Wednesday, February 1, 2017

ถ้าต้อยได้ ชายจะเป็นอมตะ ||#11|| 01.02.2017



<|No.11|>
คุณพิทักษ์ สุดที่รักของพิชญ์


……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

“เดียวคะ”

“...”

“เดียว”

“...”

“เดียวคะ เดียวได้ยินน้ำปั่นไหมคะ?”

“โอ๊ย! หยิกผมทำไมเนี่ยน้ำปั่น?!” เด็กวิศวะโวยวายภายหลังจากร่างกายโดนลอบทำร้ายด้วยน้ำมือของสาวงามตรงหน้า  แม้เจ้าหล่อนจะสะโอดสะองสวยสมวัยจนใคร ๆ พากันเหลียวมอง แต่หนึ่งเดียวกลับอดคิดไม่ได้ว่า สีหน้าของดาวอักษรขณะงอนง้ำ กระตุ้นต่อมเอือมระอาในใจเขาให้ทำงานหนักอย่างไรก็ไม่รู้...

สู้ใบหน้าเหวี่ยง ๆ ของคนที่นั่งอยู่ตรงหลืบของร้านคนนั้นก็ไม่ได้
ว่าแต่... ใช่แน่หรือเปล่าวะ?!

“ก็เดียวน่ะสิ มาออกเดทประสาอะไร น้ำปั่นชวนคุยก็ไม่คุย เอาแต่นั่งเหม่อ!” ดาวอักษรสอดส่องมองตามเป้าสายตาของคู่ควงอย่างเอาเรื่อง กระนั้น ลูกค้าในร้านที่มีเพียงเด็ก บุรุษ และคนชราก็ทำให้สาวเจ้าออกท่าทางกระเง้ากระงอดแทนการอาละวาดจนวอดวายกันไปทั้งหมด “ปล่อยให้น้ำปั่นเรียกอยู่ตั้งนาน แอบมองผู้หญิงคนอื่นอยู่ใช่ไหม... ฮึ? สารภาพมาเสียดี ๆ นะ!

“โธ่น้ำปั่น! ผมแอบมองผู้หญิงอื่นที่ไหนล่ะครับ ผมเดทกับน้ำปั่น ผมก็ต้องสนใจน้ำปั่นคนเดียวสิ” เดียวตอบคำส่งเดชทั้งที่สองตายังคงตรึงแน่นอยู่กับโต๊ะฝั่งตรงข้ามไม่คลาย

ใช่แหละ...
ปากคว่ำ ๆ หางตาชี้ ๆ ที่ทำมุมสี่สิบห้าองศาเป็นมนุษย์ป้าอารมณ์เสียแบบนั้นคงเป็นใครอื่นไปไม่ได้อีกแล้ว!

“ถ้าสนใจก็หันกลับมาเสียทีสิคะ มัวแต่มองคนอื่น เดี๋ยวน้ำปั่นก็งอนกลับบ้านก่อนเลยนิ!” น้ำปั่นจีบปากจีบคอตัดพ้อเด็กวิศวะอย่างมีจริต ทว่าการที่เดียวเอาแต่จ้องผู้ชายสองคนตาเป็นมันไม่อาจสะบั้นฟางเส้นสุดท้ายของดาวอักษรลงได้ เพราะถึงอย่างไร การที่คู่เดทส่องสิ่งมีชีวิตเพศเดียวกัน ย่อมต้องดีกว่าสอดส่ายสายตาเจ้าชู้สำรวจผู้หญิงอื่นเป็นไหน ๆ

“โอ๋ ๆ ไม่งอนน้า ๆ คนดีของเดีย... เฮ่ย!!! ” พ่อรูปหล่อหนึ่งเดียวเกือบจะกลับตัวหันมาเอาใจดาวอักษรได้อยู่แล้วเชียวหากไม่ติดว่า อยู่ ๆ พิชญ์ที่นั่งหน้าหงิกเป็นจวักกลับยอมให้ชายวัยกลางคนเหนียงย่นเจ็ดชั้นป้อนข้าวอย่างว่านอนสอนง่าย

เฮ่ยพี่! พี่ยอมให้ตาลุงนั่นป้อนข้าวได้ไงวะ?
แล้วอัปเปอร์คัตสะท้านวิญญาณ กับลูกเตะผ่าหมากจนไข่สั่นน่ะอยู่ไหน? ทำไมไม่งัดมาใช้เหมือนเวลาพี่อยู่กับผม?!!  

แม้จะไม่พอใจกับภาพที่เห็นเอามาก ๆ  แต่เดียวกลับยังรู้สึกแปลกใจไม่หาย เพราะไม่ว่าจะไปที่ใด เขาก็หนีรุ่นพี่บริหารไม่เคยพ้นเลยสักครั้ง... ลำพังวัน ๆ แค่ต้องคิดถึงความร้ายกาจของอีกฝ่ายก็เหนื่อยจะแย่แล้ว ทำไมเสาร์อาทิตย์ยังต้องมาเจอหน้ากันอีกด้วยวะ?

“เดียวเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?” เมื่อสำเหนียกว่าหนึ่งเดียวยังไม่เลิกจ้องผู้ชายอีกโต๊ะจนถึงเดี๋ยวนี้ ความเป็นห่วงเป็นใยจากใจจริงจึงแปรสภาพเปลี่ยนเป็นความอิจฉา ก่อนจะกลายร่างเป็นพุทธปัญญาในท้ายที่สุด

รู้ดังนั้น ดาวอักษรจึงฉวยกระเป๋า ลุกขึ้นยืนเท้าสะเอวสาปส่งเด็กต่างคณะอย่างไม่ไว้หน้า “เดียว! น้ำปั่นไม่ได้เป็นของเล่นคั่นเวลาของใครนะคะ ถ้าจะพาน้ำปั่นมาเดทแล้วทำตัวทุเรศแบบนี้ น้ำปั่นว่าเราอย่ามาเจอหน้ากันอีกเลยดีกว่าค่ะ!

“...”

