Monday, June 20, 2016

«♥» บน บานฯ สาน รัก «♥» The 23rd Bonding || 20.06.2015



ตอนที่แล้วเหนือสมุทรมา... ตอนนี้เราพาเฟรชชี่หน้าใสมาให้ทุก ๆ คนรู้จักค่ะ
นั่นก็คือ น้องเมย์ไหน นั่นเอง !! (ปรบมือรัว)
แต่เราชักสงสารเหนือสมุทรกับเมย์ไหนแล้วล่ะคะที่จะได้ออกสื่อเพียงไม่กี่ตอน
ก่อนกล้องจะแพนไปจับดาราเอกคู่อื่นอย่างไม่แยแส

ถึงอย่างนั้น เราเชื่อเหลือเกินค่ะว่า
การมาของเหนือกับเมย์ จะทำให้ต่อมจิ้นเราได้ทำงานกันอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
เพราะมันจะมีความปีหนึ่งหน้าใสกำราบหัวใจแบดบอยสุดพยศไรงี้
อรั๊ย! แค่คิดก็กระชุ่มกระชวยแล้วเนอะ...
แล้วจะรีรออะไรอยู่ล่ะคะ? ไปค่ะ! ไปอ่านกันเลย!! ^^



«»------------------------------------------------------------------------------------«»



The 23rd Bonding
ชัดเจน โปร่งใส... แต่จะไว้ใจได้แน่หรือ?




“ไงมึง รับน้อง... สนุกซึ้งถึงใจไหม?” สุดท้ายเต๋อก็มีโอกาสได้สัมภาษณ์น้องร่วมคณะอย่างเป็นกิจลักษณะหลังจากคนรักทั้งสองเดินไปเลือกขนมหวานกับบ๊วยและอิ๊กเมื่ออึดใจก่อนหน้า วันนี้เป็นอีกวันที่พวกเขาพากันมากินข้าวกลางวัน ณ ร้านดังนอกมอร้านเดิมแบบครบแก๊งค์

“ก็เฉย ๆ นะครับพี่เต๋อ น้องว่าออกจะวุ่นวาย... ไม่เห็นจะสนุกตรงไหนเลย” สกลกลอกตาพลางเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเซ็งสุดชีวิตซึ่งเจ้าตัวก็ยิ่งหน้าหดไปกันใหญ่เมื่อโดนตรินด่าสวนเข้าให้ในชั่วพริบตา

“กูไม่ได้ถามตัวสะเหล่ออย่างมึง กูถามไอ้ตัวบอสโน่น!”รุ่นพี่ปีสี่พ่นลมหายใจใส่หน้าหลานอาม่าใหญ่อย่างไร้เมตตา ก่อนจะหันไปคุยกับร่างทรงหนุ่มด้วยท่าทีสนอกสนใจ “ไง เห็นตอนก่อนเปิดเทอมยังกระดี๊กระด๊าหูตั้งหางชี้ฟ้าอยู่เลยนี่  ไหงวันนี้ถึงได้นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนคนปวดขี้ไปเสียล่ะ?”  

“พวกน้อง ๆ ปีหนึ่งเขารู้กันหมดแล้วล่ะครับว่าผมเป็นพี่เนียนปลอมตัวมา” แฝดพี่เอ่ยอย่างทอดถอนใจเพราะในที่สุดก็หมดเวลาเล่นสนุกเสียแล้ว ได้ยินดังนั้น หนุ่มร่างหมีจึงเอ่ยเยาะด้วยน้ำเสียงสะใจ

“ฮี่โธ่! กูก็นึกว่ามึงจะอำเก่งจนน้องจับไต๋ไม่ได้ ที่แท้ก็ไม่ได้เรื่อง!

“จริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะน้องปีสองลืมตัวพร้อมใจกันยกมือไหว้พี่ชายกันทั้งกลุ่ม เด็กปีหนึ่งก็คงยังจะไม่เอะใจหรอกครับ” ฌอนรับหน้าที่แก้ไขความเข้าใจของอีกฝ่ายแทนพี่ชายร่วมสายเลือด จนเต๋ออดสงสัยไม่ได้

“อ้าว! แล้วที่มึงไปเป็นพี่เนียนนี่ไม่มีใครรู้เรื่องบ้างเลยเรอะ?!

“โฮ๊ยยยพี่เต๋อ! พวกสตาฟคนอื่น ๆ จะไปทันตั้งตัวได้ยังไงล่ะครับ ก็พี่ฌานเล่นไปกดดันน้องมี่เอาวันก่อนเปิดเทอมแค่วันเดียว... โดนพลังวิญญาณระดับพญามารยังสะท้านสะกดเข้าอย่างจัง น้องมี่หรือจะขัดขวางความพอใจของพี่ฌานจอมขมังเวทย์ได้ลงคอ”

แว่นนน

“อุ้ย!” น้ำเสียงเย็น  ๆ แฝงกลิ่นอายอาฆาตของแฝดผู้พี่เรียกสติของคนเห็นผีปากไม่มีหูรูดได้ชะงัดนัก หนุ่มแว่นจึงเอนตัวหลบสายตาถมึงทึงของอีกฝ่ายเข้าซุกลงกลางแผ่นหลังของว่าที่นายสัตวแพทย์ที่เอาแต่นั่งยิ้มกริ่มอย่างชอบอกชอบใจ

ตรินแสร้งไม่สนใจการละเล่นปาหี่ของเด็กตี๋สี่ตาด้วยยังติดพันในบทสนทนากับหัวหน้ากลุ่มรุ่นน้อง “แต่มึงก็เก่งนะที่เอาตัวรอดมาได้ตั้งสามอาทิตย์แน่ะ กูนึกว่าจะจอดตั้งแต่วันแรกแล้วเสียอีก”

“แค่นี้ผมก็สนุกมากแล้วล่ะครับพี่เต๋อ” ฌานยิ้มรับอย่างสุภาพ แต่กลับโดนสกลแว้งกัดเข้าอีกคำรบ

แล้วฌอนศรีล่ะ หลบเด็กปีหนึ่งสนุกไหม? ได้ข่าวว่าลำบากอยู่นี่เนาะ”

แว่น!
แนนซี่!” ฝาแฝดประสานเสียงว้ากใส่เพื่อนสนิทหัวไข่ที่แกล้งทำเมินก่อนจะเอาตัวรอดอย่างว่องไวไหลลื่น

“พี่ริน น้องอยากกินเค้กล้างปากจังเลย พี่รินไปช่วยน้องเลือกหน่อยสิครับ” หลานอาม่าใหญ่ไม่รอเวลา เพราะแม้เจ้าตัวจะยังเอ่ยประโยคที่ว่าไม่ทันจบ เด็กเต็กหัวไข่ก็คว้าแขนฉุดร่างคนรักให้ลุกตามไปหน้าร้านเพื่อสมทบกับชายหนุ่มอีกกลุ่มที่ยังสุมหัวเลือกเค้กกันอย่างคร่ำเคร่ง

ทันทีที่หมดตัวสอดแทรก เต๋อก็เบนความสนใจไปยังอดีตเดือนมหาลัยที่ทำหน้าเหมือนแบกโลกทั้งใบไว้บนบ่าก็ไม่ปาน  “แล้วมึงล่ะ เป็นห่าอะไรไอ้หล่อ?... กูบอกแล้วใช่ไหมว่าวันนี้กูพาพวกมึงมาแดกฟรีฉลองรับเปิดเทอม? มึงยังจะกล้าทำหน้าไม่รับแขกใส่กูอีกเหรอ?!” เขารึอุตส่าห์ใจป๋าพาทั้งหมดยกขโยงกันมาไกลถึงที่นี่เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องหวาดระแวงสายตาของพวกเด็กปีหนึ่ง แต่จนถึงตอนนี้ อริยะตรัยคนน้องก็ยังนั่งจ๋องมองเหม่อไม่ว่างเว้นแม้สักอึดใจ  







