หอม
คุณว่า...
คนโสดที่วาดภาพงานแต่งของตัวเองได้อย่างชัดเจน
รู้กระทั่งว่า
จัดงานด้วยรูปแบบไหน ธีมอะไร...
การตกแต่งและบรรยากาศเป็นอย่างไร
มีปริมาณแขกเหรื่อกี่มากน้อย...
คิดภาพได้เป็นฉากๆแบบรู้แจ้งเห็นจริงขนาดนี้ นับว่าเป็นคนเพ้อเจ้อไหมครับ?
ถ้าใช่...
แล้วคนที่เห็นตัวเองกับคนแปลกหน้า
ยืนเคียงข้างกันในฐานะบ่าวสาว...
แต่ที่หนักยิ่งไปกว่านั้น คือ...เจ้าบ่าวและเจ้าสาวของงาน ต่างเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่
อาการแบบนี้
ยังพอเรียกได้ว่าเพ้อเจ้อ แต่ไม่ถึงกับบ้าใช่ไหมครับ?
สาเหตุที่ต้องถามความเห็นพวกคุณๆเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง
เพราะนั่นคือสิ่งที่ผมเผลอทำเป็นประจำโดยไม่รู้ตัว
ทุกเมื่อที่ได้ยืนใกล้ๆ...ได้สูดดมกลิ่นกายหอมหวานของผู้ชายคนหนึ่ง
หวังว่ากลิ่นหอมรัญจวนใจจากตัวเขา...
จะไม่ร้ายกาจขนาดทำให้ผมหลงละเมอเพ้อพก
จนเข้าข่ายชายบ้าบอไร้สติไปเสียก่อน
ก็ผมน่ะ...ยังไม่อยากเป็นบ้า
ถ้ายังไม่ได้แต่งงานกับคนตัวหอมคนนั้นจริงๆน่ะสิ
๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑
(ขณะนี้ระบบการเดินรถไฟฟ้าบีทีเอสขัดข้อง
จะใช้เวลาในการแก้ไขประมาณ 10
นาที)
หลังเสียงประกาศปัญหาภายในขบวนรถที่ผมโดยสารอยู่สิ้นสุด
ภาพฝันที่มีผมและคนข้างๆตัว
ยืนอิงแอบแนบชิดกันขณะต้อนรับแขกเหรื่อในงานแต่งที่กำลังโลดแล่นอยู่ในหัวก็พลันชะงัก
ไม่บ่อยนัก ที่เสียงประกาศด้วยเนื้อหาทำนองนี้
จะทำให้ผมสุขจนเผลอลอบยิ้ม...
สุขจนยินดีก้าวออกจากโลกแห่งจินตนาการอันน่ารื่นรมย์โดยไม่นึกเสียดายแม้แต่น้อย
เพราะนั่นหมายความว่า...
เย็นนี้...ผมจะได้ดอมดมกลิ่นกายหอมหวานอันมีต้นกำเนิดมาจากคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าได้นานขึ้นอีกนิด
เพิ่งจะรู้วันนี้เองว่า
การติดแหง็กอยู่ในขบวนรถไฟฟ้าที่แน่นขนัดน้องๆปลากระป๋องช่วงหลังเลิกงานมันดีอย่างไร
ถ้าไม่ลำบากจนเกินไป...
ได้โปรดช่วยทำให้ระบบที่ว่า
ขัดข้องต่อเนื่องนานสักสี่ห้าชั่วโมงได้ไหมครับ?
ผมจะได้ใช้เวลาอยู่ตรงนี้นานๆ
สมกับที่ตั้งตารอคอยมาทั้งวัน
...คนอะไร หอมจริงหอมจัง...
กลิ่นที่ผมกำลังสูดดมอย่างโหยหาไม่ใช่กลิ่นแปลกใหม่
ถ้าจะพูดให้ถูก
ควรต้องอธิบายว่า...
