#04
ผันเปลี่ยนไปได้ทุกทาง
ทุกอย่างอยู่ที่เธอ
ว่าจะเจอท้องฟ้างาม หรือเจอเมฆฝน
ผันเปลี่ยนไปได้ทุกทาง
เธอทำให้มันวกวน
เธอเปรียบเป็นเหมือนสองคน ในร่างเดียว
สองคนในร่างเดียว – นูโว
…………………………………………………………………………………………………………
ถ้าผมตัดเหตุการณ์แทงข้างหลังกลางโต๊ะอาหารกับสามชั่วโมงที่ถูกพี่จี๊ดเรียกตัวเพื่อไปร่วมเป็นสักขีพยานในการเทศน์มหาชาติด่ากราดคอนซัลท์ระบบ FI ออกจากหน่วยความจำ รวมถึงถ้ามองข้ามความรู้สึก
‘เอ๊ะ’ ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงพึมพำดังตามหลังเวลาไปเติมน้ำตรงคูลเลอร์ในแพนทรีและทุกเมื่อที่ออกไปเข้าห้องน้ำ
ผมคงพอพูดได้ว่าสถานการณ์รอบตัวช่วงสองวันแรกของการทำงานได้กลับคืนสู่ความปกติสุขเป็นที่เรียบร้อย
ไม่สิ
อันที่จริงยังมีอยู่อีกอย่างที่ยังไม่ปกติ
แถมมันดันอยู่นอกเหนืออำนาจการจัดการของผมเสียด้วย
‘ผมอยากคุยกับคุณเรื่องวันนั้น’
‘ได้ไหมครับ’
“เฮ่อ”
ผมถอนหายใจเซ็ง ๆ เมื่อเห็นเพียงคำว่า ‘READ’ ตัวเล็ก ๆ โผล่อยู่ข้าง ๆ ข้อความไลน์ที่เพิ่งส่งไปหาพี่หนาวตอนเก้าโมง
(ขนาดผมโกงไม่ยอมนับ ‘READ’ อีกราว ๆ ยี่สิบตัวด้านบนแล้วนะ) เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเวลาที่เปิดหน้าจอมาแล้วเจอแต่ข้อความของตัวเองน่ะมันแย่ขนาดไหน
“สรุปแกกับคุณคิมหันต์นี่ยังไง”
เสียงอู้อี้เหมือนคนเพิ่งตื่นของพี่ฟี่ที่ดังลอดฝาแล็ปท็อปเครื่องโตออกมาแบบไม่บอกกล่าวทำเอาผมดึงสติตัวเองกลับมาเกือบไม่ทัน
“หืม
เมื่อกี้พี่ว่าอะไรนะ”
“ฉันถามว่า
แกหันมากินยูสเซอร์ตั้งแต่เมื่อไร”
แม้ตอนนี้พวกเราจะหัวหมุนกับการเตรียมข้อมูลพรีเซนต์การสาธิตระบบแก่ยูสเซอร์
HR ทั้งแผนกในอีกสองวันข้างหน้า
แต่คุณสมบัติข้อหนึ่งที่คอนซัลท์ส่วนใหญ่ล้วนมี คือ ทักษะในการทำหลาย ๆ
สิ่งในเวลาเดียวกัน เพราะฉะนั้น จึงไม่แปลกหากในระหว่างที่สองมือเร่งปั่นงาน ปากเราจะยังสามารถเม้าท์มอยเรื่องราวครอบจักรวาลได้อย่างฉะฉานแบบที่พี่ฟี่กำลังทำอยู่นี่แหละ
“นั่นดิพี่ทู
พี่คบกับคุณคิมหันต์ตั้งแต่เมื่อไหร่อ่ะ” ผมยังไม่ทันตอบ ยีนส์ก็ยื่นใบหน้าระริกระรี้เข้ามาผสมโรงเหมือนเตี๊ยมกันมา
เดี๋ยวนะ ที่ผมเห็นพี่ฟี่กับน้องนุชสุดท้องรัวคีย์บอร์ดมือเป็นระวิงอยู่นี่ไม่ใช่กำลังอัพเดทเนื้อหาที่จะพรีเซนต์อยู่หรอกหรือ
ถึงผมจะสงสัยในเจตนาของเพื่อนร่วมทีม
แต่เท่าที่ดูจากความกระตือรือล้นเกินพอดีบนใบหน้าน้องเล็ก ผมก็แอบนึกขอบคุณเด็กน้อยในใจที่ไม่ถามเท้าความไปถึงความสัมพันธ์ครั้งเก่า
เพราะลำพังเรื่องพี่หนาว ผมก็ไม่รู้จะตอบคนอื่นยังไงแล้ว
“ว่างเหรอยีนส์”
ผมหรี่ตามองหาเรื่องน้องมันเต็มที่
แม้จะโดนผมเบรคจนหน้าทิ่มแต่ยีนส์กลับยังยิ้มสู้
หนำซ้ำยังกล้าเอาหน้ามาถูแขนผมเสียอีก “แหมพี่ทู บอกน้องหน่อยเหอะน้า”
“บันทึกการประชุมเมื่อวานน่ะทำเสร็จยัง”
ผมยอมละสายตาจากสไลด์บนหน้าจอ แงะหัวน้องออกจากแขนก่อนจะเหลือบมองลอดแว่นเพื่อกดดันยีนส์อีกครั้ง
“อ๋อ
หนูตรวจทานอยู่ค่ะ เดี๋ยวเสร็จแล้วหนูส่งให้พี่ดูก่อนนะ” น้องนุชสุดท้องยิ้มยิงฟันพลางเจื้อยแจ้ว...
