<|No.12|>
ถึงเบ้าหน้าจะไม่เร้าใจ
แต่พี่ไม่ง่ายนะครับ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
“ร้านเขาก็ใหญ่ดีออกนะครับพี่ผึ้ง”
“นี่เรียกใหญ่ของมึงแล้วเรอะชาย?”
ปาณัธส่งสายตาเชือดเฉือนไปให้เพื่อนสนิทที่เปล่งประกายโลกสวยอยู่อีกฟากของโต๊ะอาหาร
ชายชาตรีคลี่ยิ้มบาง ๆ พลางเอียงคอน้อย ๆ
ก่อนเอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่สะท้อนความคิดเชิงบวกไม่รู้จักเวล่ำเวลา
“ยี่สิบห้าโต๊ะกับเด็กเสิร์ฟสามคน
ชายว่าใหญ่ใช้ได้นะครับพี่ผึ้ง”
ได้ยินดังนั้น
ตัวอ่อนมนุษย์ป้าก็ปรายตามองโถงชั้นล่างของห้องแถวอายุราว ๆ ยี่สิบปีกว่า ๆ จำนวนสองคูหาถ้วนที่ถูกทุบรวมก่อนปรับปรุงเป็นที่ทำการร้านข้าวต้มโต้รุ่งขนาดกลางอีกครั้ง
ก่อนจะส่งสายตาชิงชังไปทักทายชายชาตรีที่นั่งสนิมสร้อยยิ้มอ้อยผู้ช่วยพ่อครัวหน้าหนวดเป็นระยะ
ๆ “มึงช่วยเลิกแอ๊บสมถะเอาใจผู้ชายแล้วแหกตาดูรอบ ๆ ใหม่อีกทีซิว่าแม่งใหญ่ได้ครึ่งของที่จอดรถร้านเราไหม”
“...เอ่อ...” หลังจากโดนเพื่อนสาวชำแหละจนไม่เหลือชิ้นดี
ชายชาตรีก็เหลือบมองเสี้ยวหน้าของยิมด้วยความประดักประเดิด... พี่ผึ้งล่ะก็ ชายไม่ได้แกล้งสมถะเอาใจยิมเสียหน่อย
ชายแค่เริ่มคุ้นเคยกับไลฟ์สไตล์เบี้ยน้อยหอยน้อยมากขึ้นต่างหาก
“เร็ว! ใช้จริตลูกคุณหนูของมึงตอบมาเดี๋ยวนี้!!” สมาชิกสตรีเพียงหนึ่งเดียวตบโต๊ะพลางตวาดแว้ด
“ร้านเราใหญ่กว่า แล้วก็สะอาดกว่าครับ”
“แค่นี้?
ที่มึงจะพูดมีแค่นี้ใช่ไหม?”
“กับข้าวที่พี่โจตู๋ทำก็อร่อยกว่าของร้านนี้เยอะเลยครับ”
ลำพังแค่ต้องรับมือปาณัธในภาวะจิตใจปกติก็ยากพอดู แต่ใครเลยจะรู้ว่า
การต้องมานั่งกินอาหารในร้านคู่แข่งร่วมกับตัวอ่อนมนุษย์ป้าซึ่งตื่นก่อนเวลาหลายชั่วโมงจะน่าสยดสยองจนต้องรีบพรั่งพรูข้อด้อยที่พอนึกออกโดยไม่อิดออด
“หึ! ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร!” กระปุกตั้งฉ่ายที่ถูกพาดพิงยืดอก
เชิดหน้ารับความดีความชอบจนนายหญิงประจำร้านอดหมั่นไส้ไม่ได้
“หุบปากไปเลย! มั่วไม่พอยังจะขี้อวดอีกนะมึงน่ะ!”
“มั่วเม่อที่ไหนกันเจ๊
แหล่งข่าวผมน่ะเฟิร์ม ๆ ทั้งนั้นนะเว่ย!”
“ไอ้ที่เฟิร์มน่ะอย่างอื่นใช่ไหม
ไม่ใช่ข่าว?” เฮียคองวางตะเกียบแล้วขัดขึ้นอย่างรู้แกว ลองว่าถ้าเจ้าตัวมัวแต่ทำชีกอใส่แหล่งข่าวแล้วล่ะก็
ข้อความที่ควรจะได้ยิน อาจจะถูกความหน้าม่อของพ่อครัวใหญ่แปลงสารจนผิดเพี้ยนไปหมด
“ใช่!” โจยิ้มพริ้มแต่แล้วก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อได้สติ
“เฮ่ย! ใช่ที่ไหนเล่าเฮีย บ้า!”
“ยังไงไอ้โจ”
ปาณัธจ้องพ่อครัวอย่างกินเลือดกินเนื้อ “เอาดี ๆ กูให้มึงตอบอีกที
เพราะถ้ามึงหลอกกูมาเสียเงินแดกข้าวร้านอื่นฟรี ๆ กูถลกหนังหัวมึงแน่!”
“จิ๊! วันก่อนผมได้ยินคนที่ตลาดเขาพูดกันแบบนั้นจริง
ๆ นะเว่ยเจ๊! เขาบอกมันทำโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมให้กินฟรีเป็นอาทิตย์
ๆ คนเลยแห่มากินกันใหญ่” โจโวยวายยกใหญ่ก่อนจะบ่นอุบอิบทิ้งท้ายด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ
“เฮียแม่งก็จริง ๆ เล้ย! เล่นอะไรไม่รู้จักเวล่ำเวลา ดูดิ๊
เสียเครดิตหมดแล้วกูเนี่ย”
“กูเล่นที่ไหน
เมื่อกี๊กูถามมึงเหอะ!”
“แน่ะ
ยังไม่สำนึกอีกนะคนเรา!”
“ไอ้โจ!!” ผึ้งคำรามในลำคอค่าที่โจหาญกล้าลามปามคนรักของตน
ทว่าคนงานปากร้ายกลับโบ้ยความผิดให้เจ้าของร้านกันดื้อ ๆ
“แต่ผัวเจ๊เริ่มก่อนนะเว่ย!”
