Saturday, April 18, 2015

หลากเรื่องรักเกือบสั้น...ว่าด้วยพยัญชนะตัวที่ ๔๑ :: หาย (เรื่องสั้นหมายเลขสุดท้าย)



(ห่าง)หาย


หมอครับ แฟนผมเป็นอะไรมากไม๊ครับ?

คนไข้ปลอดภัยดีครับ โชคดีสมองไม่ได้รับการกระทบกระเทือน ไม่มีเลือดคั่ง จะมีก็แต่อาการฟกช้ำตามร่างกายส่วนที่กระแทกกับพื้นไม่กี่แห่ง เดี๋ยวพรุ่งนี้หมอจะเข้ามาตรวจอาการคนไข้อีกทีนะครับ

ขอบคุณครับหมอ







หยก! หยกฟื้นแล้ว!.....ป๊าครับ ม้าครับ หยกฟื้นแล้วครับ เดี๋ยวผมเรียกพยาบาลก่อนนะครับ

หยก! หยกลูก!....เป็นไงมั่งลูก ยังเจ็บตรงไหนอยู่ไหม?

..........

หยก หยกหิวไม๊? หิวน้ำรึเปล่า?
.
.
.
.
.
เอ่อ....พวกคุณเป็นใครครับ? แล้วผมอยู่ที่ไหน?...
.
...ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?...




ที่คนไข้จำญาติและตัวเองไม่ได้ น่าจะเป็นเพราะภาวะสูญเสียความทรงจำ...
.
...ในกรณีของคุณศิลา เนื่องจากสมองไม่ได้รับการกระทบกระเทือน หรือเกิดบาดแผลใดๆ...
...การสูญเสียความทรงจำน่าจะเกิดจากความเครียด หรือสภาวะกดดันทางจิตมากกว่า...
...เพราะฉะนั้น ผมคงต้องส่งเคสต่อให้กับแพทย์เฉพาะทางเข้ามาดูแลคนป่วยอีกทีนะครับ แต่พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะครับ เพราะโดยปกติ เมื่อผู้ป่วยได้รับการดูแลจากจิตแพทย์โดยตรง อาการนี้ก็จะดีขึ้นได้ในไม่ช้าครับ







หยก...นั่นหยกจะไปไหน?

ผมจะไปเข้าห้องน้ำ

จะไปเข้าห้องน้ำก็บอกเจสิ เจจะได้ช่วย

ทำไมผมต้องบอกคุณด้วย?...แค่ลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ ไม่เห็นจะเป็นไรเลย

ไม่ได้..ถ้าหยกเกิดหกล้ม หรือเป็นอะไรขึ้นมา แล้วเจจะทำยังไงล่ะ?

ปล่อยมือผม

เถอะนะ ขอเจช่วยเถอะนะ

คุณนี่ก็แปลกนะ ทำอย่างกับว่าผมอ่อนแอนักแหละ

เปล่าหรอก...หยกไม่ได้อ่อนแอหรอก แต่เจไม่อยากให้หยกเป็นอะไรไปอีก

นี่คุณ ถามจริงๆเถอะ...คุณเป็นอะไรกับผม? ทำไมถึงมาคอยตามติดผมแจอย่างนี้ตลอดเวลากัน?

...............

ทำไมคุณต้องทำหน้าหนักใจแบบนั้นด้วยล่ะ? ถ้ามันลำบากนัก...ผมไม่อยากรู้แล้วก็ได้

เปล่าหรอก มันไม่ได้ลำบากอะไรขนาดนั้น เพียงแต่มันอาจจะทำความเข้าใจยากไปซักหน่อย...
...หยกตั้งใจฟังดีๆนะ...
.
.
...หยก กับ เจ เป็นแฟนกัน

ห๊ะ?! ว่าไงนะ?

เราสองคนเป็นแฟนกัน

คุณจะบ้าเหรอ? ผู้ชายสองคนจะเป็นแฟนกันได้ยังไง?

ได้ซิ...เราก็เป็นกันมาตลอดเจ็ดปีนี่ยังไงล่ะ

คุณไม่ได้โกหกผมใช่ไม๊?

ถ้าไม่เชื่อ...หยกลองไปถามป๊า ม้า หรือเจ้หยงดูก็ได้
.
.
.
แล้วผมจะถามพวกเค้าดูอีกทีก็แล้วกัน

แล้วนี่หยกจะไปไหน?

อ้าว...ก็เข้าห้องน้ำไง ปวดฉี่จะตายอยู่แล้วเนี่ยะ

มา...เจช่วย
.
.
.
.
.
เฮ้อออ...ตามใจ

อย่าห้ามเจเลยนะ ขอให้เจได้ดูแลหยกเถอะ

ก็นี่ไง...ถ้าผมไม่โอเค ผมไม่ยอมให้คุณมาโดนตัวผมแบบนี้หรอกนะ
.
.
.
.
.
ขอบคุณนะครับที่เชื่อใจเจ

พยุงไปส่งพอนะ...
.
.
ตอนผมทำธุระ คุณช่วยรอข้างนอกห้องน้ำได้ไม๊?

หึ หึ...ได้ครับ








ม้าครับ ผมจะดูแลหยกเองครับ ม้าไม่ต้องเป็นห่วง

แล้วเรื่องร้านล่ะเจ? ถ้าเจต้องมาคอยห่วงหน้าพะวงหลังแบบนี้ ม้าว่าเจนี่แหละที่จะป่วยไปอีกคนนะ

ผมจะให้หุ้นส่วนกับน้องมาช่วยดูร้านช่วงเดือนนี้ไปก่อน ไว้ถ้าตารางเวลาใหม่ทั้งหมดลงตัวเมื่อไหร่แล้วผมยังต้องการความช่วยเหลือจากม้า ผมจะรีบโทรบอกม้าทันทีเลยครับ

ถ้าเจยืนยันอย่างนั้น... ม้าคงต้องฝากหยกให้เจดูแลด้วยนะลูก...
...ต่อจากนี้ไป เจต้องอดทนให้มากๆ...
.
...หนักนิดเบาหน่อย ม้าก็ขอให้เจคิดซะว่า สิ่งใดที่น้องทำให้เจไม่พอใจ เป็นเพราะน้องยังจำอะไรไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน...
...แล้วก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วย ม้าเป็นห่วงเจไม่น้อยไปกว่าหยกนะ

ขอบคุณมากครับม้า



๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑



เจ็ดปี เจ็ดวัน


“เข้ามาก่อนซิ” ผมหันหลังกลับไปพูดกับอีกคนที่เดินตามผมขึ้นบันไดบ้านมาเงียบๆ หากแต่ยังยืนจังก้าทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกอยู่ตรงหน้าประตูห้องนอน

“.......”  แม้จะไม่ตอบคำ แต่หยกกลับค่อยๆย้ายมวลร่างกายตามเข้ามาในห้องอย่างหวาดๆ พลางส่งสายตาสำรวจไปทั่วห้องจนผมอดขำในใจไม่ได้

“ทำตัวตามสบายนะ” ผมเดินเลี่ยงไปที่ตู้เสื้อผ้าก่อนจะเดินกลับมาสั่งความคนหน้าเอ๋อ “อ่ะนี่...ผ้าเช็ดตัว แล้วก็ชุดนอน หยกเข้าไปอาบน้ำก่อนได้เลย...
.
...เดี๋ยวเจลงไปปิดไฟ ปิดบ้านก่อนแล้วจะตามขึ้นมาอาบน้ำด้วย อย่าล็อคห้องน้ำล่ะ”  ผมเกือบจะได้ตบเท้าออกจากห้องไปแล้ว ถ้าไม่ติดว่า ดันเหลือบไปเห็นสีหน้าตกใจสุดขีดของหยกเข้าเสียก่อน

“ทำไมทำหน้าตื่นแบบนั้น?”

“เอ่อ...คุณ กับ ผม.......” พูดมาถึงตรงนี้...อยู่ๆ หน้าหยกก็ขึ้นสีแดงแป๊ดภายในชั่วพริบตา  เออแฮะ...เพิ่งจะรู้นี่แหละว่า ไอ้อาการหน้าแดงนี่ สามารถทำให้ลิ้นแข็งไปได้เหมือนกัน

“ทำไม คุณกับผมทำไม?”


ตากลมๆของหยกกลอกมองไปยังห้องน้ำที มองหน้าผมทีเหมือนกำลังชั่งใจ
สุดท้าย...เจ้าตัวก็เอ่ยถามผมอย่างระมิดกระเมี้ยนว่า


“.......อาบน้ำ?.........” หัวคิ้วทั้งสองข้างบนหน้าผากขาวเนียนขมวดมุ่นเพราะเจ้าของกำลังครุ่นคิดโดยไม่ได้ข้อสรุป  หยกกำลังอายด้วยเรื่องที่เราสองคนทำด้วยกันจนไร้ยาง ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เขาดูน่ารักไปกันใหญ่

ด้วยความหมั่นเขี้ยว ผมเลยไม่ห้ามปากตัวเอง... ผมพูดแหย่คนตัวเล็กกว่าให้ยิ่งหน้าแดงไปกันใหญ่ทันที  “หึ หึ...ใช่ เราอาบน้ำด้วยกันเกือบทุกวัน....ก็เราเป็นแฟนกัน อาบน้ำด้วยกันแค่นี้ ไม่เห็นเป็นไร”  


แค่ได้รับฟังความจริงโต้งๆแบบไม่มีบิดพลิ้วตอกไข่ใส่สี  ยังทำให้คนดีของผมถึงกับตาลุกด้วยความตกอกตกใจ ทั้งๆที่เจ้าตัวพยายามแทบตายที่จะรักษามาดนิ่งๆของตัวเองเอาไว้มาตลอดทั้งวัน... นี่ผมควรสงสาร หรือ ขำหยกให้ท้องแข็งดีล่ะ?


