Wednesday, April 8, 2015

หลากเรื่องรักเกือบสั้น...ว่าด้วยพยัญชนะตัวที่ ๔๑ :: ห่าง (เรื่องสั้นหมายเลขเก้า)

ก่อนอ่านตอนนี้...กรุณาเตรียมใจ
เพราะคนเขียนตั้งเตา ตักน้ำใส่กา ฉีกซอง เตรียมเครื่องปรุงมาแต่หัววัน
ขอเชิญรับประทานมาม่ากันให้อร่อยได้เลยค่ะ

ขออำภัยที่ตอนนี้ไม่หวานนะคะ...
รักคนอ่านทุกคนเลยค่ะ จ๊วบๆๆ
แล้วเจอกันอาทิตย์หน้า อันเป็นตอนต่อของเรื่องนี้ค่ะ ^^




ห่าง(หาย)




 วันพุธที่ XX.XX.2558 @ เที่ยงคืนยี่สิบสองนาที
ไดอารี่ที่รัก 



ไม่รู้คืนนี้เป็นอะไร...อยู่ๆก็นึกถึงตอนที่ยังเป็นเด็กขึ้นมา
แรกๆที่ถูกจับแยกห้องกับเจ้หยง เพราะป๊ามีคำสั่งให้เริ่มหัดนอนคนเดียว
เรามักจะร้องไห้งอแงอยู่เป็นนาน จนทุกคนในบ้านส่ายหัว
สุดท้าย ก็เดือดร้อนถึงหม่าม้า...ที่ต้องเข้ามากล่อมด้วยการเล่านิทานเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟังก่อนนอนอยู่เสมอ

ทุกครั้งที่เล่าจบ ม้าไม่เคยลืมที่จะย้ำเตือนกับเราว่า...
ทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ล้วนแล้วแต่เป็นผลพวงมาจากการกระทำในวันที่ผ่านๆมาของเราแทบทั้งสิ้น

ลูกจำเอาไว้นะหยก...ถ้าอยากได้อะไร หยกต้องลงมือทำ...อย่านั่งรอให้บุญพา วาสนาส่ง
เพราะคำว่าปาฏิหารย์มีอยู่แค่ในนิทาน......
ปาฏิหารย์ไม่เคยเกิดขึ้นกับคนธรรมดาๆอย่างพวกเรา


ม้าครับ...แล้วถ้าหยกอยากได้ความรักกลับคืน...หยกต้องอดทนไขว่คว้าหัวใจดวงนั้นไปอีกนานเท่าไรกัน?

ในเมื่อการลงมือทำมันยากพอๆกับการเฝ้ารอปาฏิหารย์
ถ้างั้น...หยกจะลองภาวนาให้เกิด ปาฏิหารย์ ขึ้นในชีวิตธรรมดาๆของหยกดูสักครั้ง...
คงไม่ผิดอะไรใช่ไม๊ครับม้า?



อ้อ!...เกือบลืมไป วันนี้เราไม่เป่าปี่...และพรุ่งนี้เป็นวันหยุด!!
นับเป็นเรื่องน่ายินดีใช่ไม๊ล่ะ ^_^



๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑



ผมนอนลืมตาโพลง พลางไล่สายตาฝ่าความมืดจ้องมองกลุ่มดาวเรืองแสงที่กระจัดกระจายไปทั่วเพดานห้องนอนอยู่เงียบๆ
ระหว่างที่ดาวพลาสติกซึ่งให้แสงเรืองๆสีเขียวตองอ่อนดวงแล้วดวงเล่าผลัดกันปรากฏกายเข้าสู่ม่านสายตา... สมองผมก็ขุดเอาภาพเก่าๆขึ้นมาฉายใหม่อีกครั้งแม้ไม่ตั้งใจ



ภาพของบ่ายวันนั้น...


ผมกับเจ้าของห้องเขย่งปลายเท้าอยู่บนเตียงระหว่างช่วยกันแปะชิ้นพลาสติกรูปดาวประดับประดาเพดานพื้นขาวสะอาด
คิดกันง่ายๆแค่ว่า อยากจะสร้างท้องฟ้าส่วนตัวซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าดวงดาราดารดาษ ทดแทนแสงสุกสกาวจากประกายพริบพราวที่ลาขาดจากผืนนภายามราตรีของเมืองฟ้าอมรแห่งนี้ไปนานแสนนาน


จังหวะที่หลังมือของเราต้องกัน
ผมช้อนสายตาขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาของร่างสูงกว่า
จึงได้รู้ว่า...เขาเองจับจ้องรอท่าเพื่อประสานสายตาเข้ากับผมอยู่ก่อนแล้ว

ชั่วขณะนั้น...ความขวยอาย และอาการเต้นตึกตักภายในใจ ได้ปรุงแต่งสีหน้าแบบใดส่งผ่านไป ผมเองก็ไม่อาจบอกได้
รู้เพียงน้ำเสียงนุ่มทุ้มต่ำของอีกฝ่ายตอบสนองด้วยถ้อยคำสั้นๆ  ทว่าชวนให้เลือดในกายไหลมากองรวมกันที่ใบหน้าเกินความจำเป็นได้ดีเหลือเชื่อ


 ‘...หยกเขินแล้วน่ารัก... 



คนพูดปิดท้ายข้อความด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ที่ครองใจผมตั้งแต่แรกเห็น
ถึงอย่างนั้น เขากลับไม่ยอมให้ผมได้ชื่นชมสิ่งที่ปรากฏอยู่ด้านหน้าจนสมใจ

เพราะเพียงชั่วพริบตา ภาพน่ามองก็พลันพร่าเลือน เคลื่อนหาย...
ภายหลังจากที่อีกฝ่ายก้มหน้าลงประทับรอยยิ้มนั้นบนริมฝีปากของผมอย่างละมุนละไม
ไม่นานจากนั้นสักเท่าไร...เราสองคนก็ปล่อยให้แรงโน้มถ่วงพาร่างที่กำลังดึงดูดเข้าหากัน โรยตัวลงบนผืนฟูกด้วยความนุ่มนวล




ผมล่องลอยอยู่ในช่วงเวลาอันวาบหวามของวันเก่าๆ โดยไม่สนใจว่าเวลาได้ล่วงเลยไปเนิ่นนานเพียงไร
เท่าที่ประเมินจากความรู้สึกเกร็งตรงต้นคอ...แม้ไม่พึ่งพานาฬิกาปลุกข้างหัวเตียง
ก็พอกะได้ว่า...ตอนนี้น่าจะเลยตีห้ามาหน่อยๆ

ขณะนี้...ผมตื่นเต็มตา ไม่ต่างจากเช้าวันอื่นๆที่ต้องรีบรุดไปทำงาน
ความเคยชินตลอดระยะเวลาเกือบเจ็ดปีที่ผันผ่านไม่เคยละเลยหน้าที่ของมัน แม้ในวันหยุดนขัตฤกษ์อย่างเช้านี้



เสียงกุกกัก สวบสาบซึ่งดังแว่วออกมาจากห้องน้ำ คือเหตุผลเดียวที่ผมยังคงนอนปักหลักนิ่งๆไม่เคลื่อนไหว
ปฏิเสธไม่ได้ว่า กำลังตั้งตารอคอยอย่างคาดหวัง...ดังเช่นทุกที

