Wednesday, March 1, 2017

ถ้าต้อยได้ ชายจะเป็นอมตะ ||#15|| 01.03.2017



<|No.15|>
ทุก ๆ เรื่องราวที่ประดังเข้ามา พี่เชื่อว่ามันต้องมีเงี่ยนงำ

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...


“เลคเชอร์เมื่อวานล่ะครับพี่ผึ้ง?” หย่อนตัวนั่งก้นยังไม่ทันร้อน พิชญ์ก็เปิดฉากทวงงานจากความหวังหนึ่งเดียวของกลุ่มยิก ๆ ปาณัธทำหน้าเหม็นเบื่อก่อนจะโยนชีทสองชุดลงตรงหน้าเพื่อนจอมเหวี่ยง

“อ่ะ เอาไป”

“โหพี่ผึ้งครับ พี่ผึ้งใจดีจัง จดเลคเชอร์เสร็จแล้วยังซีร็อกซ์มาให้พวกเราด้วย” ชายชาตรีเยินยอตัวอ่อนมนุษย์ป้าเสียดิบดีค่าที่หลงประเมินน้ำใจของเพื่อนรุ่นพี่ต่ำเกินไป ใครล่ะจะคิดว่า นอกจากจะยอมจดคำบรรยายของอาจารย์ตามคำขอของพิญ์แล้ว ปาณัธยังใจดีเจียดเงินทำสำเนาให้เสร็จสรรพ แต่เมื่อลากสายตาผ่านตัวอักษรเป็นระเบียบกับแผนผังช่วยจำเป็นระบบบนกระดาษเอสี่ในมือ สายเปย์ก็ตวัดสายตามองหน้าพิชญ์ก่อนจะพากันถอนหายใจ

เห็นดังนั้น ตัวแม่ประจำกลุ่มจึงไม่อาจนิ่งเฉยทำซึนได้อย่างที่ตั้งใจ “ลายมือกูพวกมึงคงอ่านไม่ออก กูเลยให้หมูมันซีฯ เผื่อพวกมึงด้วยสองชุด” น้ำเสียงของเจ้าหล่อนแผดดังแถมยังเพี้ยนสูงขึ้นอีกหลายคีย์หลังโดนพิชญ์กลอกตาทำหน้ายี้แบบผู้ดีใส่ซึ่ง ๆ หน้า “อะไร? มึงทำหน้าแบบนั้นทำไม? ผู้ใหญ่ให้ของก็ต้องขอบคุณหรือเปล่า?”

“ขอบคุณครับพี่ผึ้ง” สองหนุ่มจำใจเปล่งถ้อยคำบังคับอย่างเสียไม่ได้ โดยที่หนึ่งในนั้นแอบตั้งปณิธานในใจว่าจะลอบหาโอกาสแว่บไปขอบคุณเจ้าของเลคเชอร์ตัวจริงอีกทีในภายหลัง ยิ่งเมื่อเผลอนึกภาพหมู หนุ่มเนิร์ดประจำสาขาขณะโดนปาณัธรีดไถงานพร้อม ๆ กับบังคับให้ถ่ายเอกสารให้เสร็จสรรพด้วยแล้ว ชายชาตรีก็ยิ่งรู้สึกเวทนาเด็กหน้าห้องไปกันใหญ่

“เออให้มันรู้เสียบ้างว่าใครเป็นใคร!” ตัวอ่อนมนุษย์ป้าเสหลบตาพลางแสร้งก้มหน้าก้มตาปั่นงานต่อด้วยรู้สึกประดักประเดิดจนไม่กล้าสู้หน้าใคร

“แล้วนี่ไอ้ยิมมันหายดีหรือยังวะชาย?”

“เท่าที่จับตัวดูเมื่อเช้าก็ไม่มีไข้แล้วนะ ชายว่าพรุ่งนี้ยิมก็น่าจะหายดีแล้วล่ะ” เมื่อเพื่อนถามไถ่ถึงเรื่องเมื่อวาน ก็พาลให้ชายชาตรีนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “แต่ยังไงก็ขอบคุณพิชญ์กับน้องเดียวมากนะที่เอาของไปให้เมื่อวาน ตอนบ่ายชายเลยไม่ต้องทิ้งยิมออกไปซื้อของกินที่ไหนอีก”

“มึงไม่ต้องขอบคุณกูก็ได้ชาย กูบอกแล้วไงว่ากูอยากช่วยมึง” พิชญ์ชักสีหน้าอย่างหงุดหงิดเมื่อประโยคขอบคุณของเพื่อนไม่ได้ชวนซาบซึ้งอย่างที่ควรจะเป็น และนั่นคงเป็นเพราะเหตุผลข้อ เดียว จริง ๆ “แต่ถ้าอยากขอบคุณกูนักล่ะก็นะ มึงช่วยหยุดพูดชื่อไอ้เด็กนั่นจะได้ไหมวะ กูไม่อยากได้ยิน!

หลังจากบิดาของเขาแอบเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของไอ้เด็กเวรตะไลไปเมื่อวาน ดูเหมือนว่าหลังจากนั้น ชีวิตของหนุ่มบริหารจอมเหวี่ยงก็พัวพันอยู่แต่กับเฟรชชี่หน้าด้านที่ขยันโผล่หน้ามาให้รำคาญตาดีเหลือเกิน นี่ถ้าเมื่อเช้าไม่ได้ลุงคนสวนช่วยฉีดน้ำไล่ ไอ้เด็กการ์ตาร์ต้องหาทางหลอกล่อเขาจนเผลอเดินตามมันขึ้นรถอีกวันแน่ ๆ  

“เด็กนั่น? น้องเดียวน่ะเหรอ? ทำไมล่ะพิชญ์ ทำไมพิชญ์ไม่อยากให้ชายพูดถึงน้องเดียว? ก็เมื่อวานพิชญ์ยังออกไปกินข้าวกับน้องเดียวอยู่เลยไม่ใช่เหรอ?” สายเปย์โพล่งอย่างพาซื่อ... ก็ถ้าไม่อยากได้ยินชื่อกัน แล้วทำไมพิชญ์ถึงยอมให้น้องลากไปไหนมาไหนด้วยล่ะ?
“เอ๊ะไอ้ชาย! กูบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าพูดชื่อไอ้เด็กนั่น!
“หยุดก่อนพวกมึง อย่าเพิ่งตีกัน” จังหวะที่กำลังพิชญ์กำลังจะย่างสามขุมอ้อมโต๊ะไปกดจุดตายของควายน้ำให้สำนึกถึงความผิดตัวเองนั้น ตัวอ่อนมนุษย์ป้าก็ชูมือขึ้นห้ามปรามพลางเปิดประเด็นที่น่าสนใจทันควัน 

