Monday, July 18, 2016

«♥» บน บานฯ สาน รัก «♥» The 27th Bonding || 18.07.2015



หากใครไม่นิยมฉากอย่างว่า กรุณาอ่านตอนนี้ข้าม ๆ หรือจะรออ่านตอนหน้าทีเดียวเลยก็ได้ค่ะ
แต่ขอออกตัวก่อนนะคะว่าฉาก NC เหล่านี้อาจจะไม่ดีเท่าไร เพราะเราไม่ถนัดจริง ๆ
(เมื่อก่อนเคยเขียนได้ แต่ตอนนี้... เฮ่อ! หนักใจมาก ๆ  บอกเลยว่าตอนนี้เราใช้เวลาเขียนอยู่ 5 วัน
แต่จนแล้วจนรอดก็เคาะมาได้สั้นจึ๋งเดียว เขียนเสร็จถึงกับปาดเหงื่อและน้ำตา!)

รักชอบประการใด... ฝากข้อความแทนใจเอาไว้ได้เลยค่ะ ^^





«»------------------------------------------------------------------------------------«»



The 27th Bonding
Stumbling Blocks or Stepping Stones – that… is the question.  






“วันนี้เป็นไงมั่งครับคิม? ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือเปล่า?” ด้วงอดซักไซ้ไม่ได้เมื่อสีหน้าเหน็ดเหนื่อยของกรกฏในชุดนอนปรากฏเด่นหลาอยู่กลางจอคอมพิวเตอร์... กะเวลาดูแล้ว ที่โน่นน่าจะเพิ่งสามทุ่มกว่า แต่ทำไมคนรักร่างเล็กถึงได้ดูอ่อนล้าขนาดนี้?! มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นระหว่างเดินทางหรือเปล่า? หรือจะโดนพวกฝรั่งหาเรื่อง?!    

“วันนี้สนุกมากเลยดิล” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยทิ้งตัวลงบนเตียงพลางทำหน้าชวนฝัน “เอาเข้าจริงเราว่าทริปนี้เหมือนมาเที่ยวมากกว่าดูงานนะ แถมตอนขากลับยังได้แวะชิมไวน์ระหว่างทางด้วยแหละ”

พอนึกภาพตามคำบอกเล่า หนุ่มร่างหมีที่กำลังยืนเท้าแขนคร่อมวิญญูเพื่อรอดูหน้าคนรักอีกฝั่งของประเทศก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “แล้วห้องพักล่ะครับ... เป็นไงมั่ง? นอนได้ไหม?”

คำถามดังกล่าวทำให้อริยะตรัยคนพี่ดีดตัวขึ้นนั่งทำตาวิบวับแวววาวก่อนจะสลับกล้องเป็นตัวที่อยู่ด้านหลัง พลางวาดแขนจากซ้ายไปขวาอย่างช้า ๆ เพื่อให้คนรักทั้งสองเห็นบรรยากาศภายในห้องพักของตนได้อย่างชัดเจน “นี่ไง ห้องใหญ่ไหมล่ะ? เตียงก็เด้งดึ๋งดั๋งน่านอนมากเลยน้า แถมในห้องน้ำยังมีอ่างจากุชชี่ให้แช่อีก... แล้วดูตรงนี้สิ” ขาดคำ หน้าจอก็สั่นคลอนจนภาพเบลอไร้ซึ่งจุดรวมสายตาไปพักใหญ่ ก่อนที่สุดท้ายทัศนียภาพยามค่ำคืนของเมืองซึ่งแต่งแต้มด้วยแสงไฟจะโผล่ขึ้นแทนที่ “ท้าดา! เป็นไง... เห็นวิวซานฟรานฯชัดไหม... สวยเนอะ!” เจ้าของห้องสวีทชั่วคราวชงเองตบเองเสร็จสรรพ

“อือ สวยครับ” ด้วงรับคำอย่างโล่งใจไปอีกเปลาะ

“อาร์ท ขอบคุณมากนะที่จองห้องนี้ให้... เพื่อน ๆ อิจฉาคิมกันใหญ่เลย” เมื่อกล้องหน้าถูกสลับใช้งานอีกครั้ง สองหนุ่มก็ได้เห็นใบหน้าหวาน ๆ ของคนรักในสภาพโปรยยิ้มหยาดเยิ้มจนตาปิด เซอร์ไพรส์จากเต๋อทำให้กังฟูรู้สึกปลาบปลื้มและยิ่งลำพองใจไปกันใหญ่เมื่อเขาพอเดาได้ว่า เหตุผลที่แท้จริงของห้องสวีทนี้น่าจะมาจากการที่พ่อเจ้าประคุณทูนหัวเกิดรู้สึกหึงหวงเขามากเสียจนไม่อยากปล่อยให้เพื่อนร่วมเมเจอร์ชาวอิตาเลียนสุดหล่อผู้พอใจกับทั้งสองเพศได้พักร่วมห้องกับเขาตามลำพังนั่นอย่างไร

“แล้วนี่คิมจะนอนได้ไหมครับ? เหงาไหม?”

กรกฏยิ้มหวานก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้ามีเลศนัยจนคนฟังใจไม่ดี “ไม่ต้องห่วงดิล... คืนนี้กว่าเราจะได้นอนคงอีกนาน”

“หืม? ทำไมครับ?” เต๋อเอ่ยถามเสียงเข้มสวนขึ้นทันควัน ทว่าคนในจอกลับเบือนหน้าไปอีกทางพลางส่งเสียงโหวกเหวกขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“รอแป๊บ!” จากนั้นเจ้าตัวก็ก้าวฉับ ๆ ไปยังหน้าประตูพลางอธิบาย “ก็พวกเพื่อน ๆ น่ะสิ พอทุกคนเห็นห้องคิมแล้วก็มัดมือชกบอกว่าสองคืนนี้จะมาขลุกกันอยู่ที่นี่จนถึงเช้า... เล่นอะไรกันก็ไม่รู้ เหมือนเด็ก ๆ เลยเนอะ” กรกฏส่ายหัวพลางบ่นหงุงหงิงอย่างไม่จริงจังนักพลางเปิดประตูต้อนรับแขกหัวทองยามวิกาล และทันทีที่บานกั้นเปิดกว้าง เสียงดังล้งเล้งของสาว ๆ ก็ดังเข้าหูหมีคู่ผู้อยู่ปลายสายแบบเต็ม ๆ

“คิมมี่!! ฉันนึกว่านายจะเปลี่ยนใจไม่ยอมให้พวกฉันมาปาร์ตี้ที่นี่แล้วซะอีก!” เพื่อนสนิทร่วมเมเจอร์ของอดีตเด็กวิศวะร่างเล็กส่งเสียงโหวกเหวกก่อนจะอ้าปากค้างกันดื้อ ๆ เมื่อเห็นเพื่อนกำลังจดจ่ออยู่กับสองหนุ่มหล่อในจอมือถือโดยแทบไม่ชายตามองหน้าหล่อน “อุ๊ย! นี่พวกเรามาขัดจังหวะนายอี๋อ๋อกับแฟนอยู่หรือเปล่า?” แกนนำของเหล่าสาว ๆ กลุ่มใหญ่ที่หอบหมอน หอบผ้าห่มกันมาครบมือดัดเสียงถามพลางทำหน้าทะเล้นล้อเลียนเจ้าของห้องอย่างถึงพริกถึงขิงจนอริยะตรัยคนโตอดเขินไม่ได้

