Wednesday, July 19, 2017

ODD EYE ตาย ตา ตื่น : 3rd Glance ||19.07.17

The 3rd Glance


“พี่เสือครับ”

“ว่าไงขลุ่ย?” สิ้นเสียงเรียก สัตยาก็ตวัดสายตาขึ้นพินิจใบหน้าคู่สนทนานิ่งนานจนอีกฝ่ายเริ่มลุกลี้ลุกลน แต่แทนที่จะเฉไฉ หรือแสร้งฉีกยิ้มแล้วพูดจากลบเกลื่อนเหมือนทุกที เด็กหนุ่มตรงหน้ากลับสบตาเขาอย่างแน่วแน่พร้อมเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นตรงไปตรงมา

“ขลุ่ยชอบพี่เสือครับ”

“...” แม้ลึก ๆ สัตยาจะพอรู้ว่าเพียงออรู้สึกอย่างไรกับตน แต่ชายหนุ่มกลับประเมินความกล้าของอีกฝ่ายต่ำไปถนัดใจ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ต้องยืนเบื้อใบ้เพราะมัวแต่คิดหาคำพูดปฏิเสธดี ๆ ที่จะถนอมน้ำใจคนฟังให้ได้มากที่สุดอยู่อย่างนี้

ว่ากันตามตรง ชายหนุ่มไม่เคยตั้งแง่รังแครังคัดเพียงออไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด กระทั่งหลังจากเห็นสายตาเทิดทูนบูชาของอีกฝ่ายแปรเปลี่ยนเป็นรักใคร่เชิงชู้สาวในขวบปีหลัง ๆ ทั้งที่รู้แบบนั้น ความรัก ความปรารถนาดีที่สัตยามีให้ขลุ่ยก็ไม่เคยลดลง หนำซ้ำยังเพิ่มพูนมากขึ้นทุกวัน ๆ จนเขาเองยังลำบากใจ...

ถ้าเพียงแค่สัตยารักเพียงออมากกว่าน้องชาย
ถ้าการที่มีเพียงอออยู่ข้างกายจะทำให้ชายหนุ่มหวั่นไหว ไม่เป็นตัวของตัวเอง หรือทำให้หัวใจเขาเต้นไม่เป็นส่ำได้เพียงสักครั้ง เรื่องทั้งหมดคงง่ายกว่าที่เป็นอยู่

“พี่เสือจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอครับ?”

“...” จนป่านนี้ สัตยาก็ยังงมหาเสียงของตัวเองไม่เจอ กระนั้นคู่สนทนากลับอ่านสายตาและสีหน้าเคร่งเครียดของชายหนุ่มได้แตกฉานราวกับมานั่งอยู่กลางใจ

“ไม่เป็นไรครับ พี่เสือไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ครับ ขลุ่ยเข้าใจแล้ว” เพียงออแค่นยิ้มทั้งน้ำตา ภายใต้ใบหน้าที่ปั้นแต่งความปกติสุขเอาไว้นั้น ปรากฏร่องรอยของความร้าวรานเด่นชัดจนความรู้สึกผิดกัดกินหัวใจสัตยาเข้าอย่างจัง

“...พ...พี่...” ภายในหัวของสัตยามีคำพูดต่อรองและประโยคชวนเชื่อเพื่อซื้อเวลามากมาย แต่เพียงออคงเจ็บปวดกว่านี้หากมารู้ทีหลังว่า ชายหนุ่มสักแต่โกหกเอาตัวรอดไปวัน ๆ

“พี่เสือดูแลตัวเองดี ๆ นะครับ ขลุ่ยไปก่อนนะ”

“ขลุ่ย! เดี๋ยวสิขลุ่ย!” ภาพแผ่นหลังของเพียงออที่ค่อย ๆ เลือนลางจางหายไปต่อหน้าต่อตาทำให้สัตยาสะดุ้งตื่นทันควัน ชายหนุ่มยกสองมือขึ้นปิดหน้า หลับตา พลางระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะทบทวนถึงความฝันตอนใกล้รุ่งที่เพิ่งจบไป

