ก่อนอ่านตอนนี้...กรุณาเตรียมใจ
เพราะคนเขียนตั้งเตา ตักน้ำใส่กา ฉีกซอง เตรียมเครื่องปรุงมาแต่หัววัน
ขอเชิญรับประทานมาม่ากันให้อร่อยได้เลยค่ะ
ขออำภัยที่ตอนนี้ไม่หวานนะคะ...
รักคนอ่านทุกคนเลยค่ะ จ๊วบๆๆ
แล้วเจอกันอาทิตย์หน้า อันเป็นตอนต่อของเรื่องนี้ค่ะ ^^
ห่าง(หาย)
วันพุธที่ XX.XX.2558 @ เที่ยงคืนยี่สิบสองนาที
ไดอารี่ที่รัก
ไม่รู้คืนนี้เป็นอะไร...อยู่ๆก็นึกถึงตอนที่ยังเป็นเด็กขึ้นมา
แรกๆที่ถูกจับแยกห้องกับเจ้หยง
เพราะป๊ามีคำสั่งให้เริ่มหัดนอนคนเดียว
เรามักจะร้องไห้งอแงอยู่เป็นนาน
จนทุกคนในบ้านส่ายหัว
สุดท้าย ก็เดือดร้อนถึงหม่าม้า...ที่ต้องเข้ามากล่อมด้วยการเล่านิทานเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟังก่อนนอนอยู่เสมอ
ทุกครั้งที่เล่าจบ
ม้าไม่เคยลืมที่จะย้ำเตือนกับเราว่า...
ทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว
ล้วนแล้วแต่เป็นผลพวงมาจากการกระทำในวันที่ผ่านๆมาของเราแทบทั้งสิ้น
‘ลูกจำเอาไว้นะหยก...ถ้าอยากได้อะไร
หยกต้องลงมือทำ...อย่านั่งรอให้บุญพา วาสนาส่ง
เพราะคำว่า
‘ปาฏิหารย์’
มีอยู่แค่ในนิทาน......
‘ปาฏิหารย์’
ไม่เคยเกิดขึ้นกับคนธรรมดาๆอย่างพวกเรา’
อ้อ!...เกือบลืมไป วันนี้เราไม่เป่าปี่...และพรุ่งนี้เป็นวันหยุด!!
นับเป็นเรื่องน่ายินดีใช่ไม๊ล่ะ
^_^
๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑
ผมนอนลืมตาโพลง
พลางไล่สายตาฝ่าความมืดจ้องมองกลุ่มดาวเรืองแสงที่กระจัดกระจายไปทั่วเพดานห้องนอนอยู่เงียบๆ
ระหว่างที่ดาวพลาสติกซึ่งให้แสงเรืองๆสีเขียวตองอ่อนดวงแล้วดวงเล่าผลัดกันปรากฏกายเข้าสู่ม่านสายตา...
สมองผมก็ขุดเอาภาพเก่าๆขึ้นมาฉายใหม่อีกครั้งแม้ไม่ตั้งใจ
ภาพของบ่ายวันนั้น...
ผมกับเจ้าของห้องเขย่งปลายเท้าอยู่บนเตียงระหว่างช่วยกันแปะชิ้นพลาสติกรูปดาวประดับประดาเพดานพื้นขาวสะอาด
คิดกันง่ายๆแค่ว่า
อยากจะสร้างท้องฟ้าส่วนตัวซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าดวงดาราดารดาษ ทดแทนแสงสุกสกาวจากประกายพริบพราวที่ลาขาดจากผืนนภายามราตรีของเมืองฟ้าอมรแห่งนี้ไปนานแสนนาน
จังหวะที่หลังมือของเราต้องกัน
ผมช้อนสายตาขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาของร่างสูงกว่า
จึงได้รู้ว่า...เขาเองจับจ้องรอท่าเพื่อประสานสายตาเข้ากับผมอยู่ก่อนแล้ว
ชั่วขณะนั้น...ความขวยอาย
และอาการเต้นตึกตักภายในใจ ได้ปรุงแต่งสีหน้าแบบใดส่งผ่านไป ผมเองก็ไม่อาจบอกได้
รู้เพียงน้ำเสียงนุ่มทุ้มต่ำของอีกฝ่ายตอบสนองด้วยถ้อยคำสั้นๆ
ทว่าชวนให้เลือดในกายไหลมากองรวมกันที่ใบหน้าเกินความจำเป็นได้ดีเหลือเชื่อ
‘...หยกเขินแล้วน่ารัก...’
คนพูดปิดท้ายข้อความด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ที่ครองใจผมตั้งแต่แรกเห็น
ถึงอย่างนั้น เขากลับไม่ยอมให้ผมได้ชื่นชมสิ่งที่ปรากฏอยู่ด้านหน้าจนสมใจ
เพราะเพียงชั่วพริบตา
ภาพน่ามองก็พลันพร่าเลือน เคลื่อนหาย...
ภายหลังจากที่อีกฝ่ายก้มหน้าลงประทับรอยยิ้มนั้นบนริมฝีปากของผมอย่างละมุนละไม
ไม่นานจากนั้นสักเท่าไร...เราสองคนก็ปล่อยให้แรงโน้มถ่วงพาร่างที่กำลังดึงดูดเข้าหากัน
โรยตัวลงบนผืนฟูกด้วยความนุ่มนวล
ผมล่องลอยอยู่ในช่วงเวลาอันวาบหวามของวันเก่าๆ
โดยไม่สนใจว่าเวลาได้ล่วงเลยไปเนิ่นนานเพียงไร
เท่าที่ประเมินจากความรู้สึกเกร็งตรงต้นคอ...แม้ไม่พึ่งพานาฬิกาปลุกข้างหัวเตียง
ก็พอกะได้ว่า...ตอนนี้น่าจะเลยตีห้ามาหน่อยๆ
ขณะนี้...ผมตื่นเต็มตา
ไม่ต่างจากเช้าวันอื่นๆที่ต้องรีบรุดไปทำงาน
ความเคยชินตลอดระยะเวลาเกือบเจ็ดปีที่ผันผ่านไม่เคยละเลยหน้าที่ของมัน
แม้ในวันหยุดนขัตฤกษ์อย่างเช้านี้
เสียงกุกกัก
สวบสาบซึ่งดังแว่วออกมาจากห้องน้ำ คือเหตุผลเดียวที่ผมยังคงนอนปักหลักนิ่งๆไม่เคลื่อนไหว
ปฏิเสธไม่ได้ว่า
กำลังตั้งตารอคอยอย่างคาดหวัง...ดังเช่นทุกที
เพียงไม่กี่อึดใจ
สายตาซึ่งปรับจนมองฝ่าความมืดสนิทได้เป็นอย่างดีของผม พลันชำเลืองไปเห็นโครงร่างสูงใหญ่สมส่วนที่สวมเพียงกางเกงนอนเยื้องย่างมาหยุดอยู่ตรงข้างเตียง
ทั้งที่ใจร่ำร้อง...อยากลุกขึ้น
แล้วซุกตัวเข้ารับไออุ่นจากร่างกายสะกดสายตาไม่คลายนั่นจนแทบทนไม่ไหว
ผมกลับเลือกกดเปลือกตาให้ปิดลงก่อนที่เขาจะล้มตัวลงนอนยังอีกฟากฝั่งของเตียงที่ว่างอยู่
รู้ดีเชียวล่ะว่า
กำลังทำตัวโง่งม...