“โห่ พี่เต๋อครับ พี่เต๋อไม่ลองเป็นผมดูพี่เต๋อไม่มีทางรู้หรอกว่าทุกวันนี้ผมทรมานแค่ไหน...
.
.
...นี่ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าวันนึงจะได้ลงเอยกับบูบู้ ผมจะไม่หลวมตัวทำกิจกรรมคณะเสียวุ่นวายจนวัน ๆ ไม่เป็นอันเจอหน้าแฟนอย่างนี้หรอกครับ” ถ้าไม่ติดว่าลูกแม่บัวขอไปเลือกขนมกับอคิราและพี่ชาย เขาคงจะไปยืนเฝ้าอีกฝ่ายถึงหน้าตู้เค้กโดยไม่ยอมห่างไปไหนแน่ ๆ

“ทุ้ย! แค่ต้องเข้าเชียร์วันละไม่กี่ชั่วโมง ยังมีหน้าตีโพยตีพาย... เดี๋ยวกูยันให้เลยนิ!” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าระดับความหมั่นไส้ของเต๋อทะลุขีดสุดไปเป็นที่เรียบร้อย แต่ธันวากลับสู้ไม่ถอยเร่งตีฝีปากย้อนรอยทันควัน  

“ทีพี่เต๋อยังหวง ยังห่วงจนคอยดอดไปส่องเฮียกับพี่ด้วงเงียบ ๆ ที่วิศวะอยู่ตลอดเลยนิครับ... ผมเห็นตลอดนั่นแหละ!

พอโดนพูดจี้ใจดำ รุ่นพี่สถาปัตย์ก็เปลี่ยนมาเอาน้ำเย็นเข้าลูบเพื่อเรียกสติอริยะตรัยผู้น้องเสียอย่างนั้น “ไอ้เก็ก มึงก็น่าจะรู้ดีกว่าใครไม่ใช่เหรอว่าน้องรหัสกูน่ะรักมึงมากแค่ไหน ทำไมมึงไม่ลองไว้ใจบ๊วยแล้วเอาเวลาไปทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมให้เต็มที่ล่ะวะ?!

“โห่! กว่าช่วงรับน้องจะหมดก็อีกตั้งอาทิตย์แน่ะพี่เต๋อ แค่นี้ผมก็แทบจะขาดใจตายเพราะไม่ค่อยได้เจอหน้าบูบู้ระหว่างวันอยู่แล้วนะครับ” หนุ่มหล่อดีกรีเดือนมหาลัยบ่นกระปอดกระแปดโดยไม่วางตาจากคนรักตัวน้อย จนแฝดน้องชิงเอ่ยแย็บเพื่อความแน่ใจ

“มึงอยากมาเฝ้าเพื่อนกูก็ยอมรับดี ๆ เหอะหล่อ” เหตุที่ฌอนนึกสงสัยในพฤติกรรมน่ารำคาญของเพื่อนสนิทต่างคณะในพักหลัง ๆ  มาจากการที่อคิรามักจะงอแงเวลาที่เขาไม่อาจปลีกตัวไปหาที่คณะได้บ่อยนัก จึงเป็นไปได้ว่าคนเคยคบหากันหลายปีอย่างธันวาจะเกิดหงุดหงิดเมื่อไม่ได้ตามประกบคนรักปัจจุบันต้อย ๆ เหมือนอย่างเคย

และแน่นอน... คำตอบของหนุ่มวิศวะก็ไม่ทำให้แฝดน้องผิดหวัง ไม่เท่านั้น... เพราะมันยังทำให้ทั้งฌอนและผู้ร่วมวงสนทนาที่เหลืออดประหลาดใจไม่ได้ “เออ! ขืนกูไม่อยู่เฝ้า พวกไม่หวังดีคงได้หาเรื่องบูบู้จนไม่เป็นอันทำอะไรแน่ ๆ !”  
.
.
“มึงรู้ตัวตั้งแต่เมื่อไร?” แฟนหนุ่มบริหารหรี่ตาจ้องหน้าอดีตเดือนมหาลัยไม่วางตาด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะระแคะระคายเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว

“ก็สักพักแล้วล่ะ” คนพูดถอนหายใจพลางทอดสายตาอาลัยอาวรณ์ไปยังทิศทางที่บ๊วยยืนอยู่

ท่าทางหดหู่ไม่สดใสของคนตรงหน้าทำให้ฌานขันอาสาอย่างเร็วรี่ “ถ้าเป็นเรื่องนั้น พี่ฌานรับปากเก็กตรงนี้เลยก็ได้ว่า ระหว่างที่เก็กยังต้องเข้าเชียร์... พี่ฌานกับน้องชายจะช่วยดูแลบ๊วยให้อีกแรง” ฌอนผงกหัวรับคำพี่ชายเพื่อร่วมยืนยันความตั้งใจหวังให้เพื่อนรักคลายความกังวล

“ขอบคุณครับพี่ฌาน ขอบใจนะแฝด... ฝากบูบู้ด้วยนะครับ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าผมจะไปเอาแฟนผมคืนแล้ว”

“แต่ตอนนี้มึงช่วยไปเอาแฟนมึงมาเก็บทีเถอะไอ้หัวจุก... โน่น! ร่ำ ๆ จะโดนแฟนกูแดกหัวคาตู้เค้กอีกรอบแล้วนั่น! ไอ้สัดกลนี่ก็ขยันเสี้ยมจริงจริ๊งง! ตรินแทรกอย่างเหลืออดเมื่อเริ่มได้ยินเสียงด่าทอล้งเล้งดังมาจากกลุ่มชายหนุ่มตรงหน้าร้าน

“ครับ ๆ ” แฝดน้องรับคำว่องไว ทว่ากลับกลายเป็นอดีตเดือนมหาลัยที่พุ่งตัวออกไปยังจุดกำเนิดเสียงก่อนใครเพื่อน... ที่เจ้าตัวบอกว่าจะพยายามอดทนอดกลั้นจนถึงอาทิตย์หน้า ดูท่าจะยากเกินไปเสียล่ะมั้ง   


«»------------------------------------------------------------------------------------«»


“เย่! พี่ฌานไม่ต้องเล่นบทพี่เนียนแล้ว พวกเราก็ไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ อีกต่อไป... น้องล่ะดีใจเหลือเกิน!” หนุ่มแว่นเอ่ยอย่างเริงร่าขณะที่ทั้งหมดกำลังเดินลงบันไดมาหาของขบเคี้ยวกินเล่นแก้ง่วง ณ แคนทีนใต้คณะ  

“ไปซื้อขนมเลยแว่น อย่าร่ำไร” สกลยู่หน้าใส่แฝดพี่ก่อนจะวิ่งถลาเข้าไปสิงหน้าร้านขายขนมจุกจิกทันที

“พี่ฌานอยากได้อะไรหรือเปล่าครับ?”

“เดี๋ยวฌอนเลือกให้เอง ไปกันเถอะบ๊วย” ด้วยเวลาอันจำกัด แฝดน้องจึงรวบรัดตัดบทแทนคนเป็นพี่ จากนั้นจึงเดินนำหน้าชายกลางพลางเอ่ยถาม “แล้วบ๊วยล่ะ จะซื้ออะไร?”

“...”

