Wednesday, February 15, 2017

ถ้าต้อยได้ ชายจะเป็นอมตะ ||#13|| 15.02.2017



<|No.13|>
ใช่เดทแน่ ๆ ไหม จงถามใจตัวเองดู

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

ทันทีที่สิ้นเสียงสุดท้ายของผู้บรรยายหน้าห้องเรียน เดียวก็รีบดีดตัวไปยืนขวางทางเพื่อนรักที่ตั้งท่าพร้อมออกตัววิ่งตั้งแต่อาจารย์ยังไม่ปล่อยคลาส “มึงจะไปไหน?”

“กูจะไปกินข้าว” ยิมตอบคำพลางฉีกหลบด้วยท่าทีร้อนรนจนนายหนึ่งเดียวเริ่มไม่พอใจ

“กินข้าว? มึงจะไปกินข้าวกับใคร? ไม่อยู่กินกับพวกกูหรือไง? ” เหตุที่เดียวตั้งป้อมซักไซ้สหายหน้าหนวดเป็นพิเศษเนื่องจากก่อนเข้าเรียนเช้านี้ เขาบังเอิญแอบเห็นเพื่อนตัวดีหิ้วปิ่นโตเถาใหญ่ไปฝากเอาไว้กับร้านข้าวใต้ตึกด้วยท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ

“เหอะ! กูจะไปกินกับพวกพี่ชาย ไปนะ เดี๋ยวพี่เขารอ” เด็กหนวดเอ่ยล่ก ๆ ขณะใช้หัวไหล่เบียดนายหนึ่งเดียวจนเซแซ่ด ๆ ไปอีกทางก่อนจะทิ้งขว้างเพื่อนให้ยืนแสยะยิ้มอยู่ที่เดิม

“กินข้าวกับพวกพี่ชายงั้นเหรอ?” ชายหนุ่มแทบไม่ต้องเสียเวลาคิดเนิ่นนาน เพราะทันทีที่ตระหนักว่าอะไรเป็นอะไร เฟรชชี่รูปหล่อก็ยกยิ้มกับตัวเองอย่างถูกอกถูกใจพร้อมกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลังเกลอรักไปอย่างรวดเร็ว




“มึงเอาไรไหมชาย ถ้าไม่มีกูจะได้ไปจ่ายตังค์?” หลังจากวนเวียนอยู่ตรงชั้นของกินเล่นภายในเซเว่นอยู่พักใหญ่ พิชญ์ก็เดินมาหาเพื่อนสายเปย์ที่กำลังยืนทำหน้าย่นเป็นหัวเข่าโดนขยี้อยู่ตรงมุมเครื่องประทินโฉมและอุปกรณ์เบ็ดเตล็ด “ว่าไงมึง จะซื้ออะไรหรือเปล่า?”

“...”

“มึงเป็นอะไรฮึชาย? ทำไมถามไม่ตอบ?”  ท่าทางจด ๆ จ้อง ๆ มัวแต่มองตรงไปข้างหน้าของเพื่อนสนิทชักนำให้พิชญ์ยิ่งสงสัยใคร่รู้หนักข้อยิ่งขึ้น “ยังคิดไม่ออกหรือไงว่าจะขโมยอะไรดี?”

“เฮ่อ! ใช่ที่ไหนล่ะพิชญ์” ชายชาตรีถอนหายใจยาวพลางจับจ้องซองมีดโกนไม่วางตา  

“มึงอยากได้ไอ้นี่เหรอ?” เจ้าของประโยคถามพลางคว้ามีดโกนขึ้นมากวัดแกว่งหลอกล่อคู่สนทนาจนยาจกมือใหม่เผลอพยักหน้าหงึกหงักยอมรับพร้อมกับสารภาพกิเลศของตนจนหมดเปลือก

“ฮื่อ ก็อยากอ่ะ”

“อยากได้แล้วทำไมไม่ซื้อ? ยืนมองเฉย ๆ แล้วขนมึงจะร่วงหรือไง?”

“ไม่ใช่” ชายชาตรีอ้อมแอ้มเสียงอ่อน

“ถ้าไม่ใช่แล้วทำไมไม่ซื้อ?” สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความหงุดหงิดในน้ำเสียงเห็นจะเป็นความไม่เข้าใจของสายเหวี่ยงตัวพ่อ... จะโยกโย้ทำไมนักหนา กับอีแค่มีดโกนโง่ ๆ อันเดียว?!

สายเปย์ไม่อาจหักห้ามความรู้สึกกระอักกระอ่วนมวนท้องของตัวเองได้ หากแต่สายตาทิ่มแทงของอีกฝ่ายก็ทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจขายตัวเองได้ไม่ยาก “ก็เงินมันไม่พอ” ชายชาตรีเอ่ยพลางแอบนับเศษเหรียญในมืออสลับกับตรวจสอบป้ายราคาของมีดโกนในมือเพื่อนด้วยสายตาโหยละห้อย “เหลืออีกตั้งสองวันแน่ะกว่าเงินเดือนจะออก”

“เฮ่อออ!” อาการเจียมเนื้อเจียมตัวของยาจกมือใหม่ทำเอาคนฟังปวดหัวใขจนเผลอถอนหายใจยืดยาว “ทีหลังมึงอยากได้อะไรก็บอกสิ ของราคาแค่นี้กูซื้อให้มึงได้น่ะ”

“ไม่เอาพิชญ์ ชายอยากซื้อเอง เดี๋ยวไว้ชายรอให้เงินเดือนออกก่อนแล้วค่อยมาซื้อก็ได้” อดีตสายเปย์โบกมือโบกไม้เมื่อเห็นเพื่อนสนิทโยนซองมีดโกนใส่ลงตะกร้าในมือเจ้าตัว

“เอาน่า ไว้เงินเดือนมึงออกเมื่อไร มึงค่อยเอาเงินมาใช้กูแล้วกัน แค่สิบเก้าบาทเอง กูไม่รีบ” พิชญ์ตัดบทเด็ดขาดพลางปราดไปจ่ายค่าเสียหายโดยหนึ่งในนั้นมีมีดโกนราคาไม่ถึงยี่สิบบาทที่ชายชายตรียืนลูบ ๆ คลำ ๆ อยู่นานสองนานรวมอยู่ด้วย “มาเร็ว พี่ผึ้งรอกินข้าวอยู่!” ไม่ต้องรอให้พิชญ์กระตุ้นอีกครั้งชายชาตรีก็ตั้งหน้าตั้งตาจ้ำตามหลังเพื่อนสนิทไปโดยไม่รอช้า เพราะทันทีที่เกลอแก้วพูดถึงคนรอกินข้าว ใบหน้าของเด็กหนวดก็แล่นเข้าสู่ห้วงมโนทันควัน... ไม่รู้ป่านนี้ยิมจะมาถึงหรือยังนะ?  

โชคดีที่ชายชาตรีไม่ต้องเก็บงำความสงสัยเอาไว้กับตัวนานเกินไป เพราะในอีกไม่ถึงสิบนาทีให้หลัง ชายหนุ่มก็พบว่าเด็กวิศวะมานั่งหน้าแป้นรอท่าอยู่กับปาณัธเป็นที่เรียบร้อย

“มาถึงนานยัง?”

“ผมเพิ่งมาถึงเมื่อกี๊เองครับ” แม้จะใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นหน้ารุ่นพี่ว่าหนุ่มเฟรชชี่กลับยังไม่คลายความเป็นห่วง และเป็นหวงที่มีต่ออีกฝ่ายลงง่าย ๆ “เมื่อกี๊พี่ชายไปไหนมาครับ?”

“เฮ่อ!” ตัวอ่อนมนุษย์ป้าถึงกับเบ้หน้า กลอกตา ออกอาการเหม็นเบื่อบรรยากาศมุ้งมิ้งโดยรอบขึ้นมาฉับพลัน เพราะถ้าจำไม่ผิด เจ้าหล่อนเพิ่งตอบคำถามดังกล่าวไปหยก ๆ แต่ต่อให้ผึ้งจะหมั่นไส้สองหนุ่มมากมายสักเพียงใด วินาทีนี้คงไม่มีใครสนใจตัวประกอบหญิงวัยทองทางอารมณ์อย่างหล่อนเป็นแน่

“วันนี้พิชญ์ไม่อยากกินข้าว พี่ชายเลยไปซื้อขนมเซเว่นเป็นเพื่อนพิชญ์มาน่ะ”

“อ๋อ เหรอครับ” เด็กวิศวะรับคำเป็นพิธี ก่อนจะเบี่ยงประเด็นเข้าสู่หัวข้อที่ตนสนใจเหนือสิ่งอื่นใด “หิวหรือยังพี่ นั่งสิครับ” ไม่ทันขาดคำ คนพูดก็เลื่อนเก้าอี้ว่างตัวข้าง ๆ เพื่อเชื้อเชิญอีกฝ่ายให้ตอบรับข้อเสนอดังกล่าวโดยไม่คิดปฏิเสธ “นั่งนี่สิครับ จะได้ตักข้าวกินง่าย ๆ ”

“ขอบใจนะยิม” สายเปย์อมยิ้มพลางเดินอ้อมโต๊ะไปหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ กายยาจกหนวดเฟิ้มอย่างว่านอนสอนง่ายไม่มีใครเกิน เมื่อเห็นดังนั้น ยิมจึงเริ่มกุลีกุจอบริการรูมเมทรุ่นพี่ด้วยความยินดีขั้นสูงสุด

“กับข้าวเย็นหน่อยนะครับ พี่ชายกินได้หรือเปล่า?”

