Monday, February 12, 2018

• รักหลอก ๆ ต้องบอกลุง •||#05|| 12.02.2018


#05


เห็นท่าที ไม่มีเล่ห์กล เก็บความร้ายจนหดหายไม่เห็น
ซ่อนอะไร ข้างในที่เป็น ซ่อนลายไว้คอยขย้ำใครเล่าเสือ
ออกลายมาเลย ออกลายให้เห็น เผยที่เป็นว่าจะร้ายสักเท่าไหร่
ออกลายมาเลย ออกลายให้เห็น เผยที่เป็นตัวจริงอันน่ากลัว

เสือ - ภัสสร บุญยเกียรติ


…………………………………………………………………………………………………………

ระหว่างที่ทีมผมกำลังง่วนกับการเตรียมตัวพรีเซนต์เดโมระบบอยู่นั้น บุคคลไม่ได้รับเชิญก็ยื่นหน้าพ้นกรอบประตูห้องประชุมเข้ามาอย่างถือวิสาสะ “พี่ฟี่ครับ ผมรอเมลคอนเฟิร์มดีเทลการลงบัญชีที่ HR จะโพสค่าใช้จ่ายไปหา FI อยู่นะครับ

เออ  ๆ พี่เห็นแล้ว” พี่ฟี่ตอบลวก ๆ พลางยื่นยูเอสบีส่งให้ผม ผมจึงถือโอกาสนั้นก้มหน้าก้มตารวบรวมไฟล์พรีเซนต์ของทุก ๆ ระบบย่อยเข้าไว้ด้วยกันเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียสายตากับยอดมนุษย์หน้าด้านตรงหน้าห้อง

อย่าลืมผมนะพี่ ผมอยากแก้เนื้อหาพรีเซนต์ให้เสร็จก่อนเดโมวันจันทร์อ่ะ

เออ ไว้เดี๋ยวเสร็จประชุมเมื่อไรแล้วพี่จะรีบดูให้เลย เจ้าภาพตอบรับทันควันพลางโบกมือไล่คล้ายกับไม่อยากให้คู่สนทนาอ้อยอิ่งอยู่นาน

เห็นท่าทีห่างเหินของพี่ฟี่ที่มีต่อคอนซัลท์ FI แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าหลังเกิดเรื่องเมื่อวันนั้น พี่จี๊ดคงกำชับพี่ฟี่ให้ช่วยดูแลผมด้วยอีกแรง อย่างไรก็ดี ผมคิดว่าตอนนี้ไอ้พี่บูมน่าจะหลาบจำบ้างแล้วแหละ เพราะตั้งแต่โดนพี่จี๊ดคาดโทษ มันก็ไม่เฉียดกรายเข้าใกล้ผมอีกเลย ถ้าไม่นับเรื่องเมื่อวานซืนล่ะก็นะ

ขอบคุณครับ

หวัดดีครับสาว  ๆ ” เสียงไม่คุ้นหูทำให้ผมละสายตาจากหน้าจอด้วยความสงสัย อ้อ คราวนี้เป็นคุณไวท์เองหรอกเหรอ

หวัดดีค่ะคุณไวท์”

ยูสเซอร์ FI โปรยยิ้มคืนให้พี่ฟี่ก่อนจะสะดุ้งเบา ๆ แล้วแสร้งเล่นใหญ่ตกใจแรงมากเมื่อสบตากับผม อุ๊ย โทษทีนะครับ พอดีผมลืมไปว่าคอนซัลท์ HR มีหนุ่มหล่ออยู่ด้วยอีกตั้งคน

โอ้โห นี่พนักงานบริษัทหรือดารา
วัน ๆ คือนั่งโต๊ะทำงานหรือเอาแต่กระทำการแสดงครับคุณไวท์

“คุณไวท์ไปซื้อกาแฟมาเหรอคะ

ครับ กินไหม เดี๋ยวผมแบ่งให้ คุณไวท์พยักหน้ารับพร้อมชูแก้วกาแฟแล้วคลี่ยิ้มเชิญชวน

ไม่เป็นไรค่ะ

เตรียมพรีเซนต์กันอยู่เหรอครับเนี่ย

ค่ะ

ขอให้พรีเซนต์วันนี้ผ่านฉลุยนะครับ ผมจะเอาใจช่วย

ขอบคุณค่ะ จนถึงตอนนี้ พี่ฟี่ก็ยังไม่หยุดรับแขกแทนพวกเราอีกสองคน ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะตั้งแต่ประโยคเมื่อครู่หลุดออกมาจาปากคุณไวท์ ผมก็ได้เพิ่มรายชื่อยูสเซอร์ FI ลงไปในกลุ่ม ผู้ไม่หวังดีและประสงค์ร้ายตามหลังไอ้พี่บูมกับคุณเซียงไปติด ๆ

คุณทูก็สู้ ๆ นะครับ แต่ผมขอไม่อวยพรแล้วกัน เพราะต่อให้คุณทูจะพรีเซนต์ยังไงคุณหนาวก็ต้องชอบที่คุณทูพรีเซนต์อยู่แล้วแหละ สุดที่รักทั้งคนจะใจร้ายใจดำได้ยังไงกันเนอะ พูดจบคุณไวท์ก็หัวเราะเบา ๆ เหมือนไม่ได้คิดอะไร แต่ผมดันเหลือบไปเห็นสีหน้าพึงพอใจของไอ้พี่บูมหลังจากนั้น ผมเลยยิ่งไม่รู้สึกผิดที่เหมารวมว่าสองคนนี้เป็นตัวอันตรายไม่ควรหลงไปเกลือกกลั้วด้วย

ครับ ผมเลิกสนใจละครลิงฉากตรงหน้าแล้วหันมาเร่งมือทำงานที่ค้างอยู่

งั้นผมขอตัวนะครับ โชคดีนะครับสาว ๆ

โหพี่ทู

ความที่เมื่อกี้ใบหน้าของยีนส์พุ่งเฉียดแก้มผมไปนิดเดียว ผมจึงต้องรีบผลักหัวกุมารีไปห่าง ๆ ไม่อย่างนั้นคงโดนสิงสู่ “อะไร