ใช่แน่ ๆ พี่ฟี่กับเจ้าเด็กนี่ต้องกำลังสุมหัวนินทาผมอยู่แน่ ๆ เพราะถ้าแบ็คไม่ดี
มีหรือที่นู้บอย่างยีนส์จะต้านทานสายตาทิ่มแทงของผมได้ [size=10pt](หมายเหตุ: Newbie
หรือ Noob (นิวบี้/ นู้บ)
สแลงสำหรับใช้เรียกผู้เล่นมือใหม่ ใช้แพร่หลายในชุมชนเกมออนไลน์)[/size]
“เร็วเลย
อย่าให้เกินเที่ยง”
“ค่า”
ผมหลงคิดว่าการกำหนดเส้นตายจะทำให้อีกฝ่ายยอมรามือ ที่ไหนได้ เด็กมันทำหน้าสลดได้ไม่ถึงอึดใจเสียด้วยซ้ำ
“แต่พี่ทูขา พี่ทูจะไม่เล่าเรื่องคุณคิมหันต์ให้พวกเราฟังจริง
ๆ เหรอคะ” เผือกไม่เลิกจริง ๆ อีหนู เห็นผมใจดีด้วยหน่อยล่ะเอาใหญ่เชียวนะ
“ไม่เอา
ไม่คุยแล้ว ทำงาน ๆ ” ผมตีหน้ายักษ์ใส่เด็กแล้วหันไปเก๊กเสียงเข้มถกเรื่องงานกับซีเนียร์ประจำทีม
“พี่ฟี่ สรุปกระบอกเงินเดือนของที่นี่มีห้าระดับใช่ป่ะ”
“ห้าที่ไหนทู
ที่พี่ได้จากคุณมิ้มมีเจ็ดระดับนะ”
“แต่ที่คุณเซียงให้ผมมามันมีแค่ห้าเองนะพี่”
ผมพลิกหน้าชุดเอกสารคู่มือการทำงานฉบับสำเนาที่คุณเซียงให้มาเพื่อหาข้อความสำคัญที่เคยไฮไลท์เผื่อใช้อ้างอิง
ทันทีที่เห็นจุดผิดปกติ ผมก็อดขมวดคิ้วนิ่วหน้าไม่ได้ “ไหนพี่ ขอผมดูเอกสารของ PYM
หน่อยดิ”
จริงอยู่ที่ผมกับพี่ฟี่มีหน้าที่ประสานงานกับยูสเซอร์จากต้นสังกัดเดียวกัน
แต่ในทางปฏิบัติแล้ว คอนซัลท์แต่ละระบบงานย่อยจะต่างคนต่างแยกย้ายกันเข้าประชุมเก็บความต้องการพื้นฐานและรับมอบเอกสารรวมถึงข้อมูลเชิงรายละเอียดอื่น
ๆ จากยูสเซอร์หลักตามรายชื่อที่ลูกค้าเจาะจงโดยเฉพาะ สำหรับโปรเจคนี้ ยูสเซอร์ระบบ
PYM (ระบบเงินเดือน) กับ TM (ระบบเวลา)ที่พี่ฟี่เป็นเจ้าภาพคือคุณมิ้มและคุณโอ้เอ้
ในขณะที่คุณเซียงเป็นยูสเซอร์หลักที่ผมต้องประสานงานด้วยแต่เพียงผู้เดียว
และด้วยธรรมเนียมปฏิบัตินี้เอง
บ่อยครั้งเราจึงมักจะพบว่า แม้ยูสเซอร์แต่ละคนจะส่งมอบเอกสารหัวเรื่องเดียวกันหากแต่เนื้อหาด้านในกลับขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง
พวกผมจึงต้องหมั่นพูดคุยกันเป็นการภายในเพื่อลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการทำงานให้ได้โดยเร็วที่สุด
“อ่ะ
เอาไปเลย” ผมเอื้อมไปรับปึกกระดาษที่ถูกส่งมาจากอีกฟากโต๊ะมาคลี่อ่านผ่านตาแบบลวก
ๆ
“เออว่ะ
มีเจ็ดระดับจริง ๆ ด้วย”
ได้ยินแบบนั้น
พี่ฟี่เลยกลอกตาทำหน้า ‘ก็ฉันบอกแกแล้ว ยังจะเถียงอีก’ ใส่ผมอย่างเกรี้ยวกราด แต่สิ่งที่แยงตาผมจนเจ็บยิ่งกว่าสีหน้าเยาะเย้ยของคนคุ้นเคย
คือ เนื้อความที่ระบุอยู่ในชุดเอกสารที่พี่ฟี่ครอบครองนั่นต่างหาก “เฮ่ยพี่ฟี่ กลุ่มพนักงานที่คุณมิ้มให้พี่มามี
Temp. (พนักงานสัญญาจ้างชั่วคราว)
ด้วยเหรอ”
“เออสิ”
“ได้ไงอ่ะ”
ผมตวัดสายตาดูวันที่กำกับเอกสารทั้งสองชุดแล้วก็พบว่าเอกสารของพี่ฟี่น่าจะเป็นชุดล่าสุด
ในขณะเอกสารที่คุณเซียงให้ผมเก่ากว่านั้นหลายปี
“แล้วพี่จะรู้กับทูไหมล่ะ
ก็คุณมิ้มให้พี่มาแบบนี้นี่หว่า” ที่สุดแล้ว คอนซัลท์อาวุโสประจำทีมก็ชะโงกหน้าพ้นจอคอมฯ
ขึ้นมาเพื่อสบตากับผมโดยเฉพาะ
“ตอนประชุมกันคุณเซียงแกลืมบอกทูหรือเปล่า”
ดูจากท่าทีล่าสุดของพี่ฟี่ ผมคิดว่าแกน่าจะเริ่มเอะใจอะไรบางอย่างเหมือนผมแล้วแหละ
“ไม่นะพี่
ในบันทึกการประชุมก็ไม่มี”
“งั้นทูก็ลองเช็คกับคุณเซียงดูสิ
จะได้หายคาใจ”
‘คุณเซียงครับ รบกวนนิดนึง ไม่ทราบสะดวกคุยไหมครับ’
‘ไว้ก่อนได้ไหมคะ ตอนนี้ยุ่งมาก’
‘โอเคครับ
ถ้ายังไงว่างแล้วรบกวนทักผมหน่อยนะครับ’
‘ค่ะ’
“เฮ่อ” หลังอ่านข้อความล่าสุดที่คุณยูสเซอร์สุดที่รักเพิ่งตอบผ่านระบบแชทภายในของบริษัทลูกค้าอยู่สองรอบ
ผมก็เริ่มสงสัย... เวลานี้เรื่องเอกสารเก่าเก็บดูไม่น่าสนใจเท่ากับทำไมตอนประชุมกัน
คุณเซียงถึงอธิบายรายละเอียดของระบบงานโดยยึดตามข้อมูลตกรุ่น ที่สำคัญ คุณเซียงยังไม่เคยพูดถึงส่วนที่ตกหล่นหรือแตกต่างเลยสักแอะ
คนเราต่อให้โหมงานจนอ๊องแรงเบอร์ไหน
สมองก็ไม่น่าเออเร่อถึงขั้นขุดความทรงจำสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีมาใช้หรอกมั้ง
“พี่
ๆ คะ พี่โอ้เอ้ฝากมาถามว่ามีใครอยากสั่งหมูสะเต๊ะกลับบ้านไหมคะ พอดีบ่ายนี้มีแมสเซ็นเจอร์วิ่งไปรับงานแถวท่าดินแดง
พี่เขาเลยฝากหนูมาถามพวกพี่ ๆ แกจะได้รวมออเดอร์แล้วสั่งทีเดียว” ผมสะดุ้งอีกหนเพราะน้ำเสียงกระฉับกระเฉงของยีนส์
“เออ
ๆ พี่เอาสองชุด เดี๋ยวหยิบตังค์ก่อน”
“พี่ทูเอาหมูเต๊ะป่ะคะ”
“ไว้วันหลังแล้วกัน”
“เป็นไรพี่
ทำไมทำหน้าแบบนั้นอ่ะ ทะเลาะกับคุณคิมหันต์เหรอ”
