีค่า”
เด็กหญิงพนมมือแล้วย่อไหว้จังหวะติ๊ดชึ่งตามความเคยชินก่อนจะหันมาเกาะขาผมแน่นกว่าเดิม
“ปลาทูทำอะไรอยู่คะ”
“อาทูทำงานอยู่ครับ”
“ปลาทูต้องทำงานอีกนานไหมคะ”
เด็กหญิงเอียงคอพลางจ้องผมอย่างมีความหวัง แต่ก่อนที่ผมจะทันได้อ้าปาก
แฟนคลับคนสำคัญก็อาสาตอบคำถามแทนเสียก่อน
“อีกชั่วโมงนึงถึงจะเลิกงานค่ะน้องปลาวาฬ
อยากกลับบ้านแล้วใช่ไหมเอ่ย” คุณมิ้มยิ้มแหย่ ฝ่ายเจ้าตัวเล็กก็อมยิ้มอาย ๆ ก่อนจะพยักหน้าแรง
ๆ อยู่หลายทีจนหางเปียกระพือ ภาพน่ารักดังกล่าวทำให้สาว ๆ พากันร้องโอดโอยกับดาเมจล้นเหลือที่ลูกพี่หนาวปล่อยออกมาโดยไม่รู้ตัว
“น้องปลาวาฬไปบอกคุณพ่อให้เลิกงานเลยสิคะ
พวกเราจะได้กลับบ้านกัน” คุณโอ้เอ้ยุยงก่อนจะหันไปหลิ่วตากับยีนส์
แต่เท่าที่ผมได้ยินคุณมิ้มบ่นมาตั้งแต่เมื่อเช้าคือ หลังเลิกงาน
ยูสเซอร์ทั้งสามจะต้องกลับไปทำโอทีเพื่อเคลียร์งานประจำต่อที่ออฟฟิศไม่ใช่เหรอ
เจ้าตัวเล็กส่ายหัวพลางทำปากอูด
“คุณพ่อบอกว่าให้ปลาวาฬมาช่วยคุณพ่อทำงานค่ะ แต่เมื่อกี้มีอุบัติเหตุ รถติดยาวมาก
ๆๆๆ ปลาวาฬเลยเพิ่งมาถึง ปลาวาฬยังไม่ได้ช่วยคุณพ่อทำงาน
ปลาวาฬยังกลับบ้านไม่ได้หรอกค่ะ”
“โอ๊ยยย
ทำไมน่ารักขนาดนี้!” สาวใหญ่ทั้งหกพร้อมใจกันหวีดเด็กหญิงเป็นเสียงเดียว...
เป็นไงล่ะ เจ้าวาฬน้อยของผม น่ารักน้อยกว่าใครที่ไหนกัน
“คุณพ่อบอกว่าถ้าวันนี้ปลาวาฬทำงานดี
คุณพ่อจะพาปลาวาฬไปกินไอติมสตรอว์เบอร์รี่ค่ะ”
“สงสัยวันนี้จะต้องมีคนได้กินไอติมสตรอว์เบอร์รี่แน่
ๆ เลย”
พอนึกถึงของกิน
เจ้าวาฬน้อยก็อมยิ้มจนแก้มปูดเป็นลูกกลม ๆ เด็กหญิงช้อนตามองผมพร้อมกับดึงแขนเบา ๆ
“ปลาทูขา เดี๋ยวถ้าปลาวาฬช่วยงานคุณพ่อเสร็จแล้ว ปลาวาฬจะมาหานะคะ”
“ได้ครับ”
ผมรีบรับคำเจ้าตัวเล็กก่อนจะแอบเหลือบมองลุงไซด์ไลน์ครู่หนึ่ง ไม่รู้ทำไม
พอได้ยินปลาวาฬพูดแบบนี้ หัวใจผมก็พองฟูเป็นซูเฟล่เลย
“ปลาทูรอปลาวาฬนะคะ”
“อาทูจะรอครับ”
“Pinky swear”
ผมอมยิ้มเมื่อเจ้าวาฬน้อยชูนิ้วก้อยเล็ก ๆ ขึ้นมากระดิกรอ
แล้วเรื่องอะไรที่ผมต้องทำให้สาวน้อยคนโปรดของผมต้องผิดหวังด้วยล่ะครับ
“Cross my heart, princess” ทันทีที่พิธีเกี่ยวก้อยสัญญาเสร็จสมบูรณ์
เจ้าตัวเล็กก็วิ่งตื๋อตรงออกไปหาคุณพ่อทันที แน่นอนว่าเมื่อทุกคนมองเห็นพี่หนาว พวกเราต่างก็แยกย้ายกันกลับไปนั่งประจำที่โดยไม่พูดไม่จา
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ผมจะรอดพ้นจากสายตาและรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของสาว ๆ ทั้งหกที่เฝ้าวนเวียนมองมาเป็นระยะ
ๆ คล้ายจะจับผิดเสียเมื่อไร
••••••
เสียงแตรรถที่ดังกระชั้นเป็นจังหวะเร็วรัวจากริมถนนด้านหน้าร้านทำให้คเชนทร์ต้องละมือจากสมุดบัญชีเพื่อเดินออกไปดู
จังหวะที่ชายหนุ่มเดินพ้นกรอบประตูก็พอดีกับที่เวสป้าคันสีเงินเงาพุ่งเข้ามาจอดเทียบตรงฟุตบาท
“ช้า
ๆ หน่อยเวลา ลูกน้องมันไม่หนีไปไหนหรอก” ไอซ์ในสภาพเด็กแว้นซ์เต็มรูปแบบกำชับพลางประคองแขนเด็กชายในชุดนักเรียนที่เดิมนั่งโต้ลมอยู่ตรงหว่างขาตนเองให้ค่อย
ๆ ก้าวลงจากมอเตอร์ไซค์
เมื่อสองเท้าเหยียบพื้น
กาลกมลก็ยกมือไหว้เจ้าของร้านดอกไม้เร็ว ๆ จนชายหนุ่มจำต้องรีบรับไหว้อย่างว่องไวพอกัน
