#06
เหมือนคนโง่ที่รักเธอเพียงข้างเดียว
ทั้งที่ไม่มีหวังยังไม่ห้ามใจ แค่ขอได้ใกล้เธอ
แค่นี้ก็เป็นสุขใจ
แค่แอบมีเธออยู่ในใจก็พอ ไม่ขอให้เธอมารักและเห็นใจฉัน
แค่ปล่อยให้คน ๆ นึงฝันไปก็แล้วกัน อย่าสนใจเลย
อย่าสนใจ
แอบมีเธอ - ลิฟท์ ออย
…………………………………………………………………………………………………………
เหตุการณ์ภายหลังการแสดงตัวของอดีตภรรยาพี่หนาวผ่านไปว่องไวราวกับมีใครกดปุ่มเร่ง
รู้ตัวอีกทีผมก็โดนอีกฝ่ายเชื้อเชิญมานั่งร่วมวงกินของว่างเป็นเพื่อนโดยมีลุงไซด์ไลน์วัยทองที่หน้าหมองเหมือนเป็นวันนั้นของเดือนติดสอยห้อยตามมาด้วยหนึ่งอัตรา
“ทูกินเร็ว
อันนี้อร่อย”
“ขอบคุณครับ” ยอมรับเลยว่าตลอดสองวันที่ผ่านมา
ผมมักจะสงสัยถึงเจ้าของเบอร์ที่โทรเข้าเครื่องพี่หนาวอยู่เนือง ๆ แต่ไม่มีแม้สักครั้งที่ผมนึกอยากพบปะ
หรือวิสาสะด้วยแบบตัวเป็น ๆ ยิ่งเวอร์ชันที่อีกฝ่ายตักเกี๊ยวห่อชีสวางลงในจานให้ ยิ่งไม่เคยมีอยู่ในหัว
“อร่อยเนอะ”
“ครับ อร่อยครับ”
แม้จะยังไม่รู้เจตนาของพี่ป๊อบปี้ แต่การได้ดูแกหยิบจับโน่นนี่ก็เพลินดีไม่หยอก
ยิ่งมอง ก็ยิ่งไม่แปลกใจ
อันที่จริง ผมคงจะงงมากกว่าหากพี่หนาวไม่เลือกผู้หญิงคนตรงหน้าเป็นภรรยา เพราะขนาดตัวผมเองก็ยังแทบละสายตาจากพี่ป๊อบปี้ไม่ได้
“กินพอแล้วก็กลับ”
หากเทียบกับเมื่อเช้า ผมว่าพี่หนาวที่กำลังตีหน้ายักษ์ขู่กรรโชกเมียเก่าอยู่ในตอนนี้จะต้องเป็นขั้นสูงสุดของความดุแล้วล่ะ
แต่ถึงท่าน HR Director จะน่าเกรงขามสักแค่ไหน
พี่ป๊อบปี้กลับไม่สะท้านสะเทือนเลยสักนิด
“ไม่เห็นเหรอว่าฉันเพิ่งสั่งไวน์ไป”
“ผมไม่ได้มีเวลาว่างเหมือนคุณนะป๊อบปี้”
ไม่ใช่แค่ผมเสียแล้วล่ะที่เอะอะถอนหายใจทิ้งเป็นว่าเล่น พี่หนาวเองก็ใช่ย่อย
“ฉันก็ไม่ได้รั้งเธอไว้สักหน่อย
เธออยากไปก็ไปสิ” พี่ป๊อบปี้เบ้ปากพลางยักไหล่ก่อนจะตักเกี้ยวให้ผมอีกชิ้น “กินเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะทู”
ความที่เป็นเพียงคนนอก ผมจึงเพิ่งตระหนักเอาตอนนี้ว่า ผมถูกลากเข้าสู่เกมจิตวิทยาระหว่างสองขั้วอำนาจโดยไม่ทันรู้ตัว
“ครั...”
“ทูครับ
กลับกับพี่นะ” อยู่ ๆ พี่หนาวก็หันมาทอดสายตาพร้อมทำหน้าเว้าวอนใส่
ผมเลยอดตกใจไม่ได้...
เดี๋ยวนะ สรุปว่าเราต้องเล่นเป็นแฟนกันต่อหน้าเมียเก่าพี่ด้วยเหรอครับ
“อยู่คุยกับพี่ก่อนสิทู”
“เอ่อ” ฟังเผิน
ๆ คล้ายกับเป็นประโยคขอร้อง แต่พอเหลือบดูสีหน้าคนพูดแล้ว ผมก็ไม่กล้าปฏิเสธพี่ป๊อบปี้
สุดท้ายจึงทำได้เพียงเงยหน้าส่งสายตาขอโทษขอโพยให้พี่หนาวที่ยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นค้ำอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแทน
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับแฟนเธอ
หวังว่าคงไม่ต้องขออนุญาตเธอก่อนหรอกนะ” พูดจบ พี่ป๊อบปี้ก็เชิดหน้ามองหาเรื่องคนที่ตั้งท่าจะกลับบ้านไปตั้งแต่เมื่ออึดใจก่อน
เห็นดังนั้น คู่กรณีจึงถอนหายใจแรงซ้ำอีกครั้งก่อนจะกระแทกตัวลงนั่งที่เดิมอย่างเกรี้ยวกราด
ฝ่ายพี่ป๊อบปี้ก็อมยิ้มอย่างผู้ชนะก่อนจะเบนความสนใจกลับมาที่ผม
“ไหนบอกพี่ซิว่านึกยังไงถึงมาคบกับตาลุงนี่ได้”
“เอ่อ” ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตอบคำถามนี้ยังไง
หนำซ้ำการเหลือบมองใบหน้าหงิกงอของพี่หนาวเพื่อขอคำใบ้ยิ่งไม่ได้ผล
“ไม่ต้องอาย
พี่รับได้ เพื่อนพี่เป็นเกย์เยอะแยะ” โธ่พี่ครับ ก็นั่นเพื่อน แต่คนที่พี่กำลังพูดถึงอยู่นี่...
ผัวเก่าพี่ทั้งคนเลยนะครับ
“เอ่อ พี่ป...”