เพียงไม่กี่อึดใจ สายตาซึ่งปรับจนมองฝ่าความมืดสนิทได้เป็นอย่างดีของผม พลันชำเลืองไปเห็นโครงร่างสูงใหญ่สมส่วนที่สวมเพียงกางเกงนอนเยื้องย่างมาหยุดอยู่ตรงข้างเตียง



ทั้งที่ใจร่ำร้อง...อยากลุกขึ้น แล้วซุกตัวเข้ารับไออุ่นจากร่างกายสะกดสายตาไม่คลายนั่นจนแทบทนไม่ไหว
ผมกลับเลือกกดเปลือกตาให้ปิดลงก่อนที่เขาจะล้มตัวลงนอนยังอีกฟากฝั่งของเตียงที่ว่างอยู่ 

รู้ดีเชียวล่ะว่า กำลังทำตัวโง่งม...
แทนที่จะเลือกหนทางที่ง่ายกว่า ด้วยการเว้าวอนอ้อนขออีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา
แต่อีกใจกลับบอกให้ทำตรงกันข้าม เพียงเพื่อทดสอบข้อสงสัยที่ยังไม่กระจ่าง...
.
.
.
อยากรู้เหลือเกินว่า... เขาจะทำอย่างไร เมื่อห็นผมยังตกอยู่ในห้วงนิทราซึ่งผิดไปจากทุกที
เพราะตามปกติ ช่วงเวลานี้ เรามักจะเดินสวนกันระหว่างทำธุระในห้องน้ำ...   
ผมเตรียมความพร้อมเพื่อออกไปทำงาน สำหรับเขา...ชำระคราบไคลเพราะได้เวลาเข้านอน

หวังอยู่ลำพังลึกๆว่า ก่อนอีกฝ่ายจะหลับตาลง วงแขนแข็งแกร่งที่ผมใฝ่หาอาจถูกวาดมาแล้วคว้าตัวผมเข้าไปกอดก่าย...
หรือถ้าจะให้ดียิ่งไปกันใหญ่... ผมภาวนาให้เขามีแก่ใจจะทำ อะไรๆ แบบที่เราทั้งคู่มักจะหาโอกาส ทำกัน อยู่เกือบตลอดเวลาในช่วงขวบปีแรกๆของความสัมพันธ์  



เสียงลมหายใจสม่ำเสมอ และการขยับตัวนอนตะแคงหันหลังให้ คือคำตอบที่กระแทกเข้าตรงกลางใจ...


...จุกเสียด...
...เจ็บปวด  แม้ร่างกายไม่ถูกทำร้าย
.
.
.
.
.
.
ผมค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ...
ใช้การไล่สายตามองพลาสติกหลอกเด็กห้าแฉกบนฝ้าเพดาน ชะลอไม่ให้ของเหลวร้อนๆในดวงตากลั่นออกมาเป็นสาย



๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑



สิบเอ็ดโมง...
ถือว่าทำเวลาในการซื้อของใช้ ของสดของอาทิตย์หน้าเข้าบ้านได้ดี
เก็บของเสร็จ ก็เริ่มทำกับข้าวเลยแล้วกัน...


อืม...ทำสี่อย่างทั้งที่กินกันอยู่แค่สองคน เขาคงไม่บ่นว่าสิ้นเปลืองหรอกมั้ง
เอ...หรือทำห้าอย่างดี รายนั้นยิ่งกินมื้อเช้าเยอะๆอยู่?
.
.
เอาเป็นว่า ทำห้าอย่างแล้วกัน...
ทำอย่างละนิดแต่หลากหลายหน่อย จะได้สมกับเป็นมื้อแรกของอาทิตย์ที่จะได้กินข้าวพร้อมหน้า

คิดถึงสีหน้าปลื้มไม่หุบของเขาตอนเห็นจานโปรดวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ...ผมก็มีแรงฮึด เร่งลงมือเตรียมอาหารมื้อใหญ่ในความรู้สึกอย่างขมีขมัน  ระหว่างนั้นก็หมั่นเตือนตัวเองให้เหลือบดูเวลาบ่อยๆ ด้วยตั้งใจจะปลุกคนขี้เซาราวๆบ่ายสอง




บ่ายโมงแล้ว...
ดีใจ ที่ทุกอย่างที่ผมทำในวันนี้ ช่างลงตัว และสำเร็จตามตารางที่วางเอาไว้...เหลือแค่รอเวลาเท่านั้น
ซีลอาหารกลางวันที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ จนแน่ใจว่าทุกอย่างที่ลงมือทำสุดหัวใจจะยังน่ากินหลังการอุ่น
จากนั้น ผมก็เดินออกไปเก็บผ้าที่ซักเอาไว้ตั้งแต่เช้าเข้ามาพับ ก่อนเอาผ้าถังใหม่ที่ปั่นหมาดใช้ได้ออกไปตากอีกรอบ


กลับเข้าบ้าน...
แหงนดูเวลา...
ได้แต่ถอนใจ...
.
...แล้วก้มไปปรามกระเพราะตัวเองไม่ให้ร้องงอแงก่อนเวลาที่อีกฝ่ายจะตื่น
สงสัยว่าเมื่อคืน ที่ร้านคงยุ่งจริงๆ...เพราะพอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย นี่บ่ายสองกว่าแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเอง
เอาเถอะ...ปล่อยให้ได้พักผ่อนอีกสักหน่อยคงได้ล่ะมั้ง นานๆเขาจะได้นอนเกินแปดชั่วโมงเสียที



เมื่อได้ข้อสรุปดังนั้น ผมจึงเริ่มก้มหน้าก้มตาทำงานบ้านชิ้นใหม่
การทำความสะอาด และจัดเก็บพื้นที่ครัวให้กลับเป็นระเบียบ คงพอทำให้ลืมความหิวไปได้อีกสักระยะ...
รู้แหละ...ว่าถ้าเขารู้ว่าผมหิ้วท้องรอ เขาต้องโมโหแน่ๆ
แต่จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ ก็ผมอยากให้เราได้กินข้าวพร้อมหน้ากันจริงๆนี่...
วันหยุดทั้งที ผมขอแค่ได้มีความสุขที่ได้เห็นสุดหล่อกินกับข้าวฝีมือตัวเองเสียหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร



ขัดๆถูๆครัวจนเหงื่อหยด ก็อดนึกหมั่นเขี้ยวต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องมาเหนื่อยเพราะครัวที่ทั้งกว้าง ทั้งใหญ่ขึ้นมาไม่ได้
จำได้แม่น  แรกๆ... ผมเจาะจงกับเขาว่า ไม่อยากได้ครัวใหญ่ เพราะลำพังเราสองคนคงไม่ค่อยได้ใช้สอยอะไรมากนัก
แต่เขากลับสั่งให้ช่างออกแบบครัวจนไซส์สำเร็จมาไกลกว่าที่ผมขอไว้เกือบสี่เท่า...

