<|No.13|>
ใช่เดทแน่
ๆ ไหม จงถามใจตัวเองดู
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
ทันทีที่สิ้นเสียงสุดท้ายของผู้บรรยายหน้าห้องเรียน
เดียวก็รีบดีดตัวไปยืนขวางทางเพื่อนรักที่ตั้งท่าพร้อมออกตัววิ่งตั้งแต่อาจารย์ยังไม่ปล่อยคลาส
“มึงจะไปไหน?”
“กูจะไปกินข้าว”
ยิมตอบคำพลางฉีกหลบด้วยท่าทีร้อนรนจนนายหนึ่งเดียวเริ่มไม่พอใจ
“กินข้าว?
มึงจะไปกินข้าวกับใคร? ไม่อยู่กินกับพวกกูหรือไง? ” เหตุที่เดียวตั้งป้อมซักไซ้สหายหน้าหนวดเป็นพิเศษเนื่องจากก่อนเข้าเรียนเช้านี้
เขาบังเอิญแอบเห็นเพื่อนตัวดีหิ้วปิ่นโตเถาใหญ่ไปฝากเอาไว้กับร้านข้าวใต้ตึกด้วยท่าทางลับ
ๆ ล่อ ๆ
“เหอะ! กูจะไปกินกับพวกพี่ชาย ไปนะ
เดี๋ยวพี่เขารอ” เด็กหนวดเอ่ยล่ก ๆ ขณะใช้หัวไหล่เบียดนายหนึ่งเดียวจนเซแซ่ด ๆ
ไปอีกทางก่อนจะทิ้งขว้างเพื่อนให้ยืนแสยะยิ้มอยู่ที่เดิม
“กินข้าวกับพวกพี่ชายงั้นเหรอ?”
ชายหนุ่มแทบไม่ต้องเสียเวลาคิดเนิ่นนาน เพราะทันทีที่ตระหนักว่าอะไรเป็นอะไร
เฟรชชี่รูปหล่อก็ยกยิ้มกับตัวเองอย่างถูกอกถูกใจพร้อมกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลังเกลอรักไปอย่างรวดเร็ว
“มึงเอาไรไหมชาย
ถ้าไม่มีกูจะได้ไปจ่ายตังค์?” หลังจากวนเวียนอยู่ตรงชั้นของกินเล่นภายในเซเว่นอยู่พักใหญ่
พิชญ์ก็เดินมาหาเพื่อนสายเปย์ที่กำลังยืนทำหน้าย่นเป็นหัวเข่าโดนขยี้อยู่ตรงมุมเครื่องประทินโฉมและอุปกรณ์เบ็ดเตล็ด
“ว่าไงมึง จะซื้ออะไรหรือเปล่า?”
“...”
“มึงเป็นอะไรฮึชาย?
ทำไมถามไม่ตอบ?” ท่าทางจด ๆ จ้อง ๆ มัวแต่มองตรงไปข้างหน้าของเพื่อนสนิทชักนำให้พิชญ์ยิ่งสงสัยใคร่รู้หนักข้อยิ่งขึ้น
“ยังคิดไม่ออกหรือไงว่าจะขโมยอะไรดี?”
“เฮ่อ! ใช่ที่ไหนล่ะพิชญ์” ชายชาตรีถอนหายใจยาวพลางจับจ้องซองมีดโกนไม่วางตา
“มึงอยากได้ไอ้นี่เหรอ?”
เจ้าของประโยคถามพลางคว้ามีดโกนขึ้นมากวัดแกว่งหลอกล่อคู่สนทนาจนยาจกมือใหม่เผลอพยักหน้าหงึกหงักยอมรับพร้อมกับสารภาพกิเลศของตนจนหมดเปลือก
“ฮื่อ
ก็อยากอ่ะ”
“อยากได้แล้วทำไมไม่ซื้อ?
ยืนมองเฉย ๆ แล้วขนมึงจะร่วงหรือไง?”
“ไม่ใช่”
ชายชาตรีอ้อมแอ้มเสียงอ่อน
“ถ้าไม่ใช่แล้วทำไมไม่ซื้อ?”
สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความหงุดหงิดในน้ำเสียงเห็นจะเป็นความไม่เข้าใจของสายเหวี่ยงตัวพ่อ...
จะโยกโย้ทำไมนักหนา กับอีแค่มีดโกนโง่ ๆ อันเดียว?!
สายเปย์ไม่อาจหักห้ามความรู้สึกกระอักกระอ่วนมวนท้องของตัวเองได้
หากแต่สายตาทิ่มแทงของอีกฝ่ายก็ทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจขายตัวเองได้ไม่ยาก “ก็เงินมันไม่พอ”
ชายชาตรีเอ่ยพลางแอบนับเศษเหรียญในมืออสลับกับตรวจสอบป้ายราคาของมีดโกนในมือเพื่อนด้วยสายตาโหยละห้อย
“เหลืออีกตั้งสองวันแน่ะกว่าเงินเดือนจะออก”
“เฮ่อออ!” อาการเจียมเนื้อเจียมตัวของยาจกมือใหม่ทำเอาคนฟังปวดหัวใขจนเผลอถอนหายใจยืดยาว
“ทีหลังมึงอยากได้อะไรก็บอกสิ ของราคาแค่นี้กูซื้อให้มึงได้น่ะ”
“ไม่เอาพิชญ์
ชายอยากซื้อเอง เดี๋ยวไว้ชายรอให้เงินเดือนออกก่อนแล้วค่อยมาซื้อก็ได้” อดีตสายเปย์โบกมือโบกไม้เมื่อเห็นเพื่อนสนิทโยนซองมีดโกนใส่ลงตะกร้าในมือเจ้าตัว
“เอาน่า
ไว้เงินเดือนมึงออกเมื่อไร มึงค่อยเอาเงินมาใช้กูแล้วกัน แค่สิบเก้าบาทเอง
กูไม่รีบ” พิชญ์ตัดบทเด็ดขาดพลางปราดไปจ่ายค่าเสียหายโดยหนึ่งในนั้นมีมีดโกนราคาไม่ถึงยี่สิบบาทที่ชายชายตรียืนลูบ
ๆ คลำ ๆ อยู่นานสองนานรวมอยู่ด้วย “มาเร็ว พี่ผึ้งรอกินข้าวอยู่!” ไม่ต้องรอให้พิชญ์กระตุ้นอีกครั้งชายชาตรีก็ตั้งหน้าตั้งตาจ้ำตามหลังเพื่อนสนิทไปโดยไม่รอช้า
เพราะทันทีที่เกลอแก้วพูดถึงคนรอกินข้าว ใบหน้าของเด็กหนวดก็แล่นเข้าสู่ห้วงมโนทันควัน...
ไม่รู้ป่านนี้ยิมจะมาถึงหรือยังนะ?
โชคดีที่ชายชาตรีไม่ต้องเก็บงำความสงสัยเอาไว้กับตัวนานเกินไป
เพราะในอีกไม่ถึงสิบนาทีให้หลัง ชายหนุ่มก็พบว่าเด็กวิศวะมานั่งหน้าแป้นรอท่าอยู่กับปาณัธเป็นที่เรียบร้อย
“มาถึงนานยัง?”
“ผมเพิ่งมาถึงเมื่อกี๊เองครับ”
แม้จะใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นหน้ารุ่นพี่ว่าหนุ่มเฟรชชี่กลับยังไม่คลายความเป็นห่วง
และเป็นหวงที่มีต่ออีกฝ่ายลงง่าย ๆ “เมื่อกี๊พี่ชายไปไหนมาครับ?”
“เฮ่อ!” ตัวอ่อนมนุษย์ป้าถึงกับเบ้หน้า
กลอกตา ออกอาการเหม็นเบื่อบรรยากาศมุ้งมิ้งโดยรอบขึ้นมาฉับพลัน เพราะถ้าจำไม่ผิด เจ้าหล่อนเพิ่งตอบคำถามดังกล่าวไปหยก
ๆ แต่ต่อให้ผึ้งจะหมั่นไส้สองหนุ่มมากมายสักเพียงใด วินาทีนี้คงไม่มีใครสนใจตัวประกอบหญิงวัยทองทางอารมณ์อย่างหล่อนเป็นแน่
“วันนี้พิชญ์ไม่อยากกินข้าว
พี่ชายเลยไปซื้อขนมเซเว่นเป็นเพื่อนพิชญ์มาน่ะ”
“อ๋อ
เหรอครับ” เด็กวิศวะรับคำเป็นพิธี ก่อนจะเบี่ยงประเด็นเข้าสู่หัวข้อที่ตนสนใจเหนือสิ่งอื่นใด
“หิวหรือยังพี่ นั่งสิครับ” ไม่ทันขาดคำ คนพูดก็เลื่อนเก้าอี้ว่างตัวข้าง ๆ
เพื่อเชื้อเชิญอีกฝ่ายให้ตอบรับข้อเสนอดังกล่าวโดยไม่คิดปฏิเสธ “นั่งนี่สิครับ
จะได้ตักข้าวกินง่าย ๆ ”
“ขอบใจนะยิม”
สายเปย์อมยิ้มพลางเดินอ้อมโต๊ะไปหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ กายยาจกหนวดเฟิ้มอย่างว่านอนสอนง่ายไม่มีใครเกิน
เมื่อเห็นดังนั้น ยิมจึงเริ่มกุลีกุจอบริการรูมเมทรุ่นพี่ด้วยความยินดีขั้นสูงสุด
“กับข้าวเย็นหน่อยนะครับ
พี่ชายกินได้หรือเปล่า?”
