The 3rd Glance
“พี่เสือครับ”
“ว่าไงขลุ่ย?”
สิ้นเสียงเรียก สัตยาก็ตวัดสายตาขึ้นพินิจใบหน้าคู่สนทนานิ่งนานจนอีกฝ่ายเริ่มลุกลี้ลุกลน
แต่แทนที่จะเฉไฉ หรือแสร้งฉีกยิ้มแล้วพูดจากลบเกลื่อนเหมือนทุกที
เด็กหนุ่มตรงหน้ากลับสบตาเขาอย่างแน่วแน่พร้อมเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นตรงไปตรงมา
“ขลุ่ยชอบพี่เสือครับ”
“...” แม้ลึก
ๆ สัตยาจะพอรู้ว่าเพียงออรู้สึกอย่างไรกับตน แต่ชายหนุ่มกลับประเมินความกล้าของอีกฝ่ายต่ำไปถนัดใจ
ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ต้องยืนเบื้อใบ้เพราะมัวแต่คิดหาคำพูดปฏิเสธดี ๆ ที่จะถนอมน้ำใจคนฟังให้ได้มากที่สุดอยู่อย่างนี้
ว่ากันตามตรง ชายหนุ่มไม่เคยตั้งแง่รังแครังคัดเพียงออไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด
กระทั่งหลังจากเห็นสายตาเทิดทูนบูชาของอีกฝ่ายแปรเปลี่ยนเป็นรักใคร่เชิงชู้สาวในขวบปีหลัง
ๆ ทั้งที่รู้แบบนั้น ความรัก ความปรารถนาดีที่สัตยามีให้ขลุ่ยก็ไม่เคยลดลง หนำซ้ำยังเพิ่มพูนมากขึ้นทุกวัน
ๆ จนเขาเองยังลำบากใจ...
ถ้าเพียงแค่สัตยารักเพียงออมากกว่าน้องชาย
ถ้าการที่มีเพียงอออยู่ข้างกายจะทำให้ชายหนุ่มหวั่นไหว
ไม่เป็นตัวของตัวเอง หรือทำให้หัวใจเขาเต้นไม่เป็นส่ำได้เพียงสักครั้ง เรื่องทั้งหมดคงง่ายกว่าที่เป็นอยู่
“พี่เสือจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอครับ?”
“...”
จนป่านนี้ สัตยาก็ยังงมหาเสียงของตัวเองไม่เจอ กระนั้นคู่สนทนากลับอ่านสายตาและสีหน้าเคร่งเครียดของชายหนุ่มได้แตกฉานราวกับมานั่งอยู่กลางใจ
“ไม่เป็นไรครับ
พี่เสือไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ครับ ขลุ่ยเข้าใจแล้ว” เพียงออแค่นยิ้มทั้งน้ำตา ภายใต้ใบหน้าที่ปั้นแต่งความปกติสุขเอาไว้นั้น
ปรากฏร่องรอยของความร้าวรานเด่นชัดจนความรู้สึกผิดกัดกินหัวใจสัตยาเข้าอย่างจัง
“...พ...พี่...”