เขาอธิบายด้วยรอยยิ้มว่า ผมจะได้ลองทำเมนูใหม่ๆอย่างไม่รู้สึกขัดอกขัดใจด้วยข้อจำกัดของขนาดครัว และความครบครัน
เพราะต้องการที่จะได้ลิ้มรสอาหารอร่อยๆฝีมือผมในช่วงเวลาที่เราต่างว่างตรงกัน     ที่สำคัญ...บทรักเร่าร้อนบนไอส์แลนด์ที่ตั้งตระหง่านกลางครัว หรือบนพื้นกระเบื้องเย็นเยียบข้างๆตู้เย็น คือ สิ่งที่อีกฝ่ายใฝ่ฝันอยากลองทำไม่น้อยไปกว่าการกินอาหารรสเลิศจานไหนๆ


หลุดอมยิ้มกับตัวเอง เมื่อหวนนึกถึงเซ็กส์ของเราครั้งแรกบนไอส์แลนด์ที่สองมือเฝ้าขัดอยู่ไม่วางนี่...

เร่าร้อนอย่างนั้นเหรอ?...  หึ! ทุลักทุเลสิไม่ว่า
แค่จะยืนยังไม่ไหว  เพราะผมโดนอีกฝ่ายเล้าโลมจนแข้งขาไม่มีแรง
อีกคนก็ยักแย่ยักยัน เพราะท็อปไม้บนไอส์แลนด์ดันเตี้ยกว่าช่วงขาของเขาอยู่มากโข...
ครั้นจะคร่อมตัวตามลงมา ก็ไม่แน่ใจว่าโครงไม้ใต้ไอส์แลนด์จะรับน้ำหนักตัวผู้ชายตัวโตสองคน และทนแรงสั่นได้แค่ไหน
ถึงสุดท้ายจะได้ทำรักสมใจ แต่ถ้าต้องทำร้ายครัวสุดสวยด้วยน้ำมือของตัวเอง... ถึงตอนนั้น พ่อคุณของผมคงยิ้มไม่ออก
เอาจริงๆตอนนั้น ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสมน้ำหน้าเขาดีไหม ที่ออกแบบให้ครัวทั้งหมดเหมาะเจาะกับความสูงของผมเพียงคนเดียว


ชายตามองนาฬิกาข้างฝาแล้วถึงกับตกใจ...
บ่ายสามกว่าแล้วหรือ?
ถ้าขืนยังอดทนรอนานกว่านี้ ทั้งผมและเขาคงไม่ได้กินข้าวร่วมโต๊ะกันอย่างที่ตั้งใจเอาไว้แน่ๆ  



“เจ...ตื่นได้แล้ว จะสี่โมงแล้วนะ ใจคอจะนอนให้ตะวันตกก่อนรึไง?” ผมส่งเสียงไปปลุกพลางย่ำเท้าขึ้นบันได

“เจ ลงมากินข้าวก่อน......ไว้อิ่มแล้วค่อยกลับไปนอนต่อก็ได้”  ชักจะหงุดหงิดนิดๆ เพราะอีกฝ่ายยังไม่หือไม่อือ  ถ้าเป็นม้าผมคงบ่นว่า นอนขี้เซาเป็นเด็กๆ ต้องให้ลงไม้ก่อนหรือไงถึงจะยอมขานตอบ...
.
.
.
หรือเขาจะไม่สบาย?!!  


ด้วยความเป็นห่วง ทำให้ผมรวบก้าวข้ามบันไดสองขั้นสุดท้ายแล้วรีบดิ่งเข้าไปในห้องนอน...
หากแต่ต้องพบกับความว่างเปล่า กับที่นอนยับยู่
จับผ้าผวยและหมอนที่ถูกทิ้งขว้างดู ก็ไร้ซึ่งไออุ่นของเรือนกายร่างสูงที่ควรเหลือทิ้งเอาไว้
ผมจึงเดินไปหยุดตรงหน้าประตูห้องน้ำที่ถูกงับจนสนิท เคาะเบาๆสองสามครั้งก่อนผลักเปิด


“ตื่นแล้วมัวแต่ทำอะไรอยู่? ทำไมเรีย....      คำถามเร็วรัวของผมชะงักค้าง เมื่อภายในห้องสี่เหลี่ยมตรงหน้าไม่มีใคร

“เจ?”

“เจ?...เจ?.....”

“เจ?”


ผมร้องเรียกอีกฝ่ายไม่ขาดปาก ระหว่างเดินตามหาเขาไปทั่วชั้นสอง
เพราะเวลาหลายชั่วโมงที่ผ่านมา บอกกับผมว่า เจไม่ได้อุตริแอบหลบอยู่ส่วนไหนของชั้นล่างอย่างแน่นอน
.
.
...แล้วเขาไปไหน?



ผมกดโทรออกไปยังหมายเลขเดียวที่ผมโทรหาบ่อยที่สุด...
จริงๆต้องบอกว่า...หลังๆมานี่ เป็นผมคนเดียว ที่โทรหาเขาถึงจะถูก

  
“เจ...เจอยู่ไหน?”

((อ้าว ยังไม่ได้อ่านโพสอิทที่เจแปะเอาไว้ตรงบอร์ดข้างล่างเหรอ?...
...เจมาร้าน มาเคลียร์บัญชีก่อนส่งให้พี่ปิงปองน่ะ...
.
...แค่นี้นะหยก...
...ขับรถอยู่...
...ตรู๊ด...ตรู๊ด...ตรู๊ด...ตรู๊ด...ตรู๊ด...ตรู๊ด.......))


“แต่วันนี้หยกทำกับข้าวของชอบเจทั้งนั้นเลยนะ...
.
.
...ฮึก...ฮึก...
...หยกกินคนเดียวไม่ไหวหรอก” ผมสะอื้นท้วงออกไป ทั้งที่รู้แก่ใจว่า คนปลายสายไม่มีทางได้ยิน



๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑



วันพฤหัสบดีที่ XX.XX.2558 @ อีกสิบนาทีห้าทุ่ม
ไดอารี่ที่รัก  


วันนี้เราเก่งไหม?...
เผลอร้องไห้แค่ครั้งเดียวเองนะ


เมื่อตอนเช้า เราร้องไห้เพราะเรางี่เง่า เอาแต่ใจอยู่คนเดียว...
โบ๊ทยังบอกเลยว่า ผู้ชายส่วนใหญ่ไม่เข้าใจหรอกว่าแฟนอยากได้อะไร ถ้าไม่บอกออกไปตรงๆ...
ก็เลยนึกได้ว่า เจเอง...ก็เคยบอกไว้เหมือนกัน เราเลยไม่นับว่าครั้งนี้เราแอบร้องไห้ 
(พร้อมกับอุ๊บอิ๊บในใจว่า คราวหน้าจะไม่ทำตัวงี่เง่าใส่เจอีก)


แต่เรื่องตอนบ่าย...เราหายงี่เง่าแล้วนะ
แถมยังตั้งใจชดเชยที่แอบทำตัวไม่เข้าท่า ด้วยการทำความสะอาดบ้านซะเรี่ยม รีบขับรถไปชอปปิ้ง ซักผ้ากองโตตั้งสองถัง ทำกับข้าวเสียตั้งมากมายเตรียมไว้เอาใจเจ ลงทุนอดทนรอกินข้าวพร้อมกัน ทั้งที่หิวสุดๆ

ทั้งๆที่เราทำถึงขนาดนี้...แต่สุดท้ายกลับยังต้องร้องไห้อยู่ดี
ก็เจน่ะสิ  ออกไปข้างนอกก่อนเวลา ทิ้งให้เราต้องนั่งแกร่วอยู่ที่บ้านคนเดียว
อยากรู้นักว่าสำหรับเจ... คนเป็นแฟนเจ คือ แม่บ้านที่พ่วงตำแหน่งเพื่อนหรือไง...ทำไมถึงได้ทำกับเราแบบนี้?
นึกอยากจะออกไปไหนก็ไป นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ... ไม่ต้องใส่ใจ ไม่ต้องเห็นหัว

งานบ้านก็เหมือนกัน...กองนั่นกองนี่ทิ้งเอาไว้เรี่ยราดจนรกไปหมด
ใช่สิ...แค่รอให้ถึงวันเสาร์อาทิตย์  เราก็มาตามล้างตามเช็ดจนสะอาดเหมือนใหม่อยู่แล้วหนิ


ตอนที่ร้องไห้ เราคิดเอาไว้ว่า พรุ่งนี้เช้า...เราจะถามเจให้รู้ไปจริงๆว่า...
วันนี้เป็นวันหยุด...เจรู้รึเปล่า? จำได้ไม๊ว่าเจเคยสัญญาอะไรเอาไว้?