“บ๊วย?! ฌอนจำต้องเหลียวกลับไปมองหาอีกฝ่ายเมื่อไม่ได้คำตอบ แล้วก็พบว่าเพื่อนตัวเล็กกำลังง่วนอยู่กับการพิมพ์ข้อความผ่านมือถืออย่างตั้งอกตั้งใจ  

บ๊วยรีบกดปิดหน้าจอแล้วเอ่ยอย่างอ้อมแอ้มด้วยความละอายที่ทำให้เพื่อนต้องชะเง้อหา “โทษที ๆ ! เดี๋ยวเราสั่งเอง”

“คุยกับเก็กอยู่เหรอ?” ท่าทางลุกลี้ลุกลนผิดสังเกตของเพื่อนรักทำให้แฝดน้องเอะใจ

“เปล่า... คนที่มาอยู่ห้องเก่าเราน่ะ เขามีปัญหาเรื่องห้องนิดหน่อย เขาเลยมาขอคำแนะนำจากเราว่าจะคุยกับเจ้าหน้าที่ดูแลหอให้มาซ่อมห้องยังไงดี” ลูกแม่บัวอธิบายเรื่องทั้งหมดด้วยสีหน้าลำบากใจระคนอึดอัด

“หืม?! ห้องเก่าบ๊วยมันโทรมขนาดต้องรีบซ่อมขนาดนั้นเลยเหรอ?”

ชายกลางถอนหายใจยาวอย่างหนักอก แล้วจึงให้คำตอบตามคำบอกเล่าของเจ้าของห้องคนปัจจุบันที่ขยันไลน์มาหาเขาถี่เหลือเกิน “ก็ไม่เชิง... ลูกบิดประตูหลังห้องมันเสียน่ะ เขาคงกลัวว่าคอมฯ เครื่องใหม่จะหาย เห็นเขาบอกว่ายิ่งพอมีบอลนัดสำคัญ ๆ เริ่มเตะ บางห้องก็เริ่มโดนขโมยไล่งัดแล้ว”

“งั้นเดี๋ยวพอเลิกเรียน พวกเราแวะไปคุยกับเจ้าหน้าที่เลยแล้วกัน เรื่องมันจะได้จบ ๆ ” ฌอนเสนอแนะทางออกให้อย่างเข้าอกเข้าใจ แต่แทนที่คล้อยตาม แฟนอดีตเดือนมหาลัยกลับส่ายหัวเอื่อย ๆ

“ไม่ต้องหรอก เหนือเขาบอกว่าเขากำลังจะไปคุยกับพี่เจ้าหน้าที่แล้วล่ะ... เมื่อกี๊ที่ไลน์มา แค่อัพเดทความเคลื่อนไหวให้เรารู้เฉย ๆ ”

ฌอนชักสังหรณ์ใจไม่ดีทันทีที่ได้ยินเพื่อนรักหลุดปากพาดพิงชื่อผู้ประสบภัย “เหนือที่ว่านี่เหนือไหน?”

“ไม่รู้สิ... เรารู้แต่ว่าเขาชื่อเหนือ เรียนปีเดียวกันกับเรานี่แหละ” บ๊วยตอบอย่างพาซื่อ เพราะเขาแทบตอบอะไรเกี่ยวกับเจ้าของห้องคนใหม่คนนั้นไม่ได้เลยสักนิด... กระทั่งข้อมูลพื้นฐาน จำพวกชื่อแซ่ คณะสาขาของอีกฝ่าย เขาก็ไม่รู้

กระนั้น ในบรรดาพวกเขาทั้งสี่ กลับยังมีชายหนุ่มผู้มีหูตาว่องไวเหนือผู้ใดอยู่หนึ่งหน่อ “เหนือสมุทรครับ... คนนั้นชื่อเหนือสมุทร อยู่บริหาร เวลาไปที่คณะคุณอิ๊ก... ฌอนเคยเจอหน้าไหม?” สกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงฉะฉาน ซึ่งชื่อของบุคคลที่สามซึ่งหนุ่มแว่นเพิ่งเอื้อนเอ่ยออกมานั้นก็ทำให้ฌอนระลึกได้

“ใช่เหนือสมุทรคนที่น่าจะเป็นเดือนบริหารมากกว่าอิ๊กเป็นล้านเท่าใช่ไหม?”

“ใช่ ๆ เดือนมฤตยูแห่งบริหารผู้โด่งดังคนนั้นนั่นแหละ!” แฟนว่าที่นายสัตวแพทย์หนุ่มยืนยันเป็นมั่นเหมาะ

“นี่นายรู้จักเหนือด้วยเหรอสกล?” บ๊วยเลิกคิ้วพลางเอียงคอรอฟังคำตอบเพื่อน

“หึ! อย่าลืมสิว่าเรากว้างขวางขนาดไหน... ใคร ทำอะไร ที่ไหน กับใคร เมื่อไร เราก็รู้หมดนั่นแหละ”

“รู้ดีทุกเรื่อง... ยกเว้นเรื่องตัวเอง” สกลยังไม่ทันจะยกหางตนจนพอใจ แฝดน้องก็ปาดหน้าเค้กจนอีกฝ่ายหงายเงิบทันตา

เอ๊ะฌอนศรีนี่! มันใช่เวลาไหม?!!

“โทษ ๆ ! ” แฟนอดีตเดือนบริหารยกมือยกพลางกล่าวขอโทษเพื่อนหัวไข่อย่างจริงใจ ก่อนจะร่ายข้อกังวลใจของตนให้ชายกลางรับฟังอย่างรวดเร็ว “บ๊วย ฌอนไม่รู้หรอกนะว่าคนชื่อเหนือต้องการอะไร ฌอนแค่อยากจะบอกบ๊วยว่า หล่อมันต้องไม่สบายใจแน่ ๆ ถ้ารู้ว่าบ๊วยรู้จักกับคนแบบนั้น”

“ทำไมล่ะ?”

“เขาลือกันว่าเหนือสมุทรน่ะประวัติไม่ค่อยจะดีสักเท่าไรน่ะ” สกลเอ่ยแทรกด้วยสีหน้าจริงจัง ตามด้วยข้อมูลเชิงลึกจากฝั่งแฝดน้องที่ร่างทรงหนุ่มเคยประสบพบเจอเมื่อตอนสลับตัวกันช่วงก่อนย้ายเข้าอพาร์ทเมนท์ต้นเทอมที่แล้ว

“อืม... โดยเฉพาะประเด็นที่เจ้าตัวมักจะกลายเป็นมือที่สามของหลาย ๆ คู่ ไม่ว่าจะกับผู้ชายหรือผู้หญิง”

“แต่เขาไม่น่าจะคิดอะไรกับคนอย่างเราหรอก เชื่อสิ” แม้จะรู้สึกตงิด ๆ ในใจ ทว่าบ๊วยกลับยังไม่ปักใจเสียทีเดียว เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครหน้าไหนจะนึกรักใคร่คนหน้าตาปลายแถวอย่างเขาได้โดยที่ไม่รู้จักนิสัยใจคอกันมาก่อน  ยิ่งคนที่ดูสำอางอย่างเหนือสมุทรด้วยแล้วล่ะก็

กระนั้นเพื่อนรักทั้งสองกลับไม่วางใจ “อย่าประมาทจะดีกว่านะบ๊วย” ฌอนเตือนสติชายกลางพร้อม ๆ กับบอกตัวเองให้เริ่มจับสังเกต และคอยระวังหลังให้เพื่อนสนิทต่างคณะที่ติดภาระกิจกับคณะจนแทบไม่ค่อยได้เห็นหน้า

จากนั้นจึงเป็นคิวของหลานอาม่าที่เอ่ยวาจาสำทับในทำนองเดียวกัน หากแต่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่า เพราะมีการกล่าวอ้างถึงเทพเจ้าธันวาผู้เป็นเจ้าของหัวใจเข้าให้อย่างจัง “นั่นสิ เพื่อความสบายใจของพี่หมี... เราว่านายเลิกติดต่อกับคน ๆ นี้ไปเลยก็น่าจะดีนะ”

“อือ เอาอย่างนั้นก็ได้” บ๊วยตอบรับเพื่อนทั้งสองโดยไม่ต้องคิด... ไม่ เขาจะไม่สร้างปัญหาให้พี่หมีหนักใจเป็นอันขาด!




|| ขณะเดียวกันนั้นเอง ||


พี่ฌาน!” ชั่วโมงนี้ เสียงเรียกด้วยความร่าเริงขั้นสูงสุดคงเป็นของใครอื่นไปไม่ได้ นอกจากเด็กปีหนึ่งผู้ที่เจ้าของชื่อหลวมตัวคบหาด้วยตลอดระยะเวลาที่ปลอมตัวเป็นเฟรชชี่

รุ่นพี่ปีสามผู้แสนดีอย่างฌานจึงหันไปทักทายอดีตเพื่อนใหม่ที่กลายเป็นรุ่นน้องไปเมื่อเย็นวานพร้อมรอยยิ้มเหมือนทุกทีที่เจอหน้าอีกฝ่าย “ไงเมย์ ไม่มีเรียนแล้วเหรอ?”