“ไม่ต้องห่วงพี่ชายหรอก ถ้ายิมกินได้ พี่ชายก็กินได้”

“เฮ่อออ!” ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจว่าจะไม่ใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมรอบกายอันหวานเลี่ยนชวนอาเจียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เมื่อภาษาดอกไม้กับสายตาของสองหนุ่มแฉลบทะลุเข้าสู่โสตประสาท ตัวอ่อนมนุษย์ป้าพร้อมด้วยลิ่วล้อจอมเหวี่ยงก็อดระบายความเอือมระอาผ่านลมหายใจออกระลอกใหญ่ไม่ได้

“นี่พวกมึงห่อข้าวมากินเหรอ? นึกไงเนี่ย? หรือพวกมึงจะเข้าลัทธิเบื่อฝีมือป้าโรงอาหารตามกู? ” แม้จะยังหมั่นไส้เพื่อนรักอยู่มาก ทว่ากับข้าวกับปลาหน้าตาบ้าน ๆ ในปิ่นโตสี่ชั้นก็ทำให้พิชญ์หลุดปากตั้งคำถามด้วยความสนใจ

“เปล่าหรอกพิชญ์ แค่เราสองคนอยากประหยัดให้มากที่สุดก่อนที่เงินเดือนจะออกน่ะ”

สายตาเคลือบแคลงกับสีหน้าไม่เข้าใจของพิชญ์ทำให้ยิมรีบเสริมความต่อจากรูมเมทรุ่นพี่ทันที “เมื่อวันเสาร์ช่างเพิ่งมาเดินสายไฟในห้องให้ใหม่น่ะครับพี่พิชญ์ เราสองคนเลยเหลือเงินรวมกันไม่กี่ร้อย ตอนนี้อะไรที่ประหยัดได้ เราก็จะทำไปก่อน”

“ถึงว่าสิ วันนี้เงินไม่กระเด็นออกจากกระเป๋าไอ้ชายเลยสักบาท” เด็กบริหารรูปร่างสันทัดละสายตาจากห่อข้าวปั้นห่อสาหร่ายในมือเพื่อจ้องหน้าเพื่อนสนิทอย่างเอาจริงเอาจัง “ถ้ามึงลำบากขนาดนี้จะเอาเงินกูไปใช้ก่อนไหมล่ะชาย ไว้มึงมีเมื่อไรค่อยมาคืนกูวันหลัง”

“ไม่ต้องหรอกครับพี่พิชญ์ ผมดูแลพี่ชายได้”

“อ่ะ เอาไป!” นอกจากจะไม่สนอีร้าค่าอีรมใด ๆ แล้ว พิชญ์ยังควักแบงค์พันสองใบส่งให้เพื่อนรักเสียอีก “กูรู้ว่ามึงดูแลไอ้ชายมันได้ แต่ถ้าเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นมาพวกมึงจะทำยังไง?”

“พิชญ์ลืมแล้วเหรอว่าพวกเราทำงานกับพี่ผึ้ง ถ้ามีปัญหาอะไรขึ้นมาจริง ๆ พี่ผึ้งต้องช่วยพวกเราอยู่แล้วล่ะ” เจ้าของประโยคกวาดสายตามองหน้าปาณัธอย่างวาดหวังเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชาวโลกสวย “ใช่ไหมครับพี่ผึ้ง?”

“หืม? เมื่อกี๊มึงว่าไงนะชาย?” นอกจากจะไม่รับลูกแล้ว ตัวอ่อนมนุษย์ป้ายังปั้นหน้าเอ๋อเกรดพรีเมียใส่เพื่อนหน้าเข่าไปอีก   และภาพเหตุการณ์สุดอนาถนี้เองที่ทำให้พิชญ์ได้ข้อสรุปว่า ต่อให้ตนเองอับจนหนทางเจียนตาย ปาณัธก็จะเป็นที่พึ่งสุดท้ายในโลกที่เขาเลือกจะซมซานไปขอร้องความช่วยเหลือ

“อ่ะนี่! มึงเอาไป” สิ้นเสียงพูด ธนบัตรสีเทาทั้งสองใบก็ถูกเจ้าของยัดใส่กระเป๋าตรงหน้าอกด้านซ้ายทันที

“ไม่เอาพิชญ์ เอาคืนไป เดี๋ยวอีกสองวันชายก็ได้เงินเดือนแล้ว”

“มึงเก็บไว้ก่อนเถอะน่า อย่างน้อย ๆ กูก็จะได้อุ่นใจ” พิชญ์เอ่ยพลางจ้องตาวัดใจกับสายเปย์อย่างดุเดือด “ถ้าสุดท้ายมึงไม่ใช้ มึงก็ค่อยเอามาคืนกูไง”

“แต...”
“ถ้าคืน กูโกรธ!

“สวัสดีครับพี่ ๆ ขอผมนั่งกินข้าวด้วยคนนะครับ” น้ำเสียงสอดแทรกสุดร่าเริงของคนมาใหม่ทำให้หัวข้อต่อรองของสองเพื่อนซี้มีอันตกกระป๋องไปโดยพลัน

“มึง?!!” ต่อให้ตกใจกับการปรากฏกายของคู่อริรายล่าสุดสักเพียงใด แต่ครั้งนี้พิชญ์จะไม่ยอมเพลี่ยงพล้ำตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอีกแล้ว “พี่ผึ้ง ผมไปกินที่อื่นนะครับ” พูดยังไม่ทันขาดคำ พิชญ์ก็ก้มหน้าก้มตาลงเก็บสิ่งละอันพันละน้อยตรงหน้าอย่างรวดเร็วพร้อม ๆ กับหยัดตัวลุกขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว

“ไม่ต้องเลยพิชญ์ มึงนั่งกินกับพวกกูนี่แหละ!” น้ำเสียงข็ง ๆ ของหญิงสาวเพียงคนเดียวกลับสยบความเคลื่อนไหวของชายหนุ่มสายเหวี่ยงได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจเป็นที่สุด

“แต่พี่ผึ้ง!

ผึ้งแสร้งทำทีเหมือนไม่สนใจสีหน้าบูดบึ้งของพิชญ์พลางพูดเตือนสติเพื่อนรักด้วยความหวังดีต่ออีกฝ่ายอย่างที่สุด “มึงคิดว่าถ้ามึงหนีไปกินที่อื่น ไอ้เด็กนี่มันจะตามไปรังควาญมึงไม่ได้หรือไง?” จังหวะที่พิชญ์กำลังจะอ้าปากเถียง ตัวอ่อนมนุษย์ป้าก็ส่งเสียงคำรามถ้อยคำประกาศิตออกมาเสียก่อน “แต่ถ้ามึงอยากแอบไปกินข้าวกับมันสองต่อสอง ก็ไปเถอะ กูไม่ห้าม”

“จิ๊!” ที่สุดแล้วคำพูดของเพื่อนรุ่นพี่ทำให้พิชญ์คิดได้ ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนใจทิ้งตัวลงนั่งตามเดิม ทว่าถึงแม้ชายหนุ่มจะต้องร่วมวงกินข้าวกับเด็กปีหนึ่งที่ตนเกลียดขี้หน้าอย่างจำใจ แต่เขากลับไม่ลืมหันไปด่าเอ่ยคำหวานใส่เฟรชชี่รูปหล่อที่เจ๋อมาขอกินข้าวด้วยอย่างเผ็ดร้อน

“ไสหัวไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!
“ทำไมพี่ไม่กินข้าวดี ๆ ?”
“มึงนี่มันหน้าด้านฉิบหาย!” พิชญ์ยิ่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเมื่อใบหน้าบาน ๆ ยิ่งกว่าจานดาวเทียมของไอ้เด็กบ้าช่างเกะกะสายตายิ่งนัก
“มัวแต่กินขนมแบบนี้นี่ไงถึงได้ตันไปทั้งตัว”
“ไอ้สัด! ใครตัน? ปากเสีย!
“เอานี่ไปกินเลย ผมสั่งมาเกิน” คนพูดตีหน้ามึนพลางกวาดขนมในอาณัติของรุ่นพี่มากองไว้อีกฟากฝั่งซึ่งอยู่ห่างไกลจากมึอเด็กโข่ง จากนั้นชายหนุ่มก็เลื่อนจานข้าวจากร้านอาหารตามสั่งติดดาวพร้อมเมนูโปรดของอีกฝ่ายไปวางตรงหน้าเป้าหมายจอมเหวี่ยง

แม้ลึก ๆ แล้วพิชญ์จะรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นอาหารสุดเย้ายวนวางล่อตาล่อใจ ทว่าเขากลับไม่คิดจะใคร่ครวญหาเหตุผลเบื้องหลังการกระทำของอีกฝ่ายให้เสียฤกษ์เสียยาม เพราะ ณ จุด ๆ นี้ คงไม่มีสิ่งใดสำคัญต่อชายหนุ่มสายเหวี่ยงมากไปกว่าศักดิ์ศรีที่โดนเด็กเมื่อวานซืนย่ำยีบีฑาลงต่อหน้าผองเพื่อนอีกแล้ว “เอาของ ๆ กูคืนมา!

