หากใครไม่นิยมฉากอย่างว่า
กรุณาอ่านตอนนี้ข้าม ๆ หรือจะรออ่านตอนหน้าทีเดียวเลยก็ได้ค่ะ
แต่ขอออกตัวก่อนนะคะว่าฉาก
NC เหล่านี้อาจจะไม่ดีเท่าไร
เพราะเราไม่ถนัดจริง ๆ
(เมื่อก่อนเคยเขียนได้
แต่ตอนนี้... เฮ่อ! หนักใจมาก ๆ – บอกเลยว่าตอนนี้เราใช้เวลาเขียนอยู่
5 วัน
แต่จนแล้วจนรอดก็เคาะมาได้สั้นจึ๋งเดียว
– เขียนเสร็จถึงกับปาดเหงื่อและน้ำตา!)
รักชอบประการใด...
ฝากข้อความแทนใจเอาไว้ได้เลยค่ะ ^^
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
The 27th
Bonding
Stumbling Blocks
or Stepping Stones – that… is the question.
“วันนี้เป็นไงมั่งครับคิม?
ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือเปล่า?” ด้วงอดซักไซ้ไม่ได้เมื่อสีหน้าเหน็ดเหนื่อยของกรกฏในชุดนอนปรากฏเด่นหลาอยู่กลางจอคอมพิวเตอร์...
กะเวลาดูแล้ว ที่โน่นน่าจะเพิ่งสามทุ่มกว่า แต่ทำไมคนรักร่างเล็กถึงได้ดูอ่อนล้าขนาดนี้?!
มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นระหว่างเดินทางหรือเปล่า? หรือจะโดนพวกฝรั่งหาเรื่อง?!
“วันนี้สนุกมากเลยดิล”
พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยทิ้งตัวลงบนเตียงพลางทำหน้าชวนฝัน “เอาเข้าจริงเราว่าทริปนี้เหมือนมาเที่ยวมากกว่าดูงานนะ
แถมตอนขากลับยังได้แวะชิมไวน์ระหว่างทางด้วยแหละ”
พอนึกภาพตามคำบอกเล่า
หนุ่มร่างหมีที่กำลังยืนเท้าแขนคร่อมวิญญูเพื่อรอดูหน้าคนรักอีกฝั่งของประเทศก็หัวเราะออกมาเบา
ๆ “แล้วห้องพักล่ะครับ... เป็นไงมั่ง? นอนได้ไหม?”
คำถามดังกล่าวทำให้อริยะตรัยคนพี่ดีดตัวขึ้นนั่งทำตาวิบวับแวววาวก่อนจะสลับกล้องเป็นตัวที่อยู่ด้านหลัง
พลางวาดแขนจากซ้ายไปขวาอย่างช้า ๆ เพื่อให้คนรักทั้งสองเห็นบรรยากาศภายในห้องพักของตนได้อย่างชัดเจน
“นี่ไง ห้องใหญ่ไหมล่ะ? เตียงก็เด้งดึ๋งดั๋งน่านอนมากเลยน้า แถมในห้องน้ำยังมีอ่างจากุชชี่ให้แช่อีก...
แล้วดูตรงนี้สิ” ขาดคำ หน้าจอก็สั่นคลอนจนภาพเบลอไร้ซึ่งจุดรวมสายตาไปพักใหญ่ ก่อนที่สุดท้ายทัศนียภาพยามค่ำคืนของเมืองซึ่งแต่งแต้มด้วยแสงไฟจะโผล่ขึ้นแทนที่
“ท้าดา! เป็นไง... เห็นวิวซานฟรานฯชัดไหม...
สวยเนอะ!” เจ้าของห้องสวีทชั่วคราวชงเองตบเองเสร็จสรรพ
“อือ สวยครับ”
ด้วงรับคำอย่างโล่งใจไปอีกเปลาะ
“อาร์ท ขอบคุณมากนะที่จองห้องนี้ให้...
เพื่อน ๆ อิจฉาคิมกันใหญ่เลย” เมื่อกล้องหน้าถูกสลับใช้งานอีกครั้ง สองหนุ่มก็ได้เห็นใบหน้าหวาน
ๆ ของคนรักในสภาพโปรยยิ้มหยาดเยิ้มจนตาปิด เซอร์ไพรส์จากเต๋อทำให้กังฟูรู้สึกปลาบปลื้มและยิ่งลำพองใจไปกันใหญ่เมื่อเขาพอเดาได้ว่า
เหตุผลที่แท้จริงของห้องสวีทนี้น่าจะมาจากการที่พ่อเจ้าประคุณทูนหัวเกิดรู้สึกหึงหวงเขามากเสียจนไม่อยากปล่อยให้เพื่อนร่วมเมเจอร์ชาวอิตาเลียนสุดหล่อผู้พอใจกับทั้งสองเพศได้พักร่วมห้องกับเขาตามลำพังนั่นอย่างไร
“แล้วนี่คิมจะนอนได้ไหมครับ?
เหงาไหม?”
กรกฏยิ้มหวานก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้ามีเลศนัยจนคนฟังใจไม่ดี
“ไม่ต้องห่วงดิล... คืนนี้กว่าเราจะได้นอนคงอีกนาน”
“หืม? ทำไมครับ?”
เต๋อเอ่ยถามเสียงเข้มสวนขึ้นทันควัน ทว่าคนในจอกลับเบือนหน้าไปอีกทางพลางส่งเสียงโหวกเหวกขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“รอแป๊บ!” จากนั้นเจ้าตัวก็ก้าวฉับ ๆ ไปยังหน้าประตูพลางอธิบาย
“ก็พวกเพื่อน ๆ น่ะสิ พอทุกคนเห็นห้องคิมแล้วก็มัดมือชกบอกว่าสองคืนนี้จะมาขลุกกันอยู่ที่นี่จนถึงเช้า...
เล่นอะไรกันก็ไม่รู้ เหมือนเด็ก ๆ เลยเนอะ” กรกฏส่ายหัวพลางบ่นหงุงหงิงอย่างไม่จริงจังนักพลางเปิดประตูต้อนรับแขกหัวทองยามวิกาล
และทันทีที่บานกั้นเปิดกว้าง เสียงดังล้งเล้งของสาว ๆ ก็ดังเข้าหูหมีคู่ผู้อยู่ปลายสายแบบเต็ม
ๆ
“คิมมี่!!
ฉันนึกว่านายจะเปลี่ยนใจไม่ยอมให้พวกฉันมาปาร์ตี้ที่นี่แล้วซะอีก!” เพื่อนสนิทร่วมเมเจอร์ของอดีตเด็กวิศวะร่างเล็กส่งเสียงโหวกเหวกก่อนจะอ้าปากค้างกันดื้อ
ๆ เมื่อเห็นเพื่อนกำลังจดจ่ออยู่กับสองหนุ่มหล่อในจอมือถือโดยแทบไม่ชายตามองหน้าหล่อน “อุ๊ย!
นี่พวกเรามาขัดจังหวะนายอี๋อ๋อกับแฟนอยู่หรือเปล่า?”
แกนนำของเหล่าสาว ๆ กลุ่มใหญ่ที่หอบหมอน หอบผ้าห่มกันมาครบมือดัดเสียงถามพลางทำหน้าทะเล้นล้อเลียนเจ้าของห้องอย่างถึงพริกถึงขิงจนอริยะตรัยคนโตอดเขินไม่ได้
“หึ หึ หึ เปล่าเสียหน่อย...