“เปล่าครับ! ผมกำลังจะเดินไปเรียนที่ตึกรวม แต่พอดีเห็นพี่เข้าเสียก่อนเลยเข้ามาทัก... แล้วพี่ทำอะไรอยู่เหรอครับ? เลิกเรียนแล้วเหรอครับ?” คณัสนันท์ยิ้มกว้างพลางระดมยิงคำพูดใส่คนโตกว่าอย่างกระตือรือล้นจนดูคล้ายกับลูกหมาโกลเด้นเป็นปลื้มเมื่อได้พบหน้าเจ้าของ

“เปล่า... พี่ฌานกับเพื่อนลงมาหาหนมกิน เดี๋ยวก็ขึ้นไปเรียนต่อแล้วล่ะ” ทุกครั้งที่คุยกันไม่ว่าจะในสถานะใด ความร่าเริงสดใสของเด็กหนุ่มตัวสูงใหญ่ก็ทำให้ร่างทรงหนุ่มหุบยิ้มไม่ได้สักที

“เอ่อ... พี่ฌานครับ พี่ฌานรู้ไหมครับว่าพี่รหัสผมเป็นใคร? เนี่ย ๆ  คำใบ้พี่รหัสผม” เด็กหนุ่มตัวโตค้อมหลังพลางยื่นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ให้รุ่นพี่ช่วยแนะนำ

“หืม?...จู๋มีครีบ?!... หึ หึ หึ เล่นอย่างนี้กันเลยเหรอ?!

พี่ฌานรู้เหรอครับว่าพี่ผมเป็นใคร?!!” เฟรชชี่ที่ขนาดตัวสูสีกับพี่ปีสามออกอาการตาตื่นเต้นเหมือนเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์อยู่ตรงหน้า ในขณะที่แฝดพี่กลับทำมึนแกล้งเฉไฉแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าใครคือเจ้าของคำใบ้สองแง่สองง่ามที่ว่า  

“เปล่า... แค่คำใบ้พี่รหัสเมย์ตลกดี ไหน ๆ พี่รหัสเมย์ก็จำเพาะเจาะจงเสียขนาดนี้แล้ว ทำไมไม่ลองไปหาตามบ่อ หรือสระน้ำในมอดูล่ะ เมย์อาจจะเจอพี่รหัสเร็วกว่ามาถามพี่ฌานก็ได้นะ ใครจะไปรู้”  

“โห่! พี่ฌาน นั่นพี่รหัสผมทั้งคนนะครับ... ไม่ใช่ปลา!” เจ้าของวันเกิดในเดือนพฤษภาตัดพ้อพอเป็นพิธี  

“พี่ฌานถามหน่อยเถอะ ทำไมเมย์ถึงอยากรู้ว่าพี่รหัสเป็นใครขนาดต้องตามสืบด้วยล่ะ อดใจรออีกแค่ไม่กี่วันพวกพี่ ๆ เขาก็จะเฉลยสายรหัสกันอยู่แล้วนิ” ฌานพยายามเปลี่ยนเรื่อง ทว่านั่นกลับลากปัญหาใหม่เข้ามาแทนที่

“ตอนแรกผมก็ว่าจะไม่ตื่นเต้นตามพวกเพื่อน ๆ หรอกครับ แต่พี่ฌานดูดิ... พี่รหัสผมอ่ะโคตรจะใจดีเลย พี่เขาฝากขนมกับจดหมายมาให้ผมทุกวัน... นี่ ๆ ...จดหมายจากพี่รหัสผมครับ พี่ฌานลองอ่านดูก็จะรู้ว่าพี่รหัสผมน่ะน่ารักสุด ๆ !” คณัสนันท์เอ่ยอย่างตื่นเต้นพลางยื่นจดหมายที่เจ้าตัวพับเก็บเอาไว้อย่างดีในกระเป๋าเสื้อนักศึกษาส่งให้ฌอนเพื่อเสริมความน่าเชื่อถือในบัดดล

หืม?!” เพียงปรายตามองผ่าน ๆ การตวัดลายเส้นเป็นตัวอักษรในจดหมายฉบับน้อยก็ทำให้แฝดพี่รู้ว่า เพื่อนสนิทตัวเล็กที่สุดของกลุ่มต่างหากล่ะที่เป็นเจ้าของข้อความ “นี่ของพี่รหัสเมย์แน่เหรอ?” ...ทำไมเมย์ถึงเข้าใจว่าบ๊วยเป็นพี่รหัส? แล้วปาล์มน้องบ๊วยไปไหน?!

อนิจจา คำถามใด ๆ กลับไม่ได้น่าเป็นห่วงเท่ากับท่าทางคลั่งไคล้พี่รหัสจนออกนอกหน้าของเด็กปีหนึ่งตัวใหญ่ตาใสแป๋วเลยสักนิด “ครับ! พี่ผมน่ารักใช่ไหมล่ะครับพี่ฌาน?”

“แต่พี่ฌานว่า เจ้าของจู๋มีครีบไม่น่าจะเหมาะกับคำว่า น่ารัก หรอกมั้ง... เมย์คิดว่าพี่รหัสตัวเองเป็นผู้หญิงหรือยังไง?”

ฌานพยายามบอกใบ้และตีกรอบความคาดหวังของอีกฝ่ายให้แคบลง ด้วยไม่อยากให้รุ่นน้องผู้สดใสลุ่มหลงกับภาพฝันในจินตนาการจนเกิดจะมาเสียความรู้สึกกันในภายหลัง กระนั้น น้ำเสียงมุ่งมั่นและความหนักแน่นในแววตาของอีกฝ่ายกลับทำให้แฝดพี่ไม่สบายใจหนักข้อยิ่งกว่าเก่า


“ถึงพี่รหัสผมจะเป็นผู้ชาย... แต่ถ้าพี่เขานิสัยน่ารัก ยังไงเขาก็ต้องเป็นคนน่ารักอยู่ดีไม่ใช่เหรอครับพี่ฌาน?”

