Wednesday, March 15, 2017

ถ้าต้อยได้ ชายจะเป็นอมตะ ||#17|| 15.03.2017

<|No.17|>
นกน่ะไม่ แต่ยังกินไม่ได้นะจ๊ะ


……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...


“ป๋าชวนมันนอนนี่ทำไม?” เด็กบริหารกระชากเสียงใส่บิดาซึ่งหายหน้าเข้ามาขลุกอยู่ในห้องทำงานทันทีที่พวกเขากำจัดอาหารเย็นเสียสิ้นซาก

“หืม เมื่อกี๊ว่าไงนะพิชญ์? ป๋าไม่ทันฟัง”

พิชญ์ได้แต่ถอนหายใจพรูให้กับสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ของบิดา แต่ครั้นจะโกรธคู่สนทนา เขาก็ดันทำไม่ลง เพราะคุณพิทักษ์เพิ่งจะถอดหูฟังออกเพื่อตั้งใจพูดคุยกับเขาอย่างเป็นกิจลักษณะจริง ๆ “ป๋าชวนไอ้เด็กเวรนั่นนอนด้วยทำไม? แค่ต้องเจอหน้ามันวันธรรมดา พิชญ์ก็รำคาญมันจะตายอยู่แล้วนะป๋า!

ชายหนุ่มไม่ได้พูดจาโกหกยกเมฆ เพราะนับตั้งแต่วันที่ผู้เป็นพ่อเปิดประตูบ้านต้อนรับรุ่นน้องต่างคณะเป็นต้นมา ไม่มีวันไหนเลยที่เขาจะไม่ต้องเห็นหน้าไอ้เด็กการ์ตาร์ กระทั่งวันหยุดมันก็ยังโผล่หัวมาทำเจ๋อใส่ ด่าก็แล้ว ใช้กำลังขับไล่ก็แล้ว แช่งชักหักกระดูกก็แล้ว แต่มันกลับยังหน้าด้านหน้าทนยิ่งกว่าแมลงสาบกำพร้าหาที่พักพิง

ค่าที่ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายพิชญ์จึงปล่อยให้หนึ่งเดียวทำตามใจ ก่อนจะหลอกใช้อีกฝ่ายให้ใช้แรงงานงก ๆ จนพระอาทิตย์ตกดิน กระนั้นความรู้สึกสาสมใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดก็ถูกบิดาทำลายลงในพริบตาทันทีที่คุณพิทักษ์เอ่ยปากเชื้อเชิญไอ้เด็กนั่นร่วมโต๊ะอาหารลากยาวมาถึงการออกปากชวนมันนอนค้างที่บ้านปิดท้ายเสียอีก

“เอ้อจริงสิ! แล้วนี่พิชญ์เอาผ้าเช็ดตัวกับชุดนอนไปให้เดียวหรือยัง?” เสียงคลิกเมาส์รัวเร็วทำพิชญ์กลัวใจว่า นิ้วชี้ของบิดาจะชิงลาออกจากฝ่ามือเข้าสักวัน “แกล้งพาน้องไปเดินตากแดดซื้อต้นไม้มาทั้งวัน กลับมาก็หลอกให้ขุดหลุมเอาต้นไม้ลงดินให้อีก ป่านนี้น้องมันคงเหนียวตัวอยากอาบน้ำอาบท่าเต็มแก่แล้วมั้ง”

หนุ่มปีสามเบะปากคว่ำทำหน้างอง้ำเมื่อต้องทนฟังบิดายกหางเด็กการ์ตาร์เป็นครั้งที่ร้อยของวัน  
หนอย ถ้าป๋ารักมันหลงมันขนาดนี้ ทำไมป๋าไม่ขึ้นไปชงนมแล้วตบตูดมันนอนเสียเลยล่ะ?!

“ป๋า! อย่าเปลื่ยนเรื่องดิ!” พิชญ์แหวพลางถลึงตาดุผู้มีศักดิ์เป็นบิดาจนคุณพิทักษ์ที่ยังจ้องภาพเคลื่อนไหวในหน้าจออย่างไม่ละสายตาต้องรีบหยอดคำถามเพื่อซื้อเวลาในการห้ำหั่นศัตรู

“พิชญ์อยากรู้จริง ๆ เหรอว่าทำไมป๋าถึงชวนเดียวนอนบ้านเรา?”
“โอ๊ยป๋า! ถ้าพิชญ์ไม่อยากรู้ พิชญ์จะมาถามป๋าไหมล่ะ?”

“อ่ะ ๆๆๆ ป๋ายอม ป๋าตอบพิชญ์ก็ได้” อารามกลัวว่าลูกชายจะถอดปลั๊กคอมสุ่มสี่สุ่มห้าจนเสียเวลาเก็บไอเทม คุณพิทักษ์จึงยอมวางมือจากภารกิจตรงหน้าเพื่อการสนทนากับอีกฝ่ายอย่างเต็มรูปแบบ “ที่ป๋าชวนเดียวนอนที่นี่ เพราะป๋าอยากให้พิชญ์ได้ใช้เวลากับเดียวเยอะ ๆ พิชญ์จะได้รู้ว่าน้องเป็นคนยังไง เพราะถ้าพิชญ์รู้จักน้องดีพอ พิชญ์ก็จะรู้ใจตัวเองเร็วขึ้นยังไงล่ะ”

“บ้าเหรอป๋า! ป๋าละเมออยู่หรือไง พูดอะไรของป๋าเนี่ย?!

“พิชญ์อยากให้ป๋าเปิดประวัติการใช้เน็ตแมคบุ๊คของพิชญ์ช่วงอาทิตย์ที่แล้วให้ดูไหมล่ะ”

“?!!?”

ภายใต้ความเงียบจนน่าอึดอัด สองพ่อลูกต่างผลัดกันแลกหมัดใส่อีกฝ่ายผ่านแววตามาดร้ายโดยไม่มีใครยอมใคร แต่แล้วกลับเป็นคุณพิทักษ์ที่ประเคนหมัดฮุคใส่ช่วงกลางลำตัวของบุตรชายจนพิชญ์แทบกระอักออกมาเป็นลิ่มเลือด

ป๋ารู้?!
ตั้งแต่เมื่อไร?!!