พี่แม่งโคตรอดทนเลยอ่ะ เป็นหนูหน่อยไม่ได้ ผมซึ้งใจกับอาการเดือดเนื้อร้อนใจราวกับเป็นเรื่องของตัวเองของยีนส์นะ แต่เพราะมั่นใจว่าเรื่องนี้จะต้องมีเงื่อนงำ ผมเลยไม่ยอมเพลี่ยงพล้ำหัวร้อนตามเกมของอดีตคนรักง่าย ๆ

หนอย หวังจะเห็นผมปรี๊ดแตกแล้วเหวี่ยงใส่ยูสเซอร์เหรอ ฝันไปเถอะ
ผมไม่ได้เพิ่งเกิดเมื่อวานแล้วก็ไม่ได้กินฟางกินหญ้าเป็นอาหารเสียหน่อย

พูดมาก ออกไปเอาเอกสารมาจัดชุดได้แล้ว เร็ว

ค่า จูเนียร์รับคำอย่างเสียไม่ได้ก่อนจะเดินคอตกทำหน้ามุ่ยออกจากห้องประชุมไป พอน้องไม่อยู่ผมก็หันไปจดจ่อกับงานในมือต่อ

เราต้องอัดคลิปตอนพรีเซนต์เดโมให้ลูกค้าด้วยใช่ป่ะพี่

อืม อัดเสร็จแล้วแบ็คอัพใส่ใน archive (คลังสำหรับเก็บข้อมูล) ของยูสเซอร์ด้วยนะ ตั้งโฟลเดอร์ใต้ HR ล่ะ อย่าลืม

ครับพี่

แต่พี่เห็นด้วยกับยีนส์มันนะทู อยู่ ๆ พี่ฟี่ก็เปรยขึ้นโดยไม่เกริ่น

หืม ผมเลิกคิ้วมองหน้าแกงง ๆ พร้อมต่อประโยคในใจว่า พี่พูดเรื่องอะไรของพี่วะ

และความที่อีกฝ่ายคือพี่ฟี่ เมนเทอร์ที่เทรนผมมาตั้งแต่เริ่มหัดตั้งไข่ในวงการคอนซัลท์ มีหรือที่แกจะไม่เข้าใจสายตาเมื่อครู่  ถึงเขาจะเป็นลูกค้า แต่มาพูดจาไม่ไว้หน้ากันแบบนี้พี่ก็ไม่โอเคว่ะ

ผมทำได้แค่ยิ้มรับโดยไม่ตอบคำ เพราะแม้จะเป็นผู้ถูกกระทำ แต่หากผมตอกหน้ายูสเซอร์ตามอำเภอใจ ฝ่ายที่จะเสียหายที่สุดคงหนีไม่พ้นพี่จี๊ด ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้นแน่ ๆ  

••••••

สำหรับการแก้ไขข้อมูลในส่วนนี้ HR จะต้องคีย์รายละเอียดของคำร้องขอรับการฝึกอบรมตามเอกสารครับ ผมกำลังจะคลิกเลื่อนสไลด์เข้าสู่เนื้อหาส่วนถัดไป แต่อยู่ ๆ ท่าน HR Director ที่เข้าร่วมฟังพรีเซนต์ด้วยก็เคาะปลายปากกาลงกับโต๊ะเบา ๆ ก่อนเอ่ยเรียบ ๆ

เดี๋ยวนะ ผมขอเสียมารยาทถามอะไรหน่อย”

มาแล้ว ของจริงมาอีกแล้ว คราวนี้ผมจะโดนอะไรนะ
เฮ่อ ทั้ง ๆ ที่ฟาดเคราะห์กับคู่หู FI ไปตั้งแต่เช้าแท้ ๆ แต่ทำไมบรรยากาศระหว่างการพรีเซนต์เดโมถึงได้แย่อย่างนี้ก็ไม่รู้

“เชิญครับ ผมทำใจดีสู้เสือแล้วประสานสายตากับพี่หนาวในบทบาทผู้บริหารจอมเฮี้ยบที่คอยตั้งคำถามทุกครั้งที่ได้ยินประโยคไม่เข้าหู

ทำไม HR ยังต้องคีย์รายละเอียดคำร้องเองด้วยล่ะ จริง ๆ มันควรจะเป็นความรับผิดชอบของพนักงานแต่ละคนมากกว่า ผมเข้าใจถูกไหม

ว่าแล้วเชียว เมื่อกี้พี่ฟี่ก็โดนต้อนด้วยประเด็นเดียวกัน แต่ท่าน Director ขอรับ ถ้าว่ากันตามวงเงินที่คุณพันเลิศยอมจ่าย พวกกระผมคงบันดาลระบบให้ท่านได้เท่าที่เพิ่งพรีเซนต์ไปนั่นแหละครับ

เมื่อนึกค่อนอีกฝ่ายจนพอใจ ผมก็ค่อย ๆ เรียบเรียงคำพูดแล้วตอบข้อสงสัยด้วยความระมัดระวัง “จริง ๆ ระบบเราก็รองรับให้พนักงานทำอย่างที่คุณคิมหันต์ต้องการได้ครับ เพียงแต่กระบวนการตรงนี้อาจยังไม่ครอบคลุมอยู่ภายใต้เงื่อนไขตามข้อตกลงของโปรเจค อย่างไรในรายละเอียด ทาง Management อาจต้องปรึกษากันอีกทีครับ

“แล้วทำไมไม่ครอบคลุม ในเมื่อเอกสาร TOR (ข้อกำหนดของผู้ว่าจ้าง) ก็ระบุไว้ชัดเจน คุณได้อ่านหรือเปล่า” พูดจบ พี่หนาวก็เชิดหน้ามองกดดันผมด้วยสายตาประเมิน

โอ้โห นั่นปากคนหรือกรรไกร ทำไมพี่ไม่เอามีดมากระซวกไส้ผมเลยล่ะครับ

“อ่านครับ” ผมเว้นวรรคสูดลมหายใจพลางปลุกปลอบตัวเองให้มีแก่ใจปั้นหน้ายิ้มแล้วตอบคำถามต่ออย่างมืออาชีพ “แต่เท่าที่ทางทีมได้ศึกษามา จะมีบางหัวข้อของเอกสารที่ระบบไม่สามารถรองรับได้ครบถ้วน อย่างไรก็ดี เราจะมีกระบวนการทางเลือกอื่น ๆ ให้พิจารณานะครับ”  