“หึ หึ หึ เปล่าเสียหน่อย... เข้ามา ๆ ” หลังประโยคดังกล่าวของกังฟู หญิงสาวจากประเทศเจ้าถิ่นผู้มาเยือนก็ใช้กำลังหักหาญผ่านการจั๊กจี้เอวเพื่อนต่างชาติจนสามารถยึดครองพื้นที่สื่อได้ในที่สุด

“หวัดดีหนุ่ม ๆ ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ... พวกเราสัญญาว่าจะดูแลคิมมี่ให้พวกนายเอง” เรเชลโบกมือไหว ๆ พลางแพนกล้องไปทั่วคล้ายกับโชว์ตัวสมาชิกสตรีทั้งหมดให้ทั้งตรินและวิญญูได้เห็นกลาย ๆ

“ขอบใจ สองวันนี่ฝากคิมด้วยนะเรเชล” เต๋อตอบรับด้วยความโล่งใจ... ลองว่าเจ้าหล่อนรับปากเป็นมั่นเหมาะ การไปดูงานของกรกฏคงจะไม่น่าเป็นห่วงอีกแล้ว

“โอ๊ย! เรื่องเล็กน่าอาร์ท รับรองเลยว่าตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ จะไม่มีผู้ชายหน้าไหนเข้าใกล้คิมมี่ของพวกนายได้เลยสักคน บาย!” ว่าแล้วหล่อนยื่นเครื่องมือสื่อสารคืนแก่กรกฏพร้อมสั่งปร๋อ “เอ้าเร็วคิมมี่! บอกลาหนุ่ม ๆ ของนายได้แล้ว พวกเราจะได้เริ่มปาร์ตี้กันเสียที!

อริยะตรัยคนพี่ยิ้มรับคำเพื่อนก่อนจะเอ่ยกับคนรักทั้งสองพลางส่งจูบปิดท้าย “ดิล ฝากดูแลอาร์ทด้วยนะ รักดิลกับอาร์ทมากนะครับ... เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นแล้วจะโทรหาเลย บายยยย”




“ดิล คิดอะไรอยู่?” ตรินข่มความง่วงพลางปรือตาเอ่ยถามเมื่อรับรู้ได้ว่าคนที่ตนสวมกอดนอนกระดุกกระดิกคล้ายกระสับกระส่ายมาพักใหญ่ ๆ วิญญูถอนหายใจยาวก่อนจะสารภาพหมดเปลือก  

“เราคิดถึงคิมน่ะ... ไม่รู้คืนนี้จะนอนหลับหรือเปล่า”

“เพื่อนคิมเล่นยกขโยงกันมาเต็มห้องแบบนั้น คิมน่าจะไม่ได้นอนมากกว่านอนไม่หลับนะดิล” หนุ่มร่างหมีปลุกปลอบคนรักด้วยวาจา รวมถึงฝ่ามือที่ลูบต้นแขนคนฟังเป็นจังหวะอย่างแผ่วเบา

“...อือ... ก็รู้แหละ แต่พวกเรานอนด้วยกันทุกวันมาสี่ปีกว่าแล้วนะ... พอคนนึงหายไป จะให้เราไม่ใจหาย ไม่เป็นห่วงได้ยังไงกันล่ะ” ด้วงรำพึงรำพันตามประสาขาห่วงประจำบ้าน

“เฮ่อ ไหนดิลลองบอกผมสิว่าผมควรทำยังไงเพื่อช่วยคนคิดมากให้นอนหลับได้เสียที?” อาการพะวกพะวนจนไม่เป็นอันหลับอันนอนของคนร่วมเตียงทำให้หนุ่มร่างหมีเริ่มหนักใจจนต้องคิดหาวิธีที่จะช่วยกล่อมให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้แก่อำนาจแห่งนิทรารมณ์เสียที

“นายว่าพวกเราเฟซไทม์ไปหาคิ... อ๊ะ!” สัมผัสจู่โจมอย่างถึงลูกถึงคนทำเอาเสียงพูดขาดชะงัก ไม่บ่อยที่ตรินจะทำตัวรุ่มร่ามโดยไม่บอกเล่าเก้าสิบ แต่แทนที่จะทวงสิทธิ์ในพื้นที่สุดหวงแหนกลับคืน อะไรบางอย่างกลับสั่งให้ด้วงเบียดกายเข้าใส่พร้อมกับหลับตา ปล่อยตัวตามสบายจนสุดท้ายร่างกายก็บิดเร่าไปมาตามจังหวะเร็วสลับช้าของฝ่ามือร้อนระอุ

ปฏิกิริยาตอบสนองของคนรักหน้าหยกทำให้ศิษย์เก่าสถาปัตย์หลุดยิ้มชอบใจพลางกระซิบถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ “ทำแบบนี้ดีไหมครับ? หืม... ว่าไงที่รัก?”

กว่าสี่ปีที่เลยผ่าน ตรินไม่ได้เรียนรู้ดูใจเพียงอุปนิสัยทั้งดีร้าย หากแต่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายสมชายชาตรีที่ตอบสนองอย่างยอดเยี่ยม คือ สมบัติอีกชิ้นของวิญญูที่เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับเกือบทุก ๆ ซอกมุม จึงไม่แปลก หากหนุ่มร่างหมีจะใช้เวลาเพียงไม่นานในการปลุกปั่นความต้องการในอุ้งมือให้คลุ้มคลั่งใกล้แตะฝั่งฝัน  กระนั้นเต๋อกลับไม่รู้เลยว่า ความปรารถนาตามธรรมชาติของตนที่บดคลึงบั้นท้ายของอีกคนโดยไม่เจตนา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่างหากล่ะ ที่สะบั้นฟางเส้นสุดท้ายจนหยาดหยดแห่งความต้องการซ่านเป็นสาย  


“นั่นอาร์ทจะไปไหน?” วิญญูเอ่ยถามคนที่ตั้งท่าจะผละจากทันทีที่ช่วยเขาทำความสะอาดเนื้อตัวจนเสร็จสิ้น เต๋อโน้มตัวหอมแก้มคนรักแล้วจึงสั่งพลางขยับตัวพร้อมลงจากเตียง

“ดิลนอนไปก่อนเลย เดี๋ยวผมมา” ไม่ทันขาดคำ คนฟังกลับรั้งข้อมือหนุ่มร่างหมีพร้อมแล้วแถลงไขด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม

“ไม่ต้องไปหรอก” พร้อมกันนั้น วิญญูก็ยื่นมือไปประคองกล่องดวงใจที่สั่นระริกของเด็กเต็กเอาไว้ ก่อนจะลูบไล้จากภายนอกอย่างรู้งาน

ทว่าก่อนที่เนื้อจะล่วงล้ำเข้าขย้ำถึงเนื้อ เด็กเต็กหน้าคมก็ตรึงข้อมือซุกซนของอีกฝ่ายเอาไว้พลางอ้อนวอน “ดิล... อย่า เดี๋ยวผมจัดการเอง”

หากเป็นวันอื่น ตรินคงน้อมรับน้ำใจของเด็กวิศวะโดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง แต่เมื่อไร้เงาของอริยะตรัยคนพี่ผู้ที่เปรียบสเมือนหลักยึดด้านศีลธรรมชั่วดี การตอบรับข้อเสนอสุดเย้ายวนในค่ำคืนที่ต้องอยู่กันลำพังท่ามกลางบรรยากาศชวนเสียตัวเช่นนี้ คงไม่ดีกับทั้งตัวเขาและอีกฝ่ายสักเท่าไร