หนึ่งเดียวปัดมือรุ่นพี่ที่สอดผ่านซอกแขนของตนด้วยหมายจะล้วงของกลางกลับคืนได้ทันท่วงที พร้อม ๆ กับสวดสั่งสอนอีกฝ่ายคล้ายกับถูกองค์ของคุณพิทักษ์เสด็จลงประทับร่างก็ไม่ปาน “กินข้าวให้เสร็จก่อนดิพี่ แล้วค่อยกินขนม”

“เอ๊ะ! นี่มึงพูดไม่รู้เรื่องหรือไง? เอามา! กูบอกให้เอาของกูคืนมา!
“น่าพี่ กินเยอะ ๆ จะได้แขนยาว ๆ ไง”
“ไอ้สัดเดียว! มึงอย่าอยู่เลย!
“พิชญ์! กินข้าวเดี๋ยวนี้!” จังหวะที่เจ้าของชื่อตั้งท่าจะฟาดงวงฟาดงาใส่อาคันตุกะปีหนึ่งนั้นเอง ตัวอ่อนมนุษย์ป้าก็ขี่ม้าขาวปุเลง ๆ เข้ามาช่วยห้ามทัพได้ทันการณ์
“แต่มันกวนตีนผมก่อนนะครับพี่ผึ้ง!” แม้จะโดนสายตาแผดเผาจากปาณัธเข้าอย่างจัง แต่สายเหวี่ยงก็ยังไม่วายจะเถียงขาดใจ

“มึงก็อย่าไปสนใจมันซี่ คิดเสียว่าน้องมันเป็นหมาไปซะก็ได้” หญิงสาวเพียงคนเดียวปราศรัยโดยไม่คิดจะรักษาภาพลักษณ์ของเจี๊ยวหวานจากทีมเยือนเลยสักนิด “เสียงหมาเห่าก็แค่น่ารำคาญป่ะวะพิชญ์ ไว้ให้มันกัดมึงเมื่อไร กูนี่แหละจะเตะไล่มันแทนมึงเอง”

ความที่ยังคงเคืองแค้นนายหนึ่งเดียวไม่หาย หนุ่มบริหารร่างสันทัดจึงส่งสายตาอุทธรณ์ไปอ้อนวอนเพื่อนรุ่นพี่ให้ใจอ่อนอีกครั้ง ตัวอ่อนมนุษย์ป้าจึงจำเป็นต้องรวบรัดตัดความอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใด ๆ “เอา ๆ รีบ ๆ กิน รีบ ๆ ขึ้น เดี๋ยวเรียนอีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็จะได้กลับบ้านกลับช่องกันแล้ว อย่ามามัวทะเลาะกันให้เสียเวลาอยู่เลย” ทันทีที่เปรยกับเพื่อนจบ ผึ้งกันหันไปสยบต้นตอของปัญหาทั้งมวลอย่างเดียวด้วยอีกทาง “มึงก็เหมือนกัน ถ้าอยากนั่งนี่ก็กินข้าวเงียบ ๆ ไป!

“ครับพี่”

“กินเยอะ ๆ นะยิม”

“ขอบคุณครับ พี่ชายกินนี่สิครับ อร่อยนะ”

“ฮื่อพอแล้วยิม! ในชามพี่ชายยังไม่หมดเลย ยิมกินบ้างเถอะ เดี๋ยวยิมไม่อิ่ม”

“ไม่ต้องห่วงครับ เมื่อเช้าผมตักข้าวมาเยอะ”

“งั้นก็อย่ากินแต่ข้าวสิ กินกับด้วย อ่ะนี่ พี่ชายตักให้” น้ำเสียงออดอ้อนอ่อนหวานผสานเสียงหัวร่อต่อกระซิกที่ดังแผ่ว ๆ มาจากอีกฟากฝั่งช่างดึงดูดสายตาของเหล่านักรบทั้งสามร่างได้เป็นอย่างดี  ภาพความชื่นมื่นระรื่นสมัครสมานระหว่างสายเปย์เพื่อนซี้และเด็กหนวดเฟรชชี่ขณะผลัดกันตักอาหารใส่ปิ่นโตของอีกฝ่ายอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยทำเอาผึ้งอดรำพึงในใจไม่ได้ว่า เมื่อไรกันหนอที่บรรยากาศรอบ ๆ ตัวสหายสนิททั้งสองของหล่อนจะสมดุลหนุนส่งกันเสียที  

$$$$$$$$

“มึงจะรีบไปไหน? ไม่ไปเดินตลาดนัดกับไอ้พวกนั้นเหรอ?” นี่เป็นครั้งที่สองของวันที่เดียวตั้งป้อมจิกเพื่อนหน้าหนวดอย่างมีนัยยะ

“หึ! ไม่อ่ะ กูจะไปรับพี่ชายกลับบ้าน”

“เดี๋ยวไอ้ยิม” ทันทีที่เห็นเพื่อนสนิทเดินดุ่ม ๆ ออกจากห้องเรียนไป นายหนึ่งเดียวก็วิ่งถลาเข้าไปกอดคอยิมพลางรั้งตัวอีกฝ่ายเอาไว้จนยาจกมืออาชีพนิ่วหน้าตวัดหางตามองขุ่น

“อะไร?”

“กูว่าจะถามหลายทีแล้ว”

“มึงจะถามอะไร?” ยิมพยายามแกะแขนอีกฝ่ายออกจากไหล่ทว่าไม่เป็นผล... แน่นอนว่าคนที่จ้องจะเผือกเรื่องชาวบ้าน ย่อมต้องมีพละกำลังต้านทานการขัดขืนมากกว่าคนปกติหลายล้านเท่า

“ทำไมมึงถึงต้องคอยรับ คอยส่ง คอยไปกินข้าว คอยทำตัวติดกันกับเขานักวะ? มึงกับเขาเป็นอะไรกัน?”

ห่าคำถามที่เพิ่งได้ยินทำเอาหัวคิ้วคนฟังขมวดเป็นปม  “มึงถามทำไม?”

“ก็กูสงสัยนี่หว่า ตั้งแต่กูรู้จักมึงมา กูไม่เคยเห็นมึงติดใครขนาดนี้มาก่อน” จังหวะที่อ้าปากถามยิมอยู่นั้น หัวสมองของเด็กวิศวะรูปหล่อก็พลันหวนระลึกถึงบรรยากาศหนุงหนิงเมื่อกลางวันระหว่างเพื่อนของตนกับคนหน้าเข้าขึ้นมาจนได้ และเมื่อไตร่ตรองดี ๆ ความคิดไม่เข้าท่าที่สุดก็ดันผุดขึ้นมาในหัวของนายหนึ่งเดียวอย่างไม่อาจหักห้ามใจ “อย่าบอกนะว่ามึงชอบคนแบบนั้น? หืย! แค่คิดก็ขนลุกแล้ว!

“แบบนั้นที่มึงว่าคือแบบไหน?” ท่าทางขยะแขยงบวกกับอาการสยดสยองของสหายรักทำยิมชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ ซึ่งมันทำให้คู่สนทนาตระหนักได้ว่า หากหลังจากนี้ตนเผลอพูดจาพล่อย ๆ โดยไม่คิดหน้าคิดหลัง เขาคงได้กินกำปั้นของอีกฝั่งจนหน้าพังไปก่อนแน่ ๆ

“ก็แบบ... แบบพี่ชายไง”

เสียงข้อความเข้าใหม่ทำให้ยิมพักความคิดที่จะซักไซ้เพื่อนให้ขาวสะอาด ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบาง ๆ ระหว่างลากสายตาอ่านข้อความจากขาประจำเพียงคนเดียวก่อนจะแกะแขนที่รั้งตัวเองไว้แล้วเดินไปทันที ปล่อยให้นายหนึ่งเดียวที่เพิ่งถูกเททิ้งแบบหมาด ๆ เป็นเดือดเป็นร้อนจนต้องวิ่งหน้าตาตื่นตามหลังมาอย่างเสียไม่ได้

“เฮ่ย! มึงโกรธกูเหรอวะยิม?”

