<|No.11|>
คุณพิทักษ์
สุดที่รักของพิชญ์
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
“เดียวคะ”
“...”
“เดียว”
“...”
“เดียวคะ
เดียวได้ยินน้ำปั่นไหมคะ?”
“โอ๊ย! หยิกผมทำไมเนี่ยน้ำปั่น?!” เด็กวิศวะโวยวายภายหลังจากร่างกายโดนลอบทำร้ายด้วยน้ำมือของสาวงามตรงหน้า
แม้เจ้าหล่อนจะสะโอดสะองสวยสมวัยจนใคร ๆ
พากันเหลียวมอง แต่หนึ่งเดียวกลับอดคิดไม่ได้ว่า สีหน้าของดาวอักษรขณะงอนง้ำ
กระตุ้นต่อมเอือมระอาในใจเขาให้ทำงานหนักอย่างไรก็ไม่รู้...
สู้ใบหน้าเหวี่ยง
ๆ ของคนที่นั่งอยู่ตรงหลืบของร้านคนนั้นก็ไม่ได้
ว่าแต่...
ใช่แน่หรือเปล่าวะ?!
“ก็เดียวน่ะสิ
มาออกเดทประสาอะไร น้ำปั่นชวนคุยก็ไม่คุย เอาแต่นั่งเหม่อ!” ดาวอักษรสอดส่องมองตามเป้าสายตาของคู่ควงอย่างเอาเรื่อง
กระนั้น ลูกค้าในร้านที่มีเพียงเด็ก บุรุษ
และคนชราก็ทำให้สาวเจ้าออกท่าทางกระเง้ากระงอดแทนการอาละวาดจนวอดวายกันไปทั้งหมด “ปล่อยให้น้ำปั่นเรียกอยู่ตั้งนาน
แอบมองผู้หญิงคนอื่นอยู่ใช่ไหม... ฮึ? สารภาพมาเสียดี ๆ นะ!”
“โธ่น้ำปั่น! ผมแอบมองผู้หญิงอื่นที่ไหนล่ะครับ
ผมเดทกับน้ำปั่น ผมก็ต้องสนใจน้ำปั่นคนเดียวสิ” เดียวตอบคำส่งเดชทั้งที่สองตายังคงตรึงแน่นอยู่กับโต๊ะฝั่งตรงข้ามไม่คลาย
ใช่แหละ...
ปากคว่ำ
ๆ หางตาชี้ ๆ ที่ทำมุมสี่สิบห้าองศาเป็นมนุษย์ป้าอารมณ์เสียแบบนั้นคงเป็นใครอื่นไปไม่ได้อีกแล้ว!
“ถ้าสนใจก็หันกลับมาเสียทีสิคะ
มัวแต่มองคนอื่น เดี๋ยวน้ำปั่นก็งอนกลับบ้านก่อนเลยนิ!” น้ำปั่นจีบปากจีบคอตัดพ้อเด็กวิศวะอย่างมีจริต
ทว่าการที่เดียวเอาแต่จ้องผู้ชายสองคนตาเป็นมันไม่อาจสะบั้นฟางเส้นสุดท้ายของดาวอักษรลงได้
เพราะถึงอย่างไร การที่คู่เดทส่องสิ่งมีชีวิตเพศเดียวกัน ย่อมต้องดีกว่าสอดส่ายสายตาเจ้าชู้สำรวจผู้หญิงอื่นเป็นไหน
ๆ
“โอ๋
ๆ ไม่งอนน้า ๆ คนดีของเดีย... เฮ่ย!!!
” พ่อรูปหล่อหนึ่งเดียวเกือบจะกลับตัวหันมาเอาใจดาวอักษรได้อยู่แล้วเชียวหากไม่ติดว่า
อยู่ ๆ พิชญ์ที่นั่งหน้าหงิกเป็นจวักกลับยอมให้ชายวัยกลางคนเหนียงย่นเจ็ดชั้นป้อนข้าวอย่างว่านอนสอนง่าย
เฮ่ยพี่! พี่ยอมให้ตาลุงนั่นป้อนข้าวได้ไงวะ?
แล้วอัปเปอร์คัตสะท้านวิญญาณ
กับลูกเตะผ่าหมากจนไข่สั่นน่ะอยู่ไหน? ทำไมไม่งัดมาใช้เหมือนเวลาพี่อยู่กับผม?!!
แม้จะไม่พอใจกับภาพที่เห็นเอามาก
ๆ แต่เดียวกลับยังรู้สึกแปลกใจไม่หาย
เพราะไม่ว่าจะไปที่ใด เขาก็หนีรุ่นพี่บริหารไม่เคยพ้นเลยสักครั้ง... ลำพังวัน ๆ แค่ต้องคิดถึงความร้ายกาจของอีกฝ่ายก็เหนื่อยจะแย่แล้ว
ทำไมเสาร์อาทิตย์ยังต้องมาเจอหน้ากันอีกด้วยวะ?
“เดียวเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
เมื่อสำเหนียกว่าหนึ่งเดียวยังไม่เลิกจ้องผู้ชายอีกโต๊ะจนถึงเดี๋ยวนี้ ความเป็นห่วงเป็นใยจากใจจริงจึงแปรสภาพเปลี่ยนเป็นความอิจฉา
ก่อนจะกลายร่างเป็นพุทธปัญญาในท้ายที่สุด
รู้ดังนั้น
ดาวอักษรจึงฉวยกระเป๋า ลุกขึ้นยืนเท้าสะเอวสาปส่งเด็กต่างคณะอย่างไม่ไว้หน้า “เดียว!
น้ำปั่นไม่ได้เป็นของเล่นคั่นเวลาของใครนะคะ
ถ้าจะพาน้ำปั่นมาเดทแล้วทำตัวทุเรศแบบนี้
น้ำปั่นว่าเราอย่ามาเจอหน้ากันอีกเลยดีกว่าค่ะ!”
“...”