“ถ้าไม่รู้ก็อย่าพูด”
ทั้ง ๆ ที่โดนผมถลึงตาใส่อย่างจังแต่ยีนส์ยังกล้าส่งสายตาตัดพ้อทำนองว่า ‘ก็พี่ไม่บอกหนู แล้วหนูจะรู้ได้ไงอ่ะ’ กลับมา เห็นอย่างนั้นผมเลยวางเฉยไม่ลง
“ที่พี่ทำหน้าแบบนี้เพราะพี่กำลังรอคุณเซียงคอนเฟิร์มกลุ่มพนักงานให้พี่อยู่
แล้วพี่ก็ไม่รู้ว่าแกจะว่างคุยเมื่อไร เคลียร์นะน้อง”
จริงอยู่ว่าแม้ระบบงานที่ผมทำจะเป็นระบบงานพื้น
ๆ ที่วนเวียนเกี่ยวกับองค์กรและรายละเอียดทั่ว ๆ ไปของพนักงาน (อาทิ
ประวัติส่วนตัว ครอบครัว ที่อยู่ ข้อมูลการติดต่อ ฯลฯ) แต่เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้คือรากฐานของระบบย่อยอื่น
ๆ อีกนับไม่ถ้วน หากผมหลับหูหลับตาตั้งค่าระบบโดยอาศัยเนื้อหาผิด ๆ จากชุดเอกสารอ้างอิงที่เก๋ากึ้กยิ่งกว่าหลักศิลาจารึก
ผมก็ไม่ควรประกอบอาชีพเป็นคอนซัลท์อีกต่อไป
“พี่ฟี่
ผมถามไรหน่อยดิ”
“ไรอ่ะ”
“กับพี่มิ้ม
พี่นัดคุยยากป่ะ”
“ก็ไม่นะ
ถามทำไมเหรอ” พี่ฟี่ถึงกับหยุดรัวคีย์บอร์ดแล้วหันมามองหน้าผมอย่างสนอกสนใจ
“คุณเซียงแกไม่ค่อยว่างเลยว่ะพี่
ผมทักไปทีไร ไม่ติดประชุมก็ยุ่งตลอดเลยอ่ะ” ทั้งที่ตั้งใจจะไม่ถอนหายใจพร่ำเพรื่อแท้
ๆ แต่พอคิดถึงสีหน้าไม่พร้อมรับแขกของคุณเซียงที่เห็นเป็นประจำบวกกับความสงสัยเรื่องข้อมูลที่ยังคาใจ
ผมก็ห้ามตัวเองไม่อยู่
“ไม่นะพี่ทู
ทุกทีที่หนูทักไปแกก็ตอบตลอดเลยนะ ตอบเร็วด้วย” ยีนส์แทรกขึ้นก่อนที่พี่ฟี่จะทันได้อ้าปาก
แกเลยชี้หน้าน้องพลางแสร้งทำขู่
“อย่าให้รู้เชียวนะว่าวัน
ๆ เอาแต่ชวนยูสเซอร์คุยเล่นจนเสียงานกันทั้งคู่ พี่จะฟ้องพี่จี๊ดให้”
“โอ๊ยพี่ฟี่
หนูว่าคนจะเสียงานน่ะพี่เซียงมากกว่า” ไม่ทันขาดคำ น้องเล็กประจำทีมก็เลื่อนโน้ตบุ๊คของตัวเองมาให้ผมกับพี่ฟี่ดูแช็ทล็อกบนหน้าจอก่อนจะจ้อต่อปาว
ๆ “นี่ไง เห็นป่ะ เมื่อกี้หนูแค่ถามแกว่าแถวนี้มีขนมอะไรน่าตำบ้าง แล้วดูแกตอบดิ
อย่างเยอะอ่ะ”
“เออว่ะ
เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าคุณเซียงแกเป็นสายกินเหมือนกัน”
“ใช่ป่ะ
เห็นตัวเล็ก ๆ แบบนั้นไม่น่ากินเก่งเลยเนอะ” จนถึงตอนนี้ คุณเซียงก็ยังไม่หยุดกระหน่ำพิมพ์ข้อความส่งหายีนส์
และผมก็ยังไม่หยุดถอนหายใจ
ตามธรรมเนียมแล้ว
ช่วงต้นโปรเจค
ทั้งยูสเซอร์และคอนซัลท์จำเป็นต้องแบ่งเวลาจากงานประจำมานั่งจับเข่าคุยกันแบบถึงลูกถึงคน
โดยที่ฝ่ายแรกจะต้องให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อการเตรียมระบบอย่างครบถ้วนสมบูรณ์
แต่เพราะกรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว
คอนซัลท์จึงมักจะขอนัดประชุมเพิ่มเติมเป็นครั้งคราว เรื่องตลกก็คือ พอผมอ้าปากจะคุยเรื่องตารางว่างทีไร
คุณเซียงก็พร้อมจะเซย์โนอย่างว่องไวโดยไม่ลืมข้ออ้างสารพัดสารพัน
“ทำไมทูไม่ลองเช็คตารางคุณเซียงในปฏิทินเอาท์ลุคอ่ะ
จะได้รู้ว่าแกว่างหรือติดประชุมตอนไหน” ผมคงเผลอทำหน้าแปลก ๆ อยู่แน่ ๆ ไม่งั้นพี่ฟี่คงไม่เดินอ้อมโต๊ะมาตบบ่าผมเบา
ๆ หรอก “ลองดูดิ พี่ก็ใช้เช็กตารางคุณมิ้ม คุณเอ้อยู่บ่อย ๆ ”
“ครับ”
ผมฝืนยิ้มรับแกน ๆ ทั้งที่ในใจอยากบอกแกไปว่า ก่อนพี่จะแนะนำ ผมแอบเช็กปฏิทินงานของคุณเซียงมาจะสิบรอบแล้ว
และแกโคตรว่างเลยว่ะพี่.... ฮือ
“ก๊อก
ก๊อก เดี๋ยวเอ้จะลงไปกดตังค์แล้วแวะไปสั่งกาแฟใต้ตึก มีใครอยากได้ชา กาแฟ หรือน้ำชงอะไรไหมคะ”
หลังเคาะประตูหน้าห้องพอเป็นพิธี คุณโอ้เอ้ก็โผล่เข้ามายืนคลี่ยิ้มสว่างสดใสให้ทุก
ๆ คนในห้อง
“จะดีหรอคะคุณโอ้เอ้
ถ้าพวกเราสั่งกันหมดคุณโอ้เอ้ก็ต้องลำบากหิ้วขึ้นมาคนเดียว
พี่ว่าเดี๋ยวพวกพี่ลงไปซื้อเองดีกว่าค่ะ คุณโอ้เอ้จะได้ไม่ต้องถือหนักด้วย”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะพี่ฟี่
เดี๋ยวพี่เซียงลงไปเป็นเพื่อนเอ้ค่ะ สั่งแค่ไม่กี่แก้ว สองคนช่วยกันถือ ไม่หนักหรอก”
แม้จะไม่อยากยอมรับ
แต่สุดท้ายผมก็หนีความจริงที่ว่ายูสเซอร์สุดที่รักกำลังหลบลี้หนีหน้าผมอยู่อย่างเอาเป็นเอาตายไปไม่ได้
เฮ่อ
คุณเซียงนะคุณเซียง ถ้าคิดจะหลอกกันจริง ๆ ทำไมไม่ทำให้เนียนกว่านี้นะ
••••••
ห้องประชุมขนาดกะทัดรัดซึ่งยูสเซอร์
HR จัดให้พวกเรานั่งทำงานตั้งอยู่บนทำเลทองระหว่างห้องเซิร์ฟเวอร์กับสต๊อกเก็บของใช้สำนักงาน
วัน ๆ นึง นอกจากพวกผมแล้ว ก็แทบไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดเยื้องกรายผ่าน บรรยากาศโดยรอบจึงเงียบสงบเหมาะแก่การทำงานเป็นอย่างยิ่ง
แต่ด้วยความที่มันซ่อนอยู่ในหลืบด้านลึกลับแลที่สุดของชั้น
