#05
เห็นท่าที ไม่มีเล่ห์กล
เก็บความร้ายจนหดหายไม่เห็น
ซ่อนอะไร ข้างในที่เป็น
ซ่อนลายไว้คอยขย้ำใครเล่าเสือ
ออกลายมาเลย ออกลายให้เห็น
เผยที่เป็นว่าจะร้ายสักเท่าไหร่
ออกลายมาเลย ออกลายให้เห็น
เผยที่เป็นตัวจริงอันน่ากลัว
เสือ - ภัสสร บุญยเกียรติ
…………………………………………………………………………………………………………
ระหว่างที่ทีมผมกำลังง่วนกับการเตรียมตัวพรีเซนต์เดโมระบบอยู่นั้น
บุคคลไม่ได้รับเชิญก็ยื่นหน้าพ้นกรอบประตูห้องประชุมเข้ามาอย่างถือวิสาสะ “พี่ฟี่ครับ
ผมรอเมลคอนเฟิร์มดีเทลการลงบัญชีที่ HR จะโพสค่าใช้จ่ายไปหา FI อยู่นะครับ”
“เออ
ๆ พี่เห็นแล้ว”
พี่ฟี่ตอบลวก ๆ พลางยื่นยูเอสบีส่งให้ผม
ผมจึงถือโอกาสนั้นก้มหน้าก้มตารวบรวมไฟล์พรีเซนต์ของทุก ๆ ระบบย่อยเข้าไว้ด้วยกันเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียสายตากับยอดมนุษย์หน้าด้านตรงหน้าห้อง
“อย่าลืมผมนะพี่
ผมอยากแก้เนื้อหาพรีเซนต์ให้เสร็จก่อนเดโมวันจันทร์อ่ะ”
“เออ
ไว้เดี๋ยวเสร็จประชุมเมื่อไรแล้วพี่จะรีบดูให้เลย” เจ้าภาพตอบรับทันควันพลางโบกมือไล่คล้ายกับไม่อยากให้คู่สนทนาอ้อยอิ่งอยู่นาน
เห็นท่าทีห่างเหินของพี่ฟี่ที่มีต่อคอนซัลท์
FI แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าหลังเกิดเรื่องเมื่อวันนั้น
พี่จี๊ดคงกำชับพี่ฟี่ให้ช่วยดูแลผมด้วยอีกแรง อย่างไรก็ดี
ผมคิดว่าตอนนี้ไอ้พี่บูมน่าจะหลาบจำบ้างแล้วแหละ เพราะตั้งแต่โดนพี่จี๊ดคาดโทษ
มันก็ไม่เฉียดกรายเข้าใกล้ผมอีกเลย ถ้าไม่นับเรื่องเมื่อวานซืนล่ะก็นะ
“ขอบคุณครับ”
“หวัดดีครับสาว ๆ ” เสียงไม่คุ้นหูทำให้ผมละสายตาจากหน้าจอด้วยความสงสัย
อ้อ คราวนี้เป็นคุณไวท์เองหรอกเหรอ
“หวัดดีค่ะคุณไวท์”
ยูสเซอร์
FI โปรยยิ้มคืนให้พี่ฟี่ก่อนจะสะดุ้งเบา ๆ
แล้วแสร้งเล่นใหญ่ตกใจแรงมากเมื่อสบตากับผม “อุ๊ย โทษทีนะครับ พอดีผมลืมไปว่าคอนซัลท์ HR
มีหนุ่มหล่ออยู่ด้วยอีกตั้งคน”
โอ้โห
นี่พนักงานบริษัทหรือดารา
วัน ๆ คือนั่งโต๊ะทำงานหรือเอาแต่กระทำการแสดงครับคุณไวท์
“คุณไวท์ไปซื้อกาแฟมาเหรอคะ”
“ครับ กินไหม เดี๋ยวผมแบ่งให้” คุณไวท์พยักหน้ารับพร้อมชูแก้วกาแฟแล้วคลี่ยิ้มเชิญชวน
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“เตรียมพรีเซนต์กันอยู่เหรอครับเนี่ย”
“ค่ะ”
“ขอให้พรีเซนต์วันนี้ผ่านฉลุยนะครับ
ผมจะเอาใจช่วย”
“ขอบคุณค่ะ” จนถึงตอนนี้
พี่ฟี่ก็ยังไม่หยุดรับแขกแทนพวกเราอีกสองคน ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะตั้งแต่ประโยคเมื่อครู่หลุดออกมาจาปากคุณไวท์
ผมก็ได้เพิ่มรายชื่อยูสเซอร์ FI ลงไปในกลุ่ม ‘ผู้ไม่หวังดีและประสงค์ร้าย’ ตามหลังไอ้พี่บูมกับคุณเซียงไปติด ๆ
“คุณทูก็สู้ ๆ นะครับ
แต่ผมขอไม่อวยพรแล้วกัน เพราะต่อให้คุณทูจะพรีเซนต์ยังไงคุณหนาวก็ต้องชอบที่คุณทูพรีเซนต์อยู่แล้วแหละ
สุดที่รักทั้งคนจะใจร้ายใจดำได้ยังไงกันเนอะ” พูดจบคุณไวท์ก็หัวเราะเบา ๆ เหมือนไม่ได้คิดอะไร แต่ผมดันเหลือบไปเห็นสีหน้าพึงพอใจของไอ้พี่บูมหลังจากนั้น
ผมเลยยิ่งไม่รู้สึกผิดที่เหมารวมว่าสองคนนี้เป็นตัวอันตรายไม่ควรหลงไปเกลือกกลั้วด้วย
“ครับ” ผมเลิกสนใจละครลิงฉากตรงหน้าแล้วหันมาเร่งมือทำงานที่ค้างอยู่
“งั้นผมขอตัวนะครับ โชคดีนะครับสาว ๆ ”
“โหพี่ทู”
ความที่เมื่อกี้ใบหน้าของยีนส์พุ่งเฉียดแก้มผมไปนิดเดียว
ผมจึงต้องรีบผลักหัวกุมารีไปห่าง ๆ ไม่อย่างนั้นคงโดนสิงสู่ “อะไร”
“พี่แม่งโคตรอดทนเลยอ่ะ
เป็นหนูหน่อยไม่ได้” ผมซึ้งใจกับอาการเดือดเนื้อร้อนใจราวกับเป็นเรื่องของตัวเองของยีนส์นะ