“เปล่า กูแค่จะรีบไป” เด็กหนวดรวบรัดรวดเร็วเพราะอยากจะเหาะไปหาเจ้าของข้อความเมื่อสักครู่ใจจะขาด

“มึงจะไปบริหารเหรอ?” ท่าทางเร่งรีบของเพื่อนรักที่ไม่ผิดไปจากเมื่อกลางวันทำให้เดียวเดาสุ่ม แต่ชายหนุ่มกลับต้องประหลาดใจเมื่อได้ฟังคำตอบเหนือความคาดหมายจากปากยิม

“เปล่า กูจะไปตลาดนัด”

“เออ ๆ ดี ๆ พักผ่อนหน่อยก็ดีมึง มึงยุ่งจนพวกกูแทบจะลืมหน้ามึงเต็มที งั้นเดี๋ยวมึงนั่งรถไปกับกูแล้วกัน” คนพูดเหนี่ยวคอเพื่อนรักอีกครั้งก่อนจะโดนปัดทิ้งอย่างไร้เยื่อใยซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“กูไม่ได้จะไปเดินเที่ยว กูจะไปรับพี่ชาย”

“อ้าว! ไรวะ?!” สีหน้าสับสนระคนไม่รับรู้อะไรของเดียวได้ปัดเป่ามนตราแห่งข้อความเคลือบน้ำตาลที่ชายหนุ่มเคราเฟิ้มเพิ่งได้อ่านให้มลายหายสิ้น 

เอาล่ะ ได้เวลาที่เขาควรจะปิดจ๊อบที่ค้างคาให้จบลงเสียที

“ที่เมื่อกี๊มึงถามกูว่า พี่ชายกับกูเป็นอะไรกันน่ะ” เด็กหนวดตั้งใจเว้นวรรคคำพูดเพื่อประสานสายตากับเพื่อนก่อนจะเอ่ยตบท้ายด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดจริงจัง “กูชอบเขา... กูชอบเขาโดยไม่สนว่าเขาเป็นยังไง มึงเข้าใจแล้วใช่ไหม?”

“...เฮ่ย! ถามจริง?!
“เออ! ทีนี้มึงจะเลิกสงสัยได้หรือยัง?”
“แต่เขาชอบกูอยู่ไม่ใช่เหรอวะ?” ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกจากปากไป เดียวก็อดโมโหตัวเองไม่ได้ที่เผลอพูดจาราวกับอาลัยอาวรณ์รุ่นพี่หน้าเข่าเสียเต็มประดา ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว แค่หน้าของอีกฝ่าย เขาก็แทบไม่อยากจะชายตามองด้วยซ้ำ

ยิมอัดลมหายใจเข้าสุดปอดเพื่อข่มใจ ก่อนจะมอบดึงสติเพื่อนรักให้กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง “นั่นมันเมื่อก่อน แต่ตอนนี้เขาชอบกู และเขาเลิกชอบมึงแล้ว จบนะครับ”

“จริงเหรอวะยิม? มึงไม่ได้โกหกกูใช่ไหม?!” ยิ่งฟังคำยืนยันจากปากเพื่อนบ่อยครั้งมากเท่าไร นายหนึ่งเดียวก็ไม่อาจเก็บซ่อนความดีใจเอาไว้กับตัวได้อีกแล้ว

“กูจะโกหกมึงทำไมวะ”

“โอ๊ยไอ้ยิม! กูไม่รู้จะขอบคุณมึงยังไง! มึงคือเพื่อนที่ดีที่สุดของกูจริง ๆ ขอบใจนะที่ช่วยชีวิตกู! ในที่สุดไอ้เดียวก็ไม่ต้องใช้ชีวิตแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ อีกต่อไปแล้วโว้ย!

นอกจากจะไม่ใส่ใจท่าทางราวกับยกภูเขาไฟที่กำลังระเบิดออกจากอกของเดียวได้แล้ว ยิมยังรีบจ้ำอ้าวไปยังลานจอดรถมอเตอร์ไซค์ประจำคณะอย่างไม่คิดจะรักษามารยาทเสียอีก กระนั้นหนุ่มวิศวะหน้าตาดีกลับวิ่งตามเด็กหนวดไปสิงสู่คอเพื่อนด้วยทักษะราวกับผีชัตเตอร์เวอร์ชันเหนี่ยวต้นคอ “เออยิม ถ้ามึงกับพี่ชายชอบกัน งั้นมึงก็มีตารางเรียนของพี่ชายดิวะ”


“เฮ่ย! อย่ามองกูแบบนั้น กูไม่ได้จะขอตารางของพี่ชาย กูอยากได้ตารางเรียนของพี่พิชญ์ต่างหาก” หนึ่งเดียวรีบชี้แจงแถลงไขเจตนาของตัวเองเป็นพัลวัน... เดชะบุญที่เขาโดนยิมมองแรงใส่ในระยะเผาขน ไม่อย่างนั้นชายหนุ่มคงโดนเพื่อนสนิทเข้าใจผิดโดยใช่เหตุ

“มึงจะอยากรู้ไปทำไม?”

“เหอะน่า ขอกูเหอะนะ กูขอร้อง” เด็กวิศวะสุดหล่อแทบจะกราบกรานเพื่อนสนิทเพื่อแลกกับข้อมูลที่ตนปรารถนา ใครเลยจะคิดว่า จากคนที่เหม็นหน้ากันจนอยากจะเผลอทำปืนลั่นใส่วันละหลาย ๆ หน จะกลายเป็นคน ๆ เดียวที่ทำให้เขาเฝ้าคิดถึงได้ตลอดเวลาแบบนี้...

พี่พิชญ์นะพี่พิชญ์
รู้ตัวบ้างไหมว่าผมแม่งแทบจะเป็นบ้าเพราะพี่อยู่แล้ว!

“ทำไมกูต้องให้?”

“จิ๊! หนึ่งเดียวถอนหายใจเพราะต่อให้ยิมคาดคั้นเขาให้ตาย ชายหนุ่มก็ไม่อาจตอบคำถามข้อนี้ของเพื่อนได้เช่นกัน “ถามกูตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก เอาเป็นว่าไว้อะไร ๆ มันแน่นอนกว่านี้เมื่อไร กูจะเล่าทุกอย่างให้มึงฟังเป็นคนแรก แต่กูรับรองได้เลยว่าที่กูขอตารางเรียนของพี่พิชญ์เนี่ย ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพี่ชายของมึงชัวร์ ๆ ”




“มึงดูสารรูปกูสิ เดินแค่รอบเดียวแต่ซื้อของอย่างกับจะเอาไปถมที่” พิชญ์ก้มลงมองสิ่งละอันพันละน้อยทั้งหลายในถุงพลาสติกหูหิ้วมากมายที่ตนถืออยู่พลางบ่นหงุงหงิงด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก “เออนี่! เดี๋ยวมึงกลับเข้ามอไปนั่งกินขนมกับกูป่ะ เยอะแบบนี้กูกินคนเดียวไม่ไหวแน่ ๆ อ่ะ”

ชายชาตรีส่ายหัวดิกแม้ภายในใจจะอยากตอบรับไมตรีของเพื่อนรักใจจะขาด “ไม่ได้หรอกพิชญ์ ชายต้องรีบกลับห้องไปเตรียมตัวทำงานน่ะ”

“โทษ ๆ กูลืมไปว่ามึงต้องรีบไปทำงานต่อ”

“ไว้วันหลังนะ”

เออ ๆ ไม่เป็นไร ๆ ” พิชญ์ยักไหล่อย่างไม่ติดใจก่อนจะปรับอารมณ์แล้วมองหน้าสายเปย์ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยจากใจจริง “ว่าแต่มึงจะไม่ซื้ออะไรจริง ๆ น่ะเหรอ?”  

“ไม่อ่ะ ชายไม่อยากได้อะไร” ชายชาตรีจำใจปดเพราะไม่อยากทำให้เพื่อนต้องปริวิตกยิ่งไปกว่านี้ แต่มีหรือที่เรื่องแบบนี้จะหลุดรอดจากสายตาแหลมคมของสายเหวี่ยงไปได้  

“กูเพื่อนมึงนะชายไม่ใช่ควายที่ไหน เมื่อกี๊กูเห็นมึงมองลูกชิ้นปิ้งตาเป็นมัน หรือมึงจะบอกว่ามึงเห็นลูกชิ้นเป็นหน้าไอ้ยิม มึงถึงได้จ้องเอาจ้องเอา?”

“โอ๊ะยิมยิงมาพอดีเลย!” สายเปย์ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกยินดีที่เห็นมิสคอลของเด็กหนวดปรากฏขึ้นบนหน้าจอมือถือ กระนั้นครั้งนี้กลับเป็นครั้งที่ชายหนุ่มปรีดาจนออกนอกหน้า กระนั้นจังหวะที่เจ้าตัวกำลังจะกดต่อสายโทรกลับหายิมให้สมใจ ชายชาตรีก็นึกขึ้นได้ว่า การกดโทรออกในแต่ละครั้งคือช่องทางหนึ่งที่ทำให้เงินรั่วไหล รู้ดังนั้น ยาจกมือใหม่จึงหันไปแบมือใส่หน้าเพื่อนสนิทโดยไม่ลังเล “พิชญ์ ยืมโทรศัพท์หน่อยสิ”

“มึงจะเอาไปทำไม?”