แทนที่จะเลือกหนทางที่ง่ายกว่า
ด้วยการเว้าวอนอ้อนขออีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา
แต่อีกใจกลับบอกให้ทำตรงกันข้าม
เพียงเพื่อทดสอบข้อสงสัยที่ยังไม่กระจ่าง...
.
.
.
อยากรู้เหลือเกินว่า...
เขาจะทำอย่างไร เมื่อห็นผมยังตกอยู่ในห้วงนิทราซึ่งผิดไปจากทุกที
เพราะตามปกติ
ช่วงเวลานี้ เรามักจะเดินสวนกันระหว่างทำธุระในห้องน้ำ...
ผมเตรียมความพร้อมเพื่อออกไปทำงาน
สำหรับเขา...ชำระคราบไคลเพราะได้เวลาเข้านอน
หวังอยู่ลำพังลึกๆว่า
ก่อนอีกฝ่ายจะหลับตาลง วงแขนแข็งแกร่งที่ผมใฝ่หาอาจถูกวาดมาแล้วคว้าตัวผมเข้าไปกอดก่าย...
หรือถ้าจะให้ดียิ่งไปกันใหญ่...
ผมภาวนาให้เขามีแก่ใจจะทำ ‘อะไรๆ’
แบบที่เราทั้งคู่มักจะหาโอกาส ‘ทำกัน’ อยู่เกือบตลอดเวลาในช่วงขวบปีแรกๆของความสัมพันธ์
เสียงลมหายใจสม่ำเสมอ
และการขยับตัวนอนตะแคงหันหลังให้ คือคำตอบที่กระแทกเข้าตรงกลางใจ...
...จุกเสียด...
...เจ็บปวด แม้ร่างกายไม่ถูกทำร้าย
.
.
.
.
.
.
ผมค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ...
ใช้การไล่สายตามองพลาสติกหลอกเด็กห้าแฉกบนฝ้าเพดาน
ชะลอไม่ให้ของเหลวร้อนๆในดวงตากลั่นออกมาเป็นสาย
๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑
สิบเอ็ดโมง...
ถือว่าทำเวลาในการซื้อของใช้
ของสดของอาทิตย์หน้าเข้าบ้านได้ดี
เก็บของเสร็จ ก็เริ่มทำกับข้าวเลยแล้วกัน...
อืม...ทำสี่อย่างทั้งที่กินกันอยู่แค่สองคน
เขาคงไม่บ่นว่าสิ้นเปลืองหรอกมั้ง
เอ...หรือทำห้าอย่างดี
รายนั้นยิ่งกินมื้อเช้าเยอะๆอยู่?
.
.
เอาเป็นว่า ทำห้าอย่างแล้วกัน...
ทำอย่างละนิดแต่หลากหลายหน่อย
จะได้สมกับเป็นมื้อแรกของอาทิตย์ที่จะได้กินข้าวพร้อมหน้า
คิดถึงสีหน้าปลื้มไม่หุบของเขาตอนเห็นจานโปรดวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ...ผมก็มีแรงฮึด
เร่งลงมือเตรียมอาหารมื้อใหญ่ในความรู้สึกอย่างขมีขมัน ระหว่างนั้นก็หมั่นเตือนตัวเองให้เหลือบดูเวลาบ่อยๆ
ด้วยตั้งใจจะปลุกคนขี้เซาราวๆบ่ายสอง
บ่ายโมงแล้ว...
ดีใจ
ที่ทุกอย่างที่ผมทำในวันนี้ ช่างลงตัว และสำเร็จตามตารางที่วางเอาไว้...เหลือแค่รอเวลาเท่านั้น
ซีลอาหารกลางวันที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ
จนแน่ใจว่าทุกอย่างที่ลงมือทำสุดหัวใจจะยังน่ากินหลังการอุ่น
จากนั้น ผมก็เดินออกไปเก็บผ้าที่ซักเอาไว้ตั้งแต่เช้าเข้ามาพับ
ก่อนเอาผ้าถังใหม่ที่ปั่นหมาดใช้ได้ออกไปตากอีกรอบ
กลับเข้าบ้าน...
แหงนดูเวลา...
ได้แต่ถอนใจ...
.
...แล้วก้มไปปรามกระเพราะตัวเองไม่ให้ร้องงอแงก่อนเวลาที่อีกฝ่ายจะตื่น
สงสัยว่าเมื่อคืน
ที่ร้านคงยุ่งจริงๆ...เพราะพอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย นี่บ่ายสองกว่าแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเอง
เอาเถอะ...ปล่อยให้ได้พักผ่อนอีกสักหน่อยคงได้ล่ะมั้ง
นานๆเขาจะได้นอนเกินแปดชั่วโมงเสียที
เมื่อได้ข้อสรุปดังนั้น
ผมจึงเริ่มก้มหน้าก้มตาทำงานบ้านชิ้นใหม่
การทำความสะอาด
และจัดเก็บพื้นที่ครัวให้กลับเป็นระเบียบ คงพอทำให้ลืมความหิวไปได้อีกสักระยะ...
รู้แหละ...ว่าถ้าเขารู้ว่าผมหิ้วท้องรอ
เขาต้องโมโหแน่ๆ
แต่จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ
ก็ผมอยากให้เราได้กินข้าวพร้อมหน้ากันจริงๆนี่...
วันหยุดทั้งที
ผมขอแค่ได้มีความสุขที่ได้เห็นสุดหล่อกินกับข้าวฝีมือตัวเองเสียหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร
ขัดๆถูๆครัวจนเหงื่อหยด
ก็อดนึกหมั่นเขี้ยวต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องมาเหนื่อยเพราะครัวที่ทั้งกว้าง
ทั้งใหญ่ขึ้นมาไม่ได้
จำได้แม่น แรกๆ... ผมเจาะจงกับเขาว่า ไม่อยากได้ครัวใหญ่ เพราะลำพังเราสองคนคงไม่ค่อยได้ใช้สอยอะไรมากนัก
แต่เขากลับสั่งให้ช่างออกแบบครัวจนไซส์สำเร็จมาไกลกว่าที่ผมขอไว้เกือบสี่เท่า...
เขาอธิบายด้วยรอยยิ้มว่า
ผมจะได้ลองทำเมนูใหม่ๆอย่างไม่รู้สึกขัดอกขัดใจด้วยข้อจำกัดของขนาดครัว และความครบครัน
เพราะต้องการที่จะได้ลิ้มรสอาหารอร่อยๆฝีมือผมในช่วงเวลาที่เราต่างว่างตรงกัน
ที่สำคัญ...บทรักเร่าร้อนบนไอส์แลนด์ที่ตั้งตระหง่านกลางครัว
หรือบนพื้นกระเบื้องเย็นเยียบข้างๆตู้เย็น คือ สิ่งที่อีกฝ่ายใฝ่ฝันอยากลองทำไม่น้อยไปกว่าการกินอาหารรสเลิศจานไหนๆ
หลุดอมยิ้มกับตัวเอง
เมื่อหวนนึกถึงเซ็กส์ของเราครั้งแรกบนไอส์แลนด์ที่สองมือเฝ้าขัดอยู่ไม่วางนี่...