ในความมืดมน เงียบงันชวนอึดอัด ทั้งคู่ประสานสายตากันเนิ่นนานอย่างไม่มีใครยอมใคร...
ฝ่ายหนึ่งเฝ้าเว้าวอนรให้เลิกรา แต่อีกคนกลับส่ายหน้าไม่รับรู้ แล้วใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ปรนเปรอคนรักหน้าคมทันควัน


“ดีแลน... พอเถอะ ได้โปรด” เป็นอีกครั้งที่เต๋อต้องรวบข้อมืออีกข้างของวิญญูเอาไว้ ชายหนุ่มอ้อนวอนอย่างอ่อนใจแทนคำส่งท้าย “นอนนะครับ” เมื่อพูดจบ เจ้าตัวก็เดินหายเข้าห้องน้ำไปทิ้งให้อีกฝ่ายเฝ้ามองตนด้วยสายตาไม่เข้าใจอยู่บนเตียง








“ทำไมยังไม่นอนอีก?” ตรินถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าเมื่อออกจากห้องน้ำมา ตนจะยังเห็นอดีตเด็กวิศวะไม่หลับไม่นอน... ซ้ำร้ายอีกฝ่ายกลับนั่งกอดอกตั้งท่าพร้อมกับจ้องหน้าเขาอย่างกินเลือดกินเนื้ออยู่ตรงปลายเตียง

“...”

“ยังคิดมากเรื่องคิมอยู่เหรอ?” เต๋อแสร้งเมินคนอมพะนำแล้วเดินเลี่ยงไปโน้มตัวลงปิดสวิตช์โคมไฟซึ่งอีกฝ่ายน่าจะเปิดทิ้งไว้ แต่แล้วคำถามตัดพ้อแกมน้อยอกน้อยใจที่ดังสวนขึ้นเป็นภาษาไทยก็ทำให้เด็กเต็กผินหน้าหันกลับไปมองคนรักแทบไม่ทัน

มึงไม่ชอบใช่ไหม?!
“หืม?!
มึงรังเกียจกูนักใช่ไหมถึงได้เดินหนีกูไปแบบเมื่อกี๊?” แรกที่ได้ยินประโยคคำถามต่อว่าภาษาบ้านเกิดเมืองนอน เต๋อตั้งใจจะเสเปลี่ยนเรื่องด้วยการทำมึนพูดแซวอีกฝ่ายให้ตกประหม่าไม่ก็โมโหโกรธาจนเขาพอจะหาช่องบ่ายเบี่ยงได้ แต่พอเห็นหน้า เห็นสายตากลัดกลุ้มของวิญญูเข้าไป ตรินก็พ่ายแพ้หมดรูปโดยดุษณี  
.
.
.
.
.
“ไม่ใช่อย่างนั้น” หนุ่มสถาปัตย์ถอนหายใจยาวเพราะรู้ดีว่านี่ไม่ใช่คำตอบที่ด้วงรอฟัง... ก็เล่นขมวดคิ้วเสียแน่นจนแทบจะเป็นปมแถมยังจ้องเขาเขม็งเสียแบบนั้นนี่นะ

ตรินไตร่ตรองสิ่งที่อยู่ในใจอยู่พักใหญ่ก่อนจะไพล่สายตาทอดมองผนังห้องนอนพลางอธิบายอ้อมแอ้ม “ผมไม่ได้รังเกียจดิล ไม่เลย... แต่ผมแค่ไม่อยากเริ่ม... ผมกลัวใจตัวเอง ผมกลัวจะหยุดไม่ได้ ดิลเข้าใจผมนะ”

ทันทีที่คำสารภาพลอยเข้าหู วิญญูก็โผเข้าหาร่างหนาของเด็กสถาปัตย์ราวกับอัดอั้นมานานนับปี สัมผัสอ่อนนุ่ม ชื้นฉ่ำที่กดจูบชิมลางอย่างเอาแต่ใจขับไล่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของหนุ่มหน้าคมเสียเปิดเปิง จริงอยู่ แม้ทั้งคู่จะบำบัดความใคร่ให้กันและกันอยู่เนือง ๆ แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่ด้วงแสดงออกถึงความต้องการอย่างโจ่งแจ้งจนก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายของตรินเต้นรัวแรงแข่งกับเสียงหอบกระเส่า  

ไม่กี่อึดใจให้หลัง จุมพิตละเลียดอ้อยอิ่งผันเปลี่ยนเป็นหนักหน่วงดุดัน น่าแปลกที่รสเฝื่อนปลายลิ้นซึ่งมาพร้อมกลิ่นมินท์อ่อน ๆ ของน้ำยาบ้วนปากกลายกลับเป็นความหอมหวานเมื่อสองชิวหาสอดประสานคลึงเคล้า เต๋อประคองท้ายทอยทุยของอีกฝ่ายให้อยู่ในองศาพอเหมาะก่อนจะบดริมฝีปากตักตวงรสหวานล้ำอย่างดื่มด่ำโดยไม่เว้นช่องไฟ แขนอีกข้างโอบแผ่นหลังตึงแน่นเอาไว้ จากนั้นจึงค่อย ๆ เลื้อยไล้ลงต่ำสลับกับบีบขยำกล้ามเนื้อภายใต้ผิวเรียบลื่นตามความเคยชิน

จนเมื่อปมเชือกผูกเอวกางเกงนอนตัวเก่งบนร่างเขาและอีกฝ่ายถูกปลายนิ้วเรียวของวิญญูกระตุกปลดและปล่อยให้ไหลร่นหล่นกอง ตรินก็ค่อย ๆ กดบ่าของร่างที่ยืนชันเข่าอยู่บนเตียงให้ค่อย ๆ ทอดตัวลงนอนอวดสายตา วิญญูในสภาพเปลือยเปล่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่วิญญูซึ่งกำลังส่งสายตากึ่งเชิญชวนกึ่งท้าทายมาให้เขานี่สิที่ทรงอาณุภาพทำลายล้างอย่างร้ายกาจ กระนั้นวูบหนึ่ง ตรินกลับนึกหวั่นใจจนหลุดปากโพล่งถามอีกฝ่ายเอาดื้อ ๆ “ดิลแน่ใจนะ?”

ด้วงกดยิ้มมุมปาก ยกตัวขึ้นตวัดวงแขนโอบรอบบ่ากว้างแล้วจึงออกแรงรั้งร่างหนากว่าให้เอนลงนอนคร่อมเหนือตนพลางกระซิบเสียงแหบพร่าน่าฟัง “ป๊อดหรือไง?”

“ถ้าพูดดี ๆ ไม่ได้ มึงก็นอนครางไปแล้วกัน!