เข้ามา ๆ ” หลังประโยคดังกล่าวของกังฟู หญิงสาวจากประเทศเจ้าถิ่นผู้มาเยือนก็ใช้กำลังหักหาญผ่านการจั๊กจี้เอวเพื่อนต่างชาติจนสามารถยึดครองพื้นที่สื่อได้ในที่สุด
“หวัดดีหนุ่ม
ๆ ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ... พวกเราสัญญาว่าจะดูแลคิมมี่ให้พวกนายเอง” เรเชลโบกมือไหว ๆ พลางแพนกล้องไปทั่วคล้ายกับโชว์ตัวสมาชิกสตรีทั้งหมดให้ทั้งตรินและวิญญูได้เห็นกลาย
ๆ
“ขอบใจ สองวันนี่ฝากคิมด้วยนะเรเชล”
เต๋อตอบรับด้วยความโล่งใจ... ลองว่าเจ้าหล่อนรับปากเป็นมั่นเหมาะ การไปดูงานของกรกฏคงจะไม่น่าเป็นห่วงอีกแล้ว
“โอ๊ย!
เรื่องเล็กน่าอาร์ท
รับรองเลยว่าตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ จะไม่มีผู้ชายหน้าไหนเข้าใกล้คิมมี่ของพวกนายได้เลยสักคน
บาย!” ว่าแล้วหล่อนยื่นเครื่องมือสื่อสารคืนแก่กรกฏพร้อมสั่งปร๋อ
“เอ้าเร็วคิมมี่!
บอกลาหนุ่ม ๆ ของนายได้แล้ว พวกเราจะได้เริ่มปาร์ตี้กันเสียที!”
อริยะตรัยคนพี่ยิ้มรับคำเพื่อนก่อนจะเอ่ยกับคนรักทั้งสองพลางส่งจูบปิดท้าย
“ดิล ฝากดูแลอาร์ทด้วยนะ รักดิลกับอาร์ทมากนะครับ... เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นแล้วจะโทรหาเลย
บายยยย”
“ดิล คิดอะไรอยู่?” ตรินข่มความง่วงพลางปรือตาเอ่ยถามเมื่อรับรู้ได้ว่าคนที่ตนสวมกอดนอนกระดุกกระดิกคล้ายกระสับกระส่ายมาพักใหญ่
ๆ วิญญูถอนหายใจยาวก่อนจะสารภาพหมดเปลือก
“เราคิดถึงคิมน่ะ...
ไม่รู้คืนนี้จะนอนหลับหรือเปล่า”
“เพื่อนคิมเล่นยกขโยงกันมาเต็มห้องแบบนั้น
คิมน่าจะไม่ได้นอนมากกว่านอนไม่หลับนะดิล” หนุ่มร่างหมีปลุกปลอบคนรักด้วยวาจา
รวมถึงฝ่ามือที่ลูบต้นแขนคนฟังเป็นจังหวะอย่างแผ่วเบา
“...อือ...
ก็รู้แหละ แต่พวกเรานอนด้วยกันทุกวันมาสี่ปีกว่าแล้วนะ... พอคนนึงหายไป จะให้เราไม่ใจหาย
ไม่เป็นห่วงได้ยังไงกันล่ะ” ด้วงรำพึงรำพันตามประสาขาห่วงประจำบ้าน
“เฮ่อ ไหนดิลลองบอกผมสิว่าผมควรทำยังไงเพื่อช่วยคนคิดมากให้นอนหลับได้เสียที?” อาการพะวกพะวนจนไม่เป็นอันหลับอันนอนของคนร่วมเตียงทำให้หนุ่มร่างหมีเริ่มหนักใจจนต้องคิดหาวิธีที่จะช่วยกล่อมให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้แก่อำนาจแห่งนิทรารมณ์เสียที
“นายว่าพวกเราเฟซไทม์ไปหาคิ...
อ๊ะ!” สัมผัสจู่โจมอย่างถึงลูกถึงคนทำเอาเสียงพูดขาดชะงัก ไม่บ่อยที่ตรินจะทำตัวรุ่มร่ามโดยไม่บอกเล่าเก้าสิบ
แต่แทนที่จะทวงสิทธิ์ในพื้นที่สุดหวงแหนกลับคืน อะไรบางอย่างกลับสั่งให้ด้วงเบียดกายเข้าใส่พร้อมกับหลับตา
ปล่อยตัวตามสบายจนสุดท้ายร่างกายก็บิดเร่าไปมาตามจังหวะเร็วสลับช้าของฝ่ามือร้อนระอุ
ปฏิกิริยาตอบสนองของคนรักหน้าหยกทำให้ศิษย์เก่าสถาปัตย์หลุดยิ้มชอบใจพลางกระซิบถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
“ทำแบบนี้ดีไหมครับ? หืม... ว่าไงที่รัก?”
กว่าสี่ปีที่เลยผ่าน
ตรินไม่ได้เรียนรู้ดูใจเพียงอุปนิสัยทั้งดีร้าย หากแต่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายสมชายชาตรีที่ตอบสนองอย่างยอดเยี่ยม
คือ สมบัติอีกชิ้นของวิญญูที่เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับเกือบทุก ๆ ซอกมุม จึงไม่แปลก
หากหนุ่มร่างหมีจะใช้เวลาเพียงไม่นานในการปลุกปั่นความต้องการในอุ้งมือให้คลุ้มคลั่งใกล้แตะฝั่งฝัน
กระนั้นเต๋อกลับไม่รู้เลยว่า ความปรารถนาตามธรรมชาติของตนที่บดคลึงบั้นท้ายของอีกคนโดยไม่เจตนา
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่างหากล่ะ ที่สะบั้นฟางเส้นสุดท้ายจนหยาดหยดแห่งความต้องการซ่านเป็นสาย
“นั่นอาร์ทจะไปไหน?”
วิญญูเอ่ยถามคนที่ตั้งท่าจะผละจากทันทีที่ช่วยเขาทำความสะอาดเนื้อตัวจนเสร็จสิ้น เต๋อโน้มตัวหอมแก้มคนรักแล้วจึงสั่งพลางขยับตัวพร้อมลงจากเตียง
“ดิลนอนไปก่อนเลย
เดี๋ยวผมมา” ไม่ทันขาดคำ คนฟังกลับรั้งข้อมือหนุ่มร่างหมีพร้อมแล้วแถลงไขด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม
“ไม่ต้องไปหรอก”
พร้อมกันนั้น วิญญูก็ยื่นมือไปประคองกล่องดวงใจที่สั่นระริกของเด็กเต็กเอาไว้
ก่อนจะลูบไล้จากภายนอกอย่างรู้งาน
ทว่าก่อนที่เนื้อจะล่วงล้ำเข้าขย้ำถึงเนื้อ
เด็กเต็กหน้าคมก็ตรึงข้อมือซุกซนของอีกฝ่ายเอาไว้พลางอ้อนวอน “ดิล... อย่า
เดี๋ยวผมจัดการเอง”
หากเป็นวันอื่น
ตรินคงน้อมรับน้ำใจของเด็กวิศวะโดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง แต่เมื่อไร้เงาของอริยะตรัยคนพี่ผู้ที่เปรียบสเมือนหลักยึดด้านศีลธรรมชั่วดี
การตอบรับข้อเสนอสุดเย้ายวนในค่ำคืนที่ต้องอยู่กันลำพังท่ามกลางบรรยากาศชวนเสียตัวเช่นนี้
คงไม่ดีกับทั้งตัวเขาและอีกฝ่ายสักเท่าไร
ในความมืดมน เงียบงันชวนอึดอัด
ทั้งคู่ประสานสายตากันเนิ่นนานอย่างไม่มีใครยอมใคร...