วันนี้เป็นวันที่หกสิบห้า หลังจากเพียงออหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แต่กลับเป็นครั้งแรกที่สัตยาฝันเห็นอีกฝ่ายในบริบทที่ไม่คุ้นเคย เพราะเท่าที่ใช้เวลาร่วมชายคากันมาตลอดสองปี เด็กน้อยที่ครอบครัวของเขาช่วยรับอุปถัมภ์เอาไว้คนนี้กลับไม่เคยสารภาพความในใจซึ่ง ๆ หน้า จะมีก็แต่ดวงตาสีน้ำตาลอมเขียวคู่นั้นที่เฝ้าตอกย้ำอยู่เสมอว่า สำหรับเพียงออแล้ว สัตยาเป็นมากกว่าพี่ชาย

ระยะเวลากว่าสองเดือนกับการควานหาตัวขลุ่ยทั่วทุกตารางนิ้วในกรุงเทพฯ ค่อย ๆ บั่นทอนจิตใจและความหวังของชายหนุ่มให้ยิ่งริบหรี่ หรือนี่จะเป็นเหตุผลที่ผลักดันให้จู่ ๆ เพียงออออกมาปรากฏตัวในความฝันของเขา?

เตียงไม้หลังใหญ่แผดเสียงประท้วงลั่นเมื่อผู้เป็นเจ้าของผุดลุกขึ้นนั่งกะทันหัน สัตยากวาดตามองไปรอบ ๆ ห้องพลางคร่ำเคร่งครุ่นคิด การร่ำลาของเพียงออในความฝันเมื่อครู่ ทำให้ชายหนุ่มใจหาย... ทำไมนะ ทำไมตั้งแต่ลืมตา เขาถึงหยุดคิดไม่ได้เลยว่าเพียงออไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว?

“เฮ่อ!” สัตยาระบายความรู้สึกละอายใจและผิดบาปใส่ในมวลอากาศอย่างหนักหน่วงด้วยยังจำคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับยายของเพียงออได้ทุกคำ

ชายหนุ่มรับปากกับหญิงชราในช่วงสุดท้ายของชีวิตหล่อนว่า เขาจะเป็นธุระดูแลขลุ่ยจนกว่าน้องจะยืนหยัดได้ ภายหลังจากที่ร่มโพธิ์ร่มไทรสุดท้ายของเพียงออสิ้นบุญไม่นาน พ่อกับแม่ของสัตยาก็เป็นธุระอุ้มชูและรับอีกฝ่ายมาอยู่ด้วยกันตามความต้องการของเขา

กระนั้นเมื่อราว ๆ สองปีก่อน ครอบครัวของสัตยากลับย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากควบคู่กับการบริหารกิจการร้านอาหารที่ซีแอตเทิล จะมีก็แต่ลูกชายคนเล็กของบ้านอย่างเขาที่ยังคงยืนหยัด ปักหลักอยู่เมืองไทยด้วยความรักในหน้าที่การงาน และความมุ่งมั่นที่จะสืบสานความฝันของยายขลุ่ยให้กลายเป็นจริง

อนิจจา แทนที่คำสัญญาที่สัตยาเคยให้ไว้กับหญิงชราจะผลิดอกออกผลในเร็ววัน การตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวครั้งนั้นกลับบ่มเพาะความรักฉันท์ชู้สาวให้ยิ่งเติบใหญ่ก่อนจะอัดแน่นและแอบแฝงอยู่ในทุก ๆ การกระทำของเพียงออ ด้วยเหตุนี้เอง คนโตกว่าจึงใช้เงื่อนไขของงานเป็นข้ออ้างบังหน้าแล้วลดทอนเวลาที่จะต้องใช้ร่วมกันให้ยิ่งน้อยลง จากแรก ๆ ที่วันสองวันไม่เห็นหน้า นาน ๆ เข้าสัตยาก็หายตัวไปซุ่มจับพวกค้ายาเป็นอาทิตย์ ๆ ถึงอย่างนั้น ความรู้สึกของขลุ่ยกลับยิ่งรุนแรงและชัดเจนมากขึ้นทุกวัน ๆ จนสัตยาเริ่มไม่กลับบ้านติดต่อกันนานหลายเดือน

