Monday, July 4, 2016

«♥» บน บานฯ สาน รัก «♥» The 25th Bonding || 04.07.2015



ตอนนี้อาจจะสั้นสักหน่อย (ตอนหน้าก็คงเหมือนกัน แหะ ๆ ขอโต๊ด!!)
นอกจากสั้นแล้ว ก็อาจจะไม่มีเนื้อหาอะไรมาก
แต่เนื่องจากมันเป็นการเปลี่ยนถ่ายคู่สู่คี่สาม
เราเลยต้องเก็บปมของคู่หลักภาคที่แล้วให้หมดห่วงกันไป
ทำใจกับความเลี่ยนของพี่หมีหน่อยนะคะ
บังเอิญพ่อคุณมีแฟนคนเดียวน่ะค่ะ นางเลยเห่อมากหน่อย
(คนอ่าน: แล้วบูบู้ไปมีแฟนสองคนตอนไหน?!)


อ้อ! ตอนท้ายสุดเราเอารูปหนุ่ม ๆ รับหน้าฝนมาฝากค่ะ หวังว่าจะชอบกันนะคะ^^





«»------------------------------------------------------------------------------------«»



The 25th Bonding
รักคุณยิ่งกว่าใคร




เสียงแจ้งเตือนของโปรแกรมแชทยอดนิยมที่ดังรัวยามเช้าตรู่ของวันเสาร์ทำให้วิญญูพลิกตัว เท้าข้อศอกข้างหนึ่งลงกับฟูกก่อนจะเหยียดแขนอีกข้างจนสุดความยาวเพื่อเอื้อมไปกวาดมือถือทั้งสามเครื่องตรงโต๊ะข้างหัวนอนมากดปิดเสียงเรียงกัน จากนั้นจึงทิ้งน้ำหนักใส่เตียงนุ่มในทันใดคล้ายยอมแพ้พ่ายให้แก่แรงดึงดูด ทว่าขณะที่ใกล้จะเคลิ้มหลับ ชายหนุ่มกลับรู้สึกถึงวงแขนแกร่งหนาที่สอดเข้าใต้ร่างอย่างฉับพลัน  รู้ตัวอีกทีก็โดนคนนอนข้างกันรั้งตัวไปกอดเข้าให้แล้ว


“ทำไร?” เจ้าของวงแขนครางถามเสียงแผ่วเครือ

“ปิดเสียงมือถือ” ด้วงหลับตาตอบงึมงำพลางขดตัวซุกเข้าซอกแขนอีกฝ่ายหลังเครื่องปรับอากาศถึงรอบระบายระลอกความเย็นยะเยือกออกมาอีกครั้ง

“โทษที เมื่อคืนลืมปิด”

“ไม่เป็นไร... นอนต่อเถอะ”  คิวท์บอยเลื่อนฝ่ามือไปวางเหนือหน้าท้องเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายแล้วเคาะปลายนิ้วเบา ๆ เป็นจังหวะเพื่อกล่อมคนรักร่างหนาให้กลับสู่นิทรารมย์ไปพร้อม ๆ กัน  แต่ไม่กี่อึดใจให้หลัง เด็กวิศวะกลับถูกสัมผัสขยุกขยิกหยอกเย้าที่ค่อย ๆ กลายเป็นเคล้าคลึงสะเปะสะปะทั่วไปทั้งหน้าอกฉุดรั้งให้มีสติรับรู้ขึ้นมาอีกหน

“เต๋อ... มึงตื่นแล้วเหรอ?” วิญญูหยีตาเชิดหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายพลางตรึงมือขยันเอาไว้ไม่ให้ขยับ ฝ่ายคนถูกถามก็คลี่ยิ้มละไมส่งให้พร้อมกับกระซิบถ้อยคำยั่วเย้าจนใบหน้าขาว ๆ ของด้วงขึ้นสีแดงระเรื่อ  

“อือ... ตื่นแล้ว... ตื่นทั้งตัวเลย ถ้าไม่เชื่อจะจับดูก็ได้นะ” หนุ่มร่างหมีปิดท้ายประโยคด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ตามด้วยสีหน้าทะลึ่งทะเล้นที่ทำให้คนเป็นแฟนยิ่งเคอะเขินจนวางหน้าไม่ถูก  

“พ่องดิ!” ปฏิกิริยาตลก ๆ ของด้วงทำตรินหัวเราะร่าราวกับถูกใจ แต่แล้วอยู่ ๆ เจ้าตัวก็กลับนอนนิ่งเฉยไม่เอื้อนเอ่ยคำใดจนอีกฝ่ายชักใจไม่ดี

“เต๋อ... มึงคิดอะไรอยู่?”

กระทั่งเจาะจงถามไถ่ ด้วงกลับได้ยินเพียงเสียงลมหายใจหนัก ๆ ดังแทรกเสียงคำรามของคอมเพรซเซอร์เป็นระยะ ๆ เท่านั้น  อาการไม่พูดไม่จาของคู่สนทนาทำเอาคิวท์บอยหน้าหยกอยู่ไม่สุขถึงกับต้องชะโงกหัวขึ้นมองหน้าคนรักอย่างเอาเป็นเอาตาย


“เต๋อ... นี่มึงโกรธกูอยู่หรือเปล่า?”

“คิดว่ากูโกรธมึงเรื่องอะไร? หืม?” เด็กสถาปัตย์ถามเสียงอ่อนเสียงหวานพลางเลิกคิ้วมองคนรักด้วยความสงสัย เมื่อคิดถึงคำตอบแรกที่อยู่ในใจ ด้วงก็นิ่งชะงักไปพักใหญ่  ก่อนจะอ้อมแอ้มเฉลยความตามที่ตนทึกทักได้อย่างไม่ใคร่จะเต็มเสียงนัก
.
.
.
.
.
.
.
“ก็ที่กูไม่ จับไง”

หนุ่มตาคมหลุดหัวเราะให้กับมุมน่ารักน่าเอ็นดูที่วิญญูแสดงออกทีเผลอ  ก่อนจะเหนี่ยวหัวไหล่อีกฝ่ายให้ทิ้งตัวลงนอนหนุนอก “มึงนี่น้า” ตรินเอ่ยด้วยน้ำเสียงชอบใจก่อนจะลูบผมเงาสลวยของจอมวิตกในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม “กูคิดเรื่องอื่นอยู่ต่างหาก”

“ถ้ามึงไม่อยากให้กูคิดมาก มึงก็อย่าเงียบแบบนี้ดิเต๋อ... ถามจริง ๆ มึงเป็นอะไร? กลุ้มใจเรื่องอะไรอยู่หรือเปล่า?” ด้วงกังวลจนหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะเมื่อไรก็ตามที่เต๋อนิ่งเงียบ นั่นจะหมายความว่าเจ้าตัวกำลังประสบกับปัญหาบางอย่างและยังคงกระวนกระวายกับการเฝ้าหาคำตอบอยู่ทุกขณะจิต

คนถูกถามถอนหายใจเสียยืดยาวอีกคำรบก่อนจะเกริ่นนำ “กูก็ไม่ได้กลุ้มใจเสียทีเดียว... กูแค่คิดว่ามันถึงเวลาที่พวกเราสามคนควรจะต้องจับเข่าคุยกันแบบจริง ๆ จัง ๆ เสียที”

“หือ?! คุยอะไร?”ด้วงซักไซ้ด้วยความกระตือรือล้น แต่แทนที่จะได้ฟังคำตอบ คนนอนอยู่อีกฟากของเตียงก็ส่งเสียงงัวเงียแทรกขึ้นเสียก่อน

“...หิว!...”

“หืม?! ตื่นแล้วเหรอครับฟู?” หนุ่มร่างหมีทักอริยะตรัยคนพี่ที่ค่อย ๆ บิดตัวเปลี่ยนท่านอน ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยการยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาก่ายพาดกายท่อนล่างของเต๋อเอาไว้อย่างถือวิสาสะ  

“อืม หิวจังเลย” กรกฏตอบพลางค่อย ๆ เลื้อยกระดึ๊บ ๆ ขึ้นไปนอนทับร่างของพ่อหมีตัวใหญ่โดยไม่ยอมลืมตา ฝ่ายด้วงผู้ยึดความสุขของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยเป็นสรณะก็กระวีกระวาดตอบรับคำขอลอย ๆ ที่ว่าอย่างทันท่วงที  

“ฟูหิวแล้วเหรอครับ? งั้นเดี๋ยวลุกเลยนะ ด้วงจะออกไปเตรียมข้าวเช้าให้เอง”

“อือ” สิ้นเสียงเออออ หนุ่มวิศวะตัวเล็กก็ยกตัวขึ้นก่อนจะยื่นหน้าไปประกบริมฝีปากกับคิวท์บอยอย่างรู้งาน ทว่าบทจูบอันวาบหวามหากแต่อ่อนหวานมีอันต้องยุติลงพลันเมื่อคนนอนกลางเริ่มรู้สึกว่ามันชักจะเนิ่นนานจนใกล้จะบานปลายเข้าไปทุกที

“พอเลยมึง!” กรรมการห้ามมวยจากสถาปัตย์สั่งเสียงเข้มพลางจับปลายคางของกังฟูให้เบี่ยงหลบริมฝีปากวาวเลื่อมน้ำเชื่อมเยิ้มของวิญญูในอึดใจนั้นเอง “ไปทำกับข้าวก่อนแล้วค่อยมาจูบต่อ!