“มีอะไรรึเปล่า ทำไมยังไม่เข้าไปอาบน้ำอีก?” ผมถามแซะไปอีกรอบ อยากรู้เหลือเกินว่าคนตัวเล็กจะจัดการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าข้อนี้อย่างไร

“เอ่อ....คือ........เรื่องอาบน้ำด้วยกัน.........
.
.
.....คือ....
...ผม.....ผม......อายน่ะ....” หยกอ้อมแอ้มตอบโดยที่สีแดงบนใบหน้า ไม่ได้ลดราวาศอกลงแม้แต่น้อย  จนผมต้องยอมถอยหลังให้คนน่ารักหนึ่งก้าว เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย

“โอเค เอาไว้ให้หยกคุ้นกับเจมากกว่านี้ก่อน แล้วเราค่อยอาบน้ำด้วยกันก็ได้...
.
...แต่เจของเรื่องนึงได้ไม๊?...อย่าล็อคประตูห้องน้ำนะ เผื่อว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นในห้องน้ำ เจจะได้เข้าไปช่วยได้”

“อืม  ได้”


หยกพยักหน้าหงึกหงัก แต่ยังไม่เดินเข้าห้องน้ำไปเสียที...
เขาดูลังเล เหมือนต้องการรอให้ผมเดินออกจากห้องไป ก่อนที่ตัวเองจะหายเข้าไปทำธุระส่วนตัวอย่างไรอย่างนั้น  
นี่ผมกลายเป็นคนน่ารังเกียจในสายตาอีกฝ่ายได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?...
.
.
...เย็นไว้ไอ้เจ...
...หยกจำอะไรไม่ได้  ตอนนี้..สำหรับเขา...ใครๆก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนแปลกหน้าด้วยกันทั้งนั้น...
...ถ้าเขาจะทำตัวแบบนี้ใส่ มึงยิ่งต้องเข้าใจเขาให้ได้มากกว่าใครในโลก


ผมจึงหันหลังให้หยก แล้วจึงก้าวเดินออกจากห้องโดยไม่ลืมกำชับ “รีบเข้าไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวจะยิ่งดึกแล้วจะเป็นไข้ไปซะก่อน”






ท่ามกลางความมืดมิด กับแสงเขียวๆของดาวเรืองแสงตรงเพดานห้อง
เสียงเบาๆของหยกที่นอนหงายอยู่อีกฝั่งของเตียงก็ดังทำลายเสียงหึ่งต่ำสม่ำเสมอของคอมเพรซเซอร์แอร์


“...คุณ....”

“หืม?”

“เราสองคนคบกันจริงๆเหรอ?”


ผมจับปลายเสียงที่สั่นไหวของอีกฝ่ายได้...
นั่นบอกกับผมว่า คนถามค่อนข้างไม่มั่นใจกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งจะพูดไปเท่าไรนัก 
อาจเป็นเพราะเขากังวลว่า คำถามนี้อาจทำให้ผมเสียใจ  หรือจะเป็นเพราะเหตุผลอื่นใด...ผมคงไม่อาจบอกได้
ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดที่ผมเลือกจะทำ คือ ไขความกระจ่างด้วยความจริงเพื่อสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นภายในใจของอีกฝ่าย


“ใช่” ผมตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
.
.
.
.
.
“ทำไมคุณถึงคบกับผู้ชายด้วยกันล่ะ? ไม่ประหลาดไปหน่อยเหรอ?”

“อืมมม....จะพูดยังไงดี...
.
...คือ ตั้งแต่ที่เจรู้จักกันมา สิ่งเดียวที่เราสองคนมีเหมือนกันก็คือ เราทั้งคู่ไม่ชอบผู้หญิง...
...เท่าที่เจเคยถามหยก แฟนทุกคนที่หยกเคยคบด้วย ก็มีแต่ผู้ชายทั้งนั้น...
...ส่วนของเจ ก็เหมือนกับหยกนั่นแหละ...
...เพราะฉะนั้น คงไม่แปลกอะไร หากเจกับหยกจะคบกัน” เมื่อสิ้นคำอธิบายของผม หยกก็ถามสวนออกมาทันทีราวกับอัดอั้นตันใจ

“แล้วทำไมต้องเป็นผม?”


น่าแปลก...
ที่ผมรู้สึกราวกับว่า เคยได้ยินคำถามทำนองนี้ผ่านหูมาก่อน
ผิดอยู่แต่ว่า คำถามในตอนนั้น...มันเคยถูกเอ่ยออกจากปากผม ไม่ใช่ริมฝีปากบาง ที่ผมมองเห็นได้อย่างชัดเจนในความรู้สึก แม้เราสองคนจะกำลังนอนอยู่ภายใต้แสงสลัวๆของห้องนอนก็ตาม


[i]‘เจ...หยกรักเจนะ

 ‘หยก... ทำไมสุดท้าย คนที่หยกเลือกถึงเป็นเจล่ะ?

อืม....เพราะรักยังไงล่ะ...
...หยกรักเจมากนะ
.
...รัก....
...รักมาก รักจนไม่อยากอยู่โดยไม่มีเจข้างๆอีกต่อไปแล้วล่ะ

หึ หึ...พูดจาน่ารักแบบนี้ มาให้ตบรางวัลหน่อยซิ

เผลอไม่ได้เป็นต้องหาเรื่องหื่นตลอดเลยนะ’[/i]


ผมลอบยิ้มให้ตัวเอง เมื่อนึกถึงบทสนทนาที่ผมมักจะทำอยู่ทุกบ่อยในช่วงเดือนแรกๆที่เราตกลงคบกัน
ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่า การถามถึงเหตุผลของหยกที่มอบความรักให้กันนั้น  เป็นเพราะแม้จะรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายรักผมมากแค่ไหน แต่ความมั่นใจในตัวตนกลับร่นน้อยถอยลงไปทุกทีๆ

ยิ่งได้มารู้ทีหลังว่า ชายผู้เป็นต้นเหตุให้หยกต้องมานั่งดื่มแก้กลุ้มจนเจอเข้ากับเจ้าของบาร์ปากหมาอย่างผม  
คือ คนรักเก่าที่รักๆเลิกๆกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม คนที่หยกเคยมอบหัวใจ และร่างกายให้กับเขาด้วยความยินดี
คนที่...เพียงแค่ชื่อของเขาลอยตามลมมาเข้าหูหยกในช่วงแรกๆที่เราคบกัน ยังทำให้ร่างบางแอบหวั่นไหวได้ในบางครั้ง
และการมีตัวตนของเขาบนโลกใบนี้ คือการบอกให้ผมรู้ความหมายของคำว่า “หึงหวง” อย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกในชีวิต


ผมสลัดความคิดในอดีตแล้วตอบคนที่ยังจ้องหน้าผมไม่วาง “เหตุผลที่เจคบกับหยก ก็เพราะเจรักหยกมาก...
.
.
...รักจนเจรู้ตัวว่า เจคงอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีหยกอยู่ด้วยน่ะซิ”


ผมตอบหยกไปตามความรู้สึก
และเมื่อได้ฟังในสิ่งที่ตัวเองพูดออกจากความคิดออกไป ก็เพิ่งตระหนักได้ว่า คำตอบของผม แทบไม่ต่างไปจากสิ่งที่หยกเฝ้าบอกกับผมอยู่เสมอ คำตอบเดียว...ที่ช่วยให้ผมมั่นใจกับการตัดสินใจของเขา
ถึงอย่างนั้น ความในใจของผม กลับได้รับการตอบแทนเป็นความเงียบ


หยกไม่ตอบโต้ใดๆ
ส่วนผม ก็ได้แต่นอนกลั้นเสียงถอนหายใจ เพื่อซ่อนความผิดหวังเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายรับรู้
.
.
.
.
.
.
“รักเหรอ? ทำไมผมถึงไม่รู้สึกว่าเรารักกันเลยล่ะ?” สิ่งที่หยกเพิ่งบอกกับผม ช่างไม่ต่างอะไรกับไม้หน้าสามที่ฟาดลงมาตรงหว่างคิ้ว เล่นเอาผมหน้าชาไปทั้งแถบ

“หยกหมายความว่ายังไง?”

“ถึงผมจะรู้สึกว่า ร่างกายผมคุ้นเคยกับคุณ และคุ้นเคยกับทุกๆอย่างภายในบ้านหลังนี้ จนผมเริ่มเชื่อสิ่งที่คุณบอก...
.
.
...แต่ไม่รู้ซิ ทำไมเวลาที่เราอยู่กันสองคน ผมถึงไม่รู้สึกถึงอะไรบางอย่างแบบที่ผมรู้สึกเวลาอยู่กับม้า ป๊า หรือเจ้เลยล่ะ?”

 “อาจเป็นเพราะความรักของเราสองคน มันต่างจากความรักที่ม้า ป๊า แล้วก็เจ้หยงมีให้หยกล่ะมั้ง”

“ต่างยังไง? ความรักก็เป็นความรักอยู่วันยันค่ำไม่ใช่เหรอ?...
.
...ต่อให้เป็นความรักแบบไหน ต่อให้เป็นใครรักกับใคร...มันก็น่าจะทำให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกอะไรบางอย่างได้ไม่ต่างกัน...
...คุณไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอกเหรอ?”

“อืม... ดึกแล้ว  รีบนอนเถอะ เอาไว้พรุ่งนี้ เราค่อยคุยกันต่อ” ผมตัดบทกลางปล้องด้วยไม่รู้ว่าจะตอบคำถามลุ่นๆข้อนี้ของเขาอย่างไร ใช่...ผมไม่เคยเฉลียวใจคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนจริงๆ

“สัญญานะ?”

“ครับ...เจสัญญา” ผมรับปาก เพราะแน่ใจว่าตนเองจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้ได้ เพียงแค่ผมต้องอาศัยเวลาค่ำคืนนี้ ไตร่ตรองทุกๆเรื่องระหว่างเราสองคนให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง เพื่อที่พรุ่งนี้ผมจะสามารถไขความกระจ่างให้แก่คนรักซึ่งกลายเป็นคนแปลกหน้ากันในชั่วข้ามคืน




นั่นสินะ...
ต่อให้เป็นความรักแบบไหน ก็ควรจะทำให้รู้สึกอะไรบางอย่างได้ไม่ต่างกัน....

...แล้วทำไม ความรักของผมจึงส่งไปไม่ถึงใจหยก?
...แล้วที่ผ่านมาล่ะ ตอนที่หยกอยู่กับผม เขารู้สึกอย่างไร?
...หยกจะรู้สึกเหมือนกับตอนนี้ไหม?
...หรือก่อนหน้าอุบัติเหตุคราวนี้ ผมทำให้หยกรู้สึกแบบนี้อยู่ตลอดเวลากัน?
...นี่เราห่างเหินกันจนกลายเป็นแค่คนสองคนที่อาศัยความผูกพันร้อยรัดอีกฝ่ายเอาไว้กับตัวไปแล้วอย่างนั้นหรือ?


๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑



เจ็ดปี แปดวัน


“ตื่นแล้วเหรอ มานั่งนี่สิ...หิวไม๊?” ผมร้องทักคนหน้างงที่เพิ่งเดินลงบันไดมา  แล้วจึงกุลีกุจอวิ่งอ้อมไอส์แลนด์ไปที่โต๊ะกินข้าวเพื่อจัดแจงที่ทางให้หยกนั่ง เมื่อเห็นสายตาเชื้อเชิญอย่างออกนอกหน้าของผม เขาจึงหย่อนตัวลงนั่งยังเก้าอี้ที่ผมเตรียมไว้โดยไม่ปริปากเอ่ยสิ่งใด

“หยก...หิวรึยัง?”

