Monday, February 5, 2018

• รักหลอก ๆ ต้องบอกลุง •||#04|| 05.02.2018


#04

ผันเปลี่ยนไปได้ทุกทาง ทุกอย่างอยู่ที่เธอ
ว่าจะเจอท้องฟ้างาม หรือเจอเมฆฝน
ผันเปลี่ยนไปได้ทุกทาง เธอทำให้มันวกวน
เธอเปรียบเป็นเหมือนสองคน ในร่างเดียว
สองคนในร่างเดียว – นูโว

…………………………………………………………………………………………………………


ถ้าผมตัดเหตุการณ์แทงข้างหลังกลางโต๊ะอาหารกับสามชั่วโมงที่ถูกพี่จี๊ดเรียกตัวเพื่อไปร่วมเป็นสักขีพยานในการเทศน์มหาชาติด่ากราดคอนซัลท์ระบบ FI ออกจากหน่วยความจำ รวมถึงถ้ามองข้ามความรู้สึก เอ๊ะ ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงพึมพำดังตามหลังเวลาไปเติมน้ำตรงคูลเลอร์ในแพนทรีและทุกเมื่อที่ออกไปเข้าห้องน้ำ ผมคงพอพูดได้ว่าสถานการณ์รอบตัวช่วงสองวันแรกของการทำงานได้กลับคืนสู่ความปกติสุขเป็นที่เรียบร้อย

ไม่สิ อันที่จริงยังมีอยู่อีกอย่างที่ยังไม่ปกติ
แถมมันดันอยู่นอกเหนืออำนาจการจัดการของผมเสียด้วย

ผมอยากคุยกับคุณเรื่องวันนั้น
ได้ไหมครับ

“เฮ่อ” ผมถอนหายใจเซ็ง ๆ เมื่อเห็นเพียงคำว่า ‘READ’ ตัวเล็ก ๆ โผล่อยู่ข้าง ๆ ข้อความไลน์ที่เพิ่งส่งไปหาพี่หนาวตอนเก้าโมง (ขนาดผมโกงไม่ยอมนับ ‘READ’ อีกราว ๆ ยี่สิบตัวด้านบนแล้วนะ) เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเวลาที่เปิดหน้าจอมาแล้วเจอแต่ข้อความของตัวเองน่ะมันแย่ขนาดไหน  

“สรุปแกกับคุณคิมหันต์นี่ยังไง” เสียงอู้อี้เหมือนคนเพิ่งตื่นของพี่ฟี่ที่ดังลอดฝาแล็ปท็อปเครื่องโตออกมาแบบไม่บอกกล่าวทำเอาผมดึงสติตัวเองกลับมาเกือบไม่ทัน

“หืม เมื่อกี้พี่ว่าอะไรนะ”

“ฉันถามว่า แกหันมากินยูสเซอร์ตั้งแต่เมื่อไร”

แม้ตอนนี้พวกเราจะหัวหมุนกับการเตรียมข้อมูลพรีเซนต์การสาธิตระบบแก่ยูสเซอร์ HR ทั้งแผนกในอีกสองวันข้างหน้า แต่คุณสมบัติข้อหนึ่งที่คอนซัลท์ส่วนใหญ่ล้วนมี คือ ทักษะในการทำหลาย ๆ สิ่งในเวลาเดียวกัน เพราะฉะนั้น จึงไม่แปลกหากในระหว่างที่สองมือเร่งปั่นงาน ปากเราจะยังสามารถเม้าท์มอยเรื่องราวครอบจักรวาลได้อย่างฉะฉานแบบที่พี่ฟี่กำลังทำอยู่นี่แหละ

“นั่นดิพี่ทู พี่คบกับคุณคิมหันต์ตั้งแต่เมื่อไหร่อ่ะ” ผมยังไม่ทันตอบ ยีนส์ก็ยื่นใบหน้าระริกระรี้เข้ามาผสมโรงเหมือนเตี๊ยมกันมา เดี๋ยวนะ ที่ผมเห็นพี่ฟี่กับน้องนุชสุดท้องรัวคีย์บอร์ดมือเป็นระวิงอยู่นี่ไม่ใช่กำลังอัพเดทเนื้อหาที่จะพรีเซนต์อยู่หรอกหรือ

ถึงผมจะสงสัยในเจตนาของเพื่อนร่วมทีม แต่เท่าที่ดูจากความกระตือรือล้นเกินพอดีบนใบหน้าน้องเล็ก ผมก็แอบนึกขอบคุณเด็กน้อยในใจที่ไม่ถามเท้าความไปถึงความสัมพันธ์ครั้งเก่า เพราะลำพังเรื่องพี่หนาว ผมก็ไม่รู้จะตอบคนอื่นยังไงแล้ว

“ว่างเหรอยีนส์” ผมหรี่ตามองหาเรื่องน้องมันเต็มที่

แม้จะโดนผมเบรคจนหน้าทิ่มแต่ยีนส์กลับยังยิ้มสู้ หนำซ้ำยังกล้าเอาหน้ามาถูแขนผมเสียอีก “แหมพี่ทู บอกน้องหน่อยเหอะน้า”

“บันทึกการประชุมเมื่อวานน่ะทำเสร็จยัง” ผมยอมละสายตาจากสไลด์บนหน้าจอ แงะหัวน้องออกจากแขนก่อนจะเหลือบมองลอดแว่นเพื่อกดดันยีนส์อีกครั้ง

“อ๋อ หนูตรวจทานอยู่ค่ะ เดี๋ยวเสร็จแล้วหนูส่งให้พี่ดูก่อนนะ” น้องนุชสุดท้องยิ้มยิงฟันพลางเจื้อยแจ้ว... ใช่แน่ ๆ พี่ฟี่กับเจ้าเด็กนี่ต้องกำลังสุมหัวนินทาผมอยู่แน่ ๆ เพราะถ้าแบ็คไม่ดี มีหรือที่นู้บอย่างยีนส์จะต้านทานสายตาทิ่มแทงของผมได้ [size=10pt](หมายเหตุ: Newbie หรือ Noob (นิวบี้/ นู้บ) สแลงสำหรับใช้เรียกผู้เล่นมือใหม่ ใช้แพร่หลายในชุมชนเกมออนไลน์)[/size]

“เร็วเลย อย่าให้เกินเที่ยง” 

“ค่า” ผมหลงคิดว่าการกำหนดเส้นตายจะทำให้อีกฝ่ายยอมรามือ ที่ไหนได้ เด็กมันทำหน้าสลดได้ไม่ถึงอึดใจเสียด้วยซ้ำ “แต่พี่ทูขา พี่ทูจะไม่เล่าเรื่องคุณคิมหันต์ให้พวกเราฟังจริง ๆ เหรอคะ” เผือกไม่เลิกจริง ๆ อีหนู เห็นผมใจดีด้วยหน่อยล่ะเอาใหญ่เชียวนะ

“ไม่เอา ไม่คุยแล้ว ทำงาน ๆ ” ผมตีหน้ายักษ์ใส่เด็กแล้วหันไปเก๊กเสียงเข้มถกเรื่องงานกับซีเนียร์ประจำทีม “พี่ฟี่ สรุปกระบอกเงินเดือนของที่นี่มีห้าระดับใช่ป่ะ”