“ทำไมจะต้องพิจารณาทางเลือกอื่นอีกล่ะ” คนพูดจ้องหน้าผมด้วยสายตาดุดันจนผมชักไม่แน่ใจว่าเขากำลังพูดถึงงาน หรือกำลังเอาคืนที่ผมก่อสารพันปัญหาให้เขากันแน่ “ถ้าระบบคุณรองรับความต้องการของ HR ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราจะต้องมีระบบของคุณไปเพื่ออะไร”

อาจเพราะประโยคล่าสุดของพี่หนาวฟังคุ้นหูเอามาก ๆ ผมจึงนึกขึ้นได้ว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมโดนยูสเซอร์วีนใส่
อันที่จริง แรงกว่านี้ผมก็เคยผ่านมาแล้ว เพราะฉะนั้นการจะหงุดหงิดหรือผิดหวังเมื่อรู้ว่าขณะทำงาน พี่หนาวไม่ได้อบอุ่นอ่อนโยนเหมือนอย่างที่เผลอเข้าใจจึงเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์โดยแท้

เวลานี้พี่หนาวก็แค่กำลังปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทอย่างเต็มความสามารถในฐานะ HR Director ดังนั้นตัวผมที่มีหน้าที่รับผิดชอบเป็นที่ปรึกษาระบบก็ควรสร้างความเข้าใจกับผู้มีอำนาจตัดสินใจตรงหน้าเพื่อการทำงานอันราบรื่นในอนาคตเช่นกัน

เดี๋ยวหนาว มึงใจเย็นก่อน อย่าดุคุณทูสิ” คุณพันเลิศที่เข้าร่วมประชุมในฐานะผู้สังเกตการณ์แทรกขึ้นทันทีก่อนที่ท่าน HR Director จะออกอาวุธชุดใหม่

กูไม่ได้ดุ” พอสยบมนุษย์หัวโต๊ะสำเร็จ พี่หนาวก็หันมาจวกผมต่อโดยไม่ปรานี “ผมแค่อยากรู้ว่าระบบที่ว่านี่จะช่วยลดภาระของ HR ได้ยังไง เพราะเท่าที่ฟังมา นอกจากระบบเงินเดือนแล้ว ระบบงานอื่น ๆ แทบไม่ได้ช่วยให้ปริมาณงานของทีมลดลงเลย เผลอ ๆ จะเยอะขึ้นด้วยซ้ำ

พอวางเรื่องส่วนตัวลง ผมก็อดรู้สึกเห็นใจพี่หนาวไม่ได้ เพราะเมื่อมองในมุมกลับ ข้อสังเกตของเขาสมเหตุสมผลมาก
สิ่งที่พวกผมนำเสนอในพรีเซนต์วันนี้ ไม่ครอบคลุมทุกความต้องการที่ระบุใน TOR หนำซ้ำยังไม่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระของยูสเซอร์จริง ๆ แต่เพราะตัวเลขที่คุณพันเลิศยินดีจ่ายไม่สอดคล้องกับงบประมาณพี่จี๊ดพอใจ ฟังก์ชันไหนไม่จำเป็น จึงถูกลดทอนหรือละไว้เพื่อที่ทั้งสองฝ่ายจะประนีประนอมกันได้ในท้ายที่สุด

อย่างไรก็ดี อีกเรื่องที่พี่หนาวยังไม่รู้ คือ ขอบเขตการเจรจาในส่วนนี้อยู่นอกเหนือหน้าที่ของคอนซัลท์มดงานอย่างพวกผม

“ถ้าอย่างนั้นฟี่ขอรับเรื่องไปปรึกษากับ Project Manager ก่อนนะคะ” พี่ฟี่รีบตัดจบก่อนที่ใครจะโดนสายตาคมกริบของพี่หนาวชำแหละจนถึงแก่ความตายไปเสียก่อน

“ฝากทีมคุณไปพิจารณาเรื่องนี้กับเรื่องที่ HR ยังต้องคีย์ใบลาในระบบ TM ด้วยแล้วกัน เพราะถ้าคุณทำตามความต้องการของผมไม่ได้ ผมก็อาจจะยกเลิกสัญญา” พูดจบ เจ้าตัวก็ลุกพรวดขึ้นเหมือนเมื่อคราวที่ตอกหน้าไอ้พี่บูมจนหงายเงิบกลางโต๊ะอาหารเมื่อวันจันทร์ สรุปว่านี่คือท่าประจำที่พี่ใช้ออกฉากแบบเฉียบ ๆ ใช่ไหมครับ ผมจะได้จำไว้

“กูขอร้องล่ะหนาว มึงอย่าเพิ่งอารมณ์เสีย นั่งคุยกันก่อน” เหมือนจะรู้ทางกันเป็นอย่างดี เพราะคุณพันเลิศฉุดแขนของพี่หนาวเอาไว้ได้ทันท่วงทีจนโดนอีกฝ่ายชักสีหน้าใส่

“ยังต้องคุยอะไรอีก”

ท่านประธานที่ยังยื้อแขนของ HR Director เอาไว้แน่นหันมาพยักเพยิดกับพวกผมกับยูสเซอร์ที่เหลือพลางรวบรัดรวดเร็ว “เอางี้แล้วกันครับทุกคน ผมขอเลื่อนการพรีเซนต์เดโมของ HR ไปก่อน แล้วเดี๋ยวทางผมได้ข้อสรุปเมื่อไร เราค่อยพรีเซนต์กันอีกที”

“ค่ะ” สิ้นเสียงตอบรับโดยพร้อมเพรียงกันของสมาชิกส่วนใหญ่ พวกเราก็รีบสลายตัวด้วยความว่องไวด้วยเห็นแก่สีหน้ากึ่งเร่งรัดกึ่งอ้อนวอนของคุณพันเลิศ

••••••

“ไอ้หนาว มึงมีเหตุผลหน่อยดิวะ” ทันทีที่ภายในห้องประชุมเหลือเพียงตัวเขากับเพื่อนสนิท พันเลิศก็เปิดบทสนทนาอย่างอ่อนใจ

“มึงนั่นแหละไม่มีเหตุผล” คิมหันต์เอ่ยห้วน ๆ เจ้าตัวนั่งกอดอกจ้องหน้าหุ้นส่วนเขม็งคล้ายตั้งตารอจังหวะสวนกลับที่เหมาะสม