“จิ๊! ขี้หวง!”ด้วงชักสีหน้าพลางแขวะอย่างเหลืออด แต่ตรินกลับหาได้ยี่หระไม่

“ยังจะเถียงอีก ถ้าฟูปวดท้องขึ้นมานะมึงจะโดน!

“ไอ้จอมเผด็จการเอ๊ย!” หลังโดนแฟนร่างหมีชี้หน้าคาดโทษ หนุ่มวิศวะก็ส่งเสียงบ่นพึมพำในลำคอพลางผุดลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะเดินกระทืบเท้าปึงปังออกจากห้องไปด้วยความอึดอัดขัดใจเหลือแสน  


แม้จะตัดปัญหาไปได้หนึ่งเปลาะ แต่ร่างเล็กที่ยังคงเกาะหนึบอยู่บนตัวก็ส่อเค้าว่าน่าจะสร้างความลำบากใจให้กับเขาได้อีกยกใหญ่ เพราะแทนที่กรกฏจะลุกขึ้นไปจัดการตัวเองให้พร้อมสรรพรับวันใหม่ พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยเวอร์ชันทำลายความยับยั้งชั่งใจกลับเห็นเต๋อเป็นเป้าหมายต่อไปเสียอย่างนั้น

“ฮื่อ เดี๋ยวครับฟู” หลังจากหลงมัวเมาไปกับจุมพิตดูดดื่มอยู่พักใหญ่ๆ ตรินก็หักใจเบี่ยงหน้าหลบริมฝีปากลูกอีช่างจูบเพื่ออ้อนวอน “พอก่อนนะ ไปล้างหน้าก่อนเถอะครับ จะได้ออกไปกินข้าวกันไง” กระนั้นแล้ว อีกฝ่ายกลับไม่สนใจ หนำซ้ำยังเริ่มพรมจูบไปทั่วใบหน้าคมคายอย่างเพลิดเพลิน  

“ฟู... ฟูหิวไม่ใช่เหรอครับ?” 

แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่า สิ่งที่ตนทำตรงข้ามกับเสียงเรียกร้องและความกระหายอยากภายในใจ ทว่าเมื่อตระหนักถึงสุขภาพของอีกฝ่ายเป็นสำคัญ หนุ่มสถาปัตย์จึงไม่อาจปล่อยให้ความปรารถนาเข้าครอบงำจนทำให้สถานการณ์ยิ่งยืดเยื้อบานปลาย... ยิ่งหลังจากค่ำคืนที่เขาและด้วงเผลอเอาเปรียบอีกฝ่ายจนหมดแรงอยู่หลายยกด้วยแล้ว ชายหนุมก็ยิ่งไม่อยากให้คนรักร่างเล็กต้องหิ้วท้องรออาหารมื้อแรกของวันนานเกินควร   

จริงอยู่ที่แม้จะคิดได้เช่นนั้น  แต่ความรู้สึกเร้ารัญจวนกลับทำให้ตรินหลุดปากครางหวือทันทีที่ฝ่ามือของกรกฏเริ่มลูบคลำบีบขยำไปถ้วนทั่ว โดยที่พร้อมกันนั้น... เจ้าตัวก็ยังไม่หยุดระรานทุกตารางนิ้วบนใบหน้าของเขาด้วย ปลายจมูก และริมฝีปากอ่อนนุ่มชุ่มฉ่ำซึ่งนับเป็นอาวุธอันทรงพลังที่ทำให้อำนาจฝ่ายดีของเต๋อถดถอย... แถมที่น่าเป็นห่วงยิ่งไปกว่านั้นเห็นจะเป็น การที่ฟูน้อยออกอาการตื่นเต้นเป็นรูปธรรมจนคนโดนค้ำอยู่ใต้ร่างรู้สึกได้ความแข็งขันอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงนั่นอย่างไร  


“ฟูครับ ฟูรู้ใช่ไหม ถ้าฟูไม่หยุด... เต๋อจะไม่ห้ามตัวเองแล้วนะ” หนุ่มร่างหมีดึงสติคนรักด้วยน้ำเสียงกึ่งวิงวอนกึ่งปราม แต่คำตอบผ่านคำพูดเชื้อเชิญของกังฟูที่ได้ยินใกล้ ๆ ใบหูกลับทำให้ฟางเส้นสุดท้ายที่เปราะบางยิ่งกว่าอะไรขาดสะบั้นลงในพริบตา

“ห้ามไม่ได้ก็ไม่ต้องห้ามสิ... ทีฟูยังไม่ห้ามเต๋อเลย” ไม่ต้องเห็นกับตา เต๋อก็รู้ดีว่าคนพูดกำลังยั่วยิ้มยวนตายวนใจเขาสักเพียงไหน... พับผ่าสิ! จากที่คิดว่าจะไม่ยอมตามใจ กลายเป็นว่าเขาดันทนไม่ได้เสียเอง!!

“งั้นแค่ชักพอนะ จะได้รีบไปกินข้าว” เด็กเต็กละล่ำละลักพลางยันตัวขึ้นนั่งทันทีหลังจากโดนอริยะตรัยคนพี่สอดฝ่ามือข้างหนึ่งล้วงผ่านขอบกางเกงเข้าไปรุกล้ำทำคะแนนกับพื้นที่อ่อนไหวเป็นที่เรียบร้อย  

“เดี๋ยวครับฟู... ไว้ทำในห้องน้ำนะ จะได้อาบน้ำทีเดียวเลย” คนพูดสรุปเร็วรี่พร้อมกับกระเตงหนุ่มร่างเล็กซึ่งสวมเพียงเสื้อนอนตัวโคร่งเข้าแนบเอวพลางถอดกางเกงนอนขายาวของตนออกระหว่างทางอย่างมืออาชีพ ก่อนจะช่วยอีกฝ่ายปลดเปลื้องพันธนาการด่านสุดท้ายออกด้วยความว่องไว จากนั้นทั้งสองก็ปล่อยให้ภาษากายปลุกเร้าความต้องการของกันและกันให้ลุกโชติช่วงจวบจนเดินล่วงผ่านลับหายเข้าห้องน้ำไปในไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น




วิญญูซึ่งกำลังเริ่มจัดโต๊ะอาหารถึงกับเอ๋อไปชั่วขณะเมื่อโดนคนตัวใหญ่กว่าโผล่มายืนซ้อนหลังก่อนจะเชยคางดึงใบหน้าเขาให้ผินไปรับมอบจุมพิตเอาแต่ใจที่มาพร้อมกับคำอธิบายสั้น ๆ อย่างไม่คิดอะไรของเจ้าตัว “เมื่อเช้าก่อนลงจากเตียงกูไม่ทันได้จูบมึง... เช้านี้เป็นอเมริกันเบรคฟาสต์เหรอ? มีไข่ลวกไหม?”

ด้วงปล่อยให้คำพูดของเต๋อลอยผ่านเข้าหูซ้ายแล้วทะลุออกอีกข้างไปด้วยกำลังประหม่ากับความหน้ามึนของเด็กสถาปัตย์ จริงอยู่ที่พวกเขาตกลงกันว่าทุก ๆ เช้า ทุกคนจะต้องจูบกันก่อนลุกจากเตียง... แต่ในเมื่อมันผ่านไปแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่ต้องตามมาชดใช้สัมผัสที่ขาดหายกันพร่ำเพรื่อถึงที่นี่เสียหน่อย!


“เฮ่ยด้วง!... ว่าไง? มีไข่ลวกหรือเปล่า?” ต้องรอให้หนุ่มร่างหมีเซ้าซี้ถามอีกรอบก่อนนั่นแหละ คิวท์บอยจึงจะค่อย ๆ ประกอบร่างกลับสู่ภาวะเกือบปกติได้อีกครั้ง หากแต่หัวใจกลับยังเต้นโครมครามเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ดี

“...เออ มี เดี๋ยวกูยกไปให้” เด็กวิศวะพยายามประคับประคองน้ำเสียงให้ฟังเป็นปกติ ก่อนจะไพล่ไปถามเรื่องอื่นกลบเกลื่อน “ฟูอ่ะ?”