“จิ๊! ไอ้เกย์เอ๊ย!” แม้จะโดนด่าอย่างเกรี้ยวกราดไปจัง ๆ แต่หนึ่งเดียวกลับยังไม่รู้สำนึก สาวอักษรจึงปาผ้าเช็ดปากใส่ใบหน้าหล่อเหลาแทนคำอำลา ก่อนจะเดินกระทืบเท้าออกจากร้านไป เด็กวิศวะคงจะทำบุญมาดี เพราะหากเจ้าหล่อนผูกใจเจ็บกว่านี้ พ่อรูปหล่อคงโดนจิกทึ้งหนังหัวเอากระจุกผมไปทำคุณไสยแก้แค้นเป็นแน่

“เฮ่ย?!” ที่สุดแล้ว หนึ่งเดียวก็ทนดูชายหนุ่มรุ่นใหญ่เช็ดปากให้พิชญ์อย่างทะนุถนอมไม่ได้ แถมเรื่องที่น่าโกรธยิ่งไปกว่านั้น คือ การที่รุ่นพี่บริหารไม่คิดจะตอบโต้เลยสักนิด เด็กวิศวะจึงรีบย้ายกายหยาบไปนั่งซึมซาบบทสนทนาของสองหนุ่มต่างวัย ณ โต๊ะตัวติดกันที่เยื้องไปทางด้านหลังของสถานที่เกิดเหตุโดยไม่ทันคิดหน้าคิดหลัง

“ไม่เอา! พอแล้ว พิชญ์กินเองได้!”  
“ฮื่อ! อย่าดื้อกับป๋าสิ พิชญ์ก็รู้นิว่าป๋าไม่ชอบเด็กดื้อ” น้ำเสียงอ่อนหวานของชายแก่นิรนามทำให้เดียวรู้สึกคลื่นเหียนอย่างไรบอกไม่ถูก

ป๋าเหรอ? ถ้าอย่างนั้น พี่พิชญ์ก็ต้องเป็นเด็กเสี่ย...
บ้า! มันจะเป็นไปได้ยังไง คนสติดี ๆ ที่ไหนจะอยากเลี้ยงต้อยเด็กมือหนักตีนหนักอย่างพี่พิชญ์กันวะ?

“พิชญ์อายเขานะป๋า พิชญ์โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงแล้วนะ ป๋าเลิกทำแบบนี้กับพิชญ์เสียทีได้ไหม!
“แต่ป๋าเหลือพิชญ์อยู่คนเดียว พิชญ์อย่าใจร้ายกับป๋าเลยนะ ยิ่งตารางเวลาป๋าไม่ตรงกับพิชญ์ด้วย อยู่กันมาตั้งนานยังไม่รู้อีกเหรอว่า กว่าป๋าจะปลีกตัวมากินข้าวกับพิชญ์ได้แต่ละครั้งน่ะไม่ง่ายเลยนะ”

อยู่กันมาตั้งนานหมายความว่ายังไง? พี่พิชญ์คบกับไอ้แก่นี่มาตั้งแต่เมื่อไร?
แล้วถ้าเป็นเด็กเสี่ยจริง ๆ ทำไมพี่พิชญ์ถึงต้องเดือดร้อนเวลาผู้ชายอื่นโดนตัว?
ของมันน่าจะเคย ๆ อยู่แล้วไม่ใช่เหรอวะ?

“เฮ่อ!” เจ้าของเสียงคุ้นหูถอนหายใจยาวแล้วนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยคำ “เพราะป๋าเป็นเสียแบบนี้ไง พิชญ์ถึงไม่อยากออกไปไหนมาไหนกับป๋า!
“อย่าทำหน้างอสิครับพิชญ์ ยิ้มให้ป๋าเถอะนะ”
“จิ๊!
“ป๋ารักพิชญ์นะครับ”

โหไอ้โคแก่! พูดมาได้ไม่อายปาก!
รักงั้นเหรอ? อี๋! อุบาทว์ว่ะ! ความรู้สึกว้าวุ่นในใจทำให้เด็กวิศวะเผลอกำหมัดแน่นเสียจนเส้นเอ็นหลังมือโดดเด่นเป็นสง่าดูน่ากลัว

“รู้แล้วล่ะน่า!
“รู้แล้วอะไร?” อยู่ ๆ น้ำเสียงของชายนิรนามก็ฟังกระด้างหูผิดกับเมื่อตอนเจ้าตัวพูดจาออเซาะเมื่อสักครู่แบบลิบลับ “บอกรักป๋าก่อน วันนี้พิชญ์ยังไม่ได้บอกรักป๋าเลยนะ เร็ว!

เฮ่ยไอ้โสมพันปี! มันชักจะมากไปแล้วนะเว่ย!!

“เออ ๆ ! ก็ได้ ๆ พิชญ์รั...”
“ทนฟังไม่ไหวแล้วโว้ย! จะมีความสุขอะไรกันนักกันหนา!!” ก่อนต้องทนฟังคำแสลงหู หนึ่งเดียวก็ดีดตัวออกจากที่นั่งพร้อมกับตั้งท่าไฝว้จากนั้นจึงหันไปตวาดคนหน้าไม่อายทั้งสอง

“เห?!” ชายนิรนามอุทานด้วยความตกใจ พอ ๆ กับเด็กบริหารที่ผุดลุกขึ้นยืนชี้หน้าต้นเสียงพลางก่นด่าต้นเสียงซ้ำไปซ้ำมาด้วยอาการติดอ่างเฉียบพลัน

“เฮ่ย! มึง มึง มึง!

“แหม! ทีกับผู้ชายคนอื่นทำเป็นเล่นตัว แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้” เฟรชชี่แดกดันพร้อมกับปรายตามองเหยียดคู่อริรุ่นพี่ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ใด ๆ “หึ! ที่แท้ก็ชอบพวกแก่ ๆ นี่เอง!

“ไหนใครแก่? โต๊ะนี้ไม่มี๊!” ไม่ต้องสืบเลยว่าเสียงสูงแปดหลอดนี่เป็นของใคร เพราะต่อให้รวมอายุของนายหนึ่งเดียวกับพิชญ์เข้าด้วยกัน ยังไม่เทียบเคียงกับขวบปีที่ชายนิรนามตรงหน้าลืมตาดูโลกอยู่ดี

หลังจากตกอยู่ในภาวะตะลึงตะลานอยู่หลายนาที ที่สุดแล้วเด็กปีสามก็ได้สติ “ไอ้เหี้ยเดียว! มึงแอบตามกูมาเรอะ?!