แต่เพราะมั่นใจว่าเรื่องนี้จะต้องมีเงื่อนงำ ผมเลยไม่ยอมเพลี่ยงพล้ำหัวร้อนตามเกมของอดีตคนรักง่าย
ๆ
หนอย
หวังจะเห็นผมปรี๊ดแตกแล้วเหวี่ยงใส่ยูสเซอร์เหรอ ฝันไปเถอะ
ผมไม่ได้เพิ่งเกิดเมื่อวานแล้วก็ไม่ได้กินฟางกินหญ้าเป็นอาหารเสียหน่อย
“พูดมาก ออกไปเอาเอกสารมาจัดชุดได้แล้ว
เร็ว”
“ค่า” จูเนียร์รับคำอย่างเสียไม่ได้ก่อนจะเดินคอตกทำหน้ามุ่ยออกจากห้องประชุมไป
พอน้องไม่อยู่ผมก็หันไปจดจ่อกับงานในมือต่อ
“เราต้องอัดคลิปตอนพรีเซนต์เดโมให้ลูกค้าด้วยใช่ป่ะพี่”
“อืม อัดเสร็จแล้วแบ็คอัพใส่ใน archive
(คลังสำหรับเก็บข้อมูล)
ของยูสเซอร์ด้วยนะ
ตั้งโฟลเดอร์ใต้ HR ล่ะ อย่าลืม”
“ครับพี่”
“แต่พี่เห็นด้วยกับยีนส์มันนะทู” อยู่ ๆ พี่ฟี่ก็เปรยขึ้นโดยไม่เกริ่น
“หืม” ผมเลิกคิ้วมองหน้าแกงง ๆ พร้อมต่อประโยคในใจว่า ‘พี่พูดเรื่องอะไรของพี่วะ’
และความที่อีกฝ่ายคือพี่ฟี่
เมนเทอร์ที่เทรนผมมาตั้งแต่เริ่มหัดตั้งไข่ในวงการคอนซัลท์
มีหรือที่แกจะไม่เข้าใจสายตาเมื่อครู่ “ถึงเขาจะเป็นลูกค้า
แต่มาพูดจาไม่ไว้หน้ากันแบบนี้พี่ก็ไม่โอเคว่ะ”
ผมทำได้แค่ยิ้มรับโดยไม่ตอบคำ
เพราะแม้จะเป็นผู้ถูกกระทำ แต่หากผมตอกหน้ายูสเซอร์ตามอำเภอใจ
ฝ่ายที่จะเสียหายที่สุดคงหนีไม่พ้นพี่จี๊ด ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้นแน่
ๆ
••••••
“สำหรับการแก้ไขข้อมูลในส่วนนี้ HR
จะต้องคีย์รายละเอียดของคำร้องขอรับการฝึกอบรมตามเอกสารครับ” ผมกำลังจะคลิกเลื่อนสไลด์เข้าสู่เนื้อหาส่วนถัดไป
แต่อยู่ ๆ ท่าน HR Director ที่เข้าร่วมฟังพรีเซนต์ด้วยก็เคาะปลายปากกาลงกับโต๊ะเบา ๆ ก่อนเอ่ยเรียบ
ๆ
“เดี๋ยวนะ ผมขอเสียมารยาทถามอะไรหน่อย”
มาแล้ว
ของจริงมาอีกแล้ว คราวนี้ผมจะโดนอะไรนะ
เฮ่อ ทั้ง ๆ
ที่ฟาดเคราะห์กับคู่หู FI ไปตั้งแต่เช้าแท้ ๆ
แต่ทำไมบรรยากาศระหว่างการพรีเซนต์เดโมถึงได้แย่อย่างนี้ก็ไม่รู้
“เชิญครับ” ผมทำใจดีสู้เสือแล้วประสานสายตากับพี่หนาวในบทบาทผู้บริหารจอมเฮี้ยบที่คอยตั้งคำถามทุกครั้งที่ได้ยินประโยคไม่เข้าหู
“ทำไม HR ยังต้องคีย์รายละเอียดคำร้องเองด้วยล่ะ
จริง ๆ มันควรจะเป็นความรับผิดชอบของพนักงานแต่ละคนมากกว่า ผมเข้าใจถูกไหม”
ว่าแล้วเชียว
เมื่อกี้พี่ฟี่ก็โดนต้อนด้วยประเด็นเดียวกัน แต่ท่าน Director ขอรับ ถ้าว่ากันตามวงเงินที่คุณพันเลิศยอมจ่าย
พวกกระผมคงบันดาลระบบให้ท่านได้เท่าที่เพิ่งพรีเซนต์ไปนั่นแหละครับ
เมื่อนึกค่อนอีกฝ่ายจนพอใจ
ผมก็ค่อย ๆ เรียบเรียงคำพูดแล้วตอบข้อสงสัยด้วยความระมัดระวัง “จริง ๆ ระบบเราก็รองรับให้พนักงานทำอย่างที่คุณคิมหันต์ต้องการได้ครับ
เพียงแต่กระบวนการตรงนี้อาจยังไม่ครอบคลุมอยู่ภายใต้เงื่อนไขตามข้อตกลงของโปรเจค
อย่างไรในรายละเอียด ทาง Management
อาจต้องปรึกษากันอีกทีครับ”
“แล้วทำไมไม่ครอบคลุม
ในเมื่อเอกสาร TOR (ข้อกำหนดของผู้ว่าจ้าง)
ก็ระบุไว้ชัดเจน คุณได้อ่านหรือเปล่า” พูดจบ พี่หนาวก็เชิดหน้ามองกดดันผมด้วยสายตาประเมิน
โอ้โห นั่นปากคนหรือกรรไกร
ทำไมพี่ไม่เอามีดมากระซวกไส้ผมเลยล่ะครับ
“อ่านครับ” ผมเว้นวรรคสูดลมหายใจพลางปลุกปลอบตัวเองให้มีแก่ใจปั้นหน้ายิ้มแล้วตอบคำถามต่ออย่างมืออาชีพ
“แต่เท่าที่ทางทีมได้ศึกษามา จะมีบางหัวข้อของเอกสารที่ระบบไม่สามารถรองรับได้ครบถ้วน
อย่างไรก็ดี เราจะมีกระบวนการทางเลือกอื่น ๆ ให้พิจารณานะครับ”
“ทำไมจะต้องพิจารณาทางเลือกอื่นอีกล่ะ”
คนพูดจ้องหน้าผมด้วยสายตาดุดันจนผมชักไม่แน่ใจว่าเขากำลังพูดถึงงาน หรือกำลังเอาคืนที่ผมก่อสารพันปัญหาให้เขากันแน่