“มีอะไรหรือเปล่าครับพี่ผึ้ง?” ชายชาตรีและพิชญ์เอนตัวแล้วยื่นหน้าเข้าหาผึ้งด้วยองศาเดียวกับกลุ่มสตรีผู้มีทักษะด้านการนินทาในระยะเผาขนอย่างดีเยี่ยม

“พวกมึงรู้จักผู้ชายคนนั้นไหม?” คำถามที่ว่าคงจะฟังธรรมดาและพื้นบ้านกว่านี้มากหากมันไม่ได้ถูกเอื้อนเอ่ยออกจากปากของปาณัธ สตรีไร้ใจผู้ไม่เคยหลงใหลในสิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจากผลประโยชน์ของตัวเอง จึงไม่แปลกหากสองหนุ่มจะสอดส่ายสายตามองหาคนที่ตัวอ่อนมนุษย์ป้ากำลังพาดพิงอย่างบ้าระห่ำ

“คนไหนเหรอครับพี่ผึ้ง?”
“อู๊ย! ชายเจ็บนะพิชญ์!” ขณะไต่ถามเพื่อนรุ่นพี่ พิชญ์ก็อาศัยความว่องไวฟาดม้วนชีทใส่หัวกะโหลกหนา ๆ ของสหายหน้าเข่าด้วยความหมั่นไส้ในแผลเมื่อครู่ไปหนึ่งดอก
“จิ๊! พวกมึงอย่าเพิ่งเล่นสิวะ! ดูก่อน นั่น!” สองหนุ่มพยักหน้าขอโทษขอโพยคนโตกว่าพลางเพ่งสมาธิลากสายตามองตามเป้าหมายที่ผึ้งเพิ่มเติมพิกัดให้ในภายหลัง “คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าตู้กดน้ำตรงนั้นน่ะ พวกมึงมองเห็นหรือยัง?”

“คนไหนอ่ะครับพี่ผึ้ง?”

“ก็คนที่หล่อ ๆ แต่หน้าดูแข็ง ๆ แปลก ๆ คนนั้นไง เห็นป่ะ?” ปาณัธเอ่ยพลางชี้นิ้วไปยังทิศทางของตู้กดน้ำซึ่งเบื้องหน้านั้น มีชายหนุ่มหุ่นล่ำ หน้าตาหล่อล้ำด้วยความเก่งกาจของศัลยแพทย์นั่งตัวสว่างโร่เป็นหลอดไฟแอลอีดีอยู่หนึ่งคน

“อ๋อ ครับ ๆ ”

ทันทีที่เพื่อนทั้งสองพยักหน้ารับคำ ผึ้งก็ระรัวข้อมูลชุดใหญ่อย่างรวดเร็ว “กูเห็นเขานั่งจ้องพวกมึงสองคนเหมือนอยากจะแดกอยู่ตั้งนาน สรุปพวกมึงรู้จักเขาหรือเปล่าวะ?”

“หึ!” เป็นอีกครั้งที่ทั้งชายชาตรีและพิชญ์พร้อมใจกันส่ายหัว เพราะแม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่านักศึกษาชายนิรนามผู้นั้นจะหน้าตาโดดเด่น แต่พญานกที่เจนสนามเต๊าะหนุ่ม ๆ มาทั้งสถาบันกลับไม่เคยเห็นหน้าเป้าหมายที่ปาณัธจำเพาะเจาะจงมาก่อนเลยสักครั้ง

“พี่ผึ้งแน่ใจเหรอครับว่าผู้ชายคนนั้นมองพวกเรา?” สายเปย์กังขาด้วยตระหนักถึงความมีระดับของหนังหน้าตัวเองเป็นสำคัญ “เขาอาจจะมองคนอื่นอยู่ก็ได้”

จริงอยู่ที่ตลอดมา แม้ตัวอ่อนมนุษย์ป้าจะไม่เคยเสียเวลาไปกับเรื่องยิบย่อยหอยสังข์ แต่การจะเอ่ยอ้างว่ามีผู้ชายมาด้อม ๆ มอง ๆ พวกเขาทั้งที่พิชญ์ไม่ชอบผู้ชาย ส่วนตัวเขาก็ไม่ได้หน้าตาดีเด่อะไร ช่างน่าขำสิ้นดี ทว่าก่อนที่ปาณัธจะได้เผยสัญชาตญาณอันแม่นยำของเพศแม่ให้โลกได้ประจักษ์ ชายหนุ่มนิรนามก็ลุกขึ้นแล้วก้าวย่างอย่างสง่าผ่าเผยตรงดิ่งเข้ามาหาพวกเขาด้วยสีหน้าแน่วแน่

“ไอ้ชาย ถ้ามันเข้ามาถามว่าพวกเรามองมันทำไม มึงบอกมันไปเลยนะว่ามึงกำลังหาต้นแบบโมหน้าอยู่”

“พี่ผึ้ง! พี่ผึ้งไปว่าเขาแบบนั้นได้ยังไงครับ” สายเปย์เพิ่งจะห้ามปรามปาณัธไปหลัด ๆ แต่พิชญ์กลับสนับสนุนความคิดเห็นของตัวอ่อนมนุษย์ป้าหน้าตาเฉย

“แต่กูเห็นด้วยกับพี่ผึ้งว่ะ” จอมเหวี่ยงกวาดตามองผู้ชายที่กำลังร่นระยะเข้าใกล้โต๊ะม้าหินที่พวกเขานั่งอยู่มากขึ้นเรื่อย ๆ  “เมื่อกี๊ตอนยิ้ม มุมปากเขาดูไม่สามัคคีกันแปลก ๆ ว่ะ” แม้ผึ้งจะอยากวิพากษ์วิจารณ์คนแปลกหน้าสักต่อเพียงไหน แต่เจ้าหล่อนกับอีกสองหนุ่มก็สามารถหุบปากได้ฉับพลันทันตาเมื่อนักศึกษาผู้นั้นมาหยุดยืนเต๊ะท่าหล่ออยู่ข้าง ๆ โต๊ะ

“สวัสดีครับ” ชายนิรนามคลี่ยิ้มพลางวางมาดคล้ายนายแบบ จากนั้นจึงกล่าวคำทักทายกับสายเปย์เป็นกรณีพิเศษ “น้องชายจำพี่ได้ไหมครับ?”

“หืม? เรารู้จักกันเหรอครับ?”