“โฮ้ย! หลงตัวเองเกินไปหรือเปล่าคร้าบ? คนอย่างผมเนี่ยนะจะคอยตามโอจิค่อนอย่างคุณต้อย ๆ เฮอะ! ผมพาหญิงมาเดทเหอะ![หมายเหตุ: โอจิค่อน - พวกนิยมผู้ชายที่อายุมากกว่าตัวเอง]

“เดทเรอะ?” รุ่นพี่พ่นลมหายใจฟึดฟัดพลางกวาดตามองหาหลักฐานอย่างถ้วนถี่ “ถุ้ย! มึงอย่ามาตอแหลดีกว่า!

“ฮื่อพิชญ์ พูดจาไม่เพราะเลยครับ!

“เฮ่อ!” พิชญ์กลอกตามองหน้าเจ้าของเสียงห้ามปรามอย่างเหนื่อยหน่าย หากแต่กลับไม่มีการลงโทษใด ๆ ตามมาอย่างเป็นชิ้นเป็นอันเหมือนกับที่เด็กวิศวะแอบคิดฝันเอาไว้ แถมยังเป็นเขาเสียอีกที่โดนหางเลขเข้าไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “ไอ้คนโกหก! ไหนล่ะผู้หญิงที่มากับมึง กูเห็นมึงยืนโชว์โง่อยู่คนเดียวเนี่ย!

“ก็เพราะพี่นั่นแหละ ถ้าพี่ไม่มัวแต่อี๋อ๋อกับตาเฒ่าตัณหากลับนี่ ผมก็ไม่ต้องคอยมองพี่จนน้ำปั่นเขางอนผมไปถึงไหน ๆ หรอก!” ความที่โดนโทสะครอบงำจนหน้ามืดตามัว เฟรชชี่วิศวะจึงปัดสวะให้พ้นตัวอย่างหน้าด้าน ๆ

“หนอย! กูจะอี๋อ๋อกับใครแล้วมึงเสือกอะไรด้วย?” เด็กบริหารตบโต๊ะพลางผรุสวาทด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “แล้วนี่ก็พ่อกู มึงไม่รู้ก็อย่ามาเที่ยวพูดดีกว่า!

“พ่อ?!” จุด ๆ นี้ นายหนึ่งเดียวถึงกับเข่าอ่อนจนอยากจะเป็นลมเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ในเมื่อกายละเอียดยังไม่สละร่าง ชายหนุ่มจึงได้แต่ยืนหันรีหันขวางระหว่างที่มองหน้าชายนิรนามสลับกับพิชญ์ด้วยสายตาสุดทึ่ง “นี่พ่อพี่เหรอ?”

“ก็เออดิ! ตามึงบอดหรือไง? หน้าเหมือนกันขนาดนี้คงเป็นคนขายประกันมั้ง!

“ฮื่อพิชญ์ ไม่เอา ไม่ก้าวร้าวครับ”

“ก็ดูปากมันดิป๋า!

คุณพิทักษ์บึนปากเบ้หน้าใส่ลูกชายก่อนจะหันไปหาไก่ตาแตกที่ยืนเซ่ออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล “นี่คุณพิทักษ์เป็นป๋าของน้องพิชญ์ครับ” หลังจากแนะนำตัวเองเสร็จสรรพ คนโตกว่าก็เริ่มซักไซ้นายหนึ่งเดียวด้วยความสนอกสนใจทันที “แล้วเราล่ะเป็นใคร ทำไมถึงมายืนหึงหวงพิชญ์ของป๋าออกนอกหน้าได้?”

“เฮ่ยป๋า! ป๋าพูดอะไรของป๋าเนี่ย?!
“อะไร?! หึงเหิงที่ไหน? ใครหึง? ไม่มี๊!” ดูเหมือนอาการเสียงสูงจะเป็นโรคติดต่อ เพราะเด็กวิศวะเองก็เพิ่งจะโก่งคอ ส่ายหัว อีกทั้งยังโบกมือปฏิเสธคำครหาอย่างจ้าละหวั่นเหมือนกับตอนที่บิดาของพิชญ์บอกปัดความแก่ชราของตัวเองไม่มีผิดเพี้ยน

“เอาล่ะ ๆ ไม่หึงก็ไม่หึง แต่ตอนนี้ ป๋าว่าเรานั่งกันก่อนเถอะนะ ขืนพิชญ์กับเพื่อนยืนนาน ๆ คนอื่นคงจะมัวมองพวกเราจนไม่เป็นอันกินข้าวแน่ ๆ สงสารเขาออกเนอะ” ว่าแล้ว คุณพิทักษ์ก็หันไปหาเหล่าพยานผู้เห็นเหตุการณ์พร้อมโปรยยิ้มการค้าก่อนขยิบตาตบท้าย “แฟนลูกชายเขาขี้หึงน่ะครับ เชิญรับประทานอาหารกันต่อเถอะครับ"”

“ป๋า! พูดอะไรน่ะ? ไม่อายคนอื่นบ้างรึไง?” เสียงโวยวายของลูกชายเรียกรอยยิ้มน้อย ๆ ให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนเป็นพ่อ กระนั้น ผู้มากอาวุโสที่สุดในโต๊ะกลับไม่ใส่ใจ หนำซ้ำยังกวักมือเรียกพนักงานให้มารับออเดอร์เพิ่มสำหรับอาคันตุกะของลูกชายอีกต่างหาก




|| ช่วงเวลาเดียวกัน ||

“นี่เราจะไปไหนกันเหรอยิม? แล้วทำไมต้องให้พี่ชายแต่งตัวพร้อมไปทำงานตอนนี้ด้วยล่ะ?” ระหว่างที่กำลังรอให้รูมเมทถอยรถมอเตอร์ไซค์คันเก่งออกจากซองจอด ชายชาตรีก็อดถามขึ้นไม่ได้

“พี่ชายไม่หิวข้าวเหรอครับ?” ยิมถามพลางยื่นหมวกนิรภัยให้

“ก็นิด ๆ แล้วล่ะ” สายเปย์อมยิ้มด้วยความขวยเขิน เพราะเกิดนึกขึ้นได้ว่า ผลพวงที่ตามมาจากอาการหิวโหยครั้งล่าสุด ช่างวาบหวิวหวามไหวมากมายเพียงไร

“งั้นก็รีบขึ้นรถเถอะครับ ผมจะได้พาไปกินข้าว” ยาจกหน้าหนวดตบเบาะด้านหลังเบา ๆ เพื่อสำทับคำเชื้อเชิญ

“ได้ ๆ ”

แม้ปากจะตอบรับ แต่คนโตกว่ากลับเก้ ๆ กัง ๆ จริงอยู่ที่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซ้อนท้ายรถที่เด็กปีหนึ่งขับขี่ แต่หลังจากเหตุการณ์ระทึกใจในห้องน้ำโรงเรียนประถมเมื่อวานอวสานแบบสุขสมหวังกันทุกฝ่าย ชายชาตรีก็ยิ่งรู้สึกประหม่าเขินอาย ยิ่งเวลาที่ต้องเข้าใกล้รุ่นน้องต่างคณะดังเช่นสถานการณ์ตรงหน้าด้วยแล้วล่ะก็...

ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ท่วงท่าในการนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์มันล่อแหลมเกินไปล่ะ เกิดวันนี้ศูนย์ถ่วงเขาไม่เข้าที่ ทรงตัวไม่ได้ แผ่นหลังกว้างใหญ่ของอีกฝ่ายคงจะบดขยี้ถูไถเข้ากับหน้าอกหน้าใจของเขาจนแหลกเหลวไม่เหลือชิ้นดีแน่ ๆ

เห็นหน้าตาอย่างนี้ พี่ชายก็มีพ่อมีแม่นะ
เด็กหนวดจงอย่าหวังว่าจะได้ลวนลามพี่ชายบนอานมอเตอร์ไซค์ง่าย ๆ สิ

“ทำไมถึงไม่ยอมนั่งเสียทีล่ะพี่? หมวกติดอีกแล้วเหรอครับ?”

ไม่มีใครในโลกนี้ที่รู้ว่า การยืนมะงุมมะงาหราทำท่าป้ำ ๆ เป๋อ ๆ อยู่นี่คือแผนการล่อลวงผู้ชายอย่างเหนือชั้นของสายเปย์จริงหรือไม่ เพราะแทนที่จะได้ใช้เวลาเลือกเหลี่ยมมุมในการคร่อมท้ายมอเตอร์ไซค์รุ่นดึกเพียงลำพัง โชเฟอร์กลับเอี้ยวตัว หันกลับมาช่วยจัดหมวกกันน็อกแถมยังส่งสายตาหยาดเยิ้มมองประสานมาเสียอีก

แต่ก่อนที่ชายชาตรีจะเขินจนตัวแตก เสียงคลิกของตัวล็อกตรงใต้คางก็เปิดโอกาสให้รุ่นพี่เอาตัวรอดได้อย่างหวุดหวิด “เรารีบไปกันเถอะ พี่ชายเริ่มหิวแล้วล่ะ”

“ครับ” เด็กวิศวะยิ้มรับพลางกวาดตามองใบหน้ากึ่งดำกึ่งแดงของสายเปย์อีกครั้งก่อนจะหันกลับไปตั้งใจทำหน้าที่สารถีที่ดีทันทีที่สก๊อยร่างน้อง ๆ หมียอมทรุดตัวนั่งลงยังที่ประจำ

ทว่าก่อนที่สองล้อปุโรทั่งจะออกร่อน ยิมก็รวบรวมความกล้า เลื่อนมือไปคว้าแขนอีกฝ่ายมาพันตวัดไว้รอบเอวแล้วอธิบายเสียงแผ่ว “เกาะผมไว้นะพี่ เดี๋ยวพาซิ่ง”

ประหลาดเหลือเกินที่วันนี้ เสียงเครื่องกระตุกเป็นระยะ ๆ หรือกระทั่งเสียงเบิ้ลน้ำมันที่เคยน่ารำคาญ กลับดังสู้เสียงตึกตักของหัวใจสองดวงไม่ได้ ยิมตั้งอกตั้งใจบังคับมอเตอร์ไซค์ไปเงียบ ๆ เหมือน ๆ กับสายเปย์ที่ปล่อยให้หัวใจเต้นตึงตังคลอไปกับเสียงล้งเล้งของเครื่องยนต์

$$$$$$$$

“แล้วสองคนไปทำอีท่าไหนถึงมารู้จักกันได้ล่ะ?” คุณพิทักษ์เปิดปากซักเด็กหนุ่มแปลกหน้าทันทีที่อาหารมาเสิร์ฟครบสำรับ  

“พิชญ์อยากรู้จักเด็กเหี้ยอย่างมันที่ไหนล่ะป๋า!” รุ่นพี่ร่างสันทัดแหวใส่น้องปีหนึ่งอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมจนคนเป็นพ่ออดรนทนไม่ได้

“พิชญ์ ป๋าบอกว่าไงครับ?” คุณพิทักษ์กดตาต่ำเพื่อมองหน้าทายาทอย่างมาดหมาย

“...”

“ยังไงลูก?” พิชญ์ยอมรับตามตรงว่าเสียงเข้ม ๆ ของบิดา ไม่น่าเกรงขามเท่ากับสรรพนาม ลูก เลยสักนิด ลองว่าคุณพิทักษ์เรียกเขาด้วยคำนี้เมื่อไร แปลว่าขาข้างหนึ่งของชายหนุ่มได้เยื้องย่างเข้าสู่ปรโลกเป็นที่เรียบร้อย

“เวลาอยู่กับป๋า ห้ามพูดคำหยาบครับ” เด็กบริหารอ้อมแอ้ม

“เก่งมากครับเด็กดีของป๋า” สิ้นคำ ผู้เป็นพ่อก็ลูบหน้าลูบตาเลือดในอกอย่างละมุนละไม แถมยังทิ้งท้ายด้วยการสูดดอมหอมผมด้วยความรักใคร่จนนายหนึ่งเดียวรู้สึกตะครั่นตะครออย่างไรบอกไม่ถูก “ว่ายังไงครับหนึ่งเดียว รู้จักพิชญ์ของป๋าได้ยังไง?”

สายตาทรงอำนาจผิดกับมาดอาเสี่ยที่คุณพิทักษ์ทอดมองเขาโดยไม่ไหวติง ทำให้เด็กวิศวะรีบเท้าความถึงที่มาของตัวเองตามความเป็นจริงไม่หมกเม็ด “ผมกับพี่พิชญ์ไปกินเหล้ากันครับ บังเอิญคืนนั้นพี่พิชญ์เมามาก ผมเลยพาพี่พิชญ์กลับไปนอนที่คอนโดด้วย”

ในฐานะผู้ถูกพาดพิง พิชญ์ยืดตัวขึ้นแล้วนั่งหลังตรงพร้อมกับทำหน้านิ่ง หากแต่ในใจกลับสวดมนตร์ภาวนาอย่างบ้าคลั่งด้วยหวังให้เด็กปีหนึ่งไม่เล่าแฉลบไปถึงเหตุการณ์ช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้น ขืนคุณพิทักษ์รู้ว่าเขากับไอ้การ์ตาร์นอนแก้ผ้ากอดกัน คุณพิทักษ์ต้องเอาเขาตายแน่ ๆ

“แล้วไปกินเหล้ากันมาเมื่อไรเหรอครับ?”