“ไม่ต้องห่วงพี่ชายหรอก
ถ้ายิมกินได้ พี่ชายก็กินได้”
“เฮ่อออ!” ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจว่าจะไม่ใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมรอบกายอันหวานเลี่ยนชวนอาเจียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่เมื่อภาษาดอกไม้กับสายตาของสองหนุ่มแฉลบทะลุเข้าสู่โสตประสาท ตัวอ่อนมนุษย์ป้าพร้อมด้วยลิ่วล้อจอมเหวี่ยงก็อดระบายความเอือมระอาผ่านลมหายใจออกระลอกใหญ่ไม่ได้
“นี่พวกมึงห่อข้าวมากินเหรอ?
นึกไงเนี่ย? หรือพวกมึงจะเข้าลัทธิเบื่อฝีมือป้าโรงอาหารตามกู? ” แม้จะยังหมั่นไส้เพื่อนรักอยู่มาก
ทว่ากับข้าวกับปลาหน้าตาบ้าน ๆ ในปิ่นโตสี่ชั้นก็ทำให้พิชญ์หลุดปากตั้งคำถามด้วยความสนใจ
“เปล่าหรอกพิชญ์
แค่เราสองคนอยากประหยัดให้มากที่สุดก่อนที่เงินเดือนจะออกน่ะ”
สายตาเคลือบแคลงกับสีหน้าไม่เข้าใจของพิชญ์ทำให้ยิมรีบเสริมความต่อจากรูมเมทรุ่นพี่ทันที
“เมื่อวันเสาร์ช่างเพิ่งมาเดินสายไฟในห้องให้ใหม่น่ะครับพี่พิชญ์ เราสองคนเลยเหลือเงินรวมกันไม่กี่ร้อย
ตอนนี้อะไรที่ประหยัดได้ เราก็จะทำไปก่อน”
“ถึงว่าสิ
วันนี้เงินไม่กระเด็นออกจากกระเป๋าไอ้ชายเลยสักบาท” เด็กบริหารรูปร่างสันทัดละสายตาจากห่อข้าวปั้นห่อสาหร่ายในมือเพื่อจ้องหน้าเพื่อนสนิทอย่างเอาจริงเอาจัง
“ถ้ามึงลำบากขนาดนี้จะเอาเงินกูไปใช้ก่อนไหมล่ะชาย ไว้มึงมีเมื่อไรค่อยมาคืนกูวันหลัง”
“ไม่ต้องหรอกครับพี่พิชญ์
ผมดูแลพี่ชายได้”
“อ่ะ
เอาไป!” นอกจากจะไม่สนอีร้าค่าอีรมใด ๆ แล้ว
พิชญ์ยังควักแบงค์พันสองใบส่งให้เพื่อนรักเสียอีก “กูรู้ว่ามึงดูแลไอ้ชายมันได้
แต่ถ้าเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นมาพวกมึงจะทำยังไง?”
“พิชญ์ลืมแล้วเหรอว่าพวกเราทำงานกับพี่ผึ้ง
ถ้ามีปัญหาอะไรขึ้นมาจริง ๆ พี่ผึ้งต้องช่วยพวกเราอยู่แล้วล่ะ” เจ้าของประโยคกวาดสายตามองหน้าปาณัธอย่างวาดหวังเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชาวโลกสวย
“ใช่ไหมครับพี่ผึ้ง?”
“หืม?
เมื่อกี๊มึงว่าไงนะชาย?” นอกจากจะไม่รับลูกแล้ว ตัวอ่อนมนุษย์ป้ายังปั้นหน้าเอ๋อเกรดพรีเมียใส่เพื่อนหน้าเข่าไปอีก
และภาพเหตุการณ์สุดอนาถนี้เองที่ทำให้พิชญ์ได้ข้อสรุปว่า
ต่อให้ตนเองอับจนหนทางเจียนตาย
ปาณัธก็จะเป็นที่พึ่งสุดท้ายในโลกที่เขาเลือกจะซมซานไปขอร้องความช่วยเหลือ
“อ่ะนี่! มึงเอาไป” สิ้นเสียงพูด
ธนบัตรสีเทาทั้งสองใบก็ถูกเจ้าของยัดใส่กระเป๋าตรงหน้าอกด้านซ้ายทันที
“ไม่เอาพิชญ์
เอาคืนไป เดี๋ยวอีกสองวันชายก็ได้เงินเดือนแล้ว”
“มึงเก็บไว้ก่อนเถอะน่า
อย่างน้อย ๆ กูก็จะได้อุ่นใจ” พิชญ์เอ่ยพลางจ้องตาวัดใจกับสายเปย์อย่างดุเดือด “ถ้าสุดท้ายมึงไม่ใช้
มึงก็ค่อยเอามาคืนกูไง”
“แต...”
“ถ้าคืน
กูโกรธ!”
“สวัสดีครับพี่
ๆ ขอผมนั่งกินข้าวด้วยคนนะครับ” น้ำเสียงสอดแทรกสุดร่าเริงของคนมาใหม่ทำให้หัวข้อต่อรองของสองเพื่อนซี้มีอันตกกระป๋องไปโดยพลัน
“มึง?!!” ต่อให้ตกใจกับการปรากฏกายของคู่อริรายล่าสุดสักเพียงใด
แต่ครั้งนี้พิชญ์จะไม่ยอมเพลี่ยงพล้ำตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอีกแล้ว
“พี่ผึ้ง ผมไปกินที่อื่นนะครับ” พูดยังไม่ทันขาดคำ พิชญ์ก็ก้มหน้าก้มตาลงเก็บสิ่งละอันพันละน้อยตรงหน้าอย่างรวดเร็วพร้อม
ๆ กับหยัดตัวลุกขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว
“ไม่ต้องเลยพิชญ์
มึงนั่งกินกับพวกกูนี่แหละ!” น้ำเสียงข็ง ๆ
ของหญิงสาวเพียงคนเดียวกลับสยบความเคลื่อนไหวของชายหนุ่มสายเหวี่ยงได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจเป็นที่สุด
“แต่พี่ผึ้ง!”
ผึ้งแสร้งทำทีเหมือนไม่สนใจสีหน้าบูดบึ้งของพิชญ์พลางพูดเตือนสติเพื่อนรักด้วยความหวังดีต่ออีกฝ่ายอย่างที่สุด
“มึงคิดว่าถ้ามึงหนีไปกินที่อื่น ไอ้เด็กนี่มันจะตามไปรังควาญมึงไม่ได้หรือไง?” จังหวะที่พิชญ์กำลังจะอ้าปากเถียง
ตัวอ่อนมนุษย์ป้าก็ส่งเสียงคำรามถ้อยคำประกาศิตออกมาเสียก่อน “แต่ถ้ามึงอยากแอบไปกินข้าวกับมันสองต่อสอง
ก็ไปเถอะ กูไม่ห้าม”
“จิ๊!” ที่สุดแล้วคำพูดของเพื่อนรุ่นพี่ทำให้พิชญ์คิดได้
ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนใจทิ้งตัวลงนั่งตามเดิม ทว่าถึงแม้ชายหนุ่มจะต้องร่วมวงกินข้าวกับเด็กปีหนึ่งที่ตนเกลียดขี้หน้าอย่างจำใจ
แต่เขากลับไม่ลืมหันไปด่าเอ่ยคำหวานใส่เฟรชชี่รูปหล่อที่เจ๋อมาขอกินข้าวด้วยอย่างเผ็ดร้อน
“ไสหัวไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
“ทำไมพี่ไม่กินข้าวดี
ๆ ?”
“มึงนี่มันหน้าด้านฉิบหาย!” พิชญ์ยิ่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเมื่อใบหน้าบาน
ๆ ยิ่งกว่าจานดาวเทียมของไอ้เด็กบ้าช่างเกะกะสายตายิ่งนัก
“มัวแต่กินขนมแบบนี้นี่ไงถึงได้ตันไปทั้งตัว”
“ไอ้สัด! ใครตัน? ปากเสีย!”
“เอานี่ไปกินเลย
ผมสั่งมาเกิน” คนพูดตีหน้ามึนพลางกวาดขนมในอาณัติของรุ่นพี่มากองไว้อีกฟากฝั่งซึ่งอยู่ห่างไกลจากมึอเด็กโข่ง
จากนั้นชายหนุ่มก็เลื่อนจานข้าวจากร้านอาหารตามสั่งติดดาวพร้อมเมนูโปรดของอีกฝ่ายไปวางตรงหน้าเป้าหมายจอมเหวี่ยง
แม้ลึก
ๆ แล้วพิชญ์จะรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นอาหารสุดเย้ายวนวางล่อตาล่อใจ ทว่าเขากลับไม่คิดจะใคร่ครวญหาเหตุผลเบื้องหลังการกระทำของอีกฝ่ายให้เสียฤกษ์เสียยาม
เพราะ ณ จุด ๆ นี้ คงไม่มีสิ่งใดสำคัญต่อชายหนุ่มสายเหวี่ยงมากไปกว่าศักดิ์ศรีที่โดนเด็กเมื่อวานซืนย่ำยีบีฑาลงต่อหน้าผองเพื่อนอีกแล้ว
“เอาของ ๆ กูคืนมา!”