สีหน้าเหลอหลาของชายชาตรีมีผลต่อความมั่นหน้าของคนมาใหม่ไม่น้อย รอยยิ้มของหนุ่มนิรนามดูจืดเจื่อนลงครู่หนึ่งก่อนเจ้าตัวจะสามารถปั้นหน้าเป็นการเป็นงานเพื่อเริ่มเจรจาพาที “น้องชายจำพี่ไม่ได้จริง ๆ เหรอครับ?”

“ขอโทษจริง ๆ ครับ แต่ผมจำไม่ได้ว่าเคยเจอพี่ที่ไหนมาก่อน” เด็กบริหารปีสามเอ่ยอย่างสุภาพเพราะแม้ที่ผ่านมา ชายชาตรีจะพบปะผู้ชายแปลกหน้ามาเกือบทั้งมหาลัย แต่กลับไม่เคยมีใครมีผิวหน้าตาเต่งตึงดึ๋งดั๋งจนดูแข็งปั๋งไปทั้งแถบเหมือนกับคนตรงหน้าเลยสักนิด

“น้องชายจำพี่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ เอาเป็นว่าเรามาทำความรู้จักกันใหม่อีกรอบดีไหมครับ” ชายนิรนามพยายามฉีกยิ้มกว้างอย่างไม่เกรงใจโบท็อกซ์เพื่อจะบอกคู่สนทนากลาย ๆ ว่าตนไม่ถือโทษโกรธเคืองเรื่องความหลัง

“พี่ชื่อแมนครับ คุณพ่อพี่อยู่ก๊วนตีกอล์ฟเดียวกันกับคุณพ่อน้องชายน่ะครับ จริง ๆ เราเคยเจอกันตอนงานแซยิดคุณพ่อพี่เมื่อปีก่อน แต่ตอนนั้นพี่ยังตัวไม่หนาเท่าเดี๋ยวนี้  พี่ไม่แปลกใจหรอกครับถ้าน้องชายจะจำพี่ไม่ได้ เพราะคนส่วนใหญ่ก็จำพี่แทบไม่ได้กันทั้งนั้น” สิ้นคำ แมนสรวงก็แอ่นอกแน่น ๆ ขึ้นอวดสายตาคู่สนทนาอย่างไร้ยางอาย

“อ่า... ครับ ชายคงจำพี่ไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละครับ” สายเปย์รับคำพลางยิ้มแห้ง ๆ ส่งให้คนมาใหม่ด้วยต่อให้นึกให้ตาย ชายหน้าแข็งก็ไม่ใกล้เคียงกับใครต่อใครที่อยู่ในความทรงจำ แต่สิ่งที่ทำให้ชายชาตรีเริ่มอยู่ไม่สุขยิ่งกว่าท่าทางอวดกล้ามของพี่แมนแสนล่ำตรงหน้าเห็นจะเป็นสายตาระแวดระวังของเพื่อนจอมเหวี่ยงที่เห็นผ่านหางตาเมื่อสักครู่

เอ... พิชญ์เป็นอะไรนะ ทำไมถึงทำหน้าเหมือนคนปวดท้อง?

“เย็นนี้น้องชายว่างหรือเปล่าครับ? พี่อยากจะชวนน้องชายไปกินข้าว เราจะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นยังไงล่ะครับ?”

“ขอโทษทีครับ แต่ชายไม่ว่าง ชายต้องไปทำงานครับ” เป็นเพราะเด็กบริหารเอาแต่ตอบคำถามของคนแปลกหน้าอย่างว่าง่าย ตัวอ่อนมนุษย์ป้าจึงจำใจสวมบทตัวร้ายตามความถนัดทันที

“เฮ้ยพวกมึง ขึ้นห้องได้แล้ว เดี๋ยวก็สายหรอก”

“ขอตัวก่อนนะครับ ได้เวลาเรียนแล้ว” เมื่อเห็นเพื่อนสนิททั้งสองพากันเก็บข้าวของพลางตั้งท่าจะขึ้นเรียนวิชาภาคบ่าย ชายชาตรีจึงรีบเอ่ยคำลาต่อลูกเพื่อนพ่อตามมารยาท กระนั้น จังหวะสายเปย์กำลังจะหมุนตัวเดินจาก คนแปลกหน้ากลับรั้งข้อมือของเขาเอาไว้อย่างถือวิสาสะ

“เดี๋ยวครับน้องชาย” เด็กบริหารพยายามยื้อมือกลับ ทว่าแมนสรวงตรึงไว้แน่นหนา แถมยังมีหน้าส่งสายตาหวานหยดไปหาชายชาตรีเสียอีก “พี่ขอเบอร์น้องชายหน่อยได้ไหมครับ? เผื่อเย็นนี้พี่ว่าง ๆ พี่จะได้แวะไปแอบดูน้องชายทำงานน่ะครับ”

“เอ่อ อย่าดีกว่าครับ ชายอยากตั้งใจทำงาน ไม่อยากวอกแวก”

“ไปชาย ขึ้นเถอะ” พิชญ์จ้องบุรุษปริศนาจนลูกตาแทบหลุดออกจากเบ้าพลางออกแรงฉุดกีบเท้าหน้าอีกข้างของควายน้อยให้เดินตามกันไปทันที  

เมื่อทั้งหมดขึ้นไปถึงยังพื้นที่ปลอดภัย สหายทั้งสองของสายเปย์ก็พากันส่งเสียงเซ็งแซ่ “ทำไมเมื่อกี๊มึงถึงปล่อยให้ไอ้แมนนั่นจับมือมึงได้ มึงนี่ไม่รักนวลสงวนตัวเลยนะชาย ถ้ากูเป็นไอ้ยิม กูคงเสียใจตายที่มีแฟนไม่ได้เรื่องอย่างมึง!” พิชญ์จวกเพื่อนด้วยสีหน้าผิดหวังราวกับพ่อที่จับลูกสาวผ้าพับไว้ในร่างสก๊อยได้คาหนังคาเขา

“เมื่อกี๊ชายไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ นะพิชญ์ อีกอย่าง ชายกับยิมยังแค่ศึกษาดูใจกันเฉย ๆ พวกเรายังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกันเสียหน่อย” เด็กบริหารหน้าเข่าแก้ไขความเข้าใจของเกลอรักเสียใหม่โดยไม่ได้สำเหนียกเลยสักนิดว่าตนเองคือสาเหตุนำพาเพื่อน ๆ ออกทะเลโดยแท้

“พูดแบบนี้แปลว่ามึงจะแทงกั๊กไอ้ยิมมันงั้นเรอะ?” ตัวอ่อนมนุษย์ป้าในฐานะเถ้าแก่เนี้ยฝ่ายเจ้าบ่าวเต้นผาง “มึงชอบไอ้หน้าแข็งมากกว่าเด็กยักษ์ร้านกูงั้นเรอะ?”