“ก็เมื่อกี๊ยิมยิงมาไง นะ ๆ ยืมหน่อยสิ เดี๋ยวยิมหาชายไม่เจอ” อารามเป็นห่วงความรู้สึกของว่าที่เหนือชายยิ่งกว่าอื่นใด สายเปย์หน้าเข่าจึงเซ้าซี้สหายจอมเหวี่ยงอย่างไม่ปรานี “เร็ว ๆ ชายเกรงใจยิม ไม่อยากให้ยิมรอนาน”

“จิ๊!” แม้จะส่งเสียงฮึดฮัดขัดใจ ทว่าพิชญ์ก็ยอมยื่นโทรศัพท์ที่ปลดล็อกเรียบร้อยแล้วส่งให้แต่โดยดี

“ฮัลโหล นี่พี่ชายเองนะยิม ยิมถึงแล้วเหรอ?” ชายชาตรีกรอกเสียงกระเส่าระคนตื่นเต้นผ่านสายหลังจากรัวนิ้วจิ้มหมายเลขของยิมแล้วกดโทรออกอย่างโหยกระหายได้เพียงไม่นาน “อ๋อ พี่ชายยืมมือถือพิชญ์โทรน่ะ พี่ชายไม่อยากใช้เครื่องตัวเองโทร มันเปลือง”

“เฮ่อ!” ถ้าไม่ติดว่าโทรศัพท์มือถือถูกอีกฝ่ายจับตัวไปเรียกค่าไถ่ พิชญ์คงไม่ต้องทนฟังเสียงหัวเราะระริกระรี้ของสหายหน้าเข่าอยู่แบบนี้หรอก

“ได้ ๆ พี่ชายรออยู่แถว ๆ ร้านหนมครกป้าอลิซาเบ็ธนะ เดี๋ยวเจอกันครับ” อดีตคุณชายยิ้มหวานพลางคืนเครื่องมือสื่อสารให้เจ้าของ “ขอบใจนะพิชญ์”

“หึ! ทีกับผัวนี่เกรงใจอย่างนั้นอย่างนี้ แต่กับเพื่อนนี่เบียดเบียนดีเหลือเกิน” ที่สุดแล้ว ความรู้สึกอัดอั้นตันใจระคนหมั่นไส้ของพิชญ์ก็ระเบิดโบ้มออกมาจนได้ ทว่าต่อให้สายเหวี่ยงจะเลือดร้อนสักเพียงไหน เหตุผลซื่อ ๆ ของชายชาตรีผู้ไม่เคยถือโทษโกรธใครก็มักจะทำให้พิชญ์ใจอ่อนยวบไปเสียทุกที

“โธ่พิชญ์ล่ะก็! พิชญ์ก็รู้นี่ว่าช่วงนี้ชายลำบาก เห็นใจชายหน่อยเถอะนะ” หางตาของพิชญ์ที่ตวัดใส่อย่างจังทำให้ชายชาตรีตั้งปณิธานโดนพลัน “ชายขอสัญญาว่า ต่อแต่นี้ไป ชายจะไม่ยืมมือถือของพิชญ์อีก... ถ้าไม่จำเป็น”

“หนอย! พูดยังไม่ทันขาดคำเลยนะ! เดี๋ยวเหอะมึง!” คนพูดชี้หน้าคาดโทษ

“อ๊ะ ๆ ! พิชญ์อย่าทำชายเลยนะ ที่ชายพูดแบบนั้นเพราะชายไม่อยากโกหกพิชญ์นี่นา”

“มึงนี่มันน่า... ฮื้ยยย!... ไม่มีใครเกินเลยจริงจริ้งงง!” สายตาออดอ้อนกับหางเสียงอ่อนทำให้พิชญ์พ่ายแพ้หมดรูป กระนั้นความรู้สึกอาฆาตเคียดแค้นที่เกิดขึ้นเพราะการเลือกปฏิบัติของชายชาตรีกลับไม่หดหายคลายคลา พิชญ์จึงเลือกที่จะกำหมัดแน่นพลางสบถลั่นเพื่อระบายความหมั่นหน้าเพื่อนซี้ให้บรรเทาเบาบางลง ไม่อย่างนั้นเขาคงเผลอตัวทุบอึกฝ่ายจนน่วมไปก่อนแน่ ๆ

“รอนานไหมครับ?” เด็กวิศวะช่างโผล่พรวดเข้ามาแทรกได้ถูกจังหวะเหลือใจ เพราะขืนปล่อยให้พิชญ์อยู่กับชายชาตรีเพียงลำพังนานกว่านี้ เห็นทีว่าฝ่ายหลังคงจะมีแผลข่วนติดมือกลับบ้านไปชื่นชมด้วยแหง ๆ

“แป๊บเดียวเองยิม” เม็ดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นตามไรผมของรุ่นน้องทำเอาสายเปย์อยู่ไม่สุข “ยิมวิ่งมาเหรอ?”

“ผมไม่อยากให้พี่ชายรอนานนี่ครับ” เด็กหนวดเลือกจะพูดความจริงเพียงส่วนเดียว ส่วนอีกเหตุผลที่เจ้าตัวจงใจละเอาไว้ เห็นจะเป็นการที่ชายหนุ่มถูกเพื่อนสนิทกักตัวไว้เพียงเพราะมันอยากได้เบอร์โทรศัพท์ของพิชญ์ภายหลังจากที่เขารับสายของรุ่นพี่สายเปย์เมื่อครู่นี้นี่แหละ

“ไม่เอา คราวหลังไม่ต้องรีบนะ พี่ชายรอได้” 

“ครับ” แววตาเป็นห่วงระคนว้าวุ่นใจของรุ่นพี่บริหารตัวใหญ่ทำให้เฟรชชี่ไม่คิดจะปฏิเสธคำของร้องของอีกฝ่ายเลยสักนิด

“พิชญ์ ชายกลับก่อนนะ”

“มึงจะไสหัวไปไหนก็ไป กูเบื่อหน้ามึงเต็มทีแล้ว!” เนื่องจากมือทั้งสองข้างไม่ว่างงาน เจ้าของประโยคจึงสะบัดปลายเท้าเพื่อขับไล่เพื่อนหน้าเข่าอย่างไม่ใส่ใจนัก

“พี่พิชญ์หวัดดีครับ”

“เออ ๆ ขี่รถกลับดี ๆ นะมึง ระวัง ๆ ล่ะ”

“ครับพี่” เมื่อแน่ใจว่าเพื่อนกับเด็กปีหนึ่งต่างคณะเดินเคียงกันจนลับสายตาไปแล้ว ก็ถึงคราวที่สายเหวี่ยงจะกลับไปยังลานจอดรถเพื่อขับออกไปหามุมสงบ ๆ ที่เหมาะแก่การสังหารของกินทั้งหลายให้หมดสิ้นไปเสียที
.
.
.
.
.
.
“พี่ชายอยากกินลูกชิ้นเหรอครับ?” อยู่ ๆ เด็กหนวดก็ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“แหะ ๆ ยิมรู้ได้ยังไงอ่ะ?”

“ก็ผมมองพี่ชายอยู่ตลอด ผมก็ต้องรู้สิครับว่าพี่ชายสนใจลูกชิ้นมากกว่าผม” เมื่อเห็นรุ่นพี่ออกอาการบิดไปมาพลางอมยิ้มทำหน้าเขิน เด็กวิศวะจึงคว้าข้อมือรูมเมทให้เดินตามหลังตัดข้ามซอกซอยแยกย่อยของตลาดนัดช่วงปลายเดือนที่จัดเป็นประจำตรงบริเวณด้านหลังมหาวิทยาลัยแล้วมุ่งหน้ากลับไปยังร้านลูกชิ้นที่อีกฝ่ายหมายตา “พี่ชายอยากกินอันไหนครับ?” เฟรชชี่ถามพลางจ้องเสี้ยวหน้าของคนข้าง ๆ ด้วยสายตาเอ็นดู

แต่แทนที่จะให้คำตอบหรือเลือกซื้อลูกชิ้นให้เป็นกิจลักษณะ ชายชาตรีกลับกระตุกข้อมือของรุ่นน้องเบา ๆ พร้อมเอ่ยด้วยสีหน้าแบ่งรับแบ่งสู้ “กลับกันเถอะยิม อย่าซื้อเลย”

“ถ้าเราซื้อแค่สองสามไม้ ผมว่าผมน่าจะเลี้ยงพี่ชายไหวนะครับ” หลังจากเดินคำนวณค่าใช้จ่ายล่วงหน้ามาตลอดทาง ยาจกเคราเฟิ้มก็สามารถโชว์ป๋าได้อย่างน่าชื่นชม

“แต่ถ้าซื้อสามไม้มันก็ตั้งสามสิบเลยนะ สามสิบนี่เติมน้ำมันเก๋าได้ตั้งเกือบครึ่งถังแน่ะ!” แม้ข้อเสนอของเด็กหนวดจะยั่วยวนชวนเคลิบเคลิ้มสักเพียงใด แต่สายเปย์กลับไม่อาจหลงลืมพาหนะคู่ใจของอีกฝ่ายได้ลงคอ

“งั้นเราซื้อแค่คนละไม้ดีไหมครับ ผมให้พี่ชายเลือกที่พี่ชายอยากกินไม้นึง แล้วก็เลือกให้ผมอีกไม้นึง”

“ยี่สิบแน่ะ จะดีเหรอยิม?”

