ก่อนจะเริ่มต้นตอนของคี่รักทั้งสามแบบเต็มอัตราศึก
เรามีการ์ตูนเงียบหลายช่องมาให้ทดสอบสายตากัน
(เป็นเพราะการ์ตูนนี่แหละที่ทำให้ลงนิยายช้า
ฮ่า ฮ่า ฮ่า –
ลายเส้นกาก ๆ หน่อย
อย่าถือสากันนะคะ... เรารีบปั่นมาก)
กดที่รูปแล้วมันจะขยายใหญ่ขึ้นนะคะ
จะได้เก็บรายละเอียดได้
ชอบไม่ชอบยังไง เมนท์ทิ้งไว้ให้เราอ่านพอได้กระชุ่มกระชวยก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งค่ะ
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
The 26th
Bonding
Happy Anniversary!
“เฮ่! อาร์ท!” ชายหนุ่มร่างสันทัดลูกครึ่งจีนอเมริกันผู้เป็นเจ้าของเสียงตะโกนเมื่อสักครู่โบกมือไหว
ๆ ขณะกึ่งเดินกึ่งวิ่งข้ามถนนพุ่งตรงเข้ามาหา
พออีกฝ่ายชักเท้ามาใกล้
ตรินก็คลี่ยิ้มกว้างพลางกระชับอุ้งมือ บีบเบา ๆ พร้อมกับเขย่ามืออีกฝ่าย จากนั้นจึงเอ่ยทักทายคู่หูเดนตายที่กัดฟันสู้ศึกวิชาการบริหารและการจัดการซัพพลายเชนมาด้วยกันเมื่อเทอมที่แล้วอย่างสนิทสนม
“เฮ่ยฟิล! ไปไงมาไง!”
“ก็ไม่ไงว่ะ...
นายอ่ะเป็นไง สบายดี? แล้วนี่มาทำอะไรแถวนี้? มาคนเดียว หรือนัดใครไว้?” ฟิลลิปรัวคำถามใส่เพื่อนร่วมคณะอย่างกระตือรือล้นจนคนถูกถามอมยิ้มในความช่างจ้อไม่เสื่อมคลายของชายหนุ่มต่างเชื้อชาติ
ก่อนจะให้ข้อมูลเท่าที่จำเป็น
“เราสบายดี วันนี้เราแวะมาเอาของแถวนี้น่ะ
นายล่ะฟิล เป็นไงมั่ง?”
“ก็เรื่อย ๆ
เหมือนเดิมนั่นแหละ” เจ้าของประโยคเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
เพราะนอกจากหัวหมุนกับธีสิส และการทำงานตัวเป็นเกลียวเพื่อแลกเงินค่ากินอยู่
รวมถึงค่าดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเล่าเรียนมหาโหดที่ต้องจ่ายให้กับกับธนาคารเจ้าหนี้ในแต่ละเดือนแล้ว
ชีวิตส่วนใหญ่ของเหล่านักศึกษาชาวอเมริกันก็แทบไม่เหลือเวลาไปทำเรื่องโลดโผนมากนัก
“นายอยู่แถวนี้เหรอ?”
อารมณ์หดหู่กลาย ๆ ของคู่สนทนาทำให้หนุ่มไทยหน้าคมรีบเปลี่ยนเรื่องโดยพลัน... แม้จะใช้เวลาด้วยกันเพียงเทอมเดียว
แต่ใช่ว่าเขาจะด้านชาจนสัมผัสความเคร่งเครียดของเด็กป.โทเจ้าถิ่นไม่ได้เสียหน่อย
ชะรอยว่าคำถามของเต๋อจะได้ผล
เพราะฟิลลิปที่ทำหน้าตึงอยู่เมื่ออึดใจก่อนหน้า อยู่ ๆ ก็ยิ้มร่าจนหน้าสว่างกลายร่างเป็นหลอดไฟฟิลลิปไปในชั่วพริบตาเดียว
“เปล่า ๆ ไอแวะมาหาแมทน่ะ... คืนนี้เรดซ็อกส์มีแข่งนัดล้างตากับแยงกี้ อีกเดี๋ยวพวกเพื่อน
ๆ ที่ชมรมก็น่าจะตามมาดูถ่ายทอดด้วยกันที่ห้องไอ้แมทมันนี่แหละ นายสนใจจะไปด้วยกันไหมล่ะ?”
“ขอบใจ
แต่ไว้วันหลังดีกว่า... พอดีคืนนี้เราต้องรีบกลับบ้าน” ค่าที่ปฏิเสธคำชวนของคู่สนทนาทั้งที่ก็รู้ว่าแมทช์เบสบอลซึ่งอีกฝ่ายอ้างถึง
คือ ศึกแห่งศักดิ์ศรีของสองรัฐประจำฝั่งตะวันออก เต๋อจึงจำใจอธิบายเหตุผลที่ทำให้เขาบอกปัดข้อเสนอของฟิลลิปได้ลงคอ
“วันนี้ฉลองครบรอบน่ะ”
“จริงดิ?!
ยินดีด้วยนะ งั้นกลับไปอย่าลืมบอกแฟน
ๆ ของนายด้วยล่ะว่า ไอดีใจกับพวกนายจริง ๆ แล้วก็ขอให้รักกันไปนาน ๆ นะ” ฟิลลิปเอ่ยด้วยน้ำใสใจจริงพลางตบบ่าของหนุ่มชาวไทยคล้ายฝากฝัง
กระนั้นอดีตเด็กสถาปัตย์กลับทำได้แค่ยิ้มรับเพียงชั่วครู่ เพราะเสียงเรียกเข้าคุ้นหูดังแทรกขึ้นเสียก่อน
เต๋อส่งสายตาขอโทษขอโพยคู่สนทนาก่อนจะกดรับสายเมื่ออีกฝ่ายพยักเพยิดยินยอม
“ฮัลโหล ว่าไงครับที่รัก?”
ทันทีที่เห็นสายตาเป็นประกายแวววับคู่มากับเสียงทักทายหวานบาดหู
ฟิลลิฟก็ยกมือขึ้นทำสัญลักษณ์บอกใบ้ พลางเอ่ยโดยไม่ใช้เสียงบอกเพื่อนคนไทยว่าตนจะหาโอกาสโทรคุยด้วยทีหลัง
ก่อนจะโบกมือลาแล้วปลีกตัวเดินหายลับไปอีกทางอย่างว่องไว เด็กเต็กจึงเบี่ยงความสนใจไปที่คนปลายสายพร้อมตบเท้าก้าวเข้าไปในร้านเบเกอรี่ชื่อดังย่านนอร์ธเอนด์ทันที
(อย่าลืมแวะไปเอาเค้กที่ร้านล่ะ...
ออเดอร์ชื่อคิมนะ นายไม่ลืมใช่ไหม?)
“ดิลโทรมาเตือนถูกจังหวะพอดี
ไม่งั้นผมคงต้องหน้าแตกเพราะเผลอบอกพนักงานไปว่ามารับเค้กที่ดีแลนสั่งไว้แน่ ๆ”
เต๋อยิ้มพลางเยินยอเจ้าของชื่อดีแลนหรือด้วงในภาษาไทยไม่หยุดปากด้วยรู้ดีว่า
อีกฝ่ายคงกำลังออกอาการเงอะงะทำตัวไม่ถูกอยู่แน่ ๆ
.