“เปล่าครับพี่ผึ้ง ชายยังชอบยิมเหมือนเดิม ชายไม่ได้จะคบใครเผื่อเลือก เมื่อกี๊ชายแค่อธิบายสถานะระหว่างชายกับยิมให้พิชญ์ฟังเท่านั้น อีกอย่าง พี่แมนเขาก็ไม่ได้อะไรกับชายเสียหน่อย เขาแค่อยากทำความรู้จักชายเหมือนที่พ่อพวกเรารู้จักกันเท่านั้นแหละครับ”

“โอ๊ยไอ้ช้ายยย! ในโลกนี้คงมีแต่มึงเท่านั้นแหละที่ไม่รู้ว่าไอ้แมนนั่นมันกำลังจีบมึง!

“จริงเหรอครับพี่ผึ้ง?! พี่แมนเนี่ยนะครับจะจีบชาย?!!!” ประโยคชี้นำของผึ้งก่อให้เกิดความรู้สึกมากมายภายในใจของชายหน้าเข่า เขาบอกไม่ได้ว่า ระหว่างตกใจ แปลกใจ ตงิดใจ และสังหรณ์ใจแปลก ๆ อันไหนรุนแรงกว่ากัน

ไม่ใช่... คนอย่างพี่แมนไม่น่าจะชอบชาย
ชายรู้ ชายสัมผัสได้ว่าเราน่าจะมีเป้าหมายเดียวกัน  
  
“ก็เออสิวะ! ไอ้หน้าแข็งนั่นมันตั้งใจมาจีบมึงโดยเฉพาะเลยไอ้ชาย”

“พี่แมนเขาจีบชายจริง ๆ เหรอพิชญ์?” ความที่ยังงงไม่หาย สายเปย์จึงต้องใช้พิชญ์เป็นตัวช่วยสุดท้ายของคำถามข้อนี้ แต่คนถูกถามกลับถอนหายใจพลางส่ายหัวไว้อาลัยให้กับลูกควายน้อยรัว ๆ

“เฮ่อ!

“ไปเหอะพิชญ์ ปล่อยให้ชายมันโง่อยู่แบบนี้แหละ คนดี ๆ แบบไอ้ยิมจะได้หมดเวรหมดกรรมเสียที”   

สายเปย์วิ่งไปดักหน้าตัวอ่อนมนุษย์ป้าเอาไว้ก่อนที่หล่อนกับพิชญ์จะเดินเข้าห้องเรียนไปทั้งที่ยังเข้าใจตัวเขาผิด “โธ่พี่ผึ้ง พี่ผึ้งอย่าพูดแบบนั้นสิครับ ที่ชายถามเพราะชายไม่เคยถูกใครจีบมาก่อนเลยนี่นา”  

“แล้วชอบหรือไงที่ไอ้หน้าแข็งนั่นมาตามจีบน่ะ?” ปาณัธรีบถามดักคอด้วยความกลัวว่าเพื่อนหน้าเข่าอาจจะกำลังระเริงอำนาจหลังมีคนหลวมตัวหลงผิดเข้ามาขอทำความรู้จักจนหักอกผู้ช่วยพ่อครัวของตน   

“ชอบเชิบที่ไหนล่ะครับพี่ผึ้ง ชายมีคนที่ชอบแล้วครับ ชายไม่มองคนอื่นนอกจากยิมหรอก”

“ให้มันจริง!” หญิงสาวเพียงคนเดียวของกลุ่มชี้หน้าชายชาตรีอย่างคาดโทษจนสายเปย์รีบพยักหน้ารับคำเจ้าหล่อนจนหัวสั่นหัวคลอน

$$$$$$$$

“เฮ่อ!

“คยองโอปป้าอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมครับ เดี๋ยวชายไปตักมาให้?” สายเปย์ถามเจ้าของร้านที่เอาแต่ถอนหายใจตั้งแต่แรกมาถึง จนตอนนี้ ขณะที่พวกเขานั่งล้อมวงกันกินข้าว คองก็ยังนั่งกอดเข่าเจ่าจุกไม่เลิกรา

“ขอบใจนะชาย แต่ไม่ต้องหรอก เฮียอิ่มแล้ว”

“แต่เฮียเพิ่งกินข้าวไปนิดเดียวเองนะครับ”

“พี่ชาย รีบกินข้าวเถอะครับ อีกเดี๋ยวร้านก็จะเปิดแล้ว” แม้จะวิตกกังวลกับท่าทางหดหู่เรื้อรังของเฮีย แต่ยิมกลับเลือกที่จะเตือนสติรูมเมทด้วยความเป็นห่วงอีกฝ่ายกว่าใครเพื่อน เพราะหากเทียบกันแล้ว เด็กเสิร์ฟย่อมต้องการพลังงานมากกว่าเจ้าของร้านที่รับหน้าที่คิดเงินและดูแลบัญชีเป็นไหน ๆ

“ยังไม่เลิกกลุ้มเรื่องขาประจำอีกเหรอเฮีย?” พ่อครัวใหญ่ทรุดตัวลงนั่งพร้อมวางจานข้าวขนาดน้อง ๆ กะละมังใบย่อมลงตรงหน้าตนเองก่อนจะตักอาหารส่วนกลางอย่างไม่เกรงใจใคร 

“...” คองถอนหายใจพลางส่ายหัวอย่างกลัดกลุ้มโดยไม่เอ่ยคำ เดือดร้อนสมาชิกคนสุดท้ายของร้านที่เพิ่งเดินเข้ามาต้องรับหน้าที่โฆษกแถลงอาการเซื่องซึมโศกเศร้ากินข้าวไม่ได้ นอนไม่หลับแทนเจ้าตัว

“ก็เออดิวะ!” ปาณัธระเบิดอารมณ์ “นี่ก็วันสิ้นเดือน แถมพรุ่งนี้ยังหยุดยาวอีกสี่วัน ถ้าคืนนี้แขกเก่า ๆ ยังไม่โผล่มา ร้านเราต้องมีปัญหาแน่ ๆ ” ตัวอ่อนมนุษย์ป้าว่าพลางเลื่อนจานผลไม้ไปตรงหน้าคนรักพลางส่งสายตากำชับให้อีกฝ่ายกลั้นใจกินก่อนจะโดนจับยัดตามอัธยาศัยคนป้อนในอีกไม่กี่อึดใจ

“แต่ชายว่า อาทิตย์ที่ผ่านมา ลูกค้าขาจรของเราเยอะขึ้นนะครับคยองโอปป้า” เด็กเสิร์ฟออกความเห็นตามสภาพการณ์ที่แท้จริง

“นั่นมันก็ใช่ แต่เฮียอยากรู้ว่าเพราะอะไร ทำไมขาประจำถึงพร้อมใจหายหน้าหายตากันไปหมด” คนพูดมีสีหน้ายุ่งยากใจและดูเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด “ถ้าสาเหตุมันมาจากร้านเรา เฮียก็จะได้ปรับปรุงให้มันดีขึ้น แต่ถ้าไม่ใช่ เฮียก็จะได้เอาเวลาไปคิดเรื่องอื่นเสียที”

“ร้านยังไม่ทันเปิด เฮียจะรีบเครียดไปไหน ไว้วันนี้ไม่มีแขกเมื่อไร ค่อยกลับไปให้เจ๊จัดนัดล้างตาปลอบใจให้ที่บ้านก็ยังไม่สาย ใช่ไหมจ๊ะเจ๊จ๋า?”