“หรือจะให้ป๋าสรุปว่าตอนอยู่บ้านพิชญ์แอบส่องเฟซ ทวิต ไอจีน้องมันวันละกี่ชั่วโมงก็ได้นะ แต่ขอเวลาป๋ารวบรวมนิดนึง เพราะดู ๆ แล้วก็น่าจะเยอะอยู่”

“...” เด็กบริหารหน้าม้านด้วยจนต่อหลักฐาน เห็นดังนั้น ผู้อาวุโสจึงรวบรัดตัดความโดยไม่ฟื้นฝอยให้เลือดเนื้อเชื้อไขผูกใจเจ็บ “สรุปว่าพิชญ์จะเอาผ้าขนหนูกับชุดนอนไปให้น้องมันได้หรือยัง? หรือจะให้เดียวนอนตัวสกปรกทั้งคืน?”

จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้ พิชญ์จะหงุดหงิดกับอาการไม่รู้สึกรู้สาของผู้ให้กำเนิด แต่เมื่อสำเหนียกว่าบิดาเลือกที่จะตีหน้าซื่อไปวัน ๆ ชายหนุ่มก็ได้แต่แยกเขี้ยวยิงฟันใส่เพื่อคลายความรู้สึกเจ็บใจลงบ้าง “จิ๊! ป๋าแม่งไม่แฟร์เลยว่ะ!

“ถ้าน้องมันน่าสนใจขนาดต้องคอยตามส่อง แล้วทำไมพิชญ์ของป๋าถึงไม่หัดทำตัวดี ๆ บ้างล่ะ?”

“ไอ้เด็กนั่นมันน่าสนใจตรงไหนกันป๋า?! เมื่อโดนคุณพิทักษ์จ้อนจนหลังชนฝา พิชญ์ก็พองขนชูพู่หางพลางกางเล็บหาข้ออ้างมาต่อสู้กับบิดาอย่างไม่ลดราวาศอก “ที่พิชญ์ต้องส่องมันก็เพราะพิชญ์อยากรู้ว่ามันเป็นคนแบบไหน พิชญ์จะได้หาทางไล่มันไปให้พ้นหูพ้นตาได้เร็ว ๆ ยังไงล่ะ”

“เอา ๆ ถ้าพิชญ์ว่าแบบนั้นก็ตามใจ”

“พิชญ์พูดจริงนะป๋า พิชญ์ไม่ได้โกหก!” ตอนแรกเขาก็ตั้งใจจะหาทางไล่ไอ้เด็กจัญไรนั่นไปให้พ้น ๆ อยู่หรอก แต่พอนานวันเข้า การแอบตามติดชีวิตประจำวันของอีกฝ่ายในแง่มุมที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัส ก็กลายเป็นกิจกรรมฆ่าเวลาที่น่าสนใจไปเสียได้

“งั้นป๋าจะถือว่าคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่น้องมันจะนอนที่นี่แล้วกัน ยังไงป๋าฝากพิชญ์ส่งแขกเลยนะ ป๋าขี้เกียจตื่นมาเจอหน้าคนที่ลูกป๋าไม่ชอบ” เนื้อความกับน้ำเสียงเด็ดขาดไร้เยื่อใยของคุณพิทักษ์ทำคนฟังสะท้อนใจในบัดดล... เขาแค่ไม่พอใจที่ป๋าโอ๋ไอ้เด็กนั่นจนเหลิงเองนะ ทำไมป๋าต้องพูดแบบนี้ด้วยล่ะ?!

“ได้เลยป๋า เดี๋ยวพิชญ์จัดการเอง!” สิ้นคำโป้ปด จอมเหวี่ยงก็หมุนตัวแล้วเดินกระทืบเท้าดุ่ม ๆ มุ่งหน้าไปยังประตูห้อง แต่ก่อนที่เด็กบริหารจะพาตัวเองหลบพ้นสายตารู้ทันของบิดาไปได้ อีกฝ่ายกลับพูดดักคอนิ่ม ๆ

“ไล่ไปให้พ้น ๆ ได้เสียก็ดี พิชญ์จะได้ไม่ต้องเจอหน้าหนึ่งเดียวให้ต้องรำคาญอีก” เพราะไม่กล้าหันกลับไปสู้สายตากับเจ้าของประโยคเหมือนทุกที เด็กปีสามจึงทำทีเป็นยักไหล่แล้วเชิดหน้ามองสูงขณะเอื้อมมือคว้าลูกบิดประตู กระนั้นคุณพิทักษ์ผู้รู้จักเลือดในอกเป็นอย่างดีก็ไม่ลืมเอ่ยทิ้งท้ายเรียกเสียงโวยวายของบุตรชายได้อีกคำรบ “แต่อย่าไล่กันจนเผลอตามน้องมันเข้าไปนอนด้วยเหมือนคืนนั้นล่ะ ป๋าไม่อยากให้ชาวบ้านครหาว่าลูกชายป๋าไวไฟ รู้ไหม”

“ป๋า!” ชายวัยกลางคนหัวเราะร่วนกับอาการหน้าแดงระคนโกรธกริ้วกริ้วเป็นงิ้วหลงโรงของลูกชาย ก่อนที่อีกฝ่ายจะผลุบหายออกจากห้องไปพร้อมกับเสียงบ่นระงม




“พี่พิชญ์?” เด็กเฟรชชี่อดแปลกใจไม่ได้เมื่อเห็นรุ่นพี่ต่างคณะยืนถือกองผ้าทำหน้าบอกบุญไม่รับราวกับโดนใครบังคับให้มาเคาะห้องเรียกเขาอย่างไรอย่างนั้น “พี่พิชญ์มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

“มึงอาบน้ำได้ยังไง? ใช้ผ้าเช็ดตัวผืนไหน? แล้วนี่ชุดนอนใคร?”

“อ้าว! ผมนึกว่าป๋าสั่งให้แม่บ้านจัดผ้าขนหนูกับชุดนอนแล้วก็แปรงสีฟันวางไว้ให้ในตู้ ผมเลยหยิบมาใช้น่ะครับ” คำถามที่คนโตกว่ากราดใส่อย่างจังทำให้หนุ่มหล่อลุกลี้ลุกลนจนโดนอีกฝ่ายมองตาขวาง “เอ๊ะ! หรือผมใช้ไม่ได้ครับ? ผมต้องเปลี่ยนชุดหรือเปล่าพี่?”