“ไอ้โจ!” คราวนี้เป็นเสียงของคองที่ร้องขึ้นด้วยความไม่พอใจที่ปาณัธถูกกระปุกตั้งฉ่ายใช้วาจาละลาบละล้วง
“พอกันทั้งผัวทั้งเมีย!” โจกอดอกพลางสะบัดหน้ามองไปอีกทางด้วยไม่อยากเห็นทั้งผึ้งและคองอยู่ในสายตา
“คยองโอปป้าครับ
พี่ผึ้ง พี่โจตู๋ครับ”
“อะไร?!!” เจ้าของชื่อทั้งสามประสานเสียงตวาดสายเปย์เป็นเสียงเดียวจนหนุ่มบริหารผงะ
“คุยกันเบา
ๆ เถอะครับ โต๊ะอื่นมองเรากันหมดร้านแล้วครับ”
“จิ๊! พูดมากจริงมึง! ใครอยากมองก็ปล่อยให้แม่งมองไปดิวะ!” แม้ปากจะบ่นเพื่อนหน้าเข่าเป็นไฟ
แต่สุดท้ายปาณัธก็ยอมลดเสียงลงตามคำเตือน
“สรุปว่าร้านนี้ไม่ใช่ต้นเหตุจริง
ๆ ใช่ไหม?”
“น่าจะอย่างนั้นล่ะครับเฮีย”
ยิมแสดงความเห็นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเจ้าของร้านที่ยิ่งวิตกกังวลเมื่อไม่อาจสืบหาเหตุผลของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้
“เฮ่อ! แล้วขาประจำร้านเรามันหายไปไหนกันหมดว้า?”
“อย่าให้รู้นะว่าใครเป็นตัวการ
กูจะไปเอาเรื่องมันให้ถึงที่สุดเลยคอยดู!” ปาณัธหมายมั่นปั้นมือด้วยสีหน้าเอาเรื่อง ดูเหมือนว่าท่าทางหดหู่ดูหมดอาลัยตายอยากของเฮียจะส่งผลต่อความรู้สึกของสมาชิกในร้านทุก
ๆ คนเสียแล้ว กระทั่งเด็กใหม่อย่างชายชาตรีผู้มีความผูกพันกับร้านข้าวต้มเฮียคองเพียงไม่กี่อาทิตย์ก็ไม่เว้นเช่นกัน
$$$$$$$$
“อาหารที่สั่งได้รับครบแล้วนะครับ”
สายเปย์หยุดถามไถ่ลูกค้าโต๊ะหนึ่งด้วยรอยยิ้มหลังจากเวียนให้บริการทั่วร้านจนครบถ้วน
“ไม่ทราบว่ารสชาติอาหารถูกปากไหมครับ?”
“อร่อยทุกอย่างเหมือนเดิมค่ะ”
ลูกค้าประจำวัยทำงานที่มักจะมาฝากท้องช่วงเย็นพร้อมหน้าครอบครัวรับคำอย่างยิ้มแย้ม
แต่ดูเหมือนชายชาตรีจะยังไม่พอใจกับสิ่งที่ได้ยินเท่าไรนัก
“ถ้ามีอะไรที่เราต้องปรับปรุง
คุณพี่บอกผมได้เลยนะครับ”
“โอ๊ย
ไม่ต้องปรับปรุงหรอกค่ะคุณน้อง อาหารอร่อย บริการถูกใจขนาดนี้ คุณพี่ไม่หนีไปฝากท้องที่ไหนหรอกค่ะ”
เจ้าหล่อนจีบปากจีบคอด้วยสีหน้าถูกอกถูกใจกับการดูแลเอาใจใส่ระดับห้าดาวของร้านข้าวต้มข้างทางแห่งนี้เสียเหลือเกิน
“ขอบคุณมากครับ
ถ้าคุณพี่มีอะไร คุณพี่เรียกใช้ผมได้ตลอดนะครับ”
เมื่อลูกค้าทังโต๊ะพยักหน้ารับรู้
เด็กปีสามก็ปลีกตัวไปทำความสะอาดโต๊ะที่ลูกค้าเพิ่งลุกออกไปด้วยความขยันขันแข็ง
การที่ชายหนุ่มกระวีกระวาดจัดแจงความเรียบร้อยนั้น
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะข้อกำหนดของงาน และอีกเหตุผล คือ เขาจะได้ใช้มันเป็นข้ออ้างในการดอดเข้าไปแอบส่องเด็กหนวดขณะมุ่งมั่นตั้งใจทำงานสัแค่กนิดสักหน่อยก็ยังดี
“มาพี่
ผมช่วย” จังหวะที่ชายชาตรีถือถาดใส่ภาชนะเปื้อนผ่านเข้ากรอบประตูครัวเข้าไป
ยิมที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนก็ปราดเข้าไปชาร์จถาดในมือรุ่นพี่ราวกับดักรอเจอหน้าเขามาทั้งปีอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่ต้องหรอกยิม
แค่นี้เอง พี่ชายทำได้” แม้จะทัดทานอย่างไร เฟรชชี่กลับไม่ยอมเชื่อฟัง หนำซ้ำแย่งงานในมือไปจัดการให้เสร็จสรรพ
สายเปย์จึงทำได้แค่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ มองตามแผ่นหลังกว้างก่อนจะบิดเอวเอสไปมาด้วยความประหม่าเท่านั้น
“เฮ้ยไอ้ชาย
กูถามจริง ๆ เหอะวะ ที่มึงเทียวเดินเข้าครัวมาทุก ๆ
สองนาทีนี่เพราะกลัวว่ากูกับไอ้ยิมจะแอบเอากันเหรอไง?” พ่อครัวใหญ่ยืนเท้าสะเอวมองหน้าเด็กเสิร์ฟอย่างหาเรื่อง...
ไม่รู้ล่ะ จะอย่างไรวันนี้เขาก็ต้องเผือกให้ได้ว่าไอ้เด็กสองคนนี่มันเป็นอะไรกัน!!
“หืม?
เมื่อกี๊พี่โจตู๋ว่าอะไรนะครับ?”
สีหน้าเหลอหลาของชายชาตรียั่วโทสะของกระปุกตั้งฉ่ายได้ดีเกินคาด
“เฮ่อ! หน้าตาไม่เอาไหนแล้วยังฟังภาษาคนไม่ออกอีกนะไอ้ชาย!”
“พูดจาให้มันน่าเคารพหน่อยดีไหมพี่โจ”
โจยักไหล่ไม่ใส่ใจมือขวาที่ทำหน้าหงิกงอเป็นพ่อควายท้องผูก ก่อนจะหันไปโจมตีจุดอ่อนอย่างไม่ไว้ชีวิต
“ว่าไงไอ้ชาย...
มึงเข้ามาในครัวบ่อย ๆ ทำไม?” โจเดินส่ายอาด ๆ เข้าไปยืนจ้องกดดันเป้าหมายใกล้ ๆ
จนชายชาตรีลุกลี้ลุกลน
“เมื่อกี๊ชายเอาจานเข้ามาเก็บครับ”
“มึงจะโกหกใครในโลกนี้ก็ได้
ยกเว้นกู! ตอบมา! มึงมาคอยแอบด้อม ๆ มอง ๆ ครัวกูบ่อย ๆ ทำไม?” น่าแปลกที่รอบนี้
เฟรชชี่หน้าหนวดดูจะแอบพอใจกับการคุกคามชายชาตรีของพี่ที่ทำงานเสียเหลือเกิน
“...”