ต่อให้เมย์ไม่เอ่ยความรู้สึกบางอย่างที่คุกรุ่นอยู่ในใจ ร่างทรงหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่รุ่นน้องมีให้ พี่รหัสมากและพิเศษเกินกว่าความจำเป็นอยู่ดี “ถ้างั้นเมย์ก็สู้ต่อไปแล้วกัน พี่ฌานจะเอาใจช่วยนะ” ทว่าสุดท้าย ฌานกลับเลือกที่จะไม่ตัดรอนกำลังใจของอีกฝ่ายด้วยรู้แน่ชัดว่า ความปรารถนาของเด็กเฟรชชี่คงไม่มีวันเป็นไปได้

พี่ฌาน ขึ้นกันเถอะ!” ขณะที่เด็กเดือนพฤษภากำลังจะอ้าปากตอบ เสียงร้องเรียกฟังโหยหวนของคนเห็นผีกลับดังแทรกกลางปล้อง หนุ่มรุ่นน้องจึงตัดบทอย่างเร็วรี่เหมือนอยากหนีหน้าใครบางคน  

“ผมว่าผมไม่รบกวนพี่ฌานแล้วดีกว่าครับ”

“ไปเรียนกันเถอะครับพี่ชาย” ฌอนชักชวนแฝดคนโต หากแต่วางสายตามองหน้าเด็กปีหนึ่งอย่างสนอกสนใจจนอีกฝ่ายรีบแนะนำตัวเองตามฉายาที่พวกพี่ ๆ ตั้งให้อย่างร้อนรน

สวัสดีครับ! ผมเมย์ไหน ไฟไหม้น้ำร้อนลวก แลนด์สเคป! ขอตัวไปเรียนก่อนนะครับ!” สิ้นคำ เด็กน้อยตัวล่ำก็หมุนตัววิ่งไปอีกทาง ปล่อยให้รุ่นพี่ปีสามมองตามอย่างงุนงง

“ไม่น่าเชื่อว่าจะมีน้องปีหนึ่งกล้าคุยกับพี่ฌานด้วย! จิตแข็งใช้ได้เลยนะนั่น!” เนื่องจากตั้งแต่คบหากันมา ไม่เคยมีคนแปลกหน้าคนไหนกล้าสนทนากับบอสใหญ่แห่งเหล่าสมุนเลวเพียงลำพังมาก่อน สกลจึงอดชื่นชมเฟรชชี่เดนตายคนเมื่อกี๊ไม่ได้  

“พี่ฌานว่าน้องมันร่าเริงจนไม่กลัวอะไรเลยมากกว่า ที่สำคัญ... นั่นน่ะหลานรหัสบ๊วยทั้งคนเลยนะ ใช่ไหมบ๊วย?” ฌานเลือกจะไม่ถามเกี่ยวกับน้องรหัสชายกลาง เพราะถึงอย่างไร เขาน่าจะได้รับคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดในไม่ช้า

“ครับ”

“น้องปีหนึ่งคนเมื่อกี๊เป็นหลานรหัสนายเองหรอกเหรอ? โธ่! ไอ้เรารึก็หลงนึกว่า เมย์เป็นชื่อน้องผู้หญิงเสียอีก!” หนุ่มแว่นเอาแต่ยืนบ่นกระปอดกระแปดจนแฝดพี่ต้องเอ่ยกระตุ้น

“เดินไปคุยไปก็ได้แว่น พี่ฌานไม่อยากเข้าห้องสาย!


«»------------------------------------------------------------------------------------«»


“ฮัลโหล... แนนเพิ่งเรียนเสร็จ พี่รินอยู่ไหนแล้ว? ได้ ๆ เดี๋ยวแนนรีบลงไปนะ” คนเห็นผียิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับเครื่องโทรศัพท์ราวกับเห็นสารินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า  แต่มีหรือที่ท่าทางกระดี้กระด๊ากับอารมณ์เริงร่าแบบฉับพลันของหลานอาม่าใหญ่จะหลุดรอดสายตาและฝีปากของแฝดน้องไปได้

“หึ!” หนุ่มหัวจุกปรายตามองเพื่อนรักหัวไข่พลางเบะปาก กับส่ายหัวใส่อย่างเหนื่อยอ่อน

อะไรฌอนศรี? ทำหน้าแบบนั้นแปลว่าอะไร?! อยากจะพูดอะไรก็พูดมา!” ทั้งที่ตั้งใจแน่วแน่ว่า หลังเริ่มเทอมใหม่ เขาจะไม่ร้อนรนเพราะเสียงนกเสียงกาหรือถ้อยคำครหาของฝาแฝด แต่สุดท้าย สกลก็เผลอแผดเสียงโต้กลับอย่างลืมตัวไปจนได้

“เปล่า แค่เพิ่งเคยเห็นปลากระดี่ได้น้ำใกล้ ๆ เลยรับไม่ค่อยได้นิดหน่อยน่ะ”

แล้วมันยังไง? คนมีความสุขก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้นนั่นแหละ!!” ยิ่งการต่อปากต่อคำยืดเยื้อ หนุ่มแว่นก็แทบจะกรีดเนื้อเถือหนังอีกฝ่ายผ่านสายตาตี่ ๆ ที่เชือดเฉือนยิ่งกว่ามีดพร้าคมกริบ ทว่าฌอนกลับไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด  

“เหรอ?!... อืมมม ถึงอย่างนั้นฌอนก็อดสงสัยไม่ได้อยู่ดีแหละว่าปลากระดี่มันได้ น้ำ อะไร ทำไมมันถึงได้กระดี๊กระด๊าจนลืมเก๊กแมนแบบนี้” มีอยู่ไม่กี่สาเหตุที่ทำให้แฝดคนน้องพูดน้ำไหลไฟดับได้ต่อเนื่องเช่นนี้... แน่ล่  การจิกกัดสหายสี่ตาจนออกอาการอ้ำ ๆ  อึ้ง ๆ ย่อมเป็นหนึ่งในนั้น  

เฮอะ! ให้มันได้อย่างนี้สิ! ทีตัวเองนั่งยิ้มจนปากห้อยตอนแอบตอบไลน์งูเห่าในคาบ ผมยังไม่คิดจะแฉเลยทำคุณบูชาโทษโปรดสัตว์ได้บาปชัด ๆ ” หนุ่มแว่นจิกตาทำปากขมุบขมิบคล้ายแอบด่าแถมให้ในใจ แต่อีกฝ่ายกลับไม่อนาทรร้อนใจเลยสักนิด

“เฮ่อ! พี่ฌานชักจะคิดถึงการเป็นพี่เนียนขึ้นมาตงิด ๆ แล้วล่ะบ๊วย” ร่างทรงหนุ่มปรารภพลางถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าโดยมีเสียงทุ่มเถียงกันระหว่างสองหนุ่มดังคลอเป็นแบ็คกราวด์ประกอบสุดไพเราะ

“หึ หึ... จนป่านนี้พี่ฌานยังไม่ชินอีกเหรอครับ? ผมว่า ฟัง ๆ ไปก็สนุกดีนะครับ” บ๊วยกระเซ้าด้วยรอยยิ้มจนแฝดผู้พี่อดยิ้มตามไม่ได้

“หึ! แล้วเดี๋ยวเราไปไหนกันต่อ? จะไปรอเก็กที่ไหนกันดี?”

“ชวนพี่รินกับอิ๊กไปแวะหาอะไรกินรองท้องกันก่อนแล้วค่อยคิดกันอีกทีว่าจะไปรอพี่หมีกันที่ไหน เอาแบบนั้นดีไหมครับ?”

“อืม... เอาสิ”

“บ๊วย” จู่ ๆ เสียงทุ้มต่ำของบุคคลที่ห้าก็ดังนำหน้าเจ้าตัวมาทักทายเด็กสถาปัตย์ทันทีที่ทั้งหมดเดินลงบันไดขั้นสุดท้ายลงมายังลานอเนกประสงค์ข้างใต้คณะ

“เหนือ... มาทำอะไรที่นี่เหรอครับ?!” ชายกลางอดประหลาดใจไม่ได้ เพราะเท่าที่ไลน์คุยกันล่าสุดเมื่อตอนบ่าย อีกฝ่ายก็ไม่ได้เกริ่นว่าจะมาพบหน้าตนแต่อย่างใด

ดูเหมือนเหนือสมุทรจะอ่านสีหน้าของเด็กสถาปัตย์ได้ตรงเผง เพราะนอกจากจะอธิบายจุดประสงค์แล้ว เขายังบอกเหตุผลประกอบครอบคลุมเสร็จสรรพ “พอดีเหนืออยากจะมาชวนบ๊วยไปกินข้าวเย็นน่ะครับ... กะจะเลี้ยงขอบคุณที่ช่วยแนะนำจนห้องซ่อมสำเร็จเรียบร้อย”

กระนั้น แทนที่ลูกแม่บัวจะเป็นฝ่ายให้คำตอบ ฌานกลับรับผิดชอบหน้าที่ดังกล่าวเสียเอง “บ๊วย จะไปห้องสมุดกันหรือยัง?” 