ภายในหัวของสัตยามีคำพูดต่อรองและประโยคชวนเชื่อเพื่อซื้อเวลามากมาย แต่เพียงออคงเจ็บปวดกว่านี้หากมารู้ทีหลังว่า
ชายหนุ่มสักแต่โกหกเอาตัวรอดไปวัน ๆ
“พี่เสือดูแลตัวเองดี
ๆ นะครับ ขลุ่ยไปก่อนนะ”
“ขลุ่ย! เดี๋ยวสิขลุ่ย!” ภาพแผ่นหลังของเพียงออที่ค่อย ๆ เลือนลางจางหายไปต่อหน้าต่อตาทำให้สัตยาสะดุ้งตื่นทันควัน
ชายหนุ่มยกสองมือขึ้นปิดหน้า หลับตา พลางระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะทบทวนถึงความฝันตอนใกล้รุ่งที่เพิ่งจบไป
วันนี้เป็นวันที่หกสิบห้า
หลังจากเพียงออหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แต่กลับเป็นครั้งแรกที่สัตยาฝันเห็นอีกฝ่ายในบริบทที่ไม่คุ้นเคย
เพราะเท่าที่ใช้เวลาร่วมชายคากันมาตลอดสองปี เด็กน้อยที่ครอบครัวของเขาช่วยรับอุปถัมภ์เอาไว้คนนี้กลับไม่เคยสารภาพความในใจซึ่ง
ๆ หน้า จะมีก็แต่ดวงตาสีน้ำตาลอมเขียวคู่นั้นที่เฝ้าตอกย้ำอยู่เสมอว่า สำหรับเพียงออแล้ว
สัตยาเป็นมากกว่าพี่ชาย
ระยะเวลากว่าสองเดือนกับการควานหาตัวขลุ่ยทั่วทุกตารางนิ้วในกรุงเทพฯ
ค่อย ๆ บั่นทอนจิตใจและความหวังของชายหนุ่มให้ยิ่งริบหรี่ หรือนี่จะเป็นเหตุผลที่ผลักดันให้จู่
ๆ เพียงออออกมาปรากฏตัวในความฝันของเขา?
เตียงไม้หลังใหญ่แผดเสียงประท้วงลั่นเมื่อผู้เป็นเจ้าของผุดลุกขึ้นนั่งกะทันหัน
สัตยากวาดตามองไปรอบ ๆ ห้องพลางคร่ำเคร่งครุ่นคิด การร่ำลาของเพียงออในความฝันเมื่อครู่
ทำให้ชายหนุ่มใจหาย... ทำไมนะ ทำไมตั้งแต่ลืมตา เขาถึงหยุดคิดไม่ได้เลยว่าเพียงออไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว?
“เฮ่อ!” สัตยาระบายความรู้สึกละอายใจและผิดบาปใส่ในมวลอากาศอย่างหนักหน่วงด้วยยังจำคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับยายของเพียงออได้ทุกคำ
ชายหนุ่มรับปากกับหญิงชราในช่วงสุดท้ายของชีวิตหล่อนว่า
เขาจะเป็นธุระดูแลขลุ่ยจนกว่าน้องจะยืนหยัดได้ ภายหลังจากที่ร่มโพธิ์ร่มไทรสุดท้ายของเพียงออสิ้นบุญไม่นาน
พ่อกับแม่ของสัตยาก็เป็นธุระอุ้มชูและรับอีกฝ่ายมาอยู่ด้วยกันตามความต้องการของเขา
กระนั้นเมื่อราว
ๆ สองปีก่อน ครอบครัวของสัตยากลับย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากควบคู่กับการบริหารกิจการร้านอาหารที่ซีแอตเทิล
จะมีก็แต่ลูกชายคนเล็กของบ้านอย่างเขาที่ยังคงยืนหยัด ปักหลักอยู่เมืองไทยด้วยความรักในหน้าที่การงาน
และความมุ่งมั่นที่จะสืบสานความฝันของยายขลุ่ยให้กลายเป็นจริง