ทำให้กว่าที่พวกผมจะเดินไปหยิบขนมที่แช่ไว้ในตู้เย็นตรงแพนทรี กว่าจะไปเอางานที่สั่งพิมพ์หรือถ่ายเอกสารทิ้งไว้
หรือแม้กระทั่งกว่าจะออกไปเข้าห้องน้ำตรงโถงหน้าลิฟท์แต่ละครั้ง พวกผมต้องตั้งอกตั้งใจเผื่อเวลาเดินเท้าผ่านดงพนักงานบริษัทเครื่องดื่มชูกำลังแผนกแล้วแผนกเล่าอย่างน้อยราว
ๆ เกือบห้านาทีได้ ดังนั้น หลังกินข้าวมื้อกลางวันเสร็จ ผมจึงมักจะกระวีกระวาดกลับขึ้นมารองน้ำเปล่าจากตู้กดน้ำในแพนทรีใส่ขวดตุนเก็บไว้ในห้องเพื่อจิบระหว่างวันตามประสาชายหนุ่มรักสุขภาพ
เที่ยงวันนี้ก็เช่นกัน
หลังโบกมือส่งสองสาวหน้าซุ้มบิงซูในเต็นท์ขายอาหารข้าง ๆ ตึก ผมก็อาศัยจังหวะที่ยังไม่มีใครกลับขึ้นมาทำงานยึดตู้กดน้ำเป็นสมบัติชั่วคราวอย่างสบายใจ
ทว่าระหว่างที่ยืนรองน้ำพลางเหม่อมองไฟซีพียูบนโต๊ะทำงานด้านนอกกะพริบเป็นจังหวะสั้น
ๆ ยาว ๆ ราวกับส่งรหัสลับอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงคนคุยกันดังห่างออกไปไม่ไกล
“เมื่อเช้าพวกแกเม้าท์อะไรกันวะ”
“ก็เรื่องคุณคิมหันต์น่ะสิ
แซ่บแบบที่พริกทั้งปากคลองยังยอมแพ้อ่ะ” ผมเกือบทำขวดน้ำหลุดมือหลังรู้ว่าลุงไซด์ไลน์ได้กลายเป็นหัวข้อบทสนทนาของใครก็ตามด้านนอกนั่นไปเสียแล้ว...
แหม เลือกเม้าท์ได้ถูกคนดีจริง
“คุณหนาว?
แซ่บ? คุณหนาว HR
Director เนี่ยนะแซ่บ
ผิดคนเปล่าแก”
“จิ๊! ก็แล้วบริษัทนี้มันมีกี่คุณหนาวกันล่ะค้า”
“แหม
แค่นี้ต้องขึ้นเสียง”
“ก็มันน่าไหมล่ะ”
“อ่ะ
ๆ เล่ามา คุณหนาวแซ่บยังไง”
“คืองี้...”
“เอ้า ชักช้าอะไรอยู่ล่ะ เล่ามาสักทีสิ”
นั่นสิ
เล่า ๆ มาเหอะ อย่ามัวท่ามากอยู่เลย
“ขอดูลาดเลาแพร้บสิ”
“โอ๊ย
ไม่ต้องกลัวใครได้ยินหรอกน่า ยังไม่มีใครขึ้นมาหรอก”
ใช่ จะกลัวอะไร เล่ามาเร็ว ๆ อยากรู้
“ก็ได้
ๆ พวกทีมโปรเจคบอกว่าคุณหนาวเป็น...”
“เป็นอะไร”
เสียงของหนึ่งในนั้นฟังหงุดหงิด...
เออดี ผมมีเพื่อนร่วมเหวี่ยงแล้ว
“คุณหนาวนางเป็นเกย์เว่ยแก”
เฮ่ย ตกลงเรื่องนี้มันลามไปถึงหูใครบ้างแล้วเนี่ย?!
“อย่ามา
แมน ๆ อย่างคุณหนาวอ่ะนะจะเป็นเกย์ ถ้าแกบอกว่าคุณไวท์เป็นเกย์ ฉันจะไม่เถียงสักคำ”
“โอ๊ยแกนี่
คุณไวท์นางสาวแตกออกขนาดนั้นมองลงมาจากดาวอังคารยังรู้เลยย่ะว่านางเป็นเกย์”
“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคุณหนาวจะเป็นเกย์”
จะว่าไปพี่หนาวก็ดูไม่เหมือนเกย์จริง
ๆ น่ะแหละ แต่ถ้าเป็นก็ดี ผมจะได้พอมีหวัง
“นางเป็นเกย์แน่นอน
แถมวงในยังคอนเฟิร์มอีกนะจ๊ะว่าคุณหนาวกำลังคบกับคอนซัลท์คนที่ตัวสูง ๆ ขาว ๆ แต่งตัวเนี้ยบ
ๆ คนนั้นอยู่”
ใจผมหล่นวูบไปที่ตาตุ่ม
ฝ่ามือข้างที่ประคองขวดน้ำชื้นเหงื่อจนเริ่มเหนอะหนะน่ารำคาญ น้ำในคูลเลอร์ก็ดันไหลช้าเหลือเกิน
เมื่อไรขวดนี้จะเต็มเสียทีวะ
“จริงดิ”
“น้อยไปสิ”
“บ้า”
“บ้าอะไร
เขาเม้าท์กันให้แซ่ดว่าวันนั้นที่คุณเซ็นพาทีมโปรเจคไปเลี้ยงข้าวอ่ะ คุณหนาวโดนจับโป๊ะว่าแอบส่งสายตาให้คอนซัลท์คนนั้นตลอด
ๆ พอโดนคุณเซ็นซักเข้าหน่อยนางเลยยอมรับว่าเป็นแฟนกัน เริ่ดป่ะล่ะ”
โอ๊ย
ฟังแล้วอยากจะบ้า เขาไม่ได้มองอ้อยผมโว้ย ที่สำคัญ
วันนั้นเขาไม่ได้พูดสักคำว่าผมกับเขาเป็นอะไรกัน
“ข่าวมั่วหรือเปล่า”
ฟังมาถึงตรงนี้
ผมก็อยากกลับแดนลับแลเต็มที ติดอยู่แค่ว่าผมดันเผลอกรอกน้ำจนน้ำหมดขวดเลยต้องเสียเวลาเปลี่ยนขวดน้ำใหม่ทดแทนใบเก่าเพื่อที่คนอื่นจะได้มีน้ำเย็น
ๆ กินแบบไม่ต้องรอ
“มั่วที่ไหน
ชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่เชื่อแกลองไปถามทีมโปรเจคคนไหนดูก็ได้”
“เออ
ๆ เชื่อ ๆ ฉันเชื่อแก... โธ่คุณหนาว ไม่น่าเลย อุตส่าห์หลงคิดว่าที่แกไม่หาแฟนเพราะมัวแต่รอผู้หญิงที่ถูกใจ
ที่ไหนได้ดันเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน”
“บ้าฉิบ!” ผมหลุดปากพึมพำอย่างสุดทนเพราะจนป่านนี้ผมก็ยังปล้ำกับฝาขวดน้ำอยู่เลย
โธ่โว้ย มือผมแม่งจะลื่นไปไหน
“น่าเสียดายเนอะ
สมัยนี้ผู้ชายยิ่งหายาก ๆ อยู่”
“ใช่
ฉันก็เสียดาย ทำไมผู้ชายหล่อ ๆ ต้องกินกันเองด้วยวะ”
“แหม
ก็ได้หลังแล้วลืมหน้าไง ทำอย่างกับไม่เคยได้ยิน”
“ออกสิวะ
แม่งเอ๊ย” จริงอยู่ที่ผมไม่เคยมีปัญหากับคำพูดเหยียดหยาม
แต่ก็ใช่ว่าผมจะทำหน้าชื่นปล่อยให้คนอื่นถากถางรสนิยมทางเพศของตัวเองได้ทุกครั้ง
ยิ่งคนที่ถูกพาดพิงคือพี่หนาว ผมยิ่งหัวร้อนง่ายจนอดแปลกใจตัวเองไม่ได้ กรรมเลยตกอยู่ที่ฝาขวดน้ำซึ่งกลายเป็นเครื่องรองรับอารมณ์ของผมไปเสียแล้ว
“ฮึบ ออกสักทีสิวะ!”