“ราว ๆ สามอาทิตย์ได้แล้วครับคุณพ่อ” นายหนึ่งเดียวอาศัยความเป็นกันเองของผู้อาวุโสกระชับความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายเสร็จสรรพ

“อ๋อ! คืนนั้นนั่นเองที่พิชญ์ไม่กลับบ้าน” คุณพิทักษ์พยักหน้าเออออแล้วจึงหันไปตำหนิลูกชาย “ต่อไปเวลาจะเมาก็โทรมาบอกป๋าหน่อยนะครับว่าจะไม่กลับบ้าน รู้ไหมคืนนั้นกว่าป๋าจะได้นอนก็เกือบเช้าแน่ะ”

“ป๋าไม่ได้นอนตอนเช้าอยู่แล้วเรอะ?!!” พิชญ์สวนบิดาทันควัน เพราะอาชีพเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยนกับทองคำล่วงหน้า สลับกับปล่อยไอเทมเกมบนอีเบย์ ทำให้คุณพิทักษ์สมัครใจที่จะทำงานช่วงกลางคืนตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา คำโกหกที่พ่อเพิ่งเอ่ยออกมาจึงไม่มีความหมายแต่อย่างใด

“เบื่อจริงคนรู้ทัน!” คนแก่ทำปากอูดใส่ลูกชายก่อนจะหันกลับไปคุยกับนายหนึ่งเดียว “ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยดูแลพิชญ์แทนป๋า ต่อไปถ้าพิชญ์ไปกินเหล้าอีก ฝากหนึ่งเดียวคอยดึง ๆ พี่เขาไว้หน่อยนะครับ ป๋าไม่อยากให้พิชญ์เมามาก มันเสียสุขภาพ”

สิ้นเสียงฝากฝังของบิดา เด็กปีสามก็เลิกรักษามารยาทบนโต๊ะอาหารโดยสิ้นเชิง “จะบ้าเหรอป๋า! เรื่องอะไรพิชญ์จะไปกินเหล้ากับคนไว้ใจไม่ได้อย่างมันอีก!” แต่ทันทีที่โดนกล่าวหา เด็กวิศวะก็รีบแก้ต่างทันควัน
“ผมเปล่าไว้ใจไม่ได้นะครับคุณพ่อ พี่พิชญ์เข้าใจผมผิดไปเองทั้งหมดเลยครับ!
“หนอยไอ้สร้างภาพ! อยู่ต่อนหน้าผู้ใหญ่ทำมาเป็นพูดดี! ถ้ามึงไว้ใจได้จริง ๆ ทำไมมึงต้องแก้ผ้ากูด้วย?!” 
“ผมไปแก้ผ้าพี่ตอนไหน? คืนนั้นพี่ถอดของพี่เองทั้งนั้นนะเว่ย!”   
“แล้วมึงมากอดกูทำไม? เสื้อผ้าก็ไม่ใส่ ลามกจกเปรตทุเรศอัปปรีย์ไม่แบ่งใครเลยนะมึงน่ะ!
“ผมใส่บ็อกเซอร์นอนเหอะ! เหน็บแนมรุ่นพี่ได้ไม่เท่าไร เฟรชชี่ก็สาวไส้ชะตากรรมสุดอนาถาของตัวเองออกมาให้โลกต้องหลั่งน้ำตาตามอย่างห้ามไม่ได้ “พี่นั่นแหละ มานอนห้องคนอื่น ๆ แท้ ๆ แต่กลับฟาดหน้าผมจนสลบ...” เดียวเสตามองพื้นพลางบ่นอุบอิบ “ขอบคุณสักคำก็ไม่มี”  

สายตาเพ่งเล็งของบิดาทำให้พิชญ์ออกอาการร้อนรน “ป๋าอย่าไปฟังมันนะ! มันโกหก!

“ฮื่อ พิชญ์จะห้ามไม่ให้ป๋าฟังหนึ่งเดียวจริง ๆ น่ะเหรอลูก? พิชญ์ไม่กลัวป๋าเข้าใจผิดว่าพิชญ์แอบไปมีอะไรกับหนึ่งเดียวลับหลังป๋าเหรอครับ?” คุณพิทักษ์จับจ้องทายาทด้วยสายตาเฉียบคมคล้ายเหยี่ยว... ที่ถามนี่ไม่ใช่อะไร แค่เขาอยากให้เลือดเนื้อเชื้อไขไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อนจะรวนคนอื่นไปเรื่อยเปื่อย

“ป๋าจะบ้าเรอะ?! พิชญ์เนี่ยนะจะไปมีอะไรกับไอ้เด็กนี่!

ในเมื่อพิชญ์จงใจบิดเบือนความจริง ก็ไม่มีประโยชน์ที่คุณพิทักษ์จะต้องรับฟัง ชายวัยกลางคนหันไปพึ่งพาเด็กวิศวะที่นั่งมองพวกเขาส่งสายตาห้ำหั่นกันด้วยสายตาทึ่ง ๆ “หนึ่งเดียวรู้ใช่ไหมว่าพิชญ์ของป๋าเนื้อหอม?”