“แต่งตัวอยู่ เพิ่งอาบน้ำเสร็จ”

“อ่ะ... อืม” ทั้งที่เกือบจะลืมจุมพิตเมื่อครู่อยู่แล้วเชียว แต่เมี่อละสายตาจากอาหารบนโต๊ะตวัดกลับขึ้นมองตรง วิญญูกลับพบว่าคู่สนทนาหน้าคมจ้องเขาไม่วางตา ความรู้สึกเห่อร้อนทั่วหน้าก็กลับมาเยือนเขาอีกจนได้

รู้ดังนั้น ชายหนุ่มจึงหาทางไล่อีกฝ่ายไปพ้นหน้าแบบอ้อม ๆ ทันที “มึงไปเอาแก้วมาวางดิ แล้วจะกินน้ำอะไรก็หยิบมา... เอานมออกมาให้ฟูด้วยนะ” คนฟังทำทีเหมือนจะบ่ายหน้าเข้าไปในครัวตามคำสั่ง แต่แล้วกลับหยุดเมื่อเดินเฉียดข้าง ๆ วิญญู จากนั้นก็กระซิบข้างหูคนฟังด้วยรอยยิ้มสะพรั่งเต็มหน้า

“ด้วง”  

“อะไร?” หนุ่มหน้าหยกเลิ่กลั่กพลางหรุบตาต่ำทำทีว่ากำลังจัดวางช้อนและจานแต่ละสำรับให้เป็นระเบียบ

“ลืมบอกไปว่า เรื่องเมื่อเช้าน่ะ... กูไม่ได้โกรธมึงหรอก แต่กูเสียดาย... ตรินจูเนียร์คิดถึงมึงนะ” ต่อให้ด้วงจะพยายามปกปิดอาการกระดากสักแค่ไหน แต่หนุ่มสถาปัตย์กลับดักทางเด็กวิศวะเสียอยู่หมัด แถมยังหยอดหนักเสียจนคนฟังอึกอักไปเสียอีก

“ไอ้เหี้ยเต๋อ!” สิ้นเสียงเจริญพรของคนรักหน้าหยก ตรินก็สาวเท้าพลางระเบิดหัวเราะไปหยิบแก้วน้ำและเครื่องดื่มอย่างว่าง่ายค่าที่พึงพอใจกับใบหน้าแดงแจ๋ยิ่งกว่าซอสมะเขือเทศบนโต๊ะกินข้าวของใครบางคน  








“ด้วง... ฟู...
.
.
...เต๋อว่าถึงเวลาแล้วล่ะที่เราควรจะคุยเรื่องอนาคตของพวกเราเสียที” เด็กสถาปัตย์ปีสี่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าคนรักทั้งสองเริ่มอิ่มหนำกับมื้ออาหารกันถ้วนหน้า

“หืม?!” กรกฏนิ่วหน้าทันทีที่ได้ยินใจความดังกล่าว ในขณะที่วิญญูเท้าข้อศอกลงกับโต๊ะแล้วเอนตัวไปข้างหน้าคล้ายกับบอกใบ้ว่าตัวเขาพร้อมฟังอย่างเต็มที่

“พอด้วงกับฟูเรียนจบ เราสามคนไปอเมริกากันไหม?”

ห้ะ?!” กังฟูหลุดอุทานด้วยความตกใจ ฝ่ายด้วงก็ถามสวนขึ้นอย่างว่องไวด้วยความเป็นห่วงสถานะการเรียนของคนพูดสุดกำลัง
ทำไมต้องไปอเมริกา? แล้วมึงล่ะ... มึงจะไม่เรียนแล้วเหรอ?!

“ใจเย็น ๆ ฟังกูก่อนนะด้วง... นะครับฟู” แม้จะยังไม่เข้าใจ แต่เด็กวิศวะทั้งสองกลับพยักหน้ารับคำขอโดยไม่คัดค้าน เห็นดังนั้นเต๋อจึงว่าต่อ “ไหน ๆ หลังจากเรียนจบ มึงกับกูก็ต้องต่อโทบริหารอยู่แล้วใช่ไหม?”

“เออ! แล้วยังไง?” ด้วงพอจะเห็นอะไรลาง ๆ เพราะนี่ไม่ใช่หัวข้อแปลกใหม่สำหรับพวกเขาและคนในครอบครัว จะผิดกันอยู่อย่างก็ตรงที่ ก่อนหน้านี้ทั้งผู้ปกครองของเขา และของอีกฝั่งไม่เคยเจาะจงจุดหมายปลายทางอย่างที่เต๋อทำ

“นั่นแหละ... วันก่อนที่กูโทรไปคุยกับคุณพ่อคุณแม่ กูเลยลองปรึกษาพวกท่านเพิ่มเติม สุดท้ายท่านก็แนะนำว่า ทำไมพวกเราไม่ลองไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่อเมริการะหว่างที่เรียนโทไปด้วยน่ะ”

หา?!” ข้อมูลล่าสุดจากการบอกเล่าของเด็กเต็กหน้าคมทำเอาสองหนุ่มวิศวะแผดเสียงร้องขรมโดยพร้อมเพรียง

“กูเลยคิดว่า เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา... กูอาจจะโอนหน่วยกิตทั้งหมดไปเรียนต่อปีสุดท้ายที่โน่น ระหว่างนั้นมึงกับฟูก็เรียนภาษาแล้วก็สอบโทเฟลรอกูไปพลาง ๆ แล้วปีถัดไปค่อยสมัครเรียนพร้อมกัน” ตรินสรุปด้วยสีหน้าจริงจังจนคนฟังต่างครั่นคร้ามไปตาม ๆ กัน... ใช่ว่าพวกเขาจะไม่ใคร่ครวญถึงวันข้างหน้า แต่นี่เพิ่งเปิดเทอมปีสี่มาได้แค่เดือนเดียวเองนะ เต๋อจะรวบรัดเร่งวันเร่งคืนเกินไปหรือเปล่า?!

“แล้วอย่างนี้แม่จิ๋วกับพ่อวัฒน์จะโอเคเหรอเต๋อ? นี่มันเรื่องใหญ่มากเลยนะเต๋อ” สายตาคมที่ดูแน่วแน่ กับความมุ่งมั่นจนสัมผัสได้ของเต๋อทำเอากังฟูอดหวั่นใจกับความเห็นของผู้ใหญ่อีกบ้านหนึ่งไม่ได้

“นั่นดิ! ไหนจะธีสิสมึงอีกล่ะ ไปที่โน่นมันจะปะติดปะต่อกันยังไง?” คิวท์บอยผสมโรงทันทีเพราะแผนที่พ่อแม่เขาเล็งเอาไว้ไม่น่าจะใช่ข้อเสนอที่เพิ่งได้ยินไปแน่นอน ที่สำคัญ... ชายหนุ่มไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องเอาวุฒิปริญญาตรีที่ไทยไปเสี่ยงโดยไม่จำเป็น

ถึงอย่างนั้น บรรดาข้อกังขามากมายของเด็กวิศวะทั้งสองก็ไม่ได้ทำให้หนุ่มร่างหมีละล้าละลัง หรือออกอาการกังวลแต่อย่างใด “กูอาจจะต้องเปลี่ยนวุฒิ ไม่ก็ต้องเรียนหนักกว่าเดิมอยู่บ้าง แต่ก็น่าจะจบได้ภายในหนึ่งปี... โชคดีที่กูมีผลสอบ SAT อยู่แล้ว แค่เตรียมเอกสารอีกนิดหน่อย ก็น่าจะเข้าเรียนต่อได้ทันที ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”

ไม่! พ่อแม่กูไม่มีทางยอมง่าย ๆ แน่!” คิวท์บอยโต้เสียงแข็ง

ตรินยักไหล่พลางตอบอย่างไม่ยี่หระ “เสียใจ... คุณแม่กูคุยกับแม่จิ๋วแล้ว สรุปว่าท่านกับพ่อมึงไฟเขียว”

เฮ่ย! เดี๋ยวดิวะเต๋อ! มึงจะตัดสินใจอะไรคนเดียวแบบนี้ไม่ได้นะ!
ใช่!” กังฟูเสริมด้วงฉับไวด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ เพราะยิ่งฟัง คำอธิบายของตรินก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกราวกับต้องจากลามาตุภูมิไปเสียวันนี้พรุ่งนี้

“ยัง... กูยังไม่ได้ตัดสินใจ กูแค่วางแผนทุกอย่างเอาไว้คร่าว ๆ เพื่อจะมาคุยกับมึง กับฟูให้รู้เรื่องยังไงล่ะ” เด็กสถาปัตย์เอ่ยอย่างใจเย็นพลางชูมือยอมแพ้เพื่อปรับอุณหภูมิร้อนฉ่าของบทสนทนาให้ต่ำลง