“หึ ๆ อย่าคิดมากสิพี่ ผมออกสิบบาท พี่ออกสิบบาท เราช่วยกันหารแล้วเราก็แบ่งกันกิน” สิ้นคำ เฟรชชี่ก็เลิกคิ้วมองหน้ารุ่นพี่ด้วยแววตาเป็นประกายโดยไม่หยุดหว่านล้อม “ถึงเราจะได้กินกันคนละแค่ห้าลูก แต่ถ้าเราเคี้ยวช้า ๆ กินผักแกล้มเยอะ ๆ ก็น่าจะพอหายอยาก แล้วค่อยไปต่อข้าวเย็นที่ร้านอีกที ว่าไงครับ สนใจไหม?”  

ชายชาตรีไม่ตอบคำ หากแต่ผินหน้ากลับไปหาคนขายแล้วสาดออเดอร์ใส่อย่างก้าวร้าว “เอาเนื้อล้วนไม้นึง เอ็นไม้นึงครับ ขอน้ำจิ้มเยอะ ๆ นะครับพี่คนสวย”

“อ่ะนี่ถุงจ๊ะ ตักผักได้เต็มที่เลยนะ”

“ขอบคุณครับ” ยิมรับหน้าที่ยื่นเงินให้คนขายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มขณะเฝ้าสังเกตสีหน้าของรุ่นพี่ที่จับจ้องลูกชิ้นสองไม้ในมือคุณป้าคนขายด้วยสายตาตื่นเต้นราวกับเด็กเล็ก ๆ เห็นอมยิ้ม  
.
.
.
.
.
.
“เอ๊ะ! ฝนตกเหรอ?” ชายชาตรีเอ่ยขึ้นพลางเงยหน้าขึ้นมองฟ้าก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นตกใจเมื่อเห็นว่า จู่ ๆ เมฆฝนก็เคลื่อนเข้ามาปกคลุมท้องฟ้าเบื้องบนจนมองไม่เห็นแสงอาทิตย์ช่วงบ่ายสามโมงกว่า ๆ อีกต่อไป

“ไปครับพี่ชาย!” จังหวะที่พ่อค้าแม่ขายกางร่มห่มแผ่นพลาสติกลงบนสินค้ากันจ้าละหวั่นและบรรดาขาช็อปทั้งหลายวิ่งหาที่ทางหลบฝนกันวุ่นวายอยู่นั้น ชายหนุ่มทั้งสองคนก็พากันวิ่งเข้าไปหลบฝนใต้หลังคาของเพิงเล็ก ๆ ข้าง ๆ ลานจอดรถได้ทันก่อนห่าฝนจะสาดลงกระทบพื้นพอดิบพอดี

“ตกหนักจังเลยแฮะ ฝนหลงฤดูเหรอเนี่ย?”

“นั่นสิ แล้วอย่างนี้เราจะกลับห้องกันได้เหรอยิม?”

สายฝนที่สาดซัดเข้ามาไม่ยั้งทำให้สายเปย์ต้องกระถดตัวเข้าไปยังพื้นที่ว่างฝั่งของเด็กหนวดมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเมื่อไอร้อนจากร่างกายข้าง ๆ ส่งผ่านไปยังอีกคนที่ยืนใกล้ ๆ แล้วนั่นแหละ รอยยิ้มน้อย ๆ ก็ถูกจุดขึ้นบนใบหน้าของพวกเขาจนพวงแก้มตึงเต่ง

“รอให้ฝนซาก่อนดีกว่าครับ ขืนฝืนขี่ฝ่าฝนกลับไปจะเป็นอันตรายเปล่า ๆ ” สภาพอากาศแบบนี้ ไม่เป็นผลดีต่อผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์เลยสักนิด ยิ่งเมื่อรถของเขามีสภาพเก่าย่ำแย่ขนาดนี้ด้วยแล้วล่ะก็ การออกถนนใหญ่ใต้ฟ้ารั่วจึงกลายเป็นเรื่องน่ากลัวพอ ๆ กับการฝืนขับขี่ในสภาพมึนเมาอย่างไรอย่างนั้น

“แย่เลยเนอะ ฝนตกแบบนี้ จะไปไหนก็ไม่ได้”

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมว่ามันก็แย่จริง ๆ นั่นแหละครับ แต่พอเป็นตอนนี้ ผมกลับชอบที่ฝนตกหนัก ๆ ... ยิ่งตกหนัก ๆ แบบไม่ลืมหูลืมตาได้ยิ่งดี”

“หืม? ทำไมล่ะ?” คำตอบเกินคาดเดาเร่งรัดชายชาตรีให้หันหน้าไปมองคนข้างตัวด้วยความสนอกสนใจ

เด็กหนวดนี่อารมณ์ไหน?
โดนฝนจนเบลอไปแล้วงั้นเหรอ?

“ก็เราจะได้ยืนกินลูกชิ้นแล้วก็ดมกลิ่นฝนด้วยกันสองคนไปนาน ๆ ยังไงล่ะครับ”  

“...อือ จริงด้วย...” คำตอบหวาน ๆ แนบรอยยิ้มชวนใจสั่นของเด็กปีหนึ่งทำเอาสายเปย์เขินจนทำหน้าไม่ถูก

ตาย ๆๆๆ ช็อตนี้พี่ชายตายอย่างเดียว!!

ดูเหมือนยาจกมืออาชีพจะจับทางของรุ่นพี่ได้ถูก ชายหนุ่มจึงอาศัยของดีที่อยู่ในมือมาช่วยเป็นเครื่องปรับจูนอารมณ์คนเป็นพี่ให้คงที่โดยเร็ว “ลูกชิ้นครับพี่ชายผมให้คนอยากกินเปิดก่อนเลย” ยิมกลั้นยิ้มแซวพลางยื่นถุงของกินให้ก่อนจะม้วนปากถุงผักให้เปิดกว้างเพื่ออำนวยความสะดวกในการกินให้แก่คนยืนข้าง ๆ อย่างรู้ใจ

“ขอบใจนะ” สายเปย์จิ้มลูกชิ้นแล้วเป่าไล่ความร้อนอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงยื่นลูกชิ้นที่อุ่นกำลังกินไปใกล้ ๆ ปากเด็กหนวด “อ้าม!

“ให้ผมเหรอพี่?” จังหวะที่หันไปกัดลูกชิ้นที่ลอยยั่วยวนอยู่ตรงหน้าก็ว่าเขินแล้วนะ แต่พอเลื่อนสายตาขึ้นไปมองหน้าแดง ๆ แฝงความเขินอายของสายเปย์ใกล้ ๆ เด็กวิศวะก็ยิ่งต้องใช้ความพยายามในการควบคุมกล้ามเนื้อหน้าไม่ให้เสียทรงเพราะอาการตกประหม่าเฉียบพลันไปเสียก่อน

“ลูกชิ้นร้อน ๆ กินตอนฝนตกนี่อร่อยดีนะครับ” ยิมเปรยขึ้นหลังได้แตงกวาเป็นเครื่องช่วยบรรเทาอาการเก้อเขินอีกแรง

ฝ่ายคนโตกว่าก็ก้มหน้าก้มตาลิ้มลองของว่างที่เพิ่งซื้อมาเพื่อลดความประหม่าด้วยเช่นกัน กระนั้นดูเหมือนว่าเด็กหนวดจะไม่ปล่อยให้ชายชาตรีได้ฟินกับรสชาติของลูกชิ้นเคล้ากลิ่นฝนเพียงอย่างเดียว “กินนี่ด้วยสิครับ”

 “อืม อร่อยมาก ๆ เลย” สายเปย์ยิ้มรับหลังจากงับแตงกวาที่อีกฝ่ายบรรจงป้อนให้ “แปลกดีนะ เมื่อก่อนตอนกินอะไรแพง ๆ คนเดียวพี่ชายก็กินไปงั้น ๆ ไม่ได้รู้สึกว่ารสชาติมันจะดีเลิศสักเท่าไร แต่พอเรากินโน่นกินนี่ด้วยกัน ถึงราคามันจะไม่แพง แต่พี่ชายกลับรู้สึกว่าทุกอย่างมันอร่อยขึ้นเยอะเลยล่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นผมขอกินอีกได้ไหมครับ?”