“ห้าที่ไหนทู ที่พี่ได้จากคุณมิ้มมีเจ็ดระดับนะ”

“แต่ที่คุณเซียงให้ผมมามันมีแค่ห้าเองนะพี่” ผมพลิกหน้าชุดเอกสารคู่มือการทำงานฉบับสำเนาที่คุณเซียงให้มาเพื่อหาข้อความสำคัญที่เคยไฮไลท์เผื่อใช้อ้างอิง ทันทีที่เห็นจุดผิดปกติ ผมก็อดขมวดคิ้วนิ่วหน้าไม่ได้ “ไหนพี่ ขอผมดูเอกสารของ PYM หน่อยดิ”

จริงอยู่ที่ผมกับพี่ฟี่มีหน้าที่ประสานงานกับยูสเซอร์จากต้นสังกัดเดียวกัน แต่ในทางปฏิบัติแล้ว คอนซัลท์แต่ละระบบงานย่อยจะต่างคนต่างแยกย้ายกันเข้าประชุมเก็บความต้องการพื้นฐานและรับมอบเอกสารรวมถึงข้อมูลเชิงรายละเอียดอื่น ๆ จากยูสเซอร์หลักตามรายชื่อที่ลูกค้าเจาะจงโดยเฉพาะ สำหรับโปรเจคนี้ ยูสเซอร์ระบบ PYM (ระบบเงินเดือน) กับ TM (ระบบเวลา)ที่พี่ฟี่เป็นเจ้าภาพคือคุณมิ้มและคุณโอ้เอ้ ในขณะที่คุณเซียงเป็นยูสเซอร์หลักที่ผมต้องประสานงานด้วยแต่เพียงผู้เดียว

และด้วยธรรมเนียมปฏิบัตินี้เอง บ่อยครั้งเราจึงมักจะพบว่า แม้ยูสเซอร์แต่ละคนจะส่งมอบเอกสารหัวเรื่องเดียวกันหากแต่เนื้อหาด้านในกลับขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง พวกผมจึงต้องหมั่นพูดคุยกันเป็นการภายในเพื่อลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการทำงานให้ได้โดยเร็วที่สุด  

“อ่ะ เอาไปเลย” ผมเอื้อมไปรับปึกกระดาษที่ถูกส่งมาจากอีกฟากโต๊ะมาคลี่อ่านผ่านตาแบบลวก ๆ

“เออว่ะ มีเจ็ดระดับจริง ๆ ด้วย”

ได้ยินแบบนั้น พี่ฟี่เลยกลอกตาทำหน้า ก็ฉันบอกแกแล้ว ยังจะเถียงอีก ใส่ผมอย่างเกรี้ยวกราด แต่สิ่งที่แยงตาผมจนเจ็บยิ่งกว่าสีหน้าเยาะเย้ยของคนคุ้นเคย คือ เนื้อความที่ระบุอยู่ในชุดเอกสารที่พี่ฟี่ครอบครองนั่นต่างหาก “เฮ่ยพี่ฟี่ กลุ่มพนักงานที่คุณมิ้มให้พี่มามี Temp. (พนักงานสัญญาจ้างชั่วคราว) ด้วยเหรอ”

“เออสิ”  

“ได้ไงอ่ะ” ผมตวัดสายตาดูวันที่กำกับเอกสารทั้งสองชุดแล้วก็พบว่าเอกสารของพี่ฟี่น่าจะเป็นชุดล่าสุด ในขณะเอกสารที่คุณเซียงให้ผมเก่ากว่านั้นหลายปี

“แล้วพี่จะรู้กับทูไหมล่ะ ก็คุณมิ้มให้พี่มาแบบนี้นี่หว่า” ที่สุดแล้ว คอนซัลท์อาวุโสประจำทีมก็ชะโงกหน้าพ้นจอคอมฯ ขึ้นมาเพื่อสบตากับผมโดยเฉพาะ

“ตอนประชุมกันคุณเซียงแกลืมบอกทูหรือเปล่า” ดูจากท่าทีล่าสุดของพี่ฟี่ ผมคิดว่าแกน่าจะเริ่มเอะใจอะไรบางอย่างเหมือนผมแล้วแหละ

“ไม่นะพี่ ในบันทึกการประชุมก็ไม่มี”

“งั้นทูก็ลองเช็คกับคุณเซียงดูสิ จะได้หายคาใจ”

คุณเซียงครับ รบกวนนิดนึง ไม่ทราบสะดวกคุยไหมครับ
ไว้ก่อนได้ไหมคะ ตอนนี้ยุ่งมาก
โอเคครับ ถ้ายังไงว่างแล้วรบกวนทักผมหน่อยนะครับ
ค่ะ

“เฮ่อ” หลังอ่านข้อความล่าสุดที่คุณยูสเซอร์สุดที่รักเพิ่งตอบผ่านระบบแชทภายในของบริษัทลูกค้าอยู่สองรอบ ผมก็เริ่มสงสัย... เวลานี้เรื่องเอกสารเก่าเก็บดูไม่น่าสนใจเท่ากับทำไมตอนประชุมกัน คุณเซียงถึงอธิบายรายละเอียดของระบบงานโดยยึดตามข้อมูลตกรุ่น ที่สำคัญ คุณเซียงยังไม่เคยพูดถึงส่วนที่ตกหล่นหรือแตกต่างเลยสักแอะ

คนเราต่อให้โหมงานจนอ๊องแรงเบอร์ไหน สมองก็ไม่น่าเออเร่อถึงขั้นขุดความทรงจำสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีมาใช้หรอกมั้ง

“พี่ ๆ คะ พี่โอ้เอ้ฝากมาถามว่ามีใครอยากสั่งหมูสะเต๊ะกลับบ้านไหมคะ พอดีบ่ายนี้มีแมสเซ็นเจอร์วิ่งไปรับงานแถวท่าดินแดง พี่เขาเลยฝากหนูมาถามพวกพี่ ๆ แกจะได้รวมออเดอร์แล้วสั่งทีเดียว” ผมสะดุ้งอีกหนเพราะน้ำเสียงกระฉับกระเฉงของยีนส์

“เออ ๆ พี่เอาสองชุด เดี๋ยวหยิบตังค์ก่อน”

“พี่ทูเอาหมูเต๊ะป่ะคะ”

“ไว้วันหลังแล้วกัน” 

“เป็นไรพี่ ทำไมทำหน้าแบบนั้นอ่ะ ทะเลาะกับคุณคิมหันต์เหรอ”

“ถ้าไม่รู้ก็อย่าพูด” ทั้ง ๆ ที่โดนผมถลึงตาใส่อย่างจังแต่ยีนส์ยังกล้าส่งสายตาตัดพ้อทำนองว่า ก็พี่ไม่บอกหนู แล้วหนูจะรู้ได้ไงอ่ะ กลับมา เห็นอย่างนั้นผมเลยวางเฉยไม่ลง “ที่พี่ทำหน้าแบบนี้เพราะพี่กำลังรอคุณเซียงคอนเฟิร์มกลุ่มพนักงานให้พี่อยู่ แล้วพี่ก็ไม่รู้ว่าแกจะว่างคุยเมื่อไร เคลียร์นะน้อง”