“หรือมึงอยากลองแดกของแปลก?”
โจยืดตัวขึ้นเพื่อส่งสายตาข่มขู่เด็กเสิร์ฟโดยเฉพาะ โชคยังดีที่ชายชาตรีช่วงสั้นกว่ายิมอยู่หลายเซน
ฯ ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องลำบากเขย่งปลายเท้าจนน่องร้าวไปก่อนแน่ ๆ “รับรองว่าถ้ามึงได้ลิ้มรสจู๋หมาฝีมือกู
มึงจะไม่อยากแตะต้องเนื้อสัตว์อย่างอื่นอีกเลย ว่าไง จะบอกไม่บอก?”
“ชายอยากเห็นหน้ายิมครับ”
ดูเหมือนเมนูสุดพิสดารที่พ่อครัวหัวป่าก์ยกขึ้นอ้างอิงจะใช้ได้ผล
เพราะสุดท้ายชายหน้าเข่าก็ยอมจำนนแก่หลักฐาน
“มึงชอบมันหรือไง?”
“...”
สายเปย์อมยิ้มอย่างเอียงอายหากแต่ไม่ตอบคำ... ทั้งที่เมื่อก่อน
การจะบอกรักใครไม่ใช่เรื่องยากแท้ ๆ แต่ทำไมพอมีเด็กหนวดเป็นคู่กรณี
เขากลับไม่มีหน้าสารภาพความรู้สึกอยากผิดผีที่มีต่ออีกฝ่ายได้ก็ไม่รู้
“ฮั่นน่อว! หน้างี้แดงเป็นดากลิงเลยน้า! เขินอ่ะดี้?” จุด ๆ นี้ บอกเลยว่า นอกจากชายชาตรีจะเขินจนตัวบิดแล้ว
เด็กวิศวะเองก็ฝืนกลั้นยิ้มจนริมฝีปากกระตุกริก ๆ เช่นกัน กระนั้นแทนที่จะหลอกถามความรู้สึกของเด็กบริหารให้ครบถ้วนกระบวนความ
กามเทพโจกลับเปลี่ยนข้างแล้วปักมีดแทงยาจกหน้าหนวดจากด้านหลังอย่างไร้ความปรานี “แล้วนี่ไอ้ยิมมันบอกมึงหรือยังว่ามันชอบมึง?”
“?!?” แม้ลึก ๆ
แล้วชายชาตรีจะพอรู้ว่าเฟรชชี่คิดไม่ซื่อกับตน
แต่เมื่อได้ฟังคำยืนยันจากบุคคลที่สามเช่นโจ สายเปย์ก็อดตาโตไม่ได้ ส่วนยิมที่แสร้งตีหน้าเฉยให้วุ่นวายก็ไม่อาจควบคุมแววตาให้นิ่งได้อย่างทุกที
ณ เวลานี้จึงมีเพียงกระปุกตั้งฉ่ายเท่านั้นที่ยังยิ้มระรื่นด้วยความเริงร่า
“แหมไอ้ชาย
ถ้ามึงไม่ใช่ควาย มึงควรจะดูออกไปนานแล้วนะว่าที่ไอ้ยิมมันงอนมึงจะเป็นจะตายมาทั้งอาทิตย์ก็เพราะมันหึง
มันหวง มันกลัวมึงจะไปนอนอ้าขาให้ผู้ชายคนอื่นล้วงเอาง่าย ๆ มึงเข้าใจกูใช่ป่ะ?”
“พี่ชาย
ไปทำงานต่อเถอะครับ เดี๋ยวพี่ผึ้งว่าเอา” เด็กวิศวะพยายามตัดจบแต่มีหรือที่พ่อครัวจะยอมสงบปากง่าย
ๆ
“แน่ะ! กูถามทำไมไม่ตอบ? มึงเข้าใจไหมเนี่ย?”
โจจิกน้องใหม่ประจำร้านไม่ปล่อย
“คระ
เข้าใจครับพี่โจตู๋”
“ดีมาก”
สิ้นเสียง กระปุกตั้งฉ่ายก็เหวี่ยงปลายแขนขึ้นตะกายโอบไหล่เด็กเสิร์ฟไว้มั่น
จากนั้นจึงยิงคำถามล้วงลูกด้วยความไวแสง “แล้วเมื่อไรมึงจะยอมให้มันเอาล่ะ?”
“หืม?!” ดวงตาเรียวเล็กเป็นเม็ดกวยจี๊ของผู้ฟังแทบจะถลนออกจากเบ้าทันทีที่ใจความดังกล่าวลอยเข้ากระทบโสต
“เอากันน่ะแม่งโคตรสนุกเลยนะเว่ย
ถ้ามึงไม่เชื่อ คืนนี้มึงกลับไปลองเอากับไอ้ยิมมันดูก็ได้!” ตัวแทนแห่งฝั่งอธรรมเกลี้ยกล่อมพลางใช้ข้อศอกกระทุ้งเอวรุ่นน้องหน้าเข่าเบา
ๆ “ลองเลย เชื่อกู แล้วมึงจะติดใจ”
“ไม่ดีหรอกครับพี่โจตู๋”
ชายชาตรีทัดทานด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ... อันที่จริง เด็กบริหารแทบไม่สงสัยในความสนุกของเพศรสเลยสักนิด
ทว่าการแต่งตั้งตำแหน่งสามีให้เด็กหนวดทั้ง ๆ ที่พวกเขาเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่เท่าไรดูจะไม่ใช่หนทางสู่ความเป็นอมตะอันยั่งยืน
“มันจะไม่ดีได้ยังไง
ใคร ๆ เขาก็เอากันโครม ๆ ฮึ?” โจชักสีหน้าอย่างหงุดหงิด
สายเปย์จึงรีบปิดฉากบทสนทนาโดยพลัน
“ชายกับยิมต้องศึกษาดูใจกันสักพักก่อนครับ
ชายไม่อยากให้ยิมคิดว่าชายง่าย” ขาดคำ เด็กเสิร์ฟหมายเลขสองก็ก้มหน้าซ่อนความเก้อกระดากแล้วจ้ำอ้าวจากไป
“พวกสอดรู้ส่วนใหญ่เดือดร้อนเพราะปากกันทั้งนั้นนะพี่โจ”
“หึ! ทำเป็นพูดดี! ทีเมื่อกี๊ทำไมมึงถึงไม่ห้ามกูเลยล่ะครับไอ้ยิม?” กระปุกตั้งฉ่ายแดกดันมือขวาด้วยสายตารู้ทัน “อ่ะโด่! จริง ๆ มึงก็อยากรู้เหมือนกันนั่นแหละวะว่าไอ้ชายมันชอบมึงหรือเปล่า กูพูดถูกใช่ไหมล่ะ?”