“จ๋ากับพ่อมึงเถอะไอ้โจ!” ปาณัธแหวใส่กระปุกตั้งฉ่ายปากมอม

คำพูดของพ่อครัวเมื่อสักครู่ กอปรกับอาการเป็นห่วงเป็นใยของลูกน้องทั้งหลายทำให้คองคิดได้ในท้ายที่สุด เจ้าของร้านข้าวต้มจึงเลือกที่จะเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเพื่อทำให้บรรยากาศระหว่างมื้ออาหารมีชีวิตชีวากว่าเดิม “ไงชาย ทำงานเดือนแรก เหนื่อยไหม?”

“ไม่เหนื่อยเลยครับคยองโอปป้า งานสนุกมาก ลูกค้าก็น่ารักทุกคน แถมเพื่อนร่วมงานที่นี่ก็ดีกับชายที่หนึ่งเลยครับ”
“โดยเฉพาะไอ้ยิมผัวมึงใช่ไหมล่ะ?!
“ไอ้โจ!
“ผมพูดผิดตรงไหนวะเฮีย ใคร ๆ ก็รู้ว่าไอ้ยิมเป็นผัวไอ้ชาย” ในเมื่อไม่ได้รับการสนับสนุนจากเจ้านาย พ่อครัวใหญ่จึงหันไปชิ่งลูกใส่รุ่นน้องทั้งสองอย่างรวดเร็ว “หรือพวกมึงจะปฏิเสธ?”

ยิมอมยิ้มกรุ้มกริ่มแต่ทว่ากลับนิ่งเงียบ ไม่ตอบโต้ใด ๆ ราวกับต้องการปล่อยให้ผู้เสียหายเป็นคนอธิบายเรื่องทั้งหมดด้วยตัวเอง “ไม่ครับ” ชายชาตรีสารภาพแผนการในอนาคตด้วยสีหน้าขวยเขิน “แต่ตอนนี้ยิมยังไม่ได้เป็นผัวชายหรอกครับพี่โจ เพราะเราสองคนกำลังเรียนรู้นิสัยใจคอกันอยู่น่ะครับ”

“แล้วพวกมึงจะต้องรอไปถึงเมื่อไร? หรือมึงจะรอให้หมาตัวไหนโผล่มางาบไอ้ยิมไปแดกต่อหน้าต่อตา?” นี่คงเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผู้ช่วยพ่อครัวแอบกดไลค์ให้กับความเผือกจนได้เรื่องของรุ่นพี่ร่วมแผนก เพราะแม้จะไม่เคยถามรุ่นพี่ต่างคณะ แต่ยิมกลับปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเองก็อยากรู้คำตอบใจแทบขาด

“แล้วมึงไปเสือกอะไรกับพวกมัน? ห๊ะไอ้โจ?” ประโยคของตัวอ่อนมนุษย์ป้าดับฝันเด็กวิศวะลงในพริบตา...

อา... สงสัยคงต้องร้องเพลงรอกันต่อไปจริง ๆ ล่ะมั้ง

“นั่นสิ! เรื่องหัวใจมันต้องให้เวลา ถึงวันนี้ไอ้ชายมันจะยังไม่พร้อม วันหน้าก็ยังมี” คองจ้องลึกเข้าไปในตาลูกน้องหน้าหนวด ก่อนจะให้โอวาทด้วยความปรารถนาดีต่อชายหนุ่มทั้งสองจากใจจริง “มึงเป็นฝ่ายได้ มึงต้องอดทนและเห็นใจไอ้ชายให้มาก ๆ นะยิม ของแบบนี้ ถึงชายมันจะเป็นฝ่ายยอมลงให้มึง แต่มึงก็ต้องไม่ลืมว่ามันเองก็เป็นผู้ชาย ศักดิ์ศรีอะไรมันก็ยังมี เพราะฉะนั้น มึงต้องห้ามใจร้อนวู่วามทำตามใจเด็ดขาด เข้าใจไหม?”

“ครับ” เด็กปีหนึ่งรับคำหนักแน่น เพราะโดยส่วนตัวแล้ว ยิมตั้งใจมาแต่แรกว่าจะไม่เร่งรัดอีกฝ่ายจนเกินไป เด็กหนวดจึงปล่อยให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งคู่ค่อย ๆ พัฒนาเติบใหญ่ไปตามจังหวะที่รุ่นพี่ต่างคณะสบายใจ

“เอ้อนี่ไอ้ชาย”

“ครับคยองโอปป้า?”

“เงินเดือน ๆ แรกน่ะอย่าใช้จนหมดล่ะ มีเหลือเก็บบ้างนะ เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นมา พวกมึงจะได้ไม่ลำบากมาก” เมื่อเรื่องคาว  ๆ ตกไป เรื่องเครียด ๆ เกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ ก็กลายมาเป็นประหัวข้อที่นายใหญ่ต้องเน้นย้ำกับเด็กเสิร์ฟคนใหม่ผู้มีประวัติในการใช้จ่ายล้างผลาญยิ่งกว่าทุกคนในร้านรวมกัน

“ครับคยองโอปป้า แต่คยองโอปป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เพราะชายมีผู้จัดการส่วนตัวคอยดูแลทุก ๆ อย่างให้แล้ว” อดีตสายเปย์อมยิ้มกับผู้ดูแลกองทุนส่วนตัวอย่างรู้กัน แต่แล้วกลับมีเสียงของจอมมารดังสอดแทรกขึ้นจนช่วงเวลาหวาน ๆ ล่มสลายหายวับไปกับตา

“ดี ๆ ! ไหน ๆ ไอ้ชายมันก็ฝากเงินไว้กับมึงหมดแล้ว เอาเงินมาแบ่งให้กูใช้หน่อยดิ๊!