“จิ๊! ไอ้เกย์เอ๊ย!” แม้จะโดนด่าอย่างเกรี้ยวกราดไปจัง ๆ
แต่หนึ่งเดียวกลับยังไม่รู้สำนึก สาวอักษรจึงปาผ้าเช็ดปากใส่ใบหน้าหล่อเหลาแทนคำอำลา
ก่อนจะเดินกระทืบเท้าออกจากร้านไป เด็กวิศวะคงจะทำบุญมาดี
เพราะหากเจ้าหล่อนผูกใจเจ็บกว่านี้ พ่อรูปหล่อคงโดนจิกทึ้งหนังหัวเอากระจุกผมไปทำคุณไสยแก้แค้นเป็นแน่
“เฮ่ย?!” ที่สุดแล้ว หนึ่งเดียวก็ทนดูชายหนุ่มรุ่นใหญ่เช็ดปากให้พิชญ์อย่างทะนุถนอมไม่ได้
แถมเรื่องที่น่าโกรธยิ่งไปกว่านั้น คือ การที่รุ่นพี่บริหารไม่คิดจะตอบโต้เลยสักนิด
เด็กวิศวะจึงรีบย้ายกายหยาบไปนั่งซึมซาบบทสนทนาของสองหนุ่มต่างวัย ณ โต๊ะตัวติดกันที่เยื้องไปทางด้านหลังของสถานที่เกิดเหตุโดยไม่ทันคิดหน้าคิดหลัง
“ไม่เอา! พอแล้ว พิชญ์กินเองได้!”
“ฮื่อ! อย่าดื้อกับป๋าสิ พิชญ์ก็รู้นิว่าป๋าไม่ชอบเด็กดื้อ”
น้ำเสียงอ่อนหวานของชายแก่นิรนามทำให้เดียวรู้สึกคลื่นเหียนอย่างไรบอกไม่ถูก
ป๋าเหรอ?
ถ้าอย่างนั้น พี่พิชญ์ก็ต้องเป็นเด็กเสี่ย...
บ้า! มันจะเป็นไปได้ยังไง คนสติดี ๆ ที่ไหนจะอยากเลี้ยงต้อยเด็กมือหนักตีนหนักอย่างพี่พิชญ์กันวะ?
“พิชญ์อายเขานะป๋า
พิชญ์โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงแล้วนะ ป๋าเลิกทำแบบนี้กับพิชญ์เสียทีได้ไหม!”
“แต่ป๋าเหลือพิชญ์อยู่คนเดียว
พิชญ์อย่าใจร้ายกับป๋าเลยนะ ยิ่งตารางเวลาป๋าไม่ตรงกับพิชญ์ด้วย อยู่กันมาตั้งนานยังไม่รู้อีกเหรอว่า
กว่าป๋าจะปลีกตัวมากินข้าวกับพิชญ์ได้แต่ละครั้งน่ะไม่ง่ายเลยนะ”
อยู่กันมาตั้งนานหมายความว่ายังไง? พี่พิชญ์คบกับไอ้แก่นี่มาตั้งแต่เมื่อไร?
แล้วถ้าเป็นเด็กเสี่ยจริง
ๆ ทำไมพี่พิชญ์ถึงต้องเดือดร้อนเวลาผู้ชายอื่นโดนตัว?
ของมันน่าจะเคย
ๆ อยู่แล้วไม่ใช่เหรอวะ?
“เฮ่อ!” เจ้าของเสียงคุ้นหูถอนหายใจยาวแล้วนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยคำ
“เพราะป๋าเป็นเสียแบบนี้ไง พิชญ์ถึงไม่อยากออกไปไหนมาไหนกับป๋า!”
“อย่าทำหน้างอสิครับพิชญ์
ยิ้มให้ป๋าเถอะนะ”
“จิ๊!”
“ป๋ารักพิชญ์นะครับ”
โหไอ้โคแก่! พูดมาได้ไม่อายปาก!
รักงั้นเหรอ?
อี๋! อุบาทว์ว่ะ! ความรู้สึกว้าวุ่นในใจทำให้เด็กวิศวะเผลอกำหมัดแน่นเสียจนเส้นเอ็นหลังมือโดดเด่นเป็นสง่าดูน่ากลัว
“รู้แล้วล่ะน่า!”
“รู้แล้วอะไร?”
อยู่ ๆ น้ำเสียงของชายนิรนามก็ฟังกระด้างหูผิดกับเมื่อตอนเจ้าตัวพูดจาออเซาะเมื่อสักครู่แบบลิบลับ
“บอกรักป๋าก่อน วันนี้พิชญ์ยังไม่ได้บอกรักป๋าเลยนะ เร็ว!”
เฮ่ยไอ้โสมพันปี! มันชักจะมากไปแล้วนะเว่ย!!
“เออ
ๆ ! ก็ได้ ๆ พิชญ์รั...”
“ทนฟังไม่ไหวแล้วโว้ย! จะมีความสุขอะไรกันนักกันหนา!!” ก่อนต้องทนฟังคำแสลงหู หนึ่งเดียวก็ดีดตัวออกจากที่นั่งพร้อมกับตั้งท่าไฝว้จากนั้นจึงหันไปตวาดคนหน้าไม่อายทั้งสอง
“เห?!” ชายนิรนามอุทานด้วยความตกใจ พอ ๆ
กับเด็กบริหารที่ผุดลุกขึ้นยืนชี้หน้าต้นเสียงพลางก่นด่าต้นเสียงซ้ำไปซ้ำมาด้วยอาการติดอ่างเฉียบพลัน
“เฮ่ย! มึง มึง มึง!”
“แหม! ทีกับผู้ชายคนอื่นทำเป็นเล่นตัว แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้”
เฟรชชี่แดกดันพร้อมกับปรายตามองเหยียดคู่อริรุ่นพี่ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ใด ๆ “หึ! ที่แท้ก็ชอบพวกแก่ ๆ นี่เอง!”
“ไหนใครแก่?
โต๊ะนี้ไม่มี๊!” ไม่ต้องสืบเลยว่าเสียงสูงแปดหลอดนี่เป็นของใคร
เพราะต่อให้รวมอายุของนายหนึ่งเดียวกับพิชญ์เข้าด้วยกัน ยังไม่เทียบเคียงกับขวบปีที่ชายนิรนามตรงหน้าลืมตาดูโลกอยู่ดี
หลังจากตกอยู่ในภาวะตะลึงตะลานอยู่หลายนาที
ที่สุดแล้วเด็กปีสามก็ได้สติ “ไอ้เหี้ยเดียว! มึงแอบตามกูมาเรอะ?!”
“โฮ้ย! หลงตัวเองเกินไปหรือเปล่าคร้าบ?
คนอย่างผมเนี่ยนะจะคอยตามโอจิค่อนอย่างคุณต้อย ๆ เฮอะ! ผมพาหญิงมาเดทเหอะ!” [หมายเหตุ: โอจิค่อน - พวกนิยมผู้ชายที่อายุมากกว่าตัวเอง]
“เดทเรอะ?”