ความหอมที่ระเหยจากร่างบอบบางซึ่งลอยมากระทบนาสิกยามนี้
เป็นกลิ่นที่จิตใต้สำนึกผมสั่งให้จดจำจนขึ้นใจ
นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเดินเฉียดผมออกจากรถไฟฟ้าเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน
เกิดมาเพิ่งเคยเจอ
ความหอมซึ่งถูกอกถูกใจผมอย่างที่สุด
หอมยิ่งกว่าหัวน้ำหอมชั้นยอดใดๆ
หอมทน
แถมตราตรึงใจ...ขนาดเย็นป่านนี้ กลิ่นหอมอ่อนๆยังกรุ่นไม่หาย
ยิ่งวันและคืนผันผ่าน...อาการยิ่งหนักหนาสาหัส
กลิ่นหอมละมุนจากกายเขา...ทำเอาผมลืมไปเลยว่า
เจ้าของกลิ่นหอมจรุงคนนั้น
เป็นผู้ชายเช่นเดียวกับผมนี่แหละ
นอกจากจะไม่รังเกียจนคิดตีตัวออกห่างแล้ว...
ผมกลับอยากอยู่ใกล้ๆ
อยากใช้เวลาร่วมกับเขา
อยากให้เรารู้จักกันมากกว่านี้...
และเหนืออื่นใด...ผมอยากเป็นเพียงผู้เดียวที่ล่วงรู้ว่า
เรือนร่างสะโอดสะองนั้น...หอมถ้วนทั่วหมดทั้งเนื้อทั้งตัวจริงหรือไม่?
เพราะฉะนั้น ...
ใครก็ได้...
ช่วยยืนกินที่
ช่วยขยับเบียดเข้ามาใกล้ๆ...
เพื่อที่ผมกับเขา
จะได้ยืนประกบกันสนิทแนบแน่นยิ่งกว่านี้จะได้ไหมครับ
ถึงการเจอกันรอบนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเจอเขา...
หากมันคือครั้งแรกที่มีโอกาสได้ยืนใกล้ๆ
จนสามารถสังเกตรูปพรรณสันฐานด้านหลังของเขาได้อย่างละเอียด
ผิวขาวสว่าง
ไร้ด่างดวง... เดาว่าคงได้มาเพราะมีเชื้อสายจีน
ผมสีอ่อนเส้นเล็กทรงรากไทรยาวสลวยระต้นคอ
ตัวไม่สูงไม่เตี้ย
ราวๆหัวไหล่ผมได้
เมื่อมองดีๆ...จะเห็นได้ว่า
ภายใต้เครื่งแบบนักศึกษาโคร่งๆ คือ หุ่นกำลังพกพา...ชวนให้คว้ามากอด
ส่วนรูปลักษณ์ด้านหน้า...
หากใช้มาตรฐานของคนส่วนใหญ่ตีค่ารูปกายภายนอกของเขา...
ร่างบางคงถูกจัดอยู่ในจำพวกไร้ความโดดเด่น
ไม่ตกเป็นเป้าความสนใจ...
ท่ามกลางฝูงชนมากมาย...ผมว่า
ตัวเขาค่อนข้างกลมกลืนไปกับพื้นหลังเสียด้วยซ้ำ
ทว่า...ทันทีที่เปิดรับกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์จากเรือนกายเขา
เข้าสู่เรือนใจของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย...
ความหอมตราตรึงนั้นก็เล่นตลกกับสายตาผม
ทำให้ไม่ว่าเมื่อไรที่มองเขา...ตี๋น้อยตากลมใสคนนี้
กลับยิ่งดูน่ารักขึ้นเรื่อยๆ
เขากำลังก้มหน้าก้มตาฟังเพลงผ่านหูฟังแล้วโยกหัวน้อยๆตามจังหวะ
โดยไม่มีทีท่าสนใจว่าใครกำลังทำสิ่งใด...หรือเกิดอะไรขึ้นบ้าง
แน่ล่ะ...เขาจะไปรู้ได้อย่างไรกันว่า
โลกภายนอกกำลังวุ่นวาย และจอแจแออัดมากขนาดไหน
ก็เจ้าตัวเล่นเปิดเพลงดังกลบเสียงรายรอบขนาดคนยืนข้างหลังอย่างผมยังได้ยิน
คงจะชอบฟังเพลงมาก...