ไหน...คนที่เคยบอกเราว่า อยากใช้เวลาทุกนาทีของวันหยุดอยู่ด้วยกันให้นานที่สุดคนนั้นน่ะ...ตอนนี้เค้าหายไปไหน?
แค่ทำบัญชี ทำที่บ้านไม่ได้รึไง?



น้อยใจ น้อยใจ น้อยใจ น้อยใจ น้อยใจ น้อยใจ น้อยใจ
น้อยใจ น้อยใจ น้อยใจ น้อยใจ น้อยใจ น้อยใจ น้อยใจ
น้อยใจ น้อยใจ น้อยใจ น้อยใจ น้อยใจ น้อยใจ น้อยใจ
น้อยใจ น้อยใจ น้อยใจ น้อยใจ น้อยใจ น้อยใจ น้อยใจ



เจรู้ไม๊ว่าหยกรู้สึกยังไง?
เจรู้ไม๊ว่าเจเปลี่ยนไป?
 เจไม่เอาใจใส่หยกเหมือนเดิม เจทำเหมือนหยกเป็นของตาย
เจลืมเรื่องที่เคยสัญญาง่ายๆ ด้วยข้ออ้างเรื่องที่ร้านบ้างล่ะ ปัญหาของเผ่า ปัญหาของโยบ้างล่ะ...

แล้วหยกล่ะเจ? หยกอยู่คนเดียวได้สบายๆแค่เพราะอุ่นใจว่า หยกยังเป็นแฟนเจอยู่อย่างนั้นน่ะเหรอ?
หยกเหงา หยกเศร้า หยกร้องไห้ไม่เป็นใช่ไม๊...เจถึงได้ปล่อยปละละเลยหยกแบบนี้?



พยายามไม่คิด ฝืนปลอบตัวเองว่าไม่เป็นไร แต่ก็อดหวาดหวั่นไม่ได้จริงๆ...
ระยะเวลาหกปีกับอีกสามร้อยหกสิบสี่วันที่เราสองคนคบกัน มันนานเกินไปหรือเปล่า?
มันนานจนทำให้หลงลืมเรื่องเล็กน้อยของคนสำคัญต่อหัวใจได้เชียวเหรอ?

ที่คนเค้าพูดกันว่า อาถรรพ์ปีที่เจ็ด...มันมีอยู่จริงๆใช่ไม๊?
แล้วทำไม...ทีเรายังจำทุกๆรายละเอียด ทุกๆคำพูดของเจได้แม่นเลยล่ะ?  
ทำไม?




เมื่อตอนเย็น เหมือนพวกเพื่อนๆจะรู้ว่าเรากำลังหดหู่ เพราะพวกนั้นโทรมาชวนให้ออกไปกินข้าวด้วยกันถูกจังหวะพอดี
ได้ฟังโบ๊ทกับชลลี่เมาท์เรื่องปาร์ตี้เกย์โสดสุดแซ่บ กับเหล่าคู่ควงข้ามคืนคนแล้วคนเล่าที่มันสองคนเพิ่งไปเจอมา ก็นึกอิจฉาคนโสดอย่างพวกมันไม่ได้... เพราะไม่ว่าจะเจอหน้าสองคนนั้นเมื่อไร พวกมันก็ดูสบายใจ และสดใสซาบซ่านกันดี

ยังไม่ทันได้เปิดปากบ่นอะไร เจ๊ซีก็เตือนสติให้ว่า...
ถึงเรากับเจจะระหองระแหงกันไปบ้าง และถึงเรื่องบนเตียงจะจืดจางจนใกล้จะห่างหาย
แต่ไม่ว่ายังไง เพื่อนทุกคนก็ลงมติเป็นเสียงเดียวกันว่า คู่ของเราสองคน คือ สุดยอดแห่งความน่าอิจฉาหาใดเปรียบ...
เพราะใครๆก็รู้ ว่าคู่เกย์ส่วนใหญ่...ต่อให้รักกันมากแค่ไหน ก็มักจะตกม้าตายกันง่ายๆด้วยเรื่องนอกใจ นอกกายแบบไร้ข้อผูกมัดนี่แหละ


หรือจริงๆแล้ว...เจอยากจะแก้แค้นให้เราทรมานเหมือนกันบ้าง?
หรือจะเป็นเพราะเรื่องนอกกาย...ที่ทำให้เจกลายเป็นแบบนี้?


ไดอารี่ที่รัก...เราต้องทำยังไงเพื่อให้ชีวิตรักของเรากับเจชื่นมื่นเหมือนเมื่อครั้งแรกๆที่เราเริ่มคบกัน?  
เราควรทำยังไงเพื่อให้อาถรรพ์ปีที่เจ็ดไม่เป็นจริง?



๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑



ผมยืนหลับตาอยู่นิ่งๆรอให้สายน้ำอุ่นจากปลายฝักบัวไหลรดตัวจนชุ่มโชกอยู่ครู่ใหญ่
จากนั้นจึงปล่อยให้สองมือไล้ฟองสบู่ไปจนทั่ว พลางขัดไล่ตัวง่วง ตัวขี้เกียจที่เกาะแน่นอยู่ตามร่างกายให้หลุดออก

รู้สึกตกใจนิดหน่อย...ตอนได้ยินเสียงม่านกั้นอ่างอาบน้ำถูกเลื่อนเปิด
แต่พอเห็นว่าเป็นร่างสูงใหญ่ของเจก้าวเข้ามายืนอยู่ใต้ฝักบัวในอ่างอาบน้ำด้วยกัน ผมก็หันกลับไปชำระร่างกายตัวเองต่อ


“ตื่นสายไปรึเปล่าหยก?” ฝ่ามือของเจยื่นมาแตะเบาๆบนแผ่นหลังผมก่อนผละจาก

“ฮื่ออออ...เมื่อคืนนอนดึก” ผมโกหกคำโต เพราะไม่อยากให้อีกคนต้องห่วง จริงๆแล้วต้นเหตุของการตื่นสายเป็นเพราะเมื่อคืนผมนอนไม่หลับต่างหาก

“แล้วนี่จะไปทำงานทันไม๊?” เจเดินเข้ามายืนซ้อนหลัง จนผมสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่แข็งขืนดุนดันอยู่ตรงบั้นท้าย แต่นี่ไม่ใช่เวลาทำตามอำเภอใจ และดูเหมือนอีกฝ่ายคงคิดเหมือนกัน...เพราะเจไม่ออกอาการฮึดฮัดแต่อย่างใด

“ทันซี่...เนี่ยะ อาบน้ำเสร็จพอดี” ผมก้าวเบี่ยงออกจากอ่างอาบน้ำเพื่อปล่อยให้อีกคนใช้ฝักบัวได้เต็มที่ แล้วจึงเร่งมือใช้ผ้าขนหนูซับหยดน้ำออกจากตัว พลางพรั่งพรูถ้อยคำที่ผมยอมสละเวลานอนค่อนคืนในการตระเตรียม โดยไม่ลืมตัดทอนเอาความงี่เง่า และงอแงออกไปกว่าครึ่ง

“เจ...หมดเรื่องปิดบัญชีแล้ว คืนนี้ปิดร้านแล้วกลับบ้านก่อนเวลาได้ไม๊?”  