หนึ่งเดียวปัดมือรุ่นพี่ที่สอดผ่านซอกแขนของตนด้วยหมายจะล้วงของกลางกลับคืนได้ทันท่วงที
พร้อม ๆ กับสวดสั่งสอนอีกฝ่ายคล้ายกับถูกองค์ของคุณพิทักษ์เสด็จลงประทับร่างก็ไม่ปาน
“กินข้าวให้เสร็จก่อนดิพี่ แล้วค่อยกินขนม”
“เอ๊ะ! นี่มึงพูดไม่รู้เรื่องหรือไง? เอามา! กูบอกให้เอาของกูคืนมา!”
“น่าพี่
กินเยอะ ๆ จะได้แขนยาว ๆ ไง”
“ไอ้สัดเดียว! มึงอย่าอยู่เลย!”
“พิชญ์! กินข้าวเดี๋ยวนี้!” จังหวะที่เจ้าของชื่อตั้งท่าจะฟาดงวงฟาดงาใส่อาคันตุกะปีหนึ่งนั้นเอง
ตัวอ่อนมนุษย์ป้าก็ขี่ม้าขาวปุเลง ๆ เข้ามาช่วยห้ามทัพได้ทันการณ์
“แต่มันกวนตีนผมก่อนนะครับพี่ผึ้ง!” แม้จะโดนสายตาแผดเผาจากปาณัธเข้าอย่างจัง
แต่สายเหวี่ยงก็ยังไม่วายจะเถียงขาดใจ
“มึงก็อย่าไปสนใจมันซี่
คิดเสียว่าน้องมันเป็นหมาไปซะก็ได้” หญิงสาวเพียงคนเดียวปราศรัยโดยไม่คิดจะรักษาภาพลักษณ์ของเจี๊ยวหวานจากทีมเยือนเลยสักนิด
“เสียงหมาเห่าก็แค่น่ารำคาญป่ะวะพิชญ์ ไว้ให้มันกัดมึงเมื่อไร
กูนี่แหละจะเตะไล่มันแทนมึงเอง”
ความที่ยังคงเคืองแค้นนายหนึ่งเดียวไม่หาย
หนุ่มบริหารร่างสันทัดจึงส่งสายตาอุทธรณ์ไปอ้อนวอนเพื่อนรุ่นพี่ให้ใจอ่อนอีกครั้ง ตัวอ่อนมนุษย์ป้าจึงจำเป็นต้องรวบรัดตัดความอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใด
ๆ “เอา ๆ รีบ ๆ กิน รีบ ๆ ขึ้น เดี๋ยวเรียนอีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็จะได้กลับบ้านกลับช่องกันแล้ว
อย่ามามัวทะเลาะกันให้เสียเวลาอยู่เลย” ทันทีที่เปรยกับเพื่อนจบ ผึ้งกันหันไปสยบต้นตอของปัญหาทั้งมวลอย่างเดียวด้วยอีกทาง
“มึงก็เหมือนกัน ถ้าอยากนั่งนี่ก็กินข้าวเงียบ ๆ ไป!”
“ครับพี่”
“กินเยอะ
ๆ นะยิม”
“ขอบคุณครับ
พี่ชายกินนี่สิครับ อร่อยนะ”
“ฮื่อพอแล้วยิม! ในชามพี่ชายยังไม่หมดเลย
ยิมกินบ้างเถอะ เดี๋ยวยิมไม่อิ่ม”
“ไม่ต้องห่วงครับ
เมื่อเช้าผมตักข้าวมาเยอะ”
“งั้นก็อย่ากินแต่ข้าวสิ
กินกับด้วย อ่ะนี่ พี่ชายตักให้” น้ำเสียงออดอ้อนอ่อนหวานผสานเสียงหัวร่อต่อกระซิกที่ดังแผ่ว
ๆ มาจากอีกฟากฝั่งช่างดึงดูดสายตาของเหล่านักรบทั้งสามร่างได้เป็นอย่างดี ภาพความชื่นมื่นระรื่นสมัครสมานระหว่างสายเปย์เพื่อนซี้และเด็กหนวดเฟรชชี่ขณะผลัดกันตักอาหารใส่ปิ่นโตของอีกฝ่ายอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยทำเอาผึ้งอดรำพึงในใจไม่ได้ว่า
เมื่อไรกันหนอที่บรรยากาศรอบ ๆ ตัวสหายสนิททั้งสองของหล่อนจะสมดุลหนุนส่งกันเสียที
$$$$$$$$
“มึงจะรีบไปไหน?
ไม่ไปเดินตลาดนัดกับไอ้พวกนั้นเหรอ?” นี่เป็นครั้งที่สองของวันที่เดียวตั้งป้อมจิกเพื่อนหน้าหนวดอย่างมีนัยยะ
“หึ! ไม่อ่ะ กูจะไปรับพี่ชายกลับบ้าน”
“เดี๋ยวไอ้ยิม”
ทันทีที่เห็นเพื่อนสนิทเดินดุ่ม ๆ ออกจากห้องเรียนไป นายหนึ่งเดียวก็วิ่งถลาเข้าไปกอดคอยิมพลางรั้งตัวอีกฝ่ายเอาไว้จนยาจกมืออาชีพนิ่วหน้าตวัดหางตามองขุ่น
“อะไร?”
“กูว่าจะถามหลายทีแล้ว”
“มึงจะถามอะไร?”
ยิมพยายามแกะแขนอีกฝ่ายออกจากไหล่ทว่าไม่เป็นผล... แน่นอนว่าคนที่จ้องจะเผือกเรื่องชาวบ้าน
ย่อมต้องมีพละกำลังต้านทานการขัดขืนมากกว่าคนปกติหลายล้านเท่า
“ทำไมมึงถึงต้องคอยรับ
คอยส่ง คอยไปกินข้าว คอยทำตัวติดกันกับเขานักวะ? มึงกับเขาเป็นอะไรกัน?”
ห่าคำถามที่เพิ่งได้ยินทำเอาหัวคิ้วคนฟังขมวดเป็นปม
“มึงถามทำไม?”
“ก็กูสงสัยนี่หว่า
ตั้งแต่กูรู้จักมึงมา กูไม่เคยเห็นมึงติดใครขนาดนี้มาก่อน” จังหวะที่อ้าปากถามยิมอยู่นั้น
หัวสมองของเด็กวิศวะรูปหล่อก็พลันหวนระลึกถึงบรรยากาศหนุงหนิงเมื่อกลางวันระหว่างเพื่อนของตนกับคนหน้าเข้าขึ้นมาจนได้
และเมื่อไตร่ตรองดี ๆ ความคิดไม่เข้าท่าที่สุดก็ดันผุดขึ้นมาในหัวของนายหนึ่งเดียวอย่างไม่อาจหักห้ามใจ
“อย่าบอกนะว่ามึงชอบคนแบบนั้น? หืย! แค่คิดก็ขนลุกแล้ว!”
“แบบนั้นที่มึงว่าคือแบบไหน?”
ท่าทางขยะแขยงบวกกับอาการสยดสยองของสหายรักทำยิมชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ ซึ่งมันทำให้คู่สนทนาตระหนักได้ว่า
หากหลังจากนี้ตนเผลอพูดจาพล่อย ๆ โดยไม่คิดหน้าคิดหลัง เขาคงได้กินกำปั้นของอีกฝั่งจนหน้าพังไปก่อนแน่
ๆ
“ก็แบบ...
แบบพี่ชายไง”
เสียงข้อความเข้าใหม่ทำให้ยิมพักความคิดที่จะซักไซ้เพื่อนให้ขาวสะอาด
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบาง ๆ ระหว่างลากสายตาอ่านข้อความจากขาประจำเพียงคนเดียวก่อนจะแกะแขนที่รั้งตัวเองไว้แล้วเดินไปทันที
ปล่อยให้นายหนึ่งเดียวที่เพิ่งถูกเททิ้งแบบหมาด ๆ เป็นเดือดเป็นร้อนจนต้องวิ่งหน้าตาตื่นตามหลังมาอย่างเสียไม่ได้
“เฮ่ย! มึงโกรธกูเหรอวะยิม?”
“เปล่า
กูแค่จะรีบไป” เด็กหนวดรวบรัดรวดเร็วเพราะอยากจะเหาะไปหาเจ้าของข้อความเมื่อสักครู่ใจจะขาด
“มึงจะไปบริหารเหรอ?”