“ถ้าระบบคุณรองรับความต้องการของ HR ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราจะต้องมีระบบของคุณไปเพื่ออะไร”
อาจเพราะประโยคล่าสุดของพี่หนาวฟังคุ้นหูเอามาก
ๆ ผมจึงนึกขึ้นได้ว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมโดนยูสเซอร์วีนใส่
อันที่จริง แรงกว่านี้ผมก็เคยผ่านมาแล้ว
เพราะฉะนั้นการจะหงุดหงิดหรือผิดหวังเมื่อรู้ว่าขณะทำงาน พี่หนาวไม่ได้อบอุ่นอ่อนโยนเหมือนอย่างที่เผลอเข้าใจจึงเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์โดยแท้
เวลานี้พี่หนาวก็แค่กำลังปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทอย่างเต็มความสามารถในฐานะ
HR Director ดังนั้นตัวผมที่มีหน้าที่รับผิดชอบเป็นที่ปรึกษาระบบก็ควรสร้างความเข้าใจกับผู้มีอำนาจตัดสินใจตรงหน้าเพื่อการทำงานอันราบรื่นในอนาคตเช่นกัน
“เดี๋ยวหนาว มึงใจเย็นก่อน
อย่าดุคุณทูสิ”
คุณพันเลิศที่เข้าร่วมประชุมในฐานะผู้สังเกตการณ์แทรกขึ้นทันทีก่อนที่ท่าน HR
Director จะออกอาวุธชุดใหม่
“กูไม่ได้ดุ” พอสยบมนุษย์หัวโต๊ะสำเร็จ พี่หนาวก็หันมาจวกผมต่อโดยไม่ปรานี “ผมแค่อยากรู้ว่าระบบที่ว่านี่จะช่วยลดภาระของ
HR ได้ยังไง เพราะเท่าที่ฟังมา
นอกจากระบบเงินเดือนแล้ว ระบบงานอื่น ๆ แทบไม่ได้ช่วยให้ปริมาณงานของทีมลดลงเลย
เผลอ ๆ จะเยอะขึ้นด้วยซ้ำ”
พอวางเรื่องส่วนตัวลง
ผมก็อดรู้สึกเห็นใจพี่หนาวไม่ได้ เพราะเมื่อมองในมุมกลับ ข้อสังเกตของเขาสมเหตุสมผลมาก
สิ่งที่พวกผมนำเสนอในพรีเซนต์วันนี้
ไม่ครอบคลุมทุกความต้องการที่ระบุใน TOR หนำซ้ำยังไม่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระของยูสเซอร์จริง ๆ
แต่เพราะตัวเลขที่คุณพันเลิศยินดีจ่ายไม่สอดคล้องกับงบประมาณพี่จี๊ดพอใจ ฟังก์ชันไหนไม่จำเป็น
จึงถูกลดทอนหรือละไว้เพื่อที่ทั้งสองฝ่ายจะประนีประนอมกันได้ในท้ายที่สุด
อย่างไรก็ดี อีกเรื่องที่พี่หนาวยังไม่รู้
คือ ขอบเขตการเจรจาในส่วนนี้อยู่นอกเหนือหน้าที่ของคอนซัลท์มดงานอย่างพวกผม
“ถ้าอย่างนั้นฟี่ขอรับเรื่องไปปรึกษากับ
Project Manager ก่อนนะคะ”
พี่ฟี่รีบตัดจบก่อนที่ใครจะโดนสายตาคมกริบของพี่หนาวชำแหละจนถึงแก่ความตายไปเสียก่อน
“ฝากทีมคุณไปพิจารณาเรื่องนี้กับเรื่องที่
HR ยังต้องคีย์ใบลาในระบบ
TM ด้วยแล้วกัน
เพราะถ้าคุณทำตามความต้องการของผมไม่ได้ ผมก็อาจจะยกเลิกสัญญา” พูดจบ
เจ้าตัวก็ลุกพรวดขึ้นเหมือนเมื่อคราวที่ตอกหน้าไอ้พี่บูมจนหงายเงิบกลางโต๊ะอาหารเมื่อวันจันทร์
สรุปว่านี่คือท่าประจำที่พี่ใช้ออกฉากแบบเฉียบ ๆ ใช่ไหมครับ ผมจะได้จำไว้
“กูขอร้องล่ะหนาว
มึงอย่าเพิ่งอารมณ์เสีย นั่งคุยกันก่อน” เหมือนจะรู้ทางกันเป็นอย่างดี
เพราะคุณพันเลิศฉุดแขนของพี่หนาวเอาไว้ได้ทันท่วงทีจนโดนอีกฝ่ายชักสีหน้าใส่
“ยังต้องคุยอะไรอีก”
ท่านประธานที่ยังยื้อแขนของ
HR Director เอาไว้แน่นหันมาพยักเพยิดกับพวกผมกับยูสเซอร์ที่เหลือพลางรวบรัดรวดเร็ว
“เอางี้แล้วกันครับทุกคน ผมขอเลื่อนการพรีเซนต์เดโมของ HR ไปก่อน แล้วเดี๋ยวทางผมได้ข้อสรุปเมื่อไร
เราค่อยพรีเซนต์กันอีกที”
“ค่ะ” สิ้นเสียงตอบรับโดยพร้อมเพรียงกันของสมาชิกส่วนใหญ่
พวกเราก็รีบสลายตัวด้วยความว่องไวด้วยเห็นแก่สีหน้ากึ่งเร่งรัดกึ่งอ้อนวอนของคุณพันเลิศ
••••••
“ไอ้หนาว
มึงมีเหตุผลหน่อยดิวะ” ทันทีที่ภายในห้องประชุมเหลือเพียงตัวเขากับเพื่อนสนิท พันเลิศก็เปิดบทสนทนาอย่างอ่อนใจ
“มึงนั่นแหละไม่มีเหตุผล”
คิมหันต์เอ่ยห้วน ๆ เจ้าตัวนั่งกอดอกจ้องหน้าหุ้นส่วนเขม็งคล้ายตั้งตารอจังหวะสวนกลับที่เหมาะสม
“โธ่