“ว่าแต่
แกว่าใครรุกใครรับวะ”
สาบานเลยว่าผมไม่ตั้งใจฟัง
แต่หลังจากได้ยินประโยคนี้เท่านั้นแหละ อยู่ ๆ ฝาขวดน้ำสุดดื้อด้านก็ดันหลุดออกจากปากขวดอย่างง่ายดาย
ง่ายเสียจนตัวผมที่ใส่แรงลงไปไม่ยั้งเมื่อสักครู่เสียหลักล้มก้นจ้ำเบ้า และก่อนจะรู้ตัวปลายเท้าผมก็ดันเตะถูกขวดน้ำที่เพิ่งเปิดฝาเข้าอย่างจัง
“เฮ้ย!”
ลองว่าผมแหกปากเสียงดังออกขนาดนั้น
วงเม้าท์ด้านนอกย่อมแตกกระเจิงไปตามระเบียบ
ช่างเถอะ
ตอนนี้ต่อให้ใครจะพูดอะไรก็ไม่น่าปวดหัวเท่ากับมวลน้ำรอการระบายบนพื้นกระเบื้องตรงหน้าผมอีกแล้ว
กว่าจะจัดการทำให้ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพปกติ
ออฟฟิศด้านนอกที่ปิดไฟเกือบทั้งหมดตามนโยบายประหยัดพลังงานของคุณพันเลิศก็กลับมาสว่างไสวเต็มไปด้วยผู้คนอีกครั้ง
ผมจึงก้มหน้าก้มตาเดินหอบขวดน้ำขนาดลิตรครึ่งสามใบมุ่งหน้ากลับไปยังห้องทำงานโดยพยายามไม่สบตาใคร
แต่แล้วผมกลับเจอยูสเซอร์ HR ที่เพิ่งกินข้าวเสร็จโดยบังเอิญ
“ขวดน้ำเต็มมือเลยคุณทู
ให้เอ้ช่วยถือไปส่งที่ห้องไหมคะ” ความร่าเริงสดใสและน้ำจิตน้ำใจของคุณโอ้เอ้มักทำให้คนรอบข้างพลอยชื่นใจได้เสมอ
พี่ฟี่โชคดีมากที่คุณโอ้เอ้เป็นยูสเซอร์ TM เพราะระบบนี้จุกจิก ขืนเจอยูสเซอร์ขี้วีน ตอนทำงานคงประสาทเสียกันทั้งสองฝ่าย
“ไม่เป็นไรครับ
ขอบคุณนะครับ” ผมยิ้มรับแถมยังคลี่ยิ้มเผื่อแผ่ไปให้คุณมิ้มที่กำลังติดพันกับการคุยโทรศัพท์กับใครสักคนอยู่
“งั้นพวกเอ้ไปทำงานก่อนนะคะ”
“เชิญครับ”
ขณะเปิดทางยืนรอให้กลุ่มยูสเซอร์ออกเดินก่อน ผมกับคุณเซียงก็สบสายตากันพอดี ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้
ผมจึงคลี่ยิ้มส่งให้ตามมารยาท แต่แล้วกลับต้องประหลาดใจเมื่ออยู่ ๆ ก็โดนอีกฝ่ายเหวี่ยงค้อนวงใหญ่ใส่
ก่อนจะสะบัดก้นเดินดุ่ม ๆ กลับไปที่โต๊ะตัวเองราวกับไม่อยากเสียสายตามองหน้ากัน
ท่าทีไม่เป็นมิตรของคุณเซียงทำให้ผมเริ่มสังหรณ์ใจว่า
ปัญหาในการทำงานรวมถึงข่าวลือเลอะเทอะที่เพิ่งได้ยินไปหมาด ๆ คือผลจากเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อน
ดังนั้นเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของท่าน HR Director ไปพร้อม ๆ กับคืนความสุขแก่ยูสเซอร์สุดที่รัก ผมควรต้องเคลียร์ใจกับลุงไซด์ไลน์โดยเร็วที่สุด
‘คุณหนาวครับ ผมอยากคุยกับคุณจริง ๆ นะครับ’
‘ขอร้องเถอะครับ’
‘หลังเลิกงานผมจะรอคุณอยู่ที่ห้องประชุม
3 นะครับ’
‘ผมจะรอจนกว่าคุณจะมานะครับ’
••••••
หลังจากวุ่นวายกับการเตรียมการเปิดร้านในช่วงโค้งสุดท้ายมาตลอดทั้งวัน
คเชนทร์ก็เดินออกมาจากหลังร้านพร้อมด้วยชามใส่อาหารแมวสดใหม่พลางเรียกหาเพื่อนร่วมชายคาที่ตนถือวิสาสะตั้งชื่อให้ตามหน้าตาไม่รับแขกของมัน
“เมี้ยว ๆๆๆ ลูกพี่”
ชายหนุ่มเดินวนค้นหาจนทั่วทุกซอกทุกมุมแต่กลับไม่มีวี่แววของก้อนขนสีดำ
เมื่อแน่ใจว่าแมวหน้ากากไม่ได้อยู่ในบ้าน คเชนทร์จึงวางถ้วยอลูมิเนียมใบน้อยไว้ตรงที่ประจำก่อนจะก้าวเร็ว
ๆ ออกมามองหาเจ้าเหมียวตรงหน้าร้านดอกไม้ที่บัดนี้ถูกเนรมิตรให้กลายเป็นสวนหย่อมจำลองขนาดย่อมไปเสียแล้ว
ทว่าแทนที่เจ้าของร้านดอกไม้จะเจอลูกพี่นอนขดตัวอาบแดดยามเย็นอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก
ๆ ตรงมุมสวนเหมือนทุกวัน กลับกลายเป็นว่า เวลานี้มีเด็กผู้ชายวัยไม่เกินสิบขวบในชุดนักเรียนกำลังนั่งยอง
ๆ จ้องชั้นวางกระถางไม้ใบด้านข้างประตูไม่วางตา
ท่าทางสนอกสนใจของเด็กแปลกหน้าทำให้คเชนทร์พลอยเพ่งสายตามองตาม
จวบจนเมื่อสังเกตเห็นหางสีดำกวัดแกว่งลอดใต้ชั้นออกมาเป็นพัก ๆ แล้วนั่นแหละ เขาก็อดนึกขันกับภาพน่าเอ็นดูของสองชีวิตต่างสายพันธุ์ตรงหน้าร้านของตัวเองไม่ได้