“หวัดดีครับเวลา”
คเชนทร์กุมข้อมือเด็กชายแล้วดึงให้อีกฝ่ายมายืนข้าง
ๆ ตัว จังหวะที่เจ้าของร้านดอกไม้วาดแขนไปรอรับกระเป๋าสะพายของเวลาที่ไอซ์เพิ่งยื่นให้
เขาก็ไม่วายซักถาม “แล้วอาม่าล่ะไอซ์”
“แป๊บนึงนะครับพี่”
เด็กหนุ่มล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าแจ็คเก็ต กดยุกยิกแล้วแนบหูอยู่ครู่นึงก่อนจะยื่นมือถือส่งให้คนโตกว่า
“อ่ะพี่ คุยเองเลย”
(ฮัลโหล
ไอ้ไอซ์ โทรมาทำไมไม่พูด)
“ฮัลโหล”
ต่อให้ไม่เคยได้ยินเสียงธามผ่านสายโทรศัพท์มาก่อน แต่ประโยคเมื่อครู่ก็ทำให้หัวคิ้วบนใบหน้าขาวเนียนร่นเข้าหากันโดยที่เจ้าของไม่ทันรู้ตัว
(นั่นใคร)
คเชนทร์มองหน้าไอซ์ด้วยความไม่เข้าใจ
ขณะที่เด็กชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ตัวก็เริ่มกระดุกกระดิกยุกยิกไปมาจนเจ้าของร้านดอกไม้ต้องโน้มตัวลงกระซิบสั่ง
“เวลาเข้าไปนั่งรอลุงข้างในก่อนนะครับ
เดี๋ยวลุงคุยโทรศัพท์เสร็จแล้วลุงจะตามเข้าไป”
“ครับ”
อดีตนางโชว์ลูบหัวเด็กชายเบา ๆ แล้วทอดสายตามองตามจนแน่ใจว่าเวลาเดินเข้าในร้านโดยไม่สะดุดหกล้ม
จวบจนเห็นภาพที่น่าพอใจ เขาก็ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูอีกครั้ง
(คุณ)
คเชนทร์เดาว่าธามคงรู้แล้วว่าเมื่อครู่เป็นตนที่ถือสาย
เพราะล่าสุด น้ำเสียงที่ได้ยินลอดลำโพงออกมานั้นฟังเย็นชาระคนห่างเหินกว่าเดิมมาก “ฮัลโหล”
(ผมฝากเวลาไว้กับคุณหน่อยนะ
เดี๋ยวดึก ๆ ผมจะไปรับ)
“นี่คุณธามใช่ไหม”
ทั้ง ๆ ที่ก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่คเชนทร์กลับไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ ๆ ตนจึงโพล่งออกไปแบบนั้น
หรือเพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก่อนจะพูดคุยกับใครผ่านโทรศัพท์เป็นครั้งแรก เขาและคู่สนทนามักจะแนะนำตัวเองกับอีกฝ่ายเสมอล่ะมั้ง
ฝ่ายไอซ์ที่แสร้งเหม่อมองถนนสลับกับถอนหายใจหน่าย
ๆ อยู่พักใหญ่ก็หันมาพยักหน้ายืนยันพร้อม ๆ กันกับที่คนปลายสายส่งเสียงตอบ
(เมื่อกลางวันม้าเป็นลม หมอให้อยู่ดูอาการสองวัน ผมไม่อยากให้เวลาเป็นห่วง)
ข่าวคราวของหญิงชราทำให้คนฟังอดตกใจไม่ได้
ชายหนุ่มเหลือบมองเวลาที่นั่งเล่นแมวอยู่ด้านในด้วยสายตาเป็นห่วง “ครับ
เดี๋ยวผมดูเวลาให้เองครับ อาม่าไม่เป็นไรมากใช่ไหมครับ”
(หมอบอกอ่อนเพลียเลยเป็นลม
แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้จะตรวจร่างกายอีกที)
“อ๋อ
ครับ” ทั้ง ๆ ที่ภายในหัวมีคำถามผุดขึ้นมากมาย แต่ด้วยฐานะคนนอกของตนกับระดับความสนิทสนมที่มีต่อคู่สนทนาทำให้คเชนทร์ได้แต่รับคำสั้น
ๆ โดยไม่อาจซักไซ้ข้อมูลใด ๆ เพิ่มเติม
(ผมจะพยายามกลับไปก่อนสี่ทุ่มนะ)
“ครับ”
เจ้าของร้านดอกไม้ถอนหายใจยาวระหว่างที่สมองจำลองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายไปต่าง
ๆ นา ๆ ... เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นในบ้านของเวลาระหว่างที่เขาวุ่นวายกับการบอกทางแก่มอเตอร์ไซค์รับจ้างเพื่อนำออเดอร์ของลูกค้าไปส่งอย่างถูกต้อง
หญิงชราที่เขาเพิ่งคุยเรื่องเครียดด้วยเมื่อเย็นวานกลับต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลอย่างนั้นน่ะหรือ?