เหตุผลของกูมึงก็รู้หมดแล้วนี่ หรือมึงจะเถียงว่าระบบเงินเดือนแบบใหม่ไม่ดี”
พันเลิศยกจุดแข็งของระบบงานเจ้าปัญหาขึ้นอ้างด้วยแน่ใจว่าคิมหันต์ไม่ได้บ้าเอาชนะจนมองข้ามเหตุผลสำคัญไปง่าย
ๆ HR บริษัทไหนจะไม่ชอบระบบที่เปลี่ยนเรื่องยุ่งยากอย่างเงินเดือนและการคำนวณภาษีให้กลายเป็นเรื่องขี้ผงในชั่วพริบตากันบ้างล่ะ
“กูไม่ได้มีปัญหากับระบบเงินเดือน”
แววตาแข็งกร้าวที่อ่อนลงของคู่สนทนาทำให้พันเลิศเริ่มใจชื้น
“แต่กูคิดว่าในระยะยาว ระบบของคุณจี๊ดจะช่วยให้ชีวิตมึงง่ายขึ้นนะเว่ย”
“แต่มึงก็ได้ยินไม่ใช่เหรอว่าระบบนั่นไม่ตอบโจทย์กู”
“ไม่ใช่ไม่ตอบโจทย์เว่ย
แค่ตอนนี้มันยังตอบโจทย์มึงทั้งหมดไม่ได้เท่านั้นเอง” พันเลิศลูบหน้าพลางสูดหายใจหนักหน่วง
“ตอนก่อนทำบริษัท
กูเคยบอกมึงว่าไงเซ็น”
“เฮ่อ”
พันเลิศทอดถอนใจอย่างยอมจำนน
“กูบอกว่า ถ้าพวกเราจะทำบริษัทจริง
ๆ กูก็อยากให้พนักงานทำงานกับเราด้วยความสุข”
“ซึ่งกูก็หาตัวช่วยใส่พานมากองตรงหน้ามึงแล้วไง”
พอเห็นเพื่อนอ้าปากจะแย้ง พันเลิศก็ชิงตัดหน้าทันที
“ก็มึงบอกกูเองไม่ใช่เหรอว่าส่วนที่ยุ่งที่สุดของ HR คือเงินเดือน” เขาไม่ได้หลับหูหลับตาเลือกระบบของอาทิมาเพียงเพราะความสิเน่หาเสียหน่อย
แต่เพราะสิ่งที่คิมหันต์ต้องการหมายถึงเงินอีกหลายล้านที่ต้องจ่ายไป
ซึ่งเมื่อลองวิเคราะห์ศักยภาพของพนักงานทั้งองค์กรอย่างถี่ถ้วนแล้ว
ตอนนี้ไม่เหมาะจะลงทุนจริง ๆ ดังนั้น พันเลิศจึงตัดระบบงานที่เพื่อนรักต้องการออกก่อนจะร่างสัญญาเพียงไม่นานโดยตัดสินใจไม่บอกเจ้าตัว
“แต่กูจะเห็นแก่เงินเดือนอย่างเดียวไม่ได้
เพราะถ้ากูยอมให้มึงเอาเงินหลายล้านไปแลกกับระบบที่ไม่ช่วยให้ชีวิตพวกเราดีขึ้น
กูก็ไม่ควรเป็นผู้ถือหุ้นอีกต่อไป” เจ้าของประโยคจ้องตาพันเลิศอย่างจริงจังคล้ายกำลังตอกย้ำเจตนารมณ์
แม้จุดยืนข้อนี้ของคิมหันต์จะเป็นเหตุผลที่พันเลิศตัดสินใจชักชวนอีกฝ่ายร่วมทำธุรกิจ
แต่บางครั้ง HR Director ผู้ยึดมั่นกับกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ก็รับมือยากจนท้อใจ
ยิ่งในมุมมองของนักลงทุนที่ต้องใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ให้คุ้มค่าที่สุดด้วยแล้ว
จึงมีบางครั้งที่พันเลิศจำเป็นต้องใช้วิธีพูดความจริงแค่บางส่วนเพื่อให้งานดำเนินต่อไปได้
“กูว่ามึงลองให้เวลาทางนั้นเขาแก้ปัญหาก่อนดีไหม
ระหว่างนี้กูจะไปคุยกับคุณจี๊ดอีกที กูสัญญาเลยว่ามึงจะได้ในสิ่งที่มึงต้องการโดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มแม้แต่บาทเดียว”
“มึงไม่ได้กำลังหลงผู้หญิงจนหน้ามืดใช่ไหมวะ”
“เปล่า” หากคู่สนทนาเป็นคนอื่น
การตอบโดยแทบไม่ต้องคิดอาจสะท้อนความจริงใจ แต่เมื่ออีกฝ่ายคือพันเลิศ
คิมหันต์ถึงกับหรี่ตามองหน้าเพื่อนอย่างระแวดระวัง และดูเหมือนพันเลิศเองก็รู้ตัวว่าครั้งนี้ตนไม่ได้รับความไว้วางใจ
“ที่กูขอให้มึงรอ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่คุณจี๊ด
แต่ทางเราเองก็ต้องการเวลาคิดเหมือนกัน”
“ยังไง”
พันเลิศยืดตัวนั่งหลังตรงขณะสบตาเพื่อนอย่างแน่วแน่
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบางพลางวนปลายนิ้วโป้งบนหลังมืออีกข้างที่สอดประสานกันอย่างใจเย็น
“ไหนมึงลองตอบกูซิว่าถ้าทีมคุณจี๊ดยอมทำระบบตามใจมึงทุกอย่าง แต่กลายเป็นว่า พวกเด็กในไลน์ผลิตดันคีย์ข้อมูลวันลาผิดพร้อมกันทีเดียว
อ่ะ เอาสักสิบเปอร์เซนต์ก็ได้ สมมติถ้าเด็กร้อยคนคีย์ข้อมูลผิดแล้ววันรุ่งขึ้นเสือกเป็นวันจ่ายเงินเดือน
มึงจะทำไง”
“... กู...” คิมหันต์นิ่งไป