รุ่นพี่พ่นลมหายใจฟึดฟัดพลางกวาดตามองหาหลักฐานอย่างถ้วนถี่ “ถุ้ย! มึงอย่ามาตอแหลดีกว่า!”
“ฮื่อพิชญ์ พูดจาไม่เพราะเลยครับ!”
“เฮ่อ!” พิชญ์กลอกตามองหน้าเจ้าของเสียงห้ามปรามอย่างเหนื่อยหน่าย
หากแต่กลับไม่มีการลงโทษใด ๆ ตามมาอย่างเป็นชิ้นเป็นอันเหมือนกับที่เด็กวิศวะแอบคิดฝันเอาไว้
แถมยังเป็นเขาเสียอีกที่โดนหางเลขเข้าไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “ไอ้คนโกหก! ไหนล่ะผู้หญิงที่มากับมึง
กูเห็นมึงยืนโชว์โง่อยู่คนเดียวเนี่ย!”
“ก็เพราะพี่นั่นแหละ
ถ้าพี่ไม่มัวแต่อี๋อ๋อกับตาเฒ่าตัณหากลับนี่ ผมก็ไม่ต้องคอยมองพี่จนน้ำปั่นเขางอนผมไปถึงไหน
ๆ หรอก!” ความที่โดนโทสะครอบงำจนหน้ามืดตามัว เฟรชชี่วิศวะจึงปัดสวะให้พ้นตัวอย่างหน้าด้าน
ๆ
“หนอย! กูจะอี๋อ๋อกับใครแล้วมึงเสือกอะไรด้วย?”
เด็กบริหารตบโต๊ะพลางผรุสวาทด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “แล้วนี่ก็พ่อกู
มึงไม่รู้ก็อย่ามาเที่ยวพูดดีกว่า!”
“พ่อ?!” จุด ๆ นี้
นายหนึ่งเดียวถึงกับเข่าอ่อนจนอยากจะเป็นลมเสียให้รู้แล้วรู้รอด
แต่ในเมื่อกายละเอียดยังไม่สละร่าง
ชายหนุ่มจึงได้แต่ยืนหันรีหันขวางระหว่างที่มองหน้าชายนิรนามสลับกับพิชญ์ด้วยสายตาสุดทึ่ง
“นี่พ่อพี่เหรอ?”
“ก็เออดิ! ตามึงบอดหรือไง?
หน้าเหมือนกันขนาดนี้คงเป็นคนขายประกันมั้ง!”
“ฮื่อพิชญ์
ไม่เอา ไม่ก้าวร้าวครับ”
“ก็ดูปากมันดิป๋า!”
คุณพิทักษ์บึนปากเบ้หน้าใส่ลูกชายก่อนจะหันไปหาไก่ตาแตกที่ยืนเซ่ออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“นี่คุณพิทักษ์เป็นป๋าของน้องพิชญ์ครับ” หลังจากแนะนำตัวเองเสร็จสรรพ
คนโตกว่าก็เริ่มซักไซ้นายหนึ่งเดียวด้วยความสนอกสนใจทันที “แล้วเราล่ะเป็นใคร
ทำไมถึงมายืนหึงหวงพิชญ์ของป๋าออกนอกหน้าได้?”
“เฮ่ยป๋า! ป๋าพูดอะไรของป๋าเนี่ย?!”
“อะไร?! หึงเหิงที่ไหน? ใครหึง? ไม่มี๊!” ดูเหมือนอาการเสียงสูงจะเป็นโรคติดต่อ
เพราะเด็กวิศวะเองก็เพิ่งจะโก่งคอ ส่ายหัว อีกทั้งยังโบกมือปฏิเสธคำครหาอย่างจ้าละหวั่นเหมือนกับตอนที่บิดาของพิชญ์บอกปัดความแก่ชราของตัวเองไม่มีผิดเพี้ยน
“เอาล่ะ
ๆ ไม่หึงก็ไม่หึง แต่ตอนนี้ ป๋าว่าเรานั่งกันก่อนเถอะนะ ขืนพิชญ์กับเพื่อนยืนนาน ๆ
คนอื่นคงจะมัวมองพวกเราจนไม่เป็นอันกินข้าวแน่ ๆ สงสารเขาออกเนอะ” ว่าแล้ว
คุณพิทักษ์ก็หันไปหาเหล่าพยานผู้เห็นเหตุการณ์พร้อมโปรยยิ้มการค้าก่อนขยิบตาตบท้าย
“แฟนลูกชายเขาขี้หึงน่ะครับ เชิญรับประทานอาหารกันต่อเถอะครับ"”
“ป๋า! พูดอะไรน่ะ? ไม่อายคนอื่นบ้างรึไง?” เสียงโวยวายของลูกชายเรียกรอยยิ้มน้อย
ๆ ให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนเป็นพ่อ กระนั้น ผู้มากอาวุโสที่สุดในโต๊ะกลับไม่ใส่ใจ
หนำซ้ำยังกวักมือเรียกพนักงานให้มารับออเดอร์เพิ่มสำหรับอาคันตุกะของลูกชายอีกต่างหาก
|| ช่วงเวลาเดียวกัน ||
“นี่เราจะไปไหนกันเหรอยิม?
แล้วทำไมต้องให้พี่ชายแต่งตัวพร้อมไปทำงานตอนนี้ด้วยล่ะ?” ระหว่างที่กำลังรอให้รูมเมทถอยรถมอเตอร์ไซค์คันเก่งออกจากซองจอด
ชายชาตรีก็อดถามขึ้นไม่ได้
“พี่ชายไม่หิวข้าวเหรอครับ?”
ยิมถามพลางยื่นหมวกนิรภัยให้
“ก็นิด
ๆ แล้วล่ะ” สายเปย์อมยิ้มด้วยความขวยเขิน เพราะเกิดนึกขึ้นได้ว่า ผลพวงที่ตามมาจากอาการหิวโหยครั้งล่าสุด
ช่างวาบหวิวหวามไหวมากมายเพียงไร
“งั้นก็รีบขึ้นรถเถอะครับ
ผมจะได้พาไปกินข้าว” ยาจกหน้าหนวดตบเบาะด้านหลังเบา ๆ เพื่อสำทับคำเชื้อเชิญ
“ได้
ๆ ”
แม้ปากจะตอบรับ
แต่คนโตกว่ากลับเก้ ๆ กัง ๆ จริงอยู่ที่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซ้อนท้ายรถที่เด็กปีหนึ่งขับขี่
แต่หลังจากเหตุการณ์ระทึกใจในห้องน้ำโรงเรียนประถมเมื่อวานอวสานแบบสุขสมหวังกันทุกฝ่าย
ชายชาตรีก็ยิ่งรู้สึกประหม่าเขินอาย ยิ่งเวลาที่ต้องเข้าใกล้รุ่นน้องต่างคณะดังเช่นสถานการณ์ตรงหน้าด้วยแล้วล่ะก็...