“ก็พอรู้อยู่บ้างอ่ะครับ” แม้จะยังไม่ประจักษ์ถึงความจริงข้อนี้ดีนัก แต่เฟรชชี่กลับปฏิเสธเรื่องฟรายเดย์ได้ไม่เต็มเสียง

“หนึ่งเดียวเชื่อไหมว่าตั้งแต่เข้ามหาลัยมา หัวกระไดบ้านป๋าไม่เคยแห้งสักวัน” คุณพิทักษ์มองหน้าคู่สนทนาด้วยสายตาเคร่งเครียด “ที่มา ๆ เนี่ยก็ผู้ชายทั้งนั้น ผู้หญิงไม่มีสักคน”

“เหรอครับ?!” เดียวอดตกใจไม่ได้เพราะชายหนุ่มไม่คิดว่า มนุษย์หน้าตาเรียบ ๆ ออกไปทางหยิ่ง ๆ จะมีเสน่ห์น่าช่วงชิงมาเป็นคู่ครองถึงปานนี้ กระนั้นอีกใจกลับคล้อยตามคำของคุณพิทักษ์ไปเต็ม ๆ

อาจเป็นเพราะจมูกรั้น ๆ ดวงตาร้าย ๆ กับท่าทีผยอง แถมยังดื้อดึงไม่เป็นสองรองใครนั่นก็ได้มั้งที่ทำให้เขาสนใจอีกฝ่ายมากขึ้นทุกที ๆ  

“ก็ใช่น่ะสิ!” คุณพิทักษ์รับคำอย่างออกรสออกชาติ “แรก ๆ ก็ไม่มีอะไรหรอก หลัง ๆ ดันมีพวกสตอล์กเกอร์ปนมาด้วยสองสามคน พิชญ์ของป๋าเลยกลายเป็นพวกหวาดระแวงผู้ชายแปลกหน้าไปเลย”

“...อ๋อ ครับ...” พอได้ยินแบบนี้เฟรชชี่รูปงามก็เริ่มเข้าใจ และเห็นใจรุ่นพี่ต่างคณะมากขึ้นเป็นเงาตามตัว กระนั้นเดียวกลับอดคิดไม่ได้ว่าคนใกล้ตัวพิชญ์อย่างคุณพิทักษ์เองก็ด้วย ที่น่าจะช่วยส่งเสริมให้อาการที่ว่ายิ่งสาหัสสากรรจ์

“โชคดีที่ป๋าส่งพิชญ์เรียนศิลปะป้องกันตัวตั้งแต่ตัวยังเล็ก ๆ ไม่อย่างนั้นป๋าคงเป็นห่วงพิชญ์จนไม่เป็นอันทำอะไร” บิดาของรุ่นพี่เว้นวรรคด้วยการสูดลมหายใจเข้า ออกยาว ๆ เพื่อระบายความอัดอั้นตันใจไปพร้อม ๆ กัน “แต่ถึงพิชญ์เขาจะต่อสู้เก่ง ป๋าก็ยังอดห่วงพิชญ์ไม่ได้ เกิดพลาดมาวันไหน ป๋าต้องใจสลายแน่ ๆ !

“ป๋า!” พิชญ์พยายามห้ามไม่ให้พ่อพล่ามความลับของตัวเองให้อริตัวเอ้ฟังจนหมด แต่คุณพิทักษ์กลับมิได้นำพา

“เอาอย่างนี้แล้วกันนะหนึ่งเดียว ไหน ๆ วันนี้เราก็รู้จักกันแล้ว” คนพูดสบสายตากับเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างจริงจังและตั้งใจยิ่ง “หนึ่งเดียวช่วยดูแลพิชญ์แทนป๋าเวลาที่พิชญ์ไปมหาลัยได้ไหม?”

“ห๊ะ?!
“บ้าแล้วป๋า! ป๋าก็รู้นิว่าพิชญ์ดูแลตัวเองได้? ป๋าจะฝากฝังพิชญ์กับไอ้เด็กนี่ทำไม?!
“ฮื่อพิชญ์ เชื่อป๋าสิว่าป๋าได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกของป๋าแล้ว” คุณพิทักษ์เพิกเฉยต่อสีหน้าบอกบุญไม่รับของบุตรชาย เพราะ ณ วินาทีนี้ ไม่มีใครที่จะสำคัญกับอนาคตของพิชญ์ได้มากกว่านายหนึ่งเดียวอีกแล้ว  “ว่ายังไงหนึ่งเดียว จะรับปากป๋าดี ๆ ไหม?”

“คะ คะ ครับ ดูแลครับ ผมจะดูแลพี่พิชญ์ให้ดีที่สุดเลยครับ”

“หึ หึ หึ... ดีมาก” ผู้อาวุโสแสยะยิ้มเย็นยะเยือกให้เด็กหนุ่มด้วยท่าทีพึงพอใจแปลก ๆ

อันที่จริง ต่อให้คุณพิทักษ์ไม่ได้แผ่รังสีอำมหิตแนบมากับคำขอดังกล่าว เดียวก็ตั้งใจว่าจะตอบตกลงอยู่แล้ว กระนั้น การได้เห็นป๋าของพิชญ์กระทำการคาดคั้นเขาด้วยทักษะกรรโชกอันเหนือชั้น ชายหนุ่มก็อดดีใจระคนตื่นเต้นไม่ได้ เพราะอย่างน้อย ๆ ชายหนุ่มก็เริ่มเข้าใจในความสัมพันธ์สุดประหลาดของสองพ่อลูกตรงหน้ามากขึ้นอีกหลายเท่าตัว

$$$$$$$$

“อ้าวพี่โจตู๋! เมื่อคืนพี่โจตู๋ไม่ได้กลับบ้านเหรอครับ?” ชายชาตรีทักทายซากมนุษย์กระปุกตั้งฉ่ายที่ยืนเกาผักดองใต้ร่มผ้าอย่างหน้าไม่อายอยู่ในครัวร้านข้าวต้ม  

“เออ!” โจหาวหวอดก่อนจะหรี่ตามองเด็กเสิร์ฟรุ่นน้องอย่างหาเรื่อง “เมื่อคืนกูนอนนี่ มึงมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”

“ไม่มีครับ ไม่มีปัญหาครับ!” สายเปย์หรุบตามองพื้นพลางปฏิเสธพัลวัน

“แล้วนี่พวกมึงจะรีบแห่แหนกันมาทำอะไร? เปลี่ยนที่เปลี่ยนบรรยากาศฟาดกันหรือไง?” พ่อครัวใหญ่ยิ้มร้ายก่อนจะบรรยายมโนภาพอันชั่วช้าของตัวเองออกมาเป็นฉาก ๆ “หึ! ห้องมึงมันเล็กยิ่งกว่ารังหนูนี่นะ เอากันไม่ได้กี่ท่าน้ำก็เยิ้มทั่วห้องแล้วใช่ไหมวะไอ้ยิม?”

“เก็บปากไว้กินข้าวดีไหมพี่โจ?” เด็กหนวดถามนิ่ง ๆ แต่ยิ่งยิมโกรธมากเท่าไร โจก็ยิ่งชอบใจมากขึ้นเท่านั้น

“อ่ะโห! แตะไม่ได้เลยนะ หวงขนาดนี้ไม่หากรงหาปลอกคอมาใส่ไว้เลยวะ คนอื่นจะได้ไม่ยุ่งด้วย?”