“ใช่ ๆ รายงานต้องรีบส่งพรุ่งนี้นะ” สกลผสมโรงอย่างลื่นไหล

“...เอ่อ...” ด้วยเพราะตกใจส่วนหนึ่ง และรับมุกไม่ทันอีกหนึ่งส่วนทำให้บ๊วยออกอาการหลุกหลิกเลิ่กลั่กอย่างเห็นได้ชัด


ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าเพื่อนของอีกฝ่ายจงใจโกหกเพื่อกีดกันไม่ให้เขาเข้าใกล้ แต่เหนือสมุทรกลับเปลี่ยนใจไม่ทำตามแผนการที่วางไว้ ก่อนจะไหลตามน้ำพลางเร่งคิดหาวิธีแก้ลำวิกฤตตรงหน้าซึ่งปรากฏกายในรูปแฟนหนุ่มของอคิราอย่างเร่งด่วน ...


แม่งเอ๊ย! เพื่อนสนิทบ๊วยไม่ได้มีแค่ไอ้แว่นคนเดียวหรอกเหรอวะ?!
ซวยล่ะ?! ป่านนี้อีกฝ่ายจะเข้าใจว่าเขาเป็นคนแบบไหนไปแล้วเนี่ย?!



“ถ้าวันนี้บ๊วยไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะครับ เหนือผิดเองที่โผล่มาเซอร์ไพรส์ไม่บอกก่อน... ไว้วันหลังเราค่อยไปกินข้าวด้วยกันก็ได้ครับ” สุดท้าย... เดือนมฤตยูแห่งบริหารก็ตัดสินใจชิ่งเพื่อกลับไปวางแผนให้รัดกุมกว่าเดิม ก่อนจะกลับมารุกใหม่วันหลังในจังหวะที่ชายกลางอยู่คนเดียว

แต่แล้วสถานการณ์กระอักกระอ่วนระหว่างชายหนุ่มทั้งห้าก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อบ๊วยออกปากรั้งเขาเอาไว้เสียเอง “เดี๋ยวเหนือ! เหนือรอผมแป๊บนึงนะ ขอผมตกลงกับเพื่อนก่อน” สิ้นคำ แฟนอดีตเดือนมหาลัยก็เดินนำหน้าเพื่อนรักทั้งสามไปยืนจับกลุ่มคุยกันตรงอีกมุม

“บ๊วย! นายเป็นอะไรของนาย? ทำไมนายถึงบอกให้เหนือสมุทรรออีกล่ะ?!” หนุ่มแว่นคาดคั้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดไม่ผิดจากแฝดพี่ที่ทั้งเป็นห่วงและกังวลระคนกัน

“บ๊วย... พี่ฌานต้องการคำอธิบาย”

“ผมลองคิด ๆ ดูแล้ว ถ้าเหนือสมุทรเป็นคนไม่ดีจริง ๆ ก่อนที่ผมจะถอยห่างจากเขา อย่างน้อย ๆ เขาก็ควรจะได้รู้เหตุผลที่ผมตัดสินใจไม่พบหน้าเขาอีกต่อไป ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็หมางเมินกันไปโดยไม่มีคำอธิบายน่ะครับพี่ฌาน” ชายกลางให้เหตุผลตามที่ตนคิด อย่างไรก็ดี สิ่งที่เขาต้องการ ช่างสวนทางกับข้อสรุปในใจของเพื่อน ๆ ทั้งสามอย่างสุดโต่ง

“แต่กับคนแบบนั้น... ฌอนว่าไม่จำเป็น” แฝดน้องเอ่ยอย่างเฉียบขาดทั้งเพื่อสะท้อนความไม่เห็นด้วยของตัวเขา และเพื่อออกเสียงประท้วงแทนสหายรักต่างคณะผู้มีศักดิ์เป็นแฟนของอีกฝ่าย

“ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย เชื่อเรานะฌอน เราไม่อยากทำร้ายความรู้สึกใคร... ต่อให้คน ๆ นั้นจะเป็นเหนือสมุทรก็ตาม” บ๊วยยังยืนกรานที่จำทำตามความเชื่อของตนโดยไม่สั่นคลอนจนฌอนจำใจต้องยอมรับแม้จะไม่เห็นด้วยเลยสักนิด

“ครั้งนี้ครั้งเดียวนะบ๊วย”

“อือ เราสัญญา”

“บ๊วยห้ามอยู่ในที่ลับตากับหมอนั่นสองต่อสองเป็นอันขาดนะ... รับปากพี่ฌานได้ไหม?”

“ครับ ผมจะนั่งคุยกับเขาที่คณะนี่แหละ พี่ฌานไม่ต้องห่วงนะ” ชายกลางรับคำแฝดพี่อย่างหนักแน่น...  

ตลอดสองปีที่เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันและกันก้าวผ่านทุก ๆ ปัญหา ทำให้แฟนตัวน้อยของธันวารู้ซึ้งถึงเนื้อแท้ของเพื่อนทั้งสามเป็นอย่างดี ซึ่งการที่ไม่ใช่แค่เพียงแฝดน้อง หากแต่เป็นทุก ๆ คน ออกอาการไม่ไว้วางใจเหนือสมุทรโดยพร้อมเพรียง ก็ทำให้บ๊วยตระหนักชัดว่า เด็กบริหารคนนั้นอันตรายและควรหลีกเลี่ยงอย่างแท้จริง





“เหนือไม่ต้องลำบากเลี้ยงผมก็ได้นะครับ ผมแทบไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ” เจ้าถิ่นพาอาคันตุกะหน้าหล่อเดินลงมานั่งคุยกันตรงม้าหินใต้ร่มไทรใหญ่ข้างคลองคณะซึ่งอยู่ในระยะสายตาของเพื่อนรักทั้งสามและสาริน  

“ถ้าเหนือจะบอกว่า เรื่องซ่อมห้องเป็นแค่ข้ออ้างเพื่อให้เราได้เจอกัน บ๊วยจะโอเคไหมล่ะครับ?” ใจจริงเด็กบริหารหมายมั่นว่าจะใช้มุกเผยความรู้สึกเป็นไพ่ตายที่ใช้แก้ไขสถานการณ์ยามคับขัน แต่อาการระแวดระวังและวางตัวห่างเหินอย่างเห็นได้ชัดของบ๊วยก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ที่จะละเลยได้

“...” ทั้ง ๆ ที่ก็เคยนึกฝันถึงบรรยากาศการสารภาพรัก และถูกสารภาพรักมาอยู่บ้าง แต่ครั้นเมื่อสัมผัสถึงบรรยากาศดังกล่าวผ่านสายตาวาดหวังของคนนั่งตรงข้าม  ความรู้สึกไม่ถูกต้อง ไม่สมควรก็ทำให้ชายกลางนั่งหลังตรงตัวแข็งทื่อมือเย็นเฉียบ

“เหนือว่าเหนือสนใจบ๊วยนะ... บ๊วยเข้าใจที่เหนือพูดใช่ไหม?” เจ้าของประโยคงัดกระบวนท่าเขินอายออกมาใช้ช่วงชิงดวงใจของอีกฝ่ายด้วยเพราะจากประสบการณ์ตรง เหนือสมุทรค้นพบว่าคนส่วนใหญ่มักจะตกบ่วงโดยง่ายเมื่อได้เห็นผู้ชายร้าย ๆ อย่างเขายอมเผยด้านอ่อนโยนที่เก็บซ่อนเอาไว้ยามเอื้อนเอ่ยคำนั้น
.
.
.
.
.
.
.
“ขอโทษนะเหนือ ผมมีคนรักแล้ว และผมคงจะตอบรับความรู้สึกของเหนือไม่ได้... ผมว่า ต่อจากนี้ เราอย่าเจอกันอีกเลยดีกว่าครับ” นอกจากจะไม่พ่ายแพ้ต่อแววตาและสีหน้าอินโนโซนต์จอมปลอมของพ่อเดือนดับแล้ว ยังเป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มตระหนักได้ว่า หากอีกฝ่ายไม่ใช่ธันวา... เขาก็ไม่น่าผูกจิตปฏิพัทธ์กับใครได้อีกแล้ว  

“แต่...”