ช่วยไม่ได้
ใครใช้ให้ท่วงท่าในการนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์มันล่อแหลมเกินไปล่ะ เกิดวันนี้ศูนย์ถ่วงเขาไม่เข้าที่
ทรงตัวไม่ได้ แผ่นหลังกว้างใหญ่ของอีกฝ่ายคงจะบดขยี้ถูไถเข้ากับหน้าอกหน้าใจของเขาจนแหลกเหลวไม่เหลือชิ้นดีแน่
ๆ
เห็นหน้าตาอย่างนี้
พี่ชายก็มีพ่อมีแม่นะ
เด็กหนวดจงอย่าหวังว่าจะได้ลวนลามพี่ชายบนอานมอเตอร์ไซค์ง่าย
ๆ สิ
“ทำไมถึงไม่ยอมนั่งเสียทีล่ะพี่?
หมวกติดอีกแล้วเหรอครับ?”
ไม่มีใครในโลกนี้ที่รู้ว่า
การยืนมะงุมมะงาหราทำท่าป้ำ ๆ เป๋อ ๆ อยู่นี่คือแผนการล่อลวงผู้ชายอย่างเหนือชั้นของสายเปย์จริงหรือไม่
เพราะแทนที่จะได้ใช้เวลาเลือกเหลี่ยมมุมในการคร่อมท้ายมอเตอร์ไซค์รุ่นดึกเพียงลำพัง
โชเฟอร์กลับเอี้ยวตัว หันกลับมาช่วยจัดหมวกกันน็อกแถมยังส่งสายตาหยาดเยิ้มมองประสานมาเสียอีก
แต่ก่อนที่ชายชาตรีจะเขินจนตัวแตก
เสียงคลิกของตัวล็อกตรงใต้คางก็เปิดโอกาสให้รุ่นพี่เอาตัวรอดได้อย่างหวุดหวิด “เรารีบไปกันเถอะ
พี่ชายเริ่มหิวแล้วล่ะ”
“ครับ”
เด็กวิศวะยิ้มรับพลางกวาดตามองใบหน้ากึ่งดำกึ่งแดงของสายเปย์อีกครั้งก่อนจะหันกลับไปตั้งใจทำหน้าที่สารถีที่ดีทันทีที่สก๊อยร่างน้อง
ๆ หมียอมทรุดตัวนั่งลงยังที่ประจำ
ทว่าก่อนที่สองล้อปุโรทั่งจะออกร่อน
ยิมก็รวบรวมความกล้า เลื่อนมือไปคว้าแขนอีกฝ่ายมาพันตวัดไว้รอบเอวแล้วอธิบายเสียงแผ่ว
“เกาะผมไว้นะพี่ เดี๋ยวพาซิ่ง”
ประหลาดเหลือเกินที่วันนี้
เสียงเครื่องกระตุกเป็นระยะ ๆ หรือกระทั่งเสียงเบิ้ลน้ำมันที่เคยน่ารำคาญ กลับดังสู้เสียงตึกตักของหัวใจสองดวงไม่ได้
ยิมตั้งอกตั้งใจบังคับมอเตอร์ไซค์ไปเงียบ ๆ เหมือน ๆ กับสายเปย์ที่ปล่อยให้หัวใจเต้นตึงตังคลอไปกับเสียงล้งเล้งของเครื่องยนต์
$$$$$$$$
“แล้วสองคนไปทำอีท่าไหนถึงมารู้จักกันได้ล่ะ?”
คุณพิทักษ์เปิดปากซักเด็กหนุ่มแปลกหน้าทันทีที่อาหารมาเสิร์ฟครบสำรับ
“พิชญ์อยากรู้จักเด็กเหี้ยอย่างมันที่ไหนล่ะป๋า!” รุ่นพี่ร่างสันทัดแหวใส่น้องปีหนึ่งอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมจนคนเป็นพ่ออดรนทนไม่ได้
“พิชญ์
ป๋าบอกว่าไงครับ?” คุณพิทักษ์กดตาต่ำเพื่อมองหน้าทายาทอย่างมาดหมาย
“...”
“ยังไงลูก?”
พิชญ์ยอมรับตามตรงว่าเสียงเข้ม ๆ ของบิดา ไม่น่าเกรงขามเท่ากับสรรพนาม ‘ลูก’ เลยสักนิด ลองว่าคุณพิทักษ์เรียกเขาด้วยคำนี้เมื่อไร แปลว่าขาข้างหนึ่งของชายหนุ่มได้เยื้องย่างเข้าสู่ปรโลกเป็นที่เรียบร้อย
“เวลาอยู่กับป๋า
ห้ามพูดคำหยาบครับ” เด็กบริหารอ้อมแอ้ม
“เก่งมากครับเด็กดีของป๋า”
สิ้นคำ ผู้เป็นพ่อก็ลูบหน้าลูบตาเลือดในอกอย่างละมุนละไม แถมยังทิ้งท้ายด้วยการสูดดอมหอมผมด้วยความรักใคร่จนนายหนึ่งเดียวรู้สึกตะครั่นตะครออย่างไรบอกไม่ถูก
“ว่ายังไงครับหนึ่งเดียว รู้จักพิชญ์ของป๋าได้ยังไง?”
สายตาทรงอำนาจผิดกับมาดอาเสี่ยที่คุณพิทักษ์ทอดมองเขาโดยไม่ไหวติง
ทำให้เด็กวิศวะรีบเท้าความถึงที่มาของตัวเองตามความเป็นจริงไม่หมกเม็ด “ผมกับพี่พิชญ์ไปกินเหล้ากันครับ
บังเอิญคืนนั้นพี่พิชญ์เมามาก ผมเลยพาพี่พิชญ์กลับไปนอนที่คอนโดด้วย”
ในฐานะผู้ถูกพาดพิง
พิชญ์ยืดตัวขึ้นแล้วนั่งหลังตรงพร้อมกับทำหน้านิ่ง หากแต่ในใจกลับสวดมนตร์ภาวนาอย่างบ้าคลั่งด้วยหวังให้เด็กปีหนึ่งไม่เล่าแฉลบไปถึงเหตุการณ์ช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้น
ขืนคุณพิทักษ์รู้ว่าเขากับไอ้การ์ตาร์นอนแก้ผ้ากอดกัน คุณพิทักษ์ต้องเอาเขาตายแน่
ๆ
“แล้วไปกินเหล้ากันมาเมื่อไรเหรอครับ?”