“อ้าวหมดแล้วเหรอ?! ไหนยิมบอกพี่ชายให้เคี้ยวช้า ๆ ไง?” รุ่นพี่บริหารยู่หน้าพลางทักท้วงเมื่อเห็นสายตาคาดหวังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังความหิวของเด็กหนวดวัยกำลังกินกำลังนอน

“เออว่ะพี่ ผมลืม งั้นเดี๋ยวพี่ชายป้อนผมใหม่ได้ไหมครับ รอบนี้ผมจะเคี้ยวให้ละเอียด ๆ เลย” เฟรชชี่วิศวะยิ้มอ่อนพลางช้อนสายตามองอ้อนรุ่นพี่อีกครั้งกระทั่งได้เห็นริ้วสีแดงพาดผ่านแก้มของอีกฝ่ายพร้อม ๆ กับได้กินลูกชิ้นลูกใหม่แล้วนั่นแหละ ชายหนุ่มจึงยอมสงบศึกชั่วคราว




“ไรวะเนี่ย?! ฝนตกเหรอ?!” จังหวะที่ช่วงขาสั้น ๆ ของเด็กบริหารร่างสันทัดกำลังตวัดขึ้นบนรถนั้นเอง นอกจากห่าฝนจะโปรยปรายร่วงหล่นลงมาแล้ว ยังมีร่างของใครอีกคนเสือกตัวเข้ามานั่งยังเบาะข้าง ๆ กัน มิหนำซ้ำมันยังมีน้ำหน้าคาดเข็มขัดนิรภัยเสียดิบดีปิดท้ายอีกต่างหาก

“เฮ่ยมึง! มึงมาได้ไงเนี่ย?! พิชญ์แผดเสียงอย่างตกอกตกใจค่าที่ไม่คาดคิดว่าจะมีใครหน้าไหนจู่โจมเขาถึงในรถ

“รถผมจอดอยู่ในมออ่ะครับ พี่พิชญ์ช่วยไปส่งผมหน่อยได้ไหม?” เดียวยังคงตีหน้าซื่อทำมึนใส่รุ่นพี่ต่างคณะไม่มีเสื่อมคลาย

“มึงลงไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!

“โห่พี่! ฝนตกหนักขนาดนี้ ขืนผมลงไปผมก็เป็นหวัดพอดีดิครับ!” เฟรชชี่ต่อรองตาใสทั้งที่ในใจกำลังประหวั่น... แต่ไหน ๆ ก็หน้าด้านมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะไม่ยอมลงจากรถคันนี้ง่าย ๆ แน่!

“เรื่องของมึง มึงจะเป็นจะตายมันก็เรื่องของมึง! มึงไสหัวลงจากรถกูไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!” ค่าที่มีถุงของกินวางอยู่เต็มหน้าตัก พิชญ์จึงทำได้แค่ผลักหัวไหล่ของอีกฝ่ายซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งเรี่ยวแรงเพียงน้อยนิดเท่านั้นไม่อาจทำให้เด็กวิศวะที่มีขนาดร่างกายใหญ่และหนากว่าสะทกสะท้านได้เลยสักนิด

“ได้ไงอ่ะพี่ พี่ต้องหัดมีน้ำใจกับรุ่นน้องร่วมสถาบันบ้างดิครับ”

“สรุปมึงจะลงหรือไม่ลง?!
“ไม่! จนกว่าพี่จะยอมไปส่งผมที่รถก่อน!
“ได้! งั้นกูก็จะต่อยมึงจนกว่ามึงจะยอมลงจากรถกู”

ลึก ๆ แล้วแม้นายหนึ่งเดียวจะหวาดผวากับวาจาสิทธิ์ของคนโตกว่าไม่น้อย แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่วายกล่อมตัวเองให้ทำใจดีสู้เสือเข้าไว้ “พี่คิดว่าผมกลัวพี่เหรอ? ถ้าผมกลัวพี่จริง ๆ ผมคงไม่แอบขึ้นรถพี่มาหน้าด้าน ๆ หรอกครับ!

ได้ยินดังนั้น เจ้าของรถจึงติดเครื่องยนต์ เร่งแอร์ แล้วหักนิ้วเพื่อเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ “เออ! ดี! กูจะรอดูว่ามึงจะทนได้สักกี่น้ำ” ไม่ทันขาดคำ หมัดลุ่น ๆ ก็กระแทกเข้ากับต้นแขนของเด็กปีหนึ่งที่นั่งหลับตาปี๋รอท่าอยู่

“อึก! เดียวกล้ำกลืนความเจ็บปวดเอาไว้ภายในไม่ต่างจากเสียงร้องหวนไห้ที่ไม่เล็ดลอดออกจากริมฝีปากเลยสักแอะ

“มึง จะ ยอม ลง จาก รถ กู ไป ดี ๆ ไหม?!” ทุก ๆ พยางค์ที่พิชญ์เอื้อนเอ่ย จะมีหนึ่งหมัดหวดลงปะทะกับผิวกายใต้เสื้อนักศึกษาของรุ่นน้องอย่างจั๋งหนับ แต่นั่นกลับไม่ทำให้คนลงมือรู้สึกสาแก่ใจ เพราะข้อจำกัดทางพื้นที่กับท่าทางในตอนนี้ทำให้แรงส่งในการออกหมัดน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ไอ้เด็กเวรตะไลนี่จึงไม่ยอมถอยร่นไปเหมือนทุกที

“ไม่ครับ ฝนตกหนักแบบนี้ ต่อให้พี่ต่อยผมจนตายผมก็ไม่ลงครับ” เด็กปีหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวพลางพยักเพยิดชี้ชวนให้อีกคนมองสายฝนที่ห่มลงบนกระจกรอบ ๆ คันรถจนฟ้ามืดมิดมัวหม่นไปพร้อม ๆ กัน  

“โว้ยยย! ไอ้สัด! ไอ้เหี้ยเดียว! มึงแม่งโคตรของโคตรหน้าด้านเลยว่ะ!” หลังจากทำร้ายร่างกายรุ่นน้องร่วมสถาบันอยู่นานสองนาน ที่สุดแล้วเด็กบริหารก็ออกแรงจนถึงขีดจำกัดของตัวเอง

แน่นอนว่าเมื่อคนลงมือออกอาการเพลี่ยงพล้ำแถมยังโดนอาการหอบหายใจซ้ำเติมอย่างไม่ไว้หน้า นายหนึ่งเดียวจึงสามารถคว้าข้อมือของพิชญ์เอาไว้ได้โดยไม่ต้องออกแรง “เหนื่อยมากไหมพี่?”

“มึงก็ลองมาเป็นคนต่อยเหมือนกูดิวะไอ้ควาย! แม่ง! ถามมาได้!” เด็กปีสามผรุสวาทอย่างเหลืออดก่อนจะตั้งหน้าตั้งตากอบโกยลมหายใจเข้าปอดราวกับปลาขาดน้ำ

“ถ้าเหนื่อยก็หยุดก่อนดิพี่ ผมนั่งอยู่นี่แหละ ไม่หนีไปไหนหรอก”

“เออ! อย่าหนีนะมึง! ว่าแล้วเจ้าตัวก็กระชากข้อมือกลับไปนวด ๆ ถู ๆ เพื่อคลายความเจ็บปวด แต่ยังไม่ทันจะนั่งพักเหนื่อยได้นานดั่งใจ เด็กเวรตะไลข้าง ๆ ตัวก็ประกาศความต้องการของตัวเองออกมาอย่างไม่สนลมฟ้าอากาศ

“ผมหิวว่ะพี่ พี่ซื้อไรมากินมั่งอ่ะ?” สิ้นคำ เฟรชชี่วิศวะก็คว้าถุงก็อบแก๊บบนตักพิชญ์ไปคุ้ยหาของกินทันที

เชื่อเถอะว่าท่าทีกระด้างกระเดื่องปีนเกลียวเช่นนี้ย่อมไม่เป็นที่ต้องตาต้องใจของผู้พบเห็นในระยะเผาขนอย่างพิชญ์เป็นแน่ “มากไปแล้วนะไอ้ควายเดียว!” แม้จะยังไม่หายเหนื่อย แต่คนโตกว่าก็ง้างแขนตั้งท่าจะหวดหมัดใส่รุ่นน้องต่างคณะอีกคำรบ ทว่าฝ่ายที่โดนตบตีจนรู้ทางมวยกันเป็นอย่างดีกลับรวบข้อมือทั้งสองข้างของพี่ปีสามจอมเหวี่ยงเอาไว้อีกครั้งอย่างแม่นมั่น

“กินก่อนเหอะพี่ เดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อย”

“ไม่! กูไม่กิน!

“ไม่กินแน่นะ?” หนึ่งเดียวให้โอกาสพิชญ์อีกครั้งพลางยื่นหมูปิ้งหนึ่งไม้มาใกล้ ๆ ปากอีกฝ่ายคล้าย ๆ ป้อน “กินหน่อยเถอะครับ เมื่อกลางวันพี่ก็กินข้าวไปนิดเดียวเอง”

“ก็เพราะมึงไง กูเลยแดกอะไรไม่ลง!” คนโตกว่าสะบัดหน้าหนีพลางสาปส่ง “ไม่! อย่ามายุ่งกับกู!