จริงอยู่ว่าแม้ระบบงานที่ผมทำจะเป็นระบบงานพื้น ๆ ที่วนเวียนเกี่ยวกับองค์กรและรายละเอียดทั่ว ๆ ไปของพนักงาน (อาทิ ประวัติส่วนตัว ครอบครัว ที่อยู่ ข้อมูลการติดต่อ ฯลฯ) แต่เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้คือรากฐานของระบบย่อยอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน หากผมหลับหูหลับตาตั้งค่าระบบโดยอาศัยเนื้อหาผิด ๆ จากชุดเอกสารอ้างอิงที่เก๋ากึ้กยิ่งกว่าหลักศิลาจารึก ผมก็ไม่ควรประกอบอาชีพเป็นคอนซัลท์อีกต่อไป

“พี่ฟี่ ผมถามไรหน่อยดิ”

“ไรอ่ะ”

“กับพี่มิ้ม พี่นัดคุยยากป่ะ”

“ก็ไม่นะ ถามทำไมเหรอ” พี่ฟี่ถึงกับหยุดรัวคีย์บอร์ดแล้วหันมามองหน้าผมอย่างสนอกสนใจ

“คุณเซียงแกไม่ค่อยว่างเลยว่ะพี่ ผมทักไปทีไร ไม่ติดประชุมก็ยุ่งตลอดเลยอ่ะ” ทั้งที่ตั้งใจจะไม่ถอนหายใจพร่ำเพรื่อแท้ ๆ แต่พอคิดถึงสีหน้าไม่พร้อมรับแขกของคุณเซียงที่เห็นเป็นประจำบวกกับความสงสัยเรื่องข้อมูลที่ยังคาใจ ผมก็ห้ามตัวเองไม่อยู่

“ไม่นะพี่ทู ทุกทีที่หนูทักไปแกก็ตอบตลอดเลยนะ ตอบเร็วด้วย” ยีนส์แทรกขึ้นก่อนที่พี่ฟี่จะทันได้อ้าปาก แกเลยชี้หน้าน้องพลางแสร้งทำขู่

“อย่าให้รู้เชียวนะว่าวัน ๆ เอาแต่ชวนยูสเซอร์คุยเล่นจนเสียงานกันทั้งคู่ พี่จะฟ้องพี่จี๊ดให้”

“โอ๊ยพี่ฟี่ หนูว่าคนจะเสียงานน่ะพี่เซียงมากกว่า” ไม่ทันขาดคำ น้องเล็กประจำทีมก็เลื่อนโน้ตบุ๊คของตัวเองมาให้ผมกับพี่ฟี่ดูแช็ทล็อกบนหน้าจอก่อนจะจ้อต่อปาว ๆ “นี่ไง เห็นป่ะ เมื่อกี้หนูแค่ถามแกว่าแถวนี้มีขนมอะไรน่าตำบ้าง แล้วดูแกตอบดิ อย่างเยอะอ่ะ”

“เออว่ะ เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าคุณเซียงแกเป็นสายกินเหมือนกัน”

“ใช่ป่ะ เห็นตัวเล็ก ๆ แบบนั้นไม่น่ากินเก่งเลยเนอะ” จนถึงตอนนี้ คุณเซียงก็ยังไม่หยุดกระหน่ำพิมพ์ข้อความส่งหายีนส์ และผมก็ยังไม่หยุดถอนหายใจ

ตามธรรมเนียมแล้ว ช่วงต้นโปรเจค ทั้งยูสเซอร์และคอนซัลท์จำเป็นต้องแบ่งเวลาจากงานประจำมานั่งจับเข่าคุยกันแบบถึงลูกถึงคน โดยที่ฝ่ายแรกจะต้องให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อการเตรียมระบบอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แต่เพราะกรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว คอนซัลท์จึงมักจะขอนัดประชุมเพิ่มเติมเป็นครั้งคราว เรื่องตลกก็คือ พอผมอ้าปากจะคุยเรื่องตารางว่างทีไร คุณเซียงก็พร้อมจะเซย์โนอย่างว่องไวโดยไม่ลืมข้ออ้างสารพัดสารพัน

“ทำไมทูไม่ลองเช็คตารางคุณเซียงในปฏิทินเอาท์ลุคอ่ะ จะได้รู้ว่าแกว่างหรือติดประชุมตอนไหน” ผมคงเผลอทำหน้าแปลก ๆ อยู่แน่ ๆ ไม่งั้นพี่ฟี่คงไม่เดินอ้อมโต๊ะมาตบบ่าผมเบา ๆ หรอก “ลองดูดิ พี่ก็ใช้เช็กตารางคุณมิ้ม คุณเอ้อยู่บ่อย ๆ ”

“ครับ” ผมฝืนยิ้มรับแกน ๆ ทั้งที่ในใจอยากบอกแกไปว่า ก่อนพี่จะแนะนำ ผมแอบเช็กปฏิทินงานของคุณเซียงมาจะสิบรอบแล้ว และแกโคตรว่างเลยว่ะพี่.... ฮือ

“ก๊อก ก๊อก เดี๋ยวเอ้จะลงไปกดตังค์แล้วแวะไปสั่งกาแฟใต้ตึก มีใครอยากได้ชา กาแฟ หรือน้ำชงอะไรไหมคะ” หลังเคาะประตูหน้าห้องพอเป็นพิธี คุณโอ้เอ้ก็โผล่เข้ามายืนคลี่ยิ้มสว่างสดใสให้ทุก ๆ คนในห้อง

“จะดีหรอคะคุณโอ้เอ้ ถ้าพวกเราสั่งกันหมดคุณโอ้เอ้ก็ต้องลำบากหิ้วขึ้นมาคนเดียว พี่ว่าเดี๋ยวพวกพี่ลงไปซื้อเองดีกว่าค่ะ คุณโอ้เอ้จะได้ไม่ต้องถือหนักด้วย”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะพี่ฟี่ เดี๋ยวพี่เซียงลงไปเป็นเพื่อนเอ้ค่ะ สั่งแค่ไม่กี่แก้ว สองคนช่วยกันถือ ไม่หนักหรอก”

แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่สุดท้ายผมก็หนีความจริงที่ว่ายูสเซอร์สุดที่รักกำลังหลบลี้หนีหน้าผมอยู่อย่างเอาเป็นเอาตายไปไม่ได้ เฮ่อ คุณเซียงนะคุณเซียง ถ้าคิดจะหลอกกันจริง ๆ ทำไมไม่ทำให้เนียนกว่านี้นะ

••••••

ห้องประชุมขนาดกะทัดรัดซึ่งยูสเซอร์ HR จัดให้พวกเรานั่งทำงานตั้งอยู่บนทำเลทองระหว่างห้องเซิร์ฟเวอร์กับสต๊อกเก็บของใช้สำนักงาน วัน ๆ นึง นอกจากพวกผมแล้ว ก็แทบไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดเยื้องกรายผ่าน บรรยากาศโดยรอบจึงเงียบสงบเหมาะแก่การทำงานเป็นอย่างยิ่ง