“ราว
ๆ สามอาทิตย์ได้แล้วครับคุณพ่อ” นายหนึ่งเดียวอาศัยความเป็นกันเองของผู้อาวุโสกระชับความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายเสร็จสรรพ
“อ๋อ! คืนนั้นนั่นเองที่พิชญ์ไม่กลับบ้าน” คุณพิทักษ์พยักหน้าเออออแล้วจึงหันไปตำหนิลูกชาย
“ต่อไปเวลาจะเมาก็โทรมาบอกป๋าหน่อยนะครับว่าจะไม่กลับบ้าน รู้ไหมคืนนั้นกว่าป๋าจะได้นอนก็เกือบเช้าแน่ะ”
“ป๋าไม่ได้นอนตอนเช้าอยู่แล้วเรอะ?!!” พิชญ์สวนบิดาทันควัน
เพราะอาชีพเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยนกับทองคำล่วงหน้า สลับกับปล่อยไอเทมเกมบนอีเบย์
ทำให้คุณพิทักษ์สมัครใจที่จะทำงานช่วงกลางคืนตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา
คำโกหกที่พ่อเพิ่งเอ่ยออกมาจึงไม่มีความหมายแต่อย่างใด
“เบื่อจริงคนรู้ทัน!” คนแก่ทำปากอูดใส่ลูกชายก่อนจะหันกลับไปคุยกับนายหนึ่งเดียว
“ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยดูแลพิชญ์แทนป๋า ต่อไปถ้าพิชญ์ไปกินเหล้าอีก ฝากหนึ่งเดียวคอยดึง
ๆ พี่เขาไว้หน่อยนะครับ ป๋าไม่อยากให้พิชญ์เมามาก มันเสียสุขภาพ”
สิ้นเสียงฝากฝังของบิดา
เด็กปีสามก็เลิกรักษามารยาทบนโต๊ะอาหารโดยสิ้นเชิง “จะบ้าเหรอป๋า! เรื่องอะไรพิชญ์จะไปกินเหล้ากับคนไว้ใจไม่ได้อย่างมันอีก!” แต่ทันทีที่โดนกล่าวหา
เด็กวิศวะก็รีบแก้ต่างทันควัน
“ผมเปล่าไว้ใจไม่ได้นะครับคุณพ่อ
พี่พิชญ์เข้าใจผมผิดไปเองทั้งหมดเลยครับ!”
“หนอยไอ้สร้างภาพ! อยู่ต่อนหน้าผู้ใหญ่ทำมาเป็นพูดดี! ถ้ามึงไว้ใจได้จริง ๆ ทำไมมึงต้องแก้ผ้ากูด้วย?!”
“ผมไปแก้ผ้าพี่ตอนไหน?
คืนนั้นพี่ถอดของพี่เองทั้งนั้นนะเว่ย!”
“แล้วมึงมากอดกูทำไม?
เสื้อผ้าก็ไม่ใส่ ลามกจกเปรตทุเรศอัปปรีย์ไม่แบ่งใครเลยนะมึงน่ะ!”
“ผมใส่บ็อกเซอร์นอนเหอะ!” เหน็บแนมรุ่นพี่ได้ไม่เท่าไร
เฟรชชี่ก็สาวไส้ชะตากรรมสุดอนาถาของตัวเองออกมาให้โลกต้องหลั่งน้ำตาตามอย่างห้ามไม่ได้
“พี่นั่นแหละ มานอนห้องคนอื่น ๆ แท้ ๆ แต่กลับฟาดหน้าผมจนสลบ...” เดียวเสตามองพื้นพลางบ่นอุบอิบ
“ขอบคุณสักคำก็ไม่มี”
สายตาเพ่งเล็งของบิดาทำให้พิชญ์ออกอาการร้อนรน
“ป๋าอย่าไปฟังมันนะ! มันโกหก!”
“ฮื่อ
พิชญ์จะห้ามไม่ให้ป๋าฟังหนึ่งเดียวจริง ๆ น่ะเหรอลูก?
พิชญ์ไม่กลัวป๋าเข้าใจผิดว่าพิชญ์แอบไปมีอะไรกับหนึ่งเดียวลับหลังป๋าเหรอครับ?” คุณพิทักษ์จับจ้องทายาทด้วยสายตาเฉียบคมคล้ายเหยี่ยว...
ที่ถามนี่ไม่ใช่อะไร แค่เขาอยากให้เลือดเนื้อเชื้อไขไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อนจะรวนคนอื่นไปเรื่อยเปื่อย
“ป๋าจะบ้าเรอะ?! พิชญ์เนี่ยนะจะไปมีอะไรกับไอ้เด็กนี่!”
ในเมื่อพิชญ์จงใจบิดเบือนความจริง
ก็ไม่มีประโยชน์ที่คุณพิทักษ์จะต้องรับฟัง ชายวัยกลางคนหันไปพึ่งพาเด็กวิศวะที่นั่งมองพวกเขาส่งสายตาห้ำหั่นกันด้วยสายตาทึ่ง
ๆ “หนึ่งเดียวรู้ใช่ไหมว่าพิชญ์ของป๋าเนื้อหอม?”