“โธ่ เหตุผลของกูมึงก็รู้หมดแล้วนี่ หรือมึงจะเถียงว่าระบบเงินเดือนแบบใหม่ไม่ดี” พันเลิศยกจุดแข็งของระบบงานเจ้าปัญหาขึ้นอ้างด้วยแน่ใจว่าคิมหันต์ไม่ได้บ้าเอาชนะจนมองข้ามเหตุผลสำคัญไปง่าย ๆ HR บริษัทไหนจะไม่ชอบระบบที่เปลี่ยนเรื่องยุ่งยากอย่างเงินเดือนและการคำนวณภาษีให้กลายเป็นเรื่องขี้ผงในชั่วพริบตากันบ้างล่ะ

“กูไม่ได้มีปัญหากับระบบเงินเดือน”

แววตาแข็งกร้าวที่อ่อนลงของคู่สนทนาทำให้พันเลิศเริ่มใจชื้น “แต่กูคิดว่าในระยะยาว ระบบของคุณจี๊ดจะช่วยให้ชีวิตมึงง่ายขึ้นนะเว่ย”

“แต่มึงก็ได้ยินไม่ใช่เหรอว่าระบบนั่นไม่ตอบโจทย์กู”

“ไม่ใช่ไม่ตอบโจทย์เว่ย แค่ตอนนี้มันยังตอบโจทย์มึงทั้งหมดไม่ได้เท่านั้นเอง” พันเลิศลูบหน้าพลางสูดหายใจหนักหน่วง

“ตอนก่อนทำบริษัท กูเคยบอกมึงว่าไงเซ็น”

“เฮ่อ” พันเลิศทอดถอนใจอย่างยอมจำนน

“กูบอกว่า ถ้าพวกเราจะทำบริษัทจริง ๆ กูก็อยากให้พนักงานทำงานกับเราด้วยความสุข”

“ซึ่งกูก็หาตัวช่วยใส่พานมากองตรงหน้ามึงแล้วไง” พอเห็นเพื่อนอ้าปากจะแย้ง พันเลิศก็ชิงตัดหน้าทันที “ก็มึงบอกกูเองไม่ใช่เหรอว่าส่วนที่ยุ่งที่สุดของ HR คือเงินเดือน” เขาไม่ได้หลับหูหลับตาเลือกระบบของอาทิมาเพียงเพราะความสิเน่หาเสียหน่อย แต่เพราะสิ่งที่คิมหันต์ต้องการหมายถึงเงินอีกหลายล้านที่ต้องจ่ายไป ซึ่งเมื่อลองวิเคราะห์ศักยภาพของพนักงานทั้งองค์กรอย่างถี่ถ้วนแล้ว ตอนนี้ไม่เหมาะจะลงทุนจริง ๆ ดังนั้น พันเลิศจึงตัดระบบงานที่เพื่อนรักต้องการออกก่อนจะร่างสัญญาเพียงไม่นานโดยตัดสินใจไม่บอกเจ้าตัว

“แต่กูจะเห็นแก่เงินเดือนอย่างเดียวไม่ได้ เพราะถ้ากูยอมให้มึงเอาเงินหลายล้านไปแลกกับระบบที่ไม่ช่วยให้ชีวิตพวกเราดีขึ้น กูก็ไม่ควรเป็นผู้ถือหุ้นอีกต่อไป” เจ้าของประโยคจ้องตาพันเลิศอย่างจริงจังคล้ายกำลังตอกย้ำเจตนารมณ์

แม้จุดยืนข้อนี้ของคิมหันต์จะเป็นเหตุผลที่พันเลิศตัดสินใจชักชวนอีกฝ่ายร่วมทำธุรกิจ แต่บางครั้ง HR Director ผู้ยึดมั่นกับกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ก็รับมือยากจนท้อใจ ยิ่งในมุมมองของนักลงทุนที่ต้องใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ให้คุ้มค่าที่สุดด้วยแล้ว จึงมีบางครั้งที่พันเลิศจำเป็นต้องใช้วิธีพูดความจริงแค่บางส่วนเพื่อให้งานดำเนินต่อไปได้

“กูว่ามึงลองให้เวลาทางนั้นเขาแก้ปัญหาก่อนดีไหม ระหว่างนี้กูจะไปคุยกับคุณจี๊ดอีกที กูสัญญาเลยว่ามึงจะได้ในสิ่งที่มึงต้องการโดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มแม้แต่บาทเดียว”

“มึงไม่ได้กำลังหลงผู้หญิงจนหน้ามืดใช่ไหมวะ”

“เปล่า” หากคู่สนทนาเป็นคนอื่น การตอบโดยแทบไม่ต้องคิดอาจสะท้อนความจริงใจ แต่เมื่ออีกฝ่ายคือพันเลิศ คิมหันต์ถึงกับหรี่ตามองหน้าเพื่อนอย่างระแวดระวัง และดูเหมือนพันเลิศเองก็รู้ตัวว่าครั้งนี้ตนไม่ได้รับความไว้วางใจ “ที่กูขอให้มึงรอ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่คุณจี๊ด แต่ทางเราเองก็ต้องการเวลาคิดเหมือนกัน”

“ยังไง”

พันเลิศยืดตัวนั่งหลังตรงขณะสบตาเพื่อนอย่างแน่วแน่ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบางพลางวนปลายนิ้วโป้งบนหลังมืออีกข้างที่สอดประสานกันอย่างใจเย็น “ไหนมึงลองตอบกูซิว่าถ้าทีมคุณจี๊ดยอมทำระบบตามใจมึงทุกอย่าง แต่กลายเป็นว่า พวกเด็กในไลน์ผลิตดันคีย์ข้อมูลวันลาผิดพร้อมกันทีเดียว อ่ะ เอาสักสิบเปอร์เซนต์ก็ได้ สมมติถ้าเด็กร้อยคนคีย์ข้อมูลผิดแล้ววันรุ่งขึ้นเสือกเป็นวันจ่ายเงินเดือน มึงจะทำไง”

“... กู...” คิมหันต์นิ่งไป ด้วยเพราะไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อน