“แล้วทำไมต้องอเมริกาวะ? โทที่โน่นเรียนตั้งสองปีกว่าจะจบ ไปอังกฤษไม่ดีกว่าเหรอ? เรียนแค่ปีเดียวก็ได้วุฒิแล้วนะเว่ย!” ที่สุดแล้ววิญญูก็ยอมแบไต๋ไพ่ตายเพื่อเพิ่มตัวเลือกให้กับคนรัก

“ที่ต้องเป็นอเมริกาเพราะคุณพ่อกูพอมีเส้นสายอยู่หลายรัฐ ถ้าเกิดเหตุสุดวิสัยอะไรขึ้นมา เราสามคนจะได้พอมีผู้ใหญ่คอยให้คำปรึกษาหรือช่วยเหลือได้บ้าง แต่ถ้าเป็นอังกฤษ... แม่จิ๋วกับคุณแม่กูคงเป็นห่วง กินไม่ได้นอนไม่หลับกันจนกว่าพวกเราจะกลับเมืองไทยนั่นแหละ”  

“แล้วทำไมถึงเรียนโทเมืองไทยไม่ได้?” อริยะตรัยผู้พี่เผยความต้องการที่แท้จริงผ่านคำถามเรียบง่าย... หากเทียบกับอีกสองหนุ่ม กรกฏน่าจะเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่อยากละทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนไปไหนไกล ๆ   หลัก ๆ แล้วน่าจะเป็นเพราะชายหนุ่มร่างเล็กยังตอบตัวเองไม่ได้ว่า หากต้องไปต่างประเทศจริง ๆ ... ธันวาจะอยู่อย่างไรในวันที่ไม่มีพี่ชายคอยให้คำปรึกษา?

“พวกท่านคงอยากให้เราสามคนได้ภาษาติดตัวกลับมาด้วยน่ะครับ จริง ๆ ก่อนหน้านี้เต๋อก็พยายามกล่อมคุณพ่อคุณแม่เรื่องเรียนโทที่ไทยอยู่หลายครั้ง... แต่สุดท้ายพวกท่านก็ยังยืนกรานว่าจะต้องเป็นต่างประเทศเท่านั้น ไม่มีตัวเลือกอื่น”

“ใช่ครับฟู ต่อให้ไม่ไปอเมริกา พอเรียนจบแล้ว... พ่อกับแม่ด้วงก็น่าจะส่งพวกเราไปอังกฤษอยู่ดี”

คำตอบกอปรกับเหตุผลสนับสนุนของทั้งเต๋อและด้วงทำลายความหวังที่จะได้อยู่เมืองไทยของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยลงในพริบตา แต่เมื่อชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียที่มาพร้อมกับกิตติศัพท์ความโหดร้ายของรักทางไกล กังฟูก็ตัดสินใจได้ไม่ยากนัก “โอเค! อเมริกาก็อเมริกา... แต่พวกเราจะยังไม่ไปกันปีหน้า เพราะเต๋อต้องเรียนที่นี่ให้จบก่อน  ไม่งั้นฟูจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!

“แต่ฟูต้องเรียนภาษาเตรียมสอบโทเฟลนะครับ!” อารามเป็นห่วงคนรักมากกว่าตัวเอง หนุ่มร่างหมีจึงสวนกลับโดยไม่เสียเวลาคิด แต่เชื่อเถอะว่า... ความต้องการของผู้มีหน้าที่เป็นภรรยาย่อมต้านทานเหตุผลล้านแปดของสามีได้อย่างน่าอัศจรรย์ ยิ่งเมื่อภรรยาผู้นั้นมีสามีอีกหนึ่งหน่อคอยเป็นลิ่วล้อสนับสนุนด้วยแล้ว

“เรียนที่นี่เอาก็ได้ ใครบอกว่าต้องเรียนที่โน่นอย่างเดียวถึงจะได้คะแนนดี... ใช่ไหมด้วง?”

“ใช่ครับ ถ้าจะสอบให้เสร็จจากที่นี่ไปก็ยังได้เลยครับฟู” วิญญูเชลียร์เมียรักอย่างออกหน้าออกตาเพราะอยากให้หนุ่มหน้าคมคว้าวุฒิบัตรปริญญาขั้นต้นจากเมืองไทยให้ได้ก่อน

“ว่าไงเต๋อ? จะเอาแบบนี้ หรือจะให้ฟูอยู่เมืองไทยดีล่ะ?” กรกฏมัดมือชกอย่างขึงขังพลางวางแผนเรื่องน้องชายเอาไว้ในใจแต่เนิ่น ๆ ... ก่อนไปเมืองนอก เขาจะแวะเวียนไปหาแม่บัวกับพ่อเขียวบ่อย ๆ เพื่อกล่อมให้ท่านรับเลี้ยงดูน้องชาย... อย่างน้อยในฐานะคนงานในไร่ก็ยังดี

“เอาตามนี้ก็ได้ครับ”

“เป็นอันว่าตกลงตามนี้นะ!
.
.
.
.
.
.
“ขอบคุณนะครับฟู ขอบใจนะมึง” ทำไมตรินจะดูไม่ออกว่าข้อสรุปนี้มีที่มาเช่นไร กลับกัน... มันยิ่งทำให้เขาซาบซึ้งกับความปรารถนาดีของคนรักทั้งสองมากขึ้นเสียอีก แต่ก่อนที่ทั้งสามจะพูดอะไร โทรศัพท์ของกรกฏก็ฟ้องว่ามีสายเรียกเข้าขึ้นพอเหมาะพอดี


อริยะตรัยคนพี่หยีตาอ่านชื่อคนโทรหาอยู่พักใหญ่ก่อนจะสไลด์หน้าจอรับสายด้วยสีหน้ารำคาญหากแต่แววตากลับแวววาวสุกใสกว่าปกติ “โหล! อะไรของมึง? โทรมาวอแวอะไรกูแต่เช้า?” สองหนุ่มร่างใหญ่นั่งอมยิ้มทันทีเมื่อได้ยินการส่งภาษาของคนรักต่อคนปลายสาย... ช่างเป็นพี่ชายที่รักน้องได้ฮาร์ดคอร์ และปากไม่ตรงกับใจดีแท้ ๆ  

ทำไมคืนนี้พวกกูต้องถ่อไปงานน้องใหม่ไชโยให้มึงด้วยวะ?” หางเสียงของกังฟูเริ่มจะติดฉุนเฉียว แต่ก็เพียงประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นแหละ

“เออ ๆ ก็ได้ ๆ ... กูเห็นแก่ไอ้บูบู้หรอกนะ ไม่งั้นมึงอย่าหวังเลยว่ากูจะยอมไปงานปัญญาอ่อนอะไรแบบนั้นน่ะ...
...โว้ย! รำคาญ แค่นี้นะ!!...
...จิ๊! เดี๋ยวกูไปถึงมึงก็เห็นเองแหละน่า!

“มีอะไรหรือเปล่าครับฟู?” วิญญูถามขึ้นอย่างเป็นห่วงทันทีที่เห็นว่ากรกฏวางมือถือลงกับโต๊ะเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งคำตอบของอีกฝ่ายได้กลายเป็นหมายกำหนดการของสิ่งที่พวกเขาต้องทำในวันนี้ไปโดยที่สองหมีไม่มีข้อโต้แย้ง

“ไอ้เก็กมันขอร้องให้พวกเราไปอยู่เป็นเพื่อนบูบู้เพราะมันต้องไปช่วยงานหลังเวทีน้องใหม่ไชโยคืนนี้น่ะ”


«»------------------------------------------------------------------------------------«»


“บ๊วย... อยู่ตรงนี้แป๊บนะ เดี๋ยวฌอนกับพี่ชายกลับมา” แฝดน้องที่ยังติดพันกับการคุยโทรศัพท์ละหูเบือนหน้ามาเอ่ยกำชับลูกแม่บัวด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนพลางมองสำรวจเหล่านักศึกษาทุกชั้นปีที่มารวมตัวกันภายในสนามกีฬาในร่มของมหาวิทยาลัยเพื่อร่วมสนุกในงานต้อนรับน้องใหม่ที่กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า

“ได้ ๆ ฌอนกับพี่ฌานรีบไปเถอะ เดี๋ยวอิ๊กจะชะเง้อรอนาน”

ฌอนไม่ได้ตอบรับคำใด เพราะเจ้าตัวกลับไปคุยกับคนปลายสาย ก่อนจะวิ่งหายลับไปทางหลังเวทีซึ่งเป็นสถานที่ปฏิบัติงานของอาสาสมัครภาคบังคับอย่างอดีตเดือนจากทุกคณะอย่างอคิรา ธันวา และแรงงานเสนอหน้าด้วยความสมัครใจเฉกเช่นเพื่อนสนิทหัวไข่ของพวกเขา ร่างทรงหนุ่มจึงเอ่ยย้ำกับสหายตัวน้อยอย่างเป็นจริงเป็นจังอีกคำรบ “เดี๋ยวพี่ฌานมานะบ๊วย”