“คุณอยากรู้จริง
ๆ ใช่ไหมป๊อบปี้” จังหวะที่ผมกำลังจะอ้าปากขอเปลี่ยนเรื่องสนทนา คนที่นั่งกอดอกทำหน้าบอกบุญไม่รับมาตั้งแต่เมื่อกี้ก็ชิงแทรกพูดตัดหน้าเสียเฉย
ๆ
“ใช่
ถ้าวันนี้ฉันไม่รู้เรื่องเธอกับแฟนใหม่ ไม่ว่าหน้าไหนก็อย่าหวังว่าจะได้กลับบ้าน” พูดจบ
เจ้าของประโยคก็กอดอกพลางจ้องหน้าพี่หนาวอย่างเอาเป็นเอาตาย เฮ่อ พี่ป๊อบปี้นี่คู่ควรกับตำแหน่งคนดื้อแห่งปีไม่มีใครเกินชะมัดเลยว่ะ
“อยากรู้อะไรก็ถาม
เดี๋ยวผมตอบเอง”
“เธอไม่คิดจะบอกฉันหน่อยเหรอว่าเธอมีแฟนใหม่ทั้ง
ๆ ที่คนทั้งออฟฟิศเธอรู้กันหมดแล้ว”
พี่หนาวถอนหายใจยาวพลางมองหน้าเมียเก่าด้วยความหนักใจ
ส่วนผมก็แอบนั่งลุ้นคำตอบของอีกฝ่ายเพื่อจะตั้งรับได้อย่างสอดคล้องกัน “ฟังนะป๊อบปี้
ผมกับทู เราไม่ได้คบกัน แต่เรามีเหตุผลบางอย่างที่ต้องใช้สถานะแฟนร่วมกัน”
พี่ป๊อบปี้ส่ายหัวพลางยกฝ่ามือขึ้นห้ามก่อนจะจิบไวน์ย้อมใจ
“ไม่เข้าใจ พูดภาษาไทยซิ”
“เราต้องบอกคนอื่นว่าเราเป็นแฟนกัน
ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้คบกัน หรือรักกัน”
พอได้ฟังซ้ำแบบชัด
ๆ อีกรอบ ความรู้สึกกึ่งเห่อ กึ่งประหม่าเมื่อเผลอมโนว่าจะได้รับสมอ้างเป็นแฟนพี่หนาวต่อหน้าเมียเก่าก็หายต๋อม
จะเหลือก็เพียงหมอกควันสีเทา ๆ ลอยเอื่อยในใจโดยที่ผมไม่มีอารมณ์จะถามตัวเองว่า
ไอ้ความรู้สึกโหวง ๆ เหงา ๆ ที่กำลังตีรวนอยู่ในอกตอนนี้คืออะไรกันแน่
“ทำไมล่ะ”
“ผมขอไม่บอกเหตุผลนะ”
ผมเลื่อนสายตามองตามฝ่ามือของพี่หนาวที่ค่อย ๆ ยกแก้วน้ำขึ้นจรดริมฝีปาก
ก่อนจะเลี่ยงไปจับจ้องลูกกระเดือกที่กระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะ
สีหน้าของเขาตอนนี้เป็นอย่างไร ผมไม่กล้าดู ไม่รู้สิ อยู่ ๆ ผมก็เกิดความรู้สึกว่าพี่หนาวเป็นคนอื่นคนไกลที่ไม่ควรจะล่วงเกินไปเสียแล้ว
“ฉันก็ไม่ได้อยากรู้เหตุผล
ฉันแค่อยากรู้ว่าถ้าเธอไม่ได้รักทู ทำไมเธอถึงยังบอกคนอื่นว่าเขาเป็นแฟนเธอล่ะ จริง
ๆ เธอควรปล่อยให้เขาไปเจอคนที่ดีกว่าเธอสิ” พี่ป๊อบปี้เบ้หน้าไม่พอใจ
“ที่เธอทำอยู่มันเหมือนเธอเป็นหมาหวงก้าง ไม่รักเขาแต่ก็ไม่ยอมให้เขาคบคนใหม่”
ผมล่ะอยากอัดประโยคเมื่อกี้ของพี่ป๊อบปี้ไปใช้ด่าไอ้พี่บูมเสียจริง ๆ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะมัน
ชีวิตผมกับพี่หนาวก็คงไม่วุ่นวายอย่างทุกวันนี้
“คุณไม่เข้าใจ”
“ก็เล่ามาสิ
ฉันจะได้เข้าใจ”
“เฮ่อ” พี่หนาวยกมือขึ้นลูบหน้าอยู่พักใหญ่
ๆ คล้ายกับมีเรื่องหนักใจที่ไม่อยากบอกใครหน้าไหนในโลก
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ต้องทนดูผู้ชายตรงหน้าลำบากใจ
เป็นเหตุให้ผมเริ่มคิดได้ว่า ตัวเองควรจะลงมือแก้ปัญหาบ้าง อย่างน้อย ๆ แค่ได้กู้ศักดิ์ศรีคืนแก่อีกฝ่ายต่อหน้าอดีตภรรยาย่อมต้องดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
“เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะผมเองครับ”
ไม่ทันขาดคำ เสียงถอนใจของพี่หนาวก็ดังแทรกขึ้นเสียก่อน พอผมหันไปมอง ท่าน HR
Director ก็เบือนหน้าหนีคล้ายกับไม่อยากเห็นผมอยู่ในสายตา
อะไร... พอผมพูดเข้าหน่อย
ถึงกับทนฟังไม่ได้เลยเหรอ
แต่ช่างเถอะ
ผมจะคิดเสียว่าผมกำลังชดใช้ความผิดให้พี่ก็แล้วกัน
“คือ ผมเพิ่งบอกเลิกแฟนเก่า
แต่แฟนเก่าผมกลับคอยตามตื๊อจนผมใช้ชีวิตลำบาก พี่หนาวเลยช่วยเล่นเป็นแฟนใหม่ให้ผมครับ”
“งั้นเหรอ”
“แต่เมื่ออาทิตย์ก่อนผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองต้องมาทำงานที่บริษัทพี่หนาว
แถมแฟนเก่าก็ยังตามมาทำงานด้วยกัน
พี่หนาวเลยต้องรับบทเป็นแฟนผมต่อไปจนกว่าสัญญาจ้างงานของพวกผมจะหมดน่ะครับ” ให้ตายยังไง
ผมก็ไม่กล้าแฉหรอกว่าพี่หนาวมีงานอดิเรกเป็นลุงไซด์ไลน์ เผื่อเขาแอบทำงานนี้มาตั้งแต่ตอนที่คบกับพี่ป๊อบปี้
ผมไม่ต้องนั่งฟังเมียเก่าพี่หนาวไล่บี้เจ้าตัวจนถึงเช้าอย่างนั้นเหรอ
“เรื่องทั้งหมดมันฟังดูบังเอิญเกินไปนะพี่ว่า”
ฟังคำผมจบแล้วพี่ป๊อบปี้ก็ขมวดคิ้วพลางส่ายหน้าก่อนจะหรี่ตามองพี่หนาวอยู่ครู่ใหญ่
“อย่างเธอเนี่ยนะจะอาสาเล่นเป็นแฟนคนอื่น หรือนอกจากฉัน
เธอก็เที่ยวสัญญากับใครต่อใครไปทั่ว”
สัญญา... สัญญาอะไร?