“...” พิชญ์ไม่อธิบายพลางกวาดตามองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความก้าวร้าวระดับเจ้ากรรมนายเวร กระนั้นเมื่อหวนนึกถึงประโยคล่าสุดของบิดาที่ทำให้ร้อนไปทั้งใบหน้า ชายหนุ่มจึงตัดสินใจหลบฉากออกไปก่อนจะทำไก่ตื่นโดยไม่จำเป็น “กูไปนอนล่ะ”

“เดี๋ยวครับพี่พิชญ์!
“อะไร? กูจะไปนอน กูง่วงเห็นไหมเนี่ย?!” แม้จะสะบัดหน้าหันกลับมาส่งค้อนให้รุ่นน้องต่างคณะหนึ่งวงใหญ่ แต่แปลกที่จอมเหวี่ยงกลับไม่ได้ก้าวขาเดินหนีไปอย่างที่ลั่นวาจา

“อยู่คุยกันก่อนเถอะนะครับ วันนี้ผมยังไม่ได้คุยกับพี่เท่าไรเลย” ต่อให้โดนพิชญ์มองแรงใส่ แต่เดียวกลับทำใจดีสู้เสือ

“มึงจะคุยอะไรนักหนา วันนี้กูเห็นมึงพล่ามไม่หยุดตั้งแต่เช้า ตอนเด็ก ๆ โดนแม่เอากบตบปากมาหรือไง?”

“ที่ไหนล่ะพี่! ผมแค่มีเรื่องอยากบอกพี่เฉย ๆ เหอะ” เด็กวิศวะทอดสายตามองออดอ้อนพลางเว้าวอนไม่ลดละ “พี่พิชญ์เข้ามานั่งก่อนไหมครับ ผมกลัวพี่เมื่อยอ่ะ”

“เรื่องดิ?! กูไม่มีวันอยู่ในห้องปิดตายกับมึงสองต่อสองอีกแน่!

“โห่พี่พิชญ์!” หนึ่งเดียวพึมพำอย่างเหลืออดแต่ก็รู้ว่าต่อให้ดีดดิ้นตีโพยตีพายจนถึงแก่ความตาย ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ชายหนุ่มจึงลับลำใช้น้ำเย็นเข้าลูบคนโตกว่าทันที “นะพี่ เห็นแก่ความดีความชอบที่ผมแบกต้นไม้ตามพี่ต้อย ๆ มาทั้งวันเถอะนะครับ”

“ลำเลิกเหรอมึง?!” พิชญ์ถลึงตาใส่คู่สนทนาพลางเงื้อหมัดขมขู่จนเด็กวิศวะคู้ตัวหลบตามสัญชาตญาณและความเคยชิน

“เปล่าพี่! พี่พิชญ์อย่าต่อยผมเลยนะครับ ผมแค่อยากให้พี่เห็นใจผมบ้าง ดูดิพี่ ผมขุดดินจนมือแตกหมดแล้วเนี่ย” เฟรชชี่ที่ยังออกอาการกลัวไม่หายหลับหูหลับตาชูฝ่ามือให้คนโตกว่าชื่นชมแผลพุพองกับจ้ำแดง ๆ หลายจุดอันเป็นผลจากความตั้งใจกลั่นแกล้งของอีกฝ่าย

เห็นดังนั้น วายร้ายที่ตั้งใจจะกลับเข้าห้องแล้วข่มตานอนเสียให้รู้แล้วรู้รอดก็ใจอ่อนยวบ “เอ้า! มึงจะพูดอะไรก็พูดมา อย่าชักช้า กูง่วง!”  พิชญ์ว่าพลางกระแทกไหล่เด็กจัญไรแล้วเดินท่อม ๆ เข้าไปนั่งตรงปลายเตียงโดยไม่งับบานประตู ฝ่ายหนึ่งเดียว แม้จะลังเลกับสภาพไร้ความเป็นส่วนตัวของห้อง แต่สายตาของรุ่นพี่ที่เฝ้ามองทางออกเกือบตลอดเวลา ก็ทำให้เด็กวิศวะจำใจปล่อยให้ประตูห้องเปิดอ้าซ่าอยู่แบบนั้น

หนึ่งก็เพื่อความสบายใจของอีกฝ่าย
ส่วนอีกเหตุผลคงเป็นเพราะบรรยากาศไม่ได้สลักสำคัญมากเท่ากับข้อความที่เขาต้องการจะเอื้อนเอ่ยเลยสักนิด

“พี่พิชญ์รู้ใช่ไหมครับว่าทำไมผมถึงคอยตามพี่ตลอดเวลา?”

“มึงแค้นที่กูทำกับมึงเอาไว้มาก มึงเลยคอยตามมาหาโอกาสเอาคืนกูใช่ไหมล่ะ?” พิชญ์แสร้งทำหน้านิ่งพลางพูดเลี่ยงทั้ง ๆ ที่พอจะรู้ว่าคำตอบคืออะไร เหตุผลส่งเดชของชายหนุ่มให้รุ่นน้องมีสีหน้ากลัดกลุ้มอย่างเห็นได้ชัด

“โธ่พี่! ผมดูเป็นคนโรคจิตขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
“หึ! น้อยไปสิ!

หนึ่งเดียวสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดพลางหักห้ามใจไม่ต่อปากต่อคำแล้ววกกลับสู่ประเด็นของวันทันที “พี่พิชญ์ พี่ฟังผมนะ” สีหน้าพยศเอาเรื่องของรุ่นพี่เร่งให้เด็กวิศวะรีบพูดความในใจก่อนจะไม่มีโอกาส “สาเหตุที่ผมโผล่มาให้พี่เห็นหน้าทุกวัน เพราะผมคิดถึงพี่ อยากเจอหน้าพี่ อยากใช้เวลากับพี่” พิชญ์เสตามองไปทางอื่นพลางเกร็งมุมปากพร้อมกับภาวนาให้ตัวเองไม่หลุดเก็กจนเด็กจัญไรจับไต๋ได้ “ผมจีบพี่อยู่นะ พี่รู้ตัวใช่ป่ะครับ?”