แต่ด้วยความที่มันซ่อนอยู่ในหลืบด้านลึกลับแลที่สุดของชั้น ทำให้กว่าที่พวกผมจะเดินไปหยิบขนมที่แช่ไว้ในตู้เย็นตรงแพนทรี กว่าจะไปเอางานที่สั่งพิมพ์หรือถ่ายเอกสารทิ้งไว้ หรือแม้กระทั่งกว่าจะออกไปเข้าห้องน้ำตรงโถงหน้าลิฟท์แต่ละครั้ง พวกผมต้องตั้งอกตั้งใจเผื่อเวลาเดินเท้าผ่านดงพนักงานบริษัทเครื่องดื่มชูกำลังแผนกแล้วแผนกเล่าอย่างน้อยราว ๆ เกือบห้านาทีได้ ดังนั้น หลังกินข้าวมื้อกลางวันเสร็จ ผมจึงมักจะกระวีกระวาดกลับขึ้นมารองน้ำเปล่าจากตู้กดน้ำในแพนทรีใส่ขวดตุนเก็บไว้ในห้องเพื่อจิบระหว่างวันตามประสาชายหนุ่มรักสุขภาพ

เที่ยงวันนี้ก็เช่นกัน หลังโบกมือส่งสองสาวหน้าซุ้มบิงซูในเต็นท์ขายอาหารข้าง ๆ ตึก ผมก็อาศัยจังหวะที่ยังไม่มีใครกลับขึ้นมาทำงานยึดตู้กดน้ำเป็นสมบัติชั่วคราวอย่างสบายใจ ทว่าระหว่างที่ยืนรองน้ำพลางเหม่อมองไฟซีพียูบนโต๊ะทำงานด้านนอกกะพริบเป็นจังหวะสั้น ๆ ยาว ๆ ราวกับส่งรหัสลับอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงคนคุยกันดังห่างออกไปไม่ไกล

“เมื่อเช้าพวกแกเม้าท์อะไรกันวะ”

“ก็เรื่องคุณคิมหันต์น่ะสิ แซ่บแบบที่พริกทั้งปากคลองยังยอมแพ้อ่ะ” ผมเกือบทำขวดน้ำหลุดมือหลังรู้ว่าลุงไซด์ไลน์ได้กลายเป็นหัวข้อบทสนทนาของใครก็ตามด้านนอกนั่นไปเสียแล้ว... แหม เลือกเม้าท์ได้ถูกคนดีจริง

“คุณหนาว? แซ่บ? คุณหนาว HR Director เนี่ยนะแซ่บ ผิดคนเปล่าแก”

“จิ๊! ก็แล้วบริษัทนี้มันมีกี่คุณหนาวกันล่ะค้า”

“แหม แค่นี้ต้องขึ้นเสียง”

“ก็มันน่าไหมล่ะ”

“อ่ะ ๆ เล่ามา คุณหนาวแซ่บยังไง”

“คืองี้...”

“เอ้า ชักช้าอะไรอยู่ล่ะ เล่ามาสักทีสิ”

นั่นสิ เล่า ๆ มาเหอะ อย่ามัวท่ามากอยู่เลย

“ขอดูลาดเลาแพร้บสิ”

“โอ๊ย ไม่ต้องกลัวใครได้ยินหรอกน่า ยังไม่มีใครขึ้นมาหรอก”

ใช่ จะกลัวอะไร เล่ามาเร็ว ๆ อยากรู้

“ก็ได้ ๆ พวกทีมโปรเจคบอกว่าคุณหนาวเป็น...”

“เป็นอะไร”

เสียงของหนึ่งในนั้นฟังหงุดหงิด... เออดี ผมมีเพื่อนร่วมเหวี่ยงแล้ว  

“คุณหนาวนางเป็นเกย์เว่ยแก”

เฮ่ย ตกลงเรื่องนี้มันลามไปถึงหูใครบ้างแล้วเนี่ย?!

“อย่ามา แมน ๆ อย่างคุณหนาวอ่ะนะจะเป็นเกย์ ถ้าแกบอกว่าคุณไวท์เป็นเกย์ ฉันจะไม่เถียงสักคำ”

“โอ๊ยแกนี่ คุณไวท์นางสาวแตกออกขนาดนั้นมองลงมาจากดาวอังคารยังรู้เลยย่ะว่านางเป็นเกย์”

“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคุณหนาวจะเป็นเกย์”

จะว่าไปพี่หนาวก็ดูไม่เหมือนเกย์จริง ๆ น่ะแหละ แต่ถ้าเป็นก็ดี ผมจะได้พอมีหวัง

“นางเป็นเกย์แน่นอน แถมวงในยังคอนเฟิร์มอีกนะจ๊ะว่าคุณหนาวกำลังคบกับคอนซัลท์คนที่ตัวสูง ๆ ขาว ๆ แต่งตัวเนี้ยบ ๆ คนนั้นอยู่”

ใจผมหล่นวูบไปที่ตาตุ่ม ฝ่ามือข้างที่ประคองขวดน้ำชื้นเหงื่อจนเริ่มเหนอะหนะน่ารำคาญ น้ำในคูลเลอร์ก็ดันไหลช้าเหลือเกิน เมื่อไรขวดนี้จะเต็มเสียทีวะ

“จริงดิ”

“น้อยไปสิ”

“บ้า”

“บ้าอะไร เขาเม้าท์กันให้แซ่ดว่าวันนั้นที่คุณเซ็นพาทีมโปรเจคไปเลี้ยงข้าวอ่ะ คุณหนาวโดนจับโป๊ะว่าแอบส่งสายตาให้คอนซัลท์คนนั้นตลอด ๆ พอโดนคุณเซ็นซักเข้าหน่อยนางเลยยอมรับว่าเป็นแฟนกัน เริ่ดป่ะล่ะ”

โอ๊ย ฟังแล้วอยากจะบ้า เขาไม่ได้มองอ้อยผมโว้ย ที่สำคัญ วันนั้นเขาไม่ได้พูดสักคำว่าผมกับเขาเป็นอะไรกัน  

“ข่าวมั่วหรือเปล่า”

ฟังมาถึงตรงนี้ ผมก็อยากกลับแดนลับแลเต็มที ติดอยู่แค่ว่าผมดันเผลอกรอกน้ำจนน้ำหมดขวดเลยต้องเสียเวลาเปลี่ยนขวดน้ำใหม่ทดแทนใบเก่าเพื่อที่คนอื่นจะได้มีน้ำเย็น ๆ กินแบบไม่ต้องรอ

“มั่วที่ไหน ชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่เชื่อแกลองไปถามทีมโปรเจคคนไหนดูก็ได้”  

“เออ ๆ เชื่อ ๆ ฉันเชื่อแก... โธ่คุณหนาว ไม่น่าเลย อุตส่าห์หลงคิดว่าที่แกไม่หาแฟนเพราะมัวแต่รอผู้หญิงที่ถูกใจ ที่ไหนได้ดันเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน”

“บ้าฉิบ!” ผมหลุดปากพึมพำอย่างสุดทนเพราะจนป่านนี้ผมก็ยังปล้ำกับฝาขวดน้ำอยู่เลย โธ่โว้ย มือผมแม่งจะลื่นไปไหน

“น่าเสียดายเนอะ สมัยนี้ผู้ชายยิ่งหายาก ๆ อยู่”

“ใช่ ฉันก็เสียดาย ทำไมผู้ชายหล่อ ๆ ต้องกินกันเองด้วยวะ”

“แหม ก็ได้หลังแล้วลืมหน้าไง ทำอย่างกับไม่เคยได้ยิน”

“ออกสิวะ แม่งเอ๊ย” จริงอยู่ที่ผมไม่เคยมีปัญหากับคำพูดเหยียดหยาม แต่ก็ใช่ว่าผมจะทำหน้าชื่นปล่อยให้คนอื่นถากถางรสนิยมทางเพศของตัวเองได้ทุกครั้ง ยิ่งคนที่ถูกพาดพิงคือพี่หนาว ผมยิ่งหัวร้อนง่ายจนอดแปลกใจตัวเองไม่ได้ กรรมเลยตกอยู่ที่ฝาขวดน้ำซึ่งกลายเป็นเครื่องรองรับอารมณ์ของผมไปเสียแล้ว “ฮึบ ออกสักทีสิวะ!