.
.
.
.
(เอ่อ... ก...
ก็ไม่ดีเหรอไง?) ยิ่งเสียงในฟิล์มของคนปลายสายฟังตะกุกตะกักผิดจากเมื่อแรกทักทายมากเท่าไร
เต๋อก็ยิ่งฉีกยิ้มกว้างจนมุมปากแทบจะแตะใบหู... รายนี้พอได้ยินเขาพูดหวาน ๆ ใส่ทีไร
เป็นต้องได้หน้าแดง ไม่ก็ขึ้นเสียงใส่แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเสมอ
“ดีครับ ดีมาก
ๆ เลยครับเพราะผมกำลังคิดถึงดิลอยู่พอดี” ครั้นจะให้ยั้งมือ หนุ่มร่างหมีก็ดันทำไม่ได้...
ก็ด้วงเวอร์ชันเอ๋อ ๆ น่ะน่ารักน้อยเสียที่ไหนล่ะ แต่เพื่อให้ได้อีกฝ่ายเต๊าะไปนาน
ๆ เขาจึงแสร้งเปลี่ยนเรื่องก่อนที่คนรักหน้าหยกชิงตัดสาย “สรุปว่าที่ปีนี้ดิลสั่งเค้กเพราะจะเซอร์ไพรส์คิมเหรอครับ?”
(ก็ของพวกเราไว้กินด้วยกันนี่แหละ
ได้เค้กแล้วก็รีบ ๆ กลับล่ะ คิมชะเง้อรอนายจนคอจะหักอยู่แล้ว)
“อย่าเอาคิมมาอ้างหน่อยเลย...
ดิลคิดถึงผมก็ยอมรับมาดี ๆ เถอะครับ”
(แค่นี้นะ...
ทำกับข้าวอยู่... เฮ่ย!)
แทนที่จะขู่กลับเหมือนที่เจ้าตัวชอบทำ
รอบนี้กลับมีเสียงโครมครามล้งเล้งของเครื่องครัว ดังแข่งกับเสียงอุทานของคนปลายสาย
ได้ยินดังนั้น ตรินก็ยอมวางมือปล่อยเหยื่อหน้าหยกไปโดยง่าย เพราะขืนเขาทู่ซี้แหย่อีกฝ่ายไม่เลิกรา
คืนนี้พวกเขาคงต้องสั่งอาหารจีนมากินฉลองแทนกับข้าวฝีมือด้วงเป็นแน่ “หึ หึ! ครับ ๆ อีกเดี๋ยวเจอกันนะครับที่รัก”
“ที่รัก ผมกลับมาแล้ว!” ตรินส่งเสียงดังพลางวางของพักไว้บนชั้นข้างประตู
ก่อนจะบรรจงถอดเสื้อคลุมกันหนาวกับเครื่องเคราเพิ่มความอบอุ่นอย่างรวดเร็ว
จากนั้นจึงจัดเก็บทั้งหมดใส่ลิ้นชักอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
หลังใช้ชีวิตด้วยกันในต่างแดนได้ไม่นาน
กฏเกณฑ์มากมายก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกของทั้งสามหนุ่ม การตะโกนรายงานสวัสดิภาพพร้อม
ๆ กับบอกสถานะการกลับถึงบ้าน คือ อีกธรรมเนียมที่พวกเขามักจะทำทันทีที่ประตูหน้าถูกไขเปิด
แน่นอนว่า หากสมาชิกคนอื่นคนใดกลับมาถึงก่อน พวกเขาก็มักจะตะโกน ไม่ก็ออกมาต้อนรับผู้ที่เพิ่งมาถึงอย่างอบอุ่นในทันทีทันใดเช่นกัน
“พวกเราอยู่ในครัว!” เสียงตะโกนของพ่อครัวหัวป่าก์ยังไม่ทันลอยลมมาเข้าหูเต๋อ
อริยะตรัยคนพี่ก็วิ่งตื๋อพุ่งเข้ามาสวมกอดหนุ่มร่างหมีเสียเต็มรัก
“อาร์ท... คิดถึง!
ทำไมวันนี้กลับช้า?
ลืมแล้วเหรอว่าวันนี้วันอะไร?!” กังฟูพึมพำกับแผงอกล่ำใต้สเวตเตอร์ขนสัตว์ตัวบางของอีกฝ่าย
“นี่คิมไม่ได้อ่านข้อความผมเหรอครับ? ผมเท็กซ์ไปบอกคิมกับดิลตั้งแต่ตอนเรียนเสร็จแล้วนี่ครับว่าอาจารย์ที่ปรึกษาเรียกไปคุยเรื่องเวิร์คชอปที่ต้องทำเพิ่มก่อนจะรวมเล่มธีสิส”
เวลาคุยภาษาอังกฤษโดยมีกังฟูร่วมวงสนทนา
เต๋อจะลดความเร็วในการพูดลงกึ่งหนึ่ง ข้อดีคือมันไม่ได้เพียงแค่ช่วยทำให้กรกฏได้ฝึกฝนการฟังพร้อมสร้างเสริมความมั่นใจ
หากแต่วิธีดังกล่าว ยังสามารถสื่อความรู้สึกดี ๆ ทั้งหลายที่เขามีต่ออีกฝ่ายผ่านน้ำเสียงอ่อนหวานคำแล้วคำเล่าได้อีกด้วย
“ก็อ่าน แต่อาร์ทกลับช้าจริง
ๆ นิ” ชายหนุ่มตัวเล็กกว่าท้วงเสียงอ่อนจนคนฟังเริ่มปักใจเชื่อสิ่งที่วิญญูบอกทางโทรศัพท์เมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่แล้วขึ้นมาตงิด
ๆ
ภาพของกังฟูขณะตั้งตารอการกลับมาของเขาอย่างจดจ่อทำให้ตรินรู้สึกผิดขึ้นมาถนัดใจ
“ขอโทษนะ... ยกโทษให้ผมได้ไหมครับ?” คนในอ้อมกอดเงยหน้าขึ้นยิ้มพร้อมพยักหน้าให้ อดีตเด็กสถาปัตย์จึงบรรจงละเลียดจุมพิตอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวลสมกับที่เฝ้าคะนึงหามาตลอดทั้งวัน
“ดีกันแล้วนะครับ”
“อือฮึ... ไปกินข้าวกันเถอะ
วันนี้ดิลทำกับข้าวสุดฝีมือเลยนะ” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ถึงว่าสิ กลิ่นนี่หอมตลบไปทั้งบ้านเลย”
ตรินตอบรับคำเชื้อเชิญด้วยการคว้าเอวคนรักเอาไว้พลางเอี้ยวตัวไปฉวยสิ่งของประดามีติดมือก่อนประคองกรกฏเดินทะลุห้องโถงตรงดิ่งเข้าไปในครัว
“ไหน...