“ก็พอรู้อยู่บ้างอ่ะครับ”
แม้จะยังไม่ประจักษ์ถึงความจริงข้อนี้ดีนัก แต่เฟรชชี่กลับปฏิเสธเรื่องฟรายเดย์ได้ไม่เต็มเสียง
“หนึ่งเดียวเชื่อไหมว่าตั้งแต่เข้ามหาลัยมา
หัวกระไดบ้านป๋าไม่เคยแห้งสักวัน” คุณพิทักษ์มองหน้าคู่สนทนาด้วยสายตาเคร่งเครียด
“ที่มา ๆ เนี่ยก็ผู้ชายทั้งนั้น ผู้หญิงไม่มีสักคน”
“เหรอครับ?!” เดียวอดตกใจไม่ได้เพราะชายหนุ่มไม่คิดว่า
มนุษย์หน้าตาเรียบ ๆ ออกไปทางหยิ่ง ๆ จะมีเสน่ห์น่าช่วงชิงมาเป็นคู่ครองถึงปานนี้ กระนั้นอีกใจกลับคล้อยตามคำของคุณพิทักษ์ไปเต็ม
ๆ
อาจเป็นเพราะจมูกรั้น
ๆ ดวงตาร้าย ๆ กับท่าทีผยอง แถมยังดื้อดึงไม่เป็นสองรองใครนั่นก็ได้มั้งที่ทำให้เขาสนใจอีกฝ่ายมากขึ้นทุกที
ๆ
“ก็ใช่น่ะสิ!” คุณพิทักษ์รับคำอย่างออกรสออกชาติ “แรก ๆ ก็ไม่มีอะไรหรอก หลัง ๆ
ดันมีพวกสตอล์กเกอร์ปนมาด้วยสองสามคน
พิชญ์ของป๋าเลยกลายเป็นพวกหวาดระแวงผู้ชายแปลกหน้าไปเลย”
“...อ๋อ
ครับ...” พอได้ยินแบบนี้เฟรชชี่รูปงามก็เริ่มเข้าใจ และเห็นใจรุ่นพี่ต่างคณะมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
กระนั้นเดียวกลับอดคิดไม่ได้ว่าคนใกล้ตัวพิชญ์อย่างคุณพิทักษ์เองก็ด้วย ที่น่าจะช่วยส่งเสริมให้อาการที่ว่ายิ่งสาหัสสากรรจ์
“โชคดีที่ป๋าส่งพิชญ์เรียนศิลปะป้องกันตัวตั้งแต่ตัวยังเล็ก
ๆ ไม่อย่างนั้นป๋าคงเป็นห่วงพิชญ์จนไม่เป็นอันทำอะไร” บิดาของรุ่นพี่เว้นวรรคด้วยการสูดลมหายใจเข้า
– ออกยาว ๆ
เพื่อระบายความอัดอั้นตันใจไปพร้อม ๆ กัน “แต่ถึงพิชญ์เขาจะต่อสู้เก่ง
ป๋าก็ยังอดห่วงพิชญ์ไม่ได้ เกิดพลาดมาวันไหน ป๋าต้องใจสลายแน่ ๆ !”
“ป๋า!” พิชญ์พยายามห้ามไม่ให้พ่อพล่ามความลับของตัวเองให้อริตัวเอ้ฟังจนหมด
แต่คุณพิทักษ์กลับมิได้นำพา
“เอาอย่างนี้แล้วกันนะหนึ่งเดียว
ไหน ๆ วันนี้เราก็รู้จักกันแล้ว” คนพูดสบสายตากับเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างจริงจังและตั้งใจยิ่ง
“หนึ่งเดียวช่วยดูแลพิชญ์แทนป๋าเวลาที่พิชญ์ไปมหาลัยได้ไหม?”
“ห๊ะ?!”
“บ้าแล้วป๋า! ป๋าก็รู้นิว่าพิชญ์ดูแลตัวเองได้?
ป๋าจะฝากฝังพิชญ์กับไอ้เด็กนี่ทำไม?!”
“ฮื่อพิชญ์
เชื่อป๋าสิว่าป๋าได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกของป๋าแล้ว” คุณพิทักษ์เพิกเฉยต่อสีหน้าบอกบุญไม่รับของบุตรชาย
เพราะ ณ วินาทีนี้ ไม่มีใครที่จะสำคัญกับอนาคตของพิชญ์ได้มากกว่านายหนึ่งเดียวอีกแล้ว
“ว่ายังไงหนึ่งเดียว จะรับปากป๋าดี ๆ
ไหม?”
“คะ
คะ ครับ ดูแลครับ ผมจะดูแลพี่พิชญ์ให้ดีที่สุดเลยครับ”
“หึ
หึ หึ... ดีมาก” ผู้อาวุโสแสยะยิ้มเย็นยะเยือกให้เด็กหนุ่มด้วยท่าทีพึงพอใจแปลก ๆ
อันที่จริง
ต่อให้คุณพิทักษ์ไม่ได้แผ่รังสีอำมหิตแนบมากับคำขอดังกล่าว
เดียวก็ตั้งใจว่าจะตอบตกลงอยู่แล้ว กระนั้น การได้เห็นป๋าของพิชญ์กระทำการคาดคั้นเขาด้วยทักษะกรรโชกอันเหนือชั้น
ชายหนุ่มก็อดดีใจระคนตื่นเต้นไม่ได้ เพราะอย่างน้อย ๆ
ชายหนุ่มก็เริ่มเข้าใจในความสัมพันธ์สุดประหลาดของสองพ่อลูกตรงหน้ามากขึ้นอีกหลายเท่าตัว
$$$$$$$$
“อ้าวพี่โจตู๋! เมื่อคืนพี่โจตู๋ไม่ได้กลับบ้านเหรอครับ?”
ชายชาตรีทักทายซากมนุษย์กระปุกตั้งฉ่ายที่ยืนเกาผักดองใต้ร่มผ้าอย่างหน้าไม่อายอยู่ในครัวร้านข้าวต้ม
“เออ!” โจหาวหวอดก่อนจะหรี่ตามองเด็กเสิร์ฟรุ่นน้องอย่างหาเรื่อง
“เมื่อคืนกูนอนนี่ มึงมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่มีครับ
ไม่มีปัญหาครับ!” สายเปย์หรุบตามองพื้นพลางปฏิเสธพัลวัน
“แล้วนี่พวกมึงจะรีบแห่แหนกันมาทำอะไร?
เปลี่ยนที่เปลี่ยนบรรยากาศฟาดกันหรือไง?” พ่อครัวใหญ่ยิ้มร้ายก่อนจะบรรยายมโนภาพอันชั่วช้าของตัวเองออกมาเป็นฉาก
ๆ “หึ! ห้องมึงมันเล็กยิ่งกว่ารังหนูนี่นะ
เอากันไม่ได้กี่ท่าน้ำก็เยิ้มทั่วห้องแล้วใช่ไหมวะไอ้ยิม?”
“เก็บปากไว้กินข้าวดีไหมพี่โจ?”
เด็กหนวดถามนิ่ง ๆ แต่ยิ่งยิมโกรธมากเท่าไร โจก็ยิ่งชอบใจมากขึ้นเท่านั้น
“อ่ะโห! แตะไม่ได้เลยนะ หวงขนาดนี้ไม่หากรงหาปลอกคอมาใส่ไว้เลยวะ
คนอื่นจะได้ไม่ยุ่งด้วย?”