เร่าร้อนอย่างนั้นเหรอ?... หึ! ทุลักทุเลสิไม่ว่า
แค่จะยืนยังไม่ไหว เพราะผมโดนอีกฝ่ายเล้าโลมจนแข้งขาไม่มีแรง
อีกคนก็ยักแย่ยักยัน
เพราะท็อปไม้บนไอส์แลนด์ดันเตี้ยกว่าช่วงขาของเขาอยู่มากโข...
ครั้นจะคร่อมตัวตามลงมา
ก็ไม่แน่ใจว่าโครงไม้ใต้ไอส์แลนด์จะรับน้ำหนักตัวผู้ชายตัวโตสองคน และทนแรงสั่นได้แค่ไหน
ถึงสุดท้ายจะได้ทำรักสมใจ
แต่ถ้าต้องทำร้ายครัวสุดสวยด้วยน้ำมือของตัวเอง... ถึงตอนนั้น พ่อคุณของผมคงยิ้มไม่ออก
เอาจริงๆตอนนั้น
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสมน้ำหน้าเขาดีไหม
ที่ออกแบบให้ครัวทั้งหมดเหมาะเจาะกับความสูงของผมเพียงคนเดียว
ชายตามองนาฬิกาข้างฝาแล้วถึงกับตกใจ...
บ่ายสามกว่าแล้วหรือ?
ถ้าขืนยังอดทนรอนานกว่านี้
ทั้งผมและเขาคงไม่ได้กินข้าวร่วมโต๊ะกันอย่างที่ตั้งใจเอาไว้แน่ๆ
“เจ...ตื่นได้แล้ว
จะสี่โมงแล้วนะ ใจคอจะนอนให้ตะวันตกก่อนรึไง?” ผมส่งเสียงไปปลุกพลางย่ำเท้าขึ้นบันได
“เจ
ลงมากินข้าวก่อน......ไว้อิ่มแล้วค่อยกลับไปนอนต่อก็ได้” ชักจะหงุดหงิดนิดๆ เพราะอีกฝ่ายยังไม่หือไม่อือ ถ้าเป็นม้าผมคงบ่นว่า นอนขี้เซาเป็นเด็กๆ ต้องให้ลงไม้ก่อนหรือไงถึงจะยอมขานตอบ...
.
.
.
หรือเขาจะไม่สบาย?!!
ด้วยความเป็นห่วง
ทำให้ผมรวบก้าวข้ามบันไดสองขั้นสุดท้ายแล้วรีบดิ่งเข้าไปในห้องนอน...
หากแต่ต้องพบกับความว่างเปล่า
กับที่นอนยับยู่
จับผ้าผวยและหมอนที่ถูกทิ้งขว้างดู
ก็ไร้ซึ่งไออุ่นของเรือนกายร่างสูงที่ควรเหลือทิ้งเอาไว้
ผมจึงเดินไปหยุดตรงหน้าประตูห้องน้ำที่ถูกงับจนสนิท
เคาะเบาๆสองสามครั้งก่อนผลักเปิด
“ตื่นแล้วมัวแต่ทำอะไรอยู่?
ทำไมเรีย.... คำถามเร็วรัวของผมชะงักค้าง
เมื่อภายในห้องสี่เหลี่ยมตรงหน้าไม่มีใคร
“เจ?”
“เจ?...เจ?.....”
“เจ?”
ผมร้องเรียกอีกฝ่ายไม่ขาดปาก
ระหว่างเดินตามหาเขาไปทั่วชั้นสอง
เพราะเวลาหลายชั่วโมงที่ผ่านมา
บอกกับผมว่า เจไม่ได้อุตริแอบหลบอยู่ส่วนไหนของชั้นล่างอย่างแน่นอน
.
.
...แล้วเขาไปไหน?
ผมกดโทรออกไปยังหมายเลขเดียวที่ผมโทรหาบ่อยที่สุด...
จริงๆต้องบอกว่า...หลังๆมานี่
เป็นผมคนเดียว ที่โทรหาเขาถึงจะถูก
“เจ...เจอยู่ไหน?”
((อ้าว ยังไม่ได้อ่านโพสอิทที่เจแปะเอาไว้ตรงบอร์ดข้างล่างเหรอ?...
...เจมาร้าน
มาเคลียร์บัญชีก่อนส่งให้พี่ปิงปองน่ะ...
.
...แค่นี้นะหยก...
...ขับรถอยู่...
...ตรู๊ด...ตรู๊ด...ตรู๊ด...ตรู๊ด...ตรู๊ด...ตรู๊ด.......))
“แต่วันนี้หยกทำกับข้าวของชอบเจทั้งนั้นเลยนะ...
.
.
...ฮึก...ฮึก...
...หยกกินคนเดียวไม่ไหวหรอก”
ผมสะอื้นท้วงออกไป ทั้งที่รู้แก่ใจว่า คนปลายสายไม่มีทางได้ยิน
๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑
วันพฤหัสบดีที่
XX.XX.2558
@ อีกสิบนาทีห้าทุ่ม
ไดอารี่ที่รัก
วันนี้เราเก่งไหม?...
เผลอร้องไห้แค่ครั้งเดียวเองนะ
เมื่อตอนเช้า
เราร้องไห้เพราะเรางี่เง่า เอาแต่ใจอยู่คนเดียว...
โบ๊ทยังบอกเลยว่า
ผู้ชายส่วนใหญ่ไม่เข้าใจหรอกว่าแฟนอยากได้อะไร ถ้าไม่บอกออกไปตรงๆ...
ก็เลยนึกได้ว่า
เจเอง...ก็เคยบอกไว้เหมือนกัน เราเลยไม่นับว่าครั้งนี้เราแอบร้องไห้
(พร้อมกับอุ๊บอิ๊บในใจว่า
คราวหน้าจะไม่ทำตัวงี่เง่าใส่เจอีก)
แต่เรื่องตอนบ่าย...เราหายงี่เง่าแล้วนะ
แถมยังตั้งใจชดเชยที่แอบทำตัวไม่เข้าท่า
ด้วยการทำความสะอาดบ้านซะเรี่ยม รีบขับรถไปชอปปิ้ง ซักผ้ากองโตตั้งสองถัง ทำกับข้าวเสียตั้งมากมายเตรียมไว้เอาใจเจ
ลงทุนอดทนรอกินข้าวพร้อมกัน ทั้งที่หิวสุดๆ
ทั้งๆที่เราทำถึงขนาดนี้...แต่สุดท้ายกลับยังต้องร้องไห้อยู่ดี
ก็เจน่ะสิ ออกไปข้างนอกก่อนเวลา ทิ้งให้เราต้องนั่งแกร่วอยู่ที่บ้านคนเดียว
อยากรู้นักว่าสำหรับเจ...
คนเป็นแฟนเจ คือ แม่บ้านที่พ่วงตำแหน่งเพื่อนหรือไง...ทำไมถึงได้ทำกับเราแบบนี้?