มิน่า
เจอกันทีไร เป็นต้องเสียบหูฟังแล้วโยกตัว ไม่ก็ร้องตามเบาๆอยู่ตลอด
ดีเหมือนกัน...
ช่วยตั้งใจฟังเพลงแบบนี้ไปเรื่อยๆนะครับ
ผมจะได้แอบกระชับพื้นที่เข้าหาคุณ
เอาให้ใกล้จนเรียกได้ว่า...ตั้งใจสิงร่างกันไปเลยดีไหม หึ หึ หึ
อาห์...ยิ่งใกล้
ก็ยิ่งหอม
หอมจนอยากจ่อจมูกสูดดมตรงๆจากผิวกาย...
อยากกอดเรือนร่างนี้แล้วฝังเอาไว้ตรงกลางใจ..
อยากจับเจ้าของกลิ่นใส่กระเป๋าติดมือกลับบ้านไปด้วย...จะได้ดอมดมให้ชื่นใจได้ทุกเวลา
ทำไปทำมา ผมชักเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่า...การรุกคืบเข้าหาเขาแบบเนียนๆ
ตามสภาพการณ์ที่เอื้ออำนวยนั้น
ดีต่อตัวผม
หรือ มันบั่นทอนความอดทนอดกลั้นให้ย่อยยับราบคาบกันแน่
กลิ่นหวานหอมกับความตื่นเต้นยามชิดใกล้
ทำให้ผมเกือบเผลอตัวหลุดเข้าไปในโลกแห่งความคิดอีกจนได้...
ถ้าได้ฝังจมูกลงซอนไซ้ต้นคอขาวเนียนยวนตา...จะหอมแค่ไหนกันนะ?...
.
แล้วแก้มแต้มเหงื่อพรายล่ะ?
เม็ดเหงื่อที่ผุดออกมานั่น...จะหอมเหมือนกันกับผิวเนื้ออ่อนๆตรงพวงแก้มสุกปลั่งบ้างไหม?
ยังดี...ก่อนปลายจมูกจะแตะลงตรงซอกคอขาวชวนดมอย่างที่หมายมั่นในใจ
ผมสามารถรั้งสติของตัวเองเอาไว้ได้ทัน ...
ไม่อย่างนั้น
ภาพอนาจารในหัวตอนกำลังหน้ามืดตามัวทำมิดีมิร้ายคนตรงหน้าจนสาแก่ใจ
คงได้เกิดขึ้นจริงๆ
ระหว่างที่ผมพยายามเรียกสติ
พลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเลื่อนสายตาเลี่ยงไปมองทางอื่นเพื่อเบนจุดสนใจ
พนักงานควบคุมขบวนรถไฟฟ้ากลับมอบช่วงเวลาที่แจ่มแจ๋วยิ่งไปกว่าการฉวยโอกาสเล็กๆน้อยๆของผมมาให้ราวกับรู้ใจ
เพราะอยู่ดีๆ
ขบวนรถของเราที่หยุดนิ่งไปนานหลายนาที ก็เกิดจะเขยื้อนออกตัวขึ้นมาเสียเฉยๆ
เปิดช่องให้ตัวเอกทั้งสองของเรื่องได้ทดลองช่วงเวลาถึงเนื้อถึงตัวกันอย่างเปิดเผย
ความฟินสุดยอดอยู่ตรงที่
ท่านพี่คนขับแกออกรถแถมกระชากโครมเข้าให้
ผลที่ได้ คือ เหล่าปลากระป๋องที่ยืนเบียดเสียดไร้หลักยึดทั้งหลายต่างเซแถดๆไม่เป็นท่า
รายที่หนักหน่อย...ถึงกับเอนกระแทกเข้ากับคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
หรือล้มไปบ้างก็มี...