“ทำไม? หยกมีอะไรเหรอ?”

“เจจำได้รึเปล่าว่าวันนี้เป็นวันอะไร?”

“วันศุกร์?”

“ไม่ช่ายยยย...วันนี้เป็นวันครบรอบเจ็ดปี  หยกอยากจัดงานฉลองเล็กๆที่บ้านเราคืนนี้...นะเจนะ”

“ทำไมต้องฉลองด้วยล่ะหยก?...ปีก่อนๆก็ไม่เห็นต้องฉลองให้วุ่นวายเลยนี่...
...ที่อยากฉลอง เพราะหยกยังไม่เลิกเชื่อเรื่อง seven-year itch อะไรนั่นใช่ไม๊?...
.
.
...ของอย่างนี้ มันอยู่ที่ใจ...ไม่ใช่จำนวนปีที่คบกัน  อย่าไปเสียเวลากังวลเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนั้นให้เหนื่อยเปล่าจะดีกว่า...
...หยกก็เห็นนี่ว่า ต่อให้ไม่ถึงเจ็ดปี คนมีคู่ก็เลิกกันโครมๆ...
...นี่เจพูดแบบไม่ได้รวมที่แต่งงานแล้วหย่าตั้งแต่หม้อข้าวยังไม่ทันดำเลยนะ”


เจปัดม่านกั้นออกระหว่างยืนฟอกสบู่เพื่อส่งสายตาดุๆมาจ้องหน้าผม
ใบหน้ามู่ทู่บอกบุญไม่รับแบบสุดๆของเจสื่อชัดว่า ถ้าสุดท้าย...ผมไม่อาจยกคำอธิบายดีๆมาหว่านล้อมให้เขาเห็นชอบด้วย
ก็เลิกหวังเรื่องที่เขาจะยอมร่วมมือร่วมใจด้วยง่ายๆไปได้เลย


“หยกแค่ถือฤกษ์ว่าเป็นวันครบรอบเจ็ดปี...เลยอยากมีช่วงเวลาหวานๆ ให้เราได้อยู่กันสองต่อสองบ้างน่ะซิ  นะ...นะ”


เพราะรู้ว่าลำพังเหตุผลของผมคงฟังไม่เข้าหูเจสักเท่าไร ผมจึงอาศัยลูกอ้อน บวกกับการรวบรัดตัดความเข้าช่วย

“เจ...ก่อนไปทำงานวันนี้ กินข้าวเช้าด้วยนะ...
...กลางวันเมื่อวาน หยกทำของชอบเจเอาไว้เต็มเลย อย่าลืมกินให้หมดล่ะ...
...นะเจ เจต้องกินให้ได้นะ ไม่งั้นหยกเสียใจแย่...
.
...เจอกันก่อนเที่ยงคืนๆนี้นะเจ...หยกรักเจนะครับ!


พูดจบผมก็รีบวิ่งออกจากห้องน้ำแล้วเริ่มแต่งตัวไปทำงาน โดยไม่สนใจว่าคำตอบของอีกฝ่ายเป็นเช่นไร
เพราะเท่าที่ผมรู้จักเจมา ถ้าผมอยากได้อะไรมากๆ...แม้ไม่มีเหตุผล เจก็พร้อมจะยอมตามใจผมเสมอ  
หวังว่าครั้งนี้...ผมจะได้ในสิ่งที่ผมต้องการไม่ต่างไปจากทุกที



๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑



วันศุกร์ที่ XX.XX.2558 @ห้าทุ่มสี่สิบห้า
ไดอารี่ที่รัก 


วันนี้เราเก่งที่สุด เพราะไม่เสียน้ำตาเลยซักหยด
แถมยังไปทำงานทันเวลาทั้งๆที่ตื่นสายไปตั้งครึ่งชั่วโมงอีกตังหาก!


ไม่อยากจะบอกเลย...เมื่อเช้าตอนอาบน้ำอยู่ เราเกือบจะห้ามใจตัวเองเอาไว้ไม่ได้แน่ะ
ใครจะไปคิดว่า อยู่ๆเจจะเข้ามาอาบน้ำพร้อมกัน...
ที่สำคัญ ไม่นึกว่าน้องชายเจจะชักธงรบพร้อมใช้งานแบบนั้นด้วยนี่ซิ  >_<

ตอนนั้น ถึงลึกๆเราจะเสียดายสุดๆ... แต่ทำไงได้ ก็เราตื่นสายเองนี่นา
ระหว่างขับรถไปทำงาน ก็ได้แต่ปลอบตัวเองซ้ำๆว่า ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร...
เพราะยังไงๆ คืนนี้เรากับเจต้องได้ปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นมานานกันเสียที (เย่!!!!)


พอไปถึงออฟฟิศก็เพิ่งเฉลียวใจขึ้นมาว่า สองสามวันมานี่...เจกลับบ้านเอาตอนใกล้ฟ้าแจ้งมากขึ้นทุกที
ทั้งที่ปกติ อย่างน้อยๆ...เรากับเจจะยังพอมีเวลาสักสองสามชั่วโมงเพื่อนอนร่วมเตียงกันบ้าง ถึงจะไม่นานเท่าที่ฝันไว้ก็เถอะ  ชักสงสัยขึ้นมาตงิดๆซะแล้วซิว่าเพราะอะไร เจถึงได้กลับบ้านผิดเวลาไปมากขนาดนี้?


อย่าบอกนะว่า เจกำลังมีคนใหม่
บ้าไปแล้วรึไงกันหยก???


พอควบคุมความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป..
เราเลยตัดสินใจแน่วแน่ว่า ยังไงซะ...วันนี้เราจะต้องกลับถึงบ้านให้ทันก่อนเจออกไปที่ร้าน จะได้ถามเจ้าตัวให้แน่ใจว่า...ที่กลับบ้านช้าน่ะ เพราะอะไรกันแน่?


แต่ผลสุดท้าย  ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี...
เอาเป็นว่าวันนี้ คือวันที่เราลงทุนลงแรงแบบสุดตัวโดยเปล่าประโยชน์แท้ๆ
นึกๆแล้วก็เสียดายแรงกาย พลังงาน และความทุ่มเทเกินร้อยของตัวไม่ได้...