ท่าทางเร่งรีบของเพื่อนรักที่ไม่ผิดไปจากเมื่อกลางวันทำให้เดียวเดาสุ่ม แต่ชายหนุ่มกลับต้องประหลาดใจเมื่อได้ฟังคำตอบเหนือความคาดหมายจากปากยิม
“เปล่า
กูจะไปตลาดนัด”
“เออ
ๆ ดี ๆ พักผ่อนหน่อยก็ดีมึง มึงยุ่งจนพวกกูแทบจะลืมหน้ามึงเต็มที งั้นเดี๋ยวมึงนั่งรถไปกับกูแล้วกัน”
คนพูดเหนี่ยวคอเพื่อนรักอีกครั้งก่อนจะโดนปัดทิ้งอย่างไร้เยื่อใยซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“กูไม่ได้จะไปเดินเที่ยว
กูจะไปรับพี่ชาย”
“อ้าว! ไรวะ?!” สีหน้าสับสนระคนไม่รับรู้อะไรของเดียวได้ปัดเป่ามนตราแห่งข้อความเคลือบน้ำตาลที่ชายหนุ่มเคราเฟิ้มเพิ่งได้อ่านให้มลายหายสิ้น
เอาล่ะ
ได้เวลาที่เขาควรจะปิดจ๊อบที่ค้างคาให้จบลงเสียที
“ที่เมื่อกี๊มึงถามกูว่า
พี่ชายกับกูเป็นอะไรกันน่ะ” เด็กหนวดตั้งใจเว้นวรรคคำพูดเพื่อประสานสายตากับเพื่อนก่อนจะเอ่ยตบท้ายด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดจริงจัง
“กูชอบเขา... กูชอบเขาโดยไม่สนว่าเขาเป็นยังไง มึงเข้าใจแล้วใช่ไหม?”
“...เฮ่ย! ถามจริง?!”
“เออ! ทีนี้มึงจะเลิกสงสัยได้หรือยัง?”
“แต่เขาชอบกูอยู่ไม่ใช่เหรอวะ?”
ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกจากปากไป เดียวก็อดโมโหตัวเองไม่ได้ที่เผลอพูดจาราวกับอาลัยอาวรณ์รุ่นพี่หน้าเข่าเสียเต็มประดา
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว แค่หน้าของอีกฝ่าย เขาก็แทบไม่อยากจะชายตามองด้วยซ้ำ
ยิมอัดลมหายใจเข้าสุดปอดเพื่อข่มใจ
ก่อนจะมอบดึงสติเพื่อนรักให้กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง “นั่นมันเมื่อก่อน
แต่ตอนนี้เขาชอบกู และเขาเลิกชอบมึงแล้ว จบนะครับ”
“จริงเหรอวะยิม?
มึงไม่ได้โกหกกูใช่ไหม?!” ยิ่งฟังคำยืนยันจากปากเพื่อนบ่อยครั้งมากเท่าไร
นายหนึ่งเดียวก็ไม่อาจเก็บซ่อนความดีใจเอาไว้กับตัวได้อีกแล้ว
“กูจะโกหกมึงทำไมวะ”
“โอ๊ยไอ้ยิม! กูไม่รู้จะขอบคุณมึงยังไง! มึงคือเพื่อนที่ดีที่สุดของกูจริง ๆ
ขอบใจนะที่ช่วยชีวิตกู! ในที่สุดไอ้เดียวก็ไม่ต้องใช้ชีวิตแบบหลบ
ๆ ซ่อน ๆ อีกต่อไปแล้วโว้ย!”
นอกจากจะไม่ใส่ใจท่าทางราวกับยกภูเขาไฟที่กำลังระเบิดออกจากอกของเดียวได้แล้ว
ยิมยังรีบจ้ำอ้าวไปยังลานจอดรถมอเตอร์ไซค์ประจำคณะอย่างไม่คิดจะรักษามารยาทเสียอีก
กระนั้นหนุ่มวิศวะหน้าตาดีกลับวิ่งตามเด็กหนวดไปสิงสู่คอเพื่อนด้วยทักษะราวกับผีชัตเตอร์เวอร์ชันเหนี่ยวต้นคอ
“เออยิม ถ้ามึงกับพี่ชายชอบกัน งั้นมึงก็มีตารางเรียนของพี่ชายดิวะ”
“เฮ่ย! อย่ามองกูแบบนั้น
กูไม่ได้จะขอตารางของพี่ชาย กูอยากได้ตารางเรียนของพี่พิชญ์ต่างหาก” หนึ่งเดียวรีบชี้แจงแถลงไขเจตนาของตัวเองเป็นพัลวัน...
เดชะบุญที่เขาโดนยิมมองแรงใส่ในระยะเผาขน ไม่อย่างนั้นชายหนุ่มคงโดนเพื่อนสนิทเข้าใจผิดโดยใช่เหตุ
“มึงจะอยากรู้ไปทำไม?”
“เหอะน่า
ขอกูเหอะนะ กูขอร้อง” เด็กวิศวะสุดหล่อแทบจะกราบกรานเพื่อนสนิทเพื่อแลกกับข้อมูลที่ตนปรารถนา
ใครเลยจะคิดว่า จากคนที่เหม็นหน้ากันจนอยากจะเผลอทำปืนลั่นใส่วันละหลาย ๆ หน
จะกลายเป็นคน ๆ เดียวที่ทำให้เขาเฝ้าคิดถึงได้ตลอดเวลาแบบนี้...
พี่พิชญ์นะพี่พิชญ์
รู้ตัวบ้างไหมว่าผมแม่งแทบจะเป็นบ้าเพราะพี่อยู่แล้ว!
“ทำไมกูต้องให้?”
“จิ๊!” หนึ่งเดียวถอนหายใจเพราะต่อให้ยิมคาดคั้นเขาให้ตาย
ชายหนุ่มก็ไม่อาจตอบคำถามข้อนี้ของเพื่อนได้เช่นกัน “ถามกูตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก
เอาเป็นว่าไว้อะไร ๆ มันแน่นอนกว่านี้เมื่อไร กูจะเล่าทุกอย่างให้มึงฟังเป็นคนแรก
แต่กูรับรองได้เลยว่าที่กูขอตารางเรียนของพี่พิชญ์เนี่ย ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพี่ชายของมึงชัวร์
ๆ ”
“มึงดูสารรูปกูสิ
เดินแค่รอบเดียวแต่ซื้อของอย่างกับจะเอาไปถมที่” พิชญ์ก้มลงมองสิ่งละอันพันละน้อยทั้งหลายในถุงพลาสติกหูหิ้วมากมายที่ตนถืออยู่พลางบ่นหงุงหงิงด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก
“เออนี่! เดี๋ยวมึงกลับเข้ามอไปนั่งกินขนมกับกูป่ะ
เยอะแบบนี้กูกินคนเดียวไม่ไหวแน่ ๆ อ่ะ”
ชายชาตรีส่ายหัวดิกแม้ภายในใจจะอยากตอบรับไมตรีของเพื่อนรักใจจะขาด
“ไม่ได้หรอกพิชญ์ ชายต้องรีบกลับห้องไปเตรียมตัวทำงานน่ะ”
“โทษ
ๆ กูลืมไปว่ามึงต้องรีบไปทำงานต่อ”
“ไว้วันหลังนะ”
เออ
ๆ ไม่เป็นไร ๆ ” พิชญ์ยักไหล่อย่างไม่ติดใจก่อนจะปรับอารมณ์แล้วมองหน้าสายเปย์ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยจากใจจริง
“ว่าแต่มึงจะไม่ซื้ออะไรจริง ๆ น่ะเหรอ?”
“ไม่อ่ะ
ชายไม่อยากได้อะไร” ชายชาตรีจำใจปดเพราะไม่อยากทำให้เพื่อนต้องปริวิตกยิ่งไปกว่านี้
แต่มีหรือที่เรื่องแบบนี้จะหลุดรอดจากสายตาแหลมคมของสายเหวี่ยงไปได้
“กูเพื่อนมึงนะชายไม่ใช่ควายที่ไหน
เมื่อกี๊กูเห็นมึงมองลูกชิ้นปิ้งตาเป็นมัน หรือมึงจะบอกว่ามึงเห็นลูกชิ้นเป็นหน้าไอ้ยิม
มึงถึงได้จ้องเอาจ้องเอา?”
“โอ๊ะยิมยิงมาพอดีเลย!” สายเปย์ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกยินดีที่เห็นมิสคอลของเด็กหนวดปรากฏขึ้นบนหน้าจอมือถือ
กระนั้นครั้งนี้กลับเป็นครั้งที่ชายหนุ่มปรีดาจนออกนอกหน้า กระนั้นจังหวะที่เจ้าตัวกำลังจะกดต่อสายโทรกลับหายิมให้สมใจ
ชายชาตรีก็นึกขึ้นได้ว่า การกดโทรออกในแต่ละครั้งคือช่องทางหนึ่งที่ทำให้เงินรั่วไหล
รู้ดังนั้น ยาจกมือใหม่จึงหันไปแบมือใส่หน้าเพื่อนสนิทโดยไม่ลังเล “พิชญ์
ยืมโทรศัพท์หน่อยสิ”
“มึงจะเอาไปทำไม?”