นึกอยากจะออกไปไหนก็ไป
นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ... ไม่ต้องใส่ใจ ไม่ต้องเห็นหัว
งานบ้านก็เหมือนกัน...กองนั่นกองนี่ทิ้งเอาไว้เรี่ยราดจนรกไปหมด
ใช่สิ...แค่รอให้ถึงวันเสาร์อาทิตย์ เราก็มาตามล้างตามเช็ดจนสะอาดเหมือนใหม่อยู่แล้วหนิ
ตอนที่ร้องไห้
เราคิดเอาไว้ว่า พรุ่งนี้เช้า...เราจะถามเจให้รู้ไปจริงๆว่า...
วันนี้เป็นวันหยุด...เจรู้รึเปล่า?
จำได้ไม๊ว่าเจเคยสัญญาอะไรเอาไว้?
ไหน...คนที่เคยบอกเราว่า
อยากใช้เวลาทุกนาทีของวันหยุดอยู่ด้วยกันให้นานที่สุดคนนั้นน่ะ...ตอนนี้เค้าหายไปไหน?
แค่ทำบัญชี
ทำที่บ้านไม่ได้รึไง?
เจรู้ไม๊ว่าหยกรู้สึกยังไง?
เจรู้ไม๊ว่าเจเปลี่ยนไป?
เจไม่เอาใจใส่หยกเหมือนเดิม เจทำเหมือนหยกเป็นของตาย
เจลืมเรื่องที่เคยสัญญาง่ายๆ
ด้วยข้ออ้างเรื่องที่ร้านบ้างล่ะ ปัญหาของเผ่า ปัญหาของโยบ้างล่ะ...
แล้วหยกล่ะเจ?
หยกอยู่คนเดียวได้สบายๆแค่เพราะอุ่นใจว่า หยกยังเป็นแฟนเจอยู่อย่างนั้นน่ะเหรอ?
หยกเหงา
หยกเศร้า หยกร้องไห้ไม่เป็นใช่ไม๊...เจถึงได้ปล่อยปละละเลยหยกแบบนี้?
พยายามไม่คิด ฝืนปลอบตัวเองว่าไม่เป็นไร
แต่ก็อดหวาดหวั่นไม่ได้จริงๆ...
ระยะเวลาหกปีกับอีกสามร้อยหกสิบสี่วันที่เราสองคนคบกัน
มันนานเกินไปหรือเปล่า?
มันนานจนทำให้หลงลืมเรื่องเล็กน้อยของคนสำคัญต่อหัวใจได้เชียวเหรอ?
ที่คนเค้าพูดกันว่า
อาถรรพ์ปีที่เจ็ด...มันมีอยู่จริงๆใช่ไม๊?
แล้วทำไม...ทีเรายังจำทุกๆรายละเอียด
ทุกๆคำพูดของเจได้แม่นเลยล่ะ?
ทำไม?
เมื่อตอนเย็น เหมือนพวกเพื่อนๆจะรู้ว่าเรากำลังหดหู่
เพราะพวกนั้นโทรมาชวนให้ออกไปกินข้าวด้วยกันถูกจังหวะพอดี
ได้ฟังโบ๊ทกับชลลี่เมาท์เรื่องปาร์ตี้เกย์โสดสุดแซ่บ
กับเหล่าคู่ควงข้ามคืนคนแล้วคนเล่าที่มันสองคนเพิ่งไปเจอมา ก็นึกอิจฉาคนโสดอย่างพวกมันไม่ได้...
เพราะไม่ว่าจะเจอหน้าสองคนนั้นเมื่อไร พวกมันก็ดูสบายใจ และสดใสซาบซ่านกันดี
ยังไม่ทันได้เปิดปากบ่นอะไร
เจ๊ซีก็เตือนสติให้ว่า...
ถึงเรากับเจจะระหองระแหงกันไปบ้าง
และถึงเรื่องบนเตียงจะจืดจางจนใกล้จะห่างหาย
แต่ไม่ว่ายังไง
เพื่อนทุกคนก็ลงมติเป็นเสียงเดียวกันว่า คู่ของเราสองคน คือ สุดยอดแห่งความน่าอิจฉาหาใดเปรียบ...
เพราะใครๆก็รู้
ว่าคู่เกย์ส่วนใหญ่...ต่อให้รักกันมากแค่ไหน ก็มักจะตกม้าตายกันง่ายๆด้วยเรื่องนอกใจ
นอกกายแบบไร้ข้อผูกมัดนี่แหละ
ไดอารี่ที่รัก...เราต้องทำยังไงเพื่อให้ชีวิตรักของเรากับเจชื่นมื่นเหมือนเมื่อครั้งแรกๆที่เราเริ่มคบกัน?
เราควรทำยังไงเพื่อให้อาถรรพ์ปีที่เจ็ดไม่เป็นจริง?
๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑
ผมยืนหลับตาอยู่นิ่งๆรอให้สายน้ำอุ่นจากปลายฝักบัวไหลรดตัวจนชุ่มโชกอยู่ครู่ใหญ่
จากนั้นจึงปล่อยให้สองมือไล้ฟองสบู่ไปจนทั่ว
พลางขัดไล่ตัวง่วง ตัวขี้เกียจที่เกาะแน่นอยู่ตามร่างกายให้หลุดออก
รู้สึกตกใจนิดหน่อย...ตอนได้ยินเสียงม่านกั้นอ่างอาบน้ำถูกเลื่อนเปิด
แต่พอเห็นว่าเป็นร่างสูงใหญ่ของเจก้าวเข้ามายืนอยู่ใต้ฝักบัวในอ่างอาบน้ำด้วยกัน
ผมก็หันกลับไปชำระร่างกายตัวเองต่อ
“ตื่นสายไปรึเปล่าหยก?”
ฝ่ามือของเจยื่นมาแตะเบาๆบนแผ่นหลังผมก่อนผละจาก
“ฮื่ออออ...เมื่อคืนนอนดึก”
ผมโกหกคำโต เพราะไม่อยากให้อีกคนต้องห่วง จริงๆแล้วต้นเหตุของการตื่นสายเป็นเพราะเมื่อคืนผมนอนไม่หลับต่างหาก
“แล้วนี่จะไปทำงานทันไม๊?”
เจเดินเข้ามายืนซ้อนหลัง จนผมสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่แข็งขืนดุนดันอยู่ตรงบั้นท้าย
แต่นี่ไม่ใช่เวลาทำตามอำเภอใจ และดูเหมือนอีกฝ่ายคงคิดเหมือนกัน...เพราะเจไม่ออกอาการฮึดฮัดแต่อย่างใด
“ทันซี่...เนี่ยะ
อาบน้ำเสร็จพอดี” ผมก้าวเบี่ยงออกจากอ่างอาบน้ำเพื่อปล่อยให้อีกคนใช้ฝักบัวได้เต็มที่
แล้วจึงเร่งมือใช้ผ้าขนหนูซับหยดน้ำออกจากตัว พลางพรั่งพรูถ้อยคำที่ผมยอมสละเวลานอนค่อนคืนในการตระเตรียม
โดยไม่ลืมตัดทอนเอาความงี่เง่า และงอแงออกไปกว่าครึ่ง
“เจ...หมดเรื่องปิดบัญชีแล้ว
คืนนี้ปิดร้านแล้วกลับบ้านก่อนเวลาได้ไม๊?”