“ไอ้โจ! ทะลึ่งให้มันน้อย ๆ หน่อย เงินเดือนมึงก็มี อย่าเที่ยวเบียดเบียนน้องมัน!” โจแลบลิ้นปลิ้นตาอย่างไม่สะท้านกับคำด่าของหัวหน้าแม้สักกระผีกริ้น




“ไป ๆ พวกมึงขับรถกลับบ้านดี ๆ ” เมื่อล็อกตัวสุดท้ายถูกคล้องเข้ากับหูช้างตรงรั้วเหล็กด้านหน้า เจ้าของร้านข้าวต้มก็เตือนสติเด็กในร้านทิ้งท้าย เพื่อให้ทุกคนแยกย้ายกลับที่พักด้วยความไม่ประมาท

“อย่าคิดมากนะครับเฮีย ไม่แน่พรุ่งนี้พวกขาประจำอาจจะแวะมากินเหล้าที่ร้านเราก็ได้”

“นั่นสิครับคยองโอปป้า กลับไปพักผ่อนเถอะครับ อย่ากังวลใจไปล่วงหน้าเลย พวกเราเป็นห่วงคยองโอปป้านะครับ” ชายชาตรีเสริมความต่อจากเด็กหนวดด้วยยังไม่วางใจกับสีหน้าเคร่งเครียดของนายใหญ่ ภายหลังจากตระหนักแล้วว่า ยอดขายประจำค่ำคืน มาจากการอุดหนุนของลูกค้าขาจรรายย่อยทั้งสิ้น

“ขอบใจ ๆ มึงพาไอ้ชายกลับไปนอนได้แล้วยิม วันนี้พวกมึงเหนื่อยกันมามากแล้ว”

“ครับ” สิ้นเสียงของคอง ชายหนุ่มทั้งสองก็ปลีกตัวเดินไปยังลานจอดรถมอเตอร์ไซค์ทันที
.
.
“เฮ่อ! พี่ชายเป็นห่วงคยองโอปป้าจัง ขืนคยองโอปป้าคิดมากจนกินอะไรไม่ลงเหมือนเมื่อตอนเย็น คยองโอปป้าจะต้องป่วยเข้าสักวัน” สายเปย์พึมพำเบา ๆ แค่พอให้คนเดินเคียงได้ยินเสียงตน

“พี่ชายไม่ต้องห่วงเฮียหรอกครับ พี่ผึ้งไม่มีทางปล่อยให้เฮียล้มหมอนนอนเสื่อแน่ ๆ ครับ” ยาจกมืออาชีพคลี่ยิ้มพลางคว้าฝ่ามือของรุ่นพี่มาบีบเบา ๆ

“อืม จริงสินะ ยังมีพี่ผึ้งอยู่อีกทั้งคนนี่เนอะ” สัมผัสอบอุ่นของเด็กหนวดทำให้ชายชาตรีตกประหม่าจนต้องเสตามองไปทางอื่น แต่ระหว่างที่กวาดตาหลบรุ่นน้องนั้น  สายเปย์ก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างเข้าพอดี

ณ จุดจอดรถมอเตอร์ไซค์ด้านหน้าร้าน มีรถเก๋งสปอร์ตยอดนิยมในหมู่คนรวยจอดอยู่ข้าง ๆ กับพี่เก๋า มอเตอร์ไซค์คันเก่าของยิม แต่สิ่งที่ทำให้ชายชาตรีตกใจจนหน้าเข่า ๆ ซีดเผือดไร้สีสันคือการที่คนขับซึ่งรอท่าอยู่ในรถมาเนิ่นนาน ค่อย ๆ เปิดประตู แล้วเยื้องย่างมาหาพวกเขาด้วยสภาพหน้าผมแน่นปัง แถมเสื้อผ้ายังจัดเต็มยิ่งกว่าเมื่อกลางวันเป็นไหน ๆ

“เฮ่ย!” สายเปย์อุทานลั่นเมื่อรู้ซึ้งแล้วว่าคนตรงหน้าคือใคร ในขณะที่อีกฝ่ายคลี่ยิ้มละไมขณะเอ่ยทักทายพร้อมกวาดสายตาสำรวจเด็กหนวดข้าง ๆ ตัวเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า

“น้องชาย”

สังหรณ์บางอย่างบอกกับยิมว่า บุคคลตรงหน้าไม่น่าไว้ใจ ยิมจึงรั้งร่างรุ่นพี่ให้ยืนหลบอยู่ด้านหลังพลางตั้งคำถามสอบสวนคนของตัวเองด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ หากแต่ฟังดุดันอยู่ในที “พี่ชาย นี่มันอะไรกันครับ?”

สีหน้าตึง ๆ ของเด็กหนวดทำให้คนโตกว่าระลึกถึงคุณสมบัติขี้หึงของรุ่นน้องได้โดยพลัน ชายชาตรีจึงรีบอธิบายตัวเองอย่างรวดเร็ว “ไม่มีอะไรนะยิม เขาเป็นลูกชายของเพื่อนคุณชายพ่อน่ะ”

“ผมชื่อแมนสรวงครับ ไม่ทราบว่าคุณคือ... “ คนแปลกหน้ายื่นมือมาหมายจะให้ยิมจับ แต่สายตาเจ้าชู้ยักษ์ที่อีกฝ่ายใช้มองชายชาตรีที่หลบอยู่ข้าง ๆ เขานั้น ทำให้เด็กวิศวะรู้สึกหงุดหงิดจนโพล่งสิ่งที่ใจคิดออกไปโดยไม่ทันรู้ตัว

“ผมชื่อยิม เป็นผัวพี่ชาย”

“ผัว?! น้องชายมีผัวแล้วเหรอคร...” ไม่ใช่แค่แมนสรวงเท่านั้นที่อยู่ในอาการตกตะลึง เด็กบริหารเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่ารูมเมทรุ่นน้องจะแนะนำตัวได้โลดโผนโจนทะยานขนาดนี้ กระนั้นเสียงตะโกนโหวกเหวกของพ่อครัวประจำร้าน กับเสียงเบิ้ลเครื่องมอเตอร์ไซค์ที่ดังอยู่ใกล้หูก็ดึงดูดความสนใจของทุก ๆ คนได้ในพริบตา

“ไอ้ชาย ไอ้ยิม ขึ้นมา!
“เดี๋ยวพี่โจ มีอะไร?!
“พวกมึงขึ้นมาเหอะน่า เดี๋ยวไม่ทัน!” ไม่ทันขาดคำ รถกระบะของเฮียที่มีผึ้งนั่งเป็นแม่ย่านางก็วิ่งปรู๊ดผ่านหน้าร้านไปอย่างรวดเร็ว โจจึงกระตุ้นสองหนุ่มคู่รักอีกครั้ง “ทิ้งรถพวกมึงไว้นี่แหละ เดี๋ยวกูขี่ไปส่งห้องเอง! เร็ว! เดี๋ยวตามเฮียไม่ทัน เฮียแม่งโมโหจนเกือบจะฆ่าคนได้อยู่แล้วเนี่ย!