“ไม่กินจริงเหรอพี่? แต่มันดูน่าอร่อยออกน้า” นอกจากจะไม่ละอายใจแล้ว เดียวยังคอยตามไปแกว่งหมูปิ้งใกล้ ๆ ปากของอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ โชคดีที่ความพยายามของเด็กวิศวะได้ผล เพราะอยู่ ๆ กระเพาะของคนปากแข็งก็ส่งเสียงร้องดังลั่นจนเจ้าของหน้าม้าน

“ไม่ต้อง! เดี๋ยวกูกินเอง!” พิชญ์สะบัดมือออกจากการเกาะกุมก่อนจะฉวยถุงหมูปิ้งคืนมาโดยไม่สนไอ้เด็กเวรตะไลที่ลอยหน้าลอยตาเคี้ยวหมูปิ้งอย่างหน้าไม่อาย
“หึ! ไม่ป้อนก็ไม่ป้อน ไว้ป้อนวันหลังก็ได้เนอะ”
“เนอะพ่อง!
“ค่อย ๆ เคี้ยวดิพี่ เดี๋ยวก็ติดคอกันพอดี” ต่อให้เป็นห่วงรุ่นพี่ต่างคณะมากแค่ไหน และถึงแม้เดียวจะพูดดี ๆ กับอีกฝ่ายจนตัวตาย ทว่าพิชญ์ก็มักจะเฝ้าสรรหาคำด่าที่หลากหลายมาตอบแทนความปรารถนาดีของชายหนุ่มอย่างถึงพริกถึงขิงอยู่เสมอ จึงไม่แปลกหากเด็กปีหนึ่งจะแสร้งตีมึนสลับกับกวนประสาทไปเรื่อย ๆ เพื่อสร้างตัวตนในห้วงคำนึงของอีกฝ่ายให้จงได้
“เสือก!
“โห! พี่ซื้อทอดมันร้านไหนอ่ะพี่ อร่อยว่ะ ทำไมผมไม่เคยกินวะ?”
“มึงมันโง่ไงถึงไม่เคยกิน!
“เออพี่ ทำไมเมื่อกี๊พี่ไม่ต่อยหน้าผมอ่ะ? อ๋อ... ช่วงพี่สั้นนี่เอง พอนั่งแบบนี้พี่เลยต่อยหน้าผมไม่ถึง”
“ไอ้เหี้ยควายเดียว!
“อ่า ครับ ๆ ไม่พูดแล้วครับ” แม้ปากจะเออออ แต่นายหนึ่งเดียวก็ขอส่งยิ้มมุมปากและสายตาไปล้อเลียนอีกฝ่ายอยู่ดี
“เดี๋ยวเหอะมึง!
“โอ๋ ๆ กินต่อเถอะนะครับ ผมไม่กวนแล้ว”

$$$$$$$$

“อ่ะยิม พี่ชายซื้อมาฝาก” เมื่อเห็นรูมเมทตั้งท่าจะถอดเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวเข้าไปอาบน้ำ ชายชาตรีก็นำของขวัญที่ตนตั้งใจเลือกอย่างดิบดีมามอบให้กับอีกฝ่ายทันที

“หืม? พี่ชายซื้อมาทำไมครับ?” เด็กหนวดมองมีดโกนในซองที่เพิ่งถูกรุ่นพี่ยัดใส่ในฝ่ามือด้วยสายตางุนงง

“พี่ชายเห็นว่ายิมไม่มีมีดโกนหนวด พี่ชายเลยซื้อมาให้ยิม เผื่อยิมจะได้โกนหนวดไง”

เฟรชชี่เกาท้ายทอยทันทีที่ได้ฟังคำอธิบายจากปากสายเปย์ “ว้า! ยังไงดีล่ะพี่” แม้จะมีสีหน้าลังเลแต่สายตาของเด็กวิศวะกลับแวววาววิบวับราวกับเพิ่งคิดอะไรดี ๆ ออก “ผมขี้เกียจโกนหนวดอ่ะครับพี่ชาย”

“ทำไมล่ะ?”

“ก็หนวดผมขึ้นเร็วมากอ่ะพี่ ยิ่งโกน มันก็ยิ่งขึ้นไวจนผมเบื่อโกนสุด ๆ อ่ะครับ”

“...เหรอ...” ชายชาตรียู่หน้าพลางถอนหายใจอย่างอ่อนระโหย “แต่พี่ชายอยากเห็นยิมตอนหน้าเกลี้ยง ๆ บ้างนี่นา”

“ถ้าพี่ชายอยากเห็นจริง ๆ งั้นพี่ชายก็ต้องโกนให้ผม... ตกลงไหมครับ?” ยิมยิ้มกรุ้มกริ่มพลางสืบเท้าเข้าใกล้สายเปย์ขึ้นอีกนิด ทว่าคนโตกว่ากลับมีสีหน้าหนักใจจนเจ้าของห้องอดเป็นห่วงไม่ได้

“จะดีเหรอยิม? เกิดมาพี่ชายยังไม่เคยโกนหนวดให้ใครมาก่อนเลยนะ หนวดพี่ก็ไม่มี... พี่จะโกนหนวดให้ยิมได้จริง ๆ น่ะเหรอ?”

เท่าที่ฟังความจากปากชายชาตรี เด็กปีหนึ่งก็อดคล้อยตามไม่ได้ เพราะหากเขาจำไม่ผิด ตามเนื้อตัวของพี่ชายในสภาพไร้เสื้อผ้าปกปิดร่างกายขณะนอนพังพาบกอดก่ายโถส้วมห้องเขาเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนช่างเกลี้ยงเกลาและเนียนเรียบไร้ขนทั่วไปเกือบจะครบทุกสัดส่วน และภาพดังกล่าวนี่เองที่ทำให้ยาจกหนวดเฟิ้มกระชับพื้นที่เข้าใกล้รูมเมทมากขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว “งั้นเดี๋ยวผมสอนให้ ดีไหมครับ?”

“ไว้วันหลังดีกว่า ยิมเพิ่งโดนฝนมา รีบไปอาบน้ำอาบท่าก่อนเถอะ” ชายชาตรีถอยห่างเมื่อเริ่มรู้สึกถึงระยะอันตรายพลางเสตามองไปอีกทางเมื่อร่างกำยำตรงหน้าค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาลงทีละเม็ด ๆ

“งั้นเดี๋ยวรอบนี้ผมโกนเองก่อนก็ได้ครับ แล้วไว้ถ้าพี่อยากเห็นหน้าเกลี้ยง ๆ ของผมอีกเมื่อไร พี่ค่อยมาโกนให้ผมก็แล้วกัน” ยิมคลี่ยิ้มอย่างชอบอกชอบใจเมื่อทำให้อีกฝ่ายออกอาการเอียงอายได้ในชั่วพริบตา “ว่าไงครับ ตกลงไหม?”

“อืม ก็ได้... แต่พี่ว่าตอนนี้ยิมรีบไปอาบน้ำก่อนเถอะ ขืนอยู่แบบนี้นาน ๆ เดี๋ยวก็เป็นหวัดกันพอดี” สายเปย์พยักหน้ารับโดยไม่ยอมเลื่อนกรอบสายตากลับมามองหน้าคู่สนทนาเลยสักนิด...

ไม่ได้!! ตราบใดที่เราสองคนยังรู้จักกันไม่ดีพอ พี่ชายก็จะไม่ยอมปล่อยตัวปล่อยใจให้ซิกแพคและวีไลน์มีอำนาจเหนือศีลธรรมและจริยธรรมอันดีงามของความเป็นอภิชาตภรรยาเป็นอันขาด!

“ชายอยากให้ผมไปอาบน้ำจริง ๆ เหรอครับ? ไม่อยากแอบดูนมผมแล้วเหรอ?” หลังจากถอดเสื้อเชิ้ตที่เปียกปอนออกพ้นตัว ยิมก็โน้มตัวเข้าใกล้คนโตกว่าเพื่อกระซิบกระซาบคำเชื้อเชิญพลางคลี่ยิ้มกระแทกตาตบท้ายอย่างจงใจ

“บ้า! ไปเลย รีบเข้าไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลย!!” ชายชาตรีหลับตาปี๋พลางรุนหลังรุ่นน้องที่ตั้งหน้าตั้งตาแอ่นอกเข้าใส่ให้เดินเข้าห้องน้ำไปจนเด็กหนวดแผดเสียงหัวเราะร่วนอยู่ด้านหลังบานประตูพลาสติกสีหมองอยู่นานสองนาน


……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...


ความในใจทิ้งท้ายตามสไตล์ชายชิค ๆ :
อันที่จริง ชายไม่มีสเปคหรอก
ชายรู้แค่ว่าชายชอบคนหน้ารูปไข่ อวัยวะต่าง ๆ บนใบหน้าต้องชวนมอง และได้สมมาตร
ปากกับฟันต้องสะอาด ผิวพรรณหมดจดเกลี้ยงเกลา ขาวอมชมพูนิด ๆ
หุ่นฟิตเฟิร์มมีกล้ามกำลังดี ถ้ามีซิกแพคกับวีไลน์ชายก็ยิ่งปลื้ม

แต่เหนืออื่นใด นิสัยต่างหากล่ะที่สำคัญ
นิสัยของเหนือชายในอุดมคติจะต้องใหญ่และกำแทบไม่รอบเท่านั้น ถึงจะเข้าขั้นชายในฝันที่ชายตามหา // เหล่มองนิสัยยิมแล้วยิ้มพึงใจ


 $$$$<| TBC |>$$$$




No comments:

Post a Comment