“ทำไม?
หยกมีอะไรเหรอ?”
“เจจำได้รึเปล่าว่าวันนี้เป็นวันอะไร?”
“วันศุกร์?”
“ไม่ช่ายยยย...วันนี้เป็นวันครบรอบเจ็ดปี
หยกอยากจัดงานฉลองเล็กๆที่บ้านเราคืนนี้...นะเจนะ”
“ทำไมต้องฉลองด้วยล่ะหยก?...ปีก่อนๆก็ไม่เห็นต้องฉลองให้วุ่นวายเลยนี่...
...ที่อยากฉลอง
เพราะหยกยังไม่เลิกเชื่อเรื่อง seven-year itch อะไรนั่นใช่ไม๊?...
.
.
...ของอย่างนี้
มันอยู่ที่ใจ...ไม่ใช่จำนวนปีที่คบกัน
อย่าไปเสียเวลากังวลเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนั้นให้เหนื่อยเปล่าจะดีกว่า...
...หยกก็เห็นนี่ว่า
ต่อให้ไม่ถึงเจ็ดปี คนมีคู่ก็เลิกกันโครมๆ...
...นี่เจพูดแบบไม่ได้รวมที่แต่งงานแล้วหย่าตั้งแต่หม้อข้าวยังไม่ทันดำเลยนะ”
เจปัดม่านกั้นออกระหว่างยืนฟอกสบู่เพื่อส่งสายตาดุๆมาจ้องหน้าผม
ใบหน้ามู่ทู่บอกบุญไม่รับแบบสุดๆของเจสื่อชัดว่า
ถ้าสุดท้าย...ผมไม่อาจยกคำอธิบายดีๆมาหว่านล้อมให้เขาเห็นชอบด้วย
ก็เลิกหวังเรื่องที่เขาจะยอมร่วมมือร่วมใจด้วยง่ายๆไปได้เลย
“หยกแค่ถือฤกษ์ว่าเป็นวันครบรอบเจ็ดปี...เลยอยากมีช่วงเวลาหวานๆ
ให้เราได้อยู่กันสองต่อสองบ้างน่ะซิ นะ...นะ”
เพราะรู้ว่าลำพังเหตุผลของผมคงฟังไม่เข้าหูเจสักเท่าไร
ผมจึงอาศัยลูกอ้อน บวกกับการรวบรัดตัดความเข้าช่วย
“เจ...ก่อนไปทำงานวันนี้
กินข้าวเช้าด้วยนะ...
...กลางวันเมื่อวาน
หยกทำของชอบเจเอาไว้เต็มเลย อย่าลืมกินให้หมดล่ะ...
...นะเจ เจต้องกินให้ได้นะ
ไม่งั้นหยกเสียใจแย่...
.
...เจอกันก่อนเที่ยงคืนๆนี้นะเจ...หยกรักเจนะครับ!”
พูดจบผมก็รีบวิ่งออกจากห้องน้ำแล้วเริ่มแต่งตัวไปทำงาน
โดยไม่สนใจว่าคำตอบของอีกฝ่ายเป็นเช่นไร
เพราะเท่าที่ผมรู้จักเจมา
ถ้าผมอยากได้อะไรมากๆ...แม้ไม่มีเหตุผล เจก็พร้อมจะยอมตามใจผมเสมอ
หวังว่าครั้งนี้...ผมจะได้ในสิ่งที่ผมต้องการไม่ต่างไปจากทุกที
๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑
วันศุกร์ที่ XX.XX.2558 @ห้าทุ่มสี่สิบห้า
ไดอารี่ที่รัก
วันนี้เราเก่งที่สุด
เพราะไม่เสียน้ำตาเลยซักหยด
แถมยังไปทำงานทันเวลาทั้งๆที่ตื่นสายไปตั้งครึ่งชั่วโมงอีกตังหาก!
ไม่อยากจะบอกเลย...เมื่อเช้าตอนอาบน้ำอยู่
เราเกือบจะห้ามใจตัวเองเอาไว้ไม่ได้แน่ะ
ใครจะไปคิดว่า
อยู่ๆเจจะเข้ามาอาบน้ำพร้อมกัน...
ที่สำคัญ
ไม่นึกว่าน้องชายเจจะชักธงรบพร้อมใช้งานแบบนั้นด้วยนี่ซิ >_<
ตอนนั้น ถึงลึกๆเราจะเสียดายสุดๆ...
แต่ทำไงได้ ก็เราตื่นสายเองนี่นา
ระหว่างขับรถไปทำงาน
ก็ได้แต่ปลอบตัวเองซ้ำๆว่า ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร...
เพราะยังไงๆ คืนนี้เรากับเจต้องได้ปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นมานานกันเสียที
(เย่!!!!)
พอไปถึงออฟฟิศก็เพิ่งเฉลียวใจขึ้นมาว่า
สองสามวันมานี่...เจกลับบ้านเอาตอนใกล้ฟ้าแจ้งมากขึ้นทุกที
ทั้งที่ปกติ อย่างน้อยๆ...เรากับเจจะยังพอมีเวลาสักสองสามชั่วโมงเพื่อนอนร่วมเตียงกันบ้าง
ถึงจะไม่นานเท่าที่ฝันไว้ก็เถอะ ชักสงสัยขึ้นมาตงิดๆซะแล้วซิว่าเพราะอะไร
เจถึงได้กลับบ้านผิดเวลาไปมากขนาดนี้?
พอควบคุมความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป..
เราเลยตัดสินใจแน่วแน่ว่า
ยังไงซะ...วันนี้เราจะต้องกลับถึงบ้านให้ทันก่อนเจออกไปที่ร้าน จะได้ถามเจ้าตัวให้แน่ใจว่า...ที่กลับบ้านช้าน่ะ
เพราะอะไรกันแน่?
แต่ผลสุดท้าย ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี...
เอาเป็นว่าวันนี้
คือวันที่เราลงทุนลงแรงแบบสุดตัวโดยเปล่าประโยชน์แท้ๆ
นึกๆแล้วก็เสียดายแรงกาย
พลังงาน และความทุ่มเทเกินร้อยของตัวไม่ได้...
ไม่น่าเหนื่อยเร่งปั่นงานส่งหัวหน้าจนหน้ามัน
หัวฟู ขนาดเหลือบไปเห็นเงาตัวเองตอนเดินผ่านกระจกยังตกใจ
ไม่น่าต้องอดข้าวเที่ยง
ตากแดดเสี่ยงชีวิตซ้อนท้ายพี่วินร่อนไปรับนาฬิกาข้อมือของขวัญวันครบรอบของเจที่สั่งเอาไว้ตั้งแต่วันก่อน...