“.......”

“หยกครับ หิวรึเปล่า?” ผมถามย้ำเมื่อหยกยังนั่งเงียบ เขาจึงเงยหน้าขึ้นสบตาผมแล้วพูดประโยคแรกของวันออกมาเรียบๆ

“ผมอยากรู้เรื่องของคุณกับผมมากกว่า”

“ตอนนี้กินข้าวก่อน ส่วนเรื่องอื่น...เอาไว้ค่อยคุยกันหลังกินอิ่มดีไหม?”

“.......”

“กินนี่ซิหยก โจ๊กร้านนี้ของโปรดหยกเลยนะ เมื่อเช้าไอ้โยกับแฟนมันซื้อมาฝาก”

“ผมชอบกินโจ๊กเหรอ?”

“อืม...ตอนที่เราคบกันแรกๆ หยกมักจะร้องให้เจไม่ลืมแวะซื้อโจ๊กร้านนี้มาฝากหยกทุกคืนเลยนะ”

“ฮื่อออ  แต่มันร้อน... ผมชอบกินของร้อนๆเหรอ?”

“หยกร้อนเหรอ? สงสัยเจจะอุ่นนานไปหน่อย....เดี๋ยวเจเป่าให้แล้วกันนะ” ผมก้มหน้าก้มตาคนและเป่าโจ๊กให้อีกฝ่ายอย่างตั้งอกตั้งใจไม่ต่างจากที่หยกเคยทำให้ผมอยู่เสมอเวลาผมล้มป่วย
.
.
.
.
“...ขอบคุณนะ....”

“เฮ้ย! ไม่ต้องขอบคุณ ขอบคุณทำไม...เจแค่อยากทำให้ ไม่เห็นเป็นไรเลย” ผมบอกปัดคำขอบคุณของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว เพราะผมไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทนจากเขา...ผมแค่อยากทำในสิ่งที่หยกเคยทำให้ผมอยู่เสมอเท่านั้น

“ไม่ได้หรอก ผมต้องขอบคุณๆสิ...
...ขอบคุณที่คุณดูแลผมดีอย่างนี้ไง...
.
...ที่ผ่านมา คุณคงเอาใจใส่ผมดีอย่างนี้ตลอดเวลาเลยซินะ...
...ไม่อย่างนั้น....เราสองคนคงไม่ได้อยู่ด้วยกันมาได้นานขนาดนี้หรอก จริงไม๊?” แทนที่ประโยคชื่นชมอย่างจริงใจเหล่านี้จะทำให้รู้สึกดี มันกลับกระทุ้งหัวใจผมจนปวดร้าวไปหมด  เพราะตลอดมา...ผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้ให้หยกแม้แต่ครั้งเดียว

“เอ่อ....อืมๆ หยกกินโจ๊กเถอะ ไม่ร้อนเท่าไหร่แล้วล่ะ”

“คุณ  ปกติถ้าผมป่วย คุณอยู่กับผมแบบนี้ตลอดเวลาเลยเหรอ?”

“ตามปกติ เราสองคนแทบจะไม่ล้มหมอนนอนเสื่อกันซักเท่าไหร่หรอก...
...แต่ถ้าพูดกันตามสถิติ คนที่ป่วยบ่อยกว่าน่ะเป็นเจ...
...ส่วนหยก...สุขภาพแข็งแรง แถมยังดูแลตัวเองดีสุดๆ...
...ตลอดเวลาที่คบกันมาเจ็ดปี เจไม่เคยต้องพยาบาลหยกเลยซักครั้ง”

“ถ้าอย่างนั้น...นี่ก็ครั้งแรกที่คุณมาดูแลผมเลยน่ะซินะ ไม่น่าเชื่อ...คุณนี่ดูแลคนป่วยได้ดีชะมัดเลย”

“รีบกินเถอะ เดี๋ยวพอกินเสร็จ เจมีของจะให้ด้วยนะ”


ระหว่างหยกบรรจงตักโจ๊กในชามเข้าปากอยู่นั้น จิตใจภายในของผมก็เอาแต่ครุ่นคิดถึงถ้อยคำชื่นชม กับคำถามจิปาถะของคนตัวเล็กซึ่งสะกิดหัวใจของผมได้เสียทุกครั้งไป

จริงสินะ...นี่ผมกำลังเข้าใจอะไรผิดไปอยู่หรือเปล่า?
หยกในตอนนี้ ยังชอบกินโจ๊กอยู่ไหม?
นิสัย หรือความชอบบางอย่างของเขา เปลี่ยนแปลงไปหลังจากเมื่อเจ็ดปีแรกบ้างหรือเปล่า?
ผมยังเป็นคนๆเดียวที่รู้จักหยกทุกซอกทุกมุมอย่างที่ผมเข้าใจอยู่จริงๆใช่หรือไม่?

ที่ผ่านมา สิ่งที่หยกทำให้ผมมาโดยตลอด ยืนยันได้ดีว่า อีกฝ่าย...เอาใจใส่ และล่วงรู้ทุกๆความต้องการของผมอย่างแท้จริง
ในทางกลับกัน เมื่อผมกลายเป็นฝ่ายให้...เขามักจะมอบรอยยิ้ม และสายตาเปี่ยมสุขส่งคืนกลับมา
โดยไม่ทักท้วง หรือปฏิเสธสิ่งที่ผมหยิบยื่นไป 
ท่าทางยินดีของหยก ทำให้ผมทะนงตนว่า...ไม่ว่าเมื่อไร ผมก็จะเป็นคนเพียงคนเดียวที่รู้จักตัวตนของเขาดีที่สุด
แล้วความชอบที่แท้จริงของเขาล่ะ...ยังเหมือนเดิมตามที่ผมหลงเข้าใจอยู่ไหม?

ผมสะท้อนในอก เมื่อนึกถึงคำชมเชยเมื่อครู่เรื่องการดูแลเอาใจใส่ตัวเขาที่ผมเพิ่งทำให้
เพราะสามัญสำนึกของผมแย้งอยู่ตลอดเวลาว่า ผมยังเป็นพยาบาลที่ดีได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของที่หยกเคยทำให้เสียด้วยซ้ำ







“โห....นี่มันกล่องอะไรกันน่ะคุณ?” เสียงตกอกตกใจของหยกสื่อได้ว่าเจ้าตัวดูจะตื่นตากับกล่องพลาสติกใบใหญ่ที่บรรจุของเอาไว้เต็มเอี๊ยด

“พวกนี้น่ะเหรอ ไดอารี่ของหยกไง...
.
...หยกเขียนไดอารี่เกือบทุกวันเลยนะ ลองอ่านดูสิ หยกอาจจะเจออะไรดีๆก็ได้”

“ทำไมมันเยอะอย่างนี้ล่ะ?...ผมนึกว่า หนึ่งปีหนึ่งเล่มซะอีก”

“หึ หึ...เจก็ไม่รู้เหมือนกัน...
.
.
...รู้แต่ว่า...ไดอารี่พวกนี้ หยกหวงมากกกก...
...แถมหยกยังขอให้เจสัญญาอีกว่า เจจะไม่แอบอ่านไดอารี่ของหยก จนกว่าเราจะคบกันครบสิบปีน่ะ”

“สงสัยผมจะเป็นพวกพร่ำเพ้อเนอะ ไม่งั้นจะเขียนอะไรเยอะแยะแบบนี้ได้ยังไง ไม่เมื่อยมือตายเลยเหรอเนี่ยะ?” สิ่งที่หยกพูดทำเอาผมแอบขำในใจ คนอะไร...ว่าตัวเองก็เป็น

“น่า ลองอ่านดูก่อน...เผื่อว่ามันจะทำให้หยกจำอะไรได้ดีชึ้น” ผมปลอบ เพราะหวังว่าสิ่งที่อยู่ภายในไดอารี่เหล่านี้ จะช่วยให้คนรักกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ในเร็ววัน

“โอยยยย...  ผมอ่านไม่ไหวหรอกคุณ...แค่เปิดหน้าแรกมาก็เวียนหัวแล้ว”

“เอาอย่างงี้ก็แล้วกัน ก่อนนอนทุกคืน...เจจะอ่านไดอารี่ให้หยกฟังดีไม๊? หยกจะได้ไม่ต้องอ่านเองให้ปวดหัว”

“ไหนคุณบอกว่า ผมเคยห้ามไม่ให้คุณอ่านก่อนเราคบกันครบสิบปียังไงล่ะ?”

“เอาน่า เพื่อความทรงจำของหยกไง”

“หึ หึ...คุณนี่เจ้าเล่ห์ไม่เบาเลยนะ” หยกยกมุมปากพลางหรี่ตามอง เมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางยียวนของหยกแบบนี้ ทำให้ผมเผลอใจพูดในสิ่งที่ผมคุ้นปากเป็นอย่างดีออกมาโดยไม่รู้ตัว

“ถ้าภรรยาว่าอย่างนั้น สามีจะไปคัดค้านอะไรได้ล่ะ...ใช่ไม๊ครับที่รัก?”

“................” แทนที่คนฟังจะเขินอายเหมือนอย่างที่เคย เขากลับยืนตัวแข็งทำหน้าไม่ถูกนิ่งอยู่อย่างนั้น ผมร้อนใจจนต้องรีบพูดจาแก้ไขสถานการณ์ออกมาแบบลิ้นแทบพันกัน

“เจขอโทษ......เจลืมตัวน่ะ อย่าคิดมากเลยนะ”
.
.
.
.
.
“ถ้าจะไม่ให้ผมคิดมาก  คุณช่วยเว้นระยะห่างกับผมหน่อยได้รึเปล่าล่ะ?....
.
...คือ ผมยังปรับตัวกับความสัมพันธ์แบบนี้ไม่ได้เท่าไหร่น่ะ”

“...........ก็ได้ครับ............
.
.
...เจ เอ๊ย! ผมขอโทษนะ ที่ทำให้คุณต้องอึดอัดใจแบบนี้”

“ผมต่างหากล่ะที่ต้องขอโทษคุณ เป็นเพราะผมจำอะไรไม่ได้ คุณเลยต้องมาไม่สบายใจอยู่แบบนี้....
.
...อ้อ! แล้วก็...คุณเรียกผมว่าหยก เรียกแทนตัวเองด้วยชื่อแบบนั้นก็ได้ ผมโอเค”

“ได้เหรอครับ?”