ด้วยเพราะไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อน
“หนาว
มึงฟังกู” พันเลิศเน้นเสียง “นอกจากมึงต้องให้เวลาคอนซัลท์แล้ว มึงต้องให้เวลาเด็กของเราด้วย”
เขาผุดลุกขึ้นแล้วหมุนตัวเดินไปหยุดยืนกดริ้วมู่ลี่ลงพลางทอดสายตามองออกไปอย่างไร้จุดหมาย
“กูรู้ว่ามึงหวังดี แต่คนของเราก็ไม่ได้พร้อมถึงขั้นนั้นหรือเปล่าวะ”
คำถามดังกล่าวกระตุ้นให้คิมหันต์ต้องใคร่ครวญอย่างจริงจัง
ท่าทางสงบนิ่งดังกล่าวทำให้เจ้าของหุ้นรายใหญ่อย่างพันเลิศไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย
“เชื่อกู มึงกลับไปคุยกับลูกน้องมาก่อน ถ้าลูกน้องมึงแฮปปี้ที่ต้องคอยตอบคำถามจุกจิกเกี่ยวกับการใช้งานระบบตลอดทั้งวัน
ไหนจะต้องคอยแก้ข้อมูลที่พนักงานคนอื่นกรอกมาผิด ๆ กู-นี่-แหละ-ครับที่จะหักหาญน้ำใจคุณจี๊ดแล้วบันดาลทุกอย่างให้ลูกน้องมึงเอง”
“น่ามึง
ยอมกูเหอะนะหนาว กูหมดมุกแล้วเนี่ย” คนพูดชูมือยอมแพ้พลางยิ้มแหย ๆ อย่างหมดรูป
“หึ” แม้จะอดคิดไม่ได้ว่าพันเลิศกำลังถือหางอาทิมา
แต่เพราะรู้ว่าสัญชาตญาณด้านการลงทุนของเพื่อนคนนี้แม่นยำเสมอ
คิมหันต์จึงเริ่มคล้อยตามคำพูดของอีกฝ่ายโดยไม่ทันรู้ตัว “มึงรู้ตัวใช่ไหมว่ากับคนนี้
มึงถลำลึกกว่าใคร”
พันเลิศยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
“ถึงเวลาที่พ่อเสือจะถอดเขี้ยวเล็บแล้วเว่ยมึง”
“กูจะถือว่ากูเตือนมึงแล้วนะ”
คิมหันต์เอ่ยยิ้ม ๆ ขณะลุกขึ้นจัดสูทให้เข้าที่
“คุณจี๊ดคือความรักสำหรับกูเว่ย”
“ถามเขายังว่ารู้ตัวไหม”
สีหน้าเพ้อฝันเป็นหนุ่มน้อยริรักของเพื่อนสนิททำให้แม้แต่คนปากหนักยังอดสัพยอกไม่ได้
ฝ่ายพันเลิศผู้ถือคติเล่นกับเซ็น เซ็นเลียปากจึงสบช่องแซะท่าน HR Director หน้าตายกลับอย่างสมน้ำสมเนื้อ
“มึงดีกว่า
รู้ตัวเมื่อไรแจ๊ะ”
คิมหันต์ไม่สนใจสายตากรุ้มกริ่มล้อเลียนของหุ้นส่วนใหญ่
ชายหนุ่มหมุนตัวเดินออกจากห้องประชุมไปโดยไม่ทันรู้ว่าความสนุกของพันเลิศเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
••••••
“เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะเข้าไปคุยกับผู้บริหารของ
King’s Bev. อีกที”
ภาพพี่จี๊ดบนหน้าจอคอมของพี่ฟี่กำลังถอยรถออกจากซองจอดอย่างช้า ๆ
พลางสอดส่ายสายตาหาอะไรบางอย่างด้วยความตั้งใจ
“พรุ่งนี้พี่จี๊ดจะเข้าที่นี่เหรอ”
ผมกับยีนส์นั่งประกบพี่ฟี่กันคนละข้างพลางลุ้นให้เจ้านายขับรถอย่างปลอดภัย อันที่จริง
หากพี่ฟี่ไม่ทักแกเรื่องค่าที่จอดรถ ผมเดาว่ากว่าพี่จี๊ดจะเลิกคุยเรื่องงาน
แกคงทนนั่งอาบเหงื่อต่างน้ำหมกตัวอยู่ในรถร้อน ๆ อีกนานแน่ ๆ
“ใช่
พี่ไม่อยากปล่อยไว้นาน เดี๋ยวจะคุยยาก” อยู่ ๆ พี่จี๊ดก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“โทษทีนะฟี่ ถ้าวันนี้พี่อยู่ด้วย ฟี่กับพวกน้อง ๆ คงไม่ต้องเหนื่อยกันขนาดนี้”
“โอ๊ยพี่จี๊ด
คิดมาก พี่ออกไปขายงานก็เหนื่อยเหมือนกันน่ะแหละ”
ฟังคำพี่ฟี่แล้วผมก็พยักหน้าเสริมหงึกหงัก
ก็ไอ้การต้องขับรถตะลอน ๆ วิ่งรอกหางานไปพร้อม ๆ กับดูแลโปรเจคในมือแบบที่พี่จี๊ดทำน่ะลำบากน้อยเสียเมื่อไร
ยิ่งถ้าต้องทำทุกอย่างที่ว่ามาในไลฟ์สไตล์สุดประหยัดของแกด้วยแล้ว ผมว่าการตกเป็นเป้านิ่งให้ยูสเซอร์เล่นงานในห้องแอร์เย็น
ๆ คือสวรรค์ชัด ๆ
“ถ้าฟี่มีอะไรด่วนก็ส่งเมลแล้วโทรหาพี่
ส่วนเรื่องนี้ไว้เราค่อยคุยกันต่อพรุ่งนี้นะ ตอนนี้พี่ขอขับรถก่อน” ว่าแล้ว
พี่จี๊ดก็กดกระจกรถลงพลางยื่นบัตรลงตราประทับให้รปภ. ผมแอบกลั้นยิ้มตอนที่เห็นแกถอนหายใจแรงเมื่อรู้ว่าไม่ต้องจ่ายค่าที่จอดให้เสียอารมณ์
“ค่ะ ขับรถดี
ๆ นะพี่ เดี๋ยวไว้พรุ่งนี้คุยกัน”