ฝ่ายหนึ่งเฝ้าเว้าวอนรให้เลิกรา
แต่อีกคนกลับส่ายหน้าไม่รับรู้ แล้วใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ปรนเปรอคนรักหน้าคมทันควัน
“ดีแลน... พอเถอะ
ได้โปรด” เป็นอีกครั้งที่เต๋อต้องรวบข้อมืออีกข้างของวิญญูเอาไว้ ชายหนุ่มอ้อนวอนอย่างอ่อนใจแทนคำส่งท้าย
“นอนนะครับ” เมื่อพูดจบ เจ้าตัวก็เดินหายเข้าห้องน้ำไปทิ้งให้อีกฝ่ายเฝ้ามองตนด้วยสายตาไม่เข้าใจอยู่บนเตียง
“ทำไมยังไม่นอนอีก?”
ตรินถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าเมื่อออกจากห้องน้ำมา ตนจะยังเห็นอดีตเด็กวิศวะไม่หลับไม่นอน...
ซ้ำร้ายอีกฝ่ายกลับนั่งกอดอกตั้งท่าพร้อมกับจ้องหน้าเขาอย่างกินเลือดกินเนื้ออยู่ตรงปลายเตียง
“...”
“ยังคิดมากเรื่องคิมอยู่เหรอ?”
เต๋อแสร้งเมินคนอมพะนำแล้วเดินเลี่ยงไปโน้มตัวลงปิดสวิตช์โคมไฟซึ่งอีกฝ่ายน่าจะเปิดทิ้งไว้
แต่แล้วคำถามตัดพ้อแกมน้อยอกน้อยใจที่ดังสวนขึ้นเป็นภาษาไทยก็ทำให้เด็กเต็กผินหน้าหันกลับไปมองคนรักแทบไม่ทัน
“มึงไม่ชอบใช่ไหม?!”
“หืม?!”
“มึงรังเกียจกูนักใช่ไหมถึงได้เดินหนีกูไปแบบเมื่อกี๊?”
แรกที่ได้ยินประโยคคำถามต่อว่าภาษาบ้านเกิดเมืองนอน เต๋อตั้งใจจะเสเปลี่ยนเรื่องด้วยการทำมึนพูดแซวอีกฝ่ายให้ตกประหม่าไม่ก็โมโหโกรธาจนเขาพอจะหาช่องบ่ายเบี่ยงได้
แต่พอเห็นหน้า เห็นสายตากลัดกลุ้มของวิญญูเข้าไป ตรินก็พ่ายแพ้หมดรูปโดยดุษณี
.
.
.
.
.
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
หนุ่มสถาปัตย์ถอนหายใจยาวเพราะรู้ดีว่านี่ไม่ใช่คำตอบที่ด้วงรอฟัง... ก็เล่นขมวดคิ้วเสียแน่นจนแทบจะเป็นปมแถมยังจ้องเขาเขม็งเสียแบบนั้นนี่นะ
ตรินไตร่ตรองสิ่งที่อยู่ในใจอยู่พักใหญ่ก่อนจะไพล่สายตาทอดมองผนังห้องนอนพลางอธิบายอ้อมแอ้ม
“ผมไม่ได้รังเกียจดิล ไม่เลย... แต่ผมแค่ไม่อยากเริ่ม... ผมกลัวใจตัวเอง ผมกลัวจะหยุดไม่ได้
ดิลเข้าใจผมนะ”
ทันทีที่คำสารภาพลอยเข้าหู
วิญญูก็โผเข้าหาร่างหนาของเด็กสถาปัตย์ราวกับอัดอั้นมานานนับปี สัมผัสอ่อนนุ่ม ชื้นฉ่ำที่กดจูบชิมลางอย่างเอาแต่ใจขับไล่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของหนุ่มหน้าคมเสียเปิดเปิง
จริงอยู่ แม้ทั้งคู่จะบำบัดความใคร่ให้กันและกันอยู่เนือง ๆ แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่ด้วงแสดงออกถึงความต้องการอย่างโจ่งแจ้งจนก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายของตรินเต้นรัวแรงแข่งกับเสียงหอบกระเส่า
ไม่กี่อึดใจให้หลัง
จุมพิตละเลียดอ้อยอิ่งผันเปลี่ยนเป็นหนักหน่วงดุดัน น่าแปลกที่รสเฝื่อนปลายลิ้นซึ่งมาพร้อมกลิ่นมินท์อ่อน
ๆ ของน้ำยาบ้วนปากกลายกลับเป็นความหอมหวานเมื่อสองชิวหาสอดประสานคลึงเคล้า เต๋อประคองท้ายทอยทุยของอีกฝ่ายให้อยู่ในองศาพอเหมาะก่อนจะบดริมฝีปากตักตวงรสหวานล้ำอย่างดื่มด่ำโดยไม่เว้นช่องไฟ
แขนอีกข้างโอบแผ่นหลังตึงแน่นเอาไว้ จากนั้นจึงค่อย ๆ เลื้อยไล้ลงต่ำสลับกับบีบขยำกล้ามเนื้อภายใต้ผิวเรียบลื่นตามความเคยชิน
จนเมื่อปมเชือกผูกเอวกางเกงนอนตัวเก่งบนร่างเขาและอีกฝ่ายถูกปลายนิ้วเรียวของวิญญูกระตุกปลดและปล่อยให้ไหลร่นหล่นกอง
ตรินก็ค่อย ๆ กดบ่าของร่างที่ยืนชันเข่าอยู่บนเตียงให้ค่อย ๆ ทอดตัวลงนอนอวดสายตา วิญญูในสภาพเปลือยเปล่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่
แต่วิญญูซึ่งกำลังส่งสายตากึ่งเชิญชวนกึ่งท้าทายมาให้เขานี่สิที่ทรงอาณุภาพทำลายล้างอย่างร้ายกาจ
กระนั้นวูบหนึ่ง ตรินกลับนึกหวั่นใจจนหลุดปากโพล่งถามอีกฝ่ายเอาดื้อ ๆ “ดิลแน่ใจนะ?”
ด้วงกดยิ้มมุมปาก
ยกตัวขึ้นตวัดวงแขนโอบรอบบ่ากว้างแล้วจึงออกแรงรั้งร่างหนากว่าให้เอนลงนอนคร่อมเหนือตนพลางกระซิบเสียงแหบพร่าน่าฟัง
“ป๊อดหรือไง?”
“ถ้าพูดดี ๆ
ไม่ได้ มึงก็นอนครางไปแล้วกัน!”