หึ ๆ ที่แท้ลูกพี่ก็กลัวเด็กคนนี้จนกลับเข้าบ้านไม่ได้นี่เอง
ลูกใครหนอ หล่อแต่เด็กเลยหนู
คเชนทร์ยืนกอดอกพิงกรอบประตูเฝ้าดูสถานการณ์อย่างเพลิดเพลินใจ
แต่ก่อนที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเพลี่ยงพล้ำ หญิงชราหน้าตาใจดีที่เพิ่งเดินหิ้วถุงกับข้าวผ่านมาก็ค้อมตัวลงแตะแผ่นหลังของเด็กชายเบา
ๆ คล้ายบอกใบ้ให้อีกฝ่ายค่อย ๆ ลุกยืน “ม่ามาแล้ว กลับบ้านกัน”
เด็กชายพยักหน้ารับคำพลางคว้ามือข้างที่ยังว่างของอาม่าตนเอาไว้
แต่ก่อนที่หญิงชราและเด็กน้อยจะเดินผ่านไป คเชนทร์ก็ถือโอกาสมองสบตากับฝ่ายผู้ใหญ่
คลี่ยิ้มส่งให้อย่างจริงใจพร้อมกับสารภาพความในใจกับเจ้าหล่อนผ่านสายตาว่า เขารู้สึกถูกชะตากับเด็กชายผู้นี้เหลือเกิน
••••••
“อุ๊ย
ขอโทษค่ะ ป้านึกว่าใครลืมเปิดไฟทิ้งไว้เลยจะเข้ามาปิด” ป้าแม่บ้านประจำออฟฟิศทำหน้ายุ่งยากใจหลังจากเปิดประตูห้องประชุมเข้ามาแล้วเจอผมนั่งทำงานอยู่
สังเกตจากกระเป๋าสะพายกับถุงใส่ของที่แกหิ้วติดบ่าผมก็รู้เลยว่าอีกฝ่ายคงอยากกลับบ้านเต็มแก่
และการที่แกต้องแกร่วรอผมเพื่อปิดไฟทั้งชั้นตามนโยบายท่านผู้บริหารคือฝันร้ายชัด ๆ
“ไม่เป็นไรครับ
เดี๋ยวไว้ผมใช้ห้องเสร็จเมื่อไรผมจะปิดแอร์ ปิดไฟเองครับ”
“ขอบคุณนะคะ
ถ้าอย่างนั้นป้ากลับก่อนนะคะ”
หลังจากปลดปล่อยป้าแม่บ้านเป็นอิสระ
ผมก็เหลือบดูหน้าจอมือถือที่ว่างเปล่าอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจพลางนวดขมับ นี่ผมนั่งรอลุงไซด์ไลน์อย่างไร้ความหวังมาจะครบชั่วโมงแล้วนะ
นอกจากคำว่า ‘READ’ ตัวเล็ก ๆ ที่เพิ่มขึ้นมาอีกสี่ตัวแล้ว
ใจคออีกฝ่ายจะไม่ส่งข้อความมาให้กำลังใจคนรอหน่อยหรือไง คนแก่อะไร ใจดำชะมัดเลย
ระหว่างที่ผมมัวบ่นบ้าถึงตาลุงไซด์ไลน์อยู่นั้นเอง
ประตูก็ถูกกระชากเปิดอย่างแรง
ก่อนที่บุคคลไม่พึงประสงค์จะเดินเต๊ะท่าเข้ามาอย่างน่าหมั่นไส้ “อ้าวคุณทู รอใครอยู่เหรอครับ”
รังสีคุกคามของคนมาใหม่ทำให้ผมรู้สึกไม่ปลอดภัยจนต้องเริ่มเก็บข้าวของ
วันนี้ผมคงดวงไม่ดี
คนที่อยากคุยด้วยก็ดันหายตัว ส่วนคนที่ไม่อยากเห็นหัวก็เสือกเสนอหน้า
“แหม หยิ่งจังนะ ผัวใหม่ห้ามไม่ให้พูดกับผัวเก่าหรือไง”
ไอ้พี่บูมแสยะยิ้มแล้วกวาดตามองผมแบบมีเลศนัย “เอ หรือที่ไม่พูด
เพราะกลัวโดนจับได้ว่าโกหก” ไม่รู้ตอนนั้นผมโดนอะไรบังตาถึงทนคบไอ้พี่บูมมาได้ตั้งสามปี
ไอ้คนที่ฉีกยิ้มได้น่ารังเกียจเบอร์นี้เนี่ยนะคือคนที่ผมเคยรัก อี๋ ขนลุกว่ะ
บอกตรง ๆ
“หึ
ใครกันแน่ที่ตอแหล” ด่าเสร็จผมก็รวบสายกระเป๋าคอมแล้วตั้งท่าจะหนีกลับบ้าน
แต่ยังไม่ทันจะได้ออกเดินไปไหนไกล
ไอ้คนหน้าด้านก็ปราดมาขวางทางแล้วต้อนจนผมเริ่มจนมุม
“จะเอายังไงฮึทู
อยากให้พี่ง้อยังไง ไหนบอกพี่ซิ” ไอ้เหี้ยพี่บูมมันกระชากแขนดึงผมเข้าไปกอด
แต่ผมไม่ใช่นางเอกหนังไทยที่โดนผู้ชายกอดแล้วจะระทวย ผมเลยฟันศอกถองสีข้างมันไปเต็มแรง
“โอ๊ย”
“ปล่อยผม”
“ลืมแล้วหรือไงว่าพี่ไม่ชอบเด็กดื้อ”
ยิ่งผมพยายามขืนตัวหลบและดิ้นรนต่อสู้มากเท่าไร
ไอ้พี่บูมก็ยิ่งรัดตัวผมแน่นขึ้นจนผมเริ่มหายใจไม่ออก
“ปล่อยดิวะ!” ถึงจะเริ่มอ่อนแรงลงบ้าง
แต่ผมก็ยังไม่หยุดขัดขืน
“ดื้อกับพี่มาก
ๆ ระวังจะลุกจากเตียงไม่ขึ้นนะ” เสียงลมหายใจของอีกฝ่ายร่นเข้าใกล้ใบหูผมมากขึ้นทุกที
สัมผัสใกล้ชิดกับกลิ่นกายคุ้นเคยที่ห่างหายมานานหลายอาทิตย์กำลังทำให้ร่างกายผมปั่นป่วนโดยไม่ทันรู้ตัว
ไม่ดีเลย สถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีกับผมจริง ๆ
แต่ไม่ได้
ผมจะยอมใจอ่อนกับมันเพื่อบรรเทาอาการคันไม่ได้!