เฮ่ลโหลว
ลืมไปหรือเปล่าครับว่าผมยังนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้
“คุณเมาแล้วป๊อบปี้”
“เธออย่าเฉไฉหนาว
ฉันแค่อยากรู้ว่าพวกเธอรู้จักกันได้ยังไง”
“ว่ายังไงหนาว
ถ้าเธอไม่ตอบ ฉันถามทูเอาก็ได้นะ” พอมองใบหน้าบึ้งตึงเต็มพิกัดของพี่หนาวสลับกับสีหน้าดื้อดึงจ้องจะเอาชนะของพี่ป๊อบปี้แล้วผมก็อ่อนใจ
โดยเฉพาะรายหลังที่กดดันคนอื่นเก่งเหลือเกิน ไม่รู้ไปร่ำเรียนมาจากที่ไหน แต่พูดก็พูดเถอะ
เห็นอาการกล้ำกลืนของพี่หนาวแล้วผมก็ได้แต่บอกตัวเองว่า อย่าได้เผลอไปมีเรื่องกับพี่ป๊อบปี้จะดีที่สุด
“ไม่ต้อง” พี่หนาวนิ่วหน้า
หลับตา พลางนวดขมับไม่วางมือก่อนจะเอ่ยช้า ๆ ด้วยสีหน้าเจ็บปวด “MateYourDay.com”
ทันทีที่ได้ได้ยินคำตอบเมื่อครู่
พี่ป๊อบปี้ก็หัวเราะพรืดอย่างเสียอาการ “ฮ่า ๆๆๆ จริงเหรอ
ฉันนึกว่าฉันสั่งให้พวกลูกน้องเอาโปรไฟล์เธอออกจากระบบไปแล้วเสียอีก โทษทีนะ
เดี๋ยวกลับไปฉันจะรีบจัดการให้เลย ฮ่า ๆๆๆ ” แกตบโต๊ะปัง ๆ ก่อนจะกรีดนิ้วเช็กคราบน้ำตาแห่งความบันเทิงอย่างเบามือ
“???” ปฏิกิริยากับคำตอบผิดคาดของพี่ป๊อบปี้ทำผมสับสนจนควบคุมตัวเองไม่ได้
แต่ก่อนที่หนังหน้าผมจะเสียทรงจนกู่ไม่กลับ เมียเก่าพี่หนาวก็เอื้อมมือมาลูบแก้มผมเบา
ๆ พลางเอ่ยเสียงหวาน
“ไม่ต้องงงจ้ะที่รัก
พี่เป็นเจ้าของ MateYourDay.com และพี่เป็นคนเอาโปรไฟล์ของตาลุงนี่ไปลงเองแหละ” สมองผมคงยังไม่ทันประมวลผลดี
พี่ป๊อบปี้เลยหัวเราะร่วนพลางหยิกแก้มผมเบา ๆ “วันนั้นนึกยังไงเหรอทูถึงกดเลือกตานี่ได้”
“ผมสุ่มเลือกเอาครับ”
เพราะความเอ๋อแท้
ๆ ทำให้ผมไม่ทันสำเหนียกว่าการสารภาพความจริงจะทำให้พี่หนาวยิ่งหน้าตึงยิ่งกว่าพึ่งโบท็อกซ์หรือร้อยไหม
ส่วนพี่ป๊อบปี้ก็เอาแต่กลั้นขำจนหัวสั่นหัวคลอนก่อนจะประคองสติแล้วพึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าปลื้มปริ่มอิ่มใจเอามาก
ๆ “เอาล่ะ ฉันเข้าใจแล้วว่าเธอกับทูเจอกันได้ยังไง”
“งั้นเรากลับกันเถอะทู”
ว่าแล้วพี่หนาวก็ลุกขึ้นก่อนจะยื่นมือมาตรงหน้า พอเจอท่าไม้ตายนี้เข้าไป จิตใจที่เคยหม่นหมองของผมก็กลับสว่างไสวด้วยประกายแห่งความหวังที่อีกฝ่ายนำเสนอ
ถึงอย่างนั้น เสียงทักท้วงของพี่ป๊อบปี้ก็ช่วยเรียกสติที่อยู่ผิดที่ผิดทางของผมให้กลับเข้าร่างได้อย่างน่าทึ่ง
“เดี๋ยวสิ
ฉันยังไม่เคลียร์เลย” เห็นพี่หนาวยังไม่ยอมนั่ง พี่ป๊อบปี้เลยเอนหลังพิงพนักพลางกอดอกแล้วเปรยเสียงเข้ม
“เธอไม่ต้องรีบกลับหรอก ฉันส่งแนนนี่ไปรับลูกมานอนด้วยแล้ว ว่ายังไง ทีนี้เธอพอจะว่างคุยกับฉันได้หรือยัง”
เชี่ย พี่หนาวมีลูกแล้ว?! โว้ย ลำพังแค่เป็นชู้กับแฟนชาวบ้านมาสามปีแต้มบุญผมก็ร่อยหรอเต็มที
นี่ผมยังต้องตกนรกเพราะความคิดชั่ววูบที่อยากแก้อีมี่เปลี่ยนมนุษย์พ่อให้กลายเป็นเกย์อีกเหรอวะ
ว็อทเดอะฟัค
“คุณอยากรู้อะไรอีก
ฮึ ป๊อบปี้” พี่หนาวยังคงถอนหายใจไม่เลิก แต่ที่สุดแล้วเขาก็ค่อย ๆ หย่อนก้นลงนั่งอีกครั้งอย่างจำยอม
“ฉันคิดว่าเธอไม่จำเป็นต้องเล่นเป็นแฟนทูต่อก็ได้นะ
ถ้าเธออยากช่วยทูจริง ๆ ฉันว่ามันยังมีวิธีอื่นอีกเยอะแยะที่เธอและทูจะทำได้
หรือเธอว่าไง” เจ้าของคำถามเลิกคิ้วพลางมองหน้าพี่หนาวอย่างจับผิด
“ทำไมเธอถึงปล่อยให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าเธอกับทูคบกันมาจนป่านนี้ ฮึหนาว”
พี่หนาวเลี่ยงไม่ตอบคำถาม
เขาหันมามองผมด้วยสายตากึ่งขอร้องกึ่งบังคับอยู่ในที “ทูกลับไปก่อนได้ไหม”
“ครับ?”
เชื่อเถอะว่าหากผมได้ยินประโยคเมื่อสักครู่ก่อนหน้านี้ ผมคงตีปีกพั่บ ๆ แล้วบินกลับบ้านแทบไม่ทัน
แต่พอเห็นสีหน้าที่บอกอารมณ์ไม่ถูกกับดวงตาคมปลาบเฝ้าที่วนเวียนมองหน้าพี่ป๊อบปี้ไม่เลิกรานั่น
ขาผมก็พลันอ่อนแรงอย่างไม่มีสาเหตุ...