ไม่น่าเหนื่อยเร่งปั่นงานส่งหัวหน้าจนหน้ามัน หัวฟู ขนาดเหลือบไปเห็นเงาตัวเองตอนเดินผ่านกระจกยังตกใจ
ไม่น่าต้องอดข้าวเที่ยง ตากแดดเสี่ยงชีวิตซ้อนท้ายพี่วินร่อนไปรับนาฬิกาข้อมือของขวัญวันครบรอบของเจที่สั่งเอาไว้ตั้งแต่วันก่อน... ตอนบ่ายเลยทั้งหิว ทั้งมึนหัว
ไม่น่าคิดเข้าข้างตัวเองว่า ออกจากออฟฟิศก่อนเวลาห้าโมง รถจะไม่ติดเท่าไร   เพราะตราบใดที่ยังทำงานอยู่ใจกลางกรุงเทพ ไม่ต้องหวังว่าจะเจอหน้าเจหรอก แค่ฝ่ารถดงรถติดแบบสาหัสากรรจ์กลับมาถึงบ้านได้ก่อนสองทุ่ม ก็บุญเท่าไร



อยากเจอหน้าเจ...ก็ไม่ได้เห็นหน้า
พอเปิดตู้เย็นเพื่อเตรียมของกินสำหรับมื้อฉลอง...ผมก็แทบหมดแรง
เพราะกับข้าวที่เก็บเอาไว้ในตู้ ยังอยู่ครบทุกจาน รู้เลยว่าเจไม่ได้แตะต้องแม้แต่นิดเดียว

ทำไมเจถึงทำแบบนี้?
ทั้งๆที่เมื่อเช้าก็ย้ำแล้วย้ำอีก ตอนบ่ายก็ส่งข้อความไปทิ้งเตือนเอาไว้  
ยอมทำแม้กระทั่งแปะโพสอิทตรงกระดานที่เจเป็นคนต้นคิดหว่านล้อมให้เราใช้
(บอกเลยว่า ไอ้บอร์ดแปะโพสอิทในครัวนี่คือสิ่งเดียวที่เราค้านหัวชนฝา...ก็มันสิ้นเปลืองทรัพยากร อีกอย่าง...ลายมือเรามันไม่สวยเท่าเจนี่นา ใครมันจะไปอยากเขียนฟ้องว่าลายมือตัวเองน่าอาย)


หรือเดี๋ยวนี้ คำพูดของเรามันไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไปแล้ว?
ใครกันที่เคยบอกว่า ไม่ว่าหยกจะขออะไร ก็จะยอมทำให้โดยไม่มีข้อแม้?
ใครกันที่สัญญาเสียสวยหรูต่อหน้าป๊ากับม้าว่า จะดูแลเราให้ดีที่สุด...บอกว่าจะทำให้เราเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก?


อยากรู้นักว่าตอนนี้...ใครคนนั้นอยู่ที่ไหน?
.
.
.
...ใช่คนที่ล้มตัวลงนอนข้างๆกันทุกๆคืนแบบเว้นระยะห่าง หากนานๆครั้งถึงจะส่งภาษากายมาทักทายกันบ้าง...เพียงเพื่อปลดเปลื้องความต้องการของเขาคนนั้นไหม?
...ใช่คนอยู่ร่วมชายคา แต่ไม่พูดอะไร ไม่มีกระทั่งเรื่องเล่า...ใช่เขา คนที่ทำให้เสียงหัวเราะของเราเลือนหายไปคนนั้นไหม?
...ใช่คนที่กลับบ้านมาแล้วก็เอาแต่นอนทั้งวัน...คนที่ไม่เห็นความสำคัญของเวลาแต่ละนาทีที่เราจะอยู่ด้วยกันคนนั้นไหม?
...ใช่คนที่เมินเฉย ละเลยการเอาใจใส่ความรู้สึก และรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของตัวเราคนนั้นรึเปล่า?  
...ใช่คนที่เมื่อก่อน เคยบอกว่ารักเราก่อนหลับตานอนทุกคืน...และจูบเราทุกเช้าที่เราตื่น แต่พอพ้นปีที่สาม...กลับไม่ทำเรื่องสวีทหวานแบบนั้นให้เราชื่นใจอีกต่อไปคนนั้นหรือไม่?



ถ้าใช่...เขาคนนั้นที่เรากำลังพูดถึง
ขอร้องเถอะ...ใครก็ได้ช่วยบอกเราด้วยหน่อย...
เราควรทำอย่างไร เพื่อเปลี่ยนแปลงให้คนๆนั้น กลับกลายไปเป็นเหมือนคนเก่าที่เราเคยรักสุดหัวใจ?


ป.ล. ขอโทษด้วยนะไดอารี่ที่รักที่เราต้องหยุดเขียนเอาดื้อๆลงตรงนี้...
รู้สึกไม่ดี ที่ต้องเล่าเรื่องราวของเราให้เธอฟังทั้งน้ำตา (หวังว่าเธอจะไม่โกรธเราหรอกใช่ไหม?)


๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑



ระหว่างฟุบหน้าลงกับโต๊ะกินข้าวซึ่งเต็มไปด้วยอาหารชืดๆ ที่ถูกจัดเรียงเอาไว้อย่างสวยงามเพื่อการเฉลิมฉลองตั้งแต่เมื่อสี่ชั่วโมงที่แล้ว เสียงของลูกกุญแจ เสียงไขและเปิด ปิดประตู และเสียงฝีเท้าที่เกิดขึ้นล่าช้ากว่าเวลานัดหมายไปสองชั่วโมงกว่าๆ ทำให้การควบคุมสติอารมณ์ของผมขาดผึง


“เจ...ทำไมเจเพิ่งกลับเอาตอนนี้...
...นี่มันจะตีสองแล้วนะ...
.
...เจรู้ไม๊ว่าหยกนั่งรอเจมากี่ชั่วโมงแล้ว?” ผมถามเจออกไปด้วยน้ำเสียงสื่อความโมโหแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน


ริ้วความโกรธปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนฟังวูบหนึ่ง
แต่แล้วกลับจางหายไปเมื่ออีกฝ่ายได้เห็นสิ่งของประดามีที่วางอย่างแน่นขนัดอยู่ทั่วโต๊ะ
เจผ่อนลมหายใจช้าๆ ก่อนส่งยิ้มอ่อนๆมาให้ ตามด้วยส่งเสียงตอบผมอย่างหวานหูชวนฟัง


“โธ่หยก! เจตั้งใจกลับบ้านดึกที่ไหนล่ะ พอดีมันมีเรื่องสุดวิสัยที่ร้านนิดหน่อยเลยต้องอยู่เคลียร์...
.
...ทีนี้หยกเข้าใจเจแล้วใช่ไม๊ครับ?”

แค่โกรธน่ะไม่เท่าไร...แต่ความน้อยใจน่ะมากเหลือล้น ผมเลยไล่ต้อนเจไม่หยุด “ทำไมไม่โทรมาบอก?”