(ขอผมคุยกับไอซ์หน่อย)
“ครับ”
คเชนทร์ไม่ได้สนใจว่าธามพูดคุยอะไรกับไอซ์บ้าง
หลังจากส่งมือถือคืนให้เจ้าของ ชายหนุ่มก็หมุนตัวพลางสืบเท้าเตรียมก้าวกลับเข้าไปในร้านด้วยเป็นห่วงความรู้สึกของเด็กชายเป็นสำคัญ
แต่ยังไม่ทันจะไปไหน เด็กหนุ่มบนมอเตอร์ไซค์ก็รั้งตัวเขาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวพี่”
“มีอะไรหรือเปล่า”
อดีตนางโชว์เลิกคิ้วพลางมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาแปลกใจอีกครั้ง
“ผมขอเบอร์พี่ไว้หน่อยดิ
เผื่อมีเรื่องฉุกเฉินผมจะได้โทรหา” สิ้นคำ เจ้าของร้านดอกไม้ก็กดตัวเลขสิบหลักให้อีกฝ่ายอย่างรวดเร็วเพราะนึกอยากเดินกลับเข้าไปดูเด็กชายกับแมวสองตัวด้านในร้านดอกไม้เต็มที
••••••
“หนูกลับก่อนน้าพี่ทู”
ยีนส์อมยิ้มก่อนจะเดินไปหยุดรอพี่ฟี่ตรงประตูห้องประชุม
“เออ
กลับดี ๆ ล่ะ” ผมโบกมือไล่ไอ้ตัวร้ายที่ขยันทำผมปวดหัวได้ทั้งวัน
“เปลี่ยนใจกลับกับพวกฉันไหม”
ผมเกือบหลงเชื่อแล้วเชียวว่าซีเนียร์ที่เคารพปรารถนาดีอยากให้ติดรถกลับบ้านไปด้วยกัน
แต่แหม... สายตากับรอยยิ้มล้อเลียนแบบนั้น ผมใช้มองชาวบ้านเวลาจะแซวคนอื่นว่ะเจ๊
“ไม่เป็นไรครับ
พี่ฟี่กับยีนส์กลับก่อนเลย” ผมยิ้มมุมปากพลางจ้องตาสู้กับพี่ฟี่อยู่ชั่วอึดใจ
เหตุที่ตอนนี้ผมสามารถชูคอต่อกรกับสองสาวได้โดยไม่ต้องห่วงภาพลักษณ์นั่นก็เพราะยูสเซอร์ทั้งสาม
(ผู้ไม่ขับรถยนต์) โดนรถตู้บริษัทกวาดตัวกลับออฟฟิศเรียบร้อยไปตั้งแต่เมื่อห้าโมงแล้ว
เพราะฉะนั้น ในห้องประชุมจึงเหลือเพียงพวกผมที่นั่งตอบเมลและเคลียร์งานเล็ก ๆ น้อย
ๆ เพื่อรอเวลาเลิกงานตอนห้าโมงครึ่งแบบสวย ๆ เท่านั้น สองสาวที่กำลังจะกลับบ้านจึงโจมตีผมด้วยเรื่องพี่หนาวอย่างคะนองปาก
“ตามใจ”
“ขอให้กินไอติมสตรอว์เบอร์รี่ให้อร่อยนะค้าพี่ทู”
ผมถลึงตามองน้องเล็กประจำทีมที่หัวเราะหน้าเป็นไม่มีสลด
ยิ่งเมื่อเห็นลุงไซด์ไลน์จูงปลาวาฬเดินสวนเข้ามาในห้องประชุม
สองสาวก็หยุดมองล้อเลียนผมทิ้งท้ายก่อนจะยกขบวนกันกลับบ้านไปแต่โดยดี
โชคดีที่ห้องประชุมนี้อยู่ในส่วนออฟฟิศที่แยกออกจากไลน์ผลิต
ไม่อย่างนั้นตอนที่ท่าน HR
Director คนดังพาลูกสาวมารับผมถึงหน้าห้องทำงาน
ผมยิ่งคงเขินจนเสียอาการกว่านี้แน่ ๆ
.
.
.
.
.
“คุณพ่อขา”
เจ้าวาฬน้อยส่งเสียงจ้อย ๆ มาจากเบาะหลัง ผมที่นั่งข้าง ๆ
คนขับเป็นประจำจึงหันไปมองหน้าเด็กหญิงที่ส่งเสียงทันทีที่พริอุสเคลื่อนตัว
“ครับลูก”
จากการสั่งสมประสบการณ์นั่งรถที่พี่หนาวขับมาได้พักใหญ่ ๆ ผมสังเกตได้ว่า
บรรยากาศภายในห้องโดยสารขณะที่มีปลาวาฬนั่งเป็นแม่ย่านางอยู่ตรงเบาะหลังนั้นจะอ่อนหวานและรื่นเริงกว่าตอนที่มีเพียงพี่หนาวกับผมแค่สองคน
ที่สำคัญ ปลาวาฬคือยันต์กันดอมินิก โทเร็ตโต้ชั้นยอดจริง ๆ
“คุณพ่อต้องมาทำงานที่โรงงานนานไหมคะ”
“อีกสองวันครับ...
พรุ่งนี้กับมะรืนนี้” ลุงไซด์ไลน์ยิ้มให้เจ้าตัวเล็กผ่านกระจกมองหลัง
“เหรอคะ...