“พี่โจตู๋เขาพูดอะไรเหรอยิม?”
แม้จะพอเข้าใจความหมายที่พ่อครัวใหญ่ต้องการสื่อ แต่เพื่อความแน่ใจและมั่นโหนกของตัวเองในภายภาคหน้า
ชายชาตรีจึงจำเป็นต้องถามรายละเอียดจากคนต้นเรื่องอีกครั้ง
“พี่ชายอย่าไปสนใจเลยครับ
พี่ชายไปนั่งเถอะ เดี๋ยวผมทำอะไรให้กินเอง” ยิมตอบเลี่ยง ๆ เพราะไม่อยากพูดคุยเรื่องรัก
ๆ ใคร่ ๆ กับอีกฝ่ายในบรรยากาศไม่เป็นใจเช่นในเวลานี้
“เออดียิม! มึงทำข้าวผัดกับต้มยำรวมมิตรนะ
เดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อนแล้วจะมากินด้วย” สิ้นเสียงสั่ง โจก็เดินเกาสังคังออกไปอย่างสบายใจเฉิบ
“เฮ่อ!” แม้ใจจะอยากทำร้ายเพื่อนร่วมงานสักแค่ไหน
แต่เด็กหนวดกลับทำได้แค่ถอนหายใจ ก่อนจะเดินดุ่ม ๆ ไปยังตู้แช่ของสดเพื่อเตรียมวัตถุดิบตามที่พ่อครัวใหญ่สั่ง
พร้อมกับตะโกนถามชายชาตรีอย่างเอาอกเอาใจ “พี่ชายอยากกินกับข้าวอย่างอื่นไหมครับ
ผมจะได้ทำให้”
“แค่ข้าวผัดกับต้มยำก็พอยิม
แต่ทำเยอะ ๆ หน่อยก็ดี ยิมต้องกินเยอะ ๆ นะ เมื่อเช้ากินแค่โจ๊ก
พี่ชายว่ายิมไม่น่าจะอิ่มหรอกใช่ไหม?”
ถึงจะเป็นคำพูดเรียบง่าย
แต่ใจความที่สะท้อนความใส่ใจในตัวเขาเป็นพิเศษ ก็ทำให้เด็กปีหนึ่งชะโงกหน้าพ้นบานตู้เย็นเพื่อทิ้งสายตาแล้วคลี่ยิ้มพิมพ์ใจให้อีกฝ่ายชื่นชมโดยเฉพาะ
“ขอบคุณนะครับที่ใส่ใจกัน”
“ยิมไม่ต้องขอบคุณก็ได้
พี่ชายเต็มใจ” สายเปย์กระอึกกระอักด้วยรู้สึกประดักประเดิดหาใดเปรียบ... เด็กหนวดนี่ยังไง?
หยอดได้หยอดดี หยอดจนพี่ชายไม่รู้จะทำหน้าแบบไหนให้เย้ายวนใจไปกว่านี้แล้วนะ!
“หึ
หึ นั่งดี ๆ สิครับ เดี๋ยวก็ตกเก้าอี้พอดี”
คนพูดหลิ่วตาพลางยกยิ้มชวนมองให้รุ่นพี่ต้องอายม้วนต้วนไปอีกคำรบ
“...บ้า!...” เด็กบริหารอ้อมแอ้มพลางนั่งบิดไปมาจนคนมองต้องรามือ
ขืนรุกหนักกว่านี้ มีหวังพี่ชายต้องตกเก้าอี้จริง ๆ แน่
.
.
.
.
.
.
“ยิม
ยิมอยากเป็นวิศวกรเหรอ?” หลังจากตั้งตัวได้ ชายชาตรีก็เข้าสู่โหมดเรียนรู้ดูใจเด็กหนวดโดยพลัน
“ครับ”
“ทำไมล่ะ
ทำไมถึงอยากเป็นวิศวกร?”
“ไม่รู้สิครับ
ผมรู้แค่ผมชอบเคมีกับฟิสิกส์มาก ๆ แต่ผมไม่อยากสอน ไม่อยากทำงานออฟฟิศหรือขลุกอยู่แต่ในห้องวิจัย
ผมอยากทำอะไรลุย ๆ มากกว่า ตอนเลือกคณะ ผมเลยเลือกวิศวะอย่างเดียวน่ะครับ” ยิมตอบพลางล้างผักอย่างตั้งอกตั้งใจ
“แล้วพอได้เรียนแล้วชอบไหม?”
“ชอบสิครับ
สนุกดี” และแล้วก็ถึงคราวที่เฟรชชี่จะได้ถามกลับบ้าง เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา
น้อยครั้งมากที่ทั้งสองจะพูดคุยกันด้วยเรื่องทำนองนี้ “แล้วพี่ชายล่ะครับ
ทำไมถึงเรียนบริหาร?”
“ถ้าพี่ชายบอกยิม
ยิมอย่ามองว่าพี่ชายไม่มีสมองนะ” ชายชาตรีช้อนตามองพ่อครัวสมัครเล่นหวาด ๆ แต่เมื่อเห็นรูมเมทไม่พูดอะไร
สายเปย์หน้าเข่าจึงสารภาพบาปอย่างหมดเปลือก “พี่ชายเลือกคณะตามพิชญ์น่ะ พี่ชายไม่อยากเรียนคนเดียว
พี่ชายกลัวเหงา”
“แล้วจบไปพี่ชายจะทำอะไรอ่ะครับ?”
ค่าที่กัดฟันดิ้นรนด้วยตัวเองมาตั้งแต่ตัวเท่าเมี่ยง ยิมจึงอดซาวด์เสียงถึงแผนการในอนาคตของรุ่นพี่ไม่ได้
“อืม...