“ก็เมื่อกี๊ยิมยิงมาไง
นะ ๆ ยืมหน่อยสิ เดี๋ยวยิมหาชายไม่เจอ” อารามเป็นห่วงความรู้สึกของว่าที่เหนือชายยิ่งกว่าอื่นใด
สายเปย์หน้าเข่าจึงเซ้าซี้สหายจอมเหวี่ยงอย่างไม่ปรานี “เร็ว ๆ ชายเกรงใจยิม
ไม่อยากให้ยิมรอนาน”
“จิ๊!” แม้จะส่งเสียงฮึดฮัดขัดใจ ทว่าพิชญ์ก็ยอมยื่นโทรศัพท์ที่ปลดล็อกเรียบร้อยแล้วส่งให้แต่โดยดี
“ฮัลโหล
นี่พี่ชายเองนะยิม ยิมถึงแล้วเหรอ?” ชายชาตรีกรอกเสียงกระเส่าระคนตื่นเต้นผ่านสายหลังจากรัวนิ้วจิ้มหมายเลขของยิมแล้วกดโทรออกอย่างโหยกระหายได้เพียงไม่นาน
“อ๋อ พี่ชายยืมมือถือพิชญ์โทรน่ะ พี่ชายไม่อยากใช้เครื่องตัวเองโทร มันเปลือง”
“เฮ่อ!” ถ้าไม่ติดว่าโทรศัพท์มือถือถูกอีกฝ่ายจับตัวไปเรียกค่าไถ่
พิชญ์คงไม่ต้องทนฟังเสียงหัวเราะระริกระรี้ของสหายหน้าเข่าอยู่แบบนี้หรอก
“ได้
ๆ พี่ชายรออยู่แถว ๆ ร้านหนมครกป้าอลิซาเบ็ธนะ เดี๋ยวเจอกันครับ” อดีตคุณชายยิ้มหวานพลางคืนเครื่องมือสื่อสารให้เจ้าของ
“ขอบใจนะพิชญ์”
“หึ! ทีกับผัวนี่เกรงใจอย่างนั้นอย่างนี้
แต่กับเพื่อนนี่เบียดเบียนดีเหลือเกิน” ที่สุดแล้ว ความรู้สึกอัดอั้นตันใจระคนหมั่นไส้ของพิชญ์ก็ระเบิดโบ้มออกมาจนได้
ทว่าต่อให้สายเหวี่ยงจะเลือดร้อนสักเพียงไหน เหตุผลซื่อ ๆ ของชายชาตรีผู้ไม่เคยถือโทษโกรธใครก็มักจะทำให้พิชญ์ใจอ่อนยวบไปเสียทุกที
“โธ่พิชญ์ล่ะก็! พิชญ์ก็รู้นี่ว่าช่วงนี้ชายลำบาก เห็นใจชายหน่อยเถอะนะ”
หางตาของพิชญ์ที่ตวัดใส่อย่างจังทำให้ชายชาตรีตั้งปณิธานโดนพลัน “ชายขอสัญญาว่า ต่อแต่นี้ไป
ชายจะไม่ยืมมือถือของพิชญ์อีก... ถ้าไม่จำเป็น”
“หนอย! พูดยังไม่ทันขาดคำเลยนะ! เดี๋ยวเหอะมึง!” คนพูดชี้หน้าคาดโทษ
“อ๊ะ
ๆ ! พิชญ์อย่าทำชายเลยนะ ที่ชายพูดแบบนั้นเพราะชายไม่อยากโกหกพิชญ์นี่นา”
“มึงนี่มันน่า...
ฮื้ยยย!... ไม่มีใครเกินเลยจริงจริ้งงง!” สายตาออดอ้อนกับหางเสียงอ่อนทำให้พิชญ์พ่ายแพ้หมดรูป
กระนั้นความรู้สึกอาฆาตเคียดแค้นที่เกิดขึ้นเพราะการเลือกปฏิบัติของชายชาตรีกลับไม่หดหายคลายคลา
พิชญ์จึงเลือกที่จะกำหมัดแน่นพลางสบถลั่นเพื่อระบายความหมั่นหน้าเพื่อนซี้ให้บรรเทาเบาบางลง
ไม่อย่างนั้นเขาคงเผลอตัวทุบอึกฝ่ายจนน่วมไปก่อนแน่ ๆ
“รอนานไหมครับ?”
เด็กวิศวะช่างโผล่พรวดเข้ามาแทรกได้ถูกจังหวะเหลือใจ เพราะขืนปล่อยให้พิชญ์อยู่กับชายชาตรีเพียงลำพังนานกว่านี้
เห็นทีว่าฝ่ายหลังคงจะมีแผลข่วนติดมือกลับบ้านไปชื่นชมด้วยแหง ๆ
“แป๊บเดียวเองยิม”
เม็ดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นตามไรผมของรุ่นน้องทำเอาสายเปย์อยู่ไม่สุข “ยิมวิ่งมาเหรอ?”
“ผมไม่อยากให้พี่ชายรอนานนี่ครับ”
เด็กหนวดเลือกจะพูดความจริงเพียงส่วนเดียว ส่วนอีกเหตุผลที่เจ้าตัวจงใจละเอาไว้ เห็นจะเป็นการที่ชายหนุ่มถูกเพื่อนสนิทกักตัวไว้เพียงเพราะมันอยากได้เบอร์โทรศัพท์ของพิชญ์ภายหลังจากที่เขารับสายของรุ่นพี่สายเปย์เมื่อครู่นี้นี่แหละ
“ไม่เอา
คราวหลังไม่ต้องรีบนะ พี่ชายรอได้”
“ครับ”
แววตาเป็นห่วงระคนว้าวุ่นใจของรุ่นพี่บริหารตัวใหญ่ทำให้เฟรชชี่ไม่คิดจะปฏิเสธคำของร้องของอีกฝ่ายเลยสักนิด
“พิชญ์
ชายกลับก่อนนะ”
“มึงจะไสหัวไปไหนก็ไป
กูเบื่อหน้ามึงเต็มทีแล้ว!” เนื่องจากมือทั้งสองข้างไม่ว่างงาน เจ้าของประโยคจึงสะบัดปลายเท้าเพื่อขับไล่เพื่อนหน้าเข่าอย่างไม่ใส่ใจนัก
“พี่พิชญ์หวัดดีครับ”
“เออ
ๆ ขี่รถกลับดี ๆ นะมึง ระวัง ๆ ล่ะ”
“ครับพี่”
เมื่อแน่ใจว่าเพื่อนกับเด็กปีหนึ่งต่างคณะเดินเคียงกันจนลับสายตาไปแล้ว ก็ถึงคราวที่สายเหวี่ยงจะกลับไปยังลานจอดรถเพื่อขับออกไปหามุมสงบ
ๆ ที่เหมาะแก่การสังหารของกินทั้งหลายให้หมดสิ้นไปเสียที
.
.
.
.
.
.
“พี่ชายอยากกินลูกชิ้นเหรอครับ?”
อยู่ ๆ เด็กหนวดก็ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“แหะ
ๆ ยิมรู้ได้ยังไงอ่ะ?”
“ก็ผมมองพี่ชายอยู่ตลอด
ผมก็ต้องรู้สิครับว่าพี่ชายสนใจลูกชิ้นมากกว่าผม” เมื่อเห็นรุ่นพี่ออกอาการบิดไปมาพลางอมยิ้มทำหน้าเขิน
เด็กวิศวะจึงคว้าข้อมือรูมเมทให้เดินตามหลังตัดข้ามซอกซอยแยกย่อยของตลาดนัดช่วงปลายเดือนที่จัดเป็นประจำตรงบริเวณด้านหลังมหาวิทยาลัยแล้วมุ่งหน้ากลับไปยังร้านลูกชิ้นที่อีกฝ่ายหมายตา
“พี่ชายอยากกินอันไหนครับ?” เฟรชชี่ถามพลางจ้องเสี้ยวหน้าของคนข้าง ๆ
ด้วยสายตาเอ็นดู
แต่แทนที่จะให้คำตอบหรือเลือกซื้อลูกชิ้นให้เป็นกิจลักษณะ
ชายชาตรีกลับกระตุกข้อมือของรุ่นน้องเบา ๆ พร้อมเอ่ยด้วยสีหน้าแบ่งรับแบ่งสู้ “กลับกันเถอะยิม
อย่าซื้อเลย”
“ถ้าเราซื้อแค่สองสามไม้
ผมว่าผมน่าจะเลี้ยงพี่ชายไหวนะครับ” หลังจากเดินคำนวณค่าใช้จ่ายล่วงหน้ามาตลอดทาง ยาจกเคราเฟิ้มก็สามารถโชว์ป๋าได้อย่างน่าชื่นชม
“แต่ถ้าซื้อสามไม้มันก็ตั้งสามสิบเลยนะ
สามสิบนี่เติมน้ำมันเก๋าได้ตั้งเกือบครึ่งถังแน่ะ!” แม้ข้อเสนอของเด็กหนวดจะยั่วยวนชวนเคลิบเคลิ้มสักเพียงใด
แต่สายเปย์กลับไม่อาจหลงลืมพาหนะคู่ใจของอีกฝ่ายได้ลงคอ
“งั้นเราซื้อแค่คนละไม้ดีไหมครับ
ผมให้พี่ชายเลือกที่พี่ชายอยากกินไม้นึง แล้วก็เลือกให้ผมอีกไม้นึง”
“ยี่สิบแน่ะ
จะดีเหรอยิม?”