แล้วปลาทูล่ะคะ ปลาทูต้องมาทำงานที่โรงงานนานไหม”
“ไม่นานครับ
อีกสองวันอาทูก็ต้องกลับไปทำงานที่ออฟฟิศแล้ว”
คำถามของเจ้าวาฬน้อยทำให้ผมนึกสงสัยจนต้องเหลือบมองหน้าคุณพ่อ พอเห็นรายนั้นอมยิ้มกรุ้มกริ่มเหมือนพวกเจ้าเล่ห์จอมวางแผน
ผมเลยเท้าศอกกับที่พักแขนตรงกลางแล้วเบี่ยงตัวหันไปรอฟังคำตอบของเด็กหญิงอย่างตั้งใจ
“มีอะไรหรือเปล่าครับปลาวาฬ”
เจ้าของชื่อเหลือบตามองออกไปนอกกระจกแล้วนิ่งไปพักหนึ่ง
จากนั้นเด็กหญิงจึงถอนหายใจจนไหล่ห่อแล้วจึงหันมาทำหน้าบู้บี้ใส่ผม “ปลาทูขา”
“ครับ?”
สีหน้าทุกข์ระทมของคู่สนทนาตัวจิ๋วทำผมเป็นกังวลโดยไม่รู้ตัว...
โธ่เอ๋ย...หนู
คิดมากอะไรอยู่ลูก ตัวแค่นี้ รู้จักถอนหายใจเสียแล้ว
“ถ้าปลาวาฬจะขอให้ปลาทูไปอยู่กับปลาวาฬจนกว่าปลาทูจะกลับไปทำงานที่ออฟฟิศคุณพ่อ
ปลาทูจะยอมไหมคะ”
“หืม?”
วูบแรกที่ได้ฟังคำขอของปลาวาฬนั้น บอกตรง ๆ ว่าผมทั้งแปลกใจและตกใจไปพร้อม ๆ กัน แต่พอหันไปเห็นลุงคนขับนั่งอมยิ้ม
หนำซ้ำยังดูพอใจแปลก ๆ ผมก็เริ่มเอ๊ะ... “เมื่อกี้ปลาทูว่าอะไรนะครับ
อาทูฟังไม่ทัน”
“ปลาทูไปนอนที่บ้านปลาวาฬจนกว่าจะกลับไปทำงานที่ออฟฟิศคุณพ่อได้ไหมคะ”
ถึงคราวนี้คนขับจะไม่หลุดยิ้มเหมือนเมื่อกี้
แต่ผมดูออกหรอกนะว่าสายตาลุงแกวิบวับกว่าปกติอยู่หลายเบอร์
แน่
ๆ ... สองพ่อลูกนี่จะต้องเตี๊ยมกันมาก่อนแน่ ๆ
ทั้ง
ๆ ที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แทนที่จะโกรธ ผมกลับอดตื่นเต้นระริกระรี้ไม่ได้
“ทำไมปลาวาฬถึงอยากให้อาทูไปอยู่ที่บ้านด้วยล่ะครับ”
แม้กายละเอียดจะดีดดิ้นยินดีเป็นอีผีบ้า
แต่ภายนอกผมยังตีหน้ามึนทำการแสดงแสร้งขรึมได้อย่างแนบเนียน... แอคติ้งโค้ชทั่วประเทศไทยจะต้องร้องไห้ให้กับการตบตาผู้ชายของผมในครั้งนี้!
“ก็เพราะโรงงานของคุณพ่ออยู่ใกล้บ้านมากกว่า
ถ้าปลาทูกลับบ้านกับปลาวาฬทุกวัน เราก็จะได้เล่นด้วยกันนาน ๆ ได้ดู Animal Planet กับ National Geographic ด้วยกัน แล้วตอนกลางคืน
ปลาวาฬก็จะได้ฟังปลาทูเล่านิทานก่อนนอนด้วยยังไงล่ะคะ”
เด็กหญิงยื่นหน้าโผล่พ้นที่ว่างตรงกลางระหว่างเบาะหน้าแล้วพาดคางลงบนไหล่ผม “นะคะ
อีกสองวันเองนะคะปลาทู ไปอยู่กับปลาวาฬเถอะนะคะ”
โอ้โห
เหตุผลมาเต็มยิ่งกว่าตอนผมพรีเซนต์โครงงานวิทยาศาสตร์ตอนป.ห้าเสียอีก
ปลาวาฬลูก
สารภาพกับอาทูมาเสียดี ๆ ว่าพ่อจ้างหนูกี่บาท
ก่อนหน้านี้
มีอยู่หลายครั้งที่เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตที่ต้องตัดสินใจบางอย่าง
ผมเคยพยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากพี่หนาวซึ่งอีกฝ่ายมักจะทำให้ผิดหวังอยู่ตลอด
ครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าต่อให้ผมจ้องลุงแกจนตาถลนออกมาจากเบ้า ท่าน
HR Director ผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่มีทางสำนึกเดือดร้อนแต่อย่างใด...
ใช่สิ
นี่มันแผนการอันเหนือชั้นของลุงแกนี่นา
ลุงแม่งแผนสูงชะมัดเลยที่ใช้ปลาวาฬมาล่อลวงผม
แต่ไอ้ที่น่าเจ็บใจกว่านั้น
ก็คือ สิ่งที่ลุงทำมันดันได้ผลนี่สิ
“ก็ได้ครับ
แต่แค่สองคืนเท่านั้นนะครับ”
“เย่!” เด็กหญิงกระโดดเหยง ๆ
จนคนขับที่กำลังเลี้ยวรถเข้าคอนโดต้องหันกลับไปดุ
“กลับไปนั่งที่ก่อนครับลูก
เราไม่กระโดดตอนรถวิ่งนะครับ”
แหม
อยากจะร้องแหมให้ยาวถึงดาวอังคาร
ขับรถมาตั้ง...