“...”
ยิมแสร้งถอนหายใจยาวก่อนจะหันไปอีกทางเพื่ออมยิ้มกับตัวเองอย่างลิงโลดอยู่คนเดียว
ขณะที่เด็กเสิร์ฟหมายเลขสองของร้านข้าวต้มเฮียคองกำลังจะเช็ดโต๊ะที่เพิ่งเก็บเสร็จอยู่นั้นเอง
ลูกค้าใหม่ก็ทิ้งตัวลงนั่งจับจองโต๊ะตัวดังกล่าวพลางสั่งอาหารอย่างคล่องแคล่วและคุ้นเคย
“ไอ้น้อง... พี่ขอไก่บ้านคั่ว ไส้อ่อนทอด กุ้งแช่ แก้วสาม โซดา น้ำแข็ง แล้วก็หงส์กลมนะ”
“จะรับข้าวต้มทานด้วยเลยไหมครับ?”
ชายชาตรีถามพลางจดรายการอาหารและเครื่องดื่มของลูกค้ากลุ่มดังกล่าวอย่างรวดเร็ว
“ไว้พวกพี่ค่อยสั่งอีกทีแล้วกันนะน้อง”
“ได้ครับ
ออเดอร์ของพี่มีไก่บ้านคั่วเกลือ ไส้อ่อนทอดกระเทียม กุ้งแช่น้ำปลา แก้วสามใบ โซดา
น้ำแข็ง หงส์หนึ่งกลมนะครับ”
กลุ่มชายหนุ่มพยักหน้ารับก่อนสำทับทิ้งท้าย
“พี่ขอไว ๆ หน่อยนะ หิวมากเลยว่ะ”
“ครับ
ๆ ได้ครับ” สายเปย์รับคำลูกค้าใหม่ก่อนจะรีบถือออเดอร์ล่าสุดดิ่งเข้าไปในครัวด้วยความกระตือรือล้นราวกับมีไลน์บุฟเฟ่ต์หญ้าขนวางรออยู่ด้านใน
แน่นอนว่าเมื่อหนุ่มบริหารหน้าเข่าก้าวเข้าสู่ศูนย์กลางผลิตอาหารประจำร้าน อาหารตาของชายชาตรีย่อมจะพุ่งเข้าใส่เขาด้วยความเต็มอกเต็มใจไม่แพ้กัน
“ไก่คั่วเกลือ”
ผู้ช่วยพ่อครัวตะโกนอ่านรายการอาหารในมืออย่างห้วน ๆ
ก่อนจะหันไปถามรูมเมทรุ่นพี่ด้วยน้ำเสียงอบอุ่นชวนฟังผิดกับหนังหน้าเข้ม ๆ
ของเจ้าตัวแบบลิบลับ “เหนื่อยไหมครับ?”
“พี่ชายไม่เหนื่อยหรอก
ยิมนั่นแหละ ได้พักบ้างหรือยังเถอะ?” ภายหลังจากเหตุการณ์สารภาพความรู้สึกด้วยความไม่ตั้งใจเมื่อราว
ๆ ครึ่งชั่วโมงก่อน นี่ถือเป็นครั้งแรกที่รุ่นพี่ปีสามสามารถพูดคุยกับรูมเมทได้ตามปกติโดยไม่ต้องก้มหน้ามองพื้นเป็นสรณะ
“ไส้อ่อนทอดกระเทียม”
ยาจกหนวดเฟิ้มระบายยิ้มชวนมองให้พี่ร่วมห้องอย่างไม่หวง “เดี๋ยวถ้าอีกสิบนาทีไม่มีออเดอร์
ผมจะไปนั่งพักหลังร้านน่ะครับ ถ้าพี่ชายเหนื่อย ๆ แวะมากินน้ำพร้อมกันไหมครับ?”
“สองอย่างแค่นั้นเหรอวะมึง?”
เสียงมารผจญที่ตะโกนแทรกขึ้นกลางลำทำเอายิมขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
“กุ้งแช่น้ำปลา”
เฟรชชี่ตะโกนส่ง ๆ โดยไม่ละสายตาเว้าวอนไปจากสายเปย์สักวินาที “พี่ชายจะมาไหมครับ?”
“ไม่รู้สิ
ไว้พี่ชายดูลูกค้าก่อนนะ พี่ชายไม่อยากโดนพี่ผึ้งดุน่ะ” สีหน้าหมอง ๆ
ของเด็กปีหนึ่งต่างคณะทำเอาชายชาตรีรีบออกตัว “แต่ถ้าไม่มีอะไร พี่ชายจะแวะไปหา”
“อ้าวไอ้ยิม! มาทำงานเสียทีดิวะ
หรือมึงจะรอให้กุ้งมันโดดลงคลุกน้ำจิ้มเองหรือไง?”
“ผมจะรอนะครับพี่”
เป็นเพราะเห็นยิมเอ่ยทิ้งท้ายด้วยสีหน้าอาลัยอาวรณ์
สายเปย์จึงบรรจงอัดฉีดรอยยิ้มเคลือบน้ำตาลให้คนเกิดทีหลังอย่างเต็มอกเต็มใจ
“อืม
เดี๋ยวเจอกันนะ” ว่าแล้ว ชายหนุ่มหน้าเข่าก็กลับออกไปเสิร์ฟเครื่องดื่มให้ลูกค้าโต๊ะใหม่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ฝ่ายยิมเองก็วิ่งอ้อมเคาน์เตอร์สแตนเลสกลับเข้าประจำทีด้วยท่าทีกระฉับกระเฉงผิดกับเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคน
“พี่ผึ้ง
ปิดครัวเลยนะครับ” อารามเป็นห่วงรุ่นพี่หน้าเข่าจนอยู่ไม่สุข ผู้ช่วยพ่อครัวจึงขันอาสาพาตัวเองออกมาแจ้งความเคลื่อนไหวภายในครัวแทนหัวหน้าทั้งที่ธุระไม่ใช่
อย่างน้อย ๆ เขาก็จะได้แอบสอดส่องความเคลื่อนไหวของรุ่นพี่หน้าเข่าไปในตัว...
พี่ชายติดอะไรอยู่?
ทำไมตอนพักเมื่อกี๊ถึงไม่แวะมาอย่างที่ตกลงกัน?