“ไม่รู้ เพราะกูไม่มีวันชอบคนอย่างมึง!” ในเมื่อไม่คิดที่จะเผยความลับให้ใครรับรู้ พิชญ์จึงจำต้องปกปิดความรู้สึกของตัวเองต่อไปอย่างช่วยไม่ได้
“คนอย่างผมมันเป็นยังไงพี่?”
“กูไม่ชอบที่มึงดูถูกคนอื่น!
“ยังไงวะพี่ ถามจริง ผมไปดูถูกคนอื่นตอนไหน?!” ยิ่งคำอธิบายของรุ่นพี่บริหารไร้เหตุผลมากเท่าไร หนึ่งเดียวก็ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกผิดหวังหลังโดนอีกฝ่ายปฏิเสธจัง ๆ หน้าได้เท่านั้น... ถ้าไม่ชอบกันก็บอกมาตรง ๆ ดิพี่พิชญ์ พี่จะมัวอ้างโน่นอ้างนี่อยู่ทำไมวะ?!

“ก็ไอ้ชายไง! มึงดูถูกไอ้ชาย! มึงไม่ชอบมันเพราะหน้าตามันใช่ไหมล่ะ?” เฟรชชี่สะอึกจนพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้ฟังเหตุผลที่อีกคนยกตัวอย่าง “กูไม่ชอบคนฉาบฉวยลอยชายไปวัน ๆ ถ้ามึงไม่ชอบมัน ทำไมตอนนั้นมึงถึงไม่บอกมันไปตรง ๆ มึงโกหกมันทำไม?!

พิชญ์สูดหายใจถี่หลังระบายความรู้สึกอัดอั้นตันใจใส่หน้าตัวการไปหนึ่งระลอกใหญ่ การทนเห็นชายชาตรีเจ็บปวดเพราะคนดีแต่หน้าตาแบบหนึ่งเดียวซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาตลอดหลายปี ทำให้ชายหนุ่มเกลียดชังนิสัยเสียข้อนี้ของเพื่อนมนุษย์เอามาก ๆ ยิ่งเมื่อมีเหตุการณ์ล่อแหลมชวนเข้าใจผิดมาผสมโรงด้วยแล้ว ตัวตนของเด็กวิศวะในสายตารุ่นพี่ก็ยิ่งน่ายี้ไปกันใหญ่

เฟรชชี่ถอนหายใจยาวพลางทำหน้าหนักอกหากแต่ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ “โอเค เรื่องพี่ชายผมผิดจริง แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมมีข้อเสียอะไรบ้าง ผมขอล่ะพี่ พี่ให้โอกาสผมได้ไหม? นะครับ” เดียวจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมใสของอีกฝ่ายพลางหวังให้พิชญ์ยอมเปิดใจให้เขาบ้าง แม้เพียงสักนิดก็ยังดี

“กูไม่ชอบคนโกหกปลิ้นปล้อน”

“ต่อไปผมจะไม่ทำอีกครับ”

“กูไม่ชอบคนแบ่งแยก ไม่ชอบคนมองคนอื่นแต่เปลือก ไม่ชอบคนเลือกปฏิบัติ”

“ตอนนี้ผมยังทำไม่ได้ แต่ผมจะพยายามปรับปรุงตัวเองเพื่อพี่นะครับ”

“กูเกลียดคนเจ้าชู้ที่สุด”

“เวลาผมคบใคร ผมคบทีละคนนะพี่ ถ้าผมคบพี่ ผมไม่มีคนอื่นแน่ ๆ ”

“กูเกลียดผู้ชาย!

“แต่ผมชอบพี่! ต่อให้พี่ไล่ ผมก็จะไม่ไปไหน!

“โว้ย!” ทันทีที่หมดเหตุผลที่จะบอกปัดคนตรงหน้า พิชญ์ก็ลุกขึ้นยืนพรวดพราดพลางแหกปากลั่นอย่างเหลืออด... ไอ้เด็กเวรตะไล มึงจะตื๊อให้ได้สมใจเลยว่างั้น?!  

“ถึงพี่จะโวยวายยังไง ผมก็จะไม่เลิกจีบพี่อยู่ดี!” เหยื่อผู้โดนการว้ากใส่ซึ่ง ๆ หน้าส่งเสียงท้าทายตอกกลับอย่างไม่ยอมน้อยหน้ากัน “ผมจะจีบพี่จนกว่าพี่จะยอมเป็นแฟนผม!

หนอยไอ้เดียว ไอ้ได้คืบจะเอาศอก! ได้! กูจะแกล้งให้มึงจีบกูจนแก่ตายไปเลยโว้ย!  

“เออ! ถ้ามึงอยากเสียเวลานักก็ตามใจ! แต่มึงจำไว้เลยนะว่ากูไม่มีวันใจอ่อนเพราะมึงแน่!” พิชญ์ลั่นวาจาพลางชี้หน้ารุ่นน้องอย่างจองหอง ทว่าแทนที่เด็กวิศวะจะสลดหดหู่ หนึ่งเดียวกลับระริกระรี้เป็นปลากระดี่ได้น้ำ

“ขอบคุณนะครับพี่พิชญ์ ผมดีใจที่สุดเลย!” สิ้นเสียงร้องด้วยความยินดี ชายหนุ่มรุ่นพี่ก็โดนวงแขนกว้างคว้าตัวเข้ามากอดเต็มรัก ก่อนที่หนึ่งเดียวจะโปรเจคเสียงผ่านช่องท้องเพื่อร้องร่ำด้วยความรวดร้าวเมื่อซี่โครงคู่ที่สิบถูกปลายศอกของอีกฝ่ายนวดเข้าให้แบบจั๋งหนับพร้อม ๆ กับปลายเท้าที่โดนส้นตอกใส่อย่างไร้ความปรานี “อ๊อย!

“กูลืมบอกไป... กูเกลียดพวกมือไวใจเร็วที่สุด!” พิชญ์แสยะยิ้มพลางเอ่ยร่ำลาเด็กต่างคณะที่นอนงอก่องอขิงอยู่บนพื้นอย่างเรียบง่ายก่อนจะเดินนวยนาดออกจากห้องนอนแขกไปด้วยมาดของแชมป์มวยตับจากสิบสมัยซ้อน
   
$$$$$$$$


“พี่ชาย?!