ขาดคำ อดีตเด็กสถาปัตย์ก็โน้มตัวลงฝังใบหน้าตรงซอกคอ
ซุกไซ้ ดอมดมกลิ่นกายของอีกฝ่าย ไม่ก็ลงลิ้นลับคมฟันกระทบเนื้ออ่อนในบางจังหวะที่นึกหมั่นเขี้ยวคนรักขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ
พร้อมกันนั้นก็ส่งมือหนึ่งไปเล่นหยอกล้อทับทิมเม็ดงามอย่างย่ามใจ ในขณะที่อีกข้างก็ป่ายปัดทั่วไปโดยจงใจละเลยส่วนอ่อนไหวคล้ายจะเก็บเอาไว้ชื่นชมในภายหลัง
แต่เพียงแค่นั้นก็สามารถทำให้คนใต้ร่างขนลุกเกรียวได้ทั้งตัว
อาจเป็นเพราะพาซื่อหรือจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม
แต่นับจากที่เต๋อประกาศวาทะประกาศิต นอกจากการส่งเสียงครางอย่างพึงพอใจยามที่หนุ่มร่างหมีซุกไซ้ไล้โลมเรือนร่าง
ก็มีเพียงแค่เสียงสูดลมหายใจถี่ระรัวเล็ดรอดออกจากริมฝีปากบางเฉียบเท่านั้น
วิญญูจำไม่ยักได้ว่าตนเริ่มนิยมชมชอบหนวดเคราของอีกฝ่ายตั้งแต่เมื่อไร แต่สัมผัสแข็ง
ๆ สาก ๆ ชวนจั๊กจี้ที่กดย้ำลงบนผิวกายในตอนนี้ ทำให้เขาแอ่นอกรอรับทุก ๆ สัมผัสที่อีกคนหยิบยื่นให้อย่างลืมตัวไปเสียทุกที
ตรินผละห่างพลางลากสายตามองหนุ่มวิศวะอย่างเชื่องช้าอยู่ชั่วอึดใจ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ร่างกายอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อหากแต่เพรียวกว่าของคนตรงหน้าดูเย้ายวนยิ่งกว่าหนไหน
ๆ ยิ่งเมื่อริ้วสีแดงผุดขึ้นแต้มสองปรางทันทีที่เจ้าตัวเหลือบเห็นขวดเจลผ่านหางตา
เต๋อก็แทบอดใจเอาไว้ไม่ไหว... แต่เพื่อความสุขร่วมกันในบั้นปลาย พ่อหมีหุ่นกำยำจึงรีบเบนความสนใจคนรักให้กลับมาจดจ่อกับสัมผัสชุ่มฉ่ำพลิ้วไหวที่ลากผ่ากึ่งกลางหน้าอกมุ่งลงต่ำ
พลางเตรียมความพร้อมแก่อีกฝ่ายอย่างละมุนละม่อมโดยพลัน
กระทั่งแน่ใจแล้วว่าทั้งตนและคนรักพรั่งพร้อมถึงขีดสุด
หนุ่มหน้าคมก็เลื่อนสายตาขึ้นจับจ้องใบหน้าชื้นเหงื่อด้านล่างแทนการเอ่ยคำถามไถ่ เมื่อวิญญูคลี่ยิ้มพลางพยักหน้าให้
เต๋อก็ค่อย ๆ เคลื่อนกายเข้าสู่ใจกลางความร้อนลื่นชื้นแฉะอย่างระมัดระวังจนสองร่างหลอมรวมเป็นหนึ่งในท้ายที่สุด
“เรียกกูหน่อยเต๋อ...
เรียกชื่อกู!”
วิญญูครางอย่างเว้าวอนทิ้งท้าย ก่อนที่โลกทั้งใบในกายจะเคลื่อนไหวตามเสียงเรียกร้องจากหัวใจของพวกเขาราวกับไม่มีวันสิ้นสุด
เสียงทุ้มนุ่มรัวเร็วที่ดังเป็นระยะ
ๆ กับแสงแดดที่ส่องทะลุม่านบางเข้ามาจนภายในห้องสว่างไสวยิ่งกว่าเปิดไฟทำให้อดีตเด็กวิศวะเริ่มขยับตัวยุกยิก
ฝ่ายคนที่เพิ่งโทรไปตามงานจากเพื่อนร่วมชั้นก็รีบวางหูแล้วปราดเข้ามาดูอาการของร่างใต้กองผ้านวมทันที
“ตื่นแล้วเหรอ?... ลุกไหวไหม?”
“หิวน้ำ ขอน้ำหน่อย”
คนฟังไม่รอให้วิญญูเอ่ยย้ำ ลำพังแค่เสียงแหบช้ำที่ด้วงใช้เอ่ยบัญชาก็ทำให้ชายหนุ่มหน้าคมรีบเทน้ำใส่แก้วพร้อมหลอดมาคอยท่าขณะที่เจ้าตัวค่อย
ๆ ยันตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียงพลางสูดปากเบา ๆ ให้กับความรู้สึกร้าวรานหลังการถูกพร่าอธิปไตยอย่างหนักหน่วงตลอดคืน
เต๋อเอียงแก้วพลางประคองหลอดแตะริมฝีปากแห้งผากของคนรักพลางเอ่ยอย่างเป็นห่วง
“ค่อย ๆ กิน”
.
.
.
.
.
.
.
“เต๋อ... พวกเราจะบอกฟูยังไงดี?”
หนุ่มหน้าหยกบีบแขนเต๋อหลังพรั่งพรูเรื่องคาใจออกมาเป็นคำพูด แต่นั่นกลับไม่ใช่ข้อกังวลของคู่สนทนาหน้าคม
ณ เวลานี้
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน...
เอาเป็นว่า กินข้าว กินยาแล้วนอนพักอีกหน่อย มึงตื่นอีกทีตอนไหนก็ค่อยว่ากันตอนนั้น
ตกลงไหม?”
“แต่...”
“ไม่มีแต่!” หนุ่มสถาปัตย์ขึ้นเสียงแทรกพลางถลึงตาดุ ทว่าอีกฝ่ายกลับรั้นแถมยังตั้งท่าพร้อมสู้เป็นเด็ก
ๆ
“เต๋อ!”
“หรืออยากให้กูกล่อมมึงนอนอีกรอบ?”
ถ้าไม่ใช่เพราะกำลังเขินอยู่
ด้วงคงจะตะโกนด่าตรินอย่างสาสมเมื่อได้เห็นสีหน้าเจ้าชู้ยักษ์ของอีกฝ่าย ความรู้สึกอับอายเหลือประมาณหลังผ่านค่ำคืนดุเด็กเผ็ดมันกับอีกฝ่ายมาหมาด
ๆ ทำให้คนเสียเปรียบตะโกนไล่ ก่อนจะพลิกตัวซุกหลบใต้ผ้าห่มอย่างรวดเร็วโดยหลงลืมความปวดร้าวของร่างกายส่วนที่ต่ำกว่าเอวไปชั่วขณะ
เออ ๆ เอาข้าวเอายามาเลย... กินให้มันเสร็จ ๆ ทีนี้จะได้นอนยาว ๆ !”
“อือ” หมีหน้าหยกยกหลังมือขึ้นปิดตาพลางส่งเสียงครางอย่างขัดใจเมื่อรู้สึกได้ถึงการก่อกวน
“ที่รัก
ตื่นได้แล้วครับ” เมื่อเลิกผ้าผวยขึ้นจนเนื้อตัวเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายเปิดเผยต่อสายตา
เจ้าของประโยคอ่อนหวานน่าฟังก็ถือวิสาสะไล้ปลายนิ้วไปตามร่องรอยสีกุหลาบซึ่งกระจายทั่วไปบนผิวกายนวลเนียนจากจุดสู่จุดด้วยความภูมิอกภูมิใจไม่มีใครเกิน
“ฮื่อออ ไม่เอา!... จะนอน” อดีตเด็กวิศวะยู่หน้าหยีตาก่อนจะพลิกตัวซุกเข้าหาผืนผ้านวมพลางส่งเสียงครางทักท้วง
แต่การโชว์แผ่นหลังขาว ๆ ที่เห็นไปถึงไหนต่อไหนกลับกระตุ้นให้หมีมือไวย่ามใจหนักกว่าที่เคย
“ตื่นมากินข้าวกลางวันก่อน
นะ... จะได้กินยาด้วย” คราวนี้ตรินเอ่ยชักจูงคนรักพร้อมกับกดจูบหนัก ๆ จากหัวไหล่เลื่อนต่ำไปตามแนวกระดูกสันหลังพลางลูบไล้ต้นขาอีกฝ่ายอย่างเพลินมือก่อนจะให้โอกาสวิญญูได้ตัดสินใจอีกครั้ง
“ตื่นเร็วคนขี้เซา... ถ้าไม่รีบตื่นตอนนี้ เดี๋ยวจะไม่ได้นอนอีกนานเลยนะ”
“โอเค ๆ
ตื่นก็ได้” ที่สุดด้วงก็ยอมผงกหัวแล้วหรี่ตามองหน้าเต๋ออย่างเสียไม่ได้...