วันนี้ดิลทำอะไรครับ?” สิ้นคำ หนุ่มร่างหมีก็ยื่นหน้าไปประกบปากกับพ่อครัวที่ง่วนอยู่หน้าเตาอย่างลวก
ๆ เพราะไม่อยากขัดขวางคนที่กำลังง่วนอยู่กับอาหารมื้อใหญ่
แต่ก่อนจะได้กวาดสายตาสอดส่องเมนูมื้อค่ำ วิญญูก็ทำหน้ายุ่งพลางออกปากไล่
“ไปนั่งรอที่โต๊ะเถอะ
อีกเดี๋ยวก็น่าจะเสร็จหมดแล้ว”
“ต้องเปิดไวน์หรือเปล่า
ผมจะได้ลงไปเลือกให้” เต๋อขันอาสาเพราะเข้าใจว่าค่ำคืนพิเศษเช่นนี้ย่อมคู่ควรกับเครื่องดื่มดี
ๆ สักสองสามขวด แต่คนถูกถามกลับส่ายหน้าโดยไม่ลังเล
“ไว้หลังกินข้าวดีกว่า” ด้วงตอบโดยไม่ละสายตาจากเตาสักวินาที...
ท่าทางตั้งอกตั้งใจกับความพิถีพิถันที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักในพักหลัง ๆ ทำให้หนุ่มร่างหมีอดทักขึ้นไม่ได้
“หืม?!
ดิลทำอาหารไทยเหรอ?”
“เย่ส!!” กรกฏชูกำปั้นอย่างยินดีก่อนจะหันไปยิ้มเย้ยส่งให้วิญญูเหมือนเด็กชอบเอาชนะไม่มีผิด
“บอกแล้วว่าอาร์ทต้องรู้ว่าดิลทำอาหารไทย!”
แทนที่จะเอาเรื่องกังฟู
ด้วงกลับหันไปแยกเขี้ยวยิงฟัน พลางส่งเสียงดุเต๋อทั้งที่อีกฝ่ายไม่มีความผิด “ฮึ่ย!
นายนี่นะ!”
อาการเป็นเดือดเป็นแค้นของคนรักหน้าหยกชวนให้อดีตเด็กวิศวะร่างเล็กกระหยิ่มยิ้มย่องยกใหญ่
“เฮ่ดิล! ยังไม่ลืมใช่ไหมว่าคนทายผิดต้องล้างจานทั้งอาทิตย์?”
“ครับ ๆ ไม่ลืมครับ”
กังฟูผละจากเต๋อแล้วโผเข้าไปกอดเอวของพ่อครัวประจำวันเอาไว้ก่อนซบหน้าลงบนแผ่นหลังกว้างพลางพูดประจบ
“โธ่! อย่าทำหน้างอแบบนั้นสิดิล...
รู้หรอกน่าว่าดิลอยากให้เราชนะ... จริงไหม?”
“หึ หึ...
ครับ” ด้วงรับคำคนรู้ทันล้วจึงวางมือจากหม้อแกงเผ็ดบนเตาพร้อม ๆ กับหมุนตัวหันกลับไปโอบแขนรอบร่างกะทัดรัดอย่างว่องไว
“รักดิลนะ”
“รักคิมเหมือนกันครับ”
ขาดคำ ริมฝีปากของอริยะตรัยคนพี่ก็ถูกจูบมัดจำจู่โจมอีกครา
บรรยากาศจี๋จ๋าหวานฉ่ำตำตาทำเอาอดีตหนุ่มสถาปัตย์รู้สึกคันคอขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
“อะแฮ่ม!!” ใบหน้าหงิกงอของพ่อหมีหน้าคมเรียกรอยยิ้มจากอีกสองหนุ่มได้เป็นอย่างดี
กังฟูจึงรีบหยอดคำหวานเอาใจคนรักอย่างทั่วถึง
“ฮ่า ฮ่า
ฮ่า... พวกเรารักนายหรอกน่าอาร์ท!”
“ผมก็รักพวกคุณครับ...
แต่ตอนนี้ ตั้งสำรับแล้วกินข้าวกันสักทีเถอะ ผมหิวจนจะกินพวกคุณได้อยู่แล้วนะ” เต๋ออ้อนวอนพลางลูบท้องอย่างน่าสงสาร
ได้ยินดังนั้น เจ้าของเวรทำอาหารประจำวันก็เริ่มขยับตัวอีกครั้งอย่างขยันขันแข็ง
“งั้นนายกับคิมช่วยกันยกจานปลากับถ้วยแกงนี่ออกไปเลย
เดี๋ยวฉันตามออกไป”
หลังอาหารมื้อเย็นผ่านพ้น
ทั้งสามหนุ่มก็เปลี่ยนบรรยากาศไปนั่งจิบไวน์เคล้าเสียงเพลงกันตรงโถงส่วนรับแขก “คิมครับ...
คิมต้องไปดูงานเมื่อไรนะ?” เต๋อเปิดประเด็นถามคนรักตัวเล็กที่นั่งละเลียดเค้กอยู่ตรงกลางโดยมีเขากับด้วงนั่งขนาบคนละข้างเหมือนทุกที
“พุธหน้า”
“กลับมาที่นี่ตอนบ่ายวันศุกร์ใช่ไหมครับ?”
เจ้าของคำถามยื่นปลายนิ้วไปปาดคราบสีน้ำตาลมตรงมุมปากคนรักออกอย่างเบามือ ก่อนจะส่งปลายนิ้วเปื้อนช็อกโกแลตกานาชเข้าปากตัวเองเพื่อทำลายหลักฐานจนไม่เหลือซาก
เห็นดังนั้น กรกฏจึงเผลอแลบลิ้นเลียรอบ
ๆ ริมฝีปากตัวเองอย่างอัตโนมัติพลางเอ่ยถาม “ใช่ ทำไมเหรอ?”
“นั่นสิ...นายถามทำไม?
เมื่อวันก่อนคิมเพิ่งบอกพวกเราเองนิ” วิญญูผสมโรงด้วยความสงสัย
ตรินจึงอธิบายเหตุผลแก่คนรักทั้งสองโดยละเอียด
“พอดีผมเพิ่งได้ตารางล่าสุดของอาจารย์ที่ปรึกษามาวันนี้
เลยอยากเช็กให้แน่ใจว่าช่วงที่แกนัดติดตามงานเป็นคนละวันกับวันที่คิมบินกลับจริง ๆ
น่ะครับ”
“จริง ๆ นายจะนัดอาจารย์ฮาร์วีย์เมื่อไรก็ได้นะ
ยังไงฉันก็ไปรับคิมอยู่แล้ว” ด้วงเปรยพลางรินไวน์เพิ่มให้แก้วของอีกคนที่เริ่มพร่องก่อนจะกลับไปเอนหลังนั่งจิบไวน์แกล้มเสี้ยวหน้าอูมใสของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยขณะลิ้มรสขนมหวานอย่างหลงใหลได้ปลื้ม
“ไปด้วยกันนี่แหละ
ผมไม่ได้ติดอะไร คุณไม่ชอบขับรถพวงมาลัยซ้ายไม่ใช่เหรอดีแลน?” เมื่อเห็นว่าเจ้าของชื่อพยักหน้ารับรู้
หนุ่มร่างหมีจึงเปลี่ยนไปยิงคำถามใส่คนนั่งกลางถึงเรื่องเบ็ดเตล็ดประจำวันอื่น
ๆ ที่พวกเขายังไม่ได้พูดถึงในระหว่างมื้ออาหารเมื่อสักครู่ “แล้วเมื่อเช้าที่คุยกับเก็ก
ที่เมืองไทยมีอะไรอัพเดตมั่งไหมครับคิม?”