เสียงร้องลั่นด้วยความตกใจของเด็กหนวดที่เพิ่งเดินตัวเปียกออกจากห้องน้ำเรียกรอยยิ้มจากคนที่นอนนอนตะแคงข้างโชว์สัดส่วนและเอวเอสอย่างมีนัยยะได้เป็นอย่างดี ชายชาตรีช้อนสายตามองสำรวจเนื้อตัวเหนือผ้าขาวม้าผืนบางของรูมเมทอย่างจาบจ้วงก่อนจะขานเรียกพร้อมกระดิกปลายนิ้วเชื้อเชิญอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงกระเส่า “ยิม มานี่สิ”

“พี่ชายเปิดแอร์ทำไมครับ?” เด็กหนวดหาได้แคร์คนนอนอ่อยอยู่บนเตียงไม่ เพราะความสนใจทั้งหมดของเขาถูกแอร์คอนดิชันเนอร์ที่กระพือไปทางโน้นทีทางนี้ดึงดูดไปจนหมด “ถึงพี่ชายจะมีเงินแล้ว แต่พี่ชายก็ไม่ควรใช้เงิน ใช้พลังงานฟุ่มเฟือยอย่างนี้สิพี่ ผมบอกกี่ทีแล้วว่าถ้าไม่ร้อนจนนอนไม่ได้ เราจะไม่เปิดแอร์กัน” ยิมปรารภพลางกอดอกยืนมองเครื่องทำความเย็นบนผนังอย่างเจ็บปวด

“ฮื่อยิม พี่ชายขอแค่คืนนี้คืนเดียว เพราะถ้าไม่เปิดแอร์ คืนนี้เราคงนอนไม่หลับกันแน่ ๆ ”

“ถ้าพี่ชายร้อน ทำไมพี่ชายไม่ทาแป้งล่ะครั...” คนพูดอ้าปากค้างเมื่อหันหลังกลับมาแล้วพบกับชายชาตรีในท่านอนชวนหวาดเสียว

เฟรชชี่กวาดตามองเพื่อนร่วมห้องที่เพิ่งปรับเปลี่ยนสถานะเป็นแฟนหมาด ๆ ด้วยสายตาทึ่ง ๆ เพราะนอกจากการถอดเสื้อผ้าออกจนเหลือแต่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวน้อยแล้ว อีกฝ่ายยังจงใจจัดท่านอนให้บิดไปมาราวกับพยายามโอ้อวดสรรพคุณของสินค้าให้ต้องตาถึงใจคนซื้ออย่างไรอย่างนั้น  

“พี่ชายไม่สบายหรือเปล่าครับ?” ยิมอดสงสัยไม่ได้ เพราะตั้งแต่อยู่ร่วมห้องกันมา มีแค่เขานี่แหละที่ขยันถอดเสื้อผ้าอวดเนื้อหนังมังสาให้คนโตกว่าแอบส่องอยู่เสมอ กลับกัน อีกฝ่ายกลับหวงตัว ไม่ยอมให้ใครเห็นผิวกายใต้ร่มผ้าง่าย ๆ

“ยิม”

“ครับ” สายตาหวานเชื่อมกับสภาพล่อแหลมของอีกฝ่าย กอปรกับอากาศเย็น ๆ ชวนให้หวิวไหวทำให้ยิมไม่อาจควบคุมความรู้สึกประหม่าได้ดีนัก เด็กวิศวะลอบกลืนน้ำลายขณะเงี่ยหูรอฟังสิ่งที่ชายชาตรีกำลังจะเอื้อนเอ่ยในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้าอย่างจดจ่อ  

“พี่ชายพร้อมแล้ว” พูดจบ สายเปย์ก็ทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาหลับตาปี๋ทำหน้ายู่ยี่เหมือนมีใครเอากะปิมาป้ายปลายจมูกจนรุ่นน้องเริ่มรู้สึกตงิด ๆ

เด็กวิศวะค่อย ๆ ทรุดตัวนั่งลงข้าง ๆ แล้วจับมือคนรักบีบเบา ๆ “พี่ชายเป็นอะไรหรือเปล่าครับ? ทำไมอยู่ ๆ ถึงทำแบบนี้?”

“...เอ่อ คือ...” ชายชาตรีอึกอักพลางผงกหัวขึ้นจ้องหน้ารุ่นน้องตาปริบ ๆ

“ลุกขึ้นมานั่งคุยกันดี ๆ เถอะครับ แล้วก็ใส่เสื้อด้วย เดี๋ยวจะเป็นหวัดไปเสียก่อน” การที่รุ่นพี่ยอมทำตามคำสั่งแต่โดยดีทำให้ยาจกมืออาชีพใจชื้นขึ้นอีกโข “ว่าไงครับ ทำไมอยู่ ๆ ก็ชวนผม? พี่ชายอยากมากเลยเหรอ?”

เด็กปีสามส่ายหัวดิกพลางทำหน้ากระมิดกระเมี้ยน “เปล่า”

“แล้วพี่ชายมายั่วผมทำไม พี่ไม่กลัวผมอดใจไม่ไหวแล้วหน้ามืดปล้ำพี่เอาเหรอครับ?” เด็กวิศวะเลิกคิ้วพลางลอบสังเกตปฏิกิริยาของคู่สนทนาอย่างสนอกสนใจด้วยเพราะอยากรู้ถึงสาเหตุที่ผลักดันให้คนรักนวลสงวนตัวอย่างสายเปย์ ลุกขึ้นมาทำเรื่องผิดปกติวิสัยเช่นนี้

ชายชาตรีกดใบหน้าจ๋อย ๆ ลงชิดอกแล้วจึงพึมพำคำตอบเสียงค่อยผิดกับสภาพมั่นหน้าเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วลิบลับ “ต่อให้ยิมหน้ามืดจริง ๆ ยิมจะปล้ำพี่ชายท่าไหนก็ได้ พี่ชายยอมยิมหมดทุกอย่าง”

คำพูดของรุ่นพี่ทำเอาเด็กหนวดปีหนึ่งถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน กระนั้นสายตาที่ชายหนุ่มทอดมองคู่สนทนากลับฉายชัดถึงความรู้สึกเอ็นดูอย่างเต็มเปี่ยม “ใครสอนให้พี่ชายพูดจาแบบนี้ครับ ไม่รู้หรือไงว่ามันอันตราย? ยิ่งพูดในที่ลับตาคนแบบนี้ด้วยเนี่ย ยิ่งอันตรายสุด ๆ เลยนะครับ”