ยี่สิบนาที เพิ่งจะหาเสียงเจอเอาตอนนี้เหรอครับลุง
คิดแล้วก็หันไปมองค้อนคนขับเสียหนึ่งดอก
แต่แทนที่จะดีขึ้น สีหน้าสงบนิ่งประหนึ่งผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ
ของอีกฝ่ายช่างน่าหมั่นไส้เสียจนผมอดรวนกุนซือเฒ่าจอมวางแผนไม่ได้ “แต่อาทูขอผลัดเป็นพรุ่งนี้แทนได้ไหมครับ
พอดีอาทูไม่ได้เตรียมกระเป๋ามา” ผมแกล้งกอดอกมองออกไปนอกหน้าต่างพลางยกมุมปากยิ้มอย่างผู้ชนะ
ทว่าสองหูกลับรอฟังว่าคนข้าง ๆ จะดิ้นยังไง
แต่ผมคงลืมไปว่าพี่หนาวมีผู้ช่วยสมองใสอยู่อีกหนึ่งคน...
“คุณพ่อขา
เดี๋ยวคุณพ่อพาอาทูไปเก็บกระเป๋าที่บ้านเลยได้ไหมคะ”
“ได้ครับ”
เมื่อลูกสาวว่าอย่างนั้น ท่าน HR
Director ก็หมุนพวงมาลัยวนรถออกจากคอนโดทันควันแล้วหันมายิ้มยิงฟันใส่ผมทั้ง
ๆ ที่กำลังตอบโต้กับเจ้าวาฬน้อยอยู่แท้ ๆ “งั้นเดี๋ยวเราค่อยแวะกินข้าวระหว่างทางไปบ้านอาทูนะครับลูก
ลูกหิวหรือยังครับ”
“ยังค่ะ
ปลาวาฬยังอิ่มไอติมสตอรว์เบอร์รี่อยู่เลย” พูดจบ เด็กหญิงก็หลุดปากเรอออกมาเสียงดังจนผมกับคนขับเหลือบมองหน้ากันอย่างขำ
ๆ ก่อนที่เราทั้งสามคนจะระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นรถ
เอาเถอะ
ถึงแผนการเหนือเมฆของสองพ่อลูกจะทำให้ผมเสียเชิงจนคันหัวใจยุบยิบ
แต่พอนึกภาพพี่หนาวล่อลวงปลาวาฬด้วยไอติมสตอรว์เบอร์รี่กระปุกใหญ่ ผมก็ยอมใจ... ครั้งนี้ผมจะคิดเสียว่าครั้งนี้ผมช่วยให้เจ้าวาฬน้อยได้กินของโปรดเยอะหน่อยก็แล้วกัน
••••••
หมายเลขโทรศัพท์ไม่คุ้นตาที่โทรเข้าเบอร์ส่วนตัวของคเชนทร์ตอนเกือบห้าทุ่มทำให้เจ้าของร้านดอกไม้อดนึกถึงหนุ่มน้อยเจ้าของเวสป้าที่เพิ่งขอเบอร์เขาไปเมื่อตอนเย็นไม่ได้
“ฮัลโหล?”
(คุณ...
ผมอยู่ตรงหน้าร้าน คุณช่วยเปิดประตูให้หน่อยได้ไหม)
แม้จะแปลกใจที่คนปลายสายไม่ใช่ไอซ์
แต่เมื่อนึกถึงใบหน้ามู่ทู่บอกบุญไม่รับของธาม คเชนทร์ก็ไม่ยึกยักมากท่า “ครับ
รอเดี๋ยวนะครับ”
ตามปกติแล้ว
อดีตนางโชว์จะปิดหน้าร้านราว ๆ เกือบสองทุ่ม แต่สำหรับวันนี้ ชายหนุ่มเปิดประตูเหล็กม้วนบานหน้าสุดแล้วนั่งเคลียร์บัญชีรอพ่อเวลาจนสี่ทุ่มกว่า
แต่เมื่อไร้วี่แววของอีกฝ่าย
เขาก็ปิดร้านแล้วอุ้มเด็กชายที่เฝ้าแมวจนผล็อยหลับขึ้นไปนอนบนห้องชั้นสองด้วยกัน
เมื่อดันประตูเหล็กม้วนขึ้น
คเชนทร์ก็เห็นพ่อของเวลาในสภาพแปลกตากว่าทุกที สีหน้าเย่อหยิ่งระคนรังเกียจเดียดฉันท์ที่ตนเคยเห็นจนชินตา
เวลานี้ถูกความเหน็ดเหนื่อยกังวลกลบจนมิด แม้จะนึกสงสาร แต่เนื่องจากอีกฝ่ายจอดรถโดยไม่ดับเครื่อง
หนำซ้ำยังจอดขวางกลางหน้าร้านซึ่งเป็นเพียงถนนหนึ่งเลนเส้นเล็ก ๆ เจ้าบ้านจึงรีบนำอีกฝ่ายขึ้นบันไดสู่ส่วนพักอาศัยโดยไม่ได้ปริปากพูดอะไรสักคำ
เบื้องหลังบานประตูห้องนอนคือภาพของเด็กชายในชุดนักเรียนหลุดลุ่ย
เวลานอนขดตัวซุกในผืนผ้าห่มนวมหนานุ่มบนเตียงสีขาวขนาดใหญ่ ภายในห้องนอนที่ทาผนังทั้งสี่ด้านด้วยสีม่วงไลแลคนี้
มีเครื่องเรือนไม่มาก อีกทั้งยังตกแต่งแบบง่าย ๆ กระนั้นกลับมีกลิ่นหอมหวานบาง ๆ ชวนให้รู้สึกอบอุ่นผ่อนคลายลอยอ้อยอิ่งอบอวลอยู่ทั่วทุกอณู
จู่
ๆ ห้องตรงหน้าก็ทำให้ธามนึกถึงบ้านตัวเองเมื่อครั้งที่ภรรยายังมีชีวิตอยู่
สิ่งของทุกชิ้น
รวมถึงทุก ๆ ซอกมุมภายในบ้านที่เล็กชื่นชอบเป็นพิเศษมักจะซุกซ่อนกลิ่นหอมของแป้งหรืออะไรสักอย่างที่เจ้าตัวชอบใช้
เมื่อไรก็ตามที่เขาเผลอหยิบจับข้าวของส่วนตัวของเล็ก หรือกระทั่งเดินผ่านสถานที่เหล่านั้นทีไร
ธามก็มักจะนึกถึงเจ้าของกลิ่นไปเสียทุกที
ยิ่งในห้องนอนของเรา
กลิ่นของเล็กก็ยิ่ง...