เชื่อเถอะว่าถ้าไม่ใช่เพราะสัมผัสที่หมายรุกรานเขตหวงห้าม ป่านนี้เขาคงจะยังหลับอยู่แน่
ๆ
แม้จะเสียดาย
แต่เด็กเต็กก็ไม่อาจเอาเปรียบอีกฝ่ายในสภาพไม่เต็มร้อยได้ลงคอ “ลุกไปล้างหน้าล้างตาไหวไหม?
หรือจะกินบนเตียงแบบเมื่อเช้า?”
“ขอลองลุกดูก่อน”
เสียงสูดปากดังขึ้นอีกครั้งหลังจากวิญญูค่อย ๆ ยันตัวกระย่องกระแย่งลงจากเตียง ชายหนุ่มพยายามก้าวเดินอย่างเชื่องช้า แต่สีหน้าเหยเกทุกครั้งที่ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนขาแต่ละข้างก็ทำให้เต๋อปรี่เข้าไปโอบบ่ารั้งร่างคนรักหน้าหยกเข้าหาตนอย่างว่องไว
“ให้ผมประคองไปดีกว่า
ผมจะได้ช่วยหยิบจับอะไรด้วย”
“...อือ...” เต๋อลอบยิ้มมุมปากพลางเสมองไปอีกทางด้วยหวังให้คนหน้าแดงปลั่งหายประหม่าโดยเร็ว
“อาร์ท เรื่องเมื่อคืน...
พวกเราจะบอกคิมยังไงดี?” วิญญูปาดหยดน้ำออกจากตาก่อนจะแบมือรับผ้าขนหนูที่เต๋อส่งให้
อีกฝ่ายเอ่ยตอบเรียบ ๆ
“ผมก็จะบอกคิมไปตรง
ๆ นั่นแหละ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
ท่าทางไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
กับคำตอบไม่อ้อมค้อมของเด็กสถาปัตย์ทำให้หนุ่มหน้าหยกยิ่งปริวิตกไปกันใหญ่ “แต่เราว่...
“
“ถ้าคิมได้ฟังเหตุผล
คิมน่าจะเข้าใจ” ตรินชิงเอ่ยแทรกอย่างมั่นใจด้วยน้ำเสียงหนักแน่น กระนั้นคนเป็นแฟนกลับลนลานเพราะอดรู้สึกหวาดหวั่นกับท่าทีของกรกฏตามสถานการณ์สมมติที่อีกฝ่ายอ้างถึงไม่ได้...
มึงมองโลกในแง่ดีเกินไปหรือเปล่าไอ้หมี?!
“เหตุผลอะไร? เหตุผลว่าเราเสนอตัวให้นายอย่างนั้นน่ะเหรอ?!” ด้วงโต้เสียงเขียวอย่างอดรรนทนไม่ไหว...
ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีทำให้เขาเริ่มไม่กล้าสู้หน้าอริยะตรัยผู้พี่สักเท่าไร...
น่าอายเหลือเกินที่พอลองนึก
ๆ ดู เมื่อคืนเขาทำตัวเหมือนกับชู้ของตรินก็ไม่ปาน!
“ชู่ว์!
ดีแลน...
ใจเย็น ๆ เรื่องคุยกับคิม ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเถอะนะ” หนุ่มร่างหมีโอบกอดวิญญูเอาไว้พลางจูบขมับคนรักอย่างทะนุถนอม
“อาร์ท...
เราขอโทษ เมื่อคืนเราไม่น่าทำแบบนั้นลงไปเลย!”
“ที่ดิลพูดเมื่อกี๊เพราะดิลเสียใจที่เราสองคนมีอะไรกันเหรอ?”
ว่าแล้วเต๋อก็เชยคางอีกฝ่ายให้หันมามองตากันแล้วจึงถามย้ำเพื่อความแน่ใจอีกคำรบ
“หืม? ว่าไงครับ? เสียใจที่มีอะไรกับผมเหรอ?”
.
.
.
.
.
.
.
ศิษย์เก่าวิศวะชะงักไปพักหนึ่งก่อนจะใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้วให้คำตอบ
“...เปล่า... เราเสียใจที่เราลักลอบทำมันลับหลังคิม”
“หืม?!
นี่ดิลกำลังจะบอกผมว่า
ถ้าเรามีอะไรกันหน้าต่อหน้าต่อตาคิม ดิลจะดีใจงั้นเหรอ?” แหย่เสร็จสมใจ ตรินก็แยกเขี้ยวขยิบตาทำหน้าเป็นใส่คู่สนทนาที่แทบจะเต้นแร้งเต้นกาด้วยทั้งประหม่าและโมโหในเวลาเดียวกัน
“ดีใจกับผีสิ! จะบ้ารึไง?!”
“หึ หึ หึ... แต่ผมดีใจนะที่ผมได้สัมผัสดิลอย่างเมื่อคืน...
เพราะมันทำให้ผมมีความสุขที่สุด” เต๋อลักไก่ช่วงชิงลมหายใจอีกฝ่ายด้วยจุมพิตดูดดื่มจนด้วงแทบละลายก่อนจะถอนริมฝีปากจากเพียงครู่เพื่อเอ่ยถามความเห็นคนรัก
“แล้วดิลครับล่ะ... ชอบไหม?”
“...”
“หืม? ว่าไง...
ชอบไหมครับ ‘ด้วง’?” ตรินยังเฝ้าคลอเคลียไม่ห่างจากพวงแก้มของวิญญูโดยไม่ลืมกระซิบย้ำชื่อที่เขาพร่ำถึงตลอดค่ำคืนข้าง
ๆ ใบหูอย่างแผ่วเบาทำเอาอีกฝ่ายได้แต่ยืนกระพริบตาทำหน้าแดงแป๊ดอยู่นานสองนานกว่าจะควานหาเสียงตัวเองเจออีกครั้ง
“ปล่อยเดี๋ยวนี้เลย
หิว! จะไปกินข้าวแล้ว!” ประโยคกลบเกลื่อนดังกล่าวทำเอาหนุ่มหน้าคมระเบิดหัวเราะเต็มเสียง...
พอเถียงไม่ได้ ก็คิดจะเลี่ยงเหมือนทุกทีสินะ... แฟนใครวะ โคตรน่ารักเลย!!
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“ดิล”
.
.
“ดิล!”
.
.
.
.
“ดิล คิดอะไรอยู่?”
“หืม?!
เมื่อกี๊คิมว่าไงนะ?!” วิญญูสะดุ้งโหยงเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสเย็น ๆ ตรงต้นแขน
“เราถามว่าดิลมัวแต่คิดอะไรอยู่
ทำไมวันนี้เงียบ ๆ ? เรากลับบ้านทั้งที ดิลจะไม่ดีใจหน่อยเหรอ?”
“เฮ่ย!
ไม่ ๆ เราดีใจ
ดีใจมาก เราแค่คิดว่าเย็นนี้จะทำอะไรฉลองที่คิมกลับมาดีน่ะ” วิญญูปดอย่างละล่ำละลักเพราะไม่อยากให้กังฟูจับสังเกตอาการหลุกหลิกของตัวเองได้
ทว่าความพยายามดังกล่าวกลับทำให้ชายหนุ่มหน้าหยกยิ่งดูมีพิรุธไปกันใหญ่ เนื่องจากเจ้าตัวดันเผลอไผลตกอยู่ในห้วงความคิดนานเกินไปนั่นเอง
“แต่อาร์ทเพิ่งพูดอยู่หยก
ๆ เองนะว่าเดี๋ยวจะโทรสั่งพิซซ่า”
“อ้าวเหรอ?!