“หนาว มึงฟังกู” พันเลิศเน้นเสียง “นอกจากมึงต้องให้เวลาคอนซัลท์แล้ว มึงต้องให้เวลาเด็กของเราด้วย” เขาผุดลุกขึ้นแล้วหมุนตัวเดินไปหยุดยืนกดริ้วมู่ลี่ลงพลางทอดสายตามองออกไปอย่างไร้จุดหมาย “กูรู้ว่ามึงหวังดี แต่คนของเราก็ไม่ได้พร้อมถึงขั้นนั้นหรือเปล่าวะ”

คำถามดังกล่าวกระตุ้นให้คิมหันต์ต้องใคร่ครวญอย่างจริงจัง ท่าทางสงบนิ่งดังกล่าวทำให้เจ้าของหุ้นรายใหญ่อย่างพันเลิศไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย “เชื่อกู มึงกลับไปคุยกับลูกน้องมาก่อน ถ้าลูกน้องมึงแฮปปี้ที่ต้องคอยตอบคำถามจุกจิกเกี่ยวกับการใช้งานระบบตลอดทั้งวัน ไหนจะต้องคอยแก้ข้อมูลที่พนักงานคนอื่นกรอกมาผิด ๆ กู-นี่-แหละ-ครับที่จะหักหาญน้ำใจคุณจี๊ดแล้วบันดาลทุกอย่างให้ลูกน้องมึงเอง”

“น่ามึง ยอมกูเหอะนะหนาว กูหมดมุกแล้วเนี่ย” คนพูดชูมือยอมแพ้พลางยิ้มแหย ๆ อย่างหมดรูป

“หึ” แม้จะอดคิดไม่ได้ว่าพันเลิศกำลังถือหางอาทิมา แต่เพราะรู้ว่าสัญชาตญาณด้านการลงทุนของเพื่อนคนนี้แม่นยำเสมอ คิมหันต์จึงเริ่มคล้อยตามคำพูดของอีกฝ่ายโดยไม่ทันรู้ตัว “มึงรู้ตัวใช่ไหมว่ากับคนนี้ มึงถลำลึกกว่าใคร”

พันเลิศยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “ถึงเวลาที่พ่อเสือจะถอดเขี้ยวเล็บแล้วเว่ยมึง”

“กูจะถือว่ากูเตือนมึงแล้วนะ” คิมหันต์เอ่ยยิ้ม ๆ ขณะลุกขึ้นจัดสูทให้เข้าที่

“คุณจี๊ดคือความรักสำหรับกูเว่ย”

“ถามเขายังว่ารู้ตัวไหม” สีหน้าเพ้อฝันเป็นหนุ่มน้อยริรักของเพื่อนสนิททำให้แม้แต่คนปากหนักยังอดสัพยอกไม่ได้ ฝ่ายพันเลิศผู้ถือคติเล่นกับเซ็น เซ็นเลียปากจึงสบช่องแซะท่าน HR Director หน้าตายกลับอย่างสมน้ำสมเนื้อ

“มึงดีกว่า รู้ตัวเมื่อไรแจ๊ะ”

คิมหันต์ไม่สนใจสายตากรุ้มกริ่มล้อเลียนของหุ้นส่วนใหญ่ ชายหนุ่มหมุนตัวเดินออกจากห้องประชุมไปโดยไม่ทันรู้ว่าความสนุกของพันเลิศเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

 ••••••

“เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะเข้าไปคุยกับผู้บริหารของ King’s Bev. อีกที” ภาพพี่จี๊ดบนหน้าจอคอมของพี่ฟี่กำลังถอยรถออกจากซองจอดอย่างช้า ๆ พลางสอดส่ายสายตาหาอะไรบางอย่างด้วยความตั้งใจ

“พรุ่งนี้พี่จี๊ดจะเข้าที่นี่เหรอ” ผมกับยีนส์นั่งประกบพี่ฟี่กันคนละข้างพลางลุ้นให้เจ้านายขับรถอย่างปลอดภัย อันที่จริง หากพี่ฟี่ไม่ทักแกเรื่องค่าที่จอดรถ ผมเดาว่ากว่าพี่จี๊ดจะเลิกคุยเรื่องงาน แกคงทนนั่งอาบเหงื่อต่างน้ำหมกตัวอยู่ในรถร้อน ๆ อีกนานแน่ ๆ

“ใช่ พี่ไม่อยากปล่อยไว้นาน เดี๋ยวจะคุยยาก” อยู่ ๆ พี่จี๊ดก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “โทษทีนะฟี่ ถ้าวันนี้พี่อยู่ด้วย ฟี่กับพวกน้อง ๆ คงไม่ต้องเหนื่อยกันขนาดนี้”

“โอ๊ยพี่จี๊ด คิดมาก พี่ออกไปขายงานก็เหนื่อยเหมือนกันน่ะแหละ”

ฟังคำพี่ฟี่แล้วผมก็พยักหน้าเสริมหงึกหงัก ก็ไอ้การต้องขับรถตะลอน ๆ วิ่งรอกหางานไปพร้อม ๆ กับดูแลโปรเจคในมือแบบที่พี่จี๊ดทำน่ะลำบากน้อยเสียเมื่อไร ยิ่งถ้าต้องทำทุกอย่างที่ว่ามาในไลฟ์สไตล์สุดประหยัดของแกด้วยแล้ว ผมว่าการตกเป็นเป้านิ่งให้ยูสเซอร์เล่นงานในห้องแอร์เย็น ๆ คือสวรรค์ชัด ๆ

“ถ้าฟี่มีอะไรด่วนก็ส่งเมลแล้วโทรหาพี่ ส่วนเรื่องนี้ไว้เราค่อยคุยกันต่อพรุ่งนี้นะ ตอนนี้พี่ขอขับรถก่อน” ว่าแล้ว พี่จี๊ดก็กดกระจกรถลงพลางยื่นบัตรลงตราประทับให้รปภ. ผมแอบกลั้นยิ้มตอนที่เห็นแกถอนหายใจแรงเมื่อรู้ว่าไม่ต้องจ่ายค่าที่จอดให้เสียอารมณ์

“ค่ะ ขับรถดี ๆ นะพี่ เดี๋ยวไว้พรุ่งนี้คุยกัน”

“อย่ากลับบ้านกันดึกนักล่ะ พี่ไม่มีโอทีให้นะ อย่าลืม” เจ้านายในหน้าจอโบกมือไหว ๆ พลางคลี่ยิ้มทิ้งท้าย แต่แววตาคู่นั้นกลับเก็บซ่อนความเหน็ดเหนื่อยเอาไว้ไม่มิด