ก่อนที่ความคิดจะเตลิดไปไกล
เจ้าของร้านขนมก็ก้มลงช้อนตัวลูกชายขึ้นอุ้มแล้ววางศีรษะเล็ก ๆ
ลงพาดบ่าอย่างนุ่มนวล
“อือ”
ธามเม้มปากกลั้นเสียงขณะลูบหลังปลอบโยนจนบุตรชายหลับสนิทอีกครั้ง
จากนั้นชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินลงบันได้อย่างระมัดระวังโดยมีคเชนทร์เดินตามหลังอยู่ไม่ห่าง
“ขอบคุณ”
อาคันตุกะเอ่ยทิ้งท้ายสั้น ๆ ขณะกำลังจะก้าวพ้นประตูหน้าร้าน
คำพูดที่ได้ยินโดยไม่คาดฝันทำให้อดีตนางโชว์กวาดตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่แปลกออกไป...
เดิมที แผ่นหลังกว้างตรงหน้าเคยผึ่งผายตั้งตรงจนเขานึกชิงชัง
ทว่าวันนี้มันห่อลู่ลงราวกับแบกก้อนน้ำหนักขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็น
ลำพังแค่ตัวเขาต้องรับผิดชอบร้านดอกไม้กับแมวอีกหนึ่งชีวิตให้ผ่านไปในแต่ละวันก็เหนื่อยล้าเอาการ
แต่อีกฝ่ายกลับต้องรับมือกับเรื่องเจ็บป่วยของมารดา เรื่องร้าน
ไหนจะเรื่องลูกชายที่ไม่แม้แต่จะพูดด้วย สิ่งที่ธามกำลังเผชิญ ย่อมหนักหนาสาหัสกว่าเขามากนัก
“ช่วงที่อาม่ายังอยู่โรงพยาบาล
ผมช่วยดูเวลาให้ได้นะ” ถึงจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าให้อภัย แต่ความรู้สึกเห็นใจกลับมีมากกว่า
คเชนทร์จึงเสนอความช่วยเหลือโดยแทบไม่เสียเวลาไตร่ตรอง
“พรุ่งนี้เจ็ดโมงครึ่งคุณว่างไปส่งเวลาที่โรงเรียนกับผมไหม”
น้ำเสียงห้วน ๆ ดังมาจากแผ่นหลังลู่ที่ยืนบังประตูหน้าร้านจนมิด
กระทั่งหันหลังกลับมาคุยกันตามมารยาท
ธามก็ยังไม่ยอมทำ แต่เจ้าของร้านดอกไม้กลับไม่ถือสา... จริง ๆ น่าจะพูดว่า เขากำลังอึ้งกับคำถามของอีกฝ่ายมากกว่า
ทว่าต่อให้สนใจจะไปส่งเวลาที่โรงเรียนจริง คเชนทร์กลับตอบรับไม่ได้ “ผมต้องรอรับดอกไม้”
“รอรับดอกไม้ยุ่งมากไหม”
“ไม่ครับ
แค่ต้องเปิดประตูข้างรอรถมาส่งดอกไม้”
อันที่จริงคเชนทร์ไม่ต้องอยู่เฝ้าด้วยตัวเองก็ได้
เพราะสายส่งดอกไม้เจ้านี้เป็นคนรู้จักของโจโจ้ที่นอกจากจะไว้ใจได้แล้ว
ยังคอยช่วยเหลือและแนะนำเขาในหลาย ๆ เรื่อง แต่เพราะไม่อยากเปิดร้านทิ้งไว้โดยไม่มีใครเฝ้า
ชายหนุ่มจึงค่อนข้างเป็นกังวล
“ถ้างั้นเดี๋ยวผมให้ไอซ์มาช่วย
แล้วคุณไปกับผม”
“ผมพาเวลาไปได้นะครับ
ผมรู้ว่าโรงเรียนแกอยู่ไหน” แม้วิธีแก้ปัญหาของคู่สนทนาจะฟังเข้าที แต่อดีตนางโชว์ยังไม่เห็นเหตุผลที่ตนต้อง
‘ไปด้วยกันกับธาม’ อยู่ดี... ถ้ายุ่งนักก็รีบไปทำธุระเถอะ
เดี๋ยวเขาจะจัดการเรื่องเวลาเอง
ที่สุดแล้ว
พ่อหม้ายก็จำใจหมุนคอกลับมาจ้องหน้าเจ้าของร้านดอกไม้อย่างเสียไม่ได้
ชายหนุ่มสูดลมหายใจก่อนจะเค้นคำอธิบายออกจากลำคออย่างยากเย็น
“ผมต้องพาคุณไปให้คุณครูรู้จัก คุณจะได้ไปรับเวลาเองได้”
“อ้อครับ
ได้ครับ” ฟังแล้วคเชนทร์ก็พยักหน้ารับคำทันที... อ๋อ เพราะอย่างนี้นี่เองถึงได้ต้องยกขโยงกันไป
โรงเรียนสมัยนี้เข้มงวดจังแฮะ
••••••