ตอนบ่ายเลยทั้งหิว ทั้งมึนหัว
ไม่น่าคิดเข้าข้างตัวเองว่า
ออกจากออฟฟิศก่อนเวลาห้าโมง รถจะไม่ติดเท่าไร
เพราะตราบใดที่ยังทำงานอยู่ใจกลางกรุงเทพ ไม่ต้องหวังว่าจะเจอหน้าเจหรอก
แค่ฝ่ารถดงรถติดแบบสาหัสากรรจ์กลับมาถึงบ้านได้ก่อนสองทุ่ม ก็บุญเท่าไร
อยากเจอหน้าเจ...ก็ไม่ได้เห็นหน้า
พอเปิดตู้เย็นเพื่อเตรียมของกินสำหรับมื้อฉลอง...ผมก็แทบหมดแรง
เพราะกับข้าวที่เก็บเอาไว้ในตู้
ยังอยู่ครบทุกจาน รู้เลยว่าเจไม่ได้แตะต้องแม้แต่นิดเดียว
ทำไมเจถึงทำแบบนี้?
ทั้งๆที่เมื่อเช้าก็ย้ำแล้วย้ำอีก
ตอนบ่ายก็ส่งข้อความไปทิ้งเตือนเอาไว้
ยอมทำแม้กระทั่งแปะโพสอิทตรงกระดานที่เจเป็นคนต้นคิดหว่านล้อมให้เราใช้
(บอกเลยว่า
ไอ้บอร์ดแปะโพสอิทในครัวนี่คือสิ่งเดียวที่เราค้านหัวชนฝา...ก็มันสิ้นเปลืองทรัพยากร
อีกอย่าง...ลายมือเรามันไม่สวยเท่าเจนี่นา ใครมันจะไปอยากเขียนฟ้องว่าลายมือตัวเองน่าอาย)
หรือเดี๋ยวนี้
คำพูดของเรามันไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไปแล้ว?
ใครกันที่เคยบอกว่า
ไม่ว่าหยกจะขออะไร ก็จะยอมทำให้โดยไม่มีข้อแม้?
ใครกันที่สัญญาเสียสวยหรูต่อหน้าป๊ากับม้าว่า
จะดูแลเราให้ดีที่สุด...บอกว่าจะทำให้เราเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก?
อยากรู้นักว่าตอนนี้...ใครคนนั้นอยู่ที่ไหน?
.
.
.
...ใช่คนที่ล้มตัวลงนอนข้างๆกันทุกๆคืนแบบเว้นระยะห่าง
หากนานๆครั้งถึงจะส่งภาษากายมาทักทายกันบ้าง...เพียงเพื่อปลดเปลื้องความต้องการของเขาคนนั้นไหม?
...ใช่คนอยู่ร่วมชายคา
แต่ไม่พูดอะไร ไม่มีกระทั่งเรื่องเล่า...ใช่เขา คนที่ทำให้เสียงหัวเราะของเราเลือนหายไปคนนั้นไหม?
...ใช่คนที่กลับบ้านมาแล้วก็เอาแต่นอนทั้งวัน...คนที่ไม่เห็นความสำคัญของเวลาแต่ละนาทีที่เราจะอยู่ด้วยกันคนนั้นไหม?
...ใช่คนที่เมินเฉย
ละเลยการเอาใจใส่ความรู้สึก และรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของตัวเราคนนั้นรึเปล่า?
...ใช่คนที่เมื่อก่อน
เคยบอกว่ารักเราก่อนหลับตานอนทุกคืน...และจูบเราทุกเช้าที่เราตื่น แต่พอพ้นปีที่สาม...กลับไม่ทำเรื่องสวีทหวานแบบนั้นให้เราชื่นใจอีกต่อไปคนนั้นหรือไม่?
ถ้าใช่...เขาคนนั้นที่เรากำลังพูดถึง
ขอร้องเถอะ...ใครก็ได้ช่วยบอกเราด้วยหน่อย...
เราควรทำอย่างไร
เพื่อเปลี่ยนแปลงให้คนๆนั้น กลับกลายไปเป็นเหมือนคนเก่าที่เราเคยรักสุดหัวใจ?
ป.ล.
ขอโทษด้วยนะไดอารี่ที่รักที่เราต้องหยุดเขียนเอาดื้อๆลงตรงนี้...
รู้สึกไม่ดี
ที่ต้องเล่าเรื่องราวของเราให้เธอฟังทั้งน้ำตา (หวังว่าเธอจะไม่โกรธเราหรอกใช่ไหม?)
๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑
ระหว่างฟุบหน้าลงกับโต๊ะกินข้าวซึ่งเต็มไปด้วยอาหารชืดๆ
ที่ถูกจัดเรียงเอาไว้อย่างสวยงามเพื่อการเฉลิมฉลองตั้งแต่เมื่อสี่ชั่วโมงที่แล้ว เสียงของลูกกุญแจ
เสียงไขและเปิด ปิดประตู และเสียงฝีเท้าที่เกิดขึ้นล่าช้ากว่าเวลานัดหมายไปสองชั่วโมงกว่าๆ
ทำให้การควบคุมสติอารมณ์ของผมขาดผึง
“เจ...ทำไมเจเพิ่งกลับเอาตอนนี้...
...นี่มันจะตีสองแล้วนะ...
.
...เจรู้ไม๊ว่าหยกนั่งรอเจมากี่ชั่วโมงแล้ว?” ผมถามเจออกไปด้วยน้ำเสียงสื่อความโมโหแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน
ริ้วความโกรธปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนฟังวูบหนึ่ง
แต่แล้วกลับจางหายไปเมื่ออีกฝ่ายได้เห็นสิ่งของประดามีที่วางอย่างแน่นขนัดอยู่ทั่วโต๊ะ
เจผ่อนลมหายใจช้าๆ
ก่อนส่งยิ้มอ่อนๆมาให้ ตามด้วยส่งเสียงตอบผมอย่างหวานหูชวนฟัง
“โธ่หยก! เจตั้งใจกลับบ้านดึกที่ไหนล่ะ
พอดีมันมีเรื่องสุดวิสัยที่ร้านนิดหน่อยเลยต้องอยู่เคลียร์...
.
...ทีนี้หยกเข้าใจเจแล้วใช่ไม๊ครับ?”
แค่โกรธน่ะไม่เท่าไร...แต่ความน้อยใจน่ะมากเหลือล้น
ผมเลยไล่ต้อนเจไม่หยุด “ทำไมไม่โทรมาบอก?”
“ก็ที่ร้านมันวุ่นๆ
มีคนกระทืบไอ้โยในห้องน้ำ เจเลยต้องรีบเข้าไปห้ามมวย...
.
...ไหนจะต้องตามไปไกล่เกลี่ยกับคู่กรณีให้ไอ้โยมันอีก...
...เรื่องเยอะขนาดนี้
เจจะเอาเวลาที่ไหนไปโทรหาหยกล่ะ?...
...อย่างอนเลยนะ
เจขอร้อง...ทะเลาะกันมันเหนื่อยนะ หยกรู้ใช่ไม๊?” เจเสยผมลวกๆแบบที่เขามักจะทำเวลาข่มใจ
แต่สิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมด กลับไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากได้ยิน
“หึ! เดี๋ยวนี้อะไรๆก็โย!” ผมค่อนด้วยโทสะ เวลานี้...ถ้าไม่ใช่คำว่าขอโทษจากปากเจ...อะไรก็ไม่เข้าหู
ดูเหมือนสิ่งที่ผมเพิ่งจะพูดไป
จะเป็นการราดน้ำมันรดกองไฟเสียมากกว่าการดับเพลิงในใจเราทั้งสองฝ่าย
เพราะเจเริ่มจะใส่อารมณ์กับคำพูดพร้อมๆกับชักสีหน้าไม่พอใจแล้ว
“หยก!!......หยกพูดอย่างนี้ได้ยังไง?!