จริงอยู่ที่การเว้นระยะห่างจะสร้างความสุขชั่วครั้งชั่วคราวแก่ชายหนุ่มได้ แต่ถ้าสัตยารู้สักนิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น เชื่อเถอะว่า เขานี่แหละที่จะยอมกล้ำกลืนฝืนทนความรู้สึกอึดอัดใจเพื่อแลกกับการที่เพียงออจะไม่ต้องหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ไม่ได้ มึงจะท้อไม่ได้นะเสือ

ถึงแม้การคว้าน้ำเหลวจะทำพัดพาตะกอนความวิตกให้ลอยคลุ้งจนใจขุ่น แต่สุดท้าย สัตยาก็สามารถข่มความหวาดหวั่นเพราะความฝันไร้สาระลงได้ ชายหนุ่มรีบผละจากเตียงเพื่อไปทำธุระส่วนตัวอย่างว่องไวด้วยตั้งใจว่าจะเข้าไปติดตามผลการสืบสวนคดีจากตำรวจเจ้าของคดีผู้มีศักดิ์เป็นเพื่อนนักเรียนนายร้อยร่วมรุ่นที่สถานีเสียหน่อย  

***********

เช้าวันนี้ก้องเกียรติมีเรียนแค่สองคาบ เนื่องจากช่วงบ่ายพวกอาจารย์ บุคลากร และตัวแทนนักเรียนบางส่วนจะต้องซักซ้อมการเป็นเจ้าภาพการสัมมนาวิชาการที่จะจัดขึ้นในวันถัดไป เด็กภาคเช้าอย่างพวกเขาจึงได้รับอนุญาตให้กลับบ้านก่อนเวลาเลิกเรียนตามปกติ กระนั้นการได้เฮโลออกจากโรงเรียนตอนใกล้เที่ยงกลับไม่น่าอิจฉามากเท่ากับความโชคดีของเด็กภาคบ่ายและค่ำที่ได้นอนตีพุงอยู่บ้านตลอดทั้งวันหลังจากการเรียนการสอนถูกระงับเป็นกรณีพิเศษ

“เทคเคนบ้านกูไหมมึง?”

“พรุ่งนี้นะมึง วันนี้กูจะไปรับน้อง” ความมุ่งมั่นที่อยากจะเห็นน้องชายยิ้มหน้าบานเมื่อเห็นเขาไปยืนรอรับกลับบ้านตรงหน้าประตูโรงเรียนทำให้ก้องเกียรติใจแข็งพอที่จะปฏิเสธคำชวนไปดวลเกมของเพื่อนสนิทลงอย่างเด็ดขาด

หลังแยกกับเพื่อนตรงปากซอยหน้าบ้าน เด็กหนุ่มก็เร่งเสียงเพลงของศิลปินวงโปรดให้ดังขึ้นอีกเท่าตัวเพื่อช่วยทำให้บรรยากาศการเดินทอดน่องเพียงลำพังกลางซอยเปลี่ยวไม่เงียบเหงาจนเกินไปนัก

“หึ หึ” จังหวะที่เจ้าตัวเดินผ่านพุ่มไม้ข้างทางดูคุ้นตา ภาพความพยายามซ่อนตัวให้ลึกลับของน้องชายเมื่อเย็นวานก็ทำให้ก้องเกียรติมัวแต่ยิ้มขำจนไม่ทันสังเกตว่า มีรถญี่ปุ่นทะเบียนไม่คุ้นตามาแฝงตัวจอดปะปนกับรถคันอื่นในซอยเพื่อรอคอยเขาโดยเฉพาะ ซึ่งกว่าที่เด็กอาชีวะจะรู้ตัวว่าการเดินเข้าซอยครั้งนี้คือครั้งสุดท้าย ทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้ว