“ไม่มีหรอก
เก็กมันก็แค่เล่าโน่นเล่านี่ให้ฟังเรื่อยเปื่อยเหมือนเดิมนั่นแหละ” กรกฏค่อย ๆ
เล็มเชอรรี่ที่ถนอมเอาไว้กินเป็นรายการสุดท้ายพลางตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ แต่นั่นกลับทำให้ชายหนุ่มหน้าคมขมวดคิ้วฉับ
“แต่ผมเห็นคิมคุยกับน้องอยู่นานเลยนะ
ทางนั้นมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ไม่หรอกอาร์ท...
ที่มันคุยนานเพราะมันมัวแต่ฝอยเรื่องที่มันนัดกินเหล้ากับพวกเพื่อน ๆ บูบู้หลังจากเรียนจบแบบครบกลุ่มได้สำเร็จน่ะสิ”
กังฟูเจื้อยแจ้วพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากโดยรอบอีกครั้งเพื่อเก็บความเรียบร้อยทันทีที่จัดการเค้กชิ้นใหญ่จนราบคาบ
สำหรับพี่ชายอดีตเดือนมหาลัย
การพูดคุยกับน้องชายที่เมืองไทยผ่านอินเทอร์เน็ตเกือบทุกวันจัดเป็นเรื่องจำเป็นอันน่าเบื่อ
แต่คำตอบล่าสุดกลับเรียกความสนใจของชายหนุ่มอีกสองคนได้ดีเหลือเชื่อ เพราะนานมากแล้ว
กว่าที่พวกเขาจะได้ยินว่าเหล่ารุ่นน้องมารวมตัวกันพร้อมหน้าอีกครั้ง
รอบนี้จึงเป็นด้วงที่หลุดปากถามไถ่ถึงความเป็นไปของเหล่าเพื่อนฝูงพี่น้องซึ่งอยู่อีกซีกโลกทันที
“แล้วตอนนี้แต่ละคนเป็นยังไงมั่งครับ?”
“อืม... ดิลอยากรู้เรื่องของใครก่อนล่ะ?”
กังฟูยิ้มมุมปากพลางทำท่าคิดนิดหนึ่งราวกับต้องการดึงเช็ง “ไอ้แนนดีไหม?”
“หึ หึ... ตามใจคิมเถอะครับ”
ด้วงกับเต๋อต้องกลั้นขำแทบตายเมื่อรู้ว่ารุ่นน้องหัวไข่ได้รับเกียรติเป็นหัวข้อพาดพิงเป็นรายแรก...
ทั้ง ๆ ที่กรกฏมักจะบอกว่าหมั่นไส้น้องมันอยู่เนือง ๆ แท้ ๆ
“พอเรียนจบไอ้แนนก็ทำตัวติดกันกับสารินจนที่บ้านต้องรีบเปิดเพ็ทคาเฟ่ควบศูนย์ดูแลสัตว์เลี้ยงครบวงจรให้แทบไม่ทัน...
.
.
...ไม่ใช่เพราะกลัวว่าไอ้แนนมันจะขาดรายได้หรืออะไรหรอกนะ
แต่เพราะพ่อแม่มันห่วงว่า ถ้าปล่อยไอ้แนนดูดกลืนวิญญาณสารินไปนาน ๆ ลูกเขยอาจจะหลงลืมวิชาที่อุตส่าห์ร่ำเรียนมาตั้งหกปีไปก็ได้”
ทุกครั้งที่สบโอกาสได้รายงานความเป็นไปของคู่แค้นวัยเรียนทั้งหลายให้สองหมีได้รับฟัง
คลังศัพท์รวมถึงทักษะการพูดภาษาที่สองของกังฟูจะลื่นไหล ได้อารมณ์ หนำซ้ำยังถูกแกรมม่า
และรวดเร็วพรั่งพรูรื่นหูราวกับฟ้าผ่าห่าฝนจนคู่สนทนาแทบจะขอร้องให้เจ้าตัวช่วยกรุณาหยุดพักหายใจอยู่บ่อย
ๆ
“แต่เท่าที่ผมอีเมลคุยกับริน
เห็นว่ารายนี้ก็แฮปปี้กับการทำมาหากินแบบที่ได้เจอหน้าแฟนตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงอยู่นะครับ
แถมตอนนี้ที่ร้านก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะที่ร้านมีน้องหมาเยอะ แถมเจ้าของทั้งคู่ก็ยังเป็นอาหารตาของเหล่าสาววายไปเสียอีก”
ตรินแย้งด้วยข้อมูลเบื้องลึกส่งตรงจากเขยกลุ่มที่บัดนี้กลายมาเป็นเพื่อนสนิทอีกคนของตนไปเสียแล้ว
“ก็ดีนะ
ได้ทำงานที่ชอบแถมยังได้อยู่กับคนรัก ถ้าไม่แฮปปี้ก็แปลกล่ะ” วิญญูออกความเห็นก่อนจะซักไซ้ถึงชายหนุ่มที่เหลือ
“แล้วคนอื่น ๆ ล่ะครับคิม? ตอนนี้เป็นยังไงกันบ้าง?”
“ฝาแฝดคนน้องได้งานแล้ว...
ทำงานตรงสาย แต่น่าจะไม่ค่อยสบายใจ เพราะเหมือนที่ออฟฟิศจะขยันปาร์ตี้กันทุกอาทิตย์”
“อืมมม...
ฌอนมันไม่กินเหล้านี่นะ” เต๋อนึกพลางทำหน้าครุ่นคิด
“เจ้าตัวถึงขนาดฝากเก็กมาบอกอาร์ทโดยเฉพาะเลยนะว่า
ถ้าอาร์ทกลับไปเริ่มงานที่ไทยเมื่อไร น้องมันจะลาออกจากที่นี่แล้วไปสมัครเป็นลูกน้องอาร์ททันทีเลยล่ะ”
กรกฏปรายตามองไวน์ในแก้วของด้วงอย่างสนอกสนใจ แต่เจ้าของกลับส่ายหน้าพร้อมส่งสายตาดุ
ๆ ให้แทนคำตอบ ก่อนจะเสนอแนะความคิดให้คนรักหน้าคมนำไปไตร่ตรอง
“ว่าง
ๆ นายก็ทักเฟซไปให้กำลังใจน้องหน่อยสิ เผื่อว่าจะอดทนกัดฟันทำงานสร้างโปรไฟล์ได้สักปีสองปี”
“อืม
ก็ว่าจะทำนั่นแหละ เพราะยังไงซะ ฝีมือเด็กกลุ่มนี้ก็ไม่ขี้เหร่ ต่อไปคงพอเรียกมาทำงานด้วยกันได้อยู่หรอก”
ตรินเออออง่าย ๆ เนื่องจากเมื่อคะเนแล้ว หลังเรียนจบ ตนน่าจะได้รับมอบหมายจากบิดาให้เข้าไปคุมทีมย่อยในส่วนงานสถาปัตย์ของบริษัทเป็นลำดับแรก
“แล้วอิ๊กล่ะคิม?”
ทันทีที่ได้ยินชื่ออคิรา
พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็ทำหน้าเหม็นเบื่อตอบรับแบบฉับพลัน ก่อนจะระบายความหมั่นไส้ผ่านถ้อยคำด้วยความเร็วน้ำไหลไฟดับ
“หึ!