“ครับ ๆ ”




โอ๊ย!” คล้อยหลังฝาแฝดแค่ชั่วพริบตาเดียว ชายกลางก็โดนเหยียบเท้าและผลักเข้าเต็มแรง จากนั้นจึงถูกชายหนุ่มกลุ่มใหญ่ซึ่งเขาไม่คุ้นหน้าต้อนเข้ามุมก่อนจะยืนล้อมรอบโดยแต่ละคนต่างจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาเอาเรื่อง

“นอกจากจะหน้าด้านแล้ว มึงยังร่านดีเหลือเกินนะ! แหม... ทำมาเป็นแอ๊บหงิม ที่แท้ก็เที่ยวแร่ไปนอนแผ่ให้เขาทิ่มไปทั่ว... ไงล่ะ ได้ทั้งเหนือสมุทร ได้ทั้งอดีตเดือนมหาลัยแล้วยังไม่หายคันอีกเหรอ?!” หนึ่งในนั้นด่ากราดทันทีที่เห็นเหยื่ออยู่ในภาวะตื่นตระหนก

ฝ่ายชายหนุ่มผู้ตกอยู่ในวงล้อมแม้จะใจไม่ดี หากแต่ยังพยายามประคองสติเพื่อหาทางเจรจากับผู้ไม่ประสงค์ดีอย่างใจเย็น ระหว่างนั้นก็พยายามคำณวนหาลู่ทางเอาตัวรอดจากสถานการณ์ตรงหน้าอยู่ในใจ “คุณพูดอะไรของคุณ? ผมกับเหนือสมุทรไม่ได้เป็นอะไรกัน”

เลิกตอแหลเสียที! แล้วก็ช่วยปล่อยธันวาให้ไปเจอคนอื่นที่รักและเหมาะสมกับเขามากกว่ามึงได้แล้ว ไอ้หน้าปลวก!” คราวนี้เสียงหวีดแหลมอย่างคั่งแค้นดังลั่นมาจากอีกฝั่ง... ถ้าเด็กเต็กจำไม่ผิด คน ๆ นี้น่าจะเป็นคน ๆ เดียวกับคู่กรณีที่โวยวายใส่เขาตรงหน้าห้องน้ำโรงอาหารกลางเมื่ออาทิตย์ก่อน

พวกมึงนั่นแหละเลิกตอแยบ๊วยเสียที!” การปรากฏกายอย่างห้าวหาญของหนึ่งในผู้ที่ถูกพาดพิงอย่างเสีย ๆ หาย ๆ ทำเอาเหล่าผู้ประสงค์ร้ายก็แตกฮือก่อนจะย้ายไปยืนเกาะกันอยู่ด้านหลังของนักศึกษาชายที่น่าจะเป็นแกนนำกลุ่มด้วยความรักตัวกลัวตายเป็นที่สุด  

หึ! พอผัวเบอร์หนึ่งไม่อยู่ ผัวเบอร์สองก็ออกโรงมาปกป้องมึงถึงที่เชียวนะ!

พูดแบบนี้แสดงว่ามึงอยากโดนกูกระทืบจริง ๆ ใช่ไหมไอ้สัด?! วาจากระแนะกระแหนเด็กสถาปัตย์ของอีกฝ่ายทำให้แบดบอยแห่งคณะบริหารออกอาการเลือดขึ้นหน้า

ถ้ามึงรัก มึงหลงมันจนไม่ลืมหูลืมตาขนาดนี้ ทำไมมึงกับมันไม่คบ ๆ กันไปให้จบ ๆ เสียเลยล่ะ ปล่อยให้มันกั๊กที่คนอื่นกับธันวาอยู่ทำไม?” พอได้เห็นท่าทีของเหนือสมุทรที่มีต่อลูกแม่บัว หัวหน้ากลุ่มติ่งชายผู้หมายมาดปรารถนาในตัวอดีตเดือนมหาลัยก็แสยะยิ้มชั่วร้าย พร้อมกับจับจ้องเด็กสถาปัตย์ด้วยสายตาเกลียดชังหนักข้อขึ้นไปอีก

เพราะสันดานกับความคิดพวกมึงทุเรศแบบนี้ยังไงล่ะ ไอ้เก็กมันถึงไม่เคยชายตาแล! กูว่ากูจะไม่มีเรื่องแล้วนะ... แต่พวกมึงนี่แม่งวอนตีนดีจริง ๆ !” สิ้นคำ เหนือสมุทรก็ตั้งท่าจะพุ่งเข้าใส่เหล่าติ่งชายให้ชะตาขาดวอดวายตายตกไปตามกัน แต่ทันใดนั้น... กลับมีร่างสูงใหญ่ของเด็กปีหนึ่งหน้าตาคุ้นเคยแทรกเข้ามาตรงกลางก่อนจะประกาศเสียงดังฟังชัด   

ทุกคนครับ พวกอาจารย์กำลังเดินมาทางนี้ครับ” เมื่อมีเมย์ที่ไหนย่อมมีความวงแตกตามติดไปที่นั่นเสมอ... ไม่เว้นแม้กระทั่งในตอนนี้ เพราะทันทีที่ทั้งหมดหันตามไปยังทิศทางที่เฟรชชี่บุ้ยใบ้ พวกเขาก็เห็นสุดยอดอาจารย์ผู้ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าระเบียบและโหดเหี้ยมติดอันดับกำลังก้าวฉับ ๆ มายังจุดที่พวกเขายืนอยู่จริง ๆ  

“บ๊วย.. ไม่เป็นไรแล้วนะครับ”

เหนือสมุทรปรี่เข้าไปซักถามชายกลางด้วยน้ำเสียงห่วงใยภายหลังจากบรรดาวายร้ายเผ่นแน่บหายเกลี้ยง แต่แฟนอดีตเดือนมหาลัยกลับเขยิบหนีพลางเสใบหน้ามองไปอีกทางอย่างจงใจ หนุ่มบริหารปีสามคงจะไม่คิดเล็กคิดน้อยแต่อย่างใด หากในอึดใจให้หลัง บ๊วยจะไม่ตอบคำถามของคณัสนันท์อย่างเต็มอกเต็มใจแถมยังดูซาบซึ้งเกินความจำเป็น


“พี่บ๊วย พี่บ๊วยโอเคหรือเปล่าครับ?”

“พี่โอเค แต่ยังไงก็ขอบใจมากนะเมย์ ถ้าไม่ได้เมย์ช่วยไว้ เรื่องคงยุ่งกว่านี้”

“ไม่เป็นไรครับพี่บ๊วย”

“บ๊วย... อ้าวเมย์!... นาย” เสียงทักทายของสายรหัสปีสี่ทำลายบรรยากาศตึงเครียดรอบ ๆ ตัวสามหนุ่มลงชั่วคราว   

“พี่เต๋อ พี่ด้วง เฮียฟู หวัดดีครับ” บ๊วยยกมือไหว้สามหนุ่มรุ่นพี่ ก่อนจะเดินเข้าไปหยุดยืนใกล้ ๆ กับพี่ชายคนรักราวกับต้องการหลักยึด ฝ่ายเด็กปีหนึ่งก็เอ่ยทักทายพร้อมกับแสดงความเคารพรุ่นพี่ทันทีเช่นกัน

“พี่ ๆ หวัดดีครับ”

“ไอ้เก็กมันบอกให้เฮียพาบูบู้ไปยืนดูตรงข้างเวทีน่ะ เห็นมันว่าเพื่อนมันมาจองที่ไว้ให้ตั้งแต่สี่โมงแล้ว” กรกฏปรายตามองเหนือสมุทรอย่างระแวดระวังพลางกุมมือน้องสะใภ้เอาไว้แน่น ฝ่ายบ๊วยเองก็เกาะแขนรุ่นพี่ที่เคารพโดยไม่คิดจะปล่อยเช่นกัน

“ครับเฮีย งั้นพวกเราไปกันเถอะครับ” ลูกแม่บัวเห็นดีเห็นงามกับกังฟูแบบเต็มร้อย ด้วงจึงเดินนำทั้งสองหนุ่มไปคอยพ่อร่างหมีตรงข้างเวทีโดยไม่รอช้า

“เมย์... ไปกับพวกพี่ไหม?” ตรินเสนอไมตรีให้แก่น้องปีหนึ่ง ทว่าเด็กเฟรชชี่กลับบอกปัดทันทีด้วยท่าทีสุภาพ

“ขอบคุณครับ แต่ไม่ดีกว่าครับพี่เต๋อ คืนนี้ผมว่าผมจะไปเต้นกับเพื่อนน่ะครับ” เด็กเดือนพฤษภาจำใจโกหกเนื่องจากยังไม่พร้อมจะใช้เวลาร่วมกับสายรหัสปีสามในขณะที่แผลใจยังคงเรื้อรัง  อีกอย่าง... ถ้าจะบอกว่าเป็นห่วงคนยืนข้าง ๆ ที่ยังคงอยู่ในโหมดอากาศธาตุหลังถูกคว่ำบาตรก็คงจะไม่ผิดนัก