“หึ
ๆ อย่าคิดมากสิพี่ ผมออกสิบบาท พี่ออกสิบบาท เราช่วยกันหารแล้วเราก็แบ่งกันกิน” สิ้นคำ
เฟรชชี่ก็เลิกคิ้วมองหน้ารุ่นพี่ด้วยแววตาเป็นประกายโดยไม่หยุดหว่านล้อม “ถึงเราจะได้กินกันคนละแค่ห้าลูก
แต่ถ้าเราเคี้ยวช้า ๆ กินผักแกล้มเยอะ ๆ ก็น่าจะพอหายอยาก แล้วค่อยไปต่อข้าวเย็นที่ร้านอีกที
ว่าไงครับ สนใจไหม?”
ชายชาตรีไม่ตอบคำ
หากแต่ผินหน้ากลับไปหาคนขายแล้วสาดออเดอร์ใส่อย่างก้าวร้าว “เอาเนื้อล้วนไม้นึง
เอ็นไม้นึงครับ ขอน้ำจิ้มเยอะ ๆ นะครับพี่คนสวย”
“อ่ะนี่ถุงจ๊ะ
ตักผักได้เต็มที่เลยนะ”
“ขอบคุณครับ”
ยิมรับหน้าที่ยื่นเงินให้คนขายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มขณะเฝ้าสังเกตสีหน้าของรุ่นพี่ที่จับจ้องลูกชิ้นสองไม้ในมือคุณป้าคนขายด้วยสายตาตื่นเต้นราวกับเด็กเล็ก
ๆ เห็นอมยิ้ม
.
.
.
.
.
.
“เอ๊ะ! ฝนตกเหรอ?” ชายชาตรีเอ่ยขึ้นพลางเงยหน้าขึ้นมองฟ้าก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นตกใจเมื่อเห็นว่า
จู่ ๆ เมฆฝนก็เคลื่อนเข้ามาปกคลุมท้องฟ้าเบื้องบนจนมองไม่เห็นแสงอาทิตย์ช่วงบ่ายสามโมงกว่า
ๆ อีกต่อไป
“ไปครับพี่ชาย!” จังหวะที่พ่อค้าแม่ขายกางร่มห่มแผ่นพลาสติกลงบนสินค้ากันจ้าละหวั่นและบรรดาขาช็อปทั้งหลายวิ่งหาที่ทางหลบฝนกันวุ่นวายอยู่นั้น
ชายหนุ่มทั้งสองคนก็พากันวิ่งเข้าไปหลบฝนใต้หลังคาของเพิงเล็ก ๆ ข้าง ๆ ลานจอดรถได้ทันก่อนห่าฝนจะสาดลงกระทบพื้นพอดิบพอดี
“ตกหนักจังเลยแฮะ
ฝนหลงฤดูเหรอเนี่ย?”
“นั่นสิ
แล้วอย่างนี้เราจะกลับห้องกันได้เหรอยิม?”
สายฝนที่สาดซัดเข้ามาไม่ยั้งทำให้สายเปย์ต้องกระถดตัวเข้าไปยังพื้นที่ว่างฝั่งของเด็กหนวดมากขึ้นเรื่อย
ๆ จนเมื่อไอร้อนจากร่างกายข้าง ๆ ส่งผ่านไปยังอีกคนที่ยืนใกล้ ๆ แล้วนั่นแหละ รอยยิ้มน้อย
ๆ ก็ถูกจุดขึ้นบนใบหน้าของพวกเขาจนพวงแก้มตึงเต่ง
“รอให้ฝนซาก่อนดีกว่าครับ
ขืนฝืนขี่ฝ่าฝนกลับไปจะเป็นอันตรายเปล่า ๆ ” สภาพอากาศแบบนี้ ไม่เป็นผลดีต่อผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์เลยสักนิด
ยิ่งเมื่อรถของเขามีสภาพเก่าย่ำแย่ขนาดนี้ด้วยแล้วล่ะก็ การออกถนนใหญ่ใต้ฟ้ารั่วจึงกลายเป็นเรื่องน่ากลัวพอ
ๆ กับการฝืนขับขี่ในสภาพมึนเมาอย่างไรอย่างนั้น
“แย่เลยเนอะ
ฝนตกแบบนี้ จะไปไหนก็ไม่ได้”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมว่ามันก็แย่จริง
ๆ นั่นแหละครับ แต่พอเป็นตอนนี้ ผมกลับชอบที่ฝนตกหนัก ๆ ... ยิ่งตกหนัก ๆ
แบบไม่ลืมหูลืมตาได้ยิ่งดี”
“หืม?
ทำไมล่ะ?” คำตอบเกินคาดเดาเร่งรัดชายชาตรีให้หันหน้าไปมองคนข้างตัวด้วยความสนอกสนใจ
เด็กหนวดนี่อารมณ์ไหน?
โดนฝนจนเบลอไปแล้วงั้นเหรอ?
“ก็เราจะได้ยืนกินลูกชิ้นแล้วก็ดมกลิ่นฝนด้วยกันสองคนไปนาน
ๆ ยังไงล่ะครับ”
“...อือ
จริงด้วย...” คำตอบหวาน ๆ
แนบรอยยิ้มชวนใจสั่นของเด็กปีหนึ่งทำเอาสายเปย์เขินจนทำหน้าไม่ถูก
ตาย
ๆๆๆ ช็อตนี้พี่ชายตายอย่างเดียว!!
ดูเหมือนยาจกมืออาชีพจะจับทางของรุ่นพี่ได้ถูก
ชายหนุ่มจึงอาศัยของดีที่อยู่ในมือมาช่วยเป็นเครื่องปรับจูนอารมณ์คนเป็นพี่ให้คงที่โดยเร็ว
“ลูกชิ้นครับพี่ชายผมให้คนอยากกินเปิดก่อนเลย” ยิมกลั้นยิ้มแซวพลางยื่นถุงของกินให้ก่อนจะม้วนปากถุงผักให้เปิดกว้างเพื่ออำนวยความสะดวกในการกินให้แก่คนยืนข้าง
ๆ อย่างรู้ใจ
“ขอบใจนะ”
สายเปย์จิ้มลูกชิ้นแล้วเป่าไล่ความร้อนอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงยื่นลูกชิ้นที่อุ่นกำลังกินไปใกล้
ๆ ปากเด็กหนวด “อ้าม!”
“ให้ผมเหรอพี่?”
จังหวะที่หันไปกัดลูกชิ้นที่ลอยยั่วยวนอยู่ตรงหน้าก็ว่าเขินแล้วนะ แต่พอเลื่อนสายตาขึ้นไปมองหน้าแดง
ๆ แฝงความเขินอายของสายเปย์ใกล้ ๆ
เด็กวิศวะก็ยิ่งต้องใช้ความพยายามในการควบคุมกล้ามเนื้อหน้าไม่ให้เสียทรงเพราะอาการตกประหม่าเฉียบพลันไปเสียก่อน
“ลูกชิ้นร้อน
ๆ กินตอนฝนตกนี่อร่อยดีนะครับ” ยิมเปรยขึ้นหลังได้แตงกวาเป็นเครื่องช่วยบรรเทาอาการเก้อเขินอีกแรง
ฝ่ายคนโตกว่าก็ก้มหน้าก้มตาลิ้มลองของว่างที่เพิ่งซื้อมาเพื่อลดความประหม่าด้วยเช่นกัน
กระนั้นดูเหมือนว่าเด็กหนวดจะไม่ปล่อยให้ชายชาตรีได้ฟินกับรสชาติของลูกชิ้นเคล้ากลิ่นฝนเพียงอย่างเดียว
“กินนี่ด้วยสิครับ”
“อืม อร่อยมาก ๆ เลย” สายเปย์ยิ้มรับหลังจากงับแตงกวาที่อีกฝ่ายบรรจงป้อนให้
“แปลกดีนะ เมื่อก่อนตอนกินอะไรแพง ๆ คนเดียวพี่ชายก็กินไปงั้น ๆ
ไม่ได้รู้สึกว่ารสชาติมันจะดีเลิศสักเท่าไร แต่พอเรากินโน่นกินนี่ด้วยกัน ถึงราคามันจะไม่แพง
แต่พี่ชายกลับรู้สึกว่าทุกอย่างมันอร่อยขึ้นเยอะเลยล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมขอกินอีกได้ไหมครับ?”