“อย่ากลับบ้านกันดึกนักล่ะ
พี่ไม่มีโอทีให้นะ อย่าลืม” เจ้านายในหน้าจอโบกมือไหว ๆ พลางคลี่ยิ้มทิ้งท้าย
แต่แววตาคู่นั้นกลับเก็บซ่อนความเหน็ดเหนื่อยเอาไว้ไม่มิด
“ผมแก้เดโมรอเลยได้ป่ะพี่”
ที่สุดผมก็ได้เอนตัวพิงพนักเพื่อคลายเส้นเสียที พอเหยียดตัวจนพอใจผมก็ไถทั้งตัวเองและเก้าอี้ล้อเลื่อนกลับไปประจำที่ยังหน้าคอมพิวเตอร์ของตัวเอง
“อย่าเพิ่ง config
ระบบรอพี่จี๊ดไปพลาง
ๆ ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้เย็น ๆ ก็น่าจะรู้กันแล้วแหละว่าพวกเราต้องทำอะไรเพิ่มบ้าง” (หมายเหตุ: Configure หรือ Config (ภาษาปากฉบับคอนซัลท์) ออกแบบ ปรับแต่ง หรือสร้าง)
“โอเคพี่” ขณะที่ผมพยักหน้ารับรู้และรอให้คอมฯ
คืนชีพอยู่นั้น น้องเล็กประจำทีมก็ยู่หน้าพลางโอดครวญหวนไห้
“สรุปคือเราต้องทำงานเพิ่มจริง
ๆ เหรอคะพี่ฟี่”
“ก็คุณหนาวเล่นยื่นคำขาดมาแรงขนาดนี้
พวกเราจะทำอะไรได้ล่ะ” กลายเป็นว่าพี่ฟี่เองก็กำลังทำหน้าหนักใจไม่ต่างกับพี่จี๊ดเมื่อครู่
“แต่ก็ต้องลุ้นกันอีกทีแหละนะว่าพี่จี๊ดจะต่อรองได้มากน้อยแค่ไหน แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ
มา ๆ ทำงาน ๆ อีกครึ่งชั่วโมงก็ได้กลับบ้านกันแล้ว”
“พี่ทู ทำไมแฟนพี่ทูใจร้ายจังอ่ะคะ”
อยู่ ๆ ยีนส์ก็หันมาค้อนใส่ พอเห็นผมแสร้งตีหน้ามึนไม่สนใจ เด็กน้อยก็ทำปากอูด
“พี่ทูอ่ะ”
“ก็นี่มันเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวล่ะ”
พี่ฟี่เหมือนจะช่วย แต่ก็เปล่า “เดี๋ยวคืนนี้กลับไปสั่งสอนเลยนะทู
เรื่องนี้แกห้ามยอมเด็ดขาดนะเว่ย ไม่งั้นต่อไปจะปกครองกันยาก” ได้ข่าวว่าเราสองคนโสดเหมือน
ๆ กันไม่ใช่เหรอพี่ฟี่ แล้วอย่างนี้ผมควรจะเชื่อคำแนะนำของพี่ดีไหมเนี่ย
“อืม”
ผมยิ้มเจื่อนเพราะไม่รู้จะตอบพี่ฟี่อย่างไร
จังหวะที่กำลังจะใช้งานเป็นข้ออ้างบังหน้า เจ้ายีนส์กลับเสริมประเด็นของพี่ฟี่ให้ยิ่งบานปลายไปกันใหญ่
“ใช่ พี่ทู
คืนนี้แก้แค้นด้วยการปล่อยให้อดไปเลยนะ
แฟนพี่จะได้รู้เสียทีว่าใครกันแน่ที่เป็นคนกุมอำนาจสูงสุด”
“เดี๋ยว ๆ นี่กำลังเพ้ออะไรอยู่”
ผมมองหน้าน้องงง ๆ
“อ้าว
ก็พี่กับคุณหนาวไง” มาถึงตรงนี้ อยู่ดี ๆ ผิวหนังทุกอณูตั้งแต่ใบหน้าลามไปจนถึงลำคอของยีนส์ก็ฉาบด้วยสีแดงจัด
เจ้าเด็กน้อยมองหน้าผมเหนียม ๆ ก่อนจะพูดจาติด ๆ ขัด ๆ เหมือนคนติดอ่าง “พวกพี่ ไม่ได้
เอ่อ... ไม่ได้ มีอะไรกันบ่อย ๆ หรอกเหรอคะ”
คำถามของน้องทำผมผงะก่อนจะนั่งนิ่งเป็นเบื้อใบ้
กลายเป็นพี่ฟี่เสียอีกที่แหวใส่ยีนส์ด้วยเสียงแปดหลอด “บ้า! เป็นสาวเป็นนางมาถามอะไรผู้ชายแบบนี้” หัวหน้าทีมผมโวยวายพลางตบโต๊ะดังป้าบ
ๆ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้ายีนส์นั่งอยู่ในระยะที่แกเอื้อมถึง น้องจะน่วมแค่ไหน
“ว่าแต่ ใช่ป่ะทู แกซู่ซ่ากับคุณหนาวทุกที่ ทุกเวลา ทุกท่วงท่าจริงไหม”
“เฮ่ย เอาที่ไหนมาพูด”
ผมตีหน้ายักษ์ใส่สองสาวทั้ง ๆ ที่ในใจกำลังตื่นตูมเบอร์แรงสุด
นี่มันอะไรกัน
ทำไมอยู่ ๆ พี่ฟี่กับยีนส์ถึงถามผมเรื่องนี้
“ก็นี่ไง”
สองสาวชี้นิ้วโทษกันไปมา แต่แล้วพี่ฟี่ก็ใช้เสียงที่ดังกว่าเอาชนะน้องเล็กได้อย่างหวุดหวิด
“อย่ามา ยีนส์เล่าให้พี่ฟัง ลืมแล้วหรือไง”
ผมมองตัวการดุ
ๆ น้องเลยยิ้มแหย ๆ ก่อนจะปริปากเล่า “คืองี้พี่ทู เมื่อตอนบ่ายหนูไปเข้าห้องน้ำใช่ป่ะ”
“แล้ว?” ยีนส์มองหน้าผมสลับกับพี่ฟี่เหมือนไม่แน่ใจ
จนเมื่อโดนผมจิกตาใส่อีกรอบนั่นแหละถึงจะยอมเล่าต่อ
“แล้วหนูก็ได้ยินลูกค้าที่อยู่ข้างนอกเขาเม้าท์กันว่าเมื่อวานตอนเย็นมีคนเห็นพี่กับคุณหนาว...