“ขอร้องเถอะครับ” บ๊วยชิงตัดบทโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ต่อรอง พลางมองหาช่องปลีกตัวกลับไปหากลุ่มเพื่อนโดยเร็ว

เมื่อเห็นว่าคู่สนทนาตั้งป้อมอย่างแม่นมั่น ชายหนุ่มผู้ผ่านการปั่นหัวคนอื่นมานักต่อนักก็เปลี่ยนกลยุทธในการตะล่อมเหยื่อเสียใหม่ ด้วยการทำทีเป็นยอมถอดใจเอาดื้อ ๆ  “เฮ่อ! ก็ได้ครับ” เหนือสมุทรยกฝ่ามือขึ้นเสมอไหล่บอกใบ้ความยินยอมทางอ้อม ก่อนจะเริ่มแผนสำรองด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “แต่ไหน ๆ เราก็จะไม่ได้เจอกันแล้ว... ถ้าไม่ลำบากเกินไป บ๊วยช่วยรับฟังความรู้สึกทั้งหมดของเหนือหน่อยได้ไหม?” 
.
.
.
.
.
“...เอ่อ...”

ลูกแม่บัวอึกอักเพราะดันเผลอนึกย้อนไปถึงเมื่อตอนที่ตนสารภาพความรู้สึกกับคนรักเมื่อหลายเดือนก่อน... ตัวเขาในตอนนั้น ไม่ได้ต่างอะไรกับเหนือสมุทรในตอนนี้เลยสักนิด  ฝ่ายแบ๊ดบอยก็แอบกระหยิ่มในใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายออกอาการละล้าละลัง... ยัง เรื่องระหว่างกูกับบ๊วยยังไม่จบง่าย ๆ หรอกไอ้สัดเก็ก!
                             

“นะครับบ๊วย แค่บ๊วยยอมรับฟัง... แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น” เหนือสมุทรออดอ้อนอย่างหมดฟอร์มจนคนฟังจำยอมอย่างช่วยไม่ได้

“ก็ได้ครับ”

หนุ่มบริหารแสร้งสูดลมหายใจยืดยาว พลางช้อนตามองหน้าคู่สนทนาอย่างเศร้าสร้อย จากนั้นจึงค่อย ๆ เรียบเรียงคำพูดอันเป็นส่วนผสมระหว่างเรื่องจริง และคำพูดที่แต่งเติมเป็นพิเศษเพื่อเพิ่มอรรถรสและอารมณ์ร่วมให้แก่คนฟัง  

“จริงๆ ก่อนจะติดต่อบ๊วยอีกรอบ เหนือก็รู้อยู่หรอกนะว่าบ๊วยมีแฟนแล้ว...
...แถมแฟนบ๊วยยังไม่ธรรมดา เป็นถึงเดือนมหาลัยสุดป็อบที่ใคร ๆ ก็รู้จักอีกต่างหาก...
...แต่หลังจากที่เราเจอกันข้างล่างหอ แล้วก็มาเจอกันอีกทีในห้อง ไม่มีวันไหนเลยที่เหนือไม่คิดถึงบ๊วย...
.
.
...เหนือพยายามหักห้ามใจตัวเองอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ห้ามไม่ไหว เลยต้องหาทางมาเจอหน้าบ๊วย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลงี่เง่าฟังไม่ขึ้นขนาดไหนก็ตาม” ถ้าไม่ติดว่ากลัวจะเล่นใหญ่จนอีกฝ่ายจับไต๋ได้ เหนือสมุทรคงได้เพิ่มเสียงสะอื้นปิดท้ายเพื่อเรียกคะแนนสงสารไปแล้ว

“ผมว่าเหนือไม่ได้ชอบผมหรอก เหนือคงจะเข้าใจอะไรผิดไปมากกว่า” จนถึงตอนนี้ เด็กสถาปัตย์ก็ยังไม่เชื่อว่า คนอย่างเหนือสมุทรจะมาสะดุดใจใฝ่รักคนธรรมดา ๆ อย่างเขาแค่เพราะได้คุยกันสั้น ๆ เมื่อหลายอาทิตย์ก่อน

“เหนือไม่คิดแบบนั้นนะบ๊วย” หนุ่มบริหารหลุดปากสวนไปทันควัน

“เชื่อผมสิ... อีกไม่นานเหนือก็จะลืมผมได้เอง”

“ถ้างั้นเรามาพิสูจน์กันไหมล่ะบ๊วย... ระหว่างความรู้สึกของผม กับความเชื่อของบ๊วย อะไรจะเป็นจริง” ต่อให้เหนือสมุทรจะอยากเอาชนะคะคานอีกคนสักแค่ไหน ฝ่ายที่เข้าใจว่าเป็นคนหัวอ่อนในทีแรกกลับดื้อดึงกว่าที่คิด

“มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาพิสูจน์กันหรอกเหนือ...
.
.
...เอาเป็นว่าผมเชื่อสิ่งที่เหนือพูดทุก ๆ คำ และผมขอบคุณเหนือมากที่รู้สึกดีกับผม...
...แต่ผมอยากขอร้องให้เหนือตัดใจเสียแต่ตอนนี้...
...เพราะจากประสบการณ์ตรง ผมว่า... การเฝ้ารักคน ๆ หนึ่งไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เจ็บปวดยิ่งกว่าตอนที่แอบรักเขาอยู่ข้างเดียวเยอะเลยนะเหนือ” ชายกลางให้คำแนะนำกับเพื่อนร่วมชะตากรรมรักข้างเดียวด้วยความปรารถนาดีจากใจจริง เพราะไม่มีสิ่งไหนจะเปลี่ยนแปลงความรู้สึกที่เขามีต่ออดีตเดือนมหาลัยได้อย่างแน่นอน  

“แล้วถ้ารู้ทั้งรู้ แต่เหนือก็ยังจะขอแอบชอบบ๊วยแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ล่ะ... บ๊วยจะว่าอะไรไหม?” วินาทีนี้ เหนือสมุทรเปรียบเสมือนคนเสียสติที่เลือดเข้าตา... เพราะถึงจะไม่รู้ว่าความรู้สึกร้อนรุ่มจนอยากจะเต้นเร่า ๆ ข้างในอกนี้เกิดจากสาเหตุใด แต่ความรู้สึกไม่อยากแพ้พ่ายกลับกระจ่างชัดในใจจนเขาไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดมือไปเป็นอันขาด

“ถ้าอย่างนั้น ผมก็ต้องขอโทษเหนือล่วงหน้า ถ้าผมจะไม่รับสาย ไม่คุยไลน์ และเลี่ยงไม่เจอหน้าเหนืออีกต่อไป เพื่อความสบายใจของแฟนผม และก็เพื่อตัวเหนือเอง” บ๊วยสรุปพลางหยัดตัวลุกขึ้นทันควัน แต่ก่อนจะได้เดินหันหลังและจากมา เหนือสมุทรก็ไขว่คว้าโอกาสสุดท้ายที่จะเรียกร้องความสนใจจากเขาได้ชะงัด

“แล้วถ้าเหนือสัญญาว่าเหนือจะหักห้ามใจให้ได้ โดยที่เราจะเป็นแค่เพื่อนกัน บ๊วยจะยอมเปิดโอกาสรับเหนือเป็นเพื่อนอีกคนได้ไหมครับ?”