“อืม...ได้สิ ผมว่าน่ารักดีออก”

“ครับ เจก็ว่าน่ารักดี”



ผมปล่อยให้ปากเจื้อยแจ้วเจรจา ทว่าในใจกลับวุ่นวายหลังจากสัมผัสได้ถึงระยะห่างที่ชวนกระอักกระอ่วนระหว่างเรา...
ผมรักเขาเท่าเดิม แต่หยกกลับไม่รักผมเหมือนที่เคย
นี่ผมต้องตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้า คายไม่ออกแบบนี้ไปอีกนานเท่าไรกัน?







“คุณๆ....ถามหน่อยสิ” เสียงเบาๆของหยกดังแทรกขึ้น จังหวะที่ผมพักดื่มน้ำหลังจากนั่งอ่านไดอารี่กว่าค่อนเล่มให้หยกฟัง

“หืมมม... ก็ถามมาซิ หยกอยากรู้อะไรล่ะ?”

“ตอนแรกๆผมไม่ได้ชอบคุณหรอกเหรอ?”

“ฮื่อ...เจชอบหยกก่อน ตอนนั้น...หยกยังไม่รู้สึกอะไรกับเจหรอก จะว่าไป...เจมันเป็นม้านอกสายตาของหยกเลยล่ะมั้ง ขนาดหน้าตาหล่อแบบนี้ ยังไม่ใช่สเปคหยกเลย...ตอนแรกๆที่จีบนี่ เจต้องกลับไปปลุกปลอบขวัญและกำลังใจของตัวเองอยู่ก็ตั้งหลายครั้งแหน่ะ”

“แต่เพราะความดีของคุณเลยชนะใจผมได้ในที่สุด”

“อืม...คงอย่างนั้นล่ะมั้ง” ผมยิ้มเขินๆ ด้วยรู้แก่ใจว่า สิ่งที่เขาเพิ่งพูดนั้น ระบุอย่างชัดแจ้งอยู่ในไดอารี่ที่ผมกำลังถืออยู่ในมือ

“จะว่าไป....คุณก็หล่อจริงๆนั่นแหละ ยิ่งเวลาคุณยิ้มนะ น่าดูมากเลย ผมไม่แปลกใจหรอกนะว่าทำไมผมถึงชอบคุณ” คำชมของหยกทำเอาผมรู้สึกงงเหมือนกับเพิ่งโดนอัปเปอร์คัทใส่หน้า สมองผมเร่งรวบรวมสติอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงพูดให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความแปลกใจที่มี

“หยกรู้ไม๊ ถ้าเป็นหยกเมื่อก่อน หยกไม่เคยพูดอะไรแบบนี้เลยนะ”

“ทำไมเหรอ? ที่ผ่านมา ผมเป็นพวกปากหนักมากเลยหรือไง?”

“หึ หึ...ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก หยกห่วงความรู้สึกคนอื่นอย่างที่สุด เลยทำให้หยกมักจะเก็บงำความรู้สึกเอาไว้ข้างใน...เพราะไม่อยากทำให้ใครๆต้องพลอยไม่สบายใจเมื่อต้องมาฟังเรื่องไม่เป็นเรื่องของตัวเอง”

“มันคงไม่ใช่อย่างนั้นซะทีเดียวหรอก...
.
...ผมว่า หยกคนนั้นเค้าก็อยากจะระบายให้ใครซักคนฟังเหมือนกันแหละ เพียงแต่อาจจะเกรงใจ หรือไม่ไว้ใจใคร ก็เลยเลือกจะระบายเป็นตัวหนังสือแทน... ไม่อย่างนั้น จะมีไดอารี่เยอะอย่างกับพงศาวดารแบบนี้เหรอ? แถมแต่ละตอนยังพร่ำพรรณนาอะไรไม่รู้...ฟังดูก็มีแต่น้ำทั้งนั้น”  เออเฮ้ย!... หยกเวอร์ชันนี้ก็แปลกดีเหมือนกัน คุยด้วยได้ง่ายๆ แถมยังพูดจาตรงไปตรงมาได้ใจผมเหลือเกิน

“หึ หึ หึ...ไม่รู้สิ”

“คุณคิดเหมือนผมก็ยอมรับมาเหอะน่า ผมไม่โกรธหรอก”

“...ก็....นิดหน่อย”

“แล้วคุณชอบแบบไหนมากกว่ากัน?... ผมที่เป็นแบบนี้ หรือผมที่ไม่ค่อยบอกเล่าอะไรให้ใครฟังเลย”


เจอคำถามนี้เข้า ผมถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว
แม้ท่าทางของหยกในตอนนี้ จะรับรองได้เป็นอย่างดีว่า เขาเปิดใจพร้อมรับฟังความเห็นของผมทุกรูปแบบ
แต่ใครเลยจะรู้ว่า หากความทรงจำของเขากลับมาแล้ว สิ่งที่เราคุยกันในตอนนี้ จะกลายเป็นคำพูดที่คอยทำร้ายหัวใจหยกไปตลอดหรือเปล่า สุดท้าย ผมจึงปล่อยให้ความว่างเปล่าเป็นคำตอบให้กับสิ่งที่คาใจหยกในเวลานี้
ถึงอย่างนั้น อีกฝ่ายกลับดึงดันหาคำตอบให้กับตัวเองจากอวัจนะภาษาทางอ้อม


“ให้ผมเดาจากหน้าคุณนะ ผมว่า คุณต้องหนักใจกับอาการปากหนักของผมมาตลอดแน่ๆเลย ไม่อย่างนั้น คุณคงจะยอมรับออกมาได้ง่ายๆตั้งนานแล้ว” ผมเลือกไม่สนใจคนตัวเล็กที่นอนจ้องผมเขม็งจากบนเตียง ระหว่างลุกไปปิดไฟห้องนอน

“นอนเถอะ ดึกแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องไปโรงพยาบาลแต่เช้า” ผมเลือกใช้สิทธิของคนดูแลคนป่วยปิดประเด็นร้อนทันที แต่หยกเวอร์ชันนี้กลับไม่ยอมผมง่ายๆ

“ผมว่า ไม่ใช่แค่ผมหรอก...คุณเองก็มีปัญหาหนักอยู่เหมือนกันนะ”

“ยังไง?”

“คุณเองก็เลือกที่จะเลี่ยงการพูดจาเปิดใจในเรื่องที่มันละเอียดอ่อนด้วยเหมือนกันหนิ” ...เข้าเป้าเผง! หยกคนนี้อ่านผมขาดเหมือนอ่านหนังสือเลยแฮะ เมื่อไม่เห็นประโยชน์ของการหลบเลี่ยงอีกต่อไป...ผมก็ได้แต่ยอมรับกับอีกฝ่ายตรงๆ

“อย่างนั้นล่ะมั้ง”
.
.
.
.
.
.
.
.
“...คุณ...”

“หืม ว่าไง?”

“ผมขออะไรอย่างสิ....
.
.
...ผมอยากให้คุณอย่าเลี่ยง หากเราต้องเปิดอกคุยกัน...
...ผมไม่อยากให้เราต้องหมางเมินกันด้วยความไม่เข้าใจน่ะ... รับปากผมได้ไม๊?”

“ครับ ได้ครับ”

“ขอบคุณ และก็ขอโทษนะ...ที่ผมคนนี้ไม่เหมือนกับหยกคนนั้น”

“อย่าคิดมากเลย นอนเถอะ”


ผิดมากไหม...หากผมจะบอกว่า จริงๆแล้ว...หยกคนนี้ ทำให้รู้สึกผมสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ยิ่งเราคุยกันมากเท่าไร ผมก็ยิ่งอยากคุยกับเขา อยากบอกเล่าเรื่องราวต่างๆในใจ อยากให้เราพูดกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ผิดมากไหม...หากสิ่งที่เขาเป็นในตอนนี้ คือ สิ่งที่ผมหวังอยู่ในใจลึกๆให้คนที่ผมรักมาตลอดเจ็ดปีมีคุณสมบัติข้อนี้ประดับกาย

๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑



เจ็ดปี สิบห้าวัน


“คุณ!! คุณทำอะไรน่ะ?” เสียงร้องอย่างตกอกตกใจของหยกทำให้ผมต้องเงยหน้าจากพื้นห้องที่กำลังตั้งใจถูขึ้นมามองดูสีหน้าตลกๆของเขา

“ก็แค่ทำความสะอาดบ้านนิดหน่อยน่ะ ทำไมเหรอหยก?”

“มา...ให้ผมช่วยดีกว่า” พูดจบ หยกก็เดินเข้ามาแย่งด้ามไม้ถูพื้นไปจากมือ แต่ผมก็ยังยื้อเอาไว้ พลางบอกปัด

“ไม่ต้องหรอก หยกไปนั่งเถอะ หยกยังไม่หายดี...เดี๋ยวจะเป็นอะไรไปอีก”

“ผมแค่ความจำเสื่อมนะ ไม่ได้เจ็บป่วยสาหัสอะไรตรงไหน ให้ผมช่วยเถอะ”

“อย่าเลย”

“เอาน่า ให้ผมช่วยเถอะ... งานบ้านน่ะ มันจะสนุกแล้วก็เหนื่อยน้อยลงก็เมื่อคนในบ้านช่วยกันทำ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง”


คำพูดจริงใจของหยกทำผมสะอึกเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ 
หลายปีที่ผ่านมา  ผมเอาเปรียบหยกด้วยเรื่องเล็กน้อยอย่างการทำงานบ้านมาตลอด
จริงๆ ก่อนหน้าเราสองคนจะคบกัน ผมพักอยู่คอนโด โดยจะมีแม่บ้านมาคอยทำความสะอาดให้อยู่เสมอ
แต่เมื่อเราสองคนตกลงปลงใจจะอยู่ด้วยกัน ผมจึงซื้อบ้านหลังนี้เพื่อให้เราได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกันอย่างสะดวกสบาย โดยปล่อยให้หยกหัวหกก้นขวิดกับการดูแลบ้าน ดูแลผมเพียงลำพัง โดยอีกฝ่ายไม่เคยบ่นเรื่องงานบ้านให้ผมฟังแม้สักครั้ง
.
.
...นั่นสิ... แล้วหยกรู้สึกสนุกไหม ที่ต้องมาทำอะไรน่าเหนื่อยพวกนี้อยู่คนเดียว?


“เป็นอะไรคุณ? ทำไมมองหน้าผมแบบนั้น?”

“หยกรู้ไม๊ บางทีหยกพูดจาเหมือนคนปกติเลยนะ” ด้วยความละอายจับใจ ผมจึงเฉไฉไปเรื่องอื่น

“แน่ล่ะสิ ผมไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย...
...ผมแค่จำเรื่องที่เคยเกิดก่อนหน้านี้ไม่ได้เท่านั้นเอง แต่เรื่องความคิด ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ผมมีเต็มร้อยนะ...
.
...ทำไม ผมแปลกเหรอ?”