อนิจจา แทนที่คำสัญญาที่สัตยาเคยให้ไว้กับหญิงชราจะผลิดอกออกผลในเร็ววัน
การตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวครั้งนั้นกลับบ่มเพาะความรักฉันท์ชู้สาวให้ยิ่งเติบใหญ่ก่อนจะอัดแน่นและแอบแฝงอยู่ในทุก
ๆ การกระทำของเพียงออ ด้วยเหตุนี้เอง คนโตกว่าจึงใช้เงื่อนไขของงานเป็นข้ออ้างบังหน้าแล้วลดทอนเวลาที่จะต้องใช้ร่วมกันให้ยิ่งน้อยลง
จากแรก ๆ ที่วันสองวันไม่เห็นหน้า นาน ๆ เข้าสัตยาก็หายตัวไปซุ่มจับพวกค้ายาเป็นอาทิตย์
ๆ ถึงอย่างนั้น ความรู้สึกของขลุ่ยกลับยิ่งรุนแรงและชัดเจนมากขึ้นทุกวัน ๆ
จนสัตยาเริ่มไม่กลับบ้านติดต่อกันนานหลายเดือน
จริงอยู่ที่การเว้นระยะห่างจะสร้างความสุขชั่วครั้งชั่วคราวแก่ชายหนุ่มได้
แต่ถ้าสัตยารู้สักนิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น เชื่อเถอะว่า เขานี่แหละที่จะยอมกล้ำกลืนฝืนทนความรู้สึกอึดอัดใจเพื่อแลกกับการที่เพียงออจะไม่ต้องหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ไม่ได้
มึงจะท้อไม่ได้นะเสือ
ถึงแม้การคว้าน้ำเหลวจะทำพัดพาตะกอนความวิตกให้ลอยคลุ้งจนใจขุ่น
แต่สุดท้าย สัตยาก็สามารถข่มความหวาดหวั่นเพราะความฝันไร้สาระลงได้ ชายหนุ่มรีบผละจากเตียงเพื่อไปทำธุระส่วนตัวอย่างว่องไวด้วยตั้งใจว่าจะเข้าไปติดตามผลการสืบสวนคดีจากตำรวจเจ้าของคดีผู้มีศักดิ์เป็นเพื่อนนักเรียนนายร้อยร่วมรุ่นที่สถานีเสียหน่อย
***********
เช้าวันนี้ก้องเกียรติมีเรียนแค่สองคาบ
เนื่องจากช่วงบ่ายพวกอาจารย์ บุคลากร และตัวแทนนักเรียนบางส่วนจะต้องซักซ้อมการเป็นเจ้าภาพการสัมมนาวิชาการที่จะจัดขึ้นในวันถัดไป
เด็กภาคเช้าอย่างพวกเขาจึงได้รับอนุญาตให้กลับบ้านก่อนเวลาเลิกเรียนตามปกติ กระนั้นการได้เฮโลออกจากโรงเรียนตอนใกล้เที่ยงกลับไม่น่าอิจฉามากเท่ากับความโชคดีของเด็กภาคบ่ายและค่ำที่ได้นอนตีพุงอยู่บ้านตลอดทั้งวันหลังจากการเรียนการสอนถูกระงับเป็นกรณีพิเศษ
“เทคเคนบ้านกูไหมมึง?”
“พรุ่งนี้นะมึง
วันนี้กูจะไปรับน้อง” ความมุ่งมั่นที่อยากจะเห็นน้องชายยิ้มหน้าบานเมื่อเห็นเขาไปยืนรอรับกลับบ้านตรงหน้าประตูโรงเรียนทำให้ก้องเกียรติใจแข็งพอที่จะปฏิเสธคำชวนไปดวลเกมของเพื่อนสนิทลงอย่างเด็ดขาด
หลังแยกกับเพื่อนตรงปากซอยหน้าบ้าน
เด็กหนุ่มก็เร่งเสียงเพลงของศิลปินวงโปรดให้ดังขึ้นอีกเท่าตัวเพื่อช่วยทำให้บรรยากาศการเดินทอดน่องเพียงลำพังกลางซอยเปลี่ยวไม่เงียบเหงาจนเกินไปนัก
“หึ หึ” จังหวะที่เจ้าตัวเดินผ่านพุ่มไม้ข้างทางดูคุ้นตา