รวมถึงร่างบอบบางที่วิญญาณหลุดเข้าไปในโลกแห่งเสียงเพลงด้วยเช่นกัน
ก่อนคนตัวเล็กจะล้มหน้าคะมำไปคว่ำทับคนอื่น
ผมก็อาศัยเหตุผลที่ตัวเองยืนได้อย่างมั่นคงกว่า
ถือโอกาสเอื้อมแขนออกไปคว้ารวบเอวคอด
แล้วกดบั้นท้ายที่ถลาล้ำไปข้างหน้าให้แนบกลับเข้ามาหาตัวได้ทัน
แหม...อะไรจะเหมาะเจาะพอดีกับมโนภาพที่อยากให้เกิดขึ้นเหลือเกินอย่างไรก็ไม่รู้
ด้วยความเริงใจในรสสัมผัส
ควบคู่กลิ่นหอมฟุ้งตลบยามชิดใกล้ และความรู้สึกวูบวาบหลังร่างกายของเราสนิทแนบ
ผมเลยอาศัยช่วงชุลมุนยืนนิ่งๆเพื่อดื่มด่ำกับช่วงเวลานี้โดยไม่คิดกระดุกกระดิก
โดยไม่ปล่อยร่างบอบบางให้ห่างไปไหน
จนเมื่อได้ยินเสียงห้าวๆที่คนตรงหน้าเอ่ยออกมาเบาๆ
“ขอบคุณครับ”
ใบหน้าแดงก่ำเบือนกลับมามองหน้าผมคล้ายจะอ้อนวอน
แม้จะชอบใจอาการของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย
แต่เมื่อเห็นสายตา
และใบหน้าที่สื่อความขวยเขินจนไม่เป็นอันทำอะไรของเขา
ผมก็ยอมปล่อยมือที่คล้องเอวของเขาไว้
เพื่อให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ
อย่าเพิ่งคิดไปไกลเลยครับว่า...
เรื่องราวหลังจากนั้นจะดำเนินไปตามสูตรสำเร็จของละครหลังข่าว
ที่เมื่อพระเอกยื่นมือเข้าช่วยเหลือนางเอกจนผ่านพ้นวิกฤตการณ์ต่างๆไปได้แล้ว...
ทั้งสองจะสานความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวต่อทันที
เอาเข้าจริง...เมื่อคนตัวเล็กกระเถิบเว้นช่องไฟระหว่างเราให้กว้างขึ้น
บรรยากาศรอบๆตัวเราสองคนก็กลับกลายเป็นกระอักกระอ่วนชวนอึดอัดขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้...
ผม...ทำได้แค่ถอนหายใจยาวอย่างต่อเนื่อง
เพราะทั้งเสียดาย
ทั้งรู้สึกผิดที่ไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี และทั้งไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร...
ครั้นจะเอ่ยปากขอโทษ...
อีกฝ่ายอาจจะเข้าใจผิดว่า
ผมยอมรับความผิดโทษฐานล่วงเกินกลายๆ...
ใครล่ะอยากจะให้คนที่ชอบมองตัวเองไม่ดี...ถึงตอนที่ทำจะมีเจตนาส่อไปในทางจริงๆนั้นก็เถอะ
แต่จะให้หน้าด้าน
ทำมึนเปิดบทสนทนาเพื่อชวนคุย ก็เห็นจะไม่เข้าที...
อีกอย่าง ผมกลัวทำใจไม่ได้
หากอีกฝ่ายไม่ได้อยากจะสานไมตรีด้วย
(สถานีต่อไป...สนามเป้า Next station, Sanam Pao – เสียงประกาศแจ้งสถานีในขบวนรถไฟฟ้า)
เวลา วารีไม่คอยท่า
ฉันใด..