“พี่ชายรู้” สายเปย์ยังคงจับจ้องฟูกนอนไม่วางตาขณะสารภาพแผนการใหญ่ที่ตนหมายมั่น “แต่พี่ชายตัดสินใจแล้วว่ายังไงคืนนี้พี่ชายจะทำให้ยิมเป็นเหนือชายเต็มตัวให้ได้”

เด็กหนวดถอนหายใจอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นผลมาจากทีท่าวิตกกังวลจนดูผิดปกติของอีกคนล้วน ๆ  
อย่างไรก็ดี แม้ยิมจะยังขุดไม่เจอต้นตอของปัญหาในรอบนี้ แต่เขายังโชคดีที่ชายชาตรีเป็นคนไม่ซับซ้อน คิดอย่างไร ก็แสดงออกอย่างนั้น ชายหนุ่มจึงสามารถตีความและทำความเข้าใจกับการกระทำของคนโตกว่าได้เสมอ

“พี่ชายรู้ใช่ไหมครับว่าวันนี้ตอนกินข้าว ลูกชายท่านรัฐมนตรีเขี่ยขาผมตลอด” หลังจากประมวลผลอยู่พักใหญ่ สุดท้ายเด็กวิศวะก็เปรยถึงเรื่องเมื่อตอนเย็นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“แล้วยิมชอบไหมล่ะ แบบนั้นน่ะ?”

การที่คนรักยอมเผยใบหน้ายุ่ง ๆ คล้ายไม่พอใจทำให้เฟรชชี่แอบกระหยิ่มยิ้มย่องในใจค่าที่ได้เห็นอาการ หึงหวง ของอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก แต่ก่อนที่สายเปย์จะเข้าใจผิด เด็กวิศวะก็รีบตอบคำถามโดยไม่อิดออด “ไม่เลยครับ ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจคุณพ่อคุณแม่พี่ ผมต่อยลูกรมต.หน้าแหกไปแล้ว”

“แล้วยิมมาเล่าให้พี่ชายฟังทำไม?”

“ไม่รู้สิพี่ อาจจะเป็นเพราะผมรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่พี่ชายยั่วผมเมื่อกี๊ล่ะมั้งครับ”

“...” ชายชาตรีอ้าปากค้างหลังจากคำพูดของอีกฝ่ายจี้ใจดำ

“พี่ชายกลัวผมสนใจลูกรมต.เหรอครับ?”

“ใช่” แม้ยิมจะซักไซ้ด้วยน้ำเสียงเย็น ๆ ฟังเรื่อย ๆ แต่นิ้วโป้งที่กดน้ำหนักไปทั่วฝ่ามือของชายชาตรีระหว่างที่เจ้าตัวเอ่ยปากเจื้อยแจ้วก็ทำให้สายเปย์ขนลุกซู่อยู่ไม่ขาด ไหนจะการกระชับพื้นที่เข้าใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจนั่นอีกล่ะ

“ทำไมล่ะครับ”

“ก็พี่ชายหล่อสู้เขาไม่ได้นี่นา” สายเปย์ตอบพลางเบี่ยงหน้าหันมองไปอีกทางเมื่อตระหนักได้ว่า ระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้งสองหดสั้นลงจนน่าตกใจ

“ไม่ต้องกลัวหรอกครับ” ยิมปลอบขวัญคนโตกว่าด้วยวาจาและการกระทำ ชายหนุ่มกดปลายจมูกลงสูดกลิ่นกายของชายชาตรีอย่างถือวิสาสะก่อนจะผละจากเพื่อคลี่ยิ้มมุมปากพร้อมกะพริบตาข้างหนึ่งให้อย่างท้าทาย “ผมไม่มีอารมณ์กับใครหรอกนอกจากพี่”

“บ้า! ยิมบ้า!

“ผมไม่ได้บ้านะครับ ผมพูดจริง ๆ ” เด็กหนวดกวาดสายตามองหน้าคนโตกว่าอย่างลึกซึ้ง “ผมถามจริง ๆ พี่ชายไม่เคยสังเกตเลยเหรอครับว่าหลัง ๆ ผมอาบน้ำนาน หรือพี่มัวแต่เคลิ้มกับนมผมอยู่พี่เลยไม่ทันรู้สึก?” คนฟังเลิกคิ้วมองหน้ายิมอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองจนอีกฝ่ายต้องยืนยันอีกคำรบ “จริง ๆ พี่ ไม่เชื่อพี่จะลองจับดูก็ได้”

“...ไม่เอา...” การที่โดนอีกฝ่ายจับได้ว่าเผลอเหลือบตาจับจ้องสันเขาบนที่ราบลุ่มด้านล่างแถบผ้าขาวม้าผืนบางอย่างเอาเป็นเอาตายทำให้สายเปย์หน้าแดงก่ำจนผิวสีคล้ามแดดยังปิดไม่มิด

“ไหนเมื่อกี๊ใครบอกพร้อม?” พูดไม่ทันจบ เด็กวิศวะก็แอบหอมรุ่นพี่อีกครั้งพลางพูดจากระเซ้าเย้าแหย่ขณะจรดปลายจมูกคลอเคลียพวงแก้มของอีกฝ่ายไม่ห่าง “ผมเห็นแต่คนป๊อดนั่งเขินอยู่เนี่ย”

“ฮื่อยิม อย่าแกล้งพี่ชายสิ พี่ชายเขินเป็นนะ” แม้จะเห็นโลกมานานกว่า แต่ทักษะด้านการเข้าพระเข้านายของชายชาตรีที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินก็ทำให้สายเปย์ไม่รู้จะทำตัวเช่นไร ครั้นจะเอ่ยปากบอกอีกฝ่ายว่า ไม่เอา แต่ใจเขากลับดันส่งเสียงเชียร์ยิม ให้รีบ ๆ เอาไปเสียนี่  

“ไม่แกล้งไม่ได้หรอกครับ ผมชอบที่พี่เขินเพราะผม” คนพูดลากริมฝีปากไปพรมจูบแผ่วเบา ๆ ตรงข้างใบหู แต่ก่อนที่ทีมเหย้าจะล้ำหน้าลงเข้าชาร์จซอกคอให้อีกฝ่ายไหวหวาม อยู่ ๆ เด็กหนวดก็จะผละเหมือนเพิ่งนึกเรื่องสำคัญบางอย่างขึ้นมาได้กลางคัน “เจลอยู่ไหนอ่ะครับพี่ชาย? ผมมีแต่ถุงยาง”

“เจล?!