“เปล่าหรอก... เอาเป็นว่า ต่อจากนี้ไป...เรามาช่วยกันทำงานบ้านกันให้สนุกไปเลยดีไม๊?”

“อื้อ ดีซิ...
.
.
...เออ คุณ...ทำงานบ้านเสร็จแล้ว คุณต้องทำอะไรอีกไม๊?”

“ไม่มีหรอก...ถามทำไมเหรอหยก?”

“ผมอยากไปที่ร้านคุณน่ะ...คุณพาผมไปหน่อยได้ไม๊?”

“ทำไมอยู่ๆหยกถึงอยากไปที่ร้านขึ้นมาล่ะ?”

“ผมแค่อยากไปที่ๆเราเจอกันครั้งแรกดูน่ะ เผื่อมันจะช่วยให้ผมจำอะไรได้บ้าง...
.
...อีกอย่าง คุณจะได้ไปทำงานด้วย  คุณว่าดีมะ?”

“เจยังไม่ต้องเข้าไปที่ร้านตอนนี้ก็ได้...
.
...ตอนนี้ที่ร้านมีหุ้นส่วนอีกคน มีน้องชายเจกับแฟนมัน แล้วก็ยังมีไอ้โยดูแลอยู่  หยกไม่ต้องเป็นกังวลไป”

“เอาเถอะน่า... หรือว่าคุณไม่อยากพาผมไปที่นั่น? แอบซ่อนอะไรเอาไว้รึเปล่า?”

“เฮ่ย! ซ่อนเซิ่นอะไรหยก? เจโปร่งใสนะ  ที่เจไม่อยากให้หยกไป ก็เพราะห่วงสุขภาพของหยกต่างหาก”

“ก็ดี...ถ้างั้น เราแวะไปนั่งกินข้าวเย็นที่นั่นซักพัก แล้วค่อยกลับมาบ้านดีไม๊ล่ะ?”

“ครับ ได้ครับ”







“ร้านคุณสวยดีนะ บรรยากาศน่านั่งมาก เพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่ร้านคุณก็ดูไว้ใจได้...
.
.
...มิน่า ผมถึงได้ไปที่นั่นเพื่อดื่มเหล้าย้อมใจตัวเองตอนอกหัก” หยกเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดีหลังจากที่ผมปิดไฟห้องนอนแล้วหย่อนตัวลงบนเตียง

“หึ หึ ถ้างั้นเจต้องขอบคุณตัวเองเป็นอย่างยิ่งเลย ที่ตัดสินใจทำร้านนี้...เพราะมันเป็นที่ๆทำให้เราสองคนได้พบกัน”

“แต่ทำไมใครๆต้องทำหน้าตาแปลกใจที่เจอหน้าผมกันด้วยล่ะ?”

“อืม อาจจะเป็นเพราะพวกเค้าไม่ค่อยได้เจอหน้าหยกบ่อยนักก็ได้มั้ง”

“ผมนี่มันใช้ไม่ได้จริงๆ... เป็นแฟนคุณประสาอะไร ทำไมถึงไม่เคยไปหาแฟนที่ร้านมั่งเลย” ผมถึงกับอมยิ้มเมื่อได้ยินสิ่งที่หยกพูด แฟนใครเนี่ย...น่ารักชะมัด

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกหยก แต่เป็นเพราะว่า เวลางานของเราสองคนไม่ตรงกัน
ถ้าหยกฝืนตัวเองไปนั่งเฝ้าเจ...หยกนั่นแหละที่จะยิ่งเหนื่อยไปกันใหญ่...
ที่สำคัญ เจต้องทำงานตลอดเวลา ถ้าหยกไปนั่งที่ร้าน หยกก็ต้องนั่งแกร่วเหงาอยู่คนเดียว... ไม่สนุกหรอก” ผมแก้ตัวให้แฟนตัวเองที่ตำหนิตัวเขาอย่างไม่ไว้หน้า... จะว่าไป มันก็แปลกดีแฮะ

“งั้นผมถามหน่อย..ถ้าผมไปนั่งรอคุณที่ร้าน คุณรำคาญ หรือเบื่อไม๊?”

“ไม่เลยหยก...เจกลับจะดีใจซะอีก”

“นั่นไง! ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ถ้าผมมีร้านเป็นของตัวเอง ผมก็อยากให้แฟนผมแวะเวียนไปหาบ้าง ถึงแต่ละครั้งจะกินเวลาไม่นาน...แต่อย่างน้อยๆ ผมก็ยังดีใจที่แฟนโผล่หน้าไปให้กำลังใจ...
.
...ผมตัดสินใจแล้ว ต่อจากนี้ไป ทุกๆวันที่ผมไม่ต้องห่วงเรื่องงาน ผมจะไปนั่งเล่นที่ร้าน แล้วรอกลับบ้านพร้อมคุณ ผมเองก็จะได้ไม่เหงา ส่วนคุณ...ก็จะมีกำลังใจในการทำงานแบบสุดๆไปเลย คุณว่าดีไม๊?”

“ครับ..ดีครับ ดีมากเลยครับ” ผมรู้สึกอบอุ่นในใจกับข้อตกลงที่อีกฝ่ายเสนอ เป็นครั้งแรกที่หยกคิดจะทำอะไรแบบนี้ แบบที่เป็นการทำเพื่อผม และเพื่อตัวเองไปพร้อมๆกัน มันทำให้ผมตระหนักว่า ที่ผ่านมา...ผมเลือกคนรักได้ไม่ผิดจริงๆ  เพราะกระทั่งเนื้อแท้ที่เขาเป็นในยามความทรงจำหายไปนั้น เขายังเลือกที่จะทำเพื่อผมอยู่เสมอ

“ราตรีสวัสดิ์นะ”

“ราตรีสวัสดิ์ครับหยก” ผมตอบอีกฝ่าย โดยไม่รู้ว่าตนเองจะหักห้ามความปราถนาที่สุดในใจที่เพิ่งเกิดขึ้นแบบสดใหม่เอาไว้อย่างไรดี
.
.
.
.
.
แต่แล้วผมก็ทนไม่ไหว  “...หยก หลับรึยังครับ?...”

“มีอะไรเหรอคุณ?”

“เจขอนอนกอดหยกได้ไหม?”

“...............”

“ขอโทษนะ เจไม่น่าขออะไรแบบนี้ออกไป  ถ้าหยกไม่สะดวกใจ ก็ไม่เป็นไรหรอก...นอนเถอะ”


หยกนิ่งไป...นั่นทำให้ผมใจเสียจนต้องพลิกตัวนอนตะแคงหันกลับไปอีกด้าน แล้วข่มตาหลับขับไล่ความผิดหวัง
เสียงขยับตัวเบาๆจากอีกฟากของเตียงก็ดังขึ้นชวนให้ใจเต้น

เพียงไม่นานหลังจากนั้น ผมก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างบางที่ค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ๆ
ผมจึงไม่รอช้า รีบพลิกกลับมา พร้อมๆกับที่อีกฝ่ายพิงร่างหอมกรุ่นนั้นเข้าหาหน้าอกของผมโดยไม่พูดจาใดๆสักคำ


“ขอบคุณครับ” ผมกระซิบบอกหยกด้วยความซาบซึ้งและปลื้มปิติอย่างที่สุด พลางสอดแขนทั้งสองข้างกอดประคองเรือนร่างที่น่าทนุถนอมของเขาเอาไว้แนบอก


ก่อนที่ผมจะหลับตาลงด้วยความอิ่มเอมใจ เสียงจากภายในก็เอ่ยถามในสิ่งที่ชวนให้ผมต้องเก็บเอาไปไตร่ตรอง...
ทุกๆครั้งที่เรากอดกัน... ผมเคยรู้สึกยินดีจนแทบบ้าอย่างที่กำลังเป็นอยู่นี่บ้างไหม?
ถ้าใช่...มันเกิดขึ้นเมื่อไร? แล้วความรู้สึกน่าชื่นใจนั้น...มันเหือดหายไปได้อย่างไรกัน?



๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑



เจ็ดปี สิบแปดวัน


“...คุณ...” หยกเดินถือไดอารี่เล่มหนึ่งเข้ามานั่งลงข้างๆผมที่โซฟา สีหน้าไม่สู้ดีของเขาทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นจากโน้ตบุคเพื่อคุยกับอีกฝ่าย

“ว่ายังไงเหรอครับหยก?”

“นิสัยอะไรของผมที่คุณไม่ชอบบ้าง?”

“หยกอยากรู้จริงๆเหรอ?”

“อืม... ก็เมื่อเช้าผมอ่านไดอารี่ที่ผมเขียนไว้  ผมบ่นนิสัยของคุณเอาไว้ยาวเหยียด...
.
...ผมก็เลยอยากรู้ขึ้นมาตงิดๆว่า แล้วคุณล่ะ...คุณแอบมีไปบ่นนิสัยข้อไหนของผมกับใครบ้างรึเปล่า?”

“ไหนว่าอ่านเองแล้วปวดหัวยังไงล่ะ?...ไม่รอให้เจอ่านให้ฟังแล้วเหรอ?”

“ก็ไม่ค่อยปวดหัวเท่าไหร่แล้วล่ะ อีกอย่าง...ผมอยากรีบจำให้ได้ว่าผมเคยเป็นคนยังไง...
.
...ผมจะได้กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม....
...ส่วนคุณ ก็จะได้กลับไปทำงานทำการเหมือนปกติซะที...
...เอาแต่มาคอยดูแลผมอยู่อย่างนี้ เดี๋ยวพี่ปิงปองจะฮุบร้านเอาไม่รู้ด้วยนะ”

“ฮะ ฮะ ฮะ...เจบอกก็ได้ครับ แต่เพื่อความเท่าเทียมหยกต้องบอกนิสัยของเจที่หยกเขียนเอาไว้ในไดอารี่ให้เจรู้ด้วยเหมือนกัน ตกลงไหม?”