“พี่โจตู๋เขาพูดอะไรเหรอยิม?” แม้จะพอเข้าใจความหมายที่พ่อครัวใหญ่ต้องการสื่อ แต่เพื่อความแน่ใจและมั่นโหนกของตัวเองในภายภาคหน้า ชายชาตรีจึงจำเป็นต้องถามรายละเอียดจากคนต้นเรื่องอีกครั้ง

“พี่ชายอย่าไปสนใจเลยครับ พี่ชายไปนั่งเถอะ เดี๋ยวผมทำอะไรให้กินเอง” ยิมตอบเลี่ยง ๆ เพราะไม่อยากพูดคุยเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ กับอีกฝ่ายในบรรยากาศไม่เป็นใจเช่นในเวลานี้

“เออดียิม! มึงทำข้าวผัดกับต้มยำรวมมิตรนะ เดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อนแล้วจะมากินด้วย” สิ้นเสียงสั่ง โจก็เดินเกาสังคังออกไปอย่างสบายใจเฉิบ

“เฮ่อ!” แม้ใจจะอยากทำร้ายเพื่อนร่วมงานสักแค่ไหน แต่เด็กหนวดกลับทำได้แค่ถอนหายใจ ก่อนจะเดินดุ่ม ๆ ไปยังตู้แช่ของสดเพื่อเตรียมวัตถุดิบตามที่พ่อครัวใหญ่สั่ง พร้อมกับตะโกนถามชายชาตรีอย่างเอาอกเอาใจ “พี่ชายอยากกินกับข้าวอย่างอื่นไหมครับ ผมจะได้ทำให้”

“แค่ข้าวผัดกับต้มยำก็พอยิม แต่ทำเยอะ ๆ หน่อยก็ดี ยิมต้องกินเยอะ ๆ นะ เมื่อเช้ากินแค่โจ๊ก พี่ชายว่ายิมไม่น่าจะอิ่มหรอกใช่ไหม?”

ถึงจะเป็นคำพูดเรียบง่าย แต่ใจความที่สะท้อนความใส่ใจในตัวเขาเป็นพิเศษ ก็ทำให้เด็กปีหนึ่งชะโงกหน้าพ้นบานตู้เย็นเพื่อทิ้งสายตาแล้วคลี่ยิ้มพิมพ์ใจให้อีกฝ่ายชื่นชมโดยเฉพาะ “ขอบคุณนะครับที่ใส่ใจกัน”

“ยิมไม่ต้องขอบคุณก็ได้ พี่ชายเต็มใจ” สายเปย์กระอึกกระอักด้วยรู้สึกประดักประเดิดหาใดเปรียบ... เด็กหนวดนี่ยังไง? หยอดได้หยอดดี หยอดจนพี่ชายไม่รู้จะทำหน้าแบบไหนให้เย้ายวนใจไปกว่านี้แล้วนะ!

“หึ หึ นั่งดี ๆ สิครับ เดี๋ยวก็ตกเก้าอี้พอดี” คนพูดหลิ่วตาพลางยกยิ้มชวนมองให้รุ่นพี่ต้องอายม้วนต้วนไปอีกคำรบ

“...บ้า!...” เด็กบริหารอ้อมแอ้มพลางนั่งบิดไปมาจนคนมองต้องรามือ ขืนรุกหนักกว่านี้ มีหวังพี่ชายต้องตกเก้าอี้จริง ๆ แน่
.
.
.
.
.
.
“ยิม ยิมอยากเป็นวิศวกรเหรอ?” หลังจากตั้งตัวได้ ชายชาตรีก็เข้าสู่โหมดเรียนรู้ดูใจเด็กหนวดโดยพลัน

“ครับ”

“ทำไมล่ะ ทำไมถึงอยากเป็นวิศวกร?”

“ไม่รู้สิครับ ผมรู้แค่ผมชอบเคมีกับฟิสิกส์มาก ๆ แต่ผมไม่อยากสอน ไม่อยากทำงานออฟฟิศหรือขลุกอยู่แต่ในห้องวิจัย ผมอยากทำอะไรลุย ๆ มากกว่า ตอนเลือกคณะ ผมเลยเลือกวิศวะอย่างเดียวน่ะครับ” ยิมตอบพลางล้างผักอย่างตั้งอกตั้งใจ

“แล้วพอได้เรียนแล้วชอบไหม?”

“ชอบสิครับ สนุกดี” และแล้วก็ถึงคราวที่เฟรชชี่จะได้ถามกลับบ้าง เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา น้อยครั้งมากที่ทั้งสองจะพูดคุยกันด้วยเรื่องทำนองนี้ “แล้วพี่ชายล่ะครับ ทำไมถึงเรียนบริหาร?”

“ถ้าพี่ชายบอกยิม ยิมอย่ามองว่าพี่ชายไม่มีสมองนะ” ชายชาตรีช้อนตามองพ่อครัวสมัครเล่นหวาด ๆ แต่เมื่อเห็นรูมเมทไม่พูดอะไร สายเปย์หน้าเข่าจึงสารภาพบาปอย่างหมดเปลือก “พี่ชายเลือกคณะตามพิชญ์น่ะ พี่ชายไม่อยากเรียนคนเดียว พี่ชายกลัวเหงา”

“แล้วจบไปพี่ชายจะทำอะไรอ่ะครับ?” ค่าที่กัดฟันดิ้นรนด้วยตัวเองมาตั้งแต่ตัวเท่าเมี่ยง ยิมจึงอดซาวด์เสียงถึงแผนการในอนาคตของรุ่นพี่ไม่ได้

“อืม... ไม่รู้สิ พี่ชายยังไม่ได้คิดเลยว่าถ้าจบแล้วจะไปทำอะไร”

ท่าทางอิหลักอิเหลื่อของอีกฝ่ายทำให้ยิมยิ่งรู้สึกเป็นห่วงสายเปย์หนักข้อยิ่งกว่าเก่า “พี่ชายต้องเริ่มคิดได้แล้วนะครับว่าถ้าจบแล้ว พี่ชายอยากทำงานอะไร เพราะถ้าถึงตอนนั้นจริง ๆ พี่ชายจะได้ไม่เคว้งยังไงล่ะครับ”