หลังจากเข้าคลาสอ่านวรรณกรรมเด็กออกเสียง
(หรือแฮร์รี่ พอตเตอร์) ให้คุณครูวัยเจ็ดขวบนอนกระดิกเท้าฟังอย่างเพลิดเพลินอยู่เกือบชั่วโมง
ที่สุดแล้วเจ้าวาฬน้อยก็ม่อยหลับไป ผมแอบโล่งใจที่พี่หนาวชวนผมมานั่งคุยเล่นที่โซฟาด้านนอกโดยไม่ตรงเข้าห้องนอนทันที
เพราะแค่เผลอคิดภาพตัวเองอยู่บนเตียง โดยที่อีกฝั่งมีท่าน HR Director ในชุดนอนสุดเซ็กซี่
(ที่สุดเมื่อใช้สายตาหื่น ๆ ของผมเฝ้ามอง) นั่งอยู่ ผมก็อดล่กไม่ได้ อีกอย่าง ผมอยากปิดเสียงเตือนของแอปฯ
ต่าง ๆ ให้เรียบร้อยก่อน เพราะช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังสามทุ่มทีไร
พี่เมธเป็นต้องฟลัดข้อความมาหาจนมือถือกับคอมฯ ผมร้องระงมเป็นชั่วโมง ๆ
ทว่าแทนที่วันนี้จะเป็นพี่เมธที่ถล่มข้อความผ่านแมสเซนเจอร์เหมือนเคย
ๆ กลับเป็นเฟมที่ส่งไลน์มาดักผมด้วยรูปถ่ายคู่กับผู้ชายแปลกหน้าซึ่งผมไม่รู้จัก
พอโดนขิงใส่เรื่องผู้
คนไร้คู่อย่างผมเลยคันไม้คันมือจนต้องพิมพ์แซวเพื่อนรักเสียหน่อย
“ง่วงหรือยัง”
น้ำเสียงนุ่ม ๆ ของพี่หนาวที่ดังอยู่ใกล้ ๆ ทำผมตกใจจนเผลอสะดุ้งก่อนจะรีบวางมือถือลงบนโต๊ะแล้วทำหน้าตายคล้ายไม่ได้แตะต้องมันมาก่อนเหมือนตอนสมัยเรียน
ลุงไซด์ไลน์ที่เพิ่งเดินออกจากครัวพร้อมแก้วมักสองใบเลิกคิ้วพลางยิ้มมุมปากแบบที่ฟ้องว่าเจ้าตัวกำลังกึ่งสงสัยกึ่งขำขัน...
เดี๋ยวนะ หน้าผมตอนนี้มันดูตลกแรงเบอร์ไหนวะเนี่ย?
“เป็นอะไรหรือเปล่าทู
ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
ผมฉีกยิ้มยิงฟันทันทีเพื่อเปลี่ยนสีหน้าสับขาหลอกอีกฝ่าย
“เปล่าครับ เมื่อกี้เพื่อนผมส่งไลน์มาอวดแฟนใหม่ที่เพิ่งคบน่ะครับ”
“อ๋อ”
คู่สนทนาพยักหน้าหงึกหงัก “จะคุยต่อก็ได้นะ ตามสบาย”
“ไม่เป็นไรครับ”
ผมคลี่ยิ้มประจบ อยู่กับผู้ชาย จะมามัวสังคมก้มหน้าอยู่ทำไมล่ะ
“แล้วนี่ง่วงหรือยัง”
ผมส่ายหัวพลางจ้องเจ้าของบ้านที่นั่งลงตรงเบาะข้าง
ๆ ด้วยสายตามุ่งมั่น “ปกติผมนอนสี่ทุ่มครับ” ผมจะมองพี่หนาวจนกว่าลุงแกจะรู้ตัวว่า
ตัวแกนั้นน่าสนใจกว่ามือถือเครื่องตรงหน้าเป็นไหน ๆ
ท่าน
HR Director พยักหน้ารับรู้พลางยื่นแก้วหนึ่งใบในมือแกมาตรงหน้าผม
“ดื่มนี่เสียหน่อยสิ”
“ขอบคุณครับ”
ของเหลวใส ๆ ที่ทำให้แก้วมักในมืออุ่นกรุ่นควันเรียกร้องให้ผมยกมันขึ้นจิบอย่างช้า
ๆ เมื่อลิ้นรับรสเปรี้ยวอมหวาน ผมก็อดเลิกคิ้วถามอีกฝ่ายไม่ได้
“น้ำผึ้งมะนาวเหรอครับ”
ลุงไซด์ไลน์ยิ้มมุมปากพลางทำหน้าอาย
ๆ “คืนไหนที่ปลาวาฬตื่นเต้นมาก ๆ แบบคืนนี้ หลังกล่อมแกจนหลับ พี่ต้องออกมาชงน้ำผึ้งมะนาวกินทุกที”
พี่หนาวจิบน้ำในแก้วของแกก่อนที่ริมฝีปากน่าจูบนั่นจะบิดโค้งจนกลายเป็นรอยยิ้มเล็ก
ๆ อีกครั้ง “แรก ๆ พี่ก็ไม่กิน ตื่นมาอีกทีเสียงแหบเป็นเป็ดเลย”
ฟังแล้วผมก็หลุดหัวเราะ
“ถึงขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
นึกไม่ออกจริง
ๆ ว่าพี่หนาวเสียงเป็ดจะเป็นยังไง...