“เจลหล่อลื่นน่ะครับ” สีหน้าตื่นตระหนกระคนประหลาดใจของสายเปย์ทำให้ยิมรีบอธิบายถึงไอเทมลับโดยพลัน แต่ถึงจะได้รับการเบิกเนตรจนตาสว่าง ชายชาตรีกลับยังดูว้าวุ่นใจอยู่ไม่น้อย

“ไม่มีหรอก เงินพี่ชายอยู่กับยิมหมด พี่ชายเลยไม่ได้ซื้อเตรียมไว้” คนโตกว่ากัดปากพลางหลบตารุ่นน้องต่างคณะด้วยความกระดากใจ และอาการดังกล่าวทำให้เด็กหนวดรู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ ขึ้นมาอีกจนได้

“ผมถามจริง ๆ นะพี่ ที่พี่ชายยั่วผมเนี่ย พี่ชายตัดสินใจนานไหม?”

“ไม่นานหรอก พี่ชายเพิ่งตัดสินใจได้ตอนยิมเข้าไปอาบน้ำนี่เอง”

“แล้วพี่ชายไม่กลัวเจ็บเหรอครับ? หรือว่ามัวแต่หวงผมจนลืมห่วงตัวเอง?”

“มันเจ็บขนาดนั้นเลยเหรอ?” ชายชาตรีช้อนตามองคู่สนทนาพลางเอ่ยเสียงอ่อย

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันพี่ แต่ถ้านึกถึงตอนท้องผูก ผมว่าก็น่าจะเจ็บใช้ได้” พูดไปพูดมา เด็กวิศวะก็เริ่มจะเอะใจ “นี่พี่ชายไม่รู้จริง ๆ เหรอครับว่ามันจะเจ็บไหม?”

“หึ!” หนุ่มบริหารหน้าเข่าส่ายหัวดิก... ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะ โตจนป่านนี้ก็เพิ่งเคยโดนแฟนเปิดซิงหอมแก้มครั้งแรกไปเมื่อกี๊นี้เอง

“ถ้าพี่ชายไม่รู้ งั้นเราก็อย่าเพิ่งเสี่ยงทำตอนไม่มีเจลเลยครับ ผมไม่อยากให้พี่เจ็บตัวเพราะผม” แม้จะแอบเสียดาย กระนั้นยิมกลับตัดบทง่าย ๆ ด้วยเห็นสวัสดิภาพและความปลอดภัยของอีกฝ่ายเป็นสำคัญ

“แต่พี...”
“เชื่อผมเถอะพี่ชาย ไว้วันอื่นเถอะนะครับ ผมไม่อยากหน้ามืดจนต้องหยิบเอาน้ำมันพืชมาทาให้พี่แก้ขัด” การเห็นคนรักนั่งหน้าตูมใส่ทำให้ยิมอธิบายจุดยืนของตัวเองโดยไม่รีรอ “พี่ชายไม่ต้องห่วงเรื่องคนอื่นนะครับ ไม่ต้องเสียเวลาหึงผมด้วย เพราะต่อให้เรายังไม่ได้กัน ผมก็ไม่มีทางคิดเกินเลยกับใครที่ไม่ใช่พี่อยู่ดี”

“จริงเหร...”

หางเสียงของชายชาตรีถูกกลืนหายลงคอไปพร้อม ๆ กับจูบแรกของทั้งคู่ ยิมไม่ได้เร่งรัดกับสัมผัสบางเบานั้น ชายหนุ่มบรรจงส่งความรู้สึกทั้งหลายที่มีต่ออีกฝ่ายผ่านน้ำหนักแผ่วที่ค่อย ๆ กดลงบนริมฝีปากสายเปย์อย่างช้า ๆ พลางซึมซับความรู้สึกวูบวาบเมื่อลมหายใจที่ขาดเป็นห้วง ๆ ของชายชาตรีรินรดลงบนแก้มไปพร้อม ๆ กัน

และหากจะพูดว่าความแนบชิดนี้ก่อกวนการทำงานของหัวใจและร่างกายก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะแค่เริ่มจูบกันได้ไม่นานเท่าไร สัญญาณอันตรายใต้ผ้าขาวม้าก็ทำให้เด็กวิศวะอยากจะลุกไปเข้าห้องน้ำโดยพลัน “ผมจะไม่มีใครนอกจากพี่ชายคนเดียวจริง ๆ ครับ” เฟรชชี่ย้ำคำหนักแน่น ก่อนจะตัดบทอย่างเร็วรี่เมื่อเห็นรุ่นพี่ต่างคณะขมวดคิ้วพลางทำหน้าสงสัย “เรารีบนอนกันเถอะนะครับ เห็นใจผมเถอะพี่ นะครับ”

$$$$$$$$

“อ้าว!” คุณพิทักษ์อุทานขึ้นทันทีเมื่อเห็นคนที่ น่าจะถูกไล่ตะเพิด ไปตั้งแต่เมื่อคืนเดินหัวฟูกลับเข้ามาในบ้านทั้ง ๆ ที่ฟ้าข้างนอกยังไม่ทันสว่างเลยแท้ ๆ

เดียวยิ้มรับพลางทักถามอีกฝ่ายที่ดูใกล้จะดับเครื่องทิ้งตัวใส่ที่นอนเต็มแก่ “ป๋าเพิ่งทำงานเสร็จเหรอครับ?”

“อืม ป๋าจะขึ้นไปนอนแล้ว” ประมุขของบ้านพินิจใบหน้าของเด็กวิศวะอย่างถี่ถ้วนพลางชั่งใจหลังเผลอนึกถึงเรื่องที่ตนยุแยงลูกชายไปตอนหัวค่ำเมื่อคืน...  พิชญ์คงจะไม่ได้ไล่หนึ่งเดียวอย่างที่ปากว่าหรอกมั้ง

“แล้วหนึ่งเดียวล่ะ ทำไมตื่นเช้า นอนไม่หลับเหรอ?” เพื่อความแน่ใจ คุณพิทักษ์จึงหยั่งเชิงอีกฝ่ายทันที

“เปล่าครับ ผมอยากตื่นมาดูต้นไม้ที่ลงไว้ กลัวมันเฉาไปก่อนน่ะครับ”

“ดี ๆ ขยันแบบนี้สิถึงจะอยู่กันได้นาน” สีหน้าดีใจอกดีใจราวกับได้ของล้ำค่าของเดียวช่วยหนุนส่งให้ผู้อาวุโสรักใคร่ชอบพอเด็กหนุ่มไปกันใหญ่ “แล้วเดี๋ยวจะทำอะไรต่อ จะกลับขึ้นไปนอนหรือเปล่า?”