“ว่าแต่ แกว่าใครรุกใครรับวะ”

สาบานเลยว่าผมไม่ตั้งใจฟัง แต่หลังจากได้ยินประโยคนี้เท่านั้นแหละ อยู่ ๆ ฝาขวดน้ำสุดดื้อด้านก็ดันหลุดออกจากปากขวดอย่างง่ายดาย ง่ายเสียจนตัวผมที่ใส่แรงลงไปไม่ยั้งเมื่อสักครู่เสียหลักล้มก้นจ้ำเบ้า และก่อนจะรู้ตัวปลายเท้าผมก็ดันเตะถูกขวดน้ำที่เพิ่งเปิดฝาเข้าอย่างจัง “เฮ้ย!

ลองว่าผมแหกปากเสียงดังออกขนาดนั้น วงเม้าท์ด้านนอกย่อมแตกกระเจิงไปตามระเบียบ
ช่างเถอะ ตอนนี้ต่อให้ใครจะพูดอะไรก็ไม่น่าปวดหัวเท่ากับมวลน้ำรอการระบายบนพื้นกระเบื้องตรงหน้าผมอีกแล้ว    

กว่าจะจัดการทำให้ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพปกติ ออฟฟิศด้านนอกที่ปิดไฟเกือบทั้งหมดตามนโยบายประหยัดพลังงานของคุณพันเลิศก็กลับมาสว่างไสวเต็มไปด้วยผู้คนอีกครั้ง ผมจึงก้มหน้าก้มตาเดินหอบขวดน้ำขนาดลิตรครึ่งสามใบมุ่งหน้ากลับไปยังห้องทำงานโดยพยายามไม่สบตาใคร แต่แล้วผมกลับเจอยูสเซอร์ HR ที่เพิ่งกินข้าวเสร็จโดยบังเอิญ

“ขวดน้ำเต็มมือเลยคุณทู ให้เอ้ช่วยถือไปส่งที่ห้องไหมคะ” ความร่าเริงสดใสและน้ำจิตน้ำใจของคุณโอ้เอ้มักทำให้คนรอบข้างพลอยชื่นใจได้เสมอ พี่ฟี่โชคดีมากที่คุณโอ้เอ้เป็นยูสเซอร์ TM เพราะระบบนี้จุกจิก ขืนเจอยูสเซอร์ขี้วีน ตอนทำงานคงประสาทเสียกันทั้งสองฝ่าย

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณนะครับ” ผมยิ้มรับแถมยังคลี่ยิ้มเผื่อแผ่ไปให้คุณมิ้มที่กำลังติดพันกับการคุยโทรศัพท์กับใครสักคนอยู่  

“งั้นพวกเอ้ไปทำงานก่อนนะคะ”

“เชิญครับ” ขณะเปิดทางยืนรอให้กลุ่มยูสเซอร์ออกเดินก่อน ผมกับคุณเซียงก็สบสายตากันพอดี ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ ผมจึงคลี่ยิ้มส่งให้ตามมารยาท แต่แล้วกลับต้องประหลาดใจเมื่ออยู่ ๆ ก็โดนอีกฝ่ายเหวี่ยงค้อนวงใหญ่ใส่ ก่อนจะสะบัดก้นเดินดุ่ม ๆ กลับไปที่โต๊ะตัวเองราวกับไม่อยากเสียสายตามองหน้ากัน

ท่าทีไม่เป็นมิตรของคุณเซียงทำให้ผมเริ่มสังหรณ์ใจว่า ปัญหาในการทำงานรวมถึงข่าวลือเลอะเทอะที่เพิ่งได้ยินไปหมาด ๆ คือผลจากเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อน ดังนั้นเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของท่าน HR Director ไปพร้อม ๆ กับคืนความสุขแก่ยูสเซอร์สุดที่รัก ผมควรต้องเคลียร์ใจกับลุงไซด์ไลน์โดยเร็วที่สุด

คุณหนาวครับ ผมอยากคุยกับคุณจริง ๆ นะครับ
ขอร้องเถอะครับ
หลังเลิกงานผมจะรอคุณอยู่ที่ห้องประชุม 3 นะครับ
ผมจะรอจนกว่าคุณจะมานะครับ

••••••

หลังจากวุ่นวายกับการเตรียมการเปิดร้านในช่วงโค้งสุดท้ายมาตลอดทั้งวัน คเชนทร์ก็เดินออกมาจากหลังร้านพร้อมด้วยชามใส่อาหารแมวสดใหม่พลางเรียกหาเพื่อนร่วมชายคาที่ตนถือวิสาสะตั้งชื่อให้ตามหน้าตาไม่รับแขกของมัน “เมี้ยว ๆๆๆ ลูกพี่”

ชายหนุ่มเดินวนค้นหาจนทั่วทุกซอกทุกมุมแต่กลับไม่มีวี่แววของก้อนขนสีดำ เมื่อแน่ใจว่าแมวหน้ากากไม่ได้อยู่ในบ้าน คเชนทร์จึงวางถ้วยอลูมิเนียมใบน้อยไว้ตรงที่ประจำก่อนจะก้าวเร็ว ๆ ออกมามองหาเจ้าเหมียวตรงหน้าร้านดอกไม้ที่บัดนี้ถูกเนรมิตรให้กลายเป็นสวนหย่อมจำลองขนาดย่อมไปเสียแล้ว

ทว่าแทนที่เจ้าของร้านดอกไม้จะเจอลูกพี่นอนขดตัวอาบแดดยามเย็นอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก ๆ ตรงมุมสวนเหมือนทุกวัน กลับกลายเป็นว่า เวลานี้มีเด็กผู้ชายวัยไม่เกินสิบขวบในชุดนักเรียนกำลังนั่งยอง ๆ จ้องชั้นวางกระถางไม้ใบด้านข้างประตูไม่วางตา

ท่าทางสนอกสนใจของเด็กแปลกหน้าทำให้คเชนทร์พลอยเพ่งสายตามองตาม จวบจนเมื่อสังเกตเห็นหางสีดำกวัดแกว่งลอดใต้ชั้นออกมาเป็นพัก ๆ แล้วนั่นแหละ เขาก็อดนึกขันกับภาพน่าเอ็นดูของสองชีวิตต่างสายพันธุ์ตรงหน้าร้านของตัวเองไม่ได้