“อ้าวหมดแล้วเหรอ?! ไหนยิมบอกพี่ชายให้เคี้ยวช้า ๆ ไง?” รุ่นพี่บริหารยู่หน้าพลางทักท้วงเมื่อเห็นสายตาคาดหวังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังความหิวของเด็กหนวดวัยกำลังกินกำลังนอน
“เออว่ะพี่
ผมลืม งั้นเดี๋ยวพี่ชายป้อนผมใหม่ได้ไหมครับ รอบนี้ผมจะเคี้ยวให้ละเอียด ๆ เลย” เฟรชชี่วิศวะยิ้มอ่อนพลางช้อนสายตามองอ้อนรุ่นพี่อีกครั้งกระทั่งได้เห็นริ้วสีแดงพาดผ่านแก้มของอีกฝ่ายพร้อม
ๆ กับได้กินลูกชิ้นลูกใหม่แล้วนั่นแหละ ชายหนุ่มจึงยอมสงบศึกชั่วคราว
“ไรวะเนี่ย?! ฝนตกเหรอ?!” จังหวะที่ช่วงขาสั้น ๆ ของเด็กบริหารร่างสันทัดกำลังตวัดขึ้นบนรถนั้นเอง
นอกจากห่าฝนจะโปรยปรายร่วงหล่นลงมาแล้ว ยังมีร่างของใครอีกคนเสือกตัวเข้ามานั่งยังเบาะข้าง
ๆ กัน มิหนำซ้ำมันยังมีน้ำหน้าคาดเข็มขัดนิรภัยเสียดิบดีปิดท้ายอีกต่างหาก
“เฮ่ยมึง! มึงมาได้ไงเนี่ย?!” พิชญ์แผดเสียงอย่างตกอกตกใจค่าที่ไม่คาดคิดว่าจะมีใครหน้าไหนจู่โจมเขาถึงในรถ
“รถผมจอดอยู่ในมออ่ะครับ
พี่พิชญ์ช่วยไปส่งผมหน่อยได้ไหม?” เดียวยังคงตีหน้าซื่อทำมึนใส่รุ่นพี่ต่างคณะไม่มีเสื่อมคลาย
“มึงลงไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
“โห่พี่! ฝนตกหนักขนาดนี้
ขืนผมลงไปผมก็เป็นหวัดพอดีดิครับ!” เฟรชชี่ต่อรองตาใสทั้งที่ในใจกำลังประหวั่น... แต่ไหน ๆ ก็หน้าด้านมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะไม่ยอมลงจากรถคันนี้ง่าย
ๆ แน่!
“เรื่องของมึง
มึงจะเป็นจะตายมันก็เรื่องของมึง! มึงไสหัวลงจากรถกูไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!” ค่าที่มีถุงของกินวางอยู่เต็มหน้าตัก
พิชญ์จึงทำได้แค่ผลักหัวไหล่ของอีกฝ่ายซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งเรี่ยวแรงเพียงน้อยนิดเท่านั้นไม่อาจทำให้เด็กวิศวะที่มีขนาดร่างกายใหญ่และหนากว่าสะทกสะท้านได้เลยสักนิด
“ได้ไงอ่ะพี่
พี่ต้องหัดมีน้ำใจกับรุ่นน้องร่วมสถาบันบ้างดิครับ”
“สรุปมึงจะลงหรือไม่ลง?!”
“ไม่! จนกว่าพี่จะยอมไปส่งผมที่รถก่อน!”
“ได้! งั้นกูก็จะต่อยมึงจนกว่ามึงจะยอมลงจากรถกู”
ลึก
ๆ แล้วแม้นายหนึ่งเดียวจะหวาดผวากับวาจาสิทธิ์ของคนโตกว่าไม่น้อย แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่วายกล่อมตัวเองให้ทำใจดีสู้เสือเข้าไว้
“พี่คิดว่าผมกลัวพี่เหรอ? ถ้าผมกลัวพี่จริง ๆ ผมคงไม่แอบขึ้นรถพี่มาหน้าด้าน ๆ
หรอกครับ!”
ได้ยินดังนั้น
เจ้าของรถจึงติดเครื่องยนต์ เร่งแอร์ แล้วหักนิ้วเพื่อเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่
“เออ! ดี! กูจะรอดูว่ามึงจะทนได้สักกี่น้ำ” ไม่ทันขาดคำ หมัดลุ่น ๆ
ก็กระแทกเข้ากับต้นแขนของเด็กปีหนึ่งที่นั่งหลับตาปี๋รอท่าอยู่
“อึก!” เดียวกล้ำกลืนความเจ็บปวดเอาไว้ภายในไม่ต่างจากเสียงร้องหวนไห้ที่ไม่เล็ดลอดออกจากริมฝีปากเลยสักแอะ
“มึง
จะ ยอม ลง จาก รถ กู ไป ดี ๆ ไหม?!” ทุก ๆ พยางค์ที่พิชญ์เอื้อนเอ่ย
จะมีหนึ่งหมัดหวดลงปะทะกับผิวกายใต้เสื้อนักศึกษาของรุ่นน้องอย่างจั๋งหนับ แต่นั่นกลับไม่ทำให้คนลงมือรู้สึกสาแก่ใจ
เพราะข้อจำกัดทางพื้นที่กับท่าทางในตอนนี้ทำให้แรงส่งในการออกหมัดน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
ไอ้เด็กเวรตะไลนี่จึงไม่ยอมถอยร่นไปเหมือนทุกที
“ไม่ครับ
ฝนตกหนักแบบนี้ ต่อให้พี่ต่อยผมจนตายผมก็ไม่ลงครับ” เด็กปีหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวพลางพยักเพยิดชี้ชวนให้อีกคนมองสายฝนที่ห่มลงบนกระจกรอบ
ๆ คันรถจนฟ้ามืดมิดมัวหม่นไปพร้อม ๆ กัน
“โว้ยยย! ไอ้สัด! ไอ้เหี้ยเดียว!
มึงแม่งโคตรของโคตรหน้าด้านเลยว่ะ!” หลังจากทำร้ายร่างกายรุ่นน้องร่วมสถาบันอยู่นานสองนาน
ที่สุดแล้วเด็กบริหารก็ออกแรงจนถึงขีดจำกัดของตัวเอง
แน่นอนว่าเมื่อคนลงมือออกอาการเพลี่ยงพล้ำแถมยังโดนอาการหอบหายใจซ้ำเติมอย่างไม่ไว้หน้า
นายหนึ่งเดียวจึงสามารถคว้าข้อมือของพิชญ์เอาไว้ได้โดยไม่ต้องออกแรง “เหนื่อยมากไหมพี่?”
“มึงก็ลองมาเป็นคนต่อยเหมือนกูดิวะไอ้ควาย! แม่ง! ถามมาได้!”
เด็กปีสามผรุสวาทอย่างเหลืออดก่อนจะตั้งหน้าตั้งตากอบโกยลมหายใจเข้าปอดราวกับปลาขาดน้ำ
“ถ้าเหนื่อยก็หยุดก่อนดิพี่
ผมนั่งอยู่นี่แหละ ไม่หนีไปไหนหรอก”
“เออ! อย่าหนีนะมึง!” ว่าแล้วเจ้าตัวก็กระชากข้อมือกลับไปนวด
ๆ ถู ๆ เพื่อคลายความเจ็บปวด แต่ยังไม่ทันจะนั่งพักเหนื่อยได้นานดั่งใจ เด็กเวรตะไลข้าง
ๆ ตัวก็ประกาศความต้องการของตัวเองออกมาอย่างไม่สนลมฟ้าอากาศ
“ผมหิวว่ะพี่
พี่ซื้อไรมากินมั่งอ่ะ?” สิ้นคำ เฟรชชี่วิศวะก็คว้าถุงก็อบแก๊บบนตักพิชญ์ไปคุ้ยหาของกินทันที
เชื่อเถอะว่าท่าทีกระด้างกระเดื่องปีนเกลียวเช่นนี้ย่อมไม่เป็นที่ต้องตาต้องใจของผู้พบเห็นในระยะเผาขนอย่างพิชญ์เป็นแน่
“มากไปแล้วนะไอ้ควายเดียว!” แม้จะยังไม่หายเหนื่อย
แต่คนโตกว่าก็ง้างแขนตั้งท่าจะหวดหมัดใส่รุ่นน้องต่างคณะอีกคำรบ ทว่าฝ่ายที่โดนตบตีจนรู้ทางมวยกันเป็นอย่างดีกลับรวบข้อมือทั้งสองข้างของพี่ปีสามจอมเหวี่ยงเอาไว้อีกครั้งอย่างแม่นมั่น
“กินก่อนเหอะพี่
เดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อย”
“ไม่! กูไม่กิน!”
“ไม่กินแน่นะ?”
หนึ่งเดียวให้โอกาสพิชญ์อีกครั้งพลางยื่นหมูปิ้งหนึ่งไม้มาใกล้ ๆ ปากอีกฝ่ายคล้าย ๆ
ป้อน “กินหน่อยเถอะครับ เมื่อกลางวันพี่ก็กินข้าวไปนิดเดียวเอง”
“ก็เพราะมึงไง
กูเลยแดกอะไรไม่ลง!” คนโตกว่าสะบัดหน้าหนีพลางสาปส่ง “ไม่! อย่ามายุ่งกับกู!”
“ไม่กินจริงเหรอพี่?