ณ
ช่วงเวลาที่จิตใจใฝ่ศีลธรรมและความถูกต้องของผมกำลังถูกทดสอบอยู่นั้น ประตูห้องประชุมก็พลันเปิดกว้างอีกครั้งพร้อมกับการปรากฏกายของอัศวินม้าขาวที่ผมเฝ้ารอคอยมาตลอดหลายวัน
ฮือ
ในที่สุดฟ้าก็ส่งผู้ชายมาช่วยผมแล้ว
“คุณปุริมยังไม่กลับอีกเหรอครับ”
คนมาใหม่เอ่ยเรียบ ๆ ขณะก้าวเข้ามาดึงตัวผมออกห่างจากอดีตคนรัก เดี๋ยวนะ ผมว่าเมื่อกี้ผมเห็นพี่หนาวส่งสายตาฟาดฟันแถมด้วยประกายไฟแปลบปลาบมองหน้าไอ้พี่บูมที่ยังหน้าด้านรั้งแขนข้างหนึ่งของผมเอาไว้ไม่ปล่อย
จะดุอะไรขนาดนั้นครับท่าน HR
Director
“จริง
ๆ ก็ยังไม่อยากกลับหรอกครับ เพราะผมยังไม่เสร็จ”
พี่หนาวไม่ได้รอฟังจนจบ
เพราะทันทีที่กำจัดฝ่ามือไอ้พี่บูมออกจากตัวผมได้ รายนี้ก็เอ่ยแทรกขึ้นโดยไม่แคร์มารยาทในการสื่อสารใด
ๆ ในโลก “ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณตามสบายครับ แต่ก่อนกลับรบกวนปิดไฟด้วยแล้วกัน” พอหมดธุระกับไอ้พี่บูม
เขาก็หันมายิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน “ไปทู กลับบ้านกันครับ”
โอย
ตาย ๆ ใจผมบางเป็นกระดาษทิชชูโดนน้ำแล้วครับพี่
“ครับ”
ถึงรอยยิ้มพิฆาตเมื่อสักครู่จะทำให้ดวงตาของผมพร่าเลือนไปชั่วขณะ แต่ผมก็ไม่โง่พอที่จะปฏิเสธโอกาสดี
ๆ ที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้... ไหนจะฝ่ามือที่ยื่นมารอให้ผมจับข้างนั้นอีกล่ะ
.
.
.
.
บรรยากาศอึดอัดในลิฟท์ในอีกสิบนาทีให้หลังทำลายภาพจำขณะพี่หนาวจูงมือผมเสียย่อยยับ
นับตั้งแต่ผมเดินตามหลังพี่หนาวเข้าลิฟท์มา เจ้าตัวก็ผละไปยืนอีกฝั่งเหมือนคนไม่รู้จักกัน
พอเห็นเขาทำแบบนั้น ผมเลยรีบเปิดประเด็นสู่หัวข้อสำคัญด้วยเพราะไม่อยากรบกวนอีกฝ่ายไปมากกว่านี้
“ขอโทษนะครับ เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะผมคนเดียวแท้ ๆ เลย”
พี่หนาวไม่พูดอะไร
ซ้ำร้าย ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออกสู่ลานจอดรถชั้นหก เขาก็สับขาก้าวฉับ ๆ
ออกไปทันที
“อ้าวเฮ่ย!” ถึงจะยังเหวอกับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย
แต่สองขาของผมยังไวพอที่จะพาสารร่างวิ่งตามแผ่นหลังกว้างของพี่หนาวออกจากลิฟท์ไป
“เดี๋ยวสิคุณ คุยกันก่อน”
จังหวะที่ผมจวนจะถอดใจแล้วหยุดวิ่งเสียให้รู้แล้วรู้รอด
อีกฝ่ายก็หมุนตัวกลับมาแล้วเอ่ยเสียงเบา “ไปคุยกันบนรถ” พูดจบ
เขาก็ปลดล็อกพริอุสคันสีขาวในซองจอดข้าง ๆ ก่อนจะสตาร์ทเครื่องกดดันกันกลาย ๆ
หลังจากพาตัวเองขึ้นรถผู้ชายแบบงง
ๆ ผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าตกลงเขาจะพาผมไปไหน แต่ไอทะมึนที่แผ่ออกมาจากตัวคนขับแบบทะลักทะลายทำให้ผมไม่กล้าถามอะไร
กระทั่งหายใจแรง ๆ ผมยังไม่กล้าเลย
“คุณอยากคุยอะไรกับผม”
ทันทีที่รถคืบคลานลงสู่ถนนใหญ่ที่ทุกอณูเต็มไปด้วยยวดยาน คนข้าง ๆ ผมก็ถามขึ้น ถึงจะเห็นหน้าเขาแค่เพียงด้านข้าง
แต่ความเกรี้ยวกราดในแววตาคู่นั้นก็บอกผมอย่างชัดเจนว่า พี่หนาวกำลังไม่พอใจอย่างมาก
ตาย ๆ วันนี้ผมจะรอดไหม
“ผมอยากขอโทษเรื่องวันนั้น
แล้วก็อยากคุยกับคุณให้รู้เรื่องน่ะครับ”
“คุณไม่ต้องขอโทษผมหรอก
มันเป็นเรื่องสุดวิสัย” พี่หนาวตอบเสียงห้วนเสียจนผมเผลอกลั้นหายใจก่อนจะเสมองไปนอกตัวรถ
แปลกนะ ทั้ง ๆ ที่ภายในห้องโดยสารตอนนี้มีเพียงผมกับเขาเหมือนเมื่อวันแรกที่เราเจอกัน
แต่ผมกลับต้องคอยภาวนาไม่ให้อีกฝ่ายบันดาลโทสะจนหันมางับหัวผมก่อนจะได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราว
“แต่จริง
ๆ ถ้าตอนนั้นคุณจะปฏิเสธ ผมก็ไม่ว่าอะไรนะครับ” พูดให้ถูกคือผมต่อว่าอะไรพี่หนาวไม่ได้เลยต่างหาก
คิดขึ้นมาแล้วก็ละอายจนต้องก้มหน้าหลุบสายตามองฝ่ามือที่กำแน่นของตัวเอง จวบจนเมื่อได้ยินเสียงเขาถอนหายใจ
ผมจึงรีบชิงพูดก่อนจะไม่มีโอกาส “ผมไม่อยากให้ใครเข้าใจคุณผิด ว่าคุณ.... มีอะไรกับผม”
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องสนใจ”
อ้าวเฮ่ย ทำไมพี่ดื้องี้อ่ะ ก็ผมบอกแล้วไงว่าผมเป็นห่วงชื่อเสียงพี่ ผมกลัวพี่จะเสียหาย
“แต่คนอื่นจะมองคุณไม่ดี
ผ... เฮ่อ”
Rrrrr Rrrrr Rrrrr
ผมงับคำพูดที่เหลือไว้ได้ทัน
แต่เสียงถอนหายใจไหงหลุดไปไวนักก็ไม่รู้
แต่พับผ่าสิ
แทนที่ผมจะได้พูดเรื่องที่อยากพูดให้จบ ๆ โทรศัพท์พี่หนาวกลับดันมีสายเข้าเสียก่อน
สาบานเลยว่าเมื่อกี้ผมไม่ได้แอบมองจนรู้ว่าคนที่โทรเข้ามาชื่อ
‘Poppy’
นี่ไม่ได้แอบดูจริง
ๆ นะ ผมแค่สายตาดีจนมองเห็นในที่มืดได้อย่างชัดเจนเท่านั้นเอง
ว่าแต่ป๊อบปี้เป็นใคร
แฟนพี่หนาวเหรอ?