ทำไมผมถึงอยู่ฟังด้วยไม่ได้
ในเมื่อทั้งหมดที่พี่จะพูด มันเกี่ยวกับผมทั้งนั้น
“ทูกลับบ้านก่อนเถอะ
พี่อยากคุยกับป๊อบปี้ตามลำพัง” จนถึงตอนนี้ พี่หนาวก็ยังมองพี่ป๊อบปี้ไม่วางตา ผมจึงทำได้แค่เออออตามน้ำเหมือนทุกทีทั้งที่ในใจรู้สึกหดหู่เหลือเกิน
“ครับ”
••••••
“พี่เอิงหวัดดี”
พอถึงบ้านปั๊บ ผมก็เดินเซื่อง ๆ เข้าไปแทรกตัวนั่งตรงกลางระหว่างพี่ชายและน้องชายแล้วเอาหัวไถไหล่คนเกิดก่อนสองปีเบา
ๆ
“ทำไมวันนี้กลับเร็ว
รถไม่ติดหรือไง” พี่เอิงยอมละสายตาจากซีรีย์เพื่อหันมายีหัวผมโดยเฉพาะ
“วันนี้ทูออกก่อนเวลา”
เมื่อเผลอนึกถึงสิทธิพิเศษในการเลิกงานก่อนใครที่ได้รับจากท่านประธานบริษัท (ซี่งโดนพี่ป๊อบปี้ไซโคมาอีกทอดหนึ่ง)
ผมก็ถอนใจไม่หยุด... บอกตรง ๆ ถ้าเลือกได้ ผมยอมกลับบ้านดึกทุกวันดีกว่าจะต้องเผชิญเหตุการณ์อย่างเมื่อตอนเย็น
“อ้าว
แล้วอย่างนี้เขาจะไม่ว่าเอาเหรอ” พี่เอิงผละตัวออกห่างแล้วมองหน้าผมด้วยสายตาเดียวกันกับแม่เมื่อสิบกว่าปีก่อน
จำได้ว่าตอนนั้นผมก็อ้อนแม่อยู่เหมือนครั้งนี้แหละ พอเห็นท่านคลี่ยิ้มละไมได้เดี๋ยวเดียว
ผมก็รีบสารภาพความผิด บอกแม่หมดเปลือกเลยว่าผมชวนไอ้สามวิ่งเล่นจับกันในบ้านจนทำชุดจานชามสุดที่รักในตู้โชว์ของแม่ตกแตกยกตู้
วันนั้นผมโดนแม่ตีจนก้นลาย
ไอ้สามร้องไห้ขี้มูกโป่งเพราะตกใจที่เห็นผมโดนตีต่อหน้าต่อตา
ส่วนคืนนี้พี่ชายกลับค่อย
ๆ อ้าวงแขนแล้วโอบกอดผมที่ทำหน้าเหมือนจะตายไว้ทั้งตัว
“ไม่หรอก
บอกหัวหน้าแล้ว” ผมหนุนอกอุ่น ๆ ของอีกฝ่ายพลางตอบเนือย ๆ “แม่กับพ่ออ่ะ”
“ขึ้นไปดูทีวีข้างบน
หิวหรือเปล่า กินอะไรมาหรือยัง”
“หึ”
ผมส่ายหัวดิกหลังต่อมหิวผมฝ่อไปตั้งแต่เห็นพี่หนาวสุมหัวซุบซิบกับเมียเก่ากันสองต่อสองแล้ว
“เป็นอะไร
ไม่สบายหรือเปล่า”
คงเพราะพี่เอิงเอาแต่ซักไซ้ไม่หยุด
ไอ้สามที่นั่งไถมือถืออยู่นานสองนานก็หันมาสนใจผมตามไปอีกคน
มันยื่นมือมาแปะตรงหน้าผากผมก่อนจะทำเหมือนกันกับหัวเหม่งตัวเอง “ตัวไม่ร้อนนะพี่เอิง
ทูปวดท้องเมนส์เหรอ” ดูปากน้องชายผมสิ ตอนเด็ก ๆ ผมไม่น่าหลอกว่ามันเป็นพี่ที่โดนแม่อั้นไว้คลอดทีหลังผมหนึ่งปีเลยให้ตาย
มันเลยได้ใจตั้งตัวเป็นพี่ชายสายอธรรมของผมมาร่วมยี่สิบปีได้แล้วมั้ง
“ตลกไม่ดูเวล่ำเวลานะสาม”
พี่เอิงผลักหัวเด็กบ๊องเบา ๆ ก่อนจะหันมาโอ๋ผมต่อ “หรือเมื่อคืนนอนไม่หลับ”
ผมชอบนะเวลาที่ทุกคนในบ้านใส่ใจไต่ถามสารทุกข์สุขดิบเหมือนเป็นวาระแห่งชาติ
หนำซ้ำการได้อ้อนพี่ชายน้องชายด้วยจริตลูกคนเล็กก็รู้สึกดีชะมัด แต่เป็นเพราะยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร
ผมจึงได้แต่ส่ายหัวปฏิเสธคำถามของพี่เอิงก่อนจะทอดสายตามองภาพเคลื่อนไหวในจอทีวีอย่างเลื่อนลอย
“แล้วสรุปทูเป็นอะไร”
พี่เอิงถามย้ำอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นไอ้สามที่ชิงพูดขึ้นมาก่อน
“สงสัยจะกลับมาเฮิร์ทเรื่องเก่าอีกแล้วล่ะมั้งพี่เอิง”
เด็กบ๊องวาดแขนผ่านหลังผมไปสะกิดพี่เอิงก่อนจะแอบขยับหัวยึกยักเพื่อส่งซิกลับ ๆ
ผมรู้แหละว่ามันกำลังทำอะไรแต่ตอนนี้ผมเหนื่อยจนไม่มีแก่ใจจะขัดคอน้องชายร่วมอุทร
“พี่เอิงพูดอะไรหน่อยดิ ทูมันจะได้หายเครียด”
“มีอะไรบอกเอิงได้นะทู
อย่าเก็บเอาไว้คนเดียว” พี่เอิงโยกตัวเบา ๆ ทำเอาผมเคลิ้มตาม อยากหลับไปให้พ้น ๆ แล้วตื่นอีกทีตอนที่คิดออกแล้วว่าอาการบ้าที่กำลังเป็นอยู่นี่มีสาเหตุจากอะไร
“โดนไอ้เหี้ยนั่นหาเรื่องมาหรือเปล่า”
ไอ้สามชักสีหน้าพลางทำปากขมุบขมิบ
ผมเดาว่ามันคงโบ้ยความผิดทั้งหมดไปให้บุคคลไม่พึงปรารถนาหมายเลขหนึ่งเป็นที่เรียบร้อย
“มันทำอะไรทู บอกสามมา เดี๋ยวพรุ่งนี้สามไปจัดการมันเอง”
“ทูเหนื่อย
อยากนอน ไปนอนนะ” ผมตัดบทเรียบ ๆ ก่อนจะชิงเดินหนีขึ้นห้องเพราะไม่อยากให้พี่กับน้องชายต้องพลอยปวดหัวเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องไปมากกว่านี้
.
.
.
.
“อีทู
เปิดประตู”
ไม่ใช่แค่เสียงเคาะประตูห้องยาวนานต่อเนื่องเพียงอย่างเดียวหรอกที่ทำให้ผมต้องรีบอาบน้ำแล้ววิ่งหน้าตื่นออกมาแต่งตัวด้วยความไวแสง
แต่เพราะจำเสียงตะโกนโหวกเหวกเมื่อครู่ได้ขึ้นใจต่างหาก ผมจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าใครเผลอจุดธูปอัญเชิญเพื่อนสนิทให้มาสถิตที่บ้านเอาดึกป่านนี้
“มึงเหรอเฟม?”