มันก็ยังทำงานเป็นเลขาให้พ่อมันเหมือนเดิม แต่อีกสักพักน่าจะหุ้นกับพวกเพื่อน ๆ มันเปิดบริษัทออแกไนซ์เล็ก
ๆ รับงานเต้นแร้งเต้นกาบ้า ๆ บอ ๆ ตามประสามันนั่นแหละ”
“หึ
หึ งั้นเหรอ” เด็กเต็กหัวเราะชอบใจหลังได้ฟังกังฟูพ่นภาษาอังกฤษแบบไฟแลบ
ฝ่ายวิญญูที่ไม่อยากให้อริยะตรัยคนพี่อารมณ์เสียไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ ก็ชิงเปลี่ยนเรื่องคั่นบรรยากาศในทันทีทันใด
“แฝดคนพี่ล่ะครับคิม?”
“เก็กมันบอกว่ารายนั้นถือโอกาสมาลาเพื่อน
ๆ ไปติดตามเป็นลูกมืออาสาของช่างภาพมือรางวัล ได้ข่าวว่าน่าจะไม่ได้อยู่ติดที่สักเท่าไร
คงจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกหลายปีนั่นแหละ”
“แต่ก็ยังติดต่อกันได้ใช่ไหมครับ?
ไม่ใช่ไปแล้วไปลับหรอกนะ” ใช่ว่าจะไม่เคยได้ยินแผนการหลังเรียนจบของฌานมาก่อน ทว่าเมื่อคิดถึงใจคนรออย่างเหล่ารุ่นน้องที่ปักหลักอยู่เมืองไทย
ด้วงก็อดกังวลในส่วนนี้แทนหนุ่ม ๆ ที่เหลือไม่ได้
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง
ฌานมันส่งอีเมลหาผมทุกเดือนตั้งแต่พวกเรามาอยู่นี่... ดิลลืมแล้วเหรอ?” เต๋อท้วงเสียงนุ่มจนสุดท้าย
อีกฝ่ายก็นึกออก
“เออ...
นั่นสิ”
นับตั้งแต่เริ่มเขียนธีสิส
อาการก่งก๊งหลง ๆ ลืม ๆ ของวิญญูผู้เพอร์เฟคก็เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของทั้งเต๋อและกังฟูครั้งแล้วครั้งเล่า
เรื่องน่าตลกเกี่ยวกับโรคความจำรั่วชั่วคราวของเจ้าตัวเห็นจะเป็น ทุก ๆ ครั้งที่โดนทักเรื่องความป้ำ ๆ
เป๋อ ๆ ด้วงมักจะแสร้งเบลอทำท่าไม่รู้ไม่ชี้กลบเกลื่อน
ก่อนจะหาโอกาสหอบความแค้นมาไล่บี้ลงที่ตรินในภายหลังเสียทุกครั้งไป
ฝั่งหนุ่มร่างหมีที่ชอบแหย่ด้วงยิ่งกว่าอะไรก็มักจะอาศัยความเอ๋อของศิษย์เก่าวิศวะตัวใหญ่มาเรียกสีหน้าเคอะเขินของอีกฝ่ายอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่ายเสียที...
และครั้งนี้ก็เช่นกัน
เพราะกว่าจะไหวตัวทัน หนุ่มหน้าหยกก็โดนอดีตเด็กสถาปัตย์ทำหน้ายียวน พร้อมกับเอ่ยถามด้วยประโยคชวนโมโหใส่เข้าให้อย่างจัง
“เดี๋ยวนี้ใครกันแน่ที่ขี้ลืม หืมดิล?”
และก็เหมือนกับทุกครั้ง
กังฟูก็มักจะตั้งตนเป็นทูตสันถวไมตรีสานความสัมพันธ์อันดีระหว่างคนรักร่างหมีทั้งสองเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความขุ่นข้องหมองใจกันในภายหลัง
“ฮื่ออาร์ท ถ้าจะว่าดิล อาร์ทก็ต้องว่าคิมด้วยสิ เพราะคิมก็จำไม่ได้เหมือนกัน”
“เมื่อกี๊ผมไม่ได้ดุดิลนะคิม
ถ้าคิมไม่เชื่อ... จะถามดิลดูก็ได้นะ” ตรินเอ่ยยิ้ม ๆ พลางส่งสายตากระลิ้มกระเหลี่ยไปแหย่คนนั่งอีกฟาก
วิญญูผู้ตกที่นั่งลำบากหลบตาคมแล้วพูดอ้อมแอ้ม
“ก็แล้วไป”
แก้มแดงปลั่งแข่งกับสีไวน์ของด้วงทำให้เต๋อยอมรามือชั่วขณะ
ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นคนนั่งกลางแทนเสียนี่ “แต่พูดก็พูดเถอะ... ถ้าผมคิดจะดุดิลจริง
ๆ คิมจะทำอะไรผมเหรอครับที่รัก? หืม?” เด็กเต็กเอ่ยเสียงนุ่มอย่างกรุ้มกริ่ม
“ฮื่อ...
อาร์ท!” กังฟูเสมองหน้าด้วงเพื่อขอความช่วยเหลือ
ซึ่งผลพวงจากความแค้นเมื่อสักครู่ทำให้วิญญูพร้อมแทรกกลางขวางขัดความสุขของตรินทุกประการ
ด้านเต๋อก็รับคำท้าด้วยการลอยหน้าลอยตายิ้มยั่วอย่างไม่รู้สำนึก
“พอเถอะ
ฉันอยากรู้เรื่องของเก็กกับบ๊วยแล้วล่ะ... ว่าไงครับคิม?”
“ทันทีที่เรียนจบ
บูบู้มันก็ย้ายกลับไปปากช่อง... ส่วนใหญ่เน้นทำงานที่ไร
แล้วก็รับจ็อบงานออกแบบอยู่ที่บ้านนั่นแหละ”
“หึ
หึ! ที่บอกว่าทำงานที่ไร่น่ะงานจริง
ๆ หรืองานดูแลน้องชายคิมแบบเต็มเวลากันแน่ครับ?”
“รู้แล้วยังจะถามอีกนะอาร์ท”
วิญญูอดเหน็บหนุ่มร่างหมีไม่ได้ค่าที่จิตวิญญาณแห่งการพร้อมไฝว้กำลังลุกโชนได้ที่
ฝ่ายพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยกลับหาได้นำพาไม่
เพราะเมื่อพูดถึงน้องชายกับน้องสะใภ้ กรกฏก็อดนึกถึงภาพความทรงจำดี ๆ
ในวันวานไม่ได้ “จะว่าไปก็คิดถึงเหมือนกันนะ... นี่พวกเราไม่ได้กินข้าวร่วมโต๊ะแบบพร้อมหน้าพร้อมตากับพวกนั้นมานานเท่าไรแล้วเนี่ย?”
“แค่ปีกว่า
ๆ เองครับคิม... เดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนก็ได้เจอกันแล้ว อดทนหน่อยนะ”
“ไม่เอาน่า
อย่ามัวคิดถึงแต่คนอื่นอยู่เลย คืนนี้ต้องเป็นคืนที่พวกเรามีความสุขที่สุดไม่ใช่เหรอ?”