“ก็ที่ร้านมันวุ่นๆ มีคนกระทืบไอ้โยในห้องน้ำ เจเลยต้องรีบเข้าไปห้ามมวย...
.
...ไหนจะต้องตามไปไกล่เกลี่ยกับคู่กรณีให้ไอ้โยมันอีก...
...เรื่องเยอะขนาดนี้ เจจะเอาเวลาที่ไหนไปโทรหาหยกล่ะ?...
...อย่างอนเลยนะ เจขอร้อง...ทะเลาะกันมันเหนื่อยนะ หยกรู้ใช่ไม๊?” เจเสยผมลวกๆแบบที่เขามักจะทำเวลาข่มใจ แต่สิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมด กลับไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากได้ยิน

“หึ! เดี๋ยวนี้อะไรๆก็โย! ผมค่อนด้วยโทสะ เวลานี้...ถ้าไม่ใช่คำว่าขอโทษจากปากเจ...อะไรก็ไม่เข้าหู


ดูเหมือนสิ่งที่ผมเพิ่งจะพูดไป จะเป็นการราดน้ำมันรดกองไฟเสียมากกว่าการดับเพลิงในใจเราทั้งสองฝ่าย
เพราะเจเริ่มจะใส่อารมณ์กับคำพูดพร้อมๆกับชักสีหน้าไม่พอใจแล้ว


“หยก!!......หยกพูดอย่างนี้ได้ยังไง?!
...หยกก็รู้นี่ว่าไอ้โยมันน่าสงสาร บ้านน้องมันจนจะตายห่า มันยังมาหางานทำไม่เคยบ่น...
...ถ้าเจปล่อยเรื่องคืนนี้ให้บานปลาย มันจะทำไง?...มันจะไม่โดนอีกฝ่ายลากเข้าซังเตแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่เอาง่ายๆเหรอ?...
.
.
...หยก มีเหตุผลหน่อยซิ...
...หยกเองไม่ใช่เหรอ ที่เชียร์ให้เจรับมันเข้ามาทำงาน ทั้งๆที่เจไม่ได้อยากได้ไอ้โยมาช่วยงานแต่แรกด้วยซ้ำ”

“ไม่รู้ล่ะ...ก็คืนนี้เป็นคืนพิเศษของเราสองคน ทำไมเจไม่รู้จักแยกแยะ จัดลำดับความสำคัญหน่อยล่ะ?” ผมตีรวนไม่ลดละ

“ถามหน่อยเถอะ......ใครกันแน่ที่ไม่รู้จักแยกแยะห๊ะหยก? ...
.
...จะต้องให้เจบอกอีกอี่ครั้งว่าเรื่องวันนี้มันเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิด...
...หยกไปถามไอ้โย หรือใครก็ได้ว่า อยากให้เกิดเรื่องจนต้องเจ็บตัวกันถ้วนหน้าแถมยังต้องมานั่งเคลียร์กันยืดยาวมั่งไม๊?...
...แล้วเรื่องไอ้โยมันไปเกี่ยวอะไรกับลำดับความสำคัญ?”

“เกี่ยวซิ!! ก็เจนัดกับหยกเอาไว้ตั้งแต่เช้าแล้วนี่! หยกบอกไม่ใช่เหรอว่าคืนนี้ให้เจกลับมาบ้านก่อนเที่ยงคืน ไม่ใช่ตีสอง!

“เมื่อเช้าเจยังไม่ทันได้ตอบรับเลยนะหยก”

“เจ!! เจกลายเป็นพวกปลิ้นปล้อนอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” ผมตวาดเจเสียงดัง...ทั้งน้อยใจ เสียใจ ทั้งอะไรอีกหลายแหล่...มั่วไปหมด

“มันจะอะไรกันนักหนาล่ะหยก กะอีแค่วันครบรอบคบกันเป็นปีที่เจ็ดเท่านั้นเอง!...
.
...ก็เจกลับบ้านมาแล้วนี่ไง...
...แล้วทำไมเราถึงไม่เริ่มฉลองให้สมใจหยกกันซะทีล่ะ?” พูดจบเจก็กระแทกก้นลงนั่งตรงเก้าอี้อีกฝั่ง นั่งทั้งที่ทำสีหน้าเอือมระอาเหนื่อยหน่าย 


ได้! ถ้าเขาจะทำแบบนี้...
คอยดู ผมก็จะไม่ลดราวาศอกให้เหมือนกัน


“อย่ามาประชดหยกนะ...
...แล้วก็อย่าพูดเหมือนไม่สนใจว่ามันสำคัญยังไง...
.
.
...ปีที่เจ็ดน่ะ...
...ใครๆเค้าก็รู้ว่ามันเป็นปีอาถรรพ์ของคู่รัก เจก็เคยได้ยินมาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”

“อาถรรพ์?!...
...มันเกิดจะมีอาถรรพ์ เพียงเพราะคนปากมากพวกนั้นมันดันเลิกกันตอนปีนี้น่ะเหรอ?...
.
.
...การที่คนอื่นเลิกกัน...
...แล้วมันมาเกี่ยวอะไรกับเราล่ะหยก?...
...ก็วันนี้เราสองคนยังคบกันอยู่เลยนี่”

“เพราะเจเป็นอย่างงี้ยังไงล่ะ ปีที่เจ็ดมันเลยยิ่งน่ากลัว... เจรู้ไม๊ว่า หลังๆมานี่...เจทำให้หยกกลัว”

“(ปัง!) เจทำให้หยกกลัวอะไร? ไหนบอกมาซิ” ผมตกใจที่อีกฝ่ายตบโต๊ะเสียงดัง แต่ด้วยความอยากเอาชนะ ผมก็ยังไม่หยุด  

“ก็กลัวว่า อาถรรพ์ปีที่เจ็ดมันจะเป็นจริงขึ้นมาซักวันยังไงล่ะ!!

“ถามจริงๆเถอะหยก...หยกคิดเรื่องที่เราต้องเลิกกันอยู่ตลอดเวลาเลยเหรอ?”

“เจ... หยกไม่ได้คิดเรื่องเลิก แต่ที่ผ่านมา เจทำเหมือนไม่ใส่ใจอะไรเลย...
.
...กระทั่งเรื่องที่เรานัดกันวันนี้ และก็เรื่องที่หยกขออีกตั้งหลายครั้ง เจก็ไม่ยอมทำตามที่หยกขอ...
...ถ้าจะให้หยกยิ้มแล้วบอกว่าไม่กลัว ไม่คิดอะไร...ก็เท่ากับเจบังคับให้หยกโกหกเจแล้วล่ะ”

“ก็เพราะหยกเอาแต่คิดว่า ปีที่เจ็ดต้องเลิกแน่ๆไง หยกเลยไม่พอใจอะไรซักอย่าง...
...หยกคงไม่รู้ตัวหรอกว่าพักนี้หยกหงุดหงิดง่ายเป็นที่สุด เวลาไม่ชอบใจอะไรก็เอาแต่เก็บเงียบ...
...ที่เจเฉยๆ เพราะไม่อยากมานั่งปวดประสาททะเลาะด้วยเรื่องเจ็ดปีบ้าบอที่มันยังมาไม่ถึง เหมือนที่เรากำลังบ้าน้ำลายกันอยู่ตอนนี้ยังไงล่ะ...
.
.
...หยกเคยได้ยินที่คนเค้าพูดกันไม๊ว่า คนเรามีแนวโน้มที่จะตัดสินใจทำในสิ่งที่จิตใต้สำนึกสั่งอยู่ลึกๆโดยไม่รู้ตัว...
...ถ้าสุดท้าย เราต้องเลิกกันหลังจากวันนี้นับไปอีกสามร้อยสี่สิบหกวัน  เจว่า..เจคงไม่แปลกใจหรอก...
...ก็หยกน่ะเอาแต่คิดอยู่ตลอดว่ามันจะมีอาถรรพ์ปีที่เจ็ดเกิดขึ้นกับเราสองคนจริงๆหนิ”

“ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้นะเจ!” ผมลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วตะโกนใส่หน้าเขา นั่นคงทำให้คนใจเย็นอย่างเจถึงคราวน็อตหลุดแล้วจริงๆ เพราะเขาหลุดปากพูดสิ่งที่ผมไม่ต้องการฟังออกมาหน้าตาเฉย

“ทำไมหยก?... ทนฟังความจริงไม่ได้รึไง? ที่ผ่านมา หยกไม่เคยฟัง ไม่เคยยอมรับความผิด  ไม่... ไม่เลยซักครั้ง!