“อือ
ปิดเลย เหลืออยู่โต๊ะเดียวแล้ว” ปาณัธที่ย้ายเข้าไปนั่งพักในออฟฟิศอดยื่นหน้าออกมาถามรุ่นน้องที่ยืนหัวโด่บดบังทัศนียภาพของทั้งร้านไม่ได้
“มึงมายืนทำอะไร ไม่เข้าไปเก็บของรึไง?”
“พี่ผึ้งไม่ไปช่วยพี่ชายหน่อยเหรอครับ?”
เฟรชชี่ว่าพลางพยักเพยิดไปทางชายชาตรีที่ยืนชงเหล้าให้ลูกค้าโต๊ะสุดท้ายอย่างตั้งอกตั้งใจ
“โอ๊ย! จะต้องไปช่วยมันทำไม ลูกค้าแค่สามคน ถ้าไอ้ชายมันเอาตัวรอดไม่ได้
ก็ปล่อยให้มันตาย ๆ ไปซะ”
“แต่ผมว่...”
“มึงรีบเข้าไปเก็บของดีกว่า
เพราะเดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงกูก็จะปิดร้านแล้ว” สายตาละห้อยหาเป็นลูกหมาถูกทิ้งของยิมทำเอาตัวอ่อนมนุษย์ป้าอดรำคาญถึงขั้นขับไล่ไม่ได้
“ไปเสียทีสิวะ!”
“ครับ”
ทันทีที่ได้ยินประกาศิตจากสตรีผู้ไม่เป็นมิตรกับใคร เด็กวิศวะก็ยอมหมุนตัวเดินหน้าตูมกลับเข้าครัวไปอย่างไร้ทางสู้
“น้อง
ของพี่คนนี้โซดาน้ำนะ ส่วนของพี่ขอเหล้าเข้มกว่านี้อีกนิด แก้วเมื่อกี๊มันเบาไปหน่อย
ไม่ค่อยสะใจพี่เท่าไร”
“ได้ครับ”
ทันทีที่ลูกค้าโต๊ะอื่น ๆ ทยอยกันกลับบ้านไป ชายชาตรีก็ย้ายมาปักหลักคอยดูแลลูกค้าโต๊ะสุดท้ายอย่างใกล้ชิด
ชายหนุ่มรับแก้วทั้งสองใบที่ลูกค้าส่งให้พร้อมลงมือผสมเหล้าตามคำสั่งอย่างมุ่งมั่น
“น้องเพิ่งมาทำงานเหรอ?”
“ครับ”
“ตั้งแต่เมื่อไรวะ?
ทำไมพี่ไม่เคยเห็นหน้า” ลูกค้าอารมณ์ดีถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง เด็กเสิร์ฟหน้าเข่าจึงสานไมตรีตามหน้าที่อย่างไม่ลำบากใจนัก
“ผมเพิ่งเริ่มงานที่นี่ได้สองอาทิตย์ครับพี่”
“ก็พอดีกับที่มึงไปวิ่งงานที่อิสานไง”
“อ๋อ
ถึงว่าสิ!” ชายหนุ่มคนเดิมยังคงสนอกสนใจเด็กเสิร์ฟผู้ขยันขันแข็งไม่คลาย
“แล้วน้องชื่อไรอ่ะ?”
“ผมชื่อชายครับพี่”
“เรียนอยู่เหรอ?”
“ครับ”
“ปีไหนแล้วเนี่ย?”
“จะอยากรู้เรื่องอะไรของน้องมันนักหนา
เสือกไม่เข้าท่านะมึงเนี่ย” ชายหนุ่มหมายเลขสองเอ่ยขัดขึ้นอย่างไม่จริงจังนัก
“กูมันคนมนุษยสัมพันธ์ดีโว้ย
ไม่เหมือนมึงหรอก ชอบหาเรื่องเขม่นคนอื่นไปทั่ว!”
“เอ๊าไอ้ห่านี่! ปากอย่างนี้ เดี๋ยวเหอะนะ!”
“โว้ะ! พวกมึงอย่าเพิ่งตีกันสิโว้ย! มึงไม่อยากรู้แล้วหรือไงว่าน้องมันเรียนที่ไหน?”
“เออ
ๆ ถามน้องเขาต่อดีกว่า กูก็อยากรู้เหมือนกันว่าหน้าเข้ม ๆ อย่างนี้เป็นเด็กที่ไหน”
“ไม่แน่น้องมันอาจจะเรียนช่างเหมือนพวกเราก็ได้นะเว่ย”
“สรุปน้องเรียนมหาลัยหรือเปล่า?
พี่ถามได้ไหมเนี่ย?”
ชายชาตรียิ้มน้อย
ๆ ก่อนตอบคำถามลูกค้าอย่างมีมารยาท “ได้สิครับพี่ ตอนนี้ผมเรียนอยู่มหาลัยปีสามครับ”
“เหรอ
ๆ เรียนคณะอะไรล่ะ?”
“บริหารครับ”
“หู
ใช่ย่อย ๆ ” ชายหนุ่มทั้งสามมองหน้ากันพลางพยักหน้าหงึกหงักแทนการชื่นชม
“แล้วทำไมถึงต้องมาทำงานล่ะ?
ที่บ้านไม่ส่งเหรอ?”
“ครับ”
“เออดี
พี่ชอบเด็กขยัน” ประโยคล่าสุดของชายหนุ่มหมายเลขหนึ่งทำเอาสายเปย์ถึงกับชะงักค้าง
ซึ่งท่าทางตกใจดังกล่าวก็ทำให้ผู้เข้ารับบริการเริ่มรู้ตัวจนต้องรีบแก้ลำ
“ชอบสนับสนุนนะ ไม่ได้ชอบแบบอื่น ไม่ต้องตกใจ”
“ยังไงล่ะ
พูดอะไรไม่คิด ดูดิ๊ ทำน้องมันหน้าซีดหมดแล้ว!”
“ไม่เป็นไรครับ
ผมไม่ถือ” เมื่อรู้ถึงเจตนาที่แท้จริงของอีกฝ่าย ชายชาตรีก็คลี่ยิ้มรับอย่างไม่ติดใจ
แต่ก่อนที่ชายหนุ่มหมายเลขไหน ๆ จะได้ซักไซ้เด็กเสิร์ฟเพิ่มเติม
เด็กเสิร์ฟหน้าหนวดที่ไม่มีใครเคยเห็นหน้าก็โผล่เข้ามาแยกวงเสียก่อน
“ขอโทษครับ
ร้านจะปิดแล้วครับลูกค้า” แม้ยิมจะเอ่ยประโยคดังกล่าวด้วยท่าทีสุภาพ
แต่เชื่อเถอะว่าเด็กวิศวะไม่คิดที่จะซุกซ่อนแววตาไล่แขกกลับบ้านเลยสักนิด
“อ้าวเฮ่ย! นี่เที่ยงคืนแล้วเหรอวะ?”