“เออ ๆ ดูแลตัวเองดี ๆ ... อย่ากินจนเมามากล่ะ”

“ครับพี่เต๋อ”
.
.
.
.
.
.
.
“คุณ” คล้อยหลังพี่ปี่สี่ เด็กเต็กเฟรชชี่ก็เบนความสนใจไปที่หนุ่มบริหารแทบจะทันทีทันใด กระนั้นค่าที่ยังช็อกกับปฏิกิริยาเพิกเฉยของบ๊วย เหนือสมุทรจึงได้แต่ยืนเหม่อลอยไม่พูดไม่จาใด ๆ กับใครหน้าไหนทั้งสิ้น  

“นี่คุณ” เมย์ไม่พูดเปล่า เพราะการเซ้าซี้ที่ดีต้องขยี้ซ้ำด้วยการกระทำอย่างต่อเนื่อง “คุณ... คุณ คุณ คุณ คุณ...” ระหว่างเรียกหนุ่มรุ่นพี่ซ้ำ ๆ หนุ่มน้อยตัวล่ำก็ใช้ปลายนิ้วสะกิดหลังข้อศอกอีกฝ่ายยิก ๆ

“...” ถึงจะไม่มีสัญญาณตอบรับในรูปคลื่นเสียง แต่การชำเลืองมองหน้าอย่างเหวี่ยง ๆ ของคนโตกว่าก็จัดว่าพอรับไหว เด็กเต็กจึงแจ้งความประสงค์ต่ออีกฝ่ายโดยพลัน

“เลี้ยงเหล้าผมหน่อยดิคุณ” เหนือสมุทรเปลี่ยนเป็นถลึงตามองรุ่นน้องก่อนจะถอนหายใจใส่หน้า แล้วก้าวหนีโดยไม่คิดจะเสวนาด้วย

แต่เพราะคณัสนันท์มีจิตวิญญาณแห่งโกลเด้นปฐมวัยอยู่ในสายเลือด เด็กเต็กจึงวิ่งตามไปกอดคออีกฝ่ายแล้วลากให้เดินเคียงกันไปอีกทางอย่างสนิทสนมโดยไม่สนว่าแบดบอยจะอารมณ์บ่จอยขนาดไหน “ปล่อยกูนะไอ้เด็กเหี้ย!! หูหนวกหรือไง? กูบอกว่าปล่อยไงเล่า!
 “น่านะ คืนนี้คืนเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่ รุ่นพี่ก็ต้องตามใจน้องปีหนึ่งให้เต็มที่...  ไปครับ! ไปกินเหล้ากัน!









“บ๊วยโทษที หวัดดีครับพี่ ๆ ”  เจ้าของเสียงคือหนึ่งในฝาแฝดที่กำลังยกมือไหว้รุ่นพี่ทั้งสาม ส่วนร่างสูงใหญ่ซึ่งเดินตามหลังฌานกับฌอนมานั้นคือสารินที่ปลีกตัวไปคอยเฝ้าหนุ่มแว่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี

ภาพไม่คุ้นตาของแฝดน้อง กับว่าที่นายสัตวแพทย์แบบไร้คนข้างกายทำให้กรกฏออกปากถามหาเหล่าสมาชิกที่หายหน้าไปทันที “อ้าว แล้วไอ้อิ๊กกับไอ้แนนล่ะ?”

“สองคนนั่นก็ไปช่วยงานอยู่ข้างหลังน่ะครับ” ฌอนอธิบายสั้น ๆ

“ไอ้เหี้ยอิ๊กน่ะกูไม่ติดใจ แต่ไอ้แนนนี่สิ... มันไปเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย? เดี๋ยวนี้พวกเดือนเขาไม่คัดหน้าตากันแล้วเหรอ?” กังฟูวิพากษ์วิจารณ์คู่ปรับหน้าแว่นอย่างออกรสจนคนเป็นแฟนอดเดือดร้อนไม่ได้

“งานนี้แค่สมัครใจ ใคร ๆ ก็ทำได้ครับฟู” แน่ล่ะ... สำหรับพ่อหมีโพลาร์ผู้บูชาหลานอาม่ายิ่งกว่าผู้ใด เขาย่อมจะพร้อมพลีกายถวายตัวเพื่อปกปักรักษาเกียรติยศชื่อเสียงของเด็กน้อยทั้งต่อหน้าและลับหลังอยู่เป็นนิจ และไอ้ความทุ่มทุนสร้างอวยเมียอย่างเว่อร์วังอลังการของหนุ่มสัตว์แพทย์นี่เองที่ทำให้พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยรู้สึกยำเกรงขึ้นมาจับจิตจับใจ

“อ้อ... อย่างนั้นน่ะเหรอ? เหอะ ๆ ” กรกฏแกล้งหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจะเสไปพูดเรื่องอื่นแก้เก้อ “เออนี่พวกมึง... ธีมงานปีนี้มันคืออะไรวะ? ห้อยไฟงานวัดเสียกูแสบตาไปหมดแล้วเนี่ย”

“อ๋อ คอนเซปต์งานปีนี้คือ ลูกทุ่งน่ะครับเฮียฟู” ร่างทรงหนุ่มเป็นผู้ไขข้อข้องใจให้แก่รุ่นพี่แค่เพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่เสียงประกาศของพิธีกรประจำงานจะดึงความสนใจของพวกเขา รวมถึงเหล่านักศึกษาในโรงยิมได้อยู่หมัด

“เอ้า! สองมือล้วงกระเป๋า สองเท้าเก้าเข้ามา... ขอเชิญพ่อแม่พี่น้องลุงป้าน้าอาปู่ย่าตายายขยับมาใกล้ ๆ เวที เพราะการแสดงที่คณะรุ่นพี่ได้จัดเตรียมเอาไว้สำหรับเฉลิมฉลองค่ำคืนน้องใหม่ไชโยอันสนุกสนานกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้แล้ว”  เสียงเจื้อยแจ้วของพิธีกรชายในชุดเสื้อตัดอ้อย กางเกงลายดอกพร้อยสีสันสดใสกระตุ้นให้ทั้งรุ่นน้อง และรุ่นพี่ทุกผู้ทุกคนขยับเข้าใกล้เวทีได้ดังคำเชื้อเชิญ

ขอให้น้องใหม่ และรุ่นพี่ทั้งหลาย ดิ้นให้ลืมตายกันไปข้าง!

สิ้นคำประกาศ อินโทรเพลงร็อคยอดฮิตติดหูก็ดังก้องไปทั้งฮอล์  เหล่าสมุนเลวและหนุ่ม ๆ ปีสี่ต่างไม่พิรี้พิไรหลงใช้เวลาไปกับการตั้งท่าอย่างเหนียมอาย เพราะทันทีที่คำร้องแรกแผดดังผ่านไมค์ พวกเขาก็ปล่อยตัวปล่อยใจกระโดดโลดเต้นไปตามจังหวะ บ้างก็ตะโกนร้องคลอไปตามเนื้อเพลงอย่างสนุกสนานเมามัน ไม่เว้นแม่แต่สาริน หรือ ฌาน... สองหนุ่มผู้ที่มักจะเก็บอาการและวางเฉยอยู่เป็นประจำก็ตามที




“แล้วนี่เมื่อไรไอ้เก็กมันจะมา? หรือพวกกูจะต้องอยู่รอจนงานเลิก?” กังฟูยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อ พร้อมกระพือคอเสื้อพลางเปิดฉากถามถึงน้องชายในจังหวะที่วงดนตรีเล่นเพลงช้าส่งท้ายไปได้พักใหญ่ ๆ

“เดี๋ยวก็มาแล้วครับ” ด้วยความที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ กับพี่ชายเพื่อนสนิท ฌอนจึงหันไปตอบข้อสงสัยของกรกฏตามการอัพเดตของพรายกระซิบโดยไม่รอช้า แต่กลายเป็นว่าหนุ่มรุ่นพี่กลับตวัดสายตาไปจ้องหน้า ก่อนจะถามคาดคั้น

“มึงรู้ได้ไงไอ้หัวจุก?”