ด้วงยอมวางมือจากสงครามประสาทชั่วคราวเพื่อดึงความสนใจของอริยะตรัยผู้พี่ให้กลับมาอยู่ที่ค่ำคืนนี้โดยพลัน
“นั่นสินะ...
งั้นพวกเรามาดื่มฉลองให้กับวันครบรอบปีที่สี่ของพวกเรากันเถอะ!”
“ชน!”
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“คิม... ทำไมยังไม่นอนอีกครับ?
ปวดเมื่อยตรงไหนหรือเปล่า? หรือว่าไม่สบายตัว?” แทนที่เต๋อจะได้ฟังคำตอบของคนรักที่ยังนอนคว่ำอย่างหมดสภาพอยู่บนเตียง
เสียงของคนรักหน้าหยกที่เพิ่งเดินตัวปลิวออกมาจากห้องน้ำก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน
“หรือว่าคิมอยากต่ออีกรอบครับ?”
ว่าแล้ววิญญูก็ทิ้งตัวลงนอนพลางเอื้อมมือคว้าเอวสอบเปลือยเปล่าของกรกฏมากอดกกไว้แนบกายจนหมีตัวพ่อลืมตัวขึ้นเสียงปรามคนตะกละตะกรามไม่รู้จักพออย่างเอาจริงเอาจัง
“ดีแลน!”
“ล้อเล่นน่า
จริงจังไปได้!”
อาการลอยหน้าลอยตาของเจ้าของประโยคเมื่อครู่ทำให้ตรินต้องยกนิ้วชี้หน้าขู่อีกฝ่ายพลางกำชับเสียงเข้ม
“ให้มันจริง!”
“นี่พวกนาย...
ถามหน่อยสิ” อริยะตรัยผู้พี่ค่อย ๆ ขยับเปลี่ยนอิริยาบทเป็นนั่งพิงหัวเตียงพลางมองหน้าคนรักทั้งสองสลับกันไปมา
เมื่อเห็นว่าสองหนุ่มออกท่าตั้งใจรับฟัง เจ้าตัวจึงเปรยถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “พวกนายว่า
อีกห้าปี... พวกเราสามคนจะเป็นยังไง?”
สีหน้าเคร่งขรึมของกังฟูกระตุ้นเต๋อให้เฉลยคำตอบโดยไม่โยกโย้
“สำหรับผมนะ... ผมคงรับช่วงงานต่อจากคุณพ่อ แล้วก็สร้างบ้านเล็ก ๆ สักหลัง...
บ้านที่พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วถ้าช่วงไหนที่มีวันหยุดยาว ๆ พวกเราก็จะเก็บกระเป๋าไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือต่างประเทศด้วยกัน ไม่งั้นก็ขับรถไปเยี่ยมพวกรุ่นน้องให้หายคิดถึง...
.
.
...นี่แหละ...
อนาคตแบบที่ผมจะทำให้มันเกิดขึ้นนับจากนี้เป็นต้นไป” พูดจบ เจ้าตัวก็คลี่ยิ้มให้กับสมาชิกร่วมเตียงอีกสองคนอย่างอบอุ่น
“ดิลล่ะ
ว่ายังไง?” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยหันไปถามคนรักที่ยังนอนตะแคงเอาศอกเท้าหัวมองพวกเขาไม่วางตา
“ของเราก็เหมือนอาร์ทนั่นแหละ...
เพราะต่อให้อนาคตจะเป็นยังไง แค่เราได้อยู่กับพวกนายแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เราก็พอใจที่สุดแล้ว”
วิญญูสรุปแผนการของตัวเองสั้น ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นฝ่ายซักไซ้เสียเอง “แล้วอนาคตที่คิมคิดไว้เป็นยังไงเหรอ?”
.
.
.
.
.
“พูดตรง ๆ เลยนะ...
เราดีใจมากที่รู้ว่าแผนการในอนาคตของพวกนายไม่ผิดไปจากสิ่งที่เราหวังเอาไว้” กรกฏเอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนจะหรุบตามองฝ่ามือตัวเองที่กุมประสานกันแน่นเหนือตักอยู่ชั่วอึดใจ
จากนั้นจึงยอมเปิดเผยความต้องการที่ไม่เคยปริปากบอกใคร นอกไปเสียจากสมาชิกในครอบครัวเก่าและที่บ้านของบ๊วยให้คนรักทั้งสองร่วมฟังในท้ายที่สุด
“แต่เรายังมีอีกความฝันที่เราอยากจะทำให้มันเป็นจริง”
“หืม?!
อะไรเหรอครับ?”
“อาร์ท... ดิล
หลังจากที่พวกเรากลับเมืองไทยไปแล้ว พวกนายจะโอเคไหมถ้าเราจะไม่ทำงาน...
.
.
.
...เราอยากเป็นพ่อบ้านเต็มตัวให้พวกนายสองคนน่ะ”
“อ้าว!
ไหนก่อนหน้านี้คิมบอกว่าคิมตั้งใจเรียนบริหารเพราะอยากไปช่วยงานดิลยังไงล่ะครับ?” อารามตกใจกับคำตอบของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัย วิญญูในสภาพบ็อกเซอร์ตัวเดียวก็ดีดตัวขึ้นนั่งหลังตรงหน้าตึงเปิดปากประท้วงอย่างถึงพริกถึงขิงทันที
จะไม่ให้ด้วงเดือดร้อนได้อย่างไร
ในเมื่อเขาหมายมั่นปั้นมือหวังให้อีกฝ่ายเป็นเลขาส่วนตัวเอาควบคนรู้ใจทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ตั้งแต่เช้าจรดเย็น
อุตส่าห์อยากลองเล่นรักในที่ทำงานเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้างอะไรบ้าง... หมดกัน ความใฝ่ฝันอันหฤหรรษ์ของพดด้วงน้อย!
“ใจเย็นดีแลน...
ฟังคิมให้จบก่อน อย่าเพิ่งด่วนสรุปสิ” เต๋อพยายามไกล่เกลี่ยอย่างเป็นกลาง
“เหตุผลที่เราเปลี่ยนใจ
ไม่ใช่แค่เพราะเราขี้เกียจหรืออะไรหรอก...
...อันที่จริง...
ที่เราบอกว่าเราอยากเป็นพ่อบ้านให้พวกนายมันก็ไม่ใช่เสียทีเดียว...
...คือ...
เรา...
.
.
...เรา...
.
.
...เราอยากอยู่บ้านเลี้ยงลูกมากกว่าน่ะ...
...ดิล อาร์ท...
เราอยากมีลูก” ที่สุดแล้ว กังฟูก็ยอมเอื้อนเอ่ยความต้องการออกมาอย่างจะแจ้ง ซึ่งก่อนที่ใครจะโต้ตอบคำใด
ตรินก็โถมตัวเข้ากอดร่างเปลือยเปล่าของคนรักตัวเล็กเอาไว้ก่อนจะหลุดปากละล่ำละลักความในใจเป็นภาษาแม่ด้วยความดีใจหาใดเปรียบ
“จริงเหรอฟู?! ฟูพูดจริงใช่ไหม? ฟูอยากมีลูกกับพวกเราจริง ๆ ใช่ไหมครับ?!”