หึ ๆ ที่แท้ลูกพี่ก็กลัวเด็กคนนี้จนกลับเข้าบ้านไม่ได้นี่เอง
ลูกใครหนอ หล่อแต่เด็กเลยหนู

คเชนทร์ยืนกอดอกพิงกรอบประตูเฝ้าดูสถานการณ์อย่างเพลิดเพลินใจ แต่ก่อนที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเพลี่ยงพล้ำ หญิงชราหน้าตาใจดีที่เพิ่งเดินหิ้วถุงกับข้าวผ่านมาก็ค้อมตัวลงแตะแผ่นหลังของเด็กชายเบา ๆ คล้ายบอกใบ้ให้อีกฝ่ายค่อย ๆ ลุกยืน “ม่ามาแล้ว กลับบ้านกัน”

เด็กชายพยักหน้ารับคำพลางคว้ามือข้างที่ยังว่างของอาม่าตนเอาไว้ แต่ก่อนที่หญิงชราและเด็กน้อยจะเดินผ่านไป คเชนทร์ก็ถือโอกาสมองสบตากับฝ่ายผู้ใหญ่ คลี่ยิ้มส่งให้อย่างจริงใจพร้อมกับสารภาพความในใจกับเจ้าหล่อนผ่านสายตาว่า เขารู้สึกถูกชะตากับเด็กชายผู้นี้เหลือเกิน

••••••


“อุ๊ย ขอโทษค่ะ ป้านึกว่าใครลืมเปิดไฟทิ้งไว้เลยจะเข้ามาปิด” ป้าแม่บ้านประจำออฟฟิศทำหน้ายุ่งยากใจหลังจากเปิดประตูห้องประชุมเข้ามาแล้วเจอผมนั่งทำงานอยู่ สังเกตจากกระเป๋าสะพายกับถุงใส่ของที่แกหิ้วติดบ่าผมก็รู้เลยว่าอีกฝ่ายคงอยากกลับบ้านเต็มแก่ และการที่แกต้องแกร่วรอผมเพื่อปิดไฟทั้งชั้นตามนโยบายท่านผู้บริหารคือฝันร้ายชัด ๆ
 
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวไว้ผมใช้ห้องเสร็จเมื่อไรผมจะปิดแอร์ ปิดไฟเองครับ”

“ขอบคุณนะคะ ถ้าอย่างนั้นป้ากลับก่อนนะคะ”

หลังจากปลดปล่อยป้าแม่บ้านเป็นอิสระ ผมก็เหลือบดูหน้าจอมือถือที่ว่างเปล่าอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจพลางนวดขมับ นี่ผมนั่งรอลุงไซด์ไลน์อย่างไร้ความหวังมาจะครบชั่วโมงแล้วนะ นอกจากคำว่า ‘READ’ ตัวเล็ก ๆ ที่เพิ่มขึ้นมาอีกสี่ตัวแล้ว ใจคออีกฝ่ายจะไม่ส่งข้อความมาให้กำลังใจคนรอหน่อยหรือไง คนแก่อะไร ใจดำชะมัดเลย  

ระหว่างที่ผมมัวบ่นบ้าถึงตาลุงไซด์ไลน์อยู่นั้นเอง ประตูก็ถูกกระชากเปิดอย่างแรง ก่อนที่บุคคลไม่พึงประสงค์จะเดินเต๊ะท่าเข้ามาอย่างน่าหมั่นไส้ “อ้าวคุณทู รอใครอยู่เหรอครับ”

รังสีคุกคามของคนมาใหม่ทำให้ผมรู้สึกไม่ปลอดภัยจนต้องเริ่มเก็บข้าวของ
วันนี้ผมคงดวงไม่ดี คนที่อยากคุยด้วยก็ดันหายตัว ส่วนคนที่ไม่อยากเห็นหัวก็เสือกเสนอหน้า

“แหม หยิ่งจังนะ ผัวใหม่ห้ามไม่ให้พูดกับผัวเก่าหรือไง” ไอ้พี่บูมแสยะยิ้มแล้วกวาดตามองผมแบบมีเลศนัย “เอ หรือที่ไม่พูด เพราะกลัวโดนจับได้ว่าโกหก” ไม่รู้ตอนนั้นผมโดนอะไรบังตาถึงทนคบไอ้พี่บูมมาได้ตั้งสามปี ไอ้คนที่ฉีกยิ้มได้น่ารังเกียจเบอร์นี้เนี่ยนะคือคนที่ผมเคยรัก อี๋ ขนลุกว่ะ บอกตรง ๆ

“หึ ใครกันแน่ที่ตอแหล” ด่าเสร็จผมก็รวบสายกระเป๋าคอมแล้วตั้งท่าจะหนีกลับบ้าน แต่ยังไม่ทันจะได้ออกเดินไปไหนไกล ไอ้คนหน้าด้านก็ปราดมาขวางทางแล้วต้อนจนผมเริ่มจนมุม 

“จะเอายังไงฮึทู อยากให้พี่ง้อยังไง ไหนบอกพี่ซิ” ไอ้เหี้ยพี่บูมมันกระชากแขนดึงผมเข้าไปกอด แต่ผมไม่ใช่นางเอกหนังไทยที่โดนผู้ชายกอดแล้วจะระทวย ผมเลยฟันศอกถองสีข้างมันไปเต็มแรง “โอ๊ย”  

“ปล่อยผม”  

“ลืมแล้วหรือไงว่าพี่ไม่ชอบเด็กดื้อ” ยิ่งผมพยายามขืนตัวหลบและดิ้นรนต่อสู้มากเท่าไร ไอ้พี่บูมก็ยิ่งรัดตัวผมแน่นขึ้นจนผมเริ่มหายใจไม่ออก

“ปล่อยดิวะ!” ถึงจะเริ่มอ่อนแรงลงบ้าง แต่ผมก็ยังไม่หยุดขัดขืน

“ดื้อกับพี่มาก ๆ ระวังจะลุกจากเตียงไม่ขึ้นนะ” เสียงลมหายใจของอีกฝ่ายร่นเข้าใกล้ใบหูผมมากขึ้นทุกที สัมผัสใกล้ชิดกับกลิ่นกายคุ้นเคยที่ห่างหายมานานหลายอาทิตย์กำลังทำให้ร่างกายผมปั่นป่วนโดยไม่ทันรู้ตัว ไม่ดีเลย สถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีกับผมจริง ๆ

แต่ไม่ได้ ผมจะยอมใจอ่อนกับมันเพื่อบรรเทาอาการคันไม่ได้!  
ณ ช่วงเวลาที่จิตใจใฝ่ศีลธรรมและความถูกต้องของผมกำลังถูกทดสอบอยู่นั้น ประตูห้องประชุมก็พลันเปิดกว้างอีกครั้งพร้อมกับการปรากฏกายของอัศวินม้าขาวที่ผมเฝ้ารอคอยมาตลอดหลายวัน