“อืม ไว้พี่ชายจะลองคิดดูนะ” เด็กบริหารผู้ไม่รู้อนาคตเริ่มรู้สึกละอายใจที่วัน ๆ มัวแต่คิดเรื่องผู้ชาย หนำซ้ำยังติดสบายจนไม่เคยใส่ใจตัวเองอย่างจริง ๆ จัง ๆ เลยสักครั้งเดียว

“แต่ถ้าพี่ชายยังคิดไม่ออก ไว้เราค่อย ๆ ช่วยกันคิดไปเรื่อย ๆ ก็ได้ครับ เหลือเวลาอีกตั้งเกือบสองปี จะคิดไม่ออกก็ให้รู้ไป” ท่าทางห่อเหี่ยวหมดราศีของรุ่นพี่ต่างคณะกระตุ้นเด็กหนวดให้รีบปลอบขวัญคู่สนทนาโดยเร็ว

“อื้อ!” แม้จะยังหดหู่ใจไม่คลาย แต่คำว่า เราและ เรื่อย ๆ ในประโยคล่าสุดทำให้ชายชาตรีรู้สึกคล้ายกับเพิ่งถูกอีกฝ่ายขอแต่งงานไปหมาด ๆ แต่ยังไม่ทันที่เด็กปีสามหน้าเข่าจะสาดความหวานกลับคืนไปให้เด็กหนวดได้อิ่มเอมใจ เสียงของนางมารร้ายก็แผดขึ้นเสียก่อน

“พวกมึงมาทำอะไรกันตอนนี้? แล้วนี่มึงดีกันแล้วหรือไง?!” ปาณัธกวาดตามองรุ่นน้องทั้งสองอย่างขวาง ๆ

“พี่ผึ้ง?! คยองโอปป้า?!

“เออ ก็พวกกูน่ะสิจะมีใคร?! มัวแต่ตกใจอยู่นั่นแหละไอ้ชาย กูถาม ทำไมไม่ตอบ?” ตัวอ่อนมนุษย์ป้ายืนกอดอกพลางกระดิกปลายเท้าเร่งเพื่อนสนิทยิก ๆ ทว่ากลับเป็นเจ้าของร้านที่เอ่ยแทรกขึ้นกลางคัน

“อ้าว! นี่เฮียยังไม่ได้บอกผึ้งเหรอว่าวันนี้ไอ้ยิมมันจะมาหาข้าวกลางวันกินที่ร้าน?” คองเหลอหลาขณะถามไถ่หน้าตาเฉย ผึ้งจึงสนองตอบความเด๋อของคนรักด้วยสายตาจิกกัดอย่างรักใคร่ไร้ความปราถนาดีค่าที่อีกฝ่ายทำเจ้าหล่อนเสียหน้า จวบจนพึงพอใจแล้วนั่นแหละ ปาณัธจึงหันไปซักฟอกผู้ช่วยพ่อครัวต่อ

“มึงหายงอนไอ้ชายมันแล้วหรือไง? หือไอ้ยิม?”

“ครับ”

“ทีหลังถ้ามึงจะงอนไอ้ชายน่ะ ช่วยบอกมันด้วยนะว่ามึงงอนมันเพราะอะไร มันจะได้รู้ว่ามันต้องง้อมึงแบบไหน พวกกูจะได้ไม่ต้องพลอยปวดหัวตามไปด้วย!

“ทางที่ดี เฮียว่าอย่างอนกันบ่อย ๆ เลย มีอะไรก็ค่อยพูด ค่อยจากันดี ๆ จะได้อยู่ด้วยกันได้นาน ๆ ” คองเออออห่อหมกเพราะหากเลือกยิงมุกตลกเปลี่ยนบรรยากาศในตอนนี้ คงไม่ดีแน่

“ครับเฮีย”

“พี่ผึ้งกับคยองโอปป้าก็จะมากินข้าวกลางวันที่ร้านเหรอครับ?”

“จิ๊! มึงจะไม่รู้สักเรื่องจะได้ไหมวะชาย?!” เหตุที่ตัวอ่อนมนุษย์ป้าแสดงฤทธาอภินิหารอย่างยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ ก็เพราะเจ้าหล่อนอดนึกถึงจุดประสงค์ที่ทำให้ตนเองและคนรักต้องกระวีกระวาดมาที่ร้านก่อนเวลาเปิดถึงสี่ชั่วโมง... มันใช่เรื่องไหมที่หล่อนต้องตื่นนอนก่อนบ่ายสามเนี่ย?!  

“ฮื่อผึ้ง คุยกับน้องมันดี ๆ สิ” เจ้าของร้านเอาน้ำเย็นเข้าลูบพลางหันไปคุยกับผู้ช่วยพ่อครัวที่ยังยืนแกะกุ้งอยู่หน้าอ่างล้างจาน “ยิม มึงติดอะไรอยู่หรือเปล่า?”

“ผมเตรียมเครื่องทำข้าวกลางวันอยู่ครับเฮีย”

“ดี งั้นเอาของไปเก็บ เดี๋ยวไปกินข้าวกับเฮีย”

“หืม?!” สองหนุ่มรูมเมทมองหน้าเจ้านายด้วยความประหลาดใจ แต่คองก็ไม่ปล่อยให้ลูกน้องต้องสงสัยอยู่นาน

“ไปช่วยเฮียชิมแล้วเก็บข้อมูลหน่อย”

“จิ๊!” ปาณัธส่งเสียงจิ๊กจั๊กแขวะอาการท่ามากของคนรัก และก็เป็นหล่อนนี่แหละที่เอ่ยปากแย้มพรายถึงแผนด่วนที่ต้องเร่งจัดการภายในช่วงบ่ายวันอาทิตย์อันแสนสงบสุข “พวกกูจะไปสอดแนมร้านตามสั่งร้านใหม่เสียหน่อย เห็นไอ้โจบอกว่ามันจัดโปรลดห่าท้านรกจนขาประจำเราย้ายไปไปที่โน่นกันหมด!



……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

ความในใจทิ้งท้ายตามสไตล์ชายชิค ๆ :
วันนี้เพิ่งไปปล่อยนกมา ชายเลยเอาบุญมาฝาก
ขอให้แคล้วคลาดปราศจากสัตว์ปีกโดยทั่วกันนะท่านทั้งหลาย
#จบกันแค่นี้พอกันทีเจ้านกน้อย ฮิ ๆ ! / ปรายตามองเด็กหนวดในโอวาทพลางทำหน้ากรุ้มกริ่มยกยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ


 $$$$<| TBC |>$$$$







No comments:

Post a Comment