“เออ
ก็กูอ่ะสิ จะมีใคร”
ขณะเช็กความเรียบร้อยของตัวเองเป็นรอบสุดท้ายผมก็รู้เลยว่าอีกฝ่ายต้องกำลังยืนเท้าเอวพลางกลอกตามองบนใส่บานประตูหน้าห้องผมรัว
ๆ อยู่แน่ ๆ
“มึงมาได้ไงอ่ะเฟม”
ผมยิงคำถามใส่เพื่อนทันทีที่เปิดประตูออกไปแล้วเห็นมันยืนอยู่ตรงนั้นจริง ๆ
“กูไม่เล่นตัวกับน้องมึง
มึงก็รู้” เฟมมองหน้าผมดุ ๆ ก่อนจะปรายตามองข้ามหัวผมเข้ามาในห้องคล้ายปักหลักเขตในการสิงสู่ไว้แต่เนิ่น
ๆ “แล้วนี่จะให้กูยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคืนหรือไง”
ไม่ทันขาดคำ
เฟมก็หิ้วกระเป๋าผ้าใบโตที่มันใช้ประจำเวลาไปออกกำลังกายเดินผ่านหน้าผมไปนั่งจุมปุ๊กอยู่ตรงปลายเตียง
เห็นแบบนั้นผมเลยนึกขึ้นได้ว่า ทุกวันหลังเลิกงาน มันมักจะแวะไปยกเหล็ก (แถมส่องผู้)
สักชั่วโมงสองชั่วโมงแล้วจึงกลับคอนโด “มึงไปฟิตเนสมาเหรอ”
“จริง
ๆ กูก็เกือบจะถึงฟิตเนสอยู่แล้วแหละ แต่เพื่อน้องสาม กูยอมกล้ามหดจ้า”
ถึงเฟมจะขยันอ้อยไอ้สามเรี่ยราดพอ ๆ กับผู้ชายคนอื่น ๆ แต่ผมรู้หรอกว่าที่มันพูดแบบนี้ก็เพราะไม่อยากให้ผมเกรงใจมันจนพลอยเป็นกังวล
แต่ไม่เลย... ยิ่งรู้ว่าพี่น้องเป็นห่วงผมจนต้องโทรไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิท
ผมก็ยิ่งสับสนระคนรู้สึกผิดจนพูดไม่ออก
“มานี่เลย
มานั่งนี่” ผมเดินก้มหน้ามองพื้นไปตลอดทางก่อนจะทรุดตัวลงข้าง ๆ เฟมที่ทำตัวตามสบายราวกับเป็นเจ้าของห้องเสียเอง
“เล่ามา มึงเป็นอะไรฮึอีทู ไอ้เหี้ยนั่นมันทำอะไรมึง”
“เปล่า”
“อีทู
ถ้ามึงสวยเหมือนกู มึงจะลีลาแค่ไหนก็ได้ แต่นี่มึงไม่” ในขณะที่ผมแอบคัดค้านประโยคเมื่อครู่อยู่ในใจ
เฟมก็ส่งสายตารำคาญฟาดฟันใส่ผมไม่ยั้งมือ “เร็ว ๆ อีทู... เล่าเสียที”
“กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากูเป็นอะไร
อยู่ดี ๆ กูก็รู้สึกแหว่ง ๆ โหวง ๆ วิ่น ๆ ยังไงไม่รู้ว่ะ” ผมกลืนน้ำลายพลางพยายามนึกทบทวนถึงต้นตอของอาการห่อเหี่ยวแบบไม่รู้สาเหตุอีกครั้ง
แต่พอสีหน้าอ่านยากของพี่หนาวตอนบอกให้ผมกลับบ้านปรากฏขึ้นในหัว หูผมก็อื้ออึง
หนำซ้ำสมองผมยังตื้อจนคิดอะไรไม่ออก
“ขอไวท์บอร์ดด้วยค่ะ”
เฟมคงเห็นความผิดหวังบนหน้าผมแล้วแหละมันเลยหุบยิ้มจนหน้าเสียทรงเมื่อมุกห้าบาทสิบบาทของมันไม่ได้รับการเติมเต็ม
ถึงอย่างนั้น เพื่อนสนิทผมกลับไม่ละความพยายามในการหาสาเหตุของอาการหว่องของผมแต่อย่างใด
“นี่มึงยังไม่เลิกเฮิร์ทอีกเหรอ ไอ้เหี้ยนั่นมันไม่มีค่าพอให้มึงเสียดายเลยนะ”
“เปล่า
กูไม่ได้คิดเรื่องมันเสียหน่อย” ถ้าจะพูดให้ถูก คือ ตั้งแต่โดนพี่หนาวจัดชุดใหญ่ในห้องประชุมเมื่อเช้าจวบจนเรื่องเมื่อตอนเย็น
หัวผมก็วนเวียนหาคำตอบเกี่ยวกับท่าน HR Director จนไม่เป็นอันคิดถึงอย่างอื่นอีกเลยต่างหาก
“จริงอ่ะ
โกหกกูบาปนะมึง” เฟมคงยังไม่รู้ว่าคนที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้คือพี่หนาว เจ้าตัวเลยชี้หน้าพลางมองขู่เหมือนผมเป็นเด็กสามขวบ
สงสัยเพื่อนสนิทผมจะโดนไอ้พี่บูมรังควานหนักจริง ๆ ถึงได้แค้นฝังหุ่นจนปักใจว่ามันคือตัวแทนแห่งความชั่วร้ายทั้งปวงไปเสียแล้ว
“กูพูดจริง
ๆ กูเลิกคิดเรื่องมันไปนานแล้ว” ผมจ้องตาเฟมแบบจริง ๆ จัง ๆ แล้วบอกมันผ่านสายตาว่าไอ้เหี้ยพี่บูมกลายเป็นอดีตไปแล้ว
เฟมถอนหายใจโล่งอกก่อนจะอมยิ้มหลับตาทำหน้านิพพานเพียงไม่นานก่อนที่มันจะเค้นคอถามผมด้วยหัวข้อเดิม
ๆ “ถ้ามึงไม่ได้คิดเรื่องไอ้เหี้ยนั่น แล้วมึงคิดเรื่องอะไรอยู่”
“มึงจำพี่หนาวที่กูเล่าให้ฟังได้ป่ะ”
“อืม”
เพื่อนสนิทผมถูไรหนวดที่คางพลางทำท่านึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยลอย ๆ “ลุงไซด์ไลน์ที่อยู่