***********

ไม่เคยมีครั้งไหนที่เสียงเหรียญร่วงกราวหล่นกระทบก้นบาตร เสียงเขย่าเซียมซี รวมถึงเสียงตีกลองเคาะระฆังดังระงมที่มาพร้อมกับกลิ่นควันธูปพ่วงไอระอุจากการจุดเทียน เผาน้ำมันจะน่าอภิรมย์เท่าวันนี้ อังคารกระเตงถังเหลืองพร้อมเครื่องถวายใบใหญ่ที่สุดเท่าที่หาซื้อได้จากร้านสังฆภัณฑ์ในละแวกวัดเดินกวดไล่หลังกลุ่มคนที่น่าจะมีจุดมุ่งหมายเดียวกันเข้าศาลาไปอย่างงก ๆ เงิ่น ๆ ก่อนจะเจาะจงเลือกนั่งรอเวลาถวายสังฆทานแก่หลวงพ่อตรงพื้นที่ว่างด้านหลังด้วยรู้สึกละอายใจที่หลงลืมบทถวายสังฆทานซึ่งเคยท่องตอนเรียนมอต้นไปหมดสิ้น

ไม่นานเกินรอ พิธีที่อังคารหมายมั่นจะพิชิตให้ได้ตั้งแต่ตกอยู่ในห้วงฝันร้ายก็เริ่มต้นขึ้น เด็กหนุ่มจดจ่อกับทุก ๆ บทสวด ทุก ๆ กิจกรรมที่ล่วงผ่าน ยิ่งเมื่อการกรวดน้ำแผ่เมตตามาถึง เด็กหนุ่มก็พยายามข่มความหวาดกลัว แล้วตั้งจิต ทำสมาธิระลึกถึงเจ้าของใบหน้าโชกเลือดที่เห็นเต็มสองตาเมื่อรุ่งสางพลางกล่าวคำขอขมา จากนั้นจึงอวยพรให้อีกฝ่ายไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่าโดยไม่ลืมอ้อนวอนทิ้งท้ายให้เลิกแล้วต่อกัน    

คงจะจริงอย่างที่เขาเล่าลือว่าการหันหน้าเข้าวัดช่วยปัดเป่าทุกข์โศกได้ราวกับปลิดทิ้ง เพราะแม้เด็กหนุ่มจะใช้เวลาในเขตพัทธสีมาได้ไม่นาน อังคารกลับแทบไม่นึกถึงภาพเหตุการณ์สุดหลอนทั้งก่อนและหลังตื่นนอน รวมถึงความฝันชวนสยองที่ขยายเวลาฉายต่อเนื่องมาจนถึงเก้าโมงกว่า ๆ อีกเลย...  

รู้อย่างนี้มาทำบุญสะเดาะเคราะห์ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลเหมือนที่ยายสินบอกก็ดี ต่อไป ถ้าวันไหนยายสินเกิดทำนายทายทักอะไรแปลก ๆ ขึ้นมาอีกล่ะก็ เขาสัญญาต่อหน้าหลวงพ่อเลยว่า เขาจะไม่งกจนมองข้ามเรื่องการทำบุญเพื่อความสบายใจไปอีกแล้ว... เสียน้อยเสียยาก เสียมากแท้ ๆ เชียว  

สรุปความในใจได้เสร็จสรรพ เด็กหนุ่มก็ทิ้งท้ายด้วยการยกมือขึ้นพนมเหนือหัวแล้วไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในที่นั้นแบบเหมารวม ก่อนจะตบเท้าก้าวออกจากวัดอย่างกระฉับกระเฉงผิดจากสภาพง่อนแง่นก่อนถวายสังฆทานแบบลิบลับราวกับเป็นคนละคน สภาพจิตใจอันปลอดโปร่งแจ่มใสทำให้อังคารนึกครึ้ม อยากจะเลี้ยงฉลองให้กับความสำเร็จในวันนี้ คิดได้ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงเดินตัวปลิวผิวปากมุ่งหน้าเข้าตลาดเพื่อหาซื้อข้าวปลาอาหารกลับไปกินกับหญิงชราข้างห้องโดยไม่ลังเล