แต่มันดูน่าอร่อยออกน้า” นอกจากจะไม่ละอายใจแล้ว เดียวยังคอยตามไปแกว่งหมูปิ้งใกล้
ๆ ปากของอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ โชคดีที่ความพยายามของเด็กวิศวะได้ผล เพราะอยู่ ๆ กระเพาะของคนปากแข็งก็ส่งเสียงร้องดังลั่นจนเจ้าของหน้าม้าน
“ไม่ต้อง! เดี๋ยวกูกินเอง!” พิชญ์สะบัดมือออกจากการเกาะกุมก่อนจะฉวยถุงหมูปิ้งคืนมาโดยไม่สนไอ้เด็กเวรตะไลที่ลอยหน้าลอยตาเคี้ยวหมูปิ้งอย่างหน้าไม่อาย
“หึ! ไม่ป้อนก็ไม่ป้อน
ไว้ป้อนวันหลังก็ได้เนอะ”
“เนอะพ่อง!”
“ค่อย
ๆ เคี้ยวดิพี่ เดี๋ยวก็ติดคอกันพอดี” ต่อให้เป็นห่วงรุ่นพี่ต่างคณะมากแค่ไหน
และถึงแม้เดียวจะพูดดี ๆ กับอีกฝ่ายจนตัวตาย ทว่าพิชญ์ก็มักจะเฝ้าสรรหาคำด่าที่หลากหลายมาตอบแทนความปรารถนาดีของชายหนุ่มอย่างถึงพริกถึงขิงอยู่เสมอ
จึงไม่แปลกหากเด็กปีหนึ่งจะแสร้งตีมึนสลับกับกวนประสาทไปเรื่อย ๆ เพื่อสร้างตัวตนในห้วงคำนึงของอีกฝ่ายให้จงได้
“เสือก!”
“โห! พี่ซื้อทอดมันร้านไหนอ่ะพี่ อร่อยว่ะ ทำไมผมไม่เคยกินวะ?”
“มึงมันโง่ไงถึงไม่เคยกิน!”
“เออพี่
ทำไมเมื่อกี๊พี่ไม่ต่อยหน้าผมอ่ะ? อ๋อ... ช่วงพี่สั้นนี่เอง
พอนั่งแบบนี้พี่เลยต่อยหน้าผมไม่ถึง”
“ไอ้เหี้ยควายเดียว!”
“อ่า
ครับ ๆ ไม่พูดแล้วครับ” แม้ปากจะเออออ แต่นายหนึ่งเดียวก็ขอส่งยิ้มมุมปากและสายตาไปล้อเลียนอีกฝ่ายอยู่ดี
“เดี๋ยวเหอะมึง!”
“โอ๋
ๆ กินต่อเถอะนะครับ ผมไม่กวนแล้ว”
$$$$$$$$
“อ่ะยิม
พี่ชายซื้อมาฝาก” เมื่อเห็นรูมเมทตั้งท่าจะถอดเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวเข้าไปอาบน้ำ
ชายชาตรีก็นำของขวัญที่ตนตั้งใจเลือกอย่างดิบดีมามอบให้กับอีกฝ่ายทันที
“หืม?
พี่ชายซื้อมาทำไมครับ?” เด็กหนวดมองมีดโกนในซองที่เพิ่งถูกรุ่นพี่ยัดใส่ในฝ่ามือด้วยสายตางุนงง
“พี่ชายเห็นว่ายิมไม่มีมีดโกนหนวด
พี่ชายเลยซื้อมาให้ยิม เผื่อยิมจะได้โกนหนวดไง”
เฟรชชี่เกาท้ายทอยทันทีที่ได้ฟังคำอธิบายจากปากสายเปย์
“ว้า! ยังไงดีล่ะพี่”
แม้จะมีสีหน้าลังเลแต่สายตาของเด็กวิศวะกลับแวววาววิบวับราวกับเพิ่งคิดอะไรดี ๆ
ออก “ผมขี้เกียจโกนหนวดอ่ะครับพี่ชาย”
“ทำไมล่ะ?”
“ก็หนวดผมขึ้นเร็วมากอ่ะพี่
ยิ่งโกน มันก็ยิ่งขึ้นไวจนผมเบื่อโกนสุด ๆ อ่ะครับ”
“...เหรอ...” ชายชาตรียู่หน้าพลางถอนหายใจอย่างอ่อนระโหย
“แต่พี่ชายอยากเห็นยิมตอนหน้าเกลี้ยง ๆ บ้างนี่นา”
“ถ้าพี่ชายอยากเห็นจริง
ๆ งั้นพี่ชายก็ต้องโกนให้ผม... ตกลงไหมครับ?” ยิมยิ้มกรุ้มกริ่มพลางสืบเท้าเข้าใกล้สายเปย์ขึ้นอีกนิด
ทว่าคนโตกว่ากลับมีสีหน้าหนักใจจนเจ้าของห้องอดเป็นห่วงไม่ได้
“จะดีเหรอยิม?
เกิดมาพี่ชายยังไม่เคยโกนหนวดให้ใครมาก่อนเลยนะ หนวดพี่ก็ไม่มี...
พี่จะโกนหนวดให้ยิมได้จริง ๆ น่ะเหรอ?”
เท่าที่ฟังความจากปากชายชาตรี
เด็กปีหนึ่งก็อดคล้อยตามไม่ได้ เพราะหากเขาจำไม่ผิด ตามเนื้อตัวของพี่ชายในสภาพไร้เสื้อผ้าปกปิดร่างกายขณะนอนพังพาบกอดก่ายโถส้วมห้องเขาเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนช่างเกลี้ยงเกลาและเนียนเรียบไร้ขนทั่วไปเกือบจะครบทุกสัดส่วน
และภาพดังกล่าวนี่เองที่ทำให้ยาจกหนวดเฟิ้มกระชับพื้นที่เข้าใกล้รูมเมทมากขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว
“งั้นเดี๋ยวผมสอนให้ ดีไหมครับ?”
“ไว้วันหลังดีกว่า
ยิมเพิ่งโดนฝนมา รีบไปอาบน้ำอาบท่าก่อนเถอะ” ชายชาตรีถอยห่างเมื่อเริ่มรู้สึกถึงระยะอันตรายพลางเสตามองไปอีกทางเมื่อร่างกำยำตรงหน้าค่อย
ๆ ปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาลงทีละเม็ด ๆ
“งั้นเดี๋ยวรอบนี้ผมโกนเองก่อนก็ได้ครับ
แล้วไว้ถ้าพี่อยากเห็นหน้าเกลี้ยง ๆ ของผมอีกเมื่อไร พี่ค่อยมาโกนให้ผมก็แล้วกัน” ยิมคลี่ยิ้มอย่างชอบอกชอบใจเมื่อทำให้อีกฝ่ายออกอาการเอียงอายได้ในชั่วพริบตา
“ว่าไงครับ ตกลงไหม?”
“อืม ก็ได้...
แต่พี่ว่าตอนนี้ยิมรีบไปอาบน้ำก่อนเถอะ ขืนอยู่แบบนี้นาน ๆ เดี๋ยวก็เป็นหวัดกันพอดี”
สายเปย์พยักหน้ารับโดยไม่ยอมเลื่อนกรอบสายตากลับมามองหน้าคู่สนทนาเลยสักนิด...
ไม่ได้!! ตราบใดที่เราสองคนยังรู้จักกันไม่ดีพอ พี่ชายก็จะไม่ยอมปล่อยตัวปล่อยใจให้ซิกแพคและวีไลน์มีอำนาจเหนือศีลธรรมและจริยธรรมอันดีงามของความเป็นอภิชาตภรรยาเป็นอันขาด!
“ชายอยากให้ผมไปอาบน้ำจริง
ๆ เหรอครับ? ไม่อยากแอบดูนมผมแล้วเหรอ?” หลังจากถอดเสื้อเชิ้ตที่เปียกปอนออกพ้นตัว
ยิมก็โน้มตัวเข้าใกล้คนโตกว่าเพื่อกระซิบกระซาบคำเชื้อเชิญพลางคลี่ยิ้มกระแทกตาตบท้ายอย่างจงใจ
“บ้า! ไปเลย รีบเข้าไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลย!!” ชายชาตรีหลับตาปี๋พลางรุนหลังรุ่นน้องที่ตั้งหน้าตั้งตาแอ่นอกเข้าใส่ให้เดินเข้าห้องน้ำไปจนเด็กหนวดแผดเสียงหัวเราะร่วนอยู่ด้านหลังบานประตูพลาสติกสีหมองอยู่นานสองนาน
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
ความในใจทิ้งท้ายตามสไตล์ชายชิค ๆ :
อันที่จริง ชายไม่มีสเปคหรอก
ชายรู้แค่ว่าชายชอบคนหน้ารูปไข่ อวัยวะต่าง ๆ บนใบหน้าต้องชวนมอง
และได้สมมาตร
ปากกับฟันต้องสะอาด ผิวพรรณหมดจดเกลี้ยงเกลา ขาวอมชมพูนิด ๆ
หุ่นฟิตเฟิร์มมีกล้ามกำลังดี ถ้ามีซิกแพคกับวีไลน์ชายก็ยิ่งปลื้ม
แต่เหนืออื่นใด นิสัยต่างหากล่ะที่สำคัญ
นิสัยของเหนือชายในอุดมคติจะต้องใหญ่และกำแทบไม่รอบเท่านั้น ถึงจะเข้าขั้นชายในฝันที่ชายตามหา
// เหล่มองนิสัยยิมแล้วยิ้มพึงใจ
$$$$<| TBC |>$$$$
No comments:
Post a Comment