“ก็เออดิ! พวกเรานั่งมาจะสามชั่วโมงแล้วนะเว่ย!”
“เรอะ?
สงสัยน้องมันจะชงเหล้าดีจัด กูกินซะลืมเวลาเลยว่ะ”
คำพูดเยินยอเด็กเสิร์ฟหน้าเข่าทำให้ยิมเร่งเร้าลูกค้าโต๊ะสุดท้ายโดยไม่คิดจะเว้นช่องไฟเลยสักนิด
“ขอเก็บเงินเลยนะครับ พันห้าร้อยสี่สิบหกบาทครับ”
“มายิม
เดี๋ยวพี่ชายดูต่อเอง” เด็กเสิร์ฟตัวจริงกระซิบพลางยื่นมือไปขอถาดใส่ใบเสร็จจากผู้ช่วยพ่อครัว
กระนั้นอีกฝ่ายกลับชักมือหลบไปอีกทางพลางเอ่ยเรียบ ๆ
“ไม่เป็นไรพี่
ผมอยากช่วย” เป็นเพราะสายตาเข้ม ๆ นั่นแท้ ๆ ที่ทำให้สายเปย์ล้มเลิกความคิดที่จะทัดทานอีกฝ่ายลงทันควัน
“เออน้อง
เดี๋ยวพี่ฝากเหล้าไว้หน่อยนะ วันหลังจะกลับมากินอีก”
ลูกค้าชายหมายเลขหนึ่งพูดกับชายชาตรีพลางวางเงินสดลงในถาดอย่างพิถีพิถัน
“ได้ครับ”
“แล้วก็นี่
พี่ให้” ไม่ทันขาดคำ ธนบัตรสีแดงหนึ่งใบก็ถูกยื่นจากมือชายหนุ่มหมายเลขหนึ่งส่งให้สายเปย์หน้าเข่าโดยเฉพาะ
“สู้ ๆ นะน้อง อย่าเพิ่งท้อ ตอนนี้อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ขยัน ๆ เข้าไว้ เดี๋ยววันนึงก็จะสบายเองแหละ”
“ขอบคุณครับพี่”
ชายชาตรียิ้มร่าพลางกระพุ่มมือไหว้ลูกค้าเสียใหญ่โต เพราะตามกฏของร้าน
เด็กเสิร์ฟสามารถเก็บทิปที่ลูกค้าให้ตัวเองได้โดยไม่ต้องผ่านเฮียหรือเจ๊
“เฮ่ยไม่ต้องขอบคุณ
ๆ ! ไว้วันหลังมาชงเหล้าให้พวกพี่อีกแล้วกัน
น้องชงอร่อยดี”
“ขออนุญาตเก็บโต๊ะเลยนะครับ”
“ถ้างั้นพวกพี่ไปก่อนนะ
ไว้เจอกัน”
เป็นอีกครั้งที่เฟรชชี่หน้าหนวดแทรกขึ้นอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมจนบรรยากาศอันชื่นมื่นเมื่อสักครู่กร่อยลงทันตา
ฝ่ายเด็กบริหารที่ยังปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัดก็เลือกมองข้ามสีหน้าบึ้งตึงของยาจกหนวดงาม
พร้อมกันหันไปให้ความสำคัญกับเหล่าลูกค้าตามเดิม
“ได้ครับ
ขอบคุณนะครับพี่ที่มาอุดหนุนร้านเรา” ชายชาตรีทิ้งท้ายพร้อมยกมือไหว้ส่งชายหนุ่มทั้งสามด้วยไมตรีจิตร
.
.
.
.
.
.
.
“มายิม
พี่ชายช่วยนะ” ทันทีที่ลูกค้าโต๊ะสุดท้ายคล้อยหลัง
ชายชาตรีก็หันกลับไปช่วยรูมเมทเก็บโต๊ะอย่างไม่เกียจคร้าน
แต่ยิมกลับปั้นหน้าเป็นม้าหมากรุกพร้อมบอกปัดเสียงเรียบ
“ไม่ต้องหรอกครับ
พี่ชายไปช่วยพี่ผึ้งเก็บเก้าอี้ทางโน้นเถอะ อีกเดี๋ยวเฮียก็จะปิดร้านแล้ว”
คนโดนไล่เดินโต๋เต๋ไปหาผึ้ง
ท่าทางเลื่อนลอยเป็นควายน้อยหลงทางของเพื่อนรักทำเอาปาณัธที่กำลังจัดโต๊ะและเก้าอี้สาดความรักเข้าให้อย่างจัง
“เอ้า! บ้านน่ะจะกลับไหมไอ้ชาย?”
“ครับ
ๆ ” สายเปย์หน้าเข่ารับคำพลางเช็ดทำความสะอาดโต๊ะอีกคำรบก่อนจะยกเก้าอี้ขึ้นคว่ำด้านบนโดยแอบลองมองเด็กหนวดตาไม่วาง
กระนั้นเสียงเรียกทรงพลังของตัวอ่อนมนุษย์ป้าก็ทำให้ชายชาตรีรีบหันหน้ากลับไปรับคำผึ้งแทบไม่ทัน
“ไอ้ชาย”
“ครับ?”
“คืนนี้มึงช่วยกลับไปบอกไอ้ยิมด้วยนะว่า
ตอนทำงาน ห้ามมันออกอาการหึงหวงมึงออกนอกหน้าแบบเมื่อกี๊อีก กูไม่อยากเสียลูกค้า
เข้าใจไหม?”
“หืม?”
คำสั่งของปาณัธคงจะศักดิ์สิทธิ์กว่านี้มากหากไม่โดนน้ำหนักของคำว่า ‘หึงหวง’ ทำลายล้างอย่างราบคาบ “ยิมหึงชายจริง ๆ เหรอครับพี่ผึ้ง?!!” หนุ่มหน้าเข่าจับจ้องใบหน้าของผึ้งด้วยความประหลาดใจระคนคาดหวัง
ทว่าตัวอ่อนมนุษย์ป้ากลับตั้งหน้าตั้งตาพูดถึงแต่เรื่องงานเท่านั้น
“แล้วก็...