ๆ ก็กลายเป็นลูกค้ามึงน่ะเหรอ”
“อือ”
“ทำไม
เขาทำอะไรมึง”
“วันนี้เมียเก่าเขามาที่ออฟฟิศ”
ผมเสตามองต้นขาตัวเองเพราะไม่อยากให้เฟมจับความรู้สึกน้อยใจตอนที่นึกถึงหน้าเมียเก่าคนสวยของพี่หนาว
เหตุผลที่ผมยังไม่ปรึกษาเรื่องนี้กับพี่น้อง เป็นเพราะผมรู้ว่า ต่อให้เฟมจะโดนผมเวิ่นเว้อเรื่องพี่หนาวใส่ฟังมาตั้งแต่แรก
แต่มันจะพร้อมรับฟังผมทุกอย่างโดยไม่ตัดสิน ที่สำคัญ ความที่เราเป็นเกย์เหมือน ๆ
กัน เพื่อนสนิทคนนี้จึงเข้าอกเข้าใจผมในแง่มุมที่ยากเกินจะปรับทุกข์กับครอบครัว
“เฮ่ย
ถามจริง เขาเคยมีเมียด้วยเหรอวะ” ฟังจบ เฟมก็ถลึงตาแล้วส่ายหน้ามึนงง
ผมพยักหน้ารับพลางอธิบายอย่างไม่อ้อมค้อม
“แต่เห็นเมียเขาบอกว่าหย่ากันแล้วนะ”
“แล้วที่เมียเขามามันเกี่ยวอะไรกับมึง”
เฟมยื่นหน้าเข้าใกล้
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันกำลังเนื้อเต้นอยากฟังตอนต่อไปของเรื่องนี้เป็นที่สุด
“เมียเก่าเขามาดูหน้ากู”
“แล้วไงต่อ
มึงโดนอีเมียเก่านั่นหาเรื่องมาหรือไง วอร์เลยไหมมึง กูพร้อมนะ” ผมกดหน้าต่ำมองเฟมด้วยความไม่แน่ใจ
นี่คือมันเตลิดไปถึงไหนแล้ววะ หรือในสายตามัน ผมคือมุตตาผู้เอวบางร่างน้อยที่สวยและใสซื่อจนโดนเมียหลวงหมั่นไส้เลยตามมาดักตบตรงบันไดหน้ากระทรวง
“เปล่า
เขาเรียกกูไปถามกูว่าคบกับพี่หนาวได้ยังไง” เฟมดูผิดหวังหลังฟังคำตอบของผม แต่แล้วมันก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ก่อนจะกลายเป็นผมเสียเองที่โดนหมัดฮุคเสยปลายคางเข้าอย่างจัง
“อ้าว
แต่มึงกับเขาไม่ได้คบกันนี่หว่า”
เฮ่อ
ไม่ใช่แค่มึงหรอกเฟมที่รู้เรื่องนี้ เพราะวันนี้... “พี่หนาวก็บอกเมียเขาไปแบบนั้นแหละ”
พูดจบผมก็ถอนหายใจยืดยาวให้สาสมกับระดับความห่อเหี่ยวที่ท่วมท้นในใจ
อยู่
ๆ เฟมก็สะบัดหน้าหันมามองแรงจนผมได้ยินเสียงกระดูกคอมันลั่นเสียงดัง “อีทู มึงชอบพี่หนาวใช่ไหม!”
“กูไม่รู้”
ผมพึมพำอย่างอ่อนใจ
“จ่ะ
มึงไม่รู้ แต่กูรู้นะคะ” ว่าแล้วเพื่อนผมก็เชิดหน้ามองสูงพลางบิดริมฝีปากเป็นรอยยิ้มมีเลศนัย
เห็นหน้ามันตอนนี้แล้วผมก็อดหมั่นไส้ไม่ได้... รู้ดีกว่าผมไปอีกนะมันเนี่ย
“มึงจะรู้ได้ไง
ขนาดตัวกู กูยังไม่รู้เลย”
เฟมเปลี่ยนท่านั่งเป็นขัดสมาธิโดยหันหน้าเข้าหาผมก่อนจะจับจ้องผมด้วยสายตาแน่วแน่
“ทู ใจมึงน่ะชอบเขาไปแล้ว” มันจิ้มอกข้างซ้ายของผมเบา ๆ แล้วพูดจี้ใจดำจนผมทำหน้าไม่ถูก
“เพราะถ้ามึงไม่ชอบ เมื่อกี้ตอนที่บอกว่าเขาพูดกับเมียว่าไม่ได้คบกับมึง มึงคงไม่ทำหน้าเหมือนจะตายเสียให้ได้หรอก”
“กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะเฟมว่ากูชอบเขาไหม
แต่เท่าที่รู้ตอนนี้คือกูคงชอบเขาไม่ได้แล้วล่ะ”
“ทำไมมึงจะชอบเขาไม่ได้
ฮึอีทู” ได้ยินแบบนั้นเฟมเลยนั่งเอนหลังเอามือเท้าฟูกแล้วจ้องหน้าหาเรื่องผมอย่างเปิดเผย
“ก็เขาเคยมีเมีย
ที่สำคัญ เขามีลูกด้วยกันด้วยนะมึง” ผมใช้เวลาระหว่างทางกลับบ้านจนถึงเมื่อกี้ใคร่ครวญนานจนเกือบถอดใจ
แต่พอได้พูดถึงลูกพี่หนาวให้เฟมฟัง อยู่ ๆ ชิ้นส่วนที่ขาดหายก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า...
เขามีลูกกับพี่ป๊อบปี้ แปลว่า เขาคงไม่มีวันชอบผู้ชายด้วยกันได้
“โธ่
ไม่ทันไรก็อกหักแล้วเหรอเพื่อนกู แต่ก็ดีแล้วล่ะที่มึงรู้ตัวตั้งแต่ตอนนี้
มึงจะได้ไม่เจ็บหนักไง” เฟมตบบ่าผมไม่หนัก แต่ก็ไม่เบา ผมมองหน้ามันอย่างไม่เชื่อสายตา
เพราะไม่คิดว่าสุดท้ายแล้ว สิ่งที่มันเลือกบอกผมคือคำปลอบใจ
“อะไรวะเฟม
ทำไมคราวนี้มึงไม่เชียร์กูเลยอ่ะ” ทีตอนไอ้เหี้ยพี่บูมอ้อยผม ไอ้เฟมก็เป่าหูให้ผมเอาตัวเข้าแลกโครม
ๆ แล้วทำไมพอเป็นพี่หนาว เพื่อนสนิทถึงไม่เห็นด้วยเลยวะ...