ขาดคำ อดีตเด็กสถาปัตย์ก็โน้มตัวลงฝังใบหน้าตรงซอกคอ ซุกไซ้ ดอมดมกลิ่นกายของอีกฝ่าย ไม่ก็ลงลิ้นลับคมฟันกระทบเนื้ออ่อนในบางจังหวะที่นึกหมั่นเขี้ยวคนรักขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ พร้อมกันนั้นก็ส่งมือหนึ่งไปเล่นหยอกล้อทับทิมเม็ดงามอย่างย่ามใจ ในขณะที่อีกข้างก็ป่ายปัดทั่วไปโดยจงใจละเลยส่วนอ่อนไหวคล้ายจะเก็บเอาไว้ชื่นชมในภายหลัง แต่เพียงแค่นั้นก็สามารถทำให้คนใต้ร่างขนลุกเกรียวได้ทั้งตัว

อาจเป็นเพราะพาซื่อหรือจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม แต่นับจากที่เต๋อประกาศวาทะประกาศิต นอกจากการส่งเสียงครางอย่างพึงพอใจยามที่หนุ่มร่างหมีซุกไซ้ไล้โลมเรือนร่าง ก็มีเพียงแค่เสียงสูดลมหายใจถี่ระรัวเล็ดรอดออกจากริมฝีปากบางเฉียบเท่านั้น วิญญูจำไม่ยักได้ว่าตนเริ่มนิยมชมชอบหนวดเคราของอีกฝ่ายตั้งแต่เมื่อไร แต่สัมผัสแข็ง ๆ สาก ๆ ชวนจั๊กจี้ที่กดย้ำลงบนผิวกายในตอนนี้ ทำให้เขาแอ่นอกรอรับทุก ๆ สัมผัสที่อีกคนหยิบยื่นให้อย่างลืมตัวไปเสียทุกที  

ตรินผละห่างพลางลากสายตามองหนุ่มวิศวะอย่างเชื่องช้าอยู่ชั่วอึดใจ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ร่างกายอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อหากแต่เพรียวกว่าของคนตรงหน้าดูเย้ายวนยิ่งกว่าหนไหน ๆ  ยิ่งเมื่อริ้วสีแดงผุดขึ้นแต้มสองปรางทันทีที่เจ้าตัวเหลือบเห็นขวดเจลผ่านหางตา เต๋อก็แทบอดใจเอาไว้ไม่ไหว... แต่เพื่อความสุขร่วมกันในบั้นปลาย พ่อหมีหุ่นกำยำจึงรีบเบนความสนใจคนรักให้กลับมาจดจ่อกับสัมผัสชุ่มฉ่ำพลิ้วไหวที่ลากผ่ากึ่งกลางหน้าอกมุ่งลงต่ำ พลางเตรียมความพร้อมแก่อีกฝ่ายอย่างละมุนละม่อมโดยพลัน  

กระทั่งแน่ใจแล้วว่าทั้งตนและคนรักพรั่งพร้อมถึงขีดสุด หนุ่มหน้าคมก็เลื่อนสายตาขึ้นจับจ้องใบหน้าชื้นเหงื่อด้านล่างแทนการเอ่ยคำถามไถ่ เมื่อวิญญูคลี่ยิ้มพลางพยักหน้าให้ เต๋อก็ค่อย ๆ เคลื่อนกายเข้าสู่ใจกลางความร้อนลื่นชื้นแฉะอย่างระมัดระวังจนสองร่างหลอมรวมเป็นหนึ่งในท้ายที่สุด  

“เรียกกูหน่อยเต๋อ... เรียกชื่อกู!” วิญญูครางอย่างเว้าวอนทิ้งท้าย ก่อนที่โลกทั้งใบในกายจะเคลื่อนไหวตามเสียงเรียกร้องจากหัวใจของพวกเขาราวกับไม่มีวันสิ้นสุด








เสียงทุ้มนุ่มรัวเร็วที่ดังเป็นระยะ ๆ กับแสงแดดที่ส่องทะลุม่านบางเข้ามาจนภายในห้องสว่างไสวยิ่งกว่าเปิดไฟทำให้อดีตเด็กวิศวะเริ่มขยับตัวยุกยิก ฝ่ายคนที่เพิ่งโทรไปตามงานจากเพื่อนร่วมชั้นก็รีบวางหูแล้วปราดเข้ามาดูอาการของร่างใต้กองผ้านวมทันที “ตื่นแล้วเหรอ?... ลุกไหวไหม?”

“หิวน้ำ ขอน้ำหน่อย” คนฟังไม่รอให้วิญญูเอ่ยย้ำ ลำพังแค่เสียงแหบช้ำที่ด้วงใช้เอ่ยบัญชาก็ทำให้ชายหนุ่มหน้าคมรีบเทน้ำใส่แก้วพร้อมหลอดมาคอยท่าขณะที่เจ้าตัวค่อย ๆ ยันตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียงพลางสูดปากเบา ๆ ให้กับความรู้สึกร้าวรานหลังการถูกพร่าอธิปไตยอย่างหนักหน่วงตลอดคืน  

เต๋อเอียงแก้วพลางประคองหลอดแตะริมฝีปากแห้งผากของคนรักพลางเอ่ยอย่างเป็นห่วง “ค่อย ๆ กิน”
.
.
.
.
.
.
.
“เต๋อ... พวกเราจะบอกฟูยังไงดี?” หนุ่มหน้าหยกบีบแขนเต๋อหลังพรั่งพรูเรื่องคาใจออกมาเป็นคำพูด แต่นั่นกลับไม่ใช่ข้อกังวลของคู่สนทนาหน้าคม ณ เวลานี้

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน... เอาเป็นว่า กินข้าว กินยาแล้วนอนพักอีกหน่อย มึงตื่นอีกทีตอนไหนก็ค่อยว่ากันตอนนั้น ตกลงไหม?”  
“แต่...”
ไม่มีแต่!” หนุ่มสถาปัตย์ขึ้นเสียงแทรกพลางถลึงตาดุ ทว่าอีกฝ่ายกลับรั้นแถมยังตั้งท่าพร้อมสู้เป็นเด็ก ๆ  
เต๋อ!
หรืออยากให้กูกล่อมมึงนอนอีกรอบ?

ถ้าไม่ใช่เพราะกำลังเขินอยู่ ด้วงคงจะตะโกนด่าตรินอย่างสาสมเมื่อได้เห็นสีหน้าเจ้าชู้ยักษ์ของอีกฝ่าย ความรู้สึกอับอายเหลือประมาณหลังผ่านค่ำคืนดุเด็กเผ็ดมันกับอีกฝ่ายมาหมาด ๆ ทำให้คนเสียเปรียบตะโกนไล่ ก่อนจะพลิกตัวซุกหลบใต้ผ้าห่มอย่างรวดเร็วโดยหลงลืมความปวดร้าวของร่างกายส่วนที่ต่ำกว่าเอวไปชั่วขณะ เออ ๆ เอาข้าวเอายามาเลย... กินให้มันเสร็จ ๆ ทีนี้จะได้นอนยาว ๆ !








“อือ” หมีหน้าหยกยกหลังมือขึ้นปิดตาพลางส่งเสียงครางอย่างขัดใจเมื่อรู้สึกได้ถึงการก่อกวน

“ที่รัก ตื่นได้แล้วครับ” เมื่อเลิกผ้าผวยขึ้นจนเนื้อตัวเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายเปิดเผยต่อสายตา เจ้าของประโยคอ่อนหวานน่าฟังก็ถือวิสาสะไล้ปลายนิ้วไปตามร่องรอยสีกุหลาบซึ่งกระจายทั่วไปบนผิวกายนวลเนียนจากจุดสู่จุดด้วยความภูมิอกภูมิใจไม่มีใครเกิน

“ฮื่อออ ไม่เอา!... จะนอน” อดีตเด็กวิศวะยู่หน้าหยีตาก่อนจะพลิกตัวซุกเข้าหาผืนผ้านวมพลางส่งเสียงครางทักท้วง แต่การโชว์แผ่นหลังขาว ๆ ที่เห็นไปถึงไหนต่อไหนกลับกระตุ้นให้หมีมือไวย่ามใจหนักกว่าที่เคย

“ตื่นมากินข้าวกลางวันก่อน นะ... จะได้กินยาด้วย” คราวนี้ตรินเอ่ยชักจูงคนรักพร้อมกับกดจูบหนัก ๆ จากหัวไหล่เลื่อนต่ำไปตามแนวกระดูกสันหลังพลางลูบไล้ต้นขาอีกฝ่ายอย่างเพลินมือก่อนจะให้โอกาสวิญญูได้ตัดสินใจอีกครั้ง “ตื่นเร็วคนขี้เซา... ถ้าไม่รีบตื่นตอนนี้ เดี๋ยวจะไม่ได้นอนอีกนานเลยนะ”

“โอเค ๆ ตื่นก็ได้” ที่สุดด้วงก็ยอมผงกหัวแล้วหรี่ตามองหน้าเต๋ออย่างเสียไม่ได้... เชื่อเถอะว่าถ้าไม่ใช่เพราะสัมผัสที่หมายรุกรานเขตหวงห้าม ป่านนี้เขาคงจะยังหลับอยู่แน่ ๆ

แม้จะเสียดาย แต่เด็กเต็กก็ไม่อาจเอาเปรียบอีกฝ่ายในสภาพไม่เต็มร้อยได้ลงคอ “ลุกไปล้างหน้าล้างตาไหวไหม? หรือจะกินบนเตียงแบบเมื่อเช้า?”