“หึ หึ หึ
นี่อาร์ทดีใจจนหลุดพูดภาษาไทยเลยนะ รู้ตัวหรือเปล่า?” แม้จะยินดีกับอากัปกิริยาของหนุ่มร่างหมี
แต่อริยะตรัยผู้พี่ก็อดแซวคนรักหน้าคมผู้ตั้งกฏพูดภาษาอังกฤษตลอดระยะเวลาที่ทั้งสามอาศัยอยู่ในประเทศอเมริกาไม่ได้
กระนั้นแล้ว ความรู้สึกปีติอย่างสุดกลั้นกลับยังไม่จางหายไปจากใจของอดีตเด็กสถาปัตย์เลยสักนิด
“รู้สิครับ
แต่มันดีใจจริง ๆ นี่นา!” เต๋อยังคงโต้ตอบด้วยภาษาไทยอย่างแคล่วคล่องว่องไวและเริงร่าถึงขีดสุดจนควรค่าแก่การหยุดยั้งด้วยพลังความหมั่นไส้จากฝีปากของหมีอีกหนึ่งหนุ่ม
“แล้วก็อย่าลืมไปหยอดเงินค่าปรับเสียด้วยล่ะ!” ด้วงตอกย้ำพลางแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายโดยลืมนึกไปว่า
ความแข็งแรงของผิวหน้าของอดีตเด็กสถาปัตย์ไม่เป็นสองรองใคร
“เดี๋ยวหยอดร้อยนึงเลยก็ได้
พอใจไหมครับที่รัก? หืม?” ตรินลอยหน้าตอบพลางทำตาเจ้าชู้ใส่ ก่อนจะก้มหน้าลงเจราจาการใหญ่กับคนตัวเล็กในวงแขนด้วยเสียงในฟิล์มอีกครั้ง
“คิมพูดจริงใช่ไหมครับ? คิมอยากมีลูกจริง ๆ เหรอ? ผมไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหมครับ?”
“หึ หึ หึ...
ก็ใช่น่ะสิ เราคิดมานานแล้วว่าเราอยากมีลูก... ยิ่งถ้าได้มีลูกกับดิลและอาร์ท เราคงจะยิ่งมีความสุขไปกันใหญ่”
กรกฏยืนยันหนักแน่น
“เย่สสส! ผมดีใจที่สุดเลยคิม ถ้าเรามีลูกด้วยกัน
พวกเราต้องมีความสุขมาก ๆ อย่างที่คิมว่ามาแน่ ๆ !”
ยิ่งเต๋อออกอาการยินดีเป็นบ้าเป็นหลังมากขึ้นเท่าไร
ด้วงก็ยิ่งนิ่งไปจนพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยเริ่มใจไม่ดี “แล้วดิลล่ะ ไม่ดีใจเหรอ?
หรือดิลไม่อยากมีลูก? ดิลไม่ชอบเด็กเหรอ?”
“โธ่คิม...
เปล่าครับ คิมก็รู้นิว่า อะไรที่คิมอยากได้ เราก็พร้อมจะบันดาลให้เสมอ” วิญญูตอบพร้อมรอยยิ้มแล้วจึงอธิบายสั้น
ๆ “คิมอยากมีลูกกับเรา...
ทำไมเราจะไม่ดีใจล่ะ”
“แต่ดิลเงียบเหมือนไม่พอใจอะไรอยู่งั้นแหละ”
“ที่เราไม่พูดอะไร
เพราะเรากำลังคิดอยู่ว่า ถ้าพวกเราตัดสินใจจะมีลูกจริง ๆ พวกเราจะต้องทำอะไรบ้าง
หรือจะมีปัญหาอะไรที่ต้องเตรียมหาทางรับมือแต่เนิ่น ๆ หรือเปล่า... อะไรเทือก ๆ
นั้นน่ะ” ไม่ว่าเมื่อไร ด้วงก็ยังจะเป็นด้วงที่คอยคิดใคร่ครวญทุก ๆ เรื่องที่เกี่ยวพันกับคนรักทั้งสองล่วงหน้าอยู่เสมอ
จนบางครั้งทั้งกังฟูและเต๋อก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“อย่าเพิ่งคิดมากสิดิล
ไว้พวกเราลองหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อนแล้วค่อยวางแผนเรื่องอื่น ๆ
กันอีกทีดีไหม?” เด็กเต็กปลอบพลางกวักมือเรียกคนรักที่นั่งอยู่ห่างออกไปให้เขยิบเข้าใกล้ในระยะสัมผัสถึงกันได้ง่ายกว่าที่เป็น
“นั่นสิ มันอาจจะไม่ได้มีอะไรยุ่งยากอย่างที่ดิลกังวลก็ได้นะ”
กังฟูเอื้อมมือไปคว้าแขนของคนที่เพิ่งย้ายมานั่งพิงแขนอีกข้างของเต๋อมาลูบเบา ๆ
อย่างเอาอกเอาใจ
“โชคดีจริง ๆ
ที่ตัดสินใจมาเรียนต่อที่อเมริกา... ดู ๆ ไปแล้วที่นี่น่าจะมีคลินิกเฉพาะทางสำหรับให้คำปรึกษาเรื่องลูกให้กับคู่รักอย่างพวกเราเยอะกว่าที่เมืองไทย”
ตรินสรุปด้วยน้ำเสียงแช่มชื่น สีหน้าและแววตาของชายหนุ่มในยามนี้ช่างเต็มเปี่ยมด้วยความหวังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...
ลูก เขากำลังจะมีลูกกับฟูและด้วง ให้มันได้อย่างนี้สิ!!
เพื่อความแน่ใจ
อริยะตรัยคนพี่จึงสรุปกับคนรักร่างหมีทั้งสองอีกครั้ง “ตกลงว่าพวกนายโอเคที่เราคิดจะมีลูกใช่ไหม?”
“ครับ!”
“ถ้างั้นเรียนจบแล้วเราก็มีกันเลยนะ
คิมอยากเจอหน้าลูก ๆ ของเราเต็มทีแล้ว!” กรกฏเอ่ยอย่างวาดหวัง กระนั้นถ้อยคำเมื่อสักครู่กลับทำให้วิญญูเบิกตาโพลงด้วยความตกใจซ้ำสอง
“หืม?!
ลูก ๆ ? ลูก ๆ
เหรอครับคิม?”
“ใช่! คิมอยากได้ลูกแฝด และก็ต้องเป็นแฝดสามด้วย...
เด็ก ๆ จะได้มีเพื่อนยังไงล่ะ” กังฟูตอบรับเสียงดังฟังชัดแถมยังจัดรอยยิ้มหวานจ๋อยเป็นของสมนาคุณให้แก่คนมองอีกต่างหาก
“จะไหวเหรอคิม?
แค่คนเดียวก็เลี้ยงยากแล้วนะ แต่นี่ตั้งสามคนเลยนะครับ”
ด้วงทันทานด้วยความเป็นห่วงคนรักตัวเล็กสุดประมาณ แต่นั่นกลับไม่ใช่สิ่งที่กังฟูปริวิตกแต่อย่างใด
“ต้องไหวสิ
มีลูกเยอะ ๆ น่ะดีออกนะดิล ยิ่งมีเด็ก ๆ อยู่รวมกันหลาย ๆ คน พวกเราก็จะยิ่งมีความสุขแบบทวีคูณไปกันใหญ่เลยนะ”
จู่ ๆ
เต๋อก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ชายหนุ่มจึงเอ่ยแทรกขึ้นทันควัน “ถึงว่าสิ นี่คงเป็นเหตุผลที่คิมยอมกัดฟันเรียนโทจิตวิทยาเด็กออนไลน์เพิ่มอีกใบ...ใชไหมครับ?”