เฮียเขาฝากชมว่าวันนี้มึงทำงานดี” ปาณัธเอ่ยเสียงแข็งเพราะเจ้าหล่อนไม่อยากให้อีกฝ่ายจับสังเกตได้ว่า
เจ้าของคำชมดังกล่าวหาใช่ใครอื่น นอกจากตัวหล่อนเอง และการที่ชายชาตรีตั้งใจทำงานเป็นอย่างดีนี่เอง
ผึ้งจึงยอมยั้งใจไม่ฝังกลบว่าที่คู่รักคู่ใหม่ที่เฝ้าหาโอกาสแอ๊วกันไปมาตลอดชั่วโมงการทำงาน
หนำซ้ำยังไว้ชีวิตเด็กวิศวะซึ่งทำเกินหน้าที่จนลูกค้าขวัญหนีดีฝ่อไปอย่างไม่น่าให้อภัยเสียอีก
“จริงเหรอครับพี่ผึ้ง?!” คำชมของหัวหน้าทำเอาเด็กเสิร์ฟมือใหม่ยืนยิ้มพลางทำตาเยิ้มเป็นประกายคล้ายควายเมาใบกระท่อม...
ไม่นึกว่าคยองโอปป้าจะเล็งเห็นความตั้งใจที่จะช่วยกอบกู้ร้านของเขาตั้งแต่วันแรก
คยองโอปป้าครับ ชายสัญญาว่าชายจะตั้งใจทำงานให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปกว่านี้อีกหลายร้อยเท่าเลยครับ!
“เออ! แต่ถ้าหลังจากนี้มึงหลงระเริงจนไม่เป็นอันทำงาน
มึงได้เจอกูแน่!” ปาณัธยกนิ้วชี้หน้าเพื่อนรักก่อนจะกำชับชายชาตรีด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“แล้วก็อย่าลืมกลับไปคุยกับไอ้ยิมให้รู้เรื่องด้วยนะ กูรำคาญ เห็นแล้วเสียสายตา!”
$$$$$$$$
“ยิม”
“ครับ?”
“ตอนก่อนร้านปิดยิมเป็นอะไร?”
ทันทีที่ทั้งสองกลับถึงห้องพัก รูมเมทรุ่นพี่ก็ปฏิบัติตามคำสั่งของปาณัธโดยไม่รอช้า
ในขณะที่เด็กวิศวะกลับยืนนิ่งไม่ต่อปากต่อคำ เห็นดังนั้น คนโตกว่าจึงว่าต่อ “พี่ผึ้งบอกพี่ชายว่ายิมเป็นแบบนั้นเพราะยิมหึงพี่ชาย”
สายเปย์หยุดหายใจพลางกวาดตามองหน้ารุ่นน้องด้วยความสงสัยระคนตื่นเต้น
“ยิมหึงพี่ชายจริงหรือเปล่า?”
“เราอาบน้ำก่อนดีไหมครับพี่ชาย
แล้วค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกที”
สีหน้าจริงจังจนน่ากลัวของเด็กหนวดทำให้ชายชาตรีไม่ต่อความยาวสาวความยืด
“ก็ได้”
.
.
.
.
.
.
หลังจากได้ใช้เวลาใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงลำพังระหว่างอาบน้ำ
ที่สุดแล้ว เฟรชชี่หน้าหนวดในสภาพใส่กางเกงพร้อมนอนเอาเสื้อยืดพาดอกพร้อมกับเดินเช็ดผมไปทิ้งตัวลงนั่งข้าง
ๆ รูมเมทที่ตั้งตารอฟ้งคำตอบอยู่บนเตียง “ผมไม่ได้หึงพี่หรอกนะครับ” ยิมเกริ่นเสียงอ่อน...
ไม่มีประโยชน์ที่จะปิดบังความรู้สึกจากสายเปย์อีกต่อไป
“อ้าวเหรอ?
ยิมไม่ได้หึงพี่ชายหรอกเหรอ?” ค่าที่คำตอบของเด็กหนวดผิดจากความคาดหวังไปหลายป้าย
ชายชาตรีจึงไม่อยากสู้สายตากับคู่สนทนาให้ยิ่งกระดาก ทว่าการเสตาเหลือบมองลงต่ำ กลับทำให้รุ่นพี่หน้าเข่าเพลี่ยงพล้ำถลำลึกลงสู่โลกแห่งซิกแพคโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเสียอย่างนั้น
“แต่ผมหวงพี่ต่างหาก”
“...” เวทย์มนตร์แห่งกล้ามเนื้อน้อยใหญ่มอมเมาสายเปย์จนขาดสติ
กายละเอียดของชายชาตรีกำลังลอยละล่องท่องห้วงมโนที่เต็มไปด้วยกล้ามโต ๆ ของยิมอย่างเป็นสุข
โอยตาย ๆ! พ่อเจ้าประคุณรุนช่องของพี่ชาย ทำไมนั่งหลังงอแล้วซิกแพคยิ่งดูชัดไปกันใหญ่แบบนี้ล่ะยิม?
ขอบกางเกงยังต่ำกว่านี้ได้อีกไหม
พี่ชายยังเห็นวีไลน์ของยิมไม่ชัดเลย!
อาการเลื่อนลอยของสายเปย์กระตุ้นให้เด็กวิศวะสารภาพความรู้สึกจนหมดเปลือก
“ผมหวงพี่ ผมไม่อยากเห็นพี่ชายยิ้มหรือหัวเราะกับใคร”
“ยิมจะหวงพี่ชายทำไม
ไม่มีใครทำอะไรพี่ชายเสียหน่อย” ในเมื่อจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ความสามารถในการเก็บงำความลับทั้งหลายจึงปลาสนาการไปในชั่วพริบตา
จึงไม่แปลกหากเด็กบริหารจะยินดีร่ายความในใจอย่างตรงไปตรงมาเพื่อแลกกับการได้ชื่นชมที่ลุ่มที่ดอนบนเนื้อตัวเด็กหนวดในระยะประชิดไปอีกนาน
ๆ
“พี่ชายอยากให้คนที่พี่ชายชอบสนใจคนอื่นมากกว่าตัวเองไหมล่ะครับ?”
“ก็... ไม่อยาก”
ชายชาตรีรำพึงรำพันเป็นนกแก้วนกขุนทอง นอกจากลูบไล้กล้ามยิมแล้ว ตอนนี้พี่ชายก็ไม่อยากทำอะไรอีกเลย
“ผมเลยไม่ชอบไงที่พี่ต้องดูแลลูกค้ากลุ่มนั้นอยู่คนเดียว”
เด็กวิศวะเอ่ยอย่างหัวเสียเมื่อหวนนึกถึงลูกค้าโต๊ะสุดท้ายที่ชายชาตรีให้การดูแลเป็นพิเศษจนน่าหมั่นไส้
“แต่มันเป็นหน้าที่ของพี่ชายนะยิม
อีกอย่างพี่ผึ้งก็ฝากพี่มาเตือนยิมว่าห้ามยิมทำท่าหึงพี่ชายอีกเพราะพี่ผึ้งไม่อยากเสียลูกค้า”
“เฮ่อ!” ยาจกหนวดเฟิ้มถอนหายใจยาวเพราะคิดไม่ตกว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไรดี
“คราวนี้พี่ชายเห็นด้วยกับพี่ผึ้งนะ
เพราะยิมก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าคยองโอปป้ากลุ้มใจเรื่องร้านมาก” ถึงแม้ความหื่นจะขึ้นตา
ทว่าชายชาตรีกลับสามารถพูดจามีสาระได้อย่างลื่นไหลจนคนฟังอดรู้สึกผิดไม่ได้
“ครับ”
“พี่ชายอยากช่วยดูแลลูกค้าให้ดี
ๆ ร้านเราจะได้มีลูกค้าเยอะ ๆ คยองโอปป้ากับพี่ผึ้งจะได้ไม่เครียด
ถ้ายิมดุลูกค้าบ่อย ๆ คงไม่ดีเท่าไร ยิมว่าไหมล่ะ?”