“ขอลองลุกดูก่อน” เสียงสูดปากดังขึ้นอีกครั้งหลังจากวิญญูค่อย ๆ ยันตัวกระย่องกระแย่งลงจากเตียง  ชายหนุ่มพยายามก้าวเดินอย่างเชื่องช้า แต่สีหน้าเหยเกทุกครั้งที่ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนขาแต่ละข้างก็ทำให้เต๋อปรี่เข้าไปโอบบ่ารั้งร่างคนรักหน้าหยกเข้าหาตนอย่างว่องไว

“ให้ผมประคองไปดีกว่า ผมจะได้ช่วยหยิบจับอะไรด้วย”

“...อือ...” เต๋อลอบยิ้มมุมปากพลางเสมองไปอีกทางด้วยหวังให้คนหน้าแดงปลั่งหายประหม่าโดยเร็ว




“อาร์ท เรื่องเมื่อคืน... พวกเราจะบอกคิมยังไงดี?” วิญญูปาดหยดน้ำออกจากตาก่อนจะแบมือรับผ้าขนหนูที่เต๋อส่งให้ อีกฝ่ายเอ่ยตอบเรียบ ๆ

“ผมก็จะบอกคิมไปตรง ๆ นั่นแหละ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

ท่าทางไม่เดือดเนื้อร้อนใจ กับคำตอบไม่อ้อมค้อมของเด็กสถาปัตย์ทำให้หนุ่มหน้าหยกยิ่งปริวิตกไปกันใหญ่ “แต่เราว่... “

“ถ้าคิมได้ฟังเหตุผล คิมน่าจะเข้าใจ” ตรินชิงเอ่ยแทรกอย่างมั่นใจด้วยน้ำเสียงหนักแน่น กระนั้นคนเป็นแฟนกลับลนลานเพราะอดรู้สึกหวาดหวั่นกับท่าทีของกรกฏตามสถานการณ์สมมติที่อีกฝ่ายอ้างถึงไม่ได้... มึงมองโลกในแง่ดีเกินไปหรือเปล่าไอ้หมี?!

“เหตุผลอะไร? เหตุผลว่าเราเสนอตัวให้นายอย่างนั้นน่ะเหรอ?!” ด้วงโต้เสียงเขียวอย่างอดรรนทนไม่ไหว...

ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีทำให้เขาเริ่มไม่กล้าสู้หน้าอริยะตรัยผู้พี่สักเท่าไร...
น่าอายเหลือเกินที่พอลองนึก ๆ ดู  เมื่อคืนเขาทำตัวเหมือนกับชู้ของตรินก็ไม่ปาน!


“ชู่ว์! ดีแลน... ใจเย็น ๆ เรื่องคุยกับคิม ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเถอะนะ” หนุ่มร่างหมีโอบกอดวิญญูเอาไว้พลางจูบขมับคนรักอย่างทะนุถนอม  

“อาร์ท... เราขอโทษ เมื่อคืนเราไม่น่าทำแบบนั้นลงไปเลย!

“ที่ดิลพูดเมื่อกี๊เพราะดิลเสียใจที่เราสองคนมีอะไรกันเหรอ?”  ว่าแล้วเต๋อก็เชยคางอีกฝ่ายให้หันมามองตากันแล้วจึงถามย้ำเพื่อความแน่ใจอีกคำรบ “หืม? ว่าไงครับ? เสียใจที่มีอะไรกับผมเหรอ?”
.
.
.
.
.
.
.
ศิษย์เก่าวิศวะชะงักไปพักหนึ่งก่อนจะใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้วให้คำตอบ “...เปล่า... เราเสียใจที่เราลักลอบทำมันลับหลังคิม”

“หืม?! นี่ดิลกำลังจะบอกผมว่า ถ้าเรามีอะไรกันหน้าต่อหน้าต่อตาคิม ดิลจะดีใจงั้นเหรอ?” แหย่เสร็จสมใจ ตรินก็แยกเขี้ยวขยิบตาทำหน้าเป็นใส่คู่สนทนาที่แทบจะเต้นแร้งเต้นกาด้วยทั้งประหม่าและโมโหในเวลาเดียวกัน

ดีใจกับผีสิ! จะบ้ารึไง?!

“หึ หึ หึ... แต่ผมดีใจนะที่ผมได้สัมผัสดิลอย่างเมื่อคืน... เพราะมันทำให้ผมมีความสุขที่สุด” เต๋อลักไก่ช่วงชิงลมหายใจอีกฝ่ายด้วยจุมพิตดูดดื่มจนด้วงแทบละลายก่อนจะถอนริมฝีปากจากเพียงครู่เพื่อเอ่ยถามความเห็นคนรัก  “แล้วดิลครับล่ะ... ชอบไหม?”

“...”

“หืม? ว่าไง... ชอบไหมครับ ด้วง?” ตรินยังเฝ้าคลอเคลียไม่ห่างจากพวงแก้มของวิญญูโดยไม่ลืมกระซิบย้ำชื่อที่เขาพร่ำถึงตลอดค่ำคืนข้าง ๆ ใบหูอย่างแผ่วเบาทำเอาอีกฝ่ายได้แต่ยืนกระพริบตาทำหน้าแดงแป๊ดอยู่นานสองนานกว่าจะควานหาเสียงตัวเองเจออีกครั้ง

“ปล่อยเดี๋ยวนี้เลย หิว! จะไปกินข้าวแล้ว!” ประโยคกลบเกลื่อนดังกล่าวทำเอาหนุ่มหน้าคมระเบิดหัวเราะเต็มเสียง... พอเถียงไม่ได้ ก็คิดจะเลี่ยงเหมือนทุกทีสินะ... แฟนใครวะ โคตรน่ารักเลย!!  


«»------------------------------------------------------------------------------------«»


“ดิล”
.
.
“ดิล!
.
.
.
.
“ดิล คิดอะไรอยู่?”
หืม?! เมื่อกี๊คิมว่าไงนะ?!” วิญญูสะดุ้งโหยงเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสเย็น ๆ ตรงต้นแขน

“เราถามว่าดิลมัวแต่คิดอะไรอยู่ ทำไมวันนี้เงียบ ๆ ? เรากลับบ้านทั้งที ดิลจะไม่ดีใจหน่อยเหรอ?”