“...เอ่อ เหนือ... ผมว่าอย่าเลย มันไม...”

“เหนือไม่ได้จะตุกติกหรอกนะบ๊วย แค่พอคิดว่าจะไม่ได้เจอ ไม่ได้คุยกับบ๊วยอีก เหนือว่าเหนือยอมตัดใจเสียดีกว่า” หนุ่มบริหารพรั่งพรูคำพูดอย่างรวดเร็วโดยไม่เว้นช่องไฟให้ชายกลางปฏิเสธ และเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนดีมีน้ำใจ... เขาจึงใช้มันเป็นเครื่องมือผูกรั้งเด็กสถาปัตน์ไว้กับตัว “นะครับ เป็นเพื่อนกับเหนือได้ไหม?”
.
.
.
.
.
.
.
“ถ้าแค่เพื่อน... ผมก็ไม่มีปัญหาครับ” ค่าที่เข้าใจหัวอกคนแอบรักเป็นอย่างดี บ๊วยจึงยอมใจอ่อนอีกครั้งด้วยความหวังว่า เหนือสมุทรจะทำได้ตามที่พูดทุกประการ

ขอบคุณครับ! ขอบคุณบ๊วยมาก ๆ ครับ!” ...สำเร็จ! ในที่สุดอีกฝ่ายก็ไม่เหลือข้ออ้างในการขับไล่เขาไปให้พ้นหน้าอีกแล้ว!

“ไม่ต้องขอบคุณผมก็ได้ครับเหนือ”

“ไม่ได้ ๆ ต้องขอบคุณสิ ก็เหนือจะได้เจอบ๊วยไปตลอดแล้วยังไงล่ะ!” เหนือสมุทรยิ้มระรื่น

“ในฐานะเพื่อนเท่านั้นนะครับเหนือ” แฟนอดีตเดือนมหาลัยช่วยย้ำเตือนความทรงจำให้อีกฝ่ายไม่ล้ำเส้นที่เขาตั้งใจขีดแบ่งแยกความสัมพันธ์อย่างชัดเจน

“ครับ ๆ ฐานะเพื่อน... แค่เพื่อนจริง ๆ ” ใช่... แรก ๆ ก็เริ่มจากการเป็นเพื่อน แล้วค่อยเลื่อนเป็นผัวเมียทีหลังอย่างไรล่ะ!

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ พอดีเพื่อน ๆ ผมรออยู่” บ๊วยเอ่ยลาทันทีที่หมดธุระ ทว่าเจ้าของร่างสูงตรงหน้ากลับฉวยโอกาสทันควัน

“ครับ ไว้เดี๋ยวเหนือจะแวะมากินข้าวกับบ๊วยและเพื่อน ๆ วันหลังนะครับ”

“...ก็ได้ครับ...”




“ได้ความว่าไงบ้างบ๊วย? ไหนเล่าให้พี่ฌานฟังสิ” แฝดพี่อดซักไซ้เพื่อนรักร่างเล็กไม่ได้ แต่ก่อนจะได้ฟังคำอธิบายจากปากต้นขั้ว ตัวสอดแทรกชั้นดีก็ทำหน้าที่ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยเพื่อนรักตัดหน้าจังหวะพูดของบ๊วยเสียอย่างนั้น

“ใช่ ๆ บอกมาเลยว่าเมื่อกี๊คุยอะไรกัน!... ขาไปยังดี ๆ ทำไมตอนเดินกลับมานี่ถึงทำหน้าบอกบุญไม่รับ? แล้วทำไมอีกคนถึงเดินหน้าบานออกไปแบบนั้น?” สกลตั้งข้อสังเกตเสียตรงประเด็นจนคนถูกถามไปไม่เป็นเลยทีเดียว
.
.
.
.
“...เอ่อ...” แฟนอริยะตรัยผู้น้องหลุบตามองต่ำคล้ายคนกำลังหลบเลี่ยงความผิด หากแต่แท้ที่จริงแล้ว เป็นเพราะเขาไม่รู้จะเริ่มต้นเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อน ๆ ฟังอย่างไรต่างหาก

“บ๊วยทำตามที่พูดอย่างเต็มที่แล้วครับพี่ชาย แต่ฝ่ายนั้นไม่ยอมรามือง่าย ๆ อย่างที่เราคาดการณ์เอาไว้จริง ๆ ” สีหน้ายุ่งยากใจของบ๊วยทำให้ฌอนยอมทำหน้าที่โฆษกสรุปเรื่องทั้งหมดตามที่ได้รับรายงานจากกุมารทองมาอีกทอด ซึ่งเมื่อแฝดน้องช่วยเบิกทาง ฝั่งเจ้าของเรื่องจึงยอมง้างปากเล่ารายละเอียดสำคัญอื่น ๆ ในที่สุด

“เขาขอเป็นเพื่อนผมน่ะครับพี่ฌาน แต่เขาสัญญาแล้วนะครับว่าเขาจะไม่คิดเกินเลยกับผมอีก” บ๊วยเอ่ยหน้าตูมด้วยรู้สึกเสียใจที่ทำให้สหายทั้งสามผิดหวังไปตาม ๆ กัน ส่วนหลานอาม่าใหญ่ถึงกับตบเข่าตัวเองดังฉาดเมื่อรู้ว่า ลางสังหรณ์ของตนเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลของเหนือสมุทรแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ

นั่นไง! ว่าแล้วว่ามันแหม่ง ๆ ที่แท้พ่อดาวมฤตยูนั่นก็คิดไม่ซื่อกับเพื่อนแสนดีของเรามาแต่แรกนี่เอง!

“ฮื่อ สกล... อย่ารื้อฟื้นเลยน่า” ลูกแม่บัวรีบเอ่ยห้ามหนุ่มแว่นอย่างเร็วรี่เพราะไม่อยากให้สหายที่เหลือยิ่งเป็นกังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่องโดยเฉพาะร่างทรงหนุ่มที่ยังจับจ้องเขาไม่วางตา “ผมว่าไม่น่าจะมีอะไรแล้วนะครับพี่ฌาน... เหนือน่าจะรักษาสัญญาได้สำเร็จนะครับ”

“ไม่รู้สิ... ของแบบนี้คงต้องดูกันไปนาน ๆ ” ฌานเอ่ยเรียบ ๆ หากแต่สมองกลับครุ่นคิดหาลู่ทางที่จะกันเหนือสมุทรให้อยู่ห่างจากเพื่อนรักร่างเล็กของตนให้จงได้ ฝ่ายเป้าหมายก็ได้แต่รับคำอย่างว่าง่ายพลางบอกตัวเองให้ไม่วิตกไปล่วงหน้า

“ครับ ก็คงต้องดู ๆ กันไป”

“บ๊วย... ฌอนขออะไรอย่างได้ไหม?” ที่สุดแฝดน้องก็ยอมเอ่ยปากหลังจากปล่อยให้คนอื่นออกความเห็นกันอยู่นานสองนาน

“อะไรเหรอฌอน?”

“บอกหล่อด้วย... มันสมควรจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างตอนที่มันไม่อยู่” ฌอนกำชับเรื่องสำคัญที่สุดกับเพื่อนรักตัวน้อย

“อือ ได้สิ”

และก็เป็นฌานที่ช่วยสำทับอีกแรง “ยิ่งเร็วยิ่งดีนะบ๊วย”  

“ครับ”  







คืนนั้น... หลังจากเสร็จสิ้นกิจวัตรประจำวันอย่างสุดท้ายในห้องน้ำ บ๊วยก็รวบรวมความกล้าแล้วฉุดมือคนรักให้มานั่งหันหน้าคุยกันบนเตียง “พี่หมีครับ... เค้ามีเรื่องอยากเล่าให้ฟัง”





«»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «»

No comments:

Post a Comment