ทว่าภายหลังจากอังคารหักเลี้ยวเข้าตลาดสด โควต้าความสุขสงบอิ่มเอมใจก็หมดลงเดี๋ยวนั้น  

ท่ามกลางผู้คนมากมายที่เดินสัญจรผ่านแผงสินค้าสด-แห้งทั้งสองฝั่ง อังคารกลับเห็นชายหนุ่มผิวขาวซีดเซียวคนหนึ่งยืนตระหง่านอยู่ตรงกลางทางเดินพร้อมกับจ้องเขม็งมองตรงมาที่เขาอย่างตั้งใจโดยที่ใครต่อใครพากันเดินผ่านเลยไปเฉย ๆ ราวกับเขาผู้นั้นไร้ซึ่งตัวตน ทันทีที่สบตากัน ความหนาวยะเยือกก็แผ่ซ่านปกคลุมบรรยากาศโดยรอบจนเส้นขนทั่วร่างตั้งชัน

“...ไม่ จริง...” อังคารพึมพำด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

จะเป็นไปได้ยังไง?!
ก็เมื่อกี๊เขาเพิ่งทำบุญแผ่ส่วนกุศลไปให้อยู่หลัด ๆ นี่เอง

ทันทีที่ระลึกได้ว่าชายหนุ่มซูบซีดที่เห็นไกล ๆ ไม่ใช่คน เลือดสด ๆ ก็พุ่งทะลักออกจากดวงตาคู่นั้นคล้ายน้ำผุด ของเหลวสีชาดไหลอาบร่างซีดจางแล้วหลั่งรินรดลงพื้นราวกับน้ำตกโลหิตที่มีปลายทางสิ้นสุดเป็นจุดที่อังคารยืนอยู่ และแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าตนได้ตกเป็นเป้านิ่งของวิญญาณไปเสียแล้ว แต่เพราะจู่ ๆ ขาทั้งสองข้างกลับหนักอึ้งราวกับถูกมือล่องหนยื้อยุดฉุดไว้ อังคารจึงทำได้แค่ยืนทื่อ อ้าปาก ตาค้างอย่างหวาดหวั่นเท่านั้น

ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยไอ้เพียรด้วย!!

อังคารกรีดร้องในใจเมื่อลำธารเลือดที่หลากมากองท่วมรองเท้ากำลังค่อย ๆ คืบคลานต้านแรงดึงดูดขึ้นมาตามเนื้อตัวของเขาอย่างรวดเร็ว กลิ่นเหม็นเน่าชวนขย้อนทำให้เด็กหนุ่มกลั้นน้ำตาแทบไม่ไหว และก่อนที่อังคารจะหวาดกลัวจนเสียสติ สายโลหิตที่ไต่ยุ่บยั่บตามตัวเหล่านั้นก็พากันไหลบ่าเข้าท่วมดวงตาของเขา ก่อนจะแหวกว่าย ซอกซอนผ่านเปลือกตาเข้าสู่ภายในโดยไม่ขาดสายคล้ายแร้งกระหายซากศพ

“...อึก!...” ความรู้สึกสะอิดสะเอียนหยอกล้อเด็กหนุ่มอยู่เพียงชั่วอึดใจ จากนั้นกลิ่นน่าคลื่นเหียนกับฉากบังตาสีเลือดที่สกัดกั้นการมองเห็นก็อันตรธานไปทันที