ไม่รู้สิ พี่ชายยังไม่ได้คิดเลยว่าถ้าจบแล้วจะไปทำอะไร”
ท่าทางอิหลักอิเหลื่อของอีกฝ่ายทำให้ยิมยิ่งรู้สึกเป็นห่วงสายเปย์หนักข้อยิ่งกว่าเก่า
“พี่ชายต้องเริ่มคิดได้แล้วนะครับว่าถ้าจบแล้ว พี่ชายอยากทำงานอะไร เพราะถ้าถึงตอนนั้นจริง
ๆ พี่ชายจะได้ไม่เคว้งยังไงล่ะครับ”
“อืม
ไว้พี่ชายจะลองคิดดูนะ” เด็กบริหารผู้ไม่รู้อนาคตเริ่มรู้สึกละอายใจที่วัน ๆ
มัวแต่คิดเรื่องผู้ชาย หนำซ้ำยังติดสบายจนไม่เคยใส่ใจตัวเองอย่างจริง ๆ จัง ๆ เลยสักครั้งเดียว
“แต่ถ้าพี่ชายยังคิดไม่ออก
ไว้เราค่อย ๆ ช่วยกันคิดไปเรื่อย ๆ ก็ได้ครับ เหลือเวลาอีกตั้งเกือบสองปี จะคิดไม่ออกก็ให้รู้ไป”
ท่าทางห่อเหี่ยวหมดราศีของรุ่นพี่ต่างคณะกระตุ้นเด็กหนวดให้รีบปลอบขวัญคู่สนทนาโดยเร็ว
“อื้อ!” แม้จะยังหดหู่ใจไม่คลาย แต่คำว่า ‘เรา’ และ ‘เรื่อย ๆ ’ ในประโยคล่าสุดทำให้ชายชาตรีรู้สึกคล้ายกับเพิ่งถูกอีกฝ่ายขอแต่งงานไปหมาด
ๆ แต่ยังไม่ทันที่เด็กปีสามหน้าเข่าจะสาดความหวานกลับคืนไปให้เด็กหนวดได้อิ่มเอมใจ
เสียงของนางมารร้ายก็แผดขึ้นเสียก่อน
“พวกมึงมาทำอะไรกันตอนนี้?
แล้วนี่มึงดีกันแล้วหรือไง?!” ปาณัธกวาดตามองรุ่นน้องทั้งสองอย่างขวาง
ๆ
“พี่ผึ้ง?! คยองโอปป้า?!”
“เออ
ก็พวกกูน่ะสิจะมีใคร?! มัวแต่ตกใจอยู่นั่นแหละไอ้ชาย กูถาม
ทำไมไม่ตอบ?” ตัวอ่อนมนุษย์ป้ายืนกอดอกพลางกระดิกปลายเท้าเร่งเพื่อนสนิทยิก ๆ ทว่ากลับเป็นเจ้าของร้านที่เอ่ยแทรกขึ้นกลางคัน
“อ้าว! นี่เฮียยังไม่ได้บอกผึ้งเหรอว่าวันนี้ไอ้ยิมมันจะมาหาข้าวกลางวันกินที่ร้าน?”
คองเหลอหลาขณะถามไถ่หน้าตาเฉย ผึ้งจึงสนองตอบความเด๋อของคนรักด้วยสายตาจิกกัดอย่างรักใคร่ไร้ความปราถนาดีค่าที่อีกฝ่ายทำเจ้าหล่อนเสียหน้า
จวบจนพึงพอใจแล้วนั่นแหละ ปาณัธจึงหันไปซักฟอกผู้ช่วยพ่อครัวต่อ
“มึงหายงอนไอ้ชายมันแล้วหรือไง?
หือไอ้ยิม?”
“ครับ”
“ทีหลังถ้ามึงจะงอนไอ้ชายน่ะ
ช่วยบอกมันด้วยนะว่ามึงงอนมันเพราะอะไร มันจะได้รู้ว่ามันต้องง้อมึงแบบไหน
พวกกูจะได้ไม่ต้องพลอยปวดหัวตามไปด้วย!”
“ทางที่ดี
เฮียว่าอย่างอนกันบ่อย ๆ เลย มีอะไรก็ค่อยพูด ค่อยจากันดี ๆ จะได้อยู่ด้วยกันได้นาน
ๆ ” คองเออออห่อหมกเพราะหากเลือกยิงมุกตลกเปลี่ยนบรรยากาศในตอนนี้ คงไม่ดีแน่
“ครับเฮีย”
“พี่ผึ้งกับคยองโอปป้าก็จะมากินข้าวกลางวันที่ร้านเหรอครับ?”
“จิ๊! มึงจะไม่รู้สักเรื่องจะได้ไหมวะชาย?!” เหตุที่ตัวอ่อนมนุษย์ป้าแสดงฤทธาอภินิหารอย่างยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ
ก็เพราะเจ้าหล่อนอดนึกถึงจุดประสงค์ที่ทำให้ตนเองและคนรักต้องกระวีกระวาดมาที่ร้านก่อนเวลาเปิดถึงสี่ชั่วโมง...
มันใช่เรื่องไหมที่หล่อนต้องตื่นนอนก่อนบ่ายสามเนี่ย?!
“ฮื่อผึ้ง
คุยกับน้องมันดี ๆ สิ” เจ้าของร้านเอาน้ำเย็นเข้าลูบพลางหันไปคุยกับผู้ช่วยพ่อครัวที่ยังยืนแกะกุ้งอยู่หน้าอ่างล้างจาน
“ยิม มึงติดอะไรอยู่หรือเปล่า?”
“ผมเตรียมเครื่องทำข้าวกลางวันอยู่ครับเฮีย”
“ดี
งั้นเอาของไปเก็บ เดี๋ยวไปกินข้าวกับเฮีย”
“หืม?!”
สองหนุ่มรูมเมทมองหน้าเจ้านายด้วยความประหลาดใจ
แต่คองก็ไม่ปล่อยให้ลูกน้องต้องสงสัยอยู่นาน
“ไปช่วยเฮียชิมแล้วเก็บข้อมูลหน่อย”
“จิ๊!” ปาณัธส่งเสียงจิ๊กจั๊กแขวะอาการท่ามากของคนรัก
และก็เป็นหล่อนนี่แหละที่เอ่ยปากแย้มพรายถึงแผนด่วนที่ต้องเร่งจัดการภายในช่วงบ่ายวันอาทิตย์อันแสนสงบสุข
“พวกกูจะไปสอดแนมร้านตามสั่งร้านใหม่เสียหน่อย เห็นไอ้โจบอกว่ามันจัดโปรลดห่าท้านรกจนขาประจำเราย้ายไปไปที่โน่นกันหมด!”
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
ความในใจทิ้งท้ายตามสไตล์ชายชิค ๆ :
วันนี้เพิ่งไปปล่อยนกมา ชายเลยเอาบุญมาฝาก
ขอให้แคล้วคลาดปราศจากสัตว์ปีกโดยทั่วกันนะท่านทั้งหลาย
#จบกันแค่นี้พอกันทีเจ้านกน้อย
ฮิ ๆ ! /
ปรายตามองเด็กหนวดในโอวาทพลางทำหน้ากรุ้มกริ่มยกยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ
$$$$<| TBC |>$$$$
No comments:
Post a Comment