“โอเคพี่
ต่อไปผมจะควบคุมตัวเองให้ดีกว่านี้แล้วกันนะพี่” เมื่อได้ฟังเหตุผลของคนโตกว่า เฟรชชี่หน้าหนวดก็ยิ่งรู้สึกละอายใจกับความไม่เอาไหนของตัวเอง
กระนั้น เรื่องของชายชาตรีที่ยังไม่มีบทสรุปอย่างน่าพึงใจก็ทำให้เด็กวิศวะหน้าหงิกไม่เลิกรา
“ยิมไม่ต้องห่วงนะ
ถ้าพี่ชายชอบใคร พี่ชายจะไม่สนใจคนอื่นอีก”
“เหรอพี่?” แม้จะเริ่มเบาใจ
แต่ดวงตาคมของเด็กปีหนึ่งกลับสะท้อนความรู้สึกหนักใจอย่างชัดเจน ฝ่ายสายเปย์ที่ยังดื่มด่ำกับความล่ำของรุ่นน้องก็พร่ำเพ้อละเมอตอบคำถามของยิมโดยไม่รักษามาด
“ตอนนี้พี่ชายชอบยิมคนเดียว
แล้วพี่ชายก็จะจีบยิมมาเป็นเหนือชายของพี่ชายให้ได้”
“พี่ชายรู้ตัวหรือเปล่าครับว่าเพิ่งพูดอะไรออกมา?”
ต่อให้ดีใจที่ได้ฟังคำสารภาพต่อหน้า แต่ความกล้าบ้าบิ่นผิดวิสัยของชายชาตรีเมื่อสักครู่ก็ทำให้ยิมไม่อาจปักใจเชื่อได้ร้อยเปอร์เซนต์
“รู้สิ... พี่ก็จะจีบยิมให้ติด
แล้วพี่ก็จะพายิมไปกราบคุณชายพ่อด้วยกันไง”
“เอาจริงดิพี่?!” สาเหตุที่เด็กวิศวะเร้าหรือสายเปย์ไม่เลิกราใช่เพราะเกิดกังขาในการตัดสินใจของอีกฝ่าย
หากแต่เป็นเพราะอยู่ ๆ รุ่นพี่ก็ทาบฝ่ามือลงบนหน้าอกของเขา จากนั้นก็ขยำเอา ๆ ราวกับอกเขาเป็นดินน้ำมัน
สีหน้าเพ้อฝันจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ถูกของชายชาตรีเรียกเสียงหัวเราะจากเจ้าของหน้าอกที่ถูกย่ำยี่ได้อย่างชะงัดนัก
“ฮะ ๆๆๆ แอบบีบนมผมอีกแล้วนะพี่ชาย! ชอบมากเหรอพี่ นมผมน่ะ?”
“...ชอบ...
ชอบมาก” จนถึงตอนนี้ ชายชาตรีก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมหลุดออกจากภวังค์ สายเปย์จึงไม่รู้แม้กระทั่งว่าโดนอีกฝ่ายคว้ามือขยันไปกุมเอาไว้เสียแล้ว
“ชอบมากกว่าผมอีกเหรอครับ?”
สิ้นคำ เด็กวิศวะก็ค่อย ๆ ชะโงกหน้าเข้าใกล้กับใบหน้าของรุ่นพี่มากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ก่อนที่ระยะห่างระหว่างทั้งสองจะหดสั้นเข้าขั้นวิกฤต ภาพกล้ามหน้าอกที่พุ่งเข้าหาตัวเองในระยะประชิดจนเริ่มมองไม่ชัดก็ทำให้ชายชาตรีได้สติ
“เฮ่ย?!” สายเปย์อุทานพลางผลักหน้าเด็กหนวดไปอีกทางพร้อมกับร้องเสียงหลง
“เดี๋ยวยิม!
ไม่ได้นะ! ยิมจะทำอะไรน่ะ?!!”
“ก็ผมอยากรู้นี่ครับว่า
พี่ชายชอบนมผมมากกว่าตัวผมจริงหรือเปล่า?” ยาจกยิมยกยิ้มมุมปากด้วยความชอบใจที่ได้เห็นความหลากหลายทางอารมณ์ของอีกฝ่ายภายในช่วงเวลาเพียงไม่กี่นาที
“ไม่ได้ ๆ !
เราต้องรู้จักกันมากกว่านี้ก่อน เราถึงจะลึกซึ้งกันได้!” สายเปย์ลั่นวาจาด้วยสีหน้าเคอะเขินเต็มอัตราก่อนจะทิ้งตัวลงนอนหันหลังแล้วห่มผ้าหนีหน้าคู่สนทนาอย่างไร้ความรับผิดชอบ
“พี่ชายนอนนะ พี่ชายง่วงแล้ว!”
“หึ ๆๆ ครับ ๆ
นอนก็นอนครับ” ที่สุดแล้ว ท่าทางตลก ๆ จนดูล้น ๆ ของคนโตกว่าก็ทำให้ชายหนุ่มหน้าหนวดยอมปล่อยให้ลูกควายน้อยลอยนวลไปอีกครั้ง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
ความในใจทิ้งท้ายตามสไตล์ชายชิค ๆ :
พิชญ์เคยบอกชายว่า การที่ชายไม่หล่อถือเป็นข้อดี
เพราะมันจะช่วยกำจัดพวกที่ดีแต่คบคนอื่นโดยดูจากหน้าตาให้พ้น ๆ ไป
ส่วนจำนวนหยิบมือที่เหลืออยู่
หากไม่ใช่เพราะจำใจ ก็น่าจะเป็นคนที่มองเห็นเนื้อทองของชายอย่างแท้จริง
ซึ่งพิชญ์บอกว่า พิชญ์กับพี่ผึ้งคือคนกลุ่มแรก
$$$$<| TBC |>$$$$
No comments:
Post a Comment