“ผมแก้เดโมรอเลยได้ป่ะพี่” ที่สุดผมก็ได้เอนตัวพิงพนักเพื่อคลายเส้นเสียที พอเหยียดตัวจนพอใจผมก็ไถทั้งตัวเองและเก้าอี้ล้อเลื่อนกลับไปประจำที่ยังหน้าคอมพิวเตอร์ของตัวเอง

“อย่าเพิ่ง config ระบบรอพี่จี๊ดไปพลาง ๆ ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้เย็น ๆ ก็น่าจะรู้กันแล้วแหละว่าพวกเราต้องทำอะไรเพิ่มบ้าง” (หมายเหตุ: Configure หรือ Config (ภาษาปากฉบับคอนซัลท์) ออกแบบ ปรับแต่ง หรือสร้าง)

“โอเคพี่” ขณะที่ผมพยักหน้ารับรู้และรอให้คอมฯ คืนชีพอยู่นั้น น้องเล็กประจำทีมก็ยู่หน้าพลางโอดครวญหวนไห้

“สรุปคือเราต้องทำงานเพิ่มจริง ๆ เหรอคะพี่ฟี่”

“ก็คุณหนาวเล่นยื่นคำขาดมาแรงขนาดนี้ พวกเราจะทำอะไรได้ล่ะ” กลายเป็นว่าพี่ฟี่เองก็กำลังทำหน้าหนักใจไม่ต่างกับพี่จี๊ดเมื่อครู่ “แต่ก็ต้องลุ้นกันอีกทีแหละนะว่าพี่จี๊ดจะต่อรองได้มากน้อยแค่ไหน แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ มา ๆ ทำงาน ๆ อีกครึ่งชั่วโมงก็ได้กลับบ้านกันแล้ว”

“พี่ทู ทำไมแฟนพี่ทูใจร้ายจังอ่ะคะ” อยู่ ๆ ยีนส์ก็หันมาค้อนใส่ พอเห็นผมแสร้งตีหน้ามึนไม่สนใจ เด็กน้อยก็ทำปากอูด “พี่ทูอ่ะ”

“ก็นี่มันเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวล่ะ” พี่ฟี่เหมือนจะช่วย แต่ก็เปล่า “เดี๋ยวคืนนี้กลับไปสั่งสอนเลยนะทู เรื่องนี้แกห้ามยอมเด็ดขาดนะเว่ย ไม่งั้นต่อไปจะปกครองกันยาก” ได้ข่าวว่าเราสองคนโสดเหมือน ๆ กันไม่ใช่เหรอพี่ฟี่ แล้วอย่างนี้ผมควรจะเชื่อคำแนะนำของพี่ดีไหมเนี่ย

“อืม” ผมยิ้มเจื่อนเพราะไม่รู้จะตอบพี่ฟี่อย่างไร จังหวะที่กำลังจะใช้งานเป็นข้ออ้างบังหน้า เจ้ายีนส์กลับเสริมประเด็นของพี่ฟี่ให้ยิ่งบานปลายไปกันใหญ่

“ใช่ พี่ทู คืนนี้แก้แค้นด้วยการปล่อยให้อดไปเลยนะ แฟนพี่จะได้รู้เสียทีว่าใครกันแน่ที่เป็นคนกุมอำนาจสูงสุด”

“เดี๋ยว ๆ นี่กำลังเพ้ออะไรอยู่” ผมมองหน้าน้องงง ๆ

“อ้าว ก็พี่กับคุณหนาวไง” มาถึงตรงนี้ อยู่ดี ๆ ผิวหนังทุกอณูตั้งแต่ใบหน้าลามไปจนถึงลำคอของยีนส์ก็ฉาบด้วยสีแดงจัด เจ้าเด็กน้อยมองหน้าผมเหนียม ๆ ก่อนจะพูดจาติด ๆ ขัด ๆ เหมือนคนติดอ่าง “พวกพี่ ไม่ได้ เอ่อ... ไม่ได้ มีอะไรกันบ่อย ๆ หรอกเหรอคะ”

คำถามของน้องทำผมผงะก่อนจะนั่งนิ่งเป็นเบื้อใบ้ กลายเป็นพี่ฟี่เสียอีกที่แหวใส่ยีนส์ด้วยเสียงแปดหลอด “บ้า! เป็นสาวเป็นนางมาถามอะไรผู้ชายแบบนี้” หัวหน้าทีมผมโวยวายพลางตบโต๊ะดังป้าบ ๆ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้ายีนส์นั่งอยู่ในระยะที่แกเอื้อมถึง น้องจะน่วมแค่ไหน “ว่าแต่ ใช่ป่ะทู แกซู่ซ่ากับคุณหนาวทุกที่ ทุกเวลา ทุกท่วงท่าจริงไหม”

“เฮ่ย เอาที่ไหนมาพูด” ผมตีหน้ายักษ์ใส่สองสาวทั้ง ๆ ที่ในใจกำลังตื่นตูมเบอร์แรงสุด
นี่มันอะไรกัน ทำไมอยู่ ๆ พี่ฟี่กับยีนส์ถึงถามผมเรื่องนี้

“ก็นี่ไง” สองสาวชี้นิ้วโทษกันไปมา แต่แล้วพี่ฟี่ก็ใช้เสียงที่ดังกว่าเอาชนะน้องเล็กได้อย่างหวุดหวิด “อย่ามา ยีนส์เล่าให้พี่ฟัง ลืมแล้วหรือไง”

ผมมองตัวการดุ ๆ น้องเลยยิ้มแหย ๆ ก่อนจะปริปากเล่า “คืองี้พี่ทู เมื่อตอนบ่ายหนูไปเข้าห้องน้ำใช่ป่ะ”

“แล้ว?” ยีนส์มองหน้าผมสลับกับพี่ฟี่เหมือนไม่แน่ใจ จนเมื่อโดนผมจิกตาใส่อีกรอบนั่นแหละถึงจะยอมเล่าต่อ

“แล้วหนูก็ได้ยินลูกค้าที่อยู่ข้างนอกเขาเม้าท์กันว่าเมื่อวานตอนเย็นมีคนเห็นพี่กับคุณหนาว... เอ่อ บะโอ้บะกันในห้องประชุมสามอ่ะค่ะ”