“โอเค งั้นผมเริ่มก่อน...
.
...ผมเขียนว่า ผมไม่ชอบที่คุณละเลยผม”

“ถ้าเป็นไปได้... เจอยากให้หยกปรับนิสัยชอบเก็บงำความทุกข์ หรือเรื่องไม่สบายใจเอาไว้ข้างในคนเดียว”

“ผมไม่ชอบที่คุณไม่ค่อยใช้เวลากับผม”

“อย่าทึกทัก อย่าคิดโน่นคิดนี่ไปเองคนเดียว เพราะไม่มีใครรู้ใจเจได้ดีเท่ากับเจหรอก”

“ผมไม่ชอบที่คุณลืมสัญญาที่เคยให้ไว้กับผม”

“เรื่องงมงาย เรื่องไสยศาสตร์ที่ทำให้ตัวเองต้องเก็บมาคิดจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ก็อยากให้เลือกเชื่อบ้าง เจเป็นห่วง”

“ผมไม่ชอบที่คุณจำวันสำคัญของเรา หรือวันเกิดผมไม่ได้”

“เจไม่ชอบให้หยกใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง เลือกที่จะไม่ฟัง เอาแต่คอยจะหนีหน้าเจไปที่อื่นทุกครั้งที่เราทะเลาะกัน...
.
...และนิสัยที่เจอยากให้หยกปรับมากที่สุดคือ...ได้โปรดอย่าใช้คำว่า เลิกกันมาเป็นเงื่อนไขในการปรับความเข้าใจ”

“หมดรึยังคุณ?”

“ครับ เรื่องอื่นๆมันเป็นแค่เรื่องรอง...
.
...ถึงอย่างนั้น ต่อให้นิสัยของหยกที่เจว่ามาจะเป็นสิ่งที่เจไม่ชอบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจอยากให้หยกต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองจนลำบากใจหรอกนะ”
.
.
.
.
“นี่คุณ...ถามหน่อยเถอะ ผมกับคุณไม่เคยเปิดอกคุยเรื่องพวกนี้กันมาก่อนเลยเหรอ?”

“จริงๆ เราต่างก็รู้ข้อเสียของกันและกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่ไม่ได้เป็นเพราะเรามานั่งคุยกันโต้งๆอย่างนี้หรอกครับ...
.
...กว่าจะรู้ว่าอีกคนไม่ชอบนิสัยอะไรบางอย่าง เราต้องผ่านการทะเลาะกันมาตั้งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง”

 “ฟังๆดู ผมว่า...ตัวผมเมื่อก่อนนี่อ่อนไหวพอตัวเลยนะ...
.
...คุณนี่มีความอดทนสูงจริงๆ ดูท่าว่าจะรักผมมากเลยเนอะ”

“ครับ เจรักหยก...รักมาก รักอย่างที่ไม่เคยนึกรักใครแบบนี้มาก่อน” ผมเอ่ยทุกอย่างจากใจ และดูเหมือนอีกฝ่ายจะรับรู้ได้ เพราะตอนนี้หน้าของหยกเปลี่ยนเป็นสีแดงแจ๋

“วู้ววว... ในนี้มันร้อนๆยังไงไม่รู้เนอะ คุณว่ามะ?...
.
...เดี๋ยวผมออกไปเดินเล่น ดูต้นไม้ใบหญ้ารอบๆบ้านแป็บนึงนะ แล้วเราค่อยกินข้าวเย็นกัน” คนตัวเล็กก้มหน้างุดแล้วรีบเดินเลี่ยงจะก้าวออกประตูไป เมื่อเห็นท่าทางน่าเอ็นดูของอีกฝ่าย เลยพลอยทำให้ผมหัวเราะกับตัวเองเบาๆไม่ได้








“...คุณ...” เสียงเบาๆจากคนในอ้อมแขนปลุกให้ผมได้สติโดยไม่ผล็อยหลับไปเสียก่อน  
การนอนกอดกันถือเป็นความก้าวหน้าทางความสัมพันธ์อันเป็นรูปธรรมที่สุดหลังจากคืนนั้น... คืนที่ผมได้สัมผัสความรู้สึกอันอบอุ่นที่ใกล้ชิดแนบแน่นนี้จากหยกอีกครั้ง  

“ฮื่มมม...มีอะไรเหรอครับ?” ผมพยายามถ่างตาระหว่างตอบหยกด้วยเสียงเซื่องๆ... ไม่ไหวครับ พอได้กอดหยกทีไร ผมจะหลับเสียให้ได้
.
.
.
.
.
“ตอนนี้ ที่ร้านน่ะ...ยังมีอะไรเหลือพอให้ผมช่วยอยู่ไม๊?” คำถามนี้ทำผมหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง

“หยกถามทำไม?”

“ผมอ่านเจอในไดอารี่ว่า คุณเคยชวนผมให้ไปทำงานด้วยกันเมื่อห้าปีก่อน....ผมเลยอยากรู้ว่า ที่ร้านเป็นยังไงมั่ง งานยังเยอะอยู่ไหม?”

“เจกับไอ้โยก็พอทำกันไหวแหละหยก ถึงจะเหนื่อยไปบ้าง...แต่ไอ้โยมันขยันผิดมนุษย์มนา เจเลยเบาใจ”

“งั้นก็แปลว่า ถ้าผมไปทำงานที่ร้านด้วย คุณกับน้องโยก็จะสบายขึ้นน่ะสินะ”

“อย่าเลยหยก... งานที่หยกทำอยู่น่ะ คือ งานที่หยกรักมาก...
.
.
...หยกเคยบอกเจว่า ไม่เกินปีหน้า...เค้าจะเลื่อนให้หยกเป็นหัวหน้าแผนก...
...แล้วอย่างนี้  เจจะขอให้หยกลาออกได้ยังไงกัน...
...หยกทำงานที่หยกรักไปจนกว่าหยกจะเบื่อดีไม๊ ส่วนเรื่องจะมาทำที่ร้านกับเจเมื่อไหร่...ค่อยเอาไว้คิดกันวันหลัง”

“อืม...เอาอย่างนั้นก็ได้”
.
.
.
.
.
“...คุณ...”

“หืม?”

“เหตุการณ์ที่ทำให้ผมต้องเข้าโรงพยาบาลคืนนั้น...มันคืออะไรเหรอ?”

“หยกอยากรู้ไปทำไมครับ?”

“บอกผมเถอะ ผมอยากรู้ว่าเพราะอะไร ผมถึงกลายมาเป็นแบบนี้...
.
...หมอบอกว่า ผมได้รับการกระทบกระเทือนทางใจอย่างหนัก ร่างกายจึงตอบสนองด้วยการสั่งให้ตัวเองลืมเรื่องที่ผมไม่อยากจำไปให้หมด ถ้าผมรู้ว่าเรื่องที่ทำให้ผมเสียใจคืออะไร...ผมจะได้เข้าใจว่าผมควรทำอย่างไรต่อไปกับตัวเองดีน่ะ”

“คืนนั้นเป็นคืนครบรอบที่เราคบกันเจ็ดปี หยกขอให้เจรีบกลับบ้านมาฉลองกัน...
...แต่มันดันเกิดเรื่องขึ้นที่ร้าน เจเลยกลับมาบ้านช้ากว่าที่หยกขอเอาไว้... เราเลยมีปากเสียงกันนิดหน่อย...
.
...ก่อนที่เราจะยื้อกันจนหยกตกบันไดลงมา เราเถียงกันด้วยเรื่องอาถรรพ์เจ็ดปีของชีวิตคู่น่ะ”

“เดาว่า ผมคงจะเชื่อเรื่องนี้จนโงหัวไม่ขึ้น ในขณะที่คุณไม่...ข้อสันนิษฐานของผมถูกต้องไม๊?”

“ครับ”

“คุณไม่เคยกังวลเลยเหรอว่า มันอาจจะเกิดขึ้นจริงๆ?”

“ไม่หรอก เพราะไม่ว่ายังไงเจก็ไม่มีทางเลิกกับหยกแน่ๆ”

“แล้วเพราะอะไร ทำไมผมคนก่อนถึงได้เชื่อเรื่องนี้มากจนทำให้เราสองคนต้องทะเลาะกันใหญ่โตด้วยล่ะ?...
.
...อยู่ๆคนเราจะกังวลเรื่องไม่เป็นเรื่องโดยไม่มีมูลได้...มันจะไม่แปลกไปหน่อยเหรอคุณ?”

“อืม ก็คงจะอย่างนั้นล่ะมั้งหยก”
.
.
.
.
.
.
“...คุณ.....”

“ว่ายังไง?”

“ถ้าผมไม่หายล่ะ? ถ้าความจำของผมไม่กลับมาอีกแล้วล่ะ...คุณจะทำยังไง?”

“แล้วหยกจะทำยังไง ถ้าคนที่สูญเสียความจำเป็นเจ?”

“ก็ถ้าคุณคือคนที่ผมรัก ไม่ว่าคุณจะเป็นยังไง... ผมก็ยังจะดูแลคุณไปเรื่อยๆจนกว่าจะตายกันไปข้างน่ะสิ”

“นั่นแหละคือสิ่งที่เจจะทำ”

“ขอบคุณนะ”

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก... มันคือสิ่งที่เจยินดีทำเพื่อคนที่เจรักอย่างหยกยังไงล่ะ”
.
.
.
.
“...คุณ...”

“ครับ?”

“อดทนกับผมหน่อยนะ...ขอเวลาผมหน่อย”

“ไม่ต้องห่วงหรอกหยก เจจะอยู่ตรงนี้...เจจะไม่ไปไหน”


เสียงลมหายใจสม่ำเสมอ กับความอบอุ่นที่แผ่ออกจากร่างในอ้อมแขน  กลับไม่ได้ช่วยให้ผมหลับตาลงได้อย่างทุกที
ผมกำลังคิดทบทวนถึงข้อสังเกตของหยก...
.
.
ใช่ผมหรือเปล่า ที่เป็นสาเหตุทำให้หยกฝังใจกับอาถรรพ์ปีที่เจ็ดได้มากขนาดนี้?
ตลอดมา ผมมองข้ามความรู้สึกของหยกไปมากมายแค่ไหนกัน?
สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในตอนนี้  แท้ที่จริงแล้ว...มันคือผลพวงจากการกระทำของผมแต่เพียงผู้เดียวใช่หรือไม่?

แล้วถ้าหยกคนเดิมไม่อาจหวนคืนกลับมาได้อย่างที่เจ้าตัวหวาดหวั่น... ผมล่ะ ผมจะรู้สึกอย่างไร?
สุดท้ายแล้ว...หยกคนใหม่ จะยินยอมมอบใจให้ผมคนนี้เหมือนหยกคนก่อนหรือไม่?
ผมจะทนอยู่ได้อย่างไร หากไม่มีหยกอยู่ในอ้อมกอดของผมดังเช่นในยามนี้?


๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑



เจ็ดปี ยี่สิบสองวัน


“คุณ!!!” หยกหน้าตาตื่นวิ่งเข้ามาหาผมที่โต๊ะทำกินข้าวระหว่างตรวจไฟล์บัญชีของร้าน

“หยกเป็นอะไร? ทำไมทำหน้าตาแบบนี้? ปวดหัว หรือไม่สบายอะไรรึเปล่า?” ผมเอื้อมหลังมือไปแตะลงเบาๆตรงหน้าผากของหยก อีกคนกลับส่ายหัวหลบก่อนยิงคำถามอย่างเร่งร้อน

“ทำไมคุณไม่ยอมบอกเรื่องที่ผมเคยนอกใจคุณ?” สีหน้าหยกดูไม่สบายใจนักระหว่างรอฟังคำตอบจากปากผม ผมเองก็คงจะทำหน้าไม่ถูกเหมือนกัน เพราะเมื่อหยกจ้องผมเพียงไม่นาน เขาก็หลุบสายตาเสมองพื้นเสียอย่างนั้น
.
.
.
ผมสูดลมหายใจหนักๆเข้าปอด ก่อนจะกัดฟันตอบ “ก็เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว จะให้เจฟื้นฝอยให้ได้อะไรขึ้นมาอีกล่ะ?” ...ทุกๆครั้งที่ผมหวนนึกถึงเรื่องราวครั้งนั้นขึ้นเมื่อใด หัวใจผมก็เจ็บปวดเหมือนกำลังโดนมีดปลายแหลมทิ่มแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วไหนจะเรื่องเมื่อคืนที่ยังไม่ได้ข้อสรุปนั่นอีกเล่า

“ผมนี่มันแย่จริงๆ!! สีหน้าชิงชังของหยกขณะที่พูดต่อว่าตัวเองดูแย่จนผมต้องปราม

“หยก อย่าว่าตัวเองแบบนั้นสิ!...  
.
.
...ถ้าจะโทษ มันก็ต้องโทษกันทั้งสองฝ่าย... ทั้งเจ ทั้งหยกนั่นแหละ” ผมพยายามฝืนความเจ็บปวดร้อนรุ่มในอก และผ่อนอารมณ์คุกรุ่นในใจระหว่างอธิบายให้คนฟังเข้าใจ... แต่ผมรู้ดี ว่าผมคงทนได้อีกไม่นาน และผมหวังว่า หยกจะยอมให้ความร่วมมือในการเปลี่ยนบทสนทนาเสียตั้งแต่ตอนนี้

“จะบ้าเหรอคุณ!?  ก็เห็นๆกันอยู่ว่า คนที่ผิดน่ะ...คือคนที่คิด และลงมือทำ ซึ่งก็คือตัวผมเองนี่แหละ คุณจะมาผิดอะไร ตรงไหนกันล่ะ?” การตอกย้ำด้วยเหตุผลของหยก คือ ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ความยับยั้งชั่งใจของผมขาดสะบั้น ผมเผลอตวาดเต็มเสียงใส่อีกฝ่ายอย่างลืมตัว

“ก็ถ้าไม่ใช่เพราะเจบกพร่องในหน้าที่แฟน หยกจะแอบไปมีคนอื่นได้ยังไงล่ะ!! โธ่เว้ย!!!!” เพราะไม่อาจทนเห็นสีหน้าผิดหวังของคนฟังได้ ผมเลยผุดลุกขึ้น แล้วจึงก้าวยาวๆเดินไปหามุมเงียบๆเพื่อสงบสติอารมณ์

ระหว่างที่เดินดุ่มๆไปทางหลังบ้าน เสียงเล็กๆของหยกก็ตะโกนไล่ตามหลังมาอย่างไม่ยอมลดละ “คุณ! คุณ!! เดี๋ยวคุณ!! ใจเย็นๆซิคุณ” ผมจำต้องหยุดเมื่อข้อมือของผมถูกฝ่ามือนุ่มของหยกรั้งเอาไว้

“เจ!! หยกขอโทษ” ประโยคเมื่อครู่ ทำให้ผมลืมความฉุนเฉียวที่มีไปอย่างกะทันหัน ผมหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับหยกแบบที่ไม่ต้องเสียเวลาคิด

“เมื่อกี๊หยกว่าไงนะ?”

“ผมบอกว่าผมขอโทษ”

“ไม่...เมื่อกี๊คุณเรียกผม กับเรียกแทนตัวเองว่ายังไง?”

“เจ กับ หยก... เหมือนที่คุณเรียกไง ทำไมเหรอ? คุณไม่ชอบเหรอ?”
.
.
“เปล่า...เจนึกว่าหยกจำทุกอย่างได้แล้วซะอีก”

“ยังหรอก  ผมแค่คิดว่า ถ้าผมเรียกคุณแบบนั้น คุณจะยอมรับฟังคำขอโทษจากผมน่ะ”
.
.
.
.
“ก็จริงของคุณ”

“ผมขอโทษกับเรื่องร้ายกาจที่ผมเคยทำกับคุณด้วยนะ ถ้าผมเป็นผมตอนนี้ ผมจะไม่มีวันทำแบบนั้นกับคุณเด็ดขาด”

“ช่างเถอะ เรื่องมันผ่านมานานแล้ว อย่าไปรื้อฟื้นมันให้ต้องเจ็บอีกเลยนะ”

“คุณ...ขอผมถามอะไรคุณเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกซักข้อสองข้อได้ไม๊? รับรองเลยว่า หลังจากนี้ ผมจะไม่เซ้าซี้กวนใจคุณด้วยเรื่องนี้อีกเลย”

“อืม หยกอยากรู้อะไรละ?”

“ทำไมคุณถึงยอมยกโทษให้ผมคนนั้น ทั้งๆที่เรื่องนี้มันยากเกินทำใจยอมรับได้?”

“หึ!... คงไม่ต้องบอกหรอกมั้งว่าเพราะอะไร”


ในเมื่อผมรู้ว่าคนตรงหน้ายอมรับฟังทุกๆอย่างที่อยู่ในใจผมโดยไร้อคติ
ผมก็ไม่อาจเก็บซ่อนสายตาเจ็บปวดเอาไว้ได้อีกต่อไป...
ใช่ ความรักของผมที่มีต่อหยก คือ คำตอบของทุกๆคำถามที่เขามี

ผมรักเขามาก...
รักจนผมยอมทำได้ทุกอย่าง กระทั่งให้อภัย และให้โอกาสเขา ให้โอกาสตัวเองที่จะได้แก้ตัวในความสัมพันธ์ของเรา


 “จริงๆเหรอคุณ?”
.
.
.
 “ครับ” เพียงอีกฝ่ายได้ยินคำยืนยันสั้นๆนี้ เขาก็เดินเข้ามาสวมกอดผมเอาไว้ แล้วบอกผมด้วยเสียงกระท่อนกระแท่น

“ขอบคุณนะ ที่รักผมมากขนาดยอมให้อภัย และให้โอกาสคนนิสัยไม่ดีอย่างผมอีกครั้งน่ะ...ฮึก” ทั้งเสียงสะอื้น ทั้งความอุ่นชื้นตรงหน้าอก กระตุ้นให้ผมต้องเอ่ยปากปลอบใจคนตัวเล็กกว่าเป็นการใหญ่

“ไม่เอาน่า อย่าร้องไห้สิหยก... เดี๋ยวหน้าเหี่ยวเร็วนะรู้ไม๊?”

“ฮึก! คุณมันบ้า!” กำปั้นเล็กๆทุบลงมาเบาๆ จนผมต้องฉวยข้อมือทั้งสองของเขาเอาไว้

“ครับ ครับ...เจมันบ้า แต่ถึงจะบ้า...ก็บ้ารักนะครับ”

“ฮืออออ”

“โอ๋ๆ อย่าร้องนะครับคนดีของเจ” ผมกอดร่างเล็กของคนรักเอาไว้แน่น แล้วโยกตัวไปทางซ้ายที ขวาที เพื่อปลอบโยน...เมื่อก่อน ผมชอบทำเวลาเพื่อเอาใจหยกตอนเสียน้ำตา เขาเคยบอกว่า มันทำให้เขารู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กๆอีกครั้ง

“ฮื่ออออ ก็อย่าปลอบซี่ จะได้หยุดร้องง้ะ!!” เสียงอู้อี้ กึ่งสะอื้น กึ่งหัวเราะร้องอุธรณ์...ซึ่งมันน่ารักมาก

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า...รักกันนะ รักกัน! พอเห็นหน้าเปื้อนน้ำตาและรอยยิ้มของคนในอ้อมแขน ผมก็ไม่อาจหยุดเสียงหัวเราะของตัวเองเอาไว้ได้อีกต่อไป.....  ไม่ว่าเมื่อไร หยกก็จะเป็นคนเพียงเดียวที่สามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของผมได้แบบฉับพลันทันตาจริงๆ







หลังจากร่างเล็กกว่าในวงแขนขยับพลิกตัวกระดุกกระดิกอยู่ครู่ใหญ่
เสียงเรียกของเขาก็เปล่งออกจากริมฝีปากบางๆคู่นั้นในที่สุด

 “...คุณ...”

“ว่ายังไงครับ? ก่อนนอนคืนนี้อยากรู้เรื่องอะไร?” เสียงหยกฟังดูกระมิดกระเมี้ยนกว่าทุกที...ชักอยากรู้เสียแล้วสิว่า หัวข้อสนทนาก่อนนอนคืนนี้จะเกี่ยวกับอะไร
.
.
.
.
.
“คุณกับผมมีเซ็กส์กันบ่อยไม๊?” ...โอ๊ะ โอ...ไปไงมาไงถึงได้วกมาถามเรื่องนี้ได้ล่ะ?

“หืมมมม...ที่ถามนี่ อยากรู้จริงๆเหรอ?”

“ฮื่อ...ก็อยากรู้น่ะสิ  เพราะเนื้อหาในไดอารี่เล่มหลังๆ...
...ผมชอบบ่นกระปอดกระแปดว่าเราไม่ค่อยมีอะไรกัน...
.
.
...เห็นเขียนย้ำว่า อิจฉาเพื่อนๆคนที่เป็นโสด อยากจะทำอะไรก็ได้ทำ อยากจะไปเริงร่ากับใครหน้าไหนก็ได้...
...ผมเลยอยากรู้ว่า สิ่งที่ผมคนก่อนเขียน มีมูลความจริงมากน้อยแค่ไหน”
.
.
.
.
เมื่อนึกย้อนดู ผมจำต้องยอมรับออกมาอย่างเสียไม่ได้ “อืม...แรกๆมันก็ถี่หน่อยตามประสาข้าวใหม่ปลามัน”

“แสดงว่า ปริมาณของเซ็กส์สวนทางกับความยาวนานของความสัมพันธ์อย่างนั้นใช่ไหม?”