“อ๋อ... อิ์กไลน์มาบอกเมื่อกี๊น่ะครับ” แฝดน้องแสร้งยกเครดิตให้เทคโนโลยีแทนที่จะบอกความจริงให้อริยะตรัยผู้กลัวผีขึ้นสมองได้รับฟัง แต่ดูเหมือนว่า คราวนี้กังฟูจะไม่ซื้อเหตุผลดังกล่าวเสียทีเดียว

“เรอะ?!” คนเป็นพี่หรี่ตามองรุ่นน้องอย่างจับผิด

อย่างไรก็ดี ก่อนที่กรกฏจะได้ตั้งโต๊ะสอบสวนเพื่อนสนิทน้องชาย พิธีกรเจ้าเก่ากลับปรากฏกายบนเวทีพร้อมกล่าวทักทายเหล่าผู้ชมอีกครั้ง  “เอาล่ะครับพ่อแม่พี่น้องลุงป้าน้าอาปู่ย่าตายาย ระหว่างที่วงวิศวะกำลังเตรียมความพร้อม  ขอเชิญชมการแสดงคั่นรายการ... การแสดงที่ไม่มีใครขอร้องให้ทำ แต่พวกมันก็ยังจะเสนอหน้ามาอยู่ดี โดยเฉพาะไอ้ตัวนักร้องนำที่น่ารำคาญเหลือเกิน”

เสียงประกาศชะงักไปครู่ใหญ่เมื่อผู้ดำเนินรายการแสดงสีหน้ากึ่งลำบากใจกึ่งดราม่า และนั่นยิ่งทำให้คนดูสนอกสนใจกับการแสดงที่ว่ามากขึ้นอีกหลายเท่าตัว “เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา... เชิญทุก ๆ ท่านพบกับพี่เก็ก จักรเย็บผ้า อาบน้ำอาบท่าที่สุพรรณบุรี และแดนเซอร์สาวผู้เปี่ยมไปด้วยความสวยจนน่าฉงนทั้งสอง ณ บัดนี้คร้าบบบ”


เฮ่ย!” เสียงกรี๊ดสนั่นของคนทั้งฮอล์ไม่อาจกลบเสียงโวยวายดังลั่นของเต๋อและด้วงทันทีที่เห็นคนคุ้นหน้าเดินออกมายืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางเวที

ไม่ต้องถามถึงคนเป็นพี่ เพราะรายนั้นตกใจจนอุทานจนเสียงสั่นในจังหวะพอดีกันกับลูกแม่บัวเลยทีเดียว “ใครก็ได้บอกกูทีสิว่ากูตาฝาด!
พี่หมี!! สกล!! อิ๊ก!!

“ถึงเพลงนี้จะเก่า... แต่จังหวะยังเร้าใจ เพราะฉะนั้น... แดนซ์ตามกันได้นะครับน้อง ๆ ” ธันวาในคราบละม้ายราชาเพลงลูกทุ่งยุคเก้าศูนย์กรอกเสียงใส่ไมค์พลางส่ายหัวดุ๊กดิ๊กเป็นสายัญ สัญญา  ก่อนจะหันมาขยิบตาพร้อมกับส่งยิ้มให้ฝาแฝดอย่างรู้กัน ส่วนอีกสองหนุ่มในร่างทรงหางเครื่องฉ่ำโบ๊ะที่ยืนโพสหันหลังให้คนดูต่างก็คลี่ยิ้มพลางโบกมือหย็อย ๆ ให้พวกเขาทั้งหมดด้วยความกระตือรือล้น

“แต่ก่อนจะเริ่มเพลง... พี่เก็กอยากจะบอกว่า เพลงนี้ พี่เก็กขอมอบให้บูบู้... คนดีสุดที่รักของพี่เก็กเองครับ” พูดจบเจ้าตัวก็โปรยยิ้มพร้อมกับส่งจูบแล้วปาฝ่าอากาศใส่ชายกลาง จากนั้นจึงหันไปยืนยิ้มหล่อเต๊ะท่ารอเสียงดนตรีโดยที่สองข้างมีแดนเซอร์สาวต่างไซส์ยืนหันหลังเกาะไหล่ขนาบไม่ห่าง


รักคุณ เสียยิ่งกว่าใคร มอบกล่องดวงใจ เอาไว้ที่คุณ
หวงคุณ เอาเสียยกใหญ่ หึงจนหัวใจ ว้าวุ่น
ไม่อยาก ให้ใครใกล้คุณ ไม่อยากให้คุณ ใกล้ใคร

แม้ใจคุณมีประตู จะเข้าไปอยู่ เฝ้าดูหัวใจ
ใส่ลูกบิด แล้วรีบปิดกลอน แถมไม่เปิดต้อน รับใคร
อยากจะเป็น คนเดียวอยู่ใน  ห้องหัวใจ ของคุณ


การร้องเต้นเล่นแสดงอย่างเต็มที่ พร้อมกับท่าทางเกี้ยวพาราสีและสายตาเจ้าชู้ยักษ์ที่ปักหลักมองบ๊วยอยู่ตลอดเวลาซึ่งสอดรับกับเนื้อหาเพลงลูกทุ่งเป็นอย่างดีของอดีตเดือนมหาลัยทำให้ชายกลางอดสงสัยถึงเบื้องหลังวีรกรรมความมั่นหน้าของคนรักในครั้งนี้ไม่ได้


“พี่ฌาน... พี่ฌานรู้เห็นด้วยหรือเปล่าครับ?” 

ร่างทรงหนุ่มหลุดยิ้มกว้างแล้วจึงเผาหนุ่มวิศวะรูปหล่อดีกรีเดือนมหาลัยอย่างหมดเปลือก “ไม่ ไม่... พี่ฌานไม่รู้เรื่องด้วย ก่อนหน้านี้เก็กมันบอกพี่ฌานแค่ว่ามันอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อประกาศว่าบ๊วยสำคัญกับมันแค่ไหนน่ะ แต่พี่ฌานก็เพิ่งรู้เมื่อตอนหัวค่ำนี่เองว่ามันคิดจะทำอะไร”

“แล้วอิ๊กกับสกล? ทำไมสองคนนั่นถึงได้ยอมทำอะไรแบบนี้ล่ะครับ?” บ๊วยละสายตาจากนักร้องไปเหลือบมองเพื่อนทั้งสองซึ่งเต้นตามจังหวะอย่างเต็มเหนี่ยวทำนองว่ามีเท่าไรพ่อใส่ไม่ยั้งอย่างทึ่ง ๆ  ฝ่ายเจ้าของหัวใจทั้งสองอย่างฌอนกับสารินก็ทำหน้าลำบากใจแต่ก็ไม่วายต้องกลั้นขำเป็นระยะ ๆ ขณะตั้งกล้องมือถือโหมดถ่ายวีดิโอเพื่อเก็บภาพเคลื่อนไหวของแฟนตัวเองเอาไว้เป็นที่ระลึก

“กับบางเรื่อง เราก็ไม่จำเป็นต้องรู้เหตุผลหรอกน้องบ๊วย เพราะถ้าพี่เป็นบ๊วยแล้วแฟนพี่ยอมทำอะไรให้แบบนี้ พี่คงดีใจที่สุดเลยล่ะ” ด้วงอาสาตอบแทนแฝดพี่ที่กำลังระเบิดหัวเราะอย่างเมามันหลังจากเห็นเพื่อนซี้หัวไข่เต้นแรงจนวิกผมที่ใส่อยู่ไหลหลุด  

“นั่นสิ... ถึงมันจะโคตรตลกก็เถอะ” ตรินสำทับด้วยรอยยิ้ม


รักคุณ เสียยิ่งกว่าใคร ปิดตาคุณได้ จะปิดตาคุณ
ไม่อยาก ให้คุณเห็นใคร ไม่อยากให้ใคร เห็นคุณ
ผมเฝ้าบนบานทำบุญ เพราะกลัวว่าคุณ จะเปลี่ยนใจ

ปิดปากคุณได้ ก็จะปิดปาก เดี๋ยวคุณรับฝาก ความรักจากใคร
ปิดจมูก ไม่ให้ได้กลิ่น ปิดหูไม่ให้ได้ยิน เสียงใคร
ถ้าปิดประตู ห้องได้ดั่งใจ  จะอยู่ข้างใน สองคนกับคุณ


ชิ่ว ๆ ! มึงไปร้องไกล ๆ ! กูไม่มีน้องหน้าด้านอย่างมึ้งงงง!!” กังฟูโบกมือไล่น้องชายที่เดินมาหยุดร้องเพลงตรงขอบเวทีข้าง ๆ กลุ่มพวกเขาโดยไม่เบาสเต็ปแดนซ์ที่เลียนแบบต้นฉบับมาได้เป๊ะ ๆ ส่วนบ๊วยที่แม้จะเขินจนหน้าไหม้แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจหุบยิ้มได้สักวินาที

“เก็กมันเรื้อนไม่สมกับหน้าตาจริง ๆ ” ลูกบ้าของน้องเมียทำเอาวิญญูถึงกับออกปากเปรยด้วยน้ำเสียงทึ่ง ๆ  