“ฮะ? ว่าไงนะ” บ้าไปแล้ว ใครมันเม้าท์แรงแบบนี้

“ตอนแรกคนนั้นเขาก็ยังไม่รู้หรอกว่าอะไรเป็นอะไร แต่เพราะพวกพี่ทำกันเสียงดังมากจนเขาต้องเดินมาดู เลยทันเห็นคุณหนาวจูงมือพี่ออกมาจากห้องในสภาพที่ดูก็รู้ว่าเพิ่งทำอะไรกันมาอ่ะค่ะ” เจ้ากรมข่าวลือประจำทีมทำหน้าสำนึกผิดได้อยู่สองวินาทีก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างใส่ผม “หนูก็เลยบอกให้พี่งดกิจกรรมเข้าจังหวะสั่งสอนคุณหนาวที่ทำตัวไม่ดีกับพี่วันนี้ยังไงล่ะคะ”

ผมเกือบจะหลุดปากด่าน้องเข้าให้แล้ว ติดอยู่แค่ว่า โทรศัพท์สายกลางในห้องดันแผดเสียงขึ้นเสียก่อน แน่นอนว่าสายเรียกเข้าทำนองนี้ ปลายสายล้วนแล้วแต่เป็นลูกค้าต่อหมายเลขภายในเข้ามาทั้งนั้น พี่ฟี่จึงถลึงตาใส่พวกผมเร็ว ๆ ก่อนจะยกหูรับสาย “สวัสดีค่ะ”

“อ๋อค่ะ ได้ค่ะ” แกคลี่ยิ้มได้เพียงอึดใจก่อนจะทำสีหน้าไม่สู้ดี จากนั้นจึงหันมายื่นหูโทรศัพท์ให้ผม “คุณแก้วจะคุยกับแก”

ผมชี้ตัวเองพลางนึกถาม ผมเหรอพี่ อยู่ในใจซึ่งพี่ฟี่เองก็กลอกตาทำหน้ารำคาญขณะตอบผมสั้น ๆ ว่า เออโดยไม่ออกเสียง ผมเลยต้องรีบลุกขึ้นมารับสายของเลขาท่านประธานอย่างเสียไม่ได้ “สวัสดีครับ”

“คุณทูติดงานอะไรอยู่หรือเปล่าคะ”

“เอ่อ ไม่ครับ”

“ถ้างั้นพอจะมีเวลาว่างสักสิบนาทีไหมคะ”

“ครับ”

“ดีเลยค่ะ”

“คุณแก้วมีอะไรให้ผมรับใช้หรือเปล่าครับ” ที่ผมถามแบบนี้เพราะเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร หากเป็นเหมือนคุณโอ้เอ้ที่มักจะโทรมาขอให้พี่ฟี่ช่วยแก้ปัญหาคอมพิวเตอร์ทั่ว ๆ ไปเพราะไอทีบริษัทนี้ไม่ค่อยเหลียวแล ผมจะได้เตรียมรับมือถูก

“ไม่ใช่แก้วหรอกค่ะ พอดีบอสอยากเชิญคุณทูมาพบที่ห้องตอนนี้เลยค่ะ”

ฮะ ผมเนี่ยนะ?! อีตาคุณพันเลิศจะอยากเจอผมทำไม?
แต่แม้จะสงสัยจนตาย ผมกลับตอบคุณแก้วสั้น ๆ ได้เพียง “ครับ”
.
.
.
.
เมื่อเลขาท่านประทานเห็นผมในสายตา คุณแก้วก็ลุกขึ้นมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มก่อนจะผายมือส่งผมให้เดินไปยังประตูคู่บานที่กั้นห้องทำงานของประธานบริษัทออกจากโลกวุ่นวายภายนอก “เชิญค่ะ บอสรอคุณอยู่ด้านในค่ะ”

หลังเคาะประตูด้วยความไม่มั่นใจอยู่สองสามครั้ง เสียงด้านในก็ดังลอดออกมาทันทีราวกับกำลังรอผมอยู่ “เชิญครับ”

แทนที่ประสบการณ์เท้าเข้าห้องทำงานของประธานบริหารบริษัทเครื่องดื่มชูกำลังสุดทันสมัยจะทำให้ผมประหม่า กลับกลายว่าผมดันวางตัวไม่ถูกเพราะสายตาของแขกทั้งสองของคุณพันเลิศ หนึ่งในนั้นคือพี่หนาวที่ทำหน้าหงิกกว่าเมื่อเช้าสามล้านเท่า และอีกหนึ่งคือหญิงสาวหน้าตาสวยฟาดที่มาดดีพอ ๆ กับมาดามแป้ง ผู้จัดการฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย

“คุณทูมาพอดีเลย เชิญนั่งครับ เดี๋ยวผมจะแนะนำให้คุณรู้จักกั...” คุณพันเลิศพูดยังไม่ทันจบ หญิงสาวเพียงคนเดียวในห้องที่นั่งเป็นนางพญาอยู่บนโซฟาสีงาช้างก็เอ่ยแทรกเสียงนุ่ม

“นี่เหรอแฟนใหม่เธอ ฉันว่าเขาหล่อกว่าเธออีกนะ” หญิงสาวแปลกหน้าหันไปยกมุมปากใส่ท่าน HR Director พลางส่งสายตายั่วยุ พอเห็นพี่หนาวทำตาดุใส่เจ้าหล่อนก็หัวเราะเสียงใสก่อนจะหันมามองผมหัวจรดเท้า จากนั้นจึงคลี่ยิ้มบาง ๆ ที่ผมเดาเจตนาเบื้องหลังไม่ได้ส่งมาให้ “สวัสดี ฉันป๊อบปี้ เมียเก่าแฟนคุณ”

อ่า... และแล้วผมก็ได้เจอกับป๊อบปี้ตัวเป็น ๆ

••••••

หลังจากชิมลางทดลองเปิดร้านก่อนกำหนดการจริงมาครึ่งวัน คเชนทร์ก็ใช้เวลาช่วงบ่ายแก่ ๆ ที่เริ่มมีลูกค้าบางตาออกมายืนรอเจอหน้าเด็กชายในชุดนักเรียนเป็นเพื่อนลูกพี่ แปลกเหลือเกินที่วันนี้นอกจากแมวหน้ากากจะไม่หลบเข้าไปซ่อนตัวใต้ชั้นแล้ว ยังมีเด็กผู้หญิงหน้าตาคมคายเดินนำหน้าเด็กชายในชุดเครื่องแบบเหมือน ๆ กันมาที่ร้านของเขาเสียด้วย