โทษนะ
เรามัวแต่เหม่อเลยไม่ทันฟังน่ะ”
“ช่างเถอะ
ดิลไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วแหละ... ไป! เราขึ้นข้างบนกันเถอะ” กรกฏเอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงร่าเริงระริกระรี้ผิดกับอีกฝ่ายที่ชักจะป้ำ
ๆ เป๋อ ๆ ขึ้นทุกที ๆ
“หืม?
ขึ้นข้างบน?! ขึ้นไปทำอะไรเหรอคิม?”
“ดิลนี่จริง ๆ
เล้ยยย... ทีหลังไม่ต้องกังวลเรื่องฉลงฉลองจนไม่เป็นอันทำอะไรอีกแล้วนะ ดูสิ
คนอื่นพูดอะไรก็พลอยไม่ได้ยินไปเสียหมด!” คนพูดบ่นจบก็ถอนหายใจเสียยกหนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วอธิบายอย่างใจเย็น
“อาร์ทบอกว่าให้พวกเราตามขึ้นไปข้างบนน่ะ... ไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไรอีก สงสัยวันก่อนยังเซอร์ไพรส์เราสองคนไม่หนำใจล่ะมั้ง”
ยังไม่ทันขาดคำ พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็จูงคนรักให้ตามตนขึ้นบันไดไปทันที
“อ้อ! เอ้อ! ไปสิ!” แม้ลึก ๆ วิญญูจะรู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ แต่เมื่ออีกฝ่ายคือกังฟูและเต๋อ
เขาก็ไม่คิดจะปฏิเสธแต่อย่างใด
“คิม... ผมมีเรื่องจะสารภาพ”
หนุ่มร่างหมีโพล่งขึ้นทันทีที่เห็นคนรักทั้งสองเดินเข้ามาในห้องนอน สีหน้าหนักใจที่ไม่ได้เห็นกันบ่อย
ๆ ของตรินทำให้ทั้งกังฟูและวิญญูอดเป็นห่วงไม่ได้
“นายจะสารภาพอะไรเหรออาร์ท?”
คนหนึ่งเป็นห่วง แต่อีกคนกลับร้อนรนจนอดโพล่งความจริงทั้งหมดออกมาไม่ได้
“เรากับอาร์ทมีอะไรกันแล้ว!”
“ไม่จริง!
เป็นไปไม่ได้!” อริยะตรัยคนพี่ทำหน้าราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง แต่แล้วหนุ่มหน้าหยกก็ขยายความตอกย้ำข้อเท็จจริงโดยไม่เว้นช่วงพักหายใจ
“เราขอโทษ!
แต่คิมต้องเชื่อเรานะ
เพราะทั้งหมดที่เราพูด เราไม่ได้โกหก!”
“ต่อให้ดิลจะพูดยังไงเราก็ไม่เชื่อ!” กังฟูแย้งด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
“เมื่อสองคืนก่อน
เรายั่วอาร์ทเอ...”
“พอ!
ถ้านายอยากให้เราเชื่อ
พวกนายก็ทำอย่างที่ว่าต่อหน้าเราสิ!”
“ห๊ะ?!” วิญญูแทบหงายหลังหลังจากได้ฟังคำประชดของกรกฏ...
ฟูต้องโกรธเขาจนเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ !
“ทำสิ!
เราบอกให้ทำไง!” อริยะตรัยคนโตตวาดกร้าว
“แต่เร...”
“ไม่มีแต่!
ถ้าพวกนายไม่อยากให้เราโกรธก็ทำให้เราดูเดี๋ยวนี้!” ว่าแล้วชายหนุ่มร่างเล็กก็ตีหน้านิ่งแล้วย้ายไปนั่งกอดอกไขว่ห้างจ้องมองอีกสองหนุ่มอยู่ตรงเก้าอี้ตัวยาวที่ตั้งชิดผนังฝั่งหนึ่งของห้อง
ระยะจากจุดที่กังฟูนั่งอยู่จัดว่าไม่ใกล้กับเตียงนัก
ทว่าแววตาประหม่าระคนสับสนของคนรักหน้าหยกกลับเด่นชัดจนเขาไม่อาจละสายตา
กระนั้น ทันทีที่ศิษย์เก่าสถาปัตย์สาวเท้าเข้าสวมกอดด้วงจากเบื้องหลังก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาบดขยี้ใบหน้าไล้ไปตามลำคอจนถึงไหล่ลาดพร้อมกับลากฝ่ามือลูบไล้ผิวกายใต้เนื้อผ้าอย่างรุกเร้า
ลูกแก้วสีดำทั้งสองกลับวูบไหวคล้ายจะฟ้องความรู้สึกหวาดหวั่นหวามไหวในรสสัมผัสที่ช่างขัดแย้งกับบรรยากาศน่ากระอักกระอ่วนซึ่งกำลังดำเนินไปในปัจจุบันขณะ
จนถึงตอนนี้ อริยะตรัยผู้พี่เดาว่าวิญญูน่าจะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
ไม่อย่างนั้นแล้ว
เจ้าตัวคงไม่ทำหน้ากล้ำกลืนราวกับถูกบังคับขืนใจทั้งที่ร่างกายทรยศ
ครั้นจะออกปากยื่นคำขาดสั่งตรินให้รามือ
ความดื้อด้านถือดี... ด้วงก็ดันมีไม่พอ
สิ่งเดียวที่เหลือให้ชายหนุ่มทำได้จึงกลายเป็นการสมยอมให้เด็กเต็กร่างหมีปลดเปลื้องอาภรณ์
ก่อนจะปลุกเร้าทุก ๆ ส่วนสัดบนลำตัวตามแต่ความพอใจ
ก่อนจะปลุกเร้าทุก ๆ ส่วนสัดบนลำตัวตามแต่ความพอใจ
ถึงอย่างนั้น เจ้าตัวกลับไม่วายทอดดวงเนตรมองสบตากับพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยนิ่งนาน...
ใช่ และสายตานั่นเองที่ทำให้กังฟูรู้ว่าด้วงกำลังทรมาน
อดสู อับอาย ผิดกับความสุขสมทางกายที่ฟ้องชัดผ่านบางสิ่งที่ขยายใหญ่ และความเปียกชื้นที่ทำให้ผ้าฝ้ายชิ้นกระจิ๋วหลิวกลายเป็นด่างดวง
ที่ผ่านมา มโนภาพขณะตนตกเป็นส่วนเกินในฉากสวีทของสองหมีสุดที่รักคือฝันร้ายที่มักจะหลอกหลอนกังฟูจนอยู่ไม่สุข
เอาเข้าจริง การได้เฝ้าดูตรินเล้าโลมวิญญูจนอ่อนระทวยไปทั้งร่างจากอีกมุมที่อยู่ห่างไกล
การได้สบสายตาเว้าวอนที่สะท้อนความใคร่
ความหื่นกระหาย และความผิดบาปไปพร้อม ๆ กัน
กอปรกับการได้กวาดตามองเรือนร่างกำยำเปลือยเปล่าชวนมองสองโทนสีในสภาวะเครื่องเคราฟิตจัด
คละเคล้ากลิ่นอายแห่งกำหนัดฉุนกึ้ก ทั้งหมดที่ว่ามานั้นทำให้อดีตเด็กวิศวะร่างเล็กรู้สึกตื่นเต้น
และคงจะตื่นตัวตามไปในอีกไม่ช้า...