“แต่เพลงนี้ก็สมเป็นมันดีนะ” ความที่เห็นกันมานักต่อนัก หนุ่มร่างหมีจึงอดทักขึ้นไม่ได้ เพราะเมื่อฟัง ๆ ไป... คำร้องของเพลงนี้สามารถอธิบายความเป็นอริยะตรัยคนสุดท้องยามที่อยู่กับน้องรหัสของเขาได้อย่างชัดเจนดีจริง ๆ 


โอ โห้โห่โห้โฮโฮโห่
โห้โห่โห้โฮโฮโห่
โห้โห่โห้โฮโฮโฮ้..
รักแต่คุณ รักแต่คุณ
รักแต่คุณ รักคุณหมดใจ


“โธ่! หมดกันน้องกู อยู่ ๆ ก็เสือกร้องเพี้ยนเสียได้” เต๋อโอดเมื่อได้ยินพี่เก็กบนเวทีเอื้อนเสียงผิดคีย์ แต่เนื่องจากธันวายังคงสนุกและยิ้มสู้ทำให้เหล่าคนดูที่แม้จะขำแต่ก็ไม่หยุดเต้น

“แต่ดูเหมือนพวกน้อง ๆ จะชอบนะครับ” ฌานคัดค้านด้วยอาศัยอาการของคนอื่น  ๆ เป็นหลักฐานสนับสนุนจนตรินยอมใจ

“เออ! คงเพราะได้ไอ้สองตัวข้างหลังนั่นเต้นช่วยเอาไว้ด้วยล่ะมั้ง” สเต็ปเทพเรียกสายตาของทั้งอคิราและสกลทำให้รุ่นพี่ร่างหมีไม่อาจลบหลู่ได้

“ถึงเก็กมันจะบ้า ๆ บอ ๆ ไปหน่อย แต่ผลตอบรับที่ได้ ผมว่าคุ้มกับการที่มันต้องกลายเป็นข้าทาสให้อิ๊กจิกหัวใช้ตลอดหนึ่งเดือนอยู่นะครับพี่เต๋อ” แฝดพี่กล่าวเสริมด้วยการเปิดโปงความลับที่อดีตเดือนมหาลัยไม่ต้องการให้ใครรับรู้

“หึ หึ... แล้วของไอ้สัดแว่นล่ะ ไอ้เก็กมันต้องทำอะไรให้เป็นการแลกเปลี่ยน?” เต๋ออดสงสัยไม่ได้เพราะเท่าที่ประเมินจากหน้างานแล้ว เขาเชื่อว่าต่อให้วิกจะหลุด เมคอัพจะละลายแต่รุ่นน้องหน้าแว่นคงไม่ยอมหยุดโยกย้ายส่ายเอวง่าย ๆ แน่... และเพราะเหตุผลอันใดไหนเล่า ที่ทำให้ไอ้เด็กปากหมานั่นยอมลุกขึ้นมาแต่งตัวบ้า ๆ บอ ๆ แล้วขึ้นไปเต้นเร่า ๆ อยู่บนเวทีได้อย่างไม่มีเขินอาย

ฌานหลุดยิ้มเมื่อนึกย้อนถึงเหตุผลที่แท้จริงของหลานอาม่าใหญ่ซึ่งแตกต่างจากแรงจูงใจของอคิราราวฟ้ากับเหว “หึ! รายนั้นแค่ได้แต่งหญิงออกงานก็ฟินจนหน้าบานไปหลายวันแล้วล่ะครับพี่เต๋อ”
.
.
.
.
.
“หึ หึ หึ พวกมึงแต่ละคนนี่มีใครปกติมั่งไหมวะ?” คำถามของตรินทำเอาร่างทรงหนุ่มหัวเราะเต็มเสียงหลังจากตระหนักว่าตนไม่อาจเถียงอีกฝ่ายได้เลยสักนิด


รักคุณ เสียยิ่งกว่าใคร ปิดตาคุณได้ จะปิดตาคุณ
ไม่อยาก ให้คุณเห็นใคร ไม่อยากให้ใคร เห็นคุณ
ผมเฝ้าบนบานทำบุญ  เพราะกลัวว่าคุณ จะเปลี่ยนใจ

ปิดปากคุณได้ ก็จะปิดปาก เดี๋ยวคุณรับฝาก ความรักจากใคร
ปิดจมูก ไม่ให้ได้กลิ่น ปิดหูไม่ให้ได้ยิน เสียงใคร
ถ้าปิดประตู ห้องได้ดั่งใจ จะอยู่ข้างใน สองคนกับคุณ
รักคุณ เสียยิ่งกว่าใคร รักคุณ เสียยิ่งกว่าใคร
รักคุณ เสียยิ่งกว่าใคร รักคุณ เสียยิ่งกว่าใคร


“ขอบคุณคร้าบบบ!” เจ้าของเสียงหอบเหนื่อยเอ่ยขอบคุณเสียงปรบมือ และเสียงกรี๊ดที่ดังล้นหลามผิดคาดจากใจจริง ก่อนจะอาศัยพื้นที่สื่อและอำนาจของผู้ถือไมค์ทำตามใจตัวเองอย่างเต็มที่ “แต่ก่อนจะจากกันไป พี่เก็กมีความในใจอยากจะประกาศให้ทุก ๆ คนได้รู้โดยทั่วกัน”

“บ๊วยครับ... เก็กรักบ๊วยนะครับ หัวเด็ดตีนขาดยังไง... เก็กจะไม่มีวันเลิกกับบ๊วย บ๊วยได้ยินเก็กไหมครับ” เสียงกรีดร้องของผู้ชมยิ่งดังลั่นเมื่อไฟสป็อตไลท์เลื่อนไปส่องเจ้าของชื่อ

“หืม... ว่ายังไงครับบ๊วย?” คำถามที่ตามมาของเก็กก็พิสูจน์ให้ทุกคนได้รู้ว่า พลังปอดของชาววายทำให้เสียงกรี๊ดดังกระหึ่มได้ยิ่งกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว เพราะเมื่อลูกแม่บัวพยักหน้าตอบอย่างจำใจหลังทนสายตากดดันของคนทั้งฮอล์ไม่ไหว เสียงกรี๊ดจนหูดับตับไหม้ก็แผ่กระจายมาจากทั่วทุกสารทิศ
.
.
.
.
.
“ส่วนใครก็ตามที่ไม่พอใจแฟนพี่เก็ก... ขอได้โปรดมาเหยียบยอดหน้าพี่เก็กแทนเถอะครับ เพราะแฟนคนนี้ พี่รักของพี่มากจริง ๆ !” ธันวาโปรยยิ้มหยาดเยิ้มอย่างหวังผลให้แก่คนดูทั้งหมด... พนันได้เลยว่า ร้อยทั้งรอยของผู้ที่ได้เห็นรอยยิ้มพิฆาต บวกกับการแสดงล้างตาเมื่อสักครู่ย่อมจะเห็นใจและเอ็นดูคู่รักคู่นี้จนพร้อมจะให้ความร่วมมือกับคำร้องขอของสุดหล่ออย่างเต็มที่และเคร่งครัด

กระนั้นผู้ไม่ประสงค์ดีทั้งหลายต่างไม่วายขนลุกไปตาม ๆ กันเมื่อได้ยินธันวาเอ่ยประโยคทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงจริงจังทั้ง ๆ ที่ยังคงยิ้มร่าด้วยสีหน้าแช่มชื่นไม่ต่างจากเดิม “แต่ถ้ายังจะดื้อดึงพูดไม่ฟัง พี่เก็กขอเตือนไว้อย่างนะครับว่า ถึงโดยปกติพี่เก็กจะเป็นมิตรน่าคบหา แต่พี่ก็กล้าต่อยกระทั่งเด็ก ผู้หญิง หรือกะเทยชราที่กล้าเอาชีวิตมาทิ้งด้วยการหาเรื่องแฟนพี่เก็กถึงที่แน่ ๆ ครับ”
.
.
.
.
.
“ไอ้ตัวบอส ถ้าคราวหน้าไอ้เก็กมันคิดจะทำอะไรแบบนี้อีก มึงต้องห้ามมันนะ” ปีสี่ร่างหมีหันไปสั่งความกับผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดแห่งเหล่าสมุนเลว

“ทำไมเหรอครับพี่เต๋อ?” ฌานเลิกคิ้วพลางรอฟังคำตอบของรุ่นพี่อย่างตั้งอกตั้งใจ แต่สิ่งที่ได้ยินกลับทำให้ร่างทรงหนุ่มหัวเราะเต็มเสียงได้อีกครั้ง

“กูสงสารน้องรหัสกูว่ะ... มีแฟนเสี่ยวยังไม่พอ ยังต้องมาเขินหน้าแดง ยืนตัวงอบิดไปบิดมาจนแทบจะกลายเป็นกุ้งอยู่รอมร่อแล้วเนี่ย”




 «»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «»


ขอบคุณเนื้อเพลง:


ที่มา: http://www.meemodel.com











No comments:

Post a Comment