“จะสรุปอย่างนั้นก็ได้”

“ทำไมเป็นอย่างงั้นได้ล่ะคุณ?...
.
...ผมนึกว่า...ยิ่งเราอยู่ด้วยกันนานเท่าไร เราจะยิ่งเข้าใจ ยิ่งรู้จักร่างกายของอีกฝ่ายมากขึ้น จนเราสามารถปรนเปรอความสุขทางเพศให้กับคู่ของเราได้ดียิ่งๆขึ้นไปซะอีก”

“........” ผมนี่ถึงกับจนคำพูด

“คุณเบื่อการมีเซ็กส์กับผมเหรอ?”

“เปล่า!! เจไม่เคยเบื่อหยกเลยนะ”

“อ้าว!! แล้วทำไมเราไม่ค่อยมีอะไรกันเลยล่ะ?”

“ไหน? ไอ้ที่หยกเขียนว่าเราไม่ค่อยมีอะไรกันน่ะมันอยู่ตรงไหน ขอเจอ่านหน่อยได้ไม๊?”

“เอาไว้พรุ่งนี้ผมจะเอาให้คุณอ่าน...
...หรือจะให้ผมแปะโพสอิทคั่นหน้าให้เลยก็ได้นะ...รับรอง คุณได้อ่านจนตาลายแน่ๆ...
.
.
...แต่อย่ามาเปลี่ยนเรื่องซะให้ยาก บอกมาซะดีๆ ทำไมเราถึงไม่ค่อยมีเซ็กส์กัน?”

“ก็เจเหนื่อย...ยิ่งหลังๆงานที่ร้านยุ่งมาก กว่าจะหอบสังขารกลับถึงบ้าน ก็จวนเวลาที่หยกต้องตื่นไปทำงานแล้ว...
.
...ส่วนเรื่องที่คิดว่าจะรอให้หยกกลับมาบ้านก่อน แล้วค่อยมีอะไรกัน นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้...
...เพราะกว่าที่หยกจะฝ่ารถติดกลับมาถึงบ้าน เจก็ต้องรีบซิ่งออกไปทำงานแล้ว...
...วันเสาร์อาทิตย์ที่หยกหยุดยิ่งลำบากไปกันใหญ่ เพราะแขกที่ร้านจะเยอะเป็นพิเศษ แค่นี้เจก็ไม่รู้จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาชักธงรบใส่หยกอีกแล้วล่ะ”

“อย่างนี้เองหรอกเหรอ... เป็นอันว่า ผมเข้าใจแล้วล่ะ”

“หยกเข้าใจก็ดีแล้วล่ะ นอนกันเถอะ”

“อืม”
.
.
.
.
.
.
.
“.....คุณ.....”

“อะไรเหรอหยก?”

“ตอนที่เรามีอะไรกันน่ะ... ใครเป็นฝ่ายกอดเหรอ?”

“แล้วตอนนี้ใครกอดใครอยู่ล่ะหยก?”

“คุณ....กอด ผม อยู่...
.
.
...คุณกอดผมอย่างนั้นเหรอ????!!

“ครับ หยกถูกเจกอดมาตลอดเลยครับ”

“หวาาาาาาา... ไม่เอา ไม่ถามแล้ว นอนกันเถอะคุณ!!

“หึ หึ หึ ไม่สงสัยอีกหน่อยเหรอ...นี่เจรอให้ถามเรื่องภาคปฏิบัติอยู่เลยนะ กะว่าจะสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างซะหน่อย”

“บ้า!!! ไม่เอาหรอก เดี๋ยวผมหัวใจวายกันพอดี...
.
.
...นอนเลย นอนเดี๋ยวนี้เลย!!

“ครับๆ...ได้ครับที่รัก”  ผมพูดจบก็แอบเป่าลมเข้าหูของหยกเบาๆ จนคนตัวเล็กดีดดิ้น

“เจ!! หยกบอกให้นอนยังไงล่ะ!!

“หึ หึ หึ...แฟนใครน้า ทำไมน่ารักอย่างนี้”

“นอน!

“คร๊าบบบบ นอนแล้ว...ฝันดีนะครับที่รักของเจ (ฟอดดดด)”

“เจ!!!!!

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”


ก่อนหลับตานอน ผมตั้งปณิธานกับตัวเองเอาไว้ว่า ผมจะจดจำทุกๆอย่างในเวลานี้เอาไว้ เพื่อเตือนให้ตัวเองเห็นค่าของทุกๆช่วงเวลาที่เราสองคนได้อยู่ด้วยกัน  และจะทำทุกอย่างเพื่อความสุขทุกประการที่หยกปรารถนา


๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑



เจ็ดปี ยี่สิบหกวัน


“คุณ... วันนี้เราไปที่ร้านกันเถอะ” หยกชวนทันทีที่เราสองคนช่วยกันพับผ้าเสร็จ ตอนนี้...งานบ้านกลายเป็นเรื่องเหน็ดเหนื่อยที่น่าสนุกสำหรับเราทั้งสองคนไปแล้ว

“ทำไมล่ะ?”

“ผมอยากเข้าไปที่ร้านน่ะ อยากทำความคุ้นเคยเอาไว้”

“ทำความคุ้นเคย? หยกจะทำความคุ้นเคยกับร้านเหล้าของเจไปทำไม?”

“ผมว่าผมจะลาออกจากงาน แล้วก็ไปช่วยคุณทำร้านนับตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป”

“ห๊ะ! ไม่ได้นะหยก หยกจะลาออกไม่ได้!!

“เจ...ผมคิดมาดีแล้วนะ...
.
.
...อีกอย่าง...จนป่านนี้ ผมก็เริ่มจะปลงแล้วล่ะว่า ผมคงไม่อาจจำอะไรที่เกิดก่อนหน้านี้ได้แน่ๆ...
...ลองคิดดูซิ  ถ้าถึงคราวจำเป็นที่ผมต้องทำงานโดยอ้างอิงประวัติ หรือขั้นตอนการทำงานในอดีต ผมจะไม่กลายเป็นตัวถ่วงของบริษัทไปหรอกเหรอ”

“หยก...ไม่ลองคิดดูอีกทีเหรอ?”

“ไม่ล่ะ ผมว่า...ตอนนี้ ผมเลือกประคับประคองความรักของผม ดีกว่าจะวิ่งไล่ตามไขว่คว้าความสำเร็จด้านหน้าที่การงาน เพราะถ้าผมต้องเสียคุณไปจริงๆ ผมคงต้องเสียใจจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแน่ๆ”

“หยก...หยกรู้ตัวไม๊ว่าหยกพูดอะไรออกมา”

“ฮื่อ  รู้ซิ...ก็เพราะว่าผมเห็นความสำคัญของคุณ และเห็นค่าความรักของคุณยังไงล่ะ...
.
...ผมว่า มันสมควรแก่เวลาแล้วล่ะที่ผมควรลงมือทำอะไรสักอย่าง เพื่อรักษาความรักครั้งนี้เอาไว้ให้ได้ตลอดรอดฝั่ง...
...เราสองคนจะได้ไม่ต้องมาคอยกังวลกับปี่ที่เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ของความสัมพันธ์อีก...คุณว่าดีไม๊ล่ะ?”

“นี่มันเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเลยล่ะหยก”

“อ้อ! แล้วก็ไม่ต้องห่วงไปหรอกนะ...
.
...ผมว่า ถ้าคุณดีกับผมอย่างสม่ำเสมอแบบนี้ ผมคงจะตกหลุมรักคุณอีกครั้งได้ไม่ยากแน่ๆ”

“รับรองเลยว่าไม่เกินเดือนหน้า หยกต้องรักเจหมดหัวใจแน่ๆ”

“โห...อะไรจะมั่นใจปานนั้น” หยกเบ้หน้าเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง นั่นทำให้ผมทั้งขำ ทั้งขัดใจไปพร้อมๆกัน...ก็นะ คงไม่มีใครอยากให้คนรักปรามาสตัวเองเท่าไรหรอก

“ก็เจรักหยกจริงๆหนิ และเจก็เชื่อว่า คราวนี้...เจจะทำให้ความรักของเจ ส่งไปให้ถึงใจหยกได้แน่ๆ”

“ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดู...ขอแค่อย่าดีแตกไปก่อนก็แล้วกัน”

“สัญญาครับ!

“ห้ามผิดสัญญาเด็ดขาดเลยนะ!

“ไม่มีวัน!!

“ดีมาก...
..ถ้างั้นก็เอียงหูมา เดี๋ยวผมจะบอกความลับอะไรให้...
.
.
.
...หยกชอบเจนะ...”  ถ้อยคำหวานหูถูกกระซิบแผ่วออกจากเรียวปากบางตรงเข้าสู่กลางใจ


ผมบีบฝ่ามือที่กุมเอาไว้เบาๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้หยก แทนการตอบรับข้อความที่เพิ่งได้ยิน
ต่อให้วันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรที่ไม่คาดฝันขึ้นอีก... ผมก็มั่นใจว่า ผมจะไม่มีวันปล่อยมือหยกไปเป็นอันขาด
กลับกัน... หยกเอง ก็ทำให้ผมรับรู้ได้ว่า แม้ความเปลี่ยนแปลงจะอยู่คู่โลก แต่เขาพร้อมจะอยู่เคียงข้างผมเสมอ



๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑



ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายของซีรี่ย์นี้แล้วนะคะ
เรื่องราวของตอนนี้จะยาวหน่อยนะคะ (ขอโทษจริงๆค่ะ แหะๆ)

ความตั้งใจแรก คือต้องการกระตุ้นให้ได้ฉุกคิด
และมองเห็นความสำคัญของการรักษาความรักที่เรามีเอาไว้ให้ดีที่สุด
จริงอยู่ที่ความรักในช่วงแรกทำความรู้จัก มักจะหวานหอม และสดใหม่ชวนให้ชุ่มชื่นหัวใจเสมอ
แต่พอรู้จักกันนานๆไป ความเคยชิน มักจะทำให้เราชินชากับการดูแลหัวใจของใครอีกคนไปโดยไม่รู้ตัว
อย่าเผลอไปทำความรักดีๆหล่นหายไปก่อนที่จะรู้ตัวนะคะ
เพราะจะมีสักกี่คน ที่ได้รับโอกาสครั้งที่สองเพื่อครอบครองรักนั้นอีกหน?

รักคนอ่านทุกคนเลยค่ะ จ๊วบๆ
เจอกันในนิยายเรื่องใหม่ (คาดว่าน่าจะเอาตอนแรกมาลงภายในอาทิตย์แรกของต้นเดือนหน้า ^^)
ขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน และทิ้งความเห็นเอาไว้ให้รื่นเริงบันเทิงหัวใจอยู่เสมอค่ะ
ฝากติดตามผลงานเรื่องต่อไปด้วยนะค้า!!


๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑


No comments:

Post a Comment