ภาพความพยายามซ่อนตัวให้ลึกลับของน้องชายเมื่อเย็นวานก็ทำให้ก้องเกียรติมัวแต่ยิ้มขำจนไม่ทันสังเกตว่า
มีรถญี่ปุ่นทะเบียนไม่คุ้นตามาแฝงตัวจอดปะปนกับรถคันอื่นในซอยเพื่อรอคอยเขาโดยเฉพาะ
ซึ่งกว่าที่เด็กอาชีวะจะรู้ตัวว่าการเดินเข้าซอยครั้งนี้คือครั้งสุดท้าย ทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้ว
***********
ไม่เคยมีครั้งไหนที่เสียงเหรียญร่วงกราวหล่นกระทบก้นบาตร
เสียงเขย่าเซียมซี รวมถึงเสียงตีกลองเคาะระฆังดังระงมที่มาพร้อมกับกลิ่นควันธูปพ่วงไอระอุจากการจุดเทียน
เผาน้ำมันจะน่าอภิรมย์เท่าวันนี้ อังคารกระเตงถังเหลืองพร้อมเครื่องถวายใบใหญ่ที่สุดเท่าที่หาซื้อได้จากร้านสังฆภัณฑ์ในละแวกวัดเดินกวดไล่หลังกลุ่มคนที่น่าจะมีจุดมุ่งหมายเดียวกันเข้าศาลาไปอย่างงก
ๆ เงิ่น ๆ ก่อนจะเจาะจงเลือกนั่งรอเวลาถวายสังฆทานแก่หลวงพ่อตรงพื้นที่ว่างด้านหลังด้วยรู้สึกละอายใจที่หลงลืมบทถวายสังฆทานซึ่งเคยท่องตอนเรียนมอต้นไปหมดสิ้น
ไม่นานเกินรอ พิธีที่อังคารหมายมั่นจะพิชิตให้ได้ตั้งแต่ตกอยู่ในห้วงฝันร้ายก็เริ่มต้นขึ้น
เด็กหนุ่มจดจ่อกับทุก ๆ บทสวด ทุก ๆ กิจกรรมที่ล่วงผ่าน ยิ่งเมื่อการกรวดน้ำแผ่เมตตามาถึง
เด็กหนุ่มก็พยายามข่มความหวาดกลัว แล้วตั้งจิต ทำสมาธิระลึกถึงเจ้าของใบหน้าโชกเลือดที่เห็นเต็มสองตาเมื่อรุ่งสางพลางกล่าวคำขอขมา
จากนั้นจึงอวยพรให้อีกฝ่ายไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่าโดยไม่ลืมอ้อนวอนทิ้งท้ายให้เลิกแล้วต่อกัน
คงจะจริงอย่างที่เขาเล่าลือว่าการหันหน้าเข้าวัดช่วยปัดเป่าทุกข์โศกได้ราวกับปลิดทิ้ง
เพราะแม้เด็กหนุ่มจะใช้เวลาในเขตพัทธสีมาได้ไม่นาน อังคารกลับแทบไม่นึกถึงภาพเหตุการณ์สุดหลอนทั้งก่อนและหลังตื่นนอน
รวมถึงความฝันชวนสยองที่ขยายเวลาฉายต่อเนื่องมาจนถึงเก้าโมงกว่า ๆ อีกเลย...
รู้อย่างนี้มาทำบุญสะเดาะเคราะห์ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลเหมือนที่ยายสินบอกก็ดี
ต่อไป ถ้าวันไหนยายสินเกิดทำนายทายทักอะไรแปลก ๆ ขึ้นมาอีกล่ะก็ เขาสัญญาต่อหน้าหลวงพ่อเลยว่า
เขาจะไม่งกจนมองข้ามเรื่องการทำบุญเพื่อความสบายใจไปอีกแล้ว... เสียน้อยเสียยาก
เสียมากแท้ ๆ เชียว
สรุปความในใจได้เสร็จสรรพ
เด็กหนุ่มก็ทิ้งท้ายด้วยการยกมือขึ้นพนมเหนือหัวแล้วไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในที่นั้นแบบเหมารวม
ก่อนจะตบเท้าก้าวออกจากวัดอย่างกระฉับกระเฉงผิดจากสภาพง่อนแง่นก่อนถวายสังฆทานแบบลิบลับราวกับเป็นคนละคน