“หยุดเดี๋ยวนี้นะเจ!! ไหนเจสัญญาว่าเจจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกไง...แล้วเมื่อกี๊มันอะไร?”


กว่าจะรู้ว่าอีกฝ่ายโกรธและเสียใจไม่น้อยไปกว่าตัวเอง  ถ้อยคำจากปากผมก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว...
แต่เจจะรู้บ้างไหมว่า สิ่งที่เขาเพิ่งขุดขึ้นมาพูดกับผมเมื่อครู่  เป็นประโยคต้องห้ามที่ผมเคยร้องขอไม่ให้เขาเอ่ยมันออกมาอีกเลยตลอดชีวิตนี้


“ก็แล้วใครหาเรื่องเจไม่หยุดตั้งแต่เดินเข้าบ้านมานี่ล่ะ?”

“.......”


ผมทั้งเสียใจ เสียหน้า เสียความรู้สึก
ความน้อยใจทำให้ผมเลือกที่จะเดินหันหลังให้กับคนรักที่พูดจาทำร้ายจิตใจผมได้อย่างเจ็บปวดที่สุด
ผมอยากจะหนีไปให้ไกลๆจากตรงนี้...ไม่อยากเห็นหน้าเจสักพัก

คิดได้ผมก็รีบวิ่งขึ้นบันได แล้วไปเก็บของใช้ส่วนตัวบางอย่างใส่กระเป๋า...
คืนนี้ผมจะกลับไปนอนกอดม้า อยากให้ม้าช่วยปลอบใจในยามที่ต้องร้องไห้อยู่คนเดียว


“หยก! หยกจะไปไหน?...
.
...หยุดเดี๋ยวนี้นะ!...
...เราตกลงกันแล้วไงว่า ถ้าโกรธกัน เราจะไม่หนีอีกฝ่ายไปไหน...
...อย่างมากก็นั่งกันคนละห้อง ไม่ใช่หนีหน้ากันไปอย่างนี้!! เจกระหืดกระหอบไล่ตามผมขึ้นมา พอเข้ามาถึงห้องได้ ก็เดินมายื้อกระเป๋าในมือผมทั้งที่ยังหอบหายใจหนัก แต่ผมไม่อยากได้ยินอะไรทั้งสิ้น... ไม่อยากได้ยินกระทั่งเสียงของเจ ผู้ชายที่ผมรักมากที่สุด

“ปล่อย! ปล่อยหยก!!” ผมพยายามสะบัดมือ แล้ววิ่งหนีจากที่ๆมีเจอยู่...


ช่างของมัน! แค่มีรถ มีกุญแจบ้านม้า ผมก็ไม่เป็นไรแล้ว
จังหวะที่ผมกำลังจะก้าวออกจากห้อง กลับต้องชะงักเพราะเจเข้ามาสวมกอดผมเอาไว้จากข้างหลัง พลางส่งเสียงอ้อนวอน


“ไม่!! จนกว่าหยกจะสัญญาก่อนว่า หยกจะไม่ไปไหน”


แต่วินาทีนั้น คำพูดร้ายกาจที่เป็นเหมือนน้ำกรดสาดารดหัวใจผมที่เจพูดเมื่อครู่ยังดังก้องอยู่ในหัวผมเกือบตลอดเวลา
การต่อต้านและผลักไสอีกฝ่าย...กลายเป็นสิ่งเดียวที่ร่างกายผมลงมือทำ


“ไม่ต้องมาสนใจหยกหรอก...หยกมันไม่เคยฟัง ไม่เคยยอมรับความผิด ไม่เคยทำอะไรดีๆให้เจซักอย่างอยู่แล้วนี่!!

“หยก! หยก!!...
.
...ไม่นะหยก เจไม่ให้หยกไป!!


จังหวะที่เจคลายอ้อมกอด คือช่วงที่ผมแกะแขนของเขาออกจากเอวได้ทัน
ผมออกวิ่งหมายจะก้าวลงบันไดให้เร็วที่สุด แต่เจกลับคว้าหูกระเป๋าของผมข้างหนึ่งเอาไว้แน่น


“ปล่อยยยยยยย/ไม่!!!! ยังไงเจก็ไม่ปล่อย หยกต้องอยู่นิ่งๆก่อน”


ไม่มีใครยอมใคร...
เราต่างมีกระเป๋าเป็นสิ่งเดียวที่ยังยึดเหนี่ยวให้เราสองคนยังต้องเผชิญหน้ากัน  ผิดแต่ว่าการกระทำนั้น...คือการยื้อแย่ง แข่งกำลัง เพื่อให้อีกฝ่ายแพ้พ่าย และทำตามความต้องการของอีกคน

ผมอยากหนีไปให้ไกลแสนไกล...
ในขณะที่เจอยากให้ผมอยู่ ทั้งๆที่เขาดูแคลนผมด้วยเรื่องในอดีต...
คำพูดของเขาไปสกิดบาดแผลที่ไม่เคยจางหาย ให้ร้าวระบมขึ้นมาอีกครั้ง...
บาดแผลที่คอยย้ำเตือนว่าผมเป็นคนทำร้ายคนที่ผมรักได้อย่างเลือดเย็น


“ปล่อยยยยยยยยยยยย!!!/ เฮ๊ย!...หยก!!!!!


สุดท้าย...ไม่ใช่ผม หรือ เจ ที่แพ้พ่าย...
หากแต่เป็นหูกระเป๋า ที่ขาดสะบั้นเมื่อสู้แรงของผู้ชายสองคนที่ต้องการเอาชนะซึ่งกันและกันไม่ได้อีกต่อไป
ถึงอย่างนั้น...นั่นกลับไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการยื้อแย่งในครั้งนี้...
.
.
.
สิ่งสุดท้ายที่ผมเห็น คือ ฝ่ามือของเจยื่นส่งมาหวังจะคว้าฝ่ามือผม  
หากแต่มันดันเกิดขึ้นพร้อมกันกับตอนที่ผมเสียหลักล้มหงายไม่เป็นท่า

จากนั้น...ร่างกายผมก็ค่อยๆหล่นร่วงกระแทกขั้นบันได...
...ขั้นแล้ว ขั้นเล่า...
...ขั้นแล้ว ขั้นเล่า...อย่างช้าๆในความรู้สึก
ก่อนจะตกลงสู่เบื้องล่าง ที่กำลังรอต้อนรับผมอยู่ด้วยความมืดมิด









ไดอารี่ที่รัก...


ถ้าทำได้...เราอยากขอให้ความรักครั้งนี้ของเรา มีความสุขและยั่งยืนตลอดไป...
ถ้าเราจะขอให้มี ปาฏิหารย์ เกิดขึ้นในชีวิตธรรมดาๆของหยกดูสักครั้ง...คงไม่ผิดอะไรใช่ไม๊?



๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑


No comments:

Post a Comment