...หยกก็รู้นี่ว่าไอ้โยมันน่าสงสาร
บ้านน้องมันจนจะตายห่า มันยังมาหางานทำไม่เคยบ่น...
...ถ้าเจปล่อยเรื่องคืนนี้ให้บานปลาย
มันจะทำไง?...มันจะไม่โดนอีกฝ่ายลากเข้าซังเตแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่เอาง่ายๆเหรอ?...
.
.
...หยก
มีเหตุผลหน่อยซิ...
...หยกเองไม่ใช่เหรอ
ที่เชียร์ให้เจรับมันเข้ามาทำงาน ทั้งๆที่เจไม่ได้อยากได้ไอ้โยมาช่วยงานแต่แรกด้วยซ้ำ”
“ไม่รู้ล่ะ...ก็คืนนี้เป็นคืนพิเศษของเราสองคน
ทำไมเจไม่รู้จักแยกแยะ จัดลำดับความสำคัญหน่อยล่ะ?” ผมตีรวนไม่ลดละ
“ถามหน่อยเถอะ......ใครกันแน่ที่ไม่รู้จักแยกแยะห๊ะหยก?
...
.
...จะต้องให้เจบอกอีกอี่ครั้งว่าเรื่องวันนี้มันเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิด...
...หยกไปถามไอ้โย
หรือใครก็ได้ว่า อยากให้เกิดเรื่องจนต้องเจ็บตัวกันถ้วนหน้าแถมยังต้องมานั่งเคลียร์กันยืดยาวมั่งไม๊?...
...แล้วเรื่องไอ้โยมันไปเกี่ยวอะไรกับลำดับความสำคัญ?”
“เกี่ยวซิ!! ก็เจนัดกับหยกเอาไว้ตั้งแต่เช้าแล้วนี่! หยกบอกไม่ใช่เหรอว่าคืนนี้ให้เจกลับมาบ้านก่อนเที่ยงคืน
ไม่ใช่ตีสอง!”
“เมื่อเช้าเจยังไม่ทันได้ตอบรับเลยนะหยก”
“เจ!! เจกลายเป็นพวกปลิ้นปล้อนอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ผมตวาดเจเสียงดัง...ทั้งน้อยใจ เสียใจ ทั้งอะไรอีกหลายแหล่...มั่วไปหมด
“มันจะอะไรกันนักหนาล่ะหยก
กะอีแค่วันครบรอบคบกันเป็นปีที่เจ็ดเท่านั้นเอง!...
.
...ก็เจกลับบ้านมาแล้วนี่ไง...
...แล้วทำไมเราถึงไม่เริ่มฉลองให้สมใจหยกกันซะทีล่ะ?” พูดจบเจก็กระแทกก้นลงนั่งตรงเก้าอี้อีกฝั่ง
นั่งทั้งที่ทำสีหน้าเอือมระอาเหนื่อยหน่าย
ได้! ถ้าเขาจะทำแบบนี้...
คอยดู
ผมก็จะไม่ลดราวาศอกให้เหมือนกัน
“อย่ามาประชดหยกนะ...
...แล้วก็อย่าพูดเหมือนไม่สนใจว่ามันสำคัญยังไง...
.
.
...ปีที่เจ็ดน่ะ...
...ใครๆเค้าก็รู้ว่ามันเป็นปีอาถรรพ์ของคู่รัก
เจก็เคยได้ยินมาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
“อาถรรพ์?!...
...มันเกิดจะมีอาถรรพ์
เพียงเพราะคนปากมากพวกนั้นมันดันเลิกกันตอนปีนี้น่ะเหรอ?...
.
.
...การที่คนอื่นเลิกกัน...
...แล้วมันมาเกี่ยวอะไรกับเราล่ะหยก?...
...ก็วันนี้เราสองคนยังคบกันอยู่เลยนี่”
“เพราะเจเป็นอย่างงี้ยังไงล่ะ
ปีที่เจ็ดมันเลยยิ่งน่ากลัว... เจรู้ไม๊ว่า หลังๆมานี่...เจทำให้หยกกลัว”
“(ปัง!) เจทำให้หยกกลัวอะไร? ไหนบอกมาซิ”
ผมตกใจที่อีกฝ่ายตบโต๊ะเสียงดัง แต่ด้วยความอยากเอาชนะ ผมก็ยังไม่หยุด
“ก็กลัวว่า
อาถรรพ์ปีที่เจ็ดมันจะเป็นจริงขึ้นมาซักวันยังไงล่ะ!!”
“ถามจริงๆเถอะหยก...หยกคิดเรื่องที่เราต้องเลิกกันอยู่ตลอดเวลาเลยเหรอ?”
“เจ...
หยกไม่ได้คิดเรื่องเลิก แต่ที่ผ่านมา เจทำเหมือนไม่ใส่ใจอะไรเลย...
.
...กระทั่งเรื่องที่เรานัดกันวันนี้
และก็เรื่องที่หยกขออีกตั้งหลายครั้ง เจก็ไม่ยอมทำตามที่หยกขอ...
...ถ้าจะให้หยกยิ้มแล้วบอกว่าไม่กลัว
ไม่คิดอะไร...ก็เท่ากับเจบังคับให้หยกโกหกเจแล้วล่ะ”
“ก็เพราะหยกเอาแต่คิดว่า
ปีที่เจ็ดต้องเลิกแน่ๆไง หยกเลยไม่พอใจอะไรซักอย่าง...
...หยกคงไม่รู้ตัวหรอกว่าพักนี้หยกหงุดหงิดง่ายเป็นที่สุด
เวลาไม่ชอบใจอะไรก็เอาแต่เก็บเงียบ...
...ที่เจเฉยๆ
เพราะไม่อยากมานั่งปวดประสาททะเลาะด้วยเรื่องเจ็ดปีบ้าบอที่มันยังมาไม่ถึง เหมือนที่เรากำลังบ้าน้ำลายกันอยู่ตอนนี้ยังไงล่ะ...
.
.
...หยกเคยได้ยินที่คนเค้าพูดกันไม๊ว่า
คนเรามีแนวโน้มที่จะตัดสินใจทำในสิ่งที่จิตใต้สำนึกสั่งอยู่ลึกๆโดยไม่รู้ตัว...
...ถ้าสุดท้าย
เราต้องเลิกกันหลังจากวันนี้นับไปอีกสามร้อยสี่สิบหกวัน เจว่า..เจคงไม่แปลกใจหรอก...
...ก็หยกน่ะเอาแต่คิดอยู่ตลอดว่ามันจะมีอาถรรพ์ปีที่เจ็ดเกิดขึ้นกับเราสองคนจริงๆหนิ”
“ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้นะเจ!” ผมลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วตะโกนใส่หน้าเขา นั่นคงทำให้คนใจเย็นอย่างเจถึงคราวน็อตหลุดแล้วจริงๆ
เพราะเขาหลุดปากพูดสิ่งที่ผมไม่ต้องการฟังออกมาหน้าตาเฉย
“ทำไมหยก?... ทนฟังความจริงไม่ได้รึไง?