“เฮ่ย! ไม่ ๆ เราดีใจ ดีใจมาก เราแค่คิดว่าเย็นนี้จะทำอะไรฉลองที่คิมกลับมาดีน่ะ” วิญญูปดอย่างละล่ำละลักเพราะไม่อยากให้กังฟูจับสังเกตอาการหลุกหลิกของตัวเองได้ ทว่าความพยายามดังกล่าวกลับทำให้ชายหนุ่มหน้าหยกยิ่งดูมีพิรุธไปกันใหญ่ เนื่องจากเจ้าตัวดันเผลอไผลตกอยู่ในห้วงความคิดนานเกินไปนั่นเอง

“แต่อาร์ทเพิ่งพูดอยู่หยก ๆ เองนะว่าเดี๋ยวจะโทรสั่งพิซซ่า”

“อ้าวเหรอ?! โทษนะ เรามัวแต่เหม่อเลยไม่ทันฟังน่ะ”

“ช่างเถอะ ดิลไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วแหละ... ไป! เราขึ้นข้างบนกันเถอะ” กรกฏเอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงร่าเริงระริกระรี้ผิดกับอีกฝ่ายที่ชักจะป้ำ ๆ เป๋อ ๆ ขึ้นทุกที ๆ

“หืม? ขึ้นข้างบน?! ขึ้นไปทำอะไรเหรอคิม?”

“ดิลนี่จริง ๆ เล้ยยย... ทีหลังไม่ต้องกังวลเรื่องฉลงฉลองจนไม่เป็นอันทำอะไรอีกแล้วนะ ดูสิ คนอื่นพูดอะไรก็พลอยไม่ได้ยินไปเสียหมด!” คนพูดบ่นจบก็ถอนหายใจเสียยกหนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วอธิบายอย่างใจเย็น “อาร์ทบอกว่าให้พวกเราตามขึ้นไปข้างบนน่ะ... ไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไรอีก สงสัยวันก่อนยังเซอร์ไพรส์เราสองคนไม่หนำใจล่ะมั้ง” ยังไม่ทันขาดคำ พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็จูงคนรักให้ตามตนขึ้นบันไดไปทันที

“อ้อ! เอ้อ! ไปสิ!” แม้ลึก ๆ วิญญูจะรู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ แต่เมื่ออีกฝ่ายคือกังฟูและเต๋อ เขาก็ไม่คิดจะปฏิเสธแต่อย่างใด




“คิม... ผมมีเรื่องจะสารภาพ” หนุ่มร่างหมีโพล่งขึ้นทันทีที่เห็นคนรักทั้งสองเดินเข้ามาในห้องนอน สีหน้าหนักใจที่ไม่ได้เห็นกันบ่อย ๆ ของตรินทำให้ทั้งกังฟูและวิญญูอดเป็นห่วงไม่ได้

“นายจะสารภาพอะไรเหรออาร์ท?” คนหนึ่งเป็นห่วง แต่อีกคนกลับร้อนรนจนอดโพล่งความจริงทั้งหมดออกมาไม่ได้

เรากับอาร์ทมีอะไรกันแล้ว!

ไม่จริง! เป็นไปไม่ได้! อริยะตรัยคนพี่ทำหน้าราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง แต่แล้วหนุ่มหน้าหยกก็ขยายความตอกย้ำข้อเท็จจริงโดยไม่เว้นช่วงพักหายใจ
เราขอโทษ! แต่คิมต้องเชื่อเรานะ เพราะทั้งหมดที่เราพูด เราไม่ได้โกหก!
ต่อให้ดิลจะพูดยังไงเราก็ไม่เชื่อ!” กังฟูแย้งด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
“เมื่อสองคืนก่อน เรายั่วอาร์ทเอ...”
พอ! ถ้านายอยากให้เราเชื่อ พวกนายก็ทำอย่างที่ว่าต่อหน้าเราสิ!
ห๊ะ?!” วิญญูแทบหงายหลังหลังจากได้ฟังคำประชดของกรกฏ... ฟูต้องโกรธเขาจนเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ !
ทำสิ! เราบอกให้ทำไง!” อริยะตรัยคนโตตวาดกร้าว
“แต่เร...”
ไม่มีแต่! ถ้าพวกนายไม่อยากให้เราโกรธก็ทำให้เราดูเดี๋ยวนี้!” ว่าแล้วชายหนุ่มร่างเล็กก็ตีหน้านิ่งแล้วย้ายไปนั่งกอดอกไขว่ห้างจ้องมองอีกสองหนุ่มอยู่ตรงเก้าอี้ตัวยาวที่ตั้งชิดผนังฝั่งหนึ่งของห้อง  

ระยะจากจุดที่กังฟูนั่งอยู่จัดว่าไม่ใกล้กับเตียงนัก  
ทว่าแววตาประหม่าระคนสับสนของคนรักหน้าหยกกลับเด่นชัดจนเขาไม่อาจละสายตา
กระนั้น ทันทีที่ศิษย์เก่าสถาปัตย์สาวเท้าเข้าสวมกอดด้วงจากเบื้องหลังก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาบดขยี้ใบหน้าไล้ไปตามลำคอจนถึงไหล่ลาดพร้อมกับลากฝ่ามือลูบไล้ผิวกายใต้เนื้อผ้าอย่างรุกเร้า ลูกแก้วสีดำทั้งสองกลับวูบไหวคล้ายจะฟ้องความรู้สึกหวาดหวั่นหวามไหวในรสสัมผัสที่ช่างขัดแย้งกับบรรยากาศน่ากระอักกระอ่วนซึ่งกำลังดำเนินไปในปัจจุบันขณะ

จนถึงตอนนี้ อริยะตรัยผู้พี่เดาว่าวิญญูน่าจะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
ไม่อย่างนั้นแล้ว เจ้าตัวคงไม่ทำหน้ากล้ำกลืนราวกับถูกบังคับขืนใจทั้งที่ร่างกายทรยศ
ครั้นจะออกปากยื่นคำขาดสั่งตรินให้รามือ ความดื้อด้านถือดี... ด้วงก็ดันมีไม่พอ
สิ่งเดียวที่เหลือให้ชายหนุ่มทำได้จึงกลายเป็นการสมยอมให้เด็กเต็กร่างหมีปลดเปลื้องอาภรณ์
ก่อนจะปลุกเร้าทุก ๆ ส่วนสัดบนลำตัวตามแต่ความพอใจ
ถึงอย่างนั้น เจ้าตัวกลับไม่วายทอดดวงเนตรมองสบตากับพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยนิ่งนาน...
ใช่ และสายตานั่นเองที่ทำให้กังฟูรู้ว่าด้วงกำลังทรมาน อดสู อับอาย ผิดกับความสุขสมทางกายที่ฟ้องชัดผ่านบางสิ่งที่ขยายใหญ่ และความเปียกชื้นที่ทำให้ผ้าฝ้ายชิ้นกระจิ๋วหลิวกลายเป็นด่างดวง


ที่ผ่านมา มโนภาพขณะตนตกเป็นส่วนเกินในฉากสวีทของสองหมีสุดที่รักคือฝันร้ายที่มักจะหลอกหลอนกังฟูจนอยู่ไม่สุข
เอาเข้าจริง การได้เฝ้าดูตรินเล้าโลมวิญญูจนอ่อนระทวยไปทั้งร่างจากอีกมุมที่อยู่ห่างไกล
การได้สบสายตาเว้าวอนที่สะท้อนความใคร่ ความหื่นกระหาย และความผิดบาปไปพร้อม ๆ กัน
กอปรกับการได้กวาดตามองเรือนร่างกำยำเปลือยเปล่าชวนมองสองโทนสีในสภาวะเครื่องเคราฟิตจัด คละเคล้ากลิ่นอายแห่งกำหนัดฉุนกึ้ก ทั้งหมดที่ว่ามานั้นทำให้อดีตเด็กวิศวะร่างเล็กรู้สึกตื่นเต้น และคงจะตื่นตัวตามไปในอีกไม่ช้า...
อา เขากำลังร้อนรุ่ม และสูญเสียการควบคุมเข้าไปทุกที