เอ่อ บะโอ้บะกันในห้องประชุมสามอ่ะค่ะ”
“ฮะ? ว่าไงนะ”
บ้าไปแล้ว ใครมันเม้าท์แรงแบบนี้
“ตอนแรกคนนั้นเขาก็ยังไม่รู้หรอกว่าอะไรเป็นอะไร
แต่เพราะพวกพี่ทำกันเสียงดังมากจนเขาต้องเดินมาดู เลยทันเห็นคุณหนาวจูงมือพี่ออกมาจากห้องในสภาพที่ดูก็รู้ว่าเพิ่งทำอะไรกันมาอ่ะค่ะ”
เจ้ากรมข่าวลือประจำทีมทำหน้าสำนึกผิดได้อยู่สองวินาทีก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างใส่ผม “หนูก็เลยบอกให้พี่งดกิจกรรมเข้าจังหวะสั่งสอนคุณหนาวที่ทำตัวไม่ดีกับพี่วันนี้ยังไงล่ะคะ”
ผมเกือบจะหลุดปากด่าน้องเข้าให้แล้ว
ติดอยู่แค่ว่า โทรศัพท์สายกลางในห้องดันแผดเสียงขึ้นเสียก่อน แน่นอนว่าสายเรียกเข้าทำนองนี้
ปลายสายล้วนแล้วแต่เป็นลูกค้าต่อหมายเลขภายในเข้ามาทั้งนั้น พี่ฟี่จึงถลึงตาใส่พวกผมเร็ว
ๆ ก่อนจะยกหูรับสาย “สวัสดีค่ะ”
“อ๋อค่ะ
ได้ค่ะ” แกคลี่ยิ้มได้เพียงอึดใจก่อนจะทำสีหน้าไม่สู้ดี จากนั้นจึงหันมายื่นหูโทรศัพท์ให้ผม
“คุณแก้วจะคุยกับแก”
ผมชี้ตัวเองพลางนึกถาม
‘ผมเหรอพี่’ อยู่ในใจซึ่งพี่ฟี่เองก็กลอกตาทำหน้ารำคาญขณะตอบผมสั้น
ๆ ว่า ‘เออ’โดยไม่ออกเสียง ผมเลยต้องรีบลุกขึ้นมารับสายของเลขาท่านประธานอย่างเสียไม่ได้
“สวัสดีครับ”
“คุณทูติดงานอะไรอยู่หรือเปล่าคะ”
“เอ่อ ไม่ครับ”
“ถ้างั้นพอจะมีเวลาว่างสักสิบนาทีไหมคะ”
“ครับ”
“ดีเลยค่ะ”
“คุณแก้วมีอะไรให้ผมรับใช้หรือเปล่าครับ”
ที่ผมถามแบบนี้เพราะเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร หากเป็นเหมือนคุณโอ้เอ้ที่มักจะโทรมาขอให้พี่ฟี่ช่วยแก้ปัญหาคอมพิวเตอร์ทั่ว
ๆ ไปเพราะไอทีบริษัทนี้ไม่ค่อยเหลียวแล ผมจะได้เตรียมรับมือถูก
“ไม่ใช่แก้วหรอกค่ะ
พอดีบอสอยากเชิญคุณทูมาพบที่ห้องตอนนี้เลยค่ะ”
ฮะ ผมเนี่ยนะ?!
อีตาคุณพันเลิศจะอยากเจอผมทำไม?
แต่แม้จะสงสัยจนตาย
ผมกลับตอบคุณแก้วสั้น ๆ ได้เพียง “ครับ”
.
.
.
.
เมื่อเลขาท่านประทานเห็นผมในสายตา
คุณแก้วก็ลุกขึ้นมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มก่อนจะผายมือส่งผมให้เดินไปยังประตูคู่บานที่กั้นห้องทำงานของประธานบริษัทออกจากโลกวุ่นวายภายนอก
“เชิญค่ะ บอสรอคุณอยู่ด้านในค่ะ”
หลังเคาะประตูด้วยความไม่มั่นใจอยู่สองสามครั้ง
เสียงด้านในก็ดังลอดออกมาทันทีราวกับกำลังรอผมอยู่ “เชิญครับ”
แทนที่ประสบการณ์เท้าเข้าห้องทำงานของประธานบริหารบริษัทเครื่องดื่มชูกำลังสุดทันสมัยจะทำให้ผมประหม่า
กลับกลายว่าผมดันวางตัวไม่ถูกเพราะสายตาของแขกทั้งสองของคุณพันเลิศ
หนึ่งในนั้นคือพี่หนาวที่ทำหน้าหงิกกว่าเมื่อเช้าสามล้านเท่า
และอีกหนึ่งคือหญิงสาวหน้าตาสวยฟาดที่มาดดีพอ ๆ กับมาดามแป้ง
ผู้จัดการฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย
“คุณทูมาพอดีเลย
เชิญนั่งครับ เดี๋ยวผมจะแนะนำให้คุณรู้จักกั...” คุณพันเลิศพูดยังไม่ทันจบ
หญิงสาวเพียงคนเดียวในห้องที่นั่งเป็นนางพญาอยู่บนโซฟาสีงาช้างก็เอ่ยแทรกเสียงนุ่ม
“นี่เหรอแฟนใหม่เธอ
ฉันว่าเขาหล่อกว่าเธออีกนะ” หญิงสาวแปลกหน้าหันไปยกมุมปากใส่ท่าน HR
Director พลางส่งสายตายั่วยุ
พอเห็นพี่หนาวทำตาดุใส่เจ้าหล่อนก็หัวเราะเสียงใสก่อนจะหันมามองผมหัวจรดเท้า
จากนั้นจึงคลี่ยิ้มบาง ๆ ที่ผมเดาเจตนาเบื้องหลังไม่ได้ส่งมาให้ “สวัสดี
ฉันป๊อบปี้ เมียเก่าแฟนคุณ”
อ่า... และแล้วผมก็ได้เจอกับป๊อบปี้ตัวเป็น
ๆ
••••••
หลังจากชิมลางทดลองเปิดร้านก่อนกำหนดการจริงมาครึ่งวัน
คเชนทร์ก็ใช้เวลาช่วงบ่ายแก่ ๆ ที่เริ่มมีลูกค้าบางตาออกมายืนรอเจอหน้าเด็กชายในชุดนักเรียนเป็นเพื่อนลูกพี่
แปลกเหลือเกินที่วันนี้นอกจากแมวหน้ากากจะไม่หลบเข้าไปซ่อนตัวใต้ชั้นแล้ว
ยังมีเด็กผู้หญิงหน้าตาคมคายเดินนำหน้าเด็กชายในชุดเครื่องแบบเหมือน ๆ
กันมาที่ร้านของเขาเสียด้วย
วันนี้พาเพื่อนมาด้วยเหรอ?