เจ้าของโทรศัพท์ดูจะไม่สนใจรับสาย
ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้กดตัดสายทิ้งเช่นกัน ตอนนี้เลยกลายเป็นว่า
นอกจากเสียงถอนหายใจของอีกฝ่ายแล้ว ยังมีเสียงสั่นครืน ๆ พร้อม ๆ
กับเสียงเรียกเข้าดังสลับกันวุ่นวายจนผมเริ่มอยู่ไม่สุข
ไม่ได้
ยิ่งถ้าพี่หนาวมีแฟนอยู่แล้ว เขายิ่งไม่ควรตกเป็นข่าวกับผม
แล้วป๊อบปี้นี่มันผู้หญิงหรือผู้ชายกันวะ...
เดี๋ยวไอ้ทู มึงอย่าเพิ่งหลงประเด็น!
“ที่คุณอยากพูดมีแค่นี้ใช่ไหม”
“คุณไม่เข้าใจ”
จนถึงตอนนี้ พริอุสของเขาก็ยังจอดแช่อยู่ที่เดิม คนขับจึงเอนหลังพิงเบาะแล้วมองหน้าผมนิ่ง
ๆ ผมจึงรีบอธิบายต่อโดยเร็ว “ผมไม่สบายใจที่คุณโดนว่าเสีย ๆ หายทั้ง ๆ
ที่คุณไม่ผิดอะไรเลย”
บอกตรง
ๆ ว่าก่อนหน้านี้ ผมค่อนข้างสองจิตสองใจกับการเลือกเฟ้นเหตุผลที่จะใช้อธิบายเรื่องทั้งหมดให้พี่หนาวฟัง
ลึก ๆ แล้วผมอยากเล่าแม่งทุกอย่างตั้งแต่เรื่องคุณเซียงยันข่าวลือบ้า ๆ นั่น แต่พอลองมาคิด
ๆ ดู ผมแค่ต้องการหว่านล้อมให้อีกฝ่ายยอมแก้ข่าวเรื่องคบหากับผมเท่านั้น
การเผายูสเซอร์สุดที่รักด้วยข้อหาที่ว่าเจตนาทำงานบกพร่องจึงดูเป็นการให้ร้ายบุคคลที่สามจนเกินไป
ที่สำคัญ
ผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าหลังจากผมจับคุณเซียงนั่งยาง ท่าน HR Director จะนิ่งดูดายไม่เรียกลูกน้องมาคุย
เกิดพี่หนาวพาซื่อทำแบบนั้นขึ้นมาจริง
ๆ แทนที่ผมกับคู่กรณีจะเกี่ยวก้อยคืนดีแล้วช่วยกันทำโปรเจคกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย
ผมคงโดนยูสเซอร์สุดที่รักดราม่าใส่จนเป็นบ้าไปก่อนแน่ ๆ
เขาถอนหายใจพลางเสยผม
“คุณคิดว่าถ้าตอนนั้นผมปฏิเสธ เรื่องนี้จะจบงั้นเหรอ”
เออว่ะ
จริงของพี่หนาว
ต่อให้วันนั้นเขาจะยืนกรานว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับผมก็ตาม
แต่ลองว่าเป็นเรื่องฉาวโฉ่ของผู้บริหาร มีหรือที่พวกขาเม้าท์จะยอมปล่อยผ่านง่าย ๆ
เหตุผลที่ยากจะหักล้างของคนข้าง
ๆ ทำผมจมดิ่งสู่ห้วงความรู้สึกผิดที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ลำพังสร้างปัญหาให้เพื่อนสนิทหรือครอบครัวผมก็ลำบากใจจะแย่
แต่นี่อีกฝ่ายคือคนแปลกหน้าที่โดนผมมัดแขน ผูกขาแล้วลากมากระโดดลงเหวด้วยกันครั้งแล้วครั้งเล่า
เฮ่อ ชาตินี้ผมจะชดใช้เขาหมดไหมวะเนี่ย
“โปรเจคนี้หกเดือนใช่ไหม”
แม้จะยังงง
ๆ แต่พอเป็นเรื่องงาน ผมก็ตอบได้โดยไม่ต้องคิด “ครับ”
“หกเดือนนี้
คุณตั้งใจทำงานให้สมค่าจ้างเถอะ” พี่หนาวพูดเรียบ ๆ ก่อนจะเหยียบคันเร่งนำรถพุ่งไปข้างหน้าอย่างนุ่มนวล
ฝ่ายผมก็ตั้งท่าจะแย้งเต็มที่หลังเห็นอาการตั้งใจขับรถไม่พูดไม่จาของอีกฝ่าย
เดี๋ยวสิพี่ ผมยังพูดไม่จบเลย ขอผมพูดหน่อย
“แต่ผ...”
“ผมส่งคุณตรงนี้แล้วกัน”
ไม่ทันขาดคำ คนขับก็จอดรถเทียบข้างฟุตบาททันทีแถมยังมีน้ำใจปลดล็อครถเร่งผมทางอ้อมอีกต่างหาก
นี่ถ้าอีกเดี๋ยวเขาเอี้ยวตัวมาปลดเข็มขัดนิรภัยให้ แปลว่าเขาทนผมไม่ไหวแล้ว ถูกมะ
แม้จะยังสับสนกับความผกผันของสถานการณ์อยู่มาก
แต่การที่พี่หนาวเอาแต่จ้องหน้าจอโทรศัพท์ไม่เลิกราขณะทำท่าพร้อมส่งแขกใส่ผมอย่างโจ่งแจ้งจริงจัง
แล้วผมจะมีหน้านั่งทู่ซี้อยู่บนรถที่เจ้าของไม่ต้อนรับยังไงไหว
“ขอบคุณนะครับ”
คนขับเอื้อมมือมาปิดประตูพริอุสก่อนที่ผมจะพูดจบเสียด้วยซ้ำ ผมเลยเดินหน้าง้ำไปสถานีรถไฟฟ้าด้วยความรวดเร็วเป็นพิเศษ
สรุปว่าถึงเราจะได้คุยกันแล้วก็ตาม
แต่ผมกลับไม่ได้ข้อสรุปที่น่าพอใจเลยสักนิด หนำซ้ำเขายังทำให้ผมรู้สึกผิดซ้ำซ้อนและสับสนจนผมเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่าตาลุงไซด์ไลน์ละมุน
ๆ ที่ผมเคยเจอเมื่อคราวนั้น ใช่มนุษย์เพศชายคนเดียวกันกับคุณคิมหันต์ HR Director จอมเย็นชาที่เพิ่งไล่ผมลงจากรถเมื่อตะกี้ไหม
••• TBC •••
เราไม่รู้ว่าอาทิตย์นึงนี่นานเกินรอไหม
แต่สำหรับเรา...
เราปั่นตอนนี้มือแทบไหม้เลยค่ะ 555
ตอนนี้พี่หนาวอาจจะดูเฉยชาไปหน่อยนะคะ
แต่รับรองว่าการรอคอยจะคุ้มค่าในภายหลังแน่
ๆ ค่ะ (ยักคิ้ว)
หากอ่านแล้วชอบ
ไม่ชอบยังไงก็ทิ้งข้อความไว้ให้เราชื่นใจบ้างนะคะคนดี
ไว้เจอกันอีกทีจันทร์หน้าค่ะ
No comments:
Post a Comment