เมื่อปลอดจากภัยคุกคามไร้ตัวตน อังคารก็พบว่าตนเองตกอยู่ในฐานะของผู้ชมที่ต้องเฝ้าสังเกตการณ์เรื่องราวบางอย่างด้วยความจำใจอีกครั้ง โชคดีที่คราวนี้สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าไม่ใช่การชำแหละเพื่อนร่วมโลกเหมือนเมื่อวาน กระนั้นความไม่ชอบมาพากลของสถานการณ์ก็ทำให้อังคารรู้สึกอึดอัดจนสูดลมหายใจได้ไม่ทั่วท้อง

สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอังคารในขณะนี้ เป็นภาพเคลื่อนไหวที่จับจ้องผู้ชายคนหนึ่งในชุดคล้ายนักศึกษา เขาคนนั้นนอนขดตัวไม่ไหวติงอยู่ในพื้นที่แคบ ๆ โดยบนใบหน้ามีแถบผ้าพาดปิดทับดวงตากับริมฝีปาก สภาพแน่นิ่งและสมยอมจนดูผิดปกติของผู้ชายคนนั้นทำให้อังคารอดคิดไม่ได้ว่า ชายหนุ่มตรงหน้าน่าจะหมดสติหรือกำลังหลับลึกแบบสุด ๆ ไม่อย่างนั้นเจ้าตัวคงไม่ยอมให้ฝ่ามือปริศนาใช้เชือกมัดมือและเท้าทั้งสองติดกันโดยไม่ขัดขืนแน่ ๆ   

แต่แล้วเมื่อกรอบการมองเห็นของอังคารกว้างขึ้น เด็กหนุ่มก็ตระหนักว่า พื้นที่แคบ ๆ ที่โอบล้อมชายผู้นั้นเอาไว้ แท้จริงแล้ว คือ ที่ว่างภายในฝากระโปรงด้านท้ายของรถยนต์คันหนึ่งเท่านั้น ทว่าก่อนที่ผู้ชมจำเป็นจะกวาดตามองเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับเหยื่อที่ถูกมัดได้ทั้งหมด จู่ ๆ ภาพตรงหน้ากลับค่อย ๆ ริบหรี่เหมือนมีใครค่อย ๆ ลดแสงของไฟเพดานลงอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

ใครแม่งดับไฟวะ?!

จังหวะที่อังคารกำลังหัวเสียเพราะสายตายังไม่ทันปรับอยู่นั้นเอง เด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงแหบห้าวไม่คุ้นหูเพรียกดังมาจากที่ไกล ๆ คล้ายคลื่นแทรก

“...เฮ่ย!...”

เสียงใคร?!

แม้จะสงสัยถึงที่มาของเสียงปริศนา แต่อังคารกลับรู้สึกยินดีที่ได้ฟังเสียงนั้นขึ้นมาจับใจ เพราะทันทีที่มันดังขึ้น เด็กหนุ่มก็รู้สึกราวกับคนงัวเงียกำลังนอนถ่วงเวลารอเสียงนาฬิกาปลุกสุดท้าย อะไรบางอย่างบอกเขาว่าอีกไม่นาน เขากำลังจะเป็นอิสระจากที่แห่งนี้ อีกไม่นานอังคารก็จะตื่นขึ้นอีกครั้ง  

รู้ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงอาศัยโอกาสที่ยังพอมีเหลือกับความสามารถในการมองเห็นที่ค่อย ๆ ฟื้นคืน กวาดตามองไปรอบ ๆ พร้อมกับจดจำภาพสุดท้ายตรงหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนจะปล่อยตัวเองให้ล่องลอยไปตามเสียงร้องเรียกอย่างตกอกตกใจของใครสักคน

“...ไอ้หนู!...”

*****|| TBC ||*****



เราแก้ตัวด้วยการลงตอนใหม่ก่อนพระอาทิตย์ตกค่ะ
เชื่อว่าการอ่านตอนนี้ช่วงผีตากผ้าอ้อม น่าจะดีกว่าตอนดึก ๆ เนอะ (ใช่หรอ?)
ชอบไม่ชอบยังไง ฝากข้อความแทนใจไว้ให้เราชื่นชมหน่อยนะคะ ^^






No comments:

Post a Comment