วันนี้พาเพื่อนมาด้วยเหรอ?
แต่จะชวนกันมาแกล้งลูกพี่ไม่ได้นะ สงสัยต้องคอยจับตาดูเด็กสองคนให้ดี ๆ เสียหน่อยแล้ว

เมื่อเห็นลูกพี่นอนกระดิกหากอยู่บนม้านั่งตัวย่อม เด็กทั้งสองก็พากันนั่งยอง ๆ แล้วจับจ้องเจ้าเหมียวตาเป็นมัน ท่าทางน่าเอ็นดูของทั้งคู่ทำให้ผู้ใหญ่เพียงคนเดียวทนอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ “มันชื่อลูกพี่ครับ”

ชายหนุ่มแน่ใจว่าตนเองไม่ได้พูดเสียงเบา หากแต่เด็กชายที่นั่งอยู่ใกล้กับเขามากกว่าไม่แม้กระทั่งจะเงยหน้าขึ้นมองกัน อย่างไรก็ดี ท่าทีไม่อินังขังขอบของเด็ก ๆ กลับไม่ได้ทำให้คเชนทร์เสียกำลังใจ ด้วยเพราะเดิมทีเขาเผลอเข้าใจไปเองว่า ผู้ปกครองสมัยนี้คงกำชับลูก ๆ ไม่ให้สนทนากับคนแปลกหน้า

“ชอบแมวเหรอครับ” ถึงตอนนี้จะไม่ยอมคุยด้วยก็ไม่เป็นไร เรื่องชวนคุยเขาถนัดอยู่แล้ว

แต่แทนที่จะได้รับความเงียบเป็นคำตอบ เด็กผู้หญิงที่ที่คเชนทร์ไม่เคยเห็นหน้ากลับเอ่ยออกมาด้วยเสียงดังกังวานเต็มเปี่ยมด้วยความมั่นอกมั่นใจ “ปลาวาฬชอบหมามากกว่า แต่เวลาชอบแมว ปลาวาฬเลยชอบแมวเป็นเพื่อนเวลา”

“ปลาวาฬ? เวลา?” เจ้าของร้านดอกไม้มองเด็กหญิงตัวน้อยงง ๆ โดยที่อีกฝ่ายเพียงพยักหน้ารับน้อย ๆ ก่อนจะชี้มือไปที่เพื่อนของตน

“นี่เวลาค่ะ” คเชนทร์แอบอ่านชื่อจริงที่ปักอยู่ตรงอกเสื้อด้านซ้ายของเด็กชายเพราะอดสงสัยไม่ได้ว่าเด็กที่พ่อแม่ตั้งชื่อเล่นว่าเวลา ควรมีชื่อจริงเช่นไร

เด็กชายกาลกมล เวลากับหัวใจเหรอ หึ เข้าใจตั้งชื่อ

คเชนทร์คลี่ยิ้มให้เด็กชายกาลกมลด้วยความเต็มใจ “สวัสดีครับเวลา ลุงชื่อเชน ส่วนเจ้าตัวนี้ชื่อลูกพี่ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” ทันทีที่ทักทายเด็กผู้ชายเสร็จ ชายหนุ่มก็หันไปคุยกับเด็กหญิงตัวน้อยที่ตนเพิ่งพบหน้าเป็นครั้งแรก “ถ้าคนนี้ชื่อเวลา หนูก็ต้องชื่อปลาวาฬใช่ไหมครับ”

“ใช่ค่ะ หนูชื่อปลาวาฬค่ะ” เด็กหญิงทรัพย์สมุทรยิ้มร่าน่ามอง

“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับปลาวาฬ”

ขณะที่ปลาวาฬกำลังจะอ้าปากตอบรับคำชายหนุ่มตามมารยาท เด็กชายที่ตอนนี้เปลี่ยนอิริยาบทเป็นยืนนิ่ง ๆ ก็เอื้อมมือไปกระตุกชายเสื้อเพื่อนคล้ายให้สัญญาณจนเด็กหญิงเปลี่ยนใจหันมาบอกลาคเชนทร์ในที่สุด “ไปก่อนนะคะ”

“ไว้วันหลังเวลากับปลาวาฬกลับมาเล่นกับลูกพี่อีกสิครับ” เด็กหญิงยิ้มหวานพลางพยักหน้าตอบรับคำเชิญชวนของเจ้าของร้านดอกไม้ง่าย ๆ จากนั้นก็เดินจูงมือเพื่อนเดินผ่านหน้าร้านของชายหนุ่มไปอย่างเชื่องช้า
.
.
.
.
ยังไม่ทันเดินพ้นจากร้านดอกไม้ดี เด็กหญิงปลาวาฬก็หันไปคุยกับเพื่อนที่เดินข้าง ๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “พรุ่งนี้เราไปเล่นกับลูกพี่กันนะ”

ปลาวาฬไม่แปลกใจที่เพื่อนสนิทไม่พูดไม่จา เพราะสำหรับเด็กหญิงแล้ว แค่เวลายกมุมปากขึ้นเพียงเล็กน้อย เด็กหญิงก็รู้ว่าอีกฝ่ายตอบรับคำชวนเมื่อครู่เป็นที่เรียบร้อย


••• TBC ••


เนื้อหาตอนนี้อาจเน้นหนักเรื่องการทำงานไปสักหน่อย
แต่เพื่อให้ทุก ๆ คนได้เห็นพี่หนาวและทูครบทุก ๆ ด้าน
เราเลยจำเป็นต้องเขียนถึงอย่างช่วยไม่ได้
แต่สัญญาเลยว่าตอนนี้จะเริ่มมีความก้าวหน้าขึ้นบ้างแล้วค่ะ
ยังไงก็ขอให้ทุกคนติดตามกันไปเรื่อย ๆ นะคะ
หากอ่านแล้วอยากเม้าท์ หรืออยากติติงใด
อย่าลืมติดแท็ก #ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก กับ #คันหิม
แล้วเม้นท์ให้เต็มที่เลยนะคะ เราจะตามไปอ่าน อิอิ

No comments:

Post a Comment