แม้จะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก หากแต่สีหน้าเดือดร้อนของคนที่ไม่อนาทรร้อนใจเรื่องใคร ๆ อย่างโจก็ทำให้ทั้งยิมและชายพร้อมใจกันซ้อนท้ายชอปเปอร์คันงามของกระปุกตั้งฉ่ายออกไปทันทีโดยไม่สนว่ามีใครอีกคนถูกทิ้งให้ยืนงงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ตรงลานจอดรถร้านข้าวต้มเพียงลำพัง
.
.
.
.
.
.
“พวกเรากำลังตามใครอยู่เหรอครับพี่โจตู๋?” ชายชาตรีตะเบ็งเสียงฝ่าแรงลมที่ปะทะเหง้าหน้าจนชาดิกไปทั้งแถบ นี่ยังดีนะที่มียิมช่วยบังช่วงลำตัวเอาไว้ให้ ไม่อย่างนั้นเนื้อตัวของพี่ชายต้องโดนสายลมทำร้ายจนรวดร้าวไปก่อนแน่ ๆ

“อย่าเพิ่งถามมากน่า อีกเดี๋ยวพวกมึงก็รู้เอง”  

จริงดั่งคำพ่อครัวใหญ่ เพราะเพียงไม่กี่นาทีให้หลัง พวกเขาทั้งสามก็สามารถไล่กวดรถกระบะของคองกับผึ้งได้สำเร็จ

นับว่าร้านข้าวต้มเฮียคองยังพอมีบุญเหลือกินเหลือใช้ เพราะก่อนที่ผัวเมียเจ้าของร้านจะกระโจนใส่ชายร่างผอมผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่จากทางด้านหลัง เด็กเสิร์ฟกับผู้ช่วยพ่อครัวก็วิ่งเข้าไปห้ามทั้งคู่ได้ทันการณ์ ไม่อย่างนั้นแทนที่พรุ่งนี้ทั้งหมดจะได้เจอกันที่ร้านเหมือนทุกที ยิมกับชายคงได้ตามไปส่งข้าวผัดกับโอเลี้ยงให้ลูกพี่ผ่านซี่มุ้งสายบัวเป็นแน่แท้  

“เดี๋ยวครับพี่ผึ้ง พี่ผึ้งจะทำอะไรครับ?!

“เฮียใจเย็น!” ยิมที่กอดคองเอาไว้แน่นร้องห้าม ขณะที่ปาณัธอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของเพื่อนร่วมคณะหน้าเข่า

ตัวประกันของเด็กวิศวะทำให้ชีวิตเขากลายเป็นเรื่องง่าย ๆ เพราะยังไม่ทันไร คองก็ยืนหอบลิ้นห้อยไปเสียแล้ว ผิดกับตัวอ่อนมนุษย์ป้าที่กำลังวังชาดีเหลือเกิน ยิ่งช่วง ๆ ใกล้เวลานอนของเจ้าหล่อนด้วยแล้ว ปาณัธยิ่งคึกประหนึ่งม้าสาววัยกำดัด“ไอ้ชายปล่อยกู!” ผึ้งโวยวายพลางดีดดิ้นไปมาอย่างรุนแรงจนสายเปย์ต้องรวบข้อมือของเพื่อนรุ่นพี่เอาไว้ด้วยกัน พลางเต้นฟุตเวิร์คหลบปลายเท้าของอีกฝ่ายเป็นพัลวัน

“ไม่ครับพี่ผึ้ง พี่ผึ้งจะทำอะไรก็คิดให้ดี ๆ ก่อนสิครับ! ถ้าพี่ผึ้งกับคยองโอปป้าถูกจับ พวกเราจะทำยังไงกันล่ะครับ?”

“โอ๊ยไอ้ชาย! ไอ้ควาย! ปล่อยกูเดี๋ยวนี้นะ!” แม้ตัวอ่อนมนุษย์จะโกรธจนหลุดปากแผดเสียงด่าเพื่อนอย่างเหลืออด แต่หางตาของเจ้าหล่อนกลับเหลือบไปเห็นกระปุกตั้งฉ่ายเพิ่งกลิ้งเข้าฉากมาภายหลังจากแอบพาช็อปเปอร์ลูกรักไปจอดในซองซุปเปอร์ไบค์อย่างสมศักดิ์ศรี ทันทีที่รู้ว่าพรรคพวกของตนมีจำนวนมากกว่า ปาณัธจึงตะโกนสั่งให้ไพ่ตายทำหน้าที่แทนหล่อนกับคนรักทันที ”ไอ้โจ อย่าปล่อยให้มันเข้าข้างในไปได้! เร็ว!

“เฮ่ย?!!!” การต้องทนเห็นสัณฐานอวบกลมของพ่อครัวใหญ่กลิ้งหนีไปต่อหน้าต่อตาทำเอาชายชาตรีกับเด็กวิศวะช็อกตาตั้งไปตาม ๆ กัน

“เฮ่ย! อะไรวะ?! ไหงพี่โจทำกันงี้อ่ะ?” ยิมร้องด้วยน้ำเสียงตกใจ แต่ครั้นจะปล่อยมือจากตัวประกันหัวหน้าใหญ่แล้ววิ่งตามโจไป พวกเขาทั้งคู่กลับโดนผึ้งและคองยื้อเอาไว้เสียเอง “เฮีย? เฮียทำอะไรของเฮียครับ?”
“พี่ผึ้ง พี่ผึ้งปล่อยชายเถอะครับ ชายจะไปห้ามพี่โจ!
“พวกมึงอย่าได้คิดฝันว่าจะมาห้ามคนอย่างกู!
“พี่โจ?!