แม้จะกระดากใจอยู่มาก แต่กรกฏกลับไม่อาจสะกดกลั้นความรู้สึกว้าวุ่นแล้วนั่งตีหน้าเฉยได้อีก
ชายหนุ่มถอดผ้าผ่อนออกอย่างรีบร้อน ก่อนจะเยื้องย่าง แล้วจึงหยุดยืนโก้งโค้งอวดร่างกายต่อสายตาคู่หมีซึ่งออกตัวเล่นรักล่วงหน้าไปได้พักใหญ่ ๆ  

เห็นดังนั้น อดีตเด็กวิศวะร่างสูงก็หาได้ละเลยปล่อยปละอริยะตรัยคนพี่ให้ตั้งท่าน่าขย้ำโดยเปล่าดาย
หนุ่มหน้าหยกคว้าเอวกังฟูมาใกล้แล้วสวมสอดตัวตนเข้าสัมผัสความอุ่นร้อนภายใน เฉกเช่นที่เขาโอบรัดตรินเอาไว้อย่างแนบแน่น บัดนั้นเองที่ความปรารถนาของเหล่าคี่รักทั้งสามได้รับการตอบสนองโดยพร้อมเพรียงกันในท้ายที่สุด...
หนึ่งรุก หนึ่งรับ กับอีกหนึ่งซึ่งได้หน้าแต่ไม่อาจลืมหลัง ความรู้สึกแปลกใหม่คลับคล้ายอาการผิดกลิ่น ไม่คุ้นลิ้นชักนำให้ท่วงทำนองของการร่วมรักเร่าร้อนยิ่งกว่าทุกที  กระนั้นกลับไม่มีชายหนุ่มคนใดถูกทิ้งให้บรรเลงโน้ตยาวในท่อนคอรัสเพียงลำพัง








“เมื่อกี๊มันอะไรกันน่ะคิม... อาร์ท?” หนุ่มหน้าหยกคาดคั้นพลางค่อย ๆ ยกตัวขึ้นหมายจะนั่งคุยกับร่างหนากำยำที่นอนกกพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยอยู่ตรงกึ่งกลางเตียงอย่างสบายอกสบายใจทว่าอีกฝ่ายกลับคว้าเอวเขาเข้าไปกอดเพิ่มอีกคนเสียอย่างนั้น

“ยังมีแรงเหลืออยู่อีกเหรอครับที่รัก?”

“หยุด! พวกเราต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อน!” ด้วงยันแผ่นอกแน่นแล้วลุกขึ้นนั่งอย่างเด็ดเดี่ยว ฝ่ายร่างเล็กที่เหนื่อยไม่น้อยหน้าไปกว่าใคร ๆ กลับต่อรองเสียงแผ่ว

“ไว้พรุ่งนี้ไม่ได้เหรอดิล... เราไม่ไหวแล้วนะ”

“ไม่ได้! ต้องคุยเดี๋ยวนี้! ขอร้องล่ะคิม... เราไม่อยากสับสนมากไปกว่านี้!

“โอเค ๆ ... อาร์ท อาร์ทเล่าเลยเดี๋ยวคิมจะช่วยนอนฟัง” กรกฏออกคำสั่งขณะหลับตานอนคว่ำหน้าเกยอกหนาของหนุ่มร่างหมีอย่างไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใดในโลก

ตรินอมยิ้มน้อย ๆ พลางทอดสายตามองคนรักหน้าหยกอย่างจริงจัง “ดิล... ฟังผมนะ” ชายหนุ่มหน้าคมเอ่ยอย่างใจเย็น “สี่ปีมานี่ ไม่ใช่แค่ดิลหรอกที่อยากมีอะไรกับคิมตลอดเวลา... ส่วนตัว ผมยอมรับเลยว่า มีหลายครั้งเหมือนกันที่ผมอยากจะฟัดคิมให้อิ่มหนำแบบไม่ต้องหักห้ามใจตัวเอง”

“อืม” หากเป็นเมื่อก่อน วิญญูคงไม่อาจปลงใจเชื่อสิ่งที่ได้ยินสักเท่าไรในเมื่อที่ผ่านมาตรินมักจะทำหน้าที่ปรามเขาอยู่เสมอ แต่หลังจากผ่านค่ำคืนนั้นมาด้วยกัน ชายหนุ่มก็รู้ได้ทันทีว่าหนุ่มร่างหมีต้องอดทนอดกลั้นมากเพียงไหน

“ก็อย่างที่ดิลรู้แหละว่าถ้าพวกเราทำตามใจ ร่างกายคิมคงรับความต้องการของพวกเราสองคนไม่ไหว... ผมเลยต้องสะกดความอยากของตัวเอง ไปพร้อม ๆ กับห้ามดิลอยู่ตลอด” ฟังมาถึงตรงนี้ด้วงก็อดแสร้งไอแขวะอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ประโยคที่เต๋อเอ่ยตามหลังมาติด ๆ นี่สิที่ทำให้ความรู้สึกหมั่นไส้ในตัวคนพูดจางหายไปทันที

“แต่ดิลรู้ไหมว่าคิมเองก็เสียใจที่ให้เราสองคนมากกว่าที่เป็นอยู่ไม่ได้ คิมเลยมาคุยกับผมเรื่องดิล”
หืม?! ว่าไงนะ?
“นอนเตียงเดียวกันทุกคืน ทำไมเราจะไม่รู้ล่ะว่าพวกนายต้องอดทนอดกลั้นกันมากแค่ไหน” ที่สุด พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็ยอมเปิดปากเอื้อนเอ่ย

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราด้วยล่ะคิม?”

“ก็เราอยากรู้นิว่าอาร์ทคิดยังไงถ้าดิลกับอาร์ทจะมีอะไรกัน” ท่าทางไม่เดือนเนื้อร้อนใจของคนพูดที่ช่างขัดแย้งกับใจความสำคัญของประโยคที่เพิ่งจบลงทำให้อดีตเด็กวิศวะหน้าหยกตกใจจนหลุดปากอุทานเสียงดัง

ห๊ะ?!!

ต่อให้วิญญูวี้ดว้ายกระตู้วู้เบอร์ไหน ทว่านับตั้งแต่บทรักอันยาวนานของพวกเขาสิ้นสุดลงจนถึงตอนนี้ กังฟูยังดูผ่อนคลายได้เช่นเดิม “เราเห็นว่าดิลน่าจะช่วยแบ่งเบาเราได้ โดยที่ดิลเองก็น่าจะมีความสุขและได้ปลดปล่อยอารมณ์ไปพร้อม ๆ กันด้วยน่ะสิ...  หรือไม่จริง?!” พูดจบ หนุ่มร่างเล็กก็มองสบตาคนฟังอย่างยั่วเย้า

คิม!!” อารามอับอายระคนตกใจ ด้วงจึงเผลอขึ้นเสียงดุแฟนหนุ่มร่างเล็กไปโดยไม่ทันรู้ตัว แต่กรกฏกลับมิได้นำพา  

“จะเสียงดังทำไม คิมแค่เสนอทางออกที่ดีที่สุดให้พวกเราสามคนเอง”

จะบ้าเหรอคิม? ทำไมถึงคิดอะไรแบบนี้?!!