ฮือ ในที่สุดฟ้าก็ส่งผู้ชายมาช่วยผมแล้ว

“คุณปุริมยังไม่กลับอีกเหรอครับ” คนมาใหม่เอ่ยเรียบ ๆ ขณะก้าวเข้ามาดึงตัวผมออกห่างจากอดีตคนรัก เดี๋ยวนะ ผมว่าเมื่อกี้ผมเห็นพี่หนาวส่งสายตาฟาดฟันแถมด้วยประกายไฟแปลบปลาบมองหน้าไอ้พี่บูมที่ยังหน้าด้านรั้งแขนข้างหนึ่งของผมเอาไว้ไม่ปล่อย จะดุอะไรขนาดนั้นครับท่าน HR Director

“จริง ๆ ก็ยังไม่อยากกลับหรอกครับ เพราะผมยังไม่เสร็จ 

พี่หนาวไม่ได้รอฟังจนจบ เพราะทันทีที่กำจัดฝ่ามือไอ้พี่บูมออกจากตัวผมได้ รายนี้ก็เอ่ยแทรกขึ้นโดยไม่แคร์มารยาทในการสื่อสารใด ๆ ในโลก “ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณตามสบายครับ แต่ก่อนกลับรบกวนปิดไฟด้วยแล้วกัน” พอหมดธุระกับไอ้พี่บูม เขาก็หันมายิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน “ไปทู กลับบ้านกันครับ”

โอย ตาย ๆ ใจผมบางเป็นกระดาษทิชชูโดนน้ำแล้วครับพี่

“ครับ” ถึงรอยยิ้มพิฆาตเมื่อสักครู่จะทำให้ดวงตาของผมพร่าเลือนไปชั่วขณะ แต่ผมก็ไม่โง่พอที่จะปฏิเสธโอกาสดี ๆ ที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้... ไหนจะฝ่ามือที่ยื่นมารอให้ผมจับข้างนั้นอีกล่ะ  
.
.
.
.
บรรยากาศอึดอัดในลิฟท์ในอีกสิบนาทีให้หลังทำลายภาพจำขณะพี่หนาวจูงมือผมเสียย่อยยับ นับตั้งแต่ผมเดินตามหลังพี่หนาวเข้าลิฟท์มา เจ้าตัวก็ผละไปยืนอีกฝั่งเหมือนคนไม่รู้จักกัน พอเห็นเขาทำแบบนั้น ผมเลยรีบเปิดประเด็นสู่หัวข้อสำคัญด้วยเพราะไม่อยากรบกวนอีกฝ่ายไปมากกว่านี้ “ขอโทษนะครับ เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะผมคนเดียวแท้ ๆ เลย”

พี่หนาวไม่พูดอะไร ซ้ำร้าย ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออกสู่ลานจอดรถชั้นหก เขาก็สับขาก้าวฉับ ๆ ออกไปทันที

“อ้าวเฮ่ย!” ถึงจะยังเหวอกับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย แต่สองขาของผมยังไวพอที่จะพาสารร่างวิ่งตามแผ่นหลังกว้างของพี่หนาวออกจากลิฟท์ไป “เดี๋ยวสิคุณ คุยกันก่อน”

จังหวะที่ผมจวนจะถอดใจแล้วหยุดวิ่งเสียให้รู้แล้วรู้รอด อีกฝ่ายก็หมุนตัวกลับมาแล้วเอ่ยเสียงเบา “ไปคุยกันบนรถ” พูดจบ เขาก็ปลดล็อกพริอุสคันสีขาวในซองจอดข้าง ๆ ก่อนจะสตาร์ทเครื่องกดดันกันกลาย ๆ

หลังจากพาตัวเองขึ้นรถผู้ชายแบบงง ๆ ผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าตกลงเขาจะพาผมไปไหน แต่ไอทะมึนที่แผ่ออกมาจากตัวคนขับแบบทะลักทะลายทำให้ผมไม่กล้าถามอะไร กระทั่งหายใจแรง ๆ ผมยังไม่กล้าเลย

“คุณอยากคุยอะไรกับผม” ทันทีที่รถคืบคลานลงสู่ถนนใหญ่ที่ทุกอณูเต็มไปด้วยยวดยาน คนข้าง ๆ ผมก็ถามขึ้น ถึงจะเห็นหน้าเขาแค่เพียงด้านข้าง แต่ความเกรี้ยวกราดในแววตาคู่นั้นก็บอกผมอย่างชัดเจนว่า พี่หนาวกำลังไม่พอใจอย่างมาก ตาย ๆ วันนี้ผมจะรอดไหม

“ผมอยากขอโทษเรื่องวันนั้น แล้วก็อยากคุยกับคุณให้รู้เรื่องน่ะครับ”

“คุณไม่ต้องขอโทษผมหรอก มันเป็นเรื่องสุดวิสัย” พี่หนาวตอบเสียงห้วนเสียจนผมเผลอกลั้นหายใจก่อนจะเสมองไปนอกตัวรถ แปลกนะ ทั้ง ๆ ที่ภายในห้องโดยสารตอนนี้มีเพียงผมกับเขาเหมือนเมื่อวันแรกที่เราเจอกัน แต่ผมกลับต้องคอยภาวนาไม่ให้อีกฝ่ายบันดาลโทสะจนหันมางับหัวผมก่อนจะได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราว

“แต่จริง ๆ ถ้าตอนนั้นคุณจะปฏิเสธ ผมก็ไม่ว่าอะไรนะครับ” พูดให้ถูกคือผมต่อว่าอะไรพี่หนาวไม่ได้เลยต่างหาก คิดขึ้นมาแล้วก็ละอายจนต้องก้มหน้าหลุบสายตามองฝ่ามือที่กำแน่นของตัวเอง จวบจนเมื่อได้ยินเสียงเขาถอนหายใจ ผมจึงรีบชิงพูดก่อนจะไม่มีโอกาส “ผมไม่อยากให้ใครเข้าใจคุณผิด ว่าคุณ.... มีอะไรกับผม”

“นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องสนใจ” อ้าวเฮ่ย ทำไมพี่ดื้องี้อ่ะ ก็ผมบอกแล้วไงว่าผมเป็นห่วงชื่อเสียงพี่ ผมกลัวพี่จะเสียหาย

“แต่คนอื่นจะมองคุณไม่ดี ผ... เฮ่อ”
Rrrrr Rrrrr Rrrrr

ผมงับคำพูดที่เหลือไว้ได้ทัน แต่เสียงถอนหายใจไหงหลุดไปไวนักก็ไม่รู้
แต่พับผ่าสิ แทนที่ผมจะได้พูดเรื่องที่อยากพูดให้จบ ๆ โทรศัพท์พี่หนาวกลับดันมีสายเข้าเสียก่อน

สาบานเลยว่าเมื่อกี้ผมไม่ได้แอบมองจนรู้ว่าคนที่โทรเข้ามาชื่อ ‘Poppy’
นี่ไม่ได้แอบดูจริง ๆ นะ ผมแค่สายตาดีจนมองเห็นในที่มืดได้อย่างชัดเจนเท่านั้นเอง
ว่าแต่ป๊อบปี้เป็นใคร แฟนพี่หนาวเหรอ?