สายเปย์เพิ่งตระหนักเอาวินาทีนี้เองว่า รูปลักษณ์ภายนอก ไม่สามารถกำหนดความเร็วในการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตได้ เพราะขนาดกระปุกตั้งฉ่ายอย่างพี่โจตู๋ ยังสามารถตามไปลากชายร่างผอมคนนั้นให้เดินตามกันมาต้อย ๆ ได้สำเร็จภายในช่วงเวลาแค่อึดใจ  

“เอ้าเฮีย ถามเลย เฮียอยากรู้อะไรก็ถามเลย ผมจับตัวมาให้เฮียแล้ว” โจเกริ่นนำพลางรุนหลังเหยื่อของเหตุการณ์วุ่นวายให้ขยับมายืนกลางวงล้อมของเหล่าสมาชิกร้านข้าวต้มเฮียคอง

“ว่าไงไอ้สน มึงหายหัวไปไหนมาทั้งเดือน ทำไมไม่ยอมโผล่หัวไปร้านกูบ้างวะ?”

“โธ่เฮีย! ปล่อยฉันไปเถอะนะ แกล้งทำเป็นไม่เห็นฉันก็ได้จ้ะ นะ ฉันขอร้อง” สนยกมือไหว้คองปลก ๆ พลางส่งสายตาอ้อนวอนขอความเห็นใจด้วยรู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายใจดี แต่วิธีนี้กลับไม่ได้ผลกับคนบาปใจหยาบช้าอย่างพ่อครัวปากหมาของร้าน

“มึงตอบคำถามเฮียเดี๋ยวนี้นะไอ้สน ไม่งั้นอย่าหาว่าหล่อไม่เตือน!” โจข่มขู่ด้วยสีหน้าประหนึ่งมาเฟียรถบั๊มตามงานวัด ก่อนจะบุ้ยใบ้ให้เหยื่อหันไปมองหน้ายิมที่ยืนทำหน้าหมางงอยู่ข้าง ๆ เฮีย “ถ้ามึงคิดว่ากูไม่กล้า ก็ไม่เป็นไร แต่มึงเห็นไอ้ยักษ์นั่นไหม? ไอ้นั่นมันเคยต่อยแขกเฮียจนม้ามแตกมาแล้วนะเว่ย! 

“...” สนลอบกลืนน้ำลายเมื่อเห็นว่าคนที่กระปุกตั้งฉ่ายพยักเพยิดให้ดูนั้น คือชายฉกรรจ์ร่างหนา หน้าตาบูดบึ้งถมึงทึงดูน่ากลัวยิ่งกว่าใคร ๆ  

“ว่าไง จะบอกหรือไม่บอก?!”  

“บะ บะ บอก บอกแล้วจ้า แต่ถ้าเฮียรู้แล้ว เฮียอย่าบอกใครนะจ๊ะว่ารู้จากฉัน ฉันไม่อยากมีปัญหา”

“เออ!” ปาณัธ คองและโจต่างพร้อมใจกันรับคำของลูกค้าขาประจำโดยพร้อมเพรียง

“คืองี้จ้ะ เมื่อราว ๆ ต้นเดือนที่แล้ว มีคนเอาเงินมาจ้างพวกฉัน พวกพี่ถั่ว พี่เมฆ พี่ก้อน แล้วก็พวกพี่อรรถให้เลิกกินเหล้าร้านเฮีย บอกว่าห้ามพวกฉันกลับไปกินเหล้าร้านเฮียเป็นอันขาดน่ะจ้ะ”

“ห๊ะ?!”เนื้อความส่วนที่พาดพิงถึงเหล่าขาประจำทั้งหลายของร้านแบบครบถ้วนทุกกลุ่มก้อนไม่ได้ชวนให้คนฟังทั้งห้าตระหนกได้มากเท่ากับความฉ้อฉลเปี่ยมไปด้วยกลลวงของคนว่าจ้างที่สนอ้างถึงเลยสักนิด

“แล้วไงต่อวะ?” พ่อครัวตั้งสติได้ก่อนจึงซักไซ้พยานปากเอกต่อทันที  

“แล้วเขายังบอกอีกว่า ถ้าวันไหนพวกฉันเกิดอยากกลับไปกินเหล้าที่ร้านเฮียขึ้นมา ให้พวกฉันโทรหา แล้วเขาจะส่งคนมาพาพวกฉันไปกินเหล้าฟรีตามร้านที่มันดีกว่าร้านเฮียอีกหลายเท่าน่ะจ้ะ”

“อย่างไอ้ร้านนี้น่ะเรอะ?” กระปุกตั้งฉ่ายแสยะด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจขณะกวาดตามองผับระดับกลางตรงหน้าด้วยสีหน้าหงุดหงิด

“ใช่จ้ะ” สนยอมรับพลางคลี่ยิ้มแห้ง ๆ ให้กับสมาชิกร้านข้าวต้ม

“แล้วมึงรู้ไหมว่าพวกมันเป็นใคร?”

“ไม่รู้จ้ะ”

“มึงแน่ใจนะ? หรืออยากจะลองของ?” โจเหล่มองยิมอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ เด็กหนวดรับลูกด้วยการเก็กหน้าเคร่งขรึมพลางขยับตัวรุกคืบเข้าใกล้พยานมากขึ้นจนสนออกอาการหวาดกลัวจนปากคอสั่น

“ถึงฉันจะไม่รู้ แต่ฉันเคยได้ยินพวกพี่ ๆ เขาคุยกันว่า นายใหญ่ชื่อคุณชายพจน์ เพิด อะไรนี่แหละจ๊ะ”
“คุณชายพจน์?!
“คุณชายพ่อ?!!”  
“ห๊ะ?! เรื่องทั้งหมดนี่เป็นฝีมือพ่อมึงเองงั้นเรอะ?!

สนมองหน้ากลุ่มคนทั้งห้าด้วยสายตาสงสัย เพราะแทนที่ทั้งหมดจะโล่งใจเมื่อรู้ความจริง แต่เมียเฮียกลับออกอาการมึนตึงแถมยังดูแร้งทึ้งขึ้นอีกหลายสิบเท่า แต่ใครจะเป็นอะไรก็ช่างเขาเถอะ เพราะคืนนี้เขากับเพื่อน ๆ จะผลาญเหล้าให้เมาเลอะเทอะยิ่งกว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วให้ได้เลยเชียว!  


……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...


ความในใจทิ้งท้ายตามสไตล์ชายชิค ๆ :
จากประสบการณ์ตรงของชายหลังจากผ่านร้อนผ่านหนาวมายี่สิบกว่าปี
และหลังจากที่มีว่าที่เหนือชายเป็นของตัวเอง ชายขอสรุปว่า
พวกที่ชื่อเล่นแมน ๆ สมชาย ๆ เช่น บอย หนุ่ม หรืออะไรเทือก ๆ นั้น ส่วนใหญ่มักเป็นเป็นรับ
เชื่อชายสิ ชายเคยเจอมากับตัว #สนทนากับตัวเองในกระจก


$$$$<| TBC |>$$$$






No comments:

Post a Comment