จะว่าไปก็อยากได้ยินเหมือนกันแฮะ
“ใช่
ไปทำงานก็โดนไอ้เซ็นล้อ แต่ที่แย่กว่านั้นคือตอนเล่านิทานคืนถัด ๆ มา พี่เจ็บคอมาก”
“ก็น่าจะจริงนะครับ”
ผมพยักหน้าเห็นด้วย เพราะแค่อ่านหนังสือให้ปลาวาฬฟังไม่ถึงบท คอผมยังแห้งจนแทบจะป่นเป็นผง
แล้วพี่หนาวที่ต้องดัดเสียงเล่านิทานให้ปลาวาฬคืนละหลาย ๆ เรื่องล่ะ เส้นเสียงจะต้องแข็งแกร่งเบอร์ไหน
จังหวะที่ผมจะหลอกถามเรื่องสัพเพเหระของพ่อปลาวาฬต่อ
หน้าจอมือถือที่เผลอวางทิ้งไว้บนโต๊ะก็สว่างวาบพร้อมขึ้นกล่องแจ้งเตือนติด ๆ กันเป็นพรืด
“หืม?”
นั่นเสียงพี่หนาว
ไม่ใช่เสียงผม... เพราะถ้าเป็นเสียงผมตอนนี้ บอกเลยว่าผมกรี๊ดอยู่
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในระยะนี้
ถ้าผมยังมองเห็นแสงจากหน้าจอเมื่อครู่ ลุงไซด์ไลน์เองก็น่าจะโดนมันรบกวนสายตาเหมือน
ๆ กัน แต่เรื่องสยองขวัญสองบรรทัดของช่วงเวลานี้ คือ การที่เพิ่งสำนึกได้ว่าผมมัวแต่เม้าท์กับเฟมจนลืมกดปิดเสียงโปรแกรมล้านแปดในเครื่อง
โดยที่ชื่อของคนที่เพิ่งส่งข้อความผ่านอินบ๊อกซ์เฟซบุ๊กล่าสุดไม่ใช่เพื่อนรัก
หากแต่เป็น...
Suramet K. (สรุเมธ ก.)
ลุงไซด์ไลน์ที่นั่งยิ้มอยู่เมื่อครู่ อยู่ ๆ ก็ขมวดคิ้วเมื่อเห็นกล่องข้อความที่นำหน้าด้วยชื่อของพี่เมธบนหน้าจอมือถือของผม
“คุณสจ๊วตยังไม่เลิกส่งข้อความหาทูอีกเหรอ”
ฉิบหาย
ผมลืมไปได้ยังไงว่าลุงแกสายตายาว!
“อ่า...
ครับ” ทำไมอยู่ ๆ ผมถึงรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาได้นะ “แต่ผมไม่ได้อ่านแล้วล่ะครับ
ถ้าเขาอยากส่งก็ปล่อยให้เขาส่งไป”
“ทูไม่รำคาญเหรอ”
“ก็ถ้าผมไม่สนใจก็ไม่รำคาญอะไรนะครับ”
“แต่ปล่อยไว้อย่างนี้
พี่ว่ามันไม่ดีกับทั้งเขาและเรานะ” พี่หนาวหรี่ตามองผมนิ่ง ๆ ก่อนจะอธิบายเสียงนุ่ม
“สำหรับคนรอ เขาคงยิ่งคาดหวังและเป็นกังวล ถึงทูจะบอกว่าแค่ไม่สนใจก็ไม่รำคาญแล้ว
แต่ลึก ๆ ทูก็น่าจะรู้สึกไม่ดี พี่พูดถูกไหม”
“ครับ”
ผมก้มหน้ามองแก้วในมือเพราะไม่กล้าสู้สายตาอีกฝ่าย
ยิ่งพี่หนาวไม่ดุผมอย่างที่เผลอเข้าใจ
ผมก็ยิ่งรู้สึกแย่กับตัวเอง แต่ไหนแต่ไรมา ถ้าไม่ใช่เรื่องงานหรือเรื่องคอขาดบาดตายที่ต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด
ผมมักจะติดนิสัยหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับบุคคลไม่พึงประสงค์อยู่เป็นประจำ
จนบางครั้ง บางปัญหาก็ถูกปล่อยทิ้งค้างไว้อย่างนั้นโดยไม่มีจุดจบ
อย่างเรื่องพี่เมธนี่ก็เหมือนกัน ลองว่าพี่หนาวไม่พูดขึ้นมา ผมก็ตั้งใจจะปล่อยเบลอไปเรื่อย
ๆ จนกว่าทางนั้นจะเบื่อและเลิกราไปเอง
“ถ้าอย่างนั้นพี่ว่าทูควรจัดการเรื่องนี้ให้เด็ดขาดและชัดเจนเสียแต่ตอนนี้นะ”
“ก็ได้ครับ”
ผมบึนปากพลางวางแก้วในมือก่อนจะเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มาพิมพ์ข้อความสุดท้ายก่อนจะกดบล็อกแอคเคาท์ของอีกฝ่ายเป็นการถาวร
ผมบอกเขาให้ติดต่อคุณแล้วนะครับ
หลังจากนี้ ไม่ต้องติดต่อมาอีกแล้วนะครับ เพราะผมลำบากใจ
••• TBC •••
ตอนนี้เติมความหวานกันหน่อยเนอะ
จะได้ไม่เครียดเรื่องบ้านเวลากันมากเกินไป
อ่านแล้วชอบ หรือไม่ชอบอย่างไร
อย่าลืมบอกกล่าวเล่าความรู้สึกกันบ้างนะคะ
#ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก #คันหิม
No comments:
Post a Comment