“อือฮึ!” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยพยักหน้าหงึกหงัก
“น่ารักจริง ๆ
เลย แฟนใครเนี่ยฮึ” ถ้าทำได้ ตรินอยากจะแห่พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยไปรอบ ๆ
เมืองให้สมกับความทุ่มเทเพื่อสายเลือดของพวกเขาในภายภาคหน้าเสียจริง ๆ
“แต่คิมจะเลี้ยงลูก
ๆ ของเราเองจริง ๆ น่ะเหรอครับ? เลี้ยงเด็กนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยนะ” วิญญูยังคงไม่คลายใจเพราะลำพังทุกวันนี้
ตัวเขาเองยังดูแลคนรักทั้งสองได้ไม่ดีเท่ากับที่เคยตั้งปณิธานเอาไว้... ยิ่งช่วงใกล้กำหนดส่งปริญญานิพนธ์แบบนี้
เขาก็ยิ่งเผลอเรอตกนั่นหล่นนี่จนโดนหนุ่มร่างหมีล้อให้ต้องอับอายอยู่แทบไม่เว้นแต่ละวัน
แล้วกับลูก ๆ ล่ะ ชายหนุ่มจะเอาความกล้าที่ไหนมามั่นใจ?!
อย่างไรก็ดี
แม้ความปริวิตกจะปกคลุมหัวใจของด้วงจนหวาดหวั่น เขากลับยังมีคนรักที่พร้อมจะร่วมหัวจมท้ายไปกับเขาทุก
ๆ ที่อยู่อีกตั้งสองคน“ถ้ามันยากนักนะดีแลน พวกเราก็ช่วยกันเลี้ยงสิ... เรามีกันตั้งสามหัว ทำไมต้องกลัวว่าจะเลี้ยงลูกเราเองไม่ไหวล่ะ?”
“ใช่! ทุกวันนี้ดิลน่ะดูแลเราสองคนดีจะตาย
เชื่อคิมเถอะว่าดิลต้องเลี้ยงลูกได้เก่งไม่แพ้ใครแน่ ๆ ดีไม่ดี... อาจจะเก่งกว่าคิมเสียอีกน้า”
น้ำเสียงหนักแน่นของทั้งเต๋อและกังฟูช่วยปัดเป่าความกังวลของวิญญูให้หายวับไปในพริบตา
ที่สุดแล้วหนุ่มหน้าหยกจึงสามารถยอมรับความต้องการของเสียงส่วนใหญ่ได้โดยไม่ลังเลใจอีกต่อไป
“อืม ถ้าคิมว่าอย่างนั้น พวกเรามาลองพยายามไปด้วยกันสักตั้งก็ได้”
“ขอบคุณนะดิล...
ขอบคุณนะอาร์ท นี่เป็นของขวัญวันครบรอบที่ดีที่สุดเลยล่ะ” กรกฏโผเข้ากอดคนรักทั้งสองด้วยน้ำตาแห่งความปลาบปลื้ม
แต่ยังไม่ทันที่น้ำใสคลอหน่วยตาหยดใด ๆ จะได้หยาดรดปรางนวลผ่อง เพราะเจ้าของหัวใจตาคมก็พรมจูบซับน้ำตาให้พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยอย่างอ่อนโยน
“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณคิม
ขอบคุณนะครับที่คิดเรื่องอนาคตของพวกเราอย่างจริงจัง... ขอบคุณที่อยากมีลูก ขอบคุณ
ที่รักผม” ตรินเปล่งวาจาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเมื่อตระหนักชัดแล้วว่า เรื่องวิเศษสุดอันเหลือเชื่อซึ่งเป็นสุดยอดความปรารถนาของตนกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า
“ดิลก็เหมือนกัน... ขอบคุณมาก ๆ ที่ยอมรักผมอีกคน
ชีวิตผมสมบูรณ์ได้เพราะพวกคุณจริง ๆ ”
ทันทีที่ทั้งด้วงและกังฟูตื่นเต็มตา
ทั้งสองก็เห็นกระดาษโน๊ตสีครีมใบหนึ่งวางหราอยู่ตรงโต๊ะวางมือถือข้างเตียง ใจกลางแผ่นกระดาษปรากฏลายมือคุ้นตาของคนรักร่างหนาทิ้งเอาไว้แทนตัว
‘อรุณสวัสดิ์ครับที่รัก... หิวหรือยัง?’
‘ผมเตรียมอาหารเช้าไว้ให้ในครัวแล้วนะ...
น่าเสียดายที่เช้านี้ผมต้องไปเรียนก่อนเลยไม่มีโอกาสกินข้าวพร้อมพวกคุณ’
‘หวังว่าพวกคุณจะประทับใจกับอาหารเช้ามื้อนี้นะครับ... รัก อาเธอร์’
แม้จะแปลกใจกับการทักทายที่ผิดแผกไปจากปกติวิสัยของชายหนุ่มร่างหมี
แต่วิญญูก็จับจูงอริยะตรัยผู้พี่มุ่งออกจากห้องนอนไปยังปลายทางซึ่งตรินระบุเอาไว้โดยไม่ละล้าละลัง
บนโต๊ะอาหารตัวเดิม
ไม่ได้มีเพียงอาหารเช้าและผลไม้วางอยู่เท่านั้น หากแต่ยังมีแจกันแก้วเจียระไนขนาดใหญ่ประดับโต๊ะไม้ทั้งตัวให้ยิ่งดูหรูหราและมีชีวิตชีวาเพราะดอกไม้สดหลากสีสันที่ปักแน่นอยู่ภายใน
เบื้องหน้าเก้าอี้ประจำของชายหนุ่มทั้งคู่ มีของขวัญกล่องใหญ่วางกำกับคล้ายอาศัยตำแหน่งชี้ชัดความเป็นเจ้าของ...
เมื่อทั้งสองเปิดดูในภายหลัง พวกเขาจะพบกับนาฬิกาข้อมือเรือนที่ด้วงเที่ยวตามล่ามาหลายปี
และกระเป๋าสะพายใบใหม่ที่คนให้เจาะจงว่า อริยะตรัยผู้พี่จะต้องนำติดตัวไปใช้ตลอดการเดินทางในอาทิตย์หน้า
แต่คงจะอีกนาน
กว่าที่ของขวัญเนื่องในโอกาสวันครบรอบการคบกันเป็นปีที่สี่ทั้งสองชิ้นจะได้รับการชื่นชมจากอดีตหนุ่มวิศวะต่างไซส์
เพราะทันทีที่ทั้งคู่เห็นข้อความในการ์ดใบเล็ก ๆ ที่ถูกจัดวางเรียกสายตาอยู่ตรงกลางโต๊ะอาหาร
ความรู้สึกตื้นตันจนไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดใด ๆ ก็ทำให้ทั้งคู่วุ่นวายอยู่กับการเช็ดน้ำตาให้กันและกันอยู่อีกหลายนาที
‘คิม ดีแลน... แต่งงานกับผมได้ไหมครับ?’
«♥»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «♥»
No comments:
Post a Comment