เขาดีกว่าไอ้มนุษย์หน้าด้านนั่นเป็นล้านเท่าเลยนะเฟม
“เอ๊ะอีทู
สรุปมึงจะเอายังไงกันแน่เนี่ย” มันกอดอกพลางชักสีหน้าใส่ผมอย่างหงุดหงิด
เห็นแบบนั้นผมเลยเกทับมันเสียเลย
“ก็กูกำลังอ่อนไหว
กูกำลังหว่อง มึงต้องเข้าใจกูสิ” ผมกดมุมปากลงพลางทำหน้าละห้อยแล้วส่งสายตาหมาน้อยมองอ้อนมันเป็นการตอบแทน
เฟมถอนหายใจแล้วทำหน้าเหม็นเบื่อเบอร์แรงสุดใส่ผมอย่างไม่ปรานีปราศรัย
“อ่ะ ๆ มึงอยากพูดอะไรพูดมา พูดออกมาให้หมดแม่งคืนนี้นี่แหละจะได้จบ ๆ กันไป”
“กูยอมรับว่ากูชอบเขานะมึง
คือ เขาแม่งสเปคกูมาก ๆ แต่กูไม่รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่”
พอนึกถึงพี่หนาวที่ใจดี สลับกับท่าน HR Director ผู้แสนเย็นชาแล้วผมก็สับสน “จริง ๆ ถ้าเขาไม่อะไร
เขาก็ไม่น่ายอมเสียชื่อเพราะกูป่ะวะเฟม ถูกลูกน้องทั้งบริษัทมองว่าเป็นเกย์นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก
ๆ เลยนะ”
“อ่ะจ่ะ
มโนไปอีก” ผมเลยค้อนมันมั่ง ผลัดกัน เฟมจิ๊ปากเบา ๆ แล้วหยุดคิดนิดหนึ่งแบบที่มันชอบทำเป็นประจำเวลาที่ต้องกัดฟันทำอะไรสักอย่างที่มันไม่ชอบ
“ถ้ามึงแน่ใจว่าเขาชอบมึง แล้วมึงจะกลัวอะไร เดินหน้าอ้อยเต็มพิกัดไปเลยดิ”
ฟังแล้วผมก็ส่ายหัวใส่เพราะไม่เห็นด้วยเด็ด
ๆ “ไม่รู้ว่ะ พอกูกำลังจะเคลิ้ม ๆ ว่าเขาก็ชอบกูเหมือนกัน เขาก็เหวี่ยงใส่กู ดุกู
แถมยังทำท่าห่างเหินเวลาอยู่กับกูหนักมาก กูเลยอดคิดไม่ได้ว่า
หรือที่เขายอมเป็นแฟนกูเพราะเขาแค่สงสารกูวะ”
“เขาทำมึงสับสนมากเลยนะเนี่ย”
“เออดิ”
“ซึ่งเขาก็ฝากมึงมาทำให้กูสับสนตามไปอีกคนแล้วจ้า”
“กูขอโทษนะเฟม”
ผมยกมือไหว้เพื่อนด้วยความสำนึกผิด
“เฮ่อ”
สุดท้ายเฟมมันก็เริ่มถอนหายใจแข่งกับผมเสียแล้ว “อ่ะ ถ้างั้นมึงแค่ตอบกูมาซิว่า
ถ้าตัดเรื่องลูก เรื่องเมียเก่า แล้วก็เรื่องไม่เป็นเรื่องออกไปทั้งหมด
มึงยังจะชอบเขาอยู่ไหม”
“อือ”
ผมพยักหน้าแรงจนขาแว่นเกือบเลื่อนหลุด
“เออ
ก็แค่นี้แหละ ชอบก็คือชอบ ถ้ามึงชอบแล้วแฮปปี้ มึงก็ชอบเขาต่อไป เดี๋ยวไว้มึงเบื่อเขาเมื่อไรค่อยเลิกชอบก็ได้
ไม่มีใครเดือดร้อนหรอก” ก่อนจะถอนหายใจตบรางวัลให้ผมแบบติด ๆ กันเมื่อกี้ ผมเห็นเฟมแอบกลอกตาเบ้หน้าเพิ่มมูลค่าให้การออกท่าครั้งนี้อีกนิดหน่อย
“มันจะดีเหรอวะเฟม”
ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าวิธีที่เพื่อนสนิทแนะนำจะให้โทษหรือเป็นคุณ แต่ที่แน่ ๆ มันทำให้ผมกลั้นยิ้มแทบไม่อยู่แล้วล่ะ
“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน
แต่ถ้ากูบอกให้มึงเลิกชอบเขา มึงจะทำได้ไหมล่ะ”
“กูไม่รู้”
ที่ส่ายหัวไม่ใช่เพราะคิดจริงเหมือนปากว่า แต่เพราะผมไม่กล้าบอกเพื่อนรักต่างหากว่าผมคงจะเลิกชอบพี่หนาวง่าย
ๆ ไม่ได้ ก็ใครใช้ให้เขาหล่อเหลารูปร่างตรงใจผมเกินไปเองล่ะ ถ้าจะโทษ
ก็ต้องโทษเขาสิ
“หึ
มึงทำได้ แต่มึงแค่ไม่อยากทำหรอกอีทู” เฟมทำหน้าเด้ดแต่ไม่วายยักคิ้วใส่ผม
“ใช่ไหมล่ะ”
ผมโผเข้าไปกอดมันด้วยความรู้สึกหลากหลาย
แต่ที่แน่ ๆ คือผมรู้สึกดีจริง ๆ ที่มีมันเป็นเพื่อน “มึงห้ามตายก่อนกูนะเฟม”
“สาบานว่านั่นปาก”
ประโยคสุดท้ายของเพื่อนสนิททำผมหัวเราะลั่น แต่อ้อมกอดของมันก็ตอกย้ำให้เชื่อมั่นว่า
หากสุดท้ายผมจะต้องเจ็บเพราะแอบชอบพี่หนาวแล้วโดนเขาทำร้ายจิตใจจนเป็นบ้า
ผมก็จะยังมีมันอยู่ข้าง ๆ คอยด่า คอยปลอบแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
••••••
ช่วงก่อนหน้านี้คเชนทร์มัวแต่ยุ่งกับการทำร้านเลยไม่มีโอกาสได้สำรวจตลาดเช้าแถวบ้านใหม่
วันนี้ถือฤกษ์ดีที่ตื่นเช้ากว่าปกติ ชายหนุ่มจึงรีบรดน้ำต้นไม้ในกระถางตรงสวนหย่อมหน้าร้านก่อนจะตัดสินใจเตร่ออกมาหาซื้ออาหารเช้าละแวกบ้านด้วยความหวังว่าจะเจอร้านเด็ด
หลังจากเจ้าของร้านดอกไม้แวะซื้อผลไม้กับของกินติดมือไว้กินระหว่างวัน
เจ้าตัวก็เบนเข็มกลับร้านทันที แต่ระหว่างที่กำลังเดินผ่านตรอกเล็ก ๆ
ที่กว้างพอให้รถเข้าได้แค่ครั้งละคัน เขากลับสังเกตเห็นโต๊ะไม้ตัวเล็ก ๆ กับเก้าอี้เหล็กเก่า