สภาพจิตใจอันปลอดโปร่งแจ่มใสทำให้อังคารนึกครึ้ม อยากจะเลี้ยงฉลองให้กับความสำเร็จในวันนี้
คิดได้ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงเดินตัวปลิวผิวปากมุ่งหน้าเข้าตลาดเพื่อหาซื้อข้าวปลาอาหารกลับไปกินกับหญิงชราข้างห้องโดยไม่ลังเล
ทว่าภายหลังจากอังคารหักเลี้ยวเข้าตลาดสด
โควต้าความสุขสงบอิ่มเอมใจก็หมดลงเดี๋ยวนั้น
ท่ามกลางผู้คนมากมายที่เดินสัญจรผ่านแผงสินค้าสด-แห้งทั้งสองฝั่ง อังคารกลับเห็นชายหนุ่มผิวขาวซีดเซียวคนหนึ่งยืนตระหง่านอยู่ตรงกลางทางเดินพร้อมกับจ้องเขม็งมองตรงมาที่เขาอย่างตั้งใจโดยที่ใครต่อใครพากันเดินผ่านเลยไปเฉย
ๆ ราวกับเขาผู้นั้นไร้ซึ่งตัวตน ทันทีที่สบตากัน ความหนาวยะเยือกก็แผ่ซ่านปกคลุมบรรยากาศโดยรอบจนเส้นขนทั่วร่างตั้งชัน
“...ไม่ จริง...”
อังคารพึมพำด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
จะเป็นไปได้ยังไง?!
ก็เมื่อกี๊เขาเพิ่งทำบุญแผ่ส่วนกุศลไปให้อยู่หลัด
ๆ นี่เอง
ทันทีที่ระลึกได้ว่าชายหนุ่มซูบซีดที่เห็นไกล
ๆ ไม่ใช่คน เลือดสด ๆ ก็พุ่งทะลักออกจากดวงตาคู่นั้นคล้ายน้ำผุด ของเหลวสีชาดไหลอาบร่างซีดจางแล้วหลั่งรินรดลงพื้นราวกับน้ำตกโลหิตที่มีปลายทางสิ้นสุดเป็นจุดที่อังคารยืนอยู่
และแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าตนได้ตกเป็นเป้านิ่งของวิญญาณไปเสียแล้ว แต่เพราะจู่ ๆ ขาทั้งสองข้างกลับหนักอึ้งราวกับถูกมือล่องหนยื้อยุดฉุดไว้
อังคารจึงทำได้แค่ยืนทื่อ อ้าปาก ตาค้างอย่างหวาดหวั่นเท่านั้น
ช่วยด้วย!
ใครก็ได้ช่วยไอ้เพียรด้วย!!
อังคารกรีดร้องในใจเมื่อลำธารเลือดที่หลากมากองท่วมรองเท้ากำลังค่อย
ๆ คืบคลานต้านแรงดึงดูดขึ้นมาตามเนื้อตัวของเขาอย่างรวดเร็ว กลิ่นเหม็นเน่าชวนขย้อนทำให้เด็กหนุ่มกลั้นน้ำตาแทบไม่ไหว
และก่อนที่อังคารจะหวาดกลัวจนเสียสติ สายโลหิตที่ไต่ยุ่บยั่บตามตัวเหล่านั้นก็พากันไหลบ่าเข้าท่วมดวงตาของเขา
ก่อนจะแหวกว่าย ซอกซอนผ่านเปลือกตาเข้าสู่ภายในโดยไม่ขาดสายคล้ายแร้งกระหายซากศพ
“...อึก!...” ความรู้สึกสะอิดสะเอียนหยอกล้อเด็กหนุ่มอยู่เพียงชั่วอึดใจ
จากนั้นกลิ่นน่าคลื่นเหียนกับฉากบังตาสีเลือดที่สกัดกั้นการมองเห็นก็อันตรธานไปทันที
เมื่อปลอดจากภัยคุกคามไร้ตัวตน
อังคารก็พบว่าตนเองตกอยู่ในฐานะของผู้ชมที่ต้องเฝ้าสังเกตการณ์เรื่องราวบางอย่างด้วยความจำใจอีกครั้ง