ที่ผ่านมา หยกไม่เคยฟัง ไม่เคยยอมรับความผิด ไม่... ไม่เลยซักครั้ง!”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะเจ!! ไหนเจสัญญาว่าเจจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกไง...แล้วเมื่อกี๊มันอะไร?”
กว่าจะรู้ว่าอีกฝ่ายโกรธและเสียใจไม่น้อยไปกว่าตัวเอง
ถ้อยคำจากปากผมก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว...
แต่เจจะรู้บ้างไหมว่า
สิ่งที่เขาเพิ่งขุดขึ้นมาพูดกับผมเมื่อครู่
เป็นประโยคต้องห้ามที่ผมเคยร้องขอไม่ให้เขาเอ่ยมันออกมาอีกเลยตลอดชีวิตนี้
“ก็แล้วใครหาเรื่องเจไม่หยุดตั้งแต่เดินเข้าบ้านมานี่ล่ะ?”
“.......”
ผมทั้งเสียใจ
เสียหน้า เสียความรู้สึก
ความน้อยใจทำให้ผมเลือกที่จะเดินหันหลังให้กับคนรักที่พูดจาทำร้ายจิตใจผมได้อย่างเจ็บปวดที่สุด
ผมอยากจะหนีไปให้ไกลๆจากตรงนี้...ไม่อยากเห็นหน้าเจสักพัก
คิดได้ผมก็รีบวิ่งขึ้นบันได แล้วไปเก็บของใช้ส่วนตัวบางอย่างใส่กระเป๋า...
คืนนี้ผมจะกลับไปนอนกอดม้า
อยากให้ม้าช่วยปลอบใจในยามที่ต้องร้องไห้อยู่คนเดียว
“หยก! หยกจะไปไหน?...
.
...หยุดเดี๋ยวนี้นะ!...
...เราตกลงกันแล้วไงว่า
ถ้าโกรธกัน เราจะไม่หนีอีกฝ่ายไปไหน...
...อย่างมากก็นั่งกันคนละห้อง
ไม่ใช่หนีหน้ากันไปอย่างนี้!!” เจกระหืดกระหอบไล่ตามผมขึ้นมา พอเข้ามาถึงห้องได้
ก็เดินมายื้อกระเป๋าในมือผมทั้งที่ยังหอบหายใจหนัก แต่ผมไม่อยากได้ยินอะไรทั้งสิ้น...
ไม่อยากได้ยินกระทั่งเสียงของเจ ผู้ชายที่ผมรักมากที่สุด
“ปล่อย!
ปล่อยหยก!!” ผมพยายามสะบัดมือ แล้ววิ่งหนีจากที่ๆมีเจอยู่...
ช่างของมัน! แค่มีรถ มีกุญแจบ้านม้า ผมก็ไม่เป็นไรแล้ว
จังหวะที่ผมกำลังจะก้าวออกจากห้อง
กลับต้องชะงักเพราะเจเข้ามาสวมกอดผมเอาไว้จากข้างหลัง พลางส่งเสียงอ้อนวอน
“ไม่!! จนกว่าหยกจะสัญญาก่อนว่า หยกจะไม่ไปไหน”
แต่วินาทีนั้น คำพูดร้ายกาจที่เป็นเหมือนน้ำกรดสาดารดหัวใจผมที่เจพูดเมื่อครู่ยังดังก้องอยู่ในหัวผมเกือบตลอดเวลา
การต่อต้านและผลักไสอีกฝ่าย...กลายเป็นสิ่งเดียวที่ร่างกายผมลงมือทำ
“ไม่ต้องมาสนใจหยกหรอก...หยกมันไม่เคยฟัง
ไม่เคยยอมรับความผิด ไม่เคยทำอะไรดีๆให้เจซักอย่างอยู่แล้วนี่!!”
“หยก! หยก!!...
.
...ไม่นะหยก
เจไม่ให้หยกไป!!”
จังหวะที่เจคลายอ้อมกอด
คือช่วงที่ผมแกะแขนของเขาออกจากเอวได้ทัน
ผมออกวิ่งหมายจะก้าวลงบันไดให้เร็วที่สุด
แต่เจกลับคว้าหูกระเป๋าของผมข้างหนึ่งเอาไว้แน่น
“ปล่อยยยยยยย/ไม่!!!! ยังไงเจก็ไม่ปล่อย หยกต้องอยู่นิ่งๆก่อน”
ไม่มีใครยอมใคร...
เราต่างมีกระเป๋าเป็นสิ่งเดียวที่ยังยึดเหนี่ยวให้เราสองคนยังต้องเผชิญหน้ากัน
ผิดแต่ว่าการกระทำนั้น...คือการยื้อแย่ง
แข่งกำลัง เพื่อให้อีกฝ่ายแพ้พ่าย และทำตามความต้องการของอีกคน
ผมอยากหนีไปให้ไกลแสนไกล...
ในขณะที่เจอยากให้ผมอยู่
ทั้งๆที่เขาดูแคลนผมด้วยเรื่องในอดีต...
คำพูดของเขาไปสกิดบาดแผลที่ไม่เคยจางหาย
ให้ร้าวระบมขึ้นมาอีกครั้ง...
บาดแผลที่คอยย้ำเตือนว่าผมเป็นคนทำร้ายคนที่ผมรักได้อย่างเลือดเย็น
“ปล่อยยยยยยยยยยยย!!!/
เฮ๊ย!...หยก!!!!!”
สุดท้าย...ไม่ใช่ผม
หรือ เจ ที่แพ้พ่าย...
หากแต่เป็นหูกระเป๋า
ที่ขาดสะบั้นเมื่อสู้แรงของผู้ชายสองคนที่ต้องการเอาชนะซึ่งกันและกันไม่ได้อีกต่อไป
ถึงอย่างนั้น...นั่นกลับไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการยื้อแย่งในครั้งนี้...
.
.
.
สิ่งสุดท้ายที่ผมเห็น
คือ ฝ่ามือของเจยื่นส่งมาหวังจะคว้าฝ่ามือผม
หากแต่มันดันเกิดขึ้นพร้อมกันกับตอนที่ผมเสียหลักล้มหงายไม่เป็นท่า
จากนั้น...ร่างกายผมก็ค่อยๆหล่นร่วงกระแทกขั้นบันได...
...ขั้นแล้ว
ขั้นเล่า...
...ขั้นแล้ว
ขั้นเล่า...อย่างช้าๆในความรู้สึก
ก่อนจะตกลงสู่เบื้องล่าง
ที่กำลังรอต้อนรับผมอยู่ด้วยความมืดมิด
ไดอารี่ที่รัก...
ถ้าทำได้...เราอยากขอให้ความรักครั้งนี้ของเรา
มีความสุขและยั่งยืนตลอดไป...
ถ้าเราจะขอให้มี
‘ปาฏิหารย์’ เกิดขึ้นในชีวิตธรรมดาๆของหยกดูสักครั้ง...คงไม่ผิดอะไรใช่ไม๊?
๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑
No comments:
Post a Comment