แต่จะชวนกันมาแกล้งลูกพี่ไม่ได้นะ
สงสัยต้องคอยจับตาดูเด็กสองคนให้ดี ๆ เสียหน่อยแล้ว
เมื่อเห็นลูกพี่นอนกระดิกหากอยู่บนม้านั่งตัวย่อม
เด็กทั้งสองก็พากันนั่งยอง ๆ แล้วจับจ้องเจ้าเหมียวตาเป็นมัน ท่าทางน่าเอ็นดูของทั้งคู่ทำให้ผู้ใหญ่เพียงคนเดียวทนอยู่เฉย
ๆ ไม่ได้ “มันชื่อลูกพี่ครับ”
ชายหนุ่มแน่ใจว่าตนเองไม่ได้พูดเสียงเบา
หากแต่เด็กชายที่นั่งอยู่ใกล้กับเขามากกว่าไม่แม้กระทั่งจะเงยหน้าขึ้นมองกัน อย่างไรก็ดี
ท่าทีไม่อินังขังขอบของเด็ก ๆ กลับไม่ได้ทำให้คเชนทร์เสียกำลังใจ ด้วยเพราะเดิมทีเขาเผลอเข้าใจไปเองว่า
ผู้ปกครองสมัยนี้คงกำชับลูก ๆ ไม่ให้สนทนากับคนแปลกหน้า
“ชอบแมวเหรอครับ”
ถึงตอนนี้จะไม่ยอมคุยด้วยก็ไม่เป็นไร เรื่องชวนคุยเขาถนัดอยู่แล้ว
แต่แทนที่จะได้รับความเงียบเป็นคำตอบ
เด็กผู้หญิงที่ที่คเชนทร์ไม่เคยเห็นหน้ากลับเอ่ยออกมาด้วยเสียงดังกังวานเต็มเปี่ยมด้วยความมั่นอกมั่นใจ
“ปลาวาฬชอบหมามากกว่า แต่เวลาชอบแมว ปลาวาฬเลยชอบแมวเป็นเพื่อนเวลา”
“ปลาวาฬ? เวลา?”
เจ้าของร้านดอกไม้มองเด็กหญิงตัวน้อยงง ๆ โดยที่อีกฝ่ายเพียงพยักหน้ารับน้อย ๆ
ก่อนจะชี้มือไปที่เพื่อนของตน
“นี่เวลาค่ะ” คเชนทร์แอบอ่านชื่อจริงที่ปักอยู่ตรงอกเสื้อด้านซ้ายของเด็กชายเพราะอดสงสัยไม่ได้ว่าเด็กที่พ่อแม่ตั้งชื่อเล่นว่าเวลา
ควรมีชื่อจริงเช่นไร
เด็กชายกาลกมล
เวลากับหัวใจเหรอ หึ เข้าใจตั้งชื่อ
คเชนทร์คลี่ยิ้มให้เด็กชายกาลกมลด้วยความเต็มใจ
“สวัสดีครับเวลา ลุงชื่อเชน ส่วนเจ้าตัวนี้ชื่อลูกพี่ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” ทันทีที่ทักทายเด็กผู้ชายเสร็จ
ชายหนุ่มก็หันไปคุยกับเด็กหญิงตัวน้อยที่ตนเพิ่งพบหน้าเป็นครั้งแรก
“ถ้าคนนี้ชื่อเวลา หนูก็ต้องชื่อปลาวาฬใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ หนูชื่อปลาวาฬค่ะ”
เด็กหญิงทรัพย์สมุทรยิ้มร่าน่ามอง
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับปลาวาฬ”
ขณะที่ปลาวาฬกำลังจะอ้าปากตอบรับคำชายหนุ่มตามมารยาท
เด็กชายที่ตอนนี้เปลี่ยนอิริยาบทเป็นยืนนิ่ง ๆ ก็เอื้อมมือไปกระตุกชายเสื้อเพื่อนคล้ายให้สัญญาณจนเด็กหญิงเปลี่ยนใจหันมาบอกลาคเชนทร์ในที่สุด
“ไปก่อนนะคะ”
“ไว้วันหลังเวลากับปลาวาฬกลับมาเล่นกับลูกพี่อีกสิครับ”
เด็กหญิงยิ้มหวานพลางพยักหน้าตอบรับคำเชิญชวนของเจ้าของร้านดอกไม้ง่าย ๆ
จากนั้นก็เดินจูงมือเพื่อนเดินผ่านหน้าร้านของชายหนุ่มไปอย่างเชื่องช้า
.
.
.
.
ยังไม่ทันเดินพ้นจากร้านดอกไม้ดี
เด็กหญิงปลาวาฬก็หันไปคุยกับเพื่อนที่เดินข้าง ๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“พรุ่งนี้เราไปเล่นกับลูกพี่กันนะ”
ปลาวาฬไม่แปลกใจที่เพื่อนสนิทไม่พูดไม่จา
เพราะสำหรับเด็กหญิงแล้ว แค่เวลายกมุมปากขึ้นเพียงเล็กน้อย เด็กหญิงก็รู้ว่าอีกฝ่ายตอบรับคำชวนเมื่อครู่เป็นที่เรียบร้อย
••• TBC •••
เนื้อหาตอนนี้อาจเน้นหนักเรื่องการทำงานไปสักหน่อย
แต่เพื่อให้ทุก ๆ
คนได้เห็นพี่หนาวและทูครบทุก ๆ ด้าน
เราเลยจำเป็นต้องเขียนถึงอย่างช่วยไม่ได้
แต่สัญญาเลยว่าตอนนี้จะเริ่มมีความก้าวหน้าขึ้นบ้างแล้วค่ะ
ยังไงก็ขอให้ทุกคนติดตามกันไปเรื่อย
ๆ นะคะ
หากอ่านแล้วอยากเม้าท์
หรืออยากติติงใด
อย่าลืมติดแท็ก #ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก
กับ #คันหิม
แล้วเม้นท์ให้เต็มที่เลยนะคะ
เราจะตามไปอ่าน อิอิ
No comments:
Post a Comment