โชคดีที่คราวนี้สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าไม่ใช่การชำแหละเพื่อนร่วมโลกเหมือนเมื่อวาน
กระนั้นความไม่ชอบมาพากลของสถานการณ์ก็ทำให้อังคารรู้สึกอึดอัดจนสูดลมหายใจได้ไม่ทั่วท้อง
สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอังคารในขณะนี้
เป็นภาพเคลื่อนไหวที่จับจ้องผู้ชายคนหนึ่งในชุดคล้ายนักศึกษา เขาคนนั้นนอนขดตัวไม่ไหวติงอยู่ในพื้นที่แคบ
ๆ โดยบนใบหน้ามีแถบผ้าพาดปิดทับดวงตากับริมฝีปาก สภาพแน่นิ่งและสมยอมจนดูผิดปกติของผู้ชายคนนั้นทำให้อังคารอดคิดไม่ได้ว่า
ชายหนุ่มตรงหน้าน่าจะหมดสติหรือกำลังหลับลึกแบบสุด ๆ
ไม่อย่างนั้นเจ้าตัวคงไม่ยอมให้ฝ่ามือปริศนาใช้เชือกมัดมือและเท้าทั้งสองติดกันโดยไม่ขัดขืนแน่
ๆ
แต่แล้วเมื่อกรอบการมองเห็นของอังคารกว้างขึ้น
เด็กหนุ่มก็ตระหนักว่า พื้นที่แคบ ๆ ที่โอบล้อมชายผู้นั้นเอาไว้ แท้จริงแล้ว คือ ที่ว่างภายในฝากระโปรงด้านท้ายของรถยนต์คันหนึ่งเท่านั้น
ทว่าก่อนที่ผู้ชมจำเป็นจะกวาดตามองเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับเหยื่อที่ถูกมัดได้ทั้งหมด
จู่ ๆ ภาพตรงหน้ากลับค่อย ๆ ริบหรี่เหมือนมีใครค่อย ๆ ลดแสงของไฟเพดานลงอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ใครแม่งดับไฟวะ?!
จังหวะที่อังคารกำลังหัวเสียเพราะสายตายังไม่ทันปรับอยู่นั้นเอง
เด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงแหบห้าวไม่คุ้นหูเพรียกดังมาจากที่ไกล ๆ คล้ายคลื่นแทรก
“...เฮ่ย!...”
เสียงใคร?!
แม้จะสงสัยถึงที่มาของเสียงปริศนา
แต่อังคารกลับรู้สึกยินดีที่ได้ฟังเสียงนั้นขึ้นมาจับใจ เพราะทันทีที่มันดังขึ้น
เด็กหนุ่มก็รู้สึกราวกับคนงัวเงียกำลังนอนถ่วงเวลารอเสียงนาฬิกาปลุกสุดท้าย
อะไรบางอย่างบอกเขาว่าอีกไม่นาน เขากำลังจะเป็นอิสระจากที่แห่งนี้
อีกไม่นานอังคารก็จะตื่นขึ้นอีกครั้ง
รู้ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงอาศัยโอกาสที่ยังพอมีเหลือกับความสามารถในการมองเห็นที่ค่อย
ๆ ฟื้นคืน กวาดตามองไปรอบ ๆ พร้อมกับจดจำภาพสุดท้ายตรงหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนจะปล่อยตัวเองให้ล่องลอยไปตามเสียงร้องเรียกอย่างตกอกตกใจของใครสักคน
“...ไอ้หนู!...”
*****|| TBC ||*****
เราแก้ตัวด้วยการลงตอนใหม่ก่อนพระอาทิตย์ตกค่ะ
เชื่อว่าการอ่านตอนนี้ช่วงผีตากผ้าอ้อม
น่าจะดีกว่าตอนดึก ๆ เนอะ (ใช่หรอ?)
ชอบไม่ชอบยังไง
ฝากข้อความแทนใจไว้ให้เราชื่นชมหน่อยนะคะ ^^
No comments:
Post a Comment