ๆ ขนาดสมกันตั้งเป็นชุดชิดผนังฝั่งหนึ่งลึกเข้าไป
สิ่งที่เรียกความสนใจของคเชนทร์ได้ชะงัดคือการที่โต๊ะส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มีคนนั่งจับจองอยู่เกือบเต็ม
ด้วยความสงสัย ชายหนุ่มจึงเดินโต๋เต๋เข้าไปสอดส่อง แล้วจึงพบว่าตรงสุดตรอกเล็ก ๆ แห่งนี้
มีร้านโจ๊กเก่า ๆ แต่ดูเก๋าเปิดให้บริการอยู่อย่างคึกคัก เห็นดังนั้น
ชายหนุ่มจึงปลงใจเลือกโจ๊กร้อน ๆ ในหม้อใบใหญ่เป็นอาหารเช้าโดยแทบไม่เสียเวลาคิด
“โจ๊กหมูใส่ไข่พิเศษชามนึงครับ”
“รอนานหน่อยน้า
ลูกค้าเยอะ” คเชนทร์เดาว่าเจ้าของร้านชายหญิงน่าจะเป็นคู่สามีภรรยาชาวจีนที่อาศัยอยู่ในเมืองไทยมานาน เพราะนอกจากสำเนียงภาษาไทยที่อีกฝ่ายใช้โต้ตอบลูกค้าจะฟังไม่ชัดนัก
ย่านที่เขาอาศัยยังถือเป็นทำเลทองที่ชาวไทยเชื้อสายจีนจับจองเป็นเจ้าของกันอย่างหนาแน่น
“ครับ”
“นั่งเลย
ตรงไหนว่างก็นั่งเลย”
โชคดีเป็นของชายหนุ่ม
เพราะมีลูกค้าโต๊ะหนึ่งเพิ่งลุกออกไป เขาจึงได้ครอบครองทั้งโต๊ะแต่เพียงผู้เดียว
ระหว่างที่นั่งรออาหารเช้าอยู่นั้น คเชนทร์ก็กวาดตามองไปรอบ ๆ
ตัวอย่างสนอกสนใจพลางเงี่ยหูฟังเจ้าของร้านอารมณ์ดีทั้งสองเอ่ยแซวลูกค้าคนแล้วคนเล่าไม่ขาดปาก
เสียงหัวเราะกับบรรยากาศผ่อนคลายภายในตรอกเล็ก
ๆ ที่ข้างนอกเป็นตลาดสดริมถนนสองเลนแคบ ๆ และฝั่งตรงข้ามเป็นตึกแถวที่มีคนอยู่อาศัยทำให้คเชนทร์อารมณ์ดีเกินกว่าจะรู้สึกขัดใจกับการหิ้วท้องรอ
แต่หลังจากนั่งชมนกชมไม้ไปได้สักพัก ชายหนุ่มก็ต้องแปลกใจ เพราะการนั่งรอโจ๊กทำให้เขาได้เจอกับอาม่าและเด็กชายเวลาอีกครั้ง
“นั่งด้วยกันไหมครับ
เก้าอี้ตรงนี้ว่าง” เจ้าของร้านดอกไม้ยิ้มพลางเอ่ยเชิญชวนสองยายหลานที่เพิ่งเดินเข้ามาในตรอกแห่งนี้ด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“เวลานั่งรอม่าตรงนี้นะ
เดี๋ยวม่าไปสั่งโจ๊กก่อน” หญิงชรากำชับหลานชายก่อนจะหันมาคลี่ยิ้มให้คเชนทร์ “ฝากดูหลานเดี๋ยวนะหนู
เดี๋ยวป้ามา”
“ครับ”
ทันทีที่หญิงชราคล้อยหลังไป
ชายหนุ่มก็หันไปทักทายเด็กชายกาลกมลทันที “สวัสดีครับเวลา” ขนาดเขานั่งร่วมโต๊ะกับอีกฝ่ายในระยะประชิดเท่านี้
เด็กชายก็ยังนิ่งเงียบ ไม่ปริปากตอบคำถามใด ๆ แต่คเชนทร์เองก็ไม่ยอมถอดใจง่าย ๆ เขาจึงงัดไม้ตายขึ้นมาใช้หลอกล่อเวลาเสียเลย
“เวลาอยากดูรูปลูกพี่ไหมครับ ลุงถ่ายไว้เยอะแยะเลยนะ”
พอได้ยินชื่อลูกพี่เท่านั้นแหละ
จากที่นั่งก้มหน้าก้มตา เด็กชายเวลาก็หันมาส่งสายตาแวววาวให้เขาทันที คเชนทร์จึงรีบปลดล็อกโทรศัพท์แล้วถือวิสาสะย้ายตัวเองไปนั่งข้าง
ๆ อีกฝ่ายก่อนจะเลื่อนหน้าจอไปใกล้ ๆ แล้วเลือกรูปที่เด็ดดวงในคลังภาพมานำเสนอ
“รูปนี้ถ่ายตอนแรก
ๆ ที่ลุงเจอลูกพี่ครับ ส่วนนี่ เวลาเห็นหน้ามันไหมครับ...
มันทำหน้าแบบนี้ตอนโดนลุงจับอาบน้ำครั้งแรกครับ ตลกไหม”
รูปเจ้าเหมียวหัวโตเพราะขนตามตัวโดนน้ำจนลีบลู่ติดผิวหนังกับใบหน้าเซ็งโลกแต่ทำอะไรไม่ได้ของมันทำให้คเชนทร์ได้ยินเด็กชายที่นั่งข้าง
ๆ กันหัวเราะคิกคักเป็นครั้งแรก แต่ก่อนที่ชื่อเสียงของลูกพี่จะป่นปี้
อาม่าของเวลาก็กลับมาพร้อมกับโจ๊กหลายถุงในมือ “ไปเวลา กลับบ้านไปกินโจ๊กกัน”
“โจ๊กหมูใส่ไข่พิเศษ
น้ำไปตักเอาตรงโน้นนะ” จังหวะที่คเชนทร์กำลังจะกล่าวคำอำลากับสองยายหลาน
อาหารเช้าก็เดินทางมาถึงเสียก่อน
เขาจึงจำใจปล่อยให้เด็กชายผู้คลั่งไคล้แมวหน้ากากเดินจากไปก่อนจะได้สานสัมพันธ์
แต่จังหวะที่ชายหนุ่มกำลังจะละสายตาจากแผ่นหลังของทั้งสอง
หญิงชราก็หยุดเดินแล้วก้มลงคุยกับหลานชายอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนที่พวกเขาจะหันกลับมาคลี่ยิ้มส่งให้เจ้าของร้านดอกไม้
โดยที่ก่อนจะหมุนตัวจากไป เด็กน้อยก็โบกมือบ้ายบายทิ้งท้ายเพื่อให้คเชนทร์กินโจ๊กได้อร่อยยิ่งกว่าที่เคย
••• TBC •••
อ่านแล้วชอบ หรือไม่ชอบอย่างไร
อย่าลืมบอกกล่าวกันบ้างนะคะ
เจอกันวันจันทร์หน้าเหมือนเดิมนะคะคนดี
^^
(รวบกอดทุก ๆ ท่านด้วยความรัก)
No comments:
Post a Comment