อา เขากำลังร้อนรุ่ม
และสูญเสียการควบคุมเข้าไปทุกที
แม้จะกระดากใจอยู่มาก
แต่กรกฏกลับไม่อาจสะกดกลั้นความรู้สึกว้าวุ่นแล้วนั่งตีหน้าเฉยได้อีก
ชายหนุ่มถอดผ้าผ่อนออกอย่างรีบร้อน
ก่อนจะเยื้องย่าง แล้วจึงหยุดยืนโก้งโค้งอวดร่างกายต่อสายตาคู่หมีซึ่งออกตัวเล่นรักล่วงหน้าไปได้พักใหญ่
ๆ
เห็นดังนั้น อดีตเด็กวิศวะร่างสูงก็หาได้ละเลยปล่อยปละอริยะตรัยคนพี่ให้ตั้งท่าน่าขย้ำโดยเปล่าดาย
หนุ่มหน้าหยกคว้าเอวกังฟูมาใกล้แล้วสวมสอดตัวตนเข้าสัมผัสความอุ่นร้อนภายใน
เฉกเช่นที่เขาโอบรัดตรินเอาไว้อย่างแนบแน่น บัดนั้นเองที่ความปรารถนาของเหล่าคี่รักทั้งสามได้รับการตอบสนองโดยพร้อมเพรียงกันในท้ายที่สุด...
หนึ่งรุก หนึ่งรับ
กับอีกหนึ่งซึ่งได้หน้าแต่ไม่อาจลืมหลัง ความรู้สึกแปลกใหม่คลับคล้ายอาการผิดกลิ่น
ไม่คุ้นลิ้นชักนำให้ท่วงทำนองของการร่วมรักเร่าร้อนยิ่งกว่าทุกที กระนั้นกลับไม่มีชายหนุ่มคนใดถูกทิ้งให้บรรเลงโน้ตยาวในท่อนคอรัสเพียงลำพัง
“เมื่อกี๊มันอะไรกันน่ะคิม...
อาร์ท?” หนุ่มหน้าหยกคาดคั้นพลางค่อย ๆ ยกตัวขึ้นหมายจะนั่งคุยกับร่างหนากำยำที่นอนกกพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยอยู่ตรงกึ่งกลางเตียงอย่างสบายอกสบายใจทว่าอีกฝ่ายกลับคว้าเอวเขาเข้าไปกอดเพิ่มอีกคนเสียอย่างนั้น
“ยังมีแรงเหลืออยู่อีกเหรอครับที่รัก?”
“หยุด!
พวกเราต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อน!” ด้วงยันแผ่นอกแน่นแล้วลุกขึ้นนั่งอย่างเด็ดเดี่ยว
ฝ่ายร่างเล็กที่เหนื่อยไม่น้อยหน้าไปกว่าใคร ๆ กลับต่อรองเสียงแผ่ว
“ไว้พรุ่งนี้ไม่ได้เหรอดิล...
เราไม่ไหวแล้วนะ”
“ไม่ได้!
ต้องคุยเดี๋ยวนี้!
ขอร้องล่ะคิม...
เราไม่อยากสับสนมากไปกว่านี้!”
“โอเค ๆ ...
อาร์ท อาร์ทเล่าเลยเดี๋ยวคิมจะช่วยนอนฟัง” กรกฏออกคำสั่งขณะหลับตานอนคว่ำหน้าเกยอกหนาของหนุ่มร่างหมีอย่างไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใดในโลก
ตรินอมยิ้มน้อย
ๆ พลางทอดสายตามองคนรักหน้าหยกอย่างจริงจัง “ดิล... ฟังผมนะ” ชายหนุ่มหน้าคมเอ่ยอย่างใจเย็น
“สี่ปีมานี่ ไม่ใช่แค่ดิลหรอกที่อยากมีอะไรกับคิมตลอดเวลา... ส่วนตัว ผมยอมรับเลยว่า
มีหลายครั้งเหมือนกันที่ผมอยากจะฟัดคิมให้อิ่มหนำแบบไม่ต้องหักห้ามใจตัวเอง”
“อืม” หากเป็นเมื่อก่อน
วิญญูคงไม่อาจปลงใจเชื่อสิ่งที่ได้ยินสักเท่าไรในเมื่อที่ผ่านมาตรินมักจะทำหน้าที่ปรามเขาอยู่เสมอ
แต่หลังจากผ่านค่ำคืนนั้นมาด้วยกัน ชายหนุ่มก็รู้ได้ทันทีว่าหนุ่มร่างหมีต้องอดทนอดกลั้นมากเพียงไหน
“ก็อย่างที่ดิลรู้แหละว่าถ้าพวกเราทำตามใจ
ร่างกายคิมคงรับความต้องการของพวกเราสองคนไม่ไหว... ผมเลยต้องสะกดความอยากของตัวเอง
ไปพร้อม ๆ กับห้ามดิลอยู่ตลอด” ฟังมาถึงตรงนี้ด้วงก็อดแสร้งไอแขวะอีกฝ่ายไม่ได้
แต่ประโยคที่เต๋อเอ่ยตามหลังมาติด ๆ นี่สิที่ทำให้ความรู้สึกหมั่นไส้ในตัวคนพูดจางหายไปทันที
“แต่ดิลรู้ไหมว่าคิมเองก็เสียใจที่ให้เราสองคนมากกว่าที่เป็นอยู่ไม่ได้
คิมเลยมาคุยกับผมเรื่องดิล”
“หืม?!
ว่าไงนะ?”
“นอนเตียงเดียวกันทุกคืน
ทำไมเราจะไม่รู้ล่ะว่าพวกนายต้องอดทนอดกลั้นกันมากแค่ไหน” ที่สุด พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็ยอมเปิดปากเอื้อนเอ่ย
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราด้วยล่ะคิม?”
“ก็เราอยากรู้นิว่าอาร์ทคิดยังไงถ้าดิลกับอาร์ทจะมีอะไรกัน”
ท่าทางไม่เดือนเนื้อร้อนใจของคนพูดที่ช่างขัดแย้งกับใจความสำคัญของประโยคที่เพิ่งจบลงทำให้อดีตเด็กวิศวะหน้าหยกตกใจจนหลุดปากอุทานเสียงดัง
“ห๊ะ?!!”
ต่อให้วิญญูวี้ดว้ายกระตู้วู้เบอร์ไหน
ทว่านับตั้งแต่บทรักอันยาวนานของพวกเขาสิ้นสุดลงจนถึงตอนนี้ กังฟูยังดูผ่อนคลายได้เช่นเดิม
“เราเห็นว่าดิลน่าจะช่วยแบ่งเบาเราได้ โดยที่ดิลเองก็น่าจะมีความสุขและได้ปลดปล่อยอารมณ์ไปพร้อม
ๆ กันด้วยน่ะสิ... หรือไม่จริง?!” พูดจบ หนุ่มร่างเล็กก็มองสบตาคนฟังอย่างยั่วเย้า
“คิม!!” อารามอับอายระคนตกใจ ด้วงจึงเผลอขึ้นเสียงดุแฟนหนุ่มร่างเล็กไปโดยไม่ทันรู้ตัว
แต่กรกฏกลับมิได้นำพา
“จะเสียงดังทำไม
คิมแค่เสนอทางออกที่ดีที่สุดให้พวกเราสามคนเอง”
“จะบ้าเหรอคิม?
ทำไมถึงคิดอะไรแบบนี้?!!”
“ฟังเรานะดิล...