เจ้าของโทรศัพท์ดูจะไม่สนใจรับสาย ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้กดตัดสายทิ้งเช่นกัน ตอนนี้เลยกลายเป็นว่า นอกจากเสียงถอนหายใจของอีกฝ่ายแล้ว ยังมีเสียงสั่นครืน ๆ พร้อม ๆ กับเสียงเรียกเข้าดังสลับกันวุ่นวายจนผมเริ่มอยู่ไม่สุข

ไม่ได้ ยิ่งถ้าพี่หนาวมีแฟนอยู่แล้ว เขายิ่งไม่ควรตกเป็นข่าวกับผม
แล้วป๊อบปี้นี่มันผู้หญิงหรือผู้ชายกันวะ... เดี๋ยวไอ้ทู มึงอย่าเพิ่งหลงประเด็น!   

“ที่คุณอยากพูดมีแค่นี้ใช่ไหม”

“คุณไม่เข้าใจ” จนถึงตอนนี้ พริอุสของเขาก็ยังจอดแช่อยู่ที่เดิม คนขับจึงเอนหลังพิงเบาะแล้วมองหน้าผมนิ่ง ๆ ผมจึงรีบอธิบายต่อโดยเร็ว “ผมไม่สบายใจที่คุณโดนว่าเสีย ๆ หายทั้ง ๆ ที่คุณไม่ผิดอะไรเลย”

บอกตรง ๆ ว่าก่อนหน้านี้ ผมค่อนข้างสองจิตสองใจกับการเลือกเฟ้นเหตุผลที่จะใช้อธิบายเรื่องทั้งหมดให้พี่หนาวฟัง ลึก ๆ แล้วผมอยากเล่าแม่งทุกอย่างตั้งแต่เรื่องคุณเซียงยันข่าวลือบ้า ๆ นั่น แต่พอลองมาคิด ๆ ดู ผมแค่ต้องการหว่านล้อมให้อีกฝ่ายยอมแก้ข่าวเรื่องคบหากับผมเท่านั้น การเผายูสเซอร์สุดที่รักด้วยข้อหาที่ว่าเจตนาทำงานบกพร่องจึงดูเป็นการให้ร้ายบุคคลที่สามจนเกินไป

ที่สำคัญ ผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าหลังจากผมจับคุณเซียงนั่งยาง ท่าน HR Director จะนิ่งดูดายไม่เรียกลูกน้องมาคุย
เกิดพี่หนาวพาซื่อทำแบบนั้นขึ้นมาจริง ๆ แทนที่ผมกับคู่กรณีจะเกี่ยวก้อยคืนดีแล้วช่วยกันทำโปรเจคกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ผมคงโดนยูสเซอร์สุดที่รักดราม่าใส่จนเป็นบ้าไปก่อนแน่ ๆ  

เขาถอนหายใจพลางเสยผม “คุณคิดว่าถ้าตอนนั้นผมปฏิเสธ เรื่องนี้จะจบงั้นเหรอ”

เออว่ะ จริงของพี่หนาว
ต่อให้วันนั้นเขาจะยืนกรานว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับผมก็ตาม แต่ลองว่าเป็นเรื่องฉาวโฉ่ของผู้บริหาร มีหรือที่พวกขาเม้าท์จะยอมปล่อยผ่านง่าย ๆ

เหตุผลที่ยากจะหักล้างของคนข้าง ๆ ทำผมจมดิ่งสู่ห้วงความรู้สึกผิดที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ลำพังสร้างปัญหาให้เพื่อนสนิทหรือครอบครัวผมก็ลำบากใจจะแย่ แต่นี่อีกฝ่ายคือคนแปลกหน้าที่โดนผมมัดแขน ผูกขาแล้วลากมากระโดดลงเหวด้วยกันครั้งแล้วครั้งเล่า เฮ่อ ชาตินี้ผมจะชดใช้เขาหมดไหมวะเนี่ย  

“โปรเจคนี้หกเดือนใช่ไหม”

แม้จะยังงง ๆ แต่พอเป็นเรื่องงาน ผมก็ตอบได้โดยไม่ต้องคิด “ครับ”

“หกเดือนนี้ คุณตั้งใจทำงานให้สมค่าจ้างเถอะ” พี่หนาวพูดเรียบ ๆ ก่อนจะเหยียบคันเร่งนำรถพุ่งไปข้างหน้าอย่างนุ่มนวล ฝ่ายผมก็ตั้งท่าจะแย้งเต็มที่หลังเห็นอาการตั้งใจขับรถไม่พูดไม่จาของอีกฝ่าย เดี๋ยวสิพี่ ผมยังพูดไม่จบเลย ขอผมพูดหน่อย

“แต่ผ...”
“ผมส่งคุณตรงนี้แล้วกัน” ไม่ทันขาดคำ คนขับก็จอดรถเทียบข้างฟุตบาททันทีแถมยังมีน้ำใจปลดล็อครถเร่งผมทางอ้อมอีกต่างหาก นี่ถ้าอีกเดี๋ยวเขาเอี้ยวตัวมาปลดเข็มขัดนิรภัยให้ แปลว่าเขาทนผมไม่ไหวแล้ว ถูกมะ   

แม้จะยังสับสนกับความผกผันของสถานการณ์อยู่มาก แต่การที่พี่หนาวเอาแต่จ้องหน้าจอโทรศัพท์ไม่เลิกราขณะทำท่าพร้อมส่งแขกใส่ผมอย่างโจ่งแจ้งจริงจัง แล้วผมจะมีหน้านั่งทู่ซี้อยู่บนรถที่เจ้าของไม่ต้อนรับยังไงไหว

“ขอบคุณนะครับ” คนขับเอื้อมมือมาปิดประตูพริอุสก่อนที่ผมจะพูดจบเสียด้วยซ้ำ ผมเลยเดินหน้าง้ำไปสถานีรถไฟฟ้าด้วยความรวดเร็วเป็นพิเศษ

สรุปว่าถึงเราจะได้คุยกันแล้วก็ตาม แต่ผมกลับไม่ได้ข้อสรุปที่น่าพอใจเลยสักนิด หนำซ้ำเขายังทำให้ผมรู้สึกผิดซ้ำซ้อนและสับสนจนผมเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่าตาลุงไซด์ไลน์ละมุน ๆ ที่ผมเคยเจอเมื่อคราวนั้น ใช่มนุษย์เพศชายคนเดียวกันกับคุณคิมหันต์ HR Director จอมเย็นชาที่เพิ่งไล่ผมลงจากรถเมื่อตะกี้ไหม

 ••• TBC ••


 เราไม่รู้ว่าอาทิตย์นึงนี่นานเกินรอไหม
แต่สำหรับเรา... เราปั่นตอนนี้มือแทบไหม้เลยค่ะ 555

ตอนนี้พี่หนาวอาจจะดูเฉยชาไปหน่อยนะคะ
แต่รับรองว่าการรอคอยจะคุ้มค่าในภายหลังแน่ ๆ ค่ะ (ยักคิ้ว)
หากอ่านแล้วชอบ ไม่ชอบยังไงก็ทิ้งข้อความไว้ให้เราชื่นใจบ้างนะคะคนดี
ไว้เจอกันอีกทีจันทร์หน้าค่ะ




No comments:

Post a Comment