คนตัวหอมก็ไม่คอยผมแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นฉันนั้น
เขาค่อยๆเขยิบขอทางผู้โดยสารคนอื่นๆ
ก่อนก้าวพ้นออกจากประตู ณ สถานีอันเป็นจุดหมายปลายทาง
แล้วจึงออกเดินจนลับสายตาผมไป
ทำตัวรุ่มร่ามจนได้เรื่องนะไอ้คีย์!
แล้วอย่างนี้
คราวหลังจะเข้าหน้ากันติดได้ยังไง?
จริงสิ! เมื่อกี๊ผมควรขอโทษเขา
จะได้ลากเข้าเรื่องอื่นๆที่อยากถามมาตั้งนานได้ซะที
เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยหาโอกาสก็แล้วกัน...
ว่าแต่...พรุ่งนี้จะได้เจอเขาหรือเปล่าเหอะ?!
เพื่อให้เข้าใจตรงกัน ผมขอเท้าความสักนิด
ส่วนตัว...ผมเป็นพวกบ้าน้ำหอมครับ
ที่บ้านมีไม่รู้กี่สิบขวด
ใช้มาตั้งหลายปี แต่ไม่มีทีท่าว่าจะหมด
แถมยังออกลูกออกหลานมาอีกเรื่อยๆ
ไม่รู้จักจบสิ้น
พูดก็พูดเถอะ...
ไม่มีน้ำหอมใด
เทียบเทียมกลิ่นหอมรัญจวนใจจากร่างบางๆของคนๆนั้นได้แม้แต่กลิ่นเดียว
อย่างไรก็ดี การจะได้ดอมดมกลิ่นหอมตรึงใจกลิ่นนั้นบ่อยๆ
กลับไม่ง่ายเลย
เพราะผม กับ
คนตัวหอม...เราเป็นเพียงคนแปลกหน้าในสายตาของอีกฝ่าย
ช่วงเวลาที่ผมจะได้เจอกับเขาถูกจำกัดอยู่เพียง
ราวๆแปดโมงเช้า
กับช่วงเย็นหลังเลิกงาน...ตรงชานชาลารถไฟฟ้าและในขบวนรถ
(ถ้าบังเอิญวันนั้น
ใจของเราเกิดตรงกัน และตู้โดยสารไม่แน่นจนเกินไป)
ผมมันผู้โดยสารขาประจำสถานีสองอ่าง
สำหรับเดินทางจากบ้านไปออฟฟิศ.... อารีย์ – อโศกฯ
ส่วนเขาเป็นสองเสือ...
สนามเป้า – สยาม...เดาว่าคงเรียนอยู่แถวๆนั้น ซึ่งคงหนีไม่พ้นรั้วมหาวิทยาลัยที่ผมเคยเรียน
วันที่โชคไม่ดี...
โอกาสจะได้เห็นหน้ามีค่าเท่ากับศูนย์
ไม่ก็ทำได้แค่มองตามร่างเขาเดินผ่านไปขึ้นรถไฟตู้อื่น
หรือยืนนิ่งๆตรงหน้าเพราะไม่อาจเบียดพาร่างตัวเองเข้าข้างในมาได้
ส่วนเย็นไหนที่โชคดีหน่อย...
ผมจะเจอเขาเดินเข้ามาในตู้ที่ผมโดยสารอยู่
ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาพิเศษ...
เพราะแม้ไม่สามารถฉกฉวยสูดกลิ่นหอมหวานตรึงใจใกล้ๆ
แต่แค่อาศัยแอบมองหน้า...ก็พาให้ฟินได้
สำหรับเหตุการณ์เมื่อครู่
ผมขอยกให้ติดอันดับวันที่ผมโชคดีสุดๆ
เพราะนอกจากจะได้ดมความหอมจนสมใจ
ผมยังได้สัมผัสตัวเขาเป็นครั้งแรกอีกด้