“ผมว่าจะขึ้นไปอาบน้ำน่ะครับ ไหน ๆ ก็ตื่นเต็มตาแล้ว”

“ถ้าไม่ง่วงก็เข้าไปล้างหน้าล้างตาแล้วมานั่งดูหนังอยู่ตรงนี้สิ” คุณพิทักษ์พยักเพยิดพลางชี้นิ้วบอกพิกัดที่มั่น จากนั้นจึงแนะแนวทางในการพิชิตใจลูกชายตัวเองให้อีกฝ่ายรับรู้อย่างไม่นึกหวง “เสาร์อาทิตย์แบบนี้ พิชญ์เขาชอบออกไปซื้อของกินที่ตลาดตอนเช้า ๆ ” คนพูดนิ่งไปอึดใจก่อนจะหย่อนคำใบ้สุดท้ายลงในพานแล้วยื่นให้เด็กปีหนึ่ง “ไม่เกินหกโมงครึ่งก็คงจะลงมาแล้วล่ะ”

ชายหนุ่มเหลือบมองเวลาข้างฝาผนังพลางตระหนักได้ว่าตนเหลือเวลาเตรียมความพร้อมรอเจอหน้ารุ่นพี่ต่างคณะเพียงสิบนาทีกว่า ๆ เท่านั้น “ขอบคุณครับป๋า”

“อดทนให้มาก ๆ นะหนึ่งเดียว คิดจะคบกับลูกป๋าต้องอาศัยเวลาและความพยายาม แต่ถ้ามีปัญหาอะไรให้ถามป๋า ป๋าจะช่วยบอกใบ้ให้”

“ขอบคุณครับป๋า ผมจะอดทนรอจนกว่าพี่พิชญ์จะยอมคบกับผมครับ!” เดียวยกมือไหว้ว่าที่พ่อตาด้วยความซาบซึ้ง

“ดี ๆ งั้นป๋าฝากพิชญ์ด้วยนะ ป๋าไปนอนก่อน ง่วงแล้ว”

“ครับป๋า” สิ้นเสียงรับคำของเด็กปีหนึ่ง คุณพิทักษ์ก็ตบบ่าชายหนุ่มเบา ๆ ก่อนจะหลับตาเดินก้าวขึ้นบันไดไปอย่างกระฉับกระเฉง




“มึงมานั่งทำซากอะไรแต่เช้า เมื่อคืนแอบแดกม้าก่อนนอนหรือไง?” เดียวรู้สึกขอบคุณตัวเองที่ไม่พิรี้พิไรปั้นแต่งทรงผมอยู่ในห้องน้ำนานเกินกว่าเหตุ ไม่อย่างนั้นเขาคงกลับมานั่งเต๊ะท่ารอให้พิชญ์ผ่านมาเจออย่างเป็นธรรมชาติไม่ทันแน่ ๆ

“ผมมารอพี่พิชญ์ครับ ป๋าบอกว่าเสาร์อาทิตย์พี่พิชญ์ตื่นเช้า” คนพูดอมยิ้มพลางลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างกระตือรือล้น “พวกเราไปกันเลยไหมครับ?”

“ไปไหน?” พิชญ์หรี่ตามองเด็กวิศวะอย่างไม่ไว้วางใจ เพราะลำพังเดินลงจากชั้นสองมาเจอหน้ามันเป็นคนแรกของวันก็แย่พออยู่แล้ว

“ก็ไปตลาดไงครับ”

“ฮึ!” สีหน้ารู้ดีของเดียวทำคนโตกว่าหมั่นไส้ในเส้นสายรุ่นใหญ่ที่คอยหนุนหลังเด็กเวรตะไลดีเหลือเกิน ดังนั้นแทนที่จะตอบคำ พิชญ์กลับเดินเลี่ยงไปหยิบกุญแจรถในลิ้นชัก แต่อีกฝ่ายกลับไวกว่า

“ให้ผมขับเถอะนะครับ” เฟรชชี่ยื่นข้อเสนอพลางแกว่งพวงกุญแจเจ้าปัญหาตรงหน้าเด็กปีสามจนอีกฝ่ายพยายามยื้อแย่งอยู่พักใหญ่

“เอามา!

“เถอะครับ” หนึ่งเดียววอนพลางมองอ้อนก่อนจะรวบกุญแจไปถือไว้ข้างหลัง

“จะขับน่ะรู้ทางหรือไง?”

“พี่พิชญ์ก็คอยบอกทางผมสิครับ นะครับ ผมอยากขับรถให้พี่นั่ง”

“มึงนี่น่ารำคาญฉิบหายเลยว่ะ!” สิ้นเสียงถอนหายใจฟึดฟัด เสียงบ่นเป็นหมีกินผึ้งของคนโตกว่าก็ดังขึ้นทันที แต่สิ่งที่ทำให้หนึ่งเดียวยังอมยิ้มเป็นบ้าเป็นบออยู่ได้ ก็เพราะพิชญ์ยอมเดินตามเขาออกจากบ้านไปแม้จะทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ก็ตาม


……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...


ความในใจทิ้งท้ายตามสไตล์ชายชิค ๆ :
พวกเพื่อน ๆ เคยบอกชายว่า ชีวิตชายคงง่ายกว่านี้ ถ้าชายเอาดีด้านการเป็นรุก
แต่สำหรับเด็กชายวัยสิบขวบที่อยากจะเดินเข้าไปกัดกล้ามแขนรุ่นพี่นักกีฬาเพื่อให้เขาหันมาสนใจ
ชายเชื่อว่า ฟ้าได้ลิขิตให้ชายเกิดมาเป็นภรรยาอย่างแท้จริง



$$$$<| TBC |>$$$$

No comments:

Post a Comment