“ฟังเรานะดิล... เรากลัวทุกครั้งเลยนะที่เห็นว่าดิลกับอาร์ทต้องหยุดทั้ง ๆ ที่ยังมีอารมณ์” กังฟูทอดถอนใจ “เรากลัวว่าวันนึง พวกนายสองคนจะเบื่อเราที่เราตอบสนองได้ไม่เต็มที่แล้วก็ไปมีคนอื่น... คนที่เขาพร้อมยอมให้พวกนายได้มากกว่า”

เหตุผลของอริยะตรัยคนโตทำเอาวิญญูชะงักงันเนื่องจากที่ผ่านมา คนรักร่างเล็กไม่เคยบอกเล่าเรื่องราวดังกล่าวให้เขารับฟังแม้แต่น้อย แต่เมื่อลองนึกถึงหัวอกของอีกฝ่าย หนุ่มหน้าหยกก็อดพูดจาเอาใจกรกฏไม่ได้ “โธ่คิม! ใครมันจะไปคิดแบบนั้นได้ล่ะ! เรารักคิมนะ... รักมาก รักจนต่อให้ต้องอดทนมากกว่านี้เราก็ทำได้!

“วันนี้อาจจะยังโอเค แต่อนาคตข้างหน้าล่ะ ดิลกล้าการันตีไหม?!
“แต่เซ็กส์ไม่ใช...”
ถ้าจะพูดว่าเซ็กส์ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แล้วทำไมดิลถึงต้องแอบใช้มือให้อาร์ทบ่อย ๆ ?
เฮ่ย! คิมรู้เหรอ?!!” โชคดีที่อริยะตรัยคนพี่พักสายตาลงไปเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน ไม่อย่างนั้นวิญญูคงได้เห็นเขากลอกตามองบนใส่หน้าไปแล้ว

ตรินฉวยโอกาสขณะที่กรกฏยังเฉยอยู่ตะล่อมด้วงอีกคน “เอางี้นะ ดิลลองแทนตัวเองเป็นคิมดูสักครั้งได้ไหม... ลองคิดสิว่าถ้าแฟนสองคนของดิลปรารถนาในตัวดิลแบบไม่มีจุดสิ้นสุด แต่ร่างกายดิลกลับรองรับความต้องการได้อย่างจำกัด อยู่มาวันหนึ่ง... ดิลก็มารู้ทีหลังว่า คนรักทั้งสองต้องหาทางปลดปล่อยให้กันและกันอย่างลับ ๆ อยู่ตลอดเวลา ดิลจะยังสบายใจอยู่หรือเปล่า?”

“เออ ๆ เข้าใจแล้วล่ะน่า!” เด็กวิศวะหน้าหยกทำฮึดฮัดกลบเกลื่อนเมื่อเข้าใจความรู้สึกของกังฟูอย่างถ่องแท้ในท้ายที่สุด

“จริง ๆ ผมกับคิมคุยเรื่องนี้กันมาพักใหญ่ ๆ แล้วล่ะ แต่ในฐานะที่ผมเป็นฝ่ายได้เปรียบกว่าใคร ผมก็ไม่คิดจะหักหาญน้ำใจของคนที่ผมรักทั้งสองคนด้วยเรื่องเซ็กส์เป็นอันขาด ยิ่งถ้าดิลต้อง ยอมลงให้ผม ด้วยแล้วล่ะก็นะ” เต๋อพูดเสริมเสียยาวเหยียด แต่ดูเหมือนวิธีพูดเยิ่นเย้ออ้อมโลกจะไม่ถูกใจแฟนหนุ่มร่างเล็กผู้ใจร้อนเหนือใครในบรรดาพวกเขาทั้งหมด

“พอเลยอาร์ท! เดี๋ยวเราสรุปเอง!” อริยะตรัยคนพี่เอ่ยเฉียบขาดพลางยกฝ่ามือส่งสัญญาณห้ามหมีหนุ่ม

“โอเคครับที่รัก”

กังฟูผงกหัวขึ้นมองหน้าด้วงด้วยสายตาจริงจังก่อนสรุปด้วยน้ำเสียงขึงขังจนคนฟังเกรงใจ “ถ้าดิลยังติดใจว่าทำไมเราถึงรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เราบอกเลยว่าไม่ต้องสงสัยหรอก เพราะมันไม่สำคัญเท่ากับการที่ดิลได้รู้ว่า เรารับได้ที่นายกับอาร์ทมีอะไรกัน แถมเรายังดีใจเสียอีกที่เห็นพวกนายมีความสุข เพราะฉะนั้น... ถ้าไม่อยากให้เราหรืออาร์ทเป็นห่วงก็ช่วยเลิกเหม่อ เลิกคิดมากเรื่องนี้เสียที!

คิม!

ไม่ต้องมาคิมเลย! ตกลงว่าไง? นายโอเคหรือเปล่า?” กรกฏรวบรัดด้วยสีหน้าหงิกง้ำกับน้ำเสียงติดรำคาญ... แน่นอนว่า เมื่อด้วงสังเกตเห็นสัญญาณอันตรายดังกล่าวในระยะเผาขนเช่นนั้น ชายหนุ่มก็ไม่กล้าทำเปรี้ยวเพราะปากไม่ตรงกับใจต่อหน้าอีกฝ่ายได้อีก

“อืม... โอเค โอเคก็ได้”

กังฟูยกยิ้มมุมปากอย่างถูกใจก่อนจะหันไปคาดคั้นเอาคำตอบจากหนุ่มหน้าคมเป็นรายการสุดท้าย “แล้วอาร์ทล่ะ ยังไง? โอเคไหม?”

“หึ หึ... โคตรจะโอเคเลยครับ” เต๋อยักคิ้วพลางแสยะยิ้มโดยจงใจเผยให้ด้วงเห็นเขี้ยวคม ๆ ที่เจ้าตัวใช้เป็นอาวุธลับปลุกอารมณ์เขาจนระทดระทวย... วินาทีนั้น วิญญูบอกไม่ถูกจริง ๆ ว่าเกลียดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของแฟนหนุ่มคนไหนมากกว่ากัน ทว่านั่นกลับไม่ได้ทำให้เด็กวิศวะหน้าหยกตระหนกจนขนลุกขนชันไปทั้งร่างได้ชะงัดดังเช่นประโยคที่ตามมาของกรกฏเลยสักนิด

“ดี! งั้นรอบนี้ขอคิม ลองหน่อยแล้วกัน!” ว่าแล้วกรกฏก็ค่อย ๆ รุกคืบเข้าใกล้อีกฝ่ายอย่างเชื่องช้าหากแต่น่ามองเป็นที่สุด

เฮ่ย! จะดีเหรอคิม?! ไหนเมื่อกี๊บอกว่าไมไหวแล้วไง?!” ด้วงประท้วงเสียงหลง... ถ้าไม่ติดว่าโดนเต๋อรวบเอวไว้ ป่านนี้เขาคงได้ถอยกรูดไปหลบตั้งหลักกบดานในห้องนอนแขกเป็นที่เรียบร้อย

“น่านะ... เห็นดิลกับอาร์ทชอบเราเลยอยากจะ ลอง ดูสักที... ไหน ๆ ดิลก็ รับ ได้แล้วนิ” อริยะตรัยคนพี่ไม่พูดเปล่า... ยืนยันได้จากเสียงร้องโหยหวนของคนใต้ร่างซึ่งยังถูกตรินเกาะกุม สลับกับลวนลามตามความพอใจจนไม่อาจหนีห่างไปไหนได้อีกแล้ว

อย่าคิม!! ไม่เอา!!!




 «»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «»





No comments:

Post a Comment