เรากลัวทุกครั้งเลยนะที่เห็นว่าดิลกับอาร์ทต้องหยุดทั้ง ๆ ที่ยังมีอารมณ์” กังฟูทอดถอนใจ
“เรากลัวว่าวันนึง พวกนายสองคนจะเบื่อเราที่เราตอบสนองได้ไม่เต็มที่แล้วก็ไปมีคนอื่น...
คนที่เขาพร้อมยอมให้พวกนายได้มากกว่า”
เหตุผลของอริยะตรัยคนโตทำเอาวิญญูชะงักงันเนื่องจากที่ผ่านมา
คนรักร่างเล็กไม่เคยบอกเล่าเรื่องราวดังกล่าวให้เขารับฟังแม้แต่น้อย แต่เมื่อลองนึกถึงหัวอกของอีกฝ่าย
หนุ่มหน้าหยกก็อดพูดจาเอาใจกรกฏไม่ได้ “โธ่คิม! ใครมันจะไปคิดแบบนั้นได้ล่ะ! เรารักคิมนะ... รักมาก
รักจนต่อให้ต้องอดทนมากกว่านี้เราก็ทำได้!”
“วันนี้อาจจะยังโอเค
แต่อนาคตข้างหน้าล่ะ ดิลกล้าการันตีไหม?!”
“แต่เซ็กส์ไม่ใช...”
“ถ้าจะพูดว่าเซ็กส์ไม่ใช่เรื่องใหญ่
แล้วทำไมดิลถึงต้องแอบใช้มือให้อาร์ทบ่อย ๆ ?”
“เฮ่ย!
คิมรู้เหรอ?!!” โชคดีที่อริยะตรัยคนพี่พักสายตาลงไปเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน
ไม่อย่างนั้นวิญญูคงได้เห็นเขากลอกตามองบนใส่หน้าไปแล้ว
ตรินฉวยโอกาสขณะที่กรกฏยังเฉยอยู่ตะล่อมด้วงอีกคน
“เอางี้นะ ดิลลองแทนตัวเองเป็นคิมดูสักครั้งได้ไหม... ลองคิดสิว่าถ้าแฟนสองคนของดิลปรารถนาในตัวดิลแบบไม่มีจุดสิ้นสุด
แต่ร่างกายดิลกลับรองรับความต้องการได้อย่างจำกัด อยู่มาวันหนึ่ง... ดิลก็มารู้ทีหลังว่า
คนรักทั้งสองต้องหาทางปลดปล่อยให้กันและกันอย่างลับ ๆ อยู่ตลอดเวลา ดิลจะยังสบายใจอยู่หรือเปล่า?”
“เออ ๆ เข้าใจแล้วล่ะน่า!” เด็กวิศวะหน้าหยกทำฮึดฮัดกลบเกลื่อนเมื่อเข้าใจความรู้สึกของกังฟูอย่างถ่องแท้ในท้ายที่สุด
“จริง ๆ ผมกับคิมคุยเรื่องนี้กันมาพักใหญ่
ๆ แล้วล่ะ แต่ในฐานะที่ผมเป็นฝ่ายได้เปรียบกว่าใคร ผมก็ไม่คิดจะหักหาญน้ำใจของคนที่ผมรักทั้งสองคนด้วยเรื่องเซ็กส์เป็นอันขาด
ยิ่งถ้าดิลต้อง ‘ยอมลงให้ผม’ ด้วยแล้วล่ะก็นะ” เต๋อพูดเสริมเสียยาวเหยียด แต่ดูเหมือนวิธีพูดเยิ่นเย้ออ้อมโลกจะไม่ถูกใจแฟนหนุ่มร่างเล็กผู้ใจร้อนเหนือใครในบรรดาพวกเขาทั้งหมด
“พอเลยอาร์ท!
เดี๋ยวเราสรุปเอง!” อริยะตรัยคนพี่เอ่ยเฉียบขาดพลางยกฝ่ามือส่งสัญญาณห้ามหมีหนุ่ม
“โอเคครับที่รัก”
กังฟูผงกหัวขึ้นมองหน้าด้วงด้วยสายตาจริงจังก่อนสรุปด้วยน้ำเสียงขึงขังจนคนฟังเกรงใจ
“ถ้าดิลยังติดใจว่าทำไมเราถึงรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เราบอกเลยว่าไม่ต้องสงสัยหรอก
เพราะมันไม่สำคัญเท่ากับการที่ดิลได้รู้ว่า เรารับได้ที่นายกับอาร์ทมีอะไรกัน แถมเรายังดีใจเสียอีกที่เห็นพวกนายมีความสุข
เพราะฉะนั้น... ถ้าไม่อยากให้เราหรืออาร์ทเป็นห่วงก็ช่วยเลิกเหม่อ
เลิกคิดมากเรื่องนี้เสียที!”
“คิม!”
“ไม่ต้องมาคิมเลย! ตกลงว่าไง? นายโอเคหรือเปล่า?” กรกฏรวบรัดด้วยสีหน้าหงิกง้ำกับน้ำเสียงติดรำคาญ...
แน่นอนว่า เมื่อด้วงสังเกตเห็นสัญญาณอันตรายดังกล่าวในระยะเผาขนเช่นนั้น ชายหนุ่มก็ไม่กล้าทำเปรี้ยวเพราะปากไม่ตรงกับใจต่อหน้าอีกฝ่ายได้อีก
“อืม... โอเค
โอเคก็ได้”
กังฟูยกยิ้มมุมปากอย่างถูกใจก่อนจะหันไปคาดคั้นเอาคำตอบจากหนุ่มหน้าคมเป็นรายการสุดท้าย
“แล้วอาร์ทล่ะ ยังไง? โอเคไหม?”
“หึ หึ... โคตรจะโอเคเลยครับ”
เต๋อยักคิ้วพลางแสยะยิ้มโดยจงใจเผยให้ด้วงเห็นเขี้ยวคม ๆ ที่เจ้าตัวใช้เป็นอาวุธลับปลุกอารมณ์เขาจนระทดระทวย...
วินาทีนั้น วิญญูบอกไม่ถูกจริง ๆ ว่าเกลียดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของแฟนหนุ่มคนไหนมากกว่ากัน
ทว่านั่นกลับไม่ได้ทำให้เด็กวิศวะหน้าหยกตระหนกจนขนลุกขนชันไปทั้งร่างได้ชะงัดดังเช่นประโยคที่ตามมาของกรกฏเลยสักนิด
“ดี! งั้นรอบนี้ขอคิม ‘ลอง’ หน่อยแล้วกัน!” ว่าแล้วกรกฏก็ค่อย ๆ รุกคืบเข้าใกล้อีกฝ่ายอย่างเชื่องช้าหากแต่น่ามองเป็นที่สุด
“เฮ่ย! จะดีเหรอคิม?! ไหนเมื่อกี๊บอกว่าไมไหวแล้วไง?!” ด้วงประท้วงเสียงหลง... ถ้าไม่ติดว่าโดนเต๋อรวบเอวไว้
ป่านนี้เขาคงได้ถอยกรูดไปหลบตั้งหลักกบดานในห้องนอนแขกเป็นที่เรียบร้อย
“น่านะ... เห็นดิลกับอาร์ทชอบเราเลยอยากจะ
‘ลอง’ ดูสักที... ไหน ๆ ดิลก็ ‘รับ’ ได้แล้วนิ” อริยะตรัยคนพี่ไม่พูดเปล่า...
ยืนยันได้จากเสียงร้องโหยหวนของคนใต้ร่างซึ่งยังถูกตรินเกาะกุม สลับกับลวนลามตามความพอใจจนไม่อาจหนีห่างไปไหนได้อีกแล้ว
“อย่าคิม!! ไม่เอา!!!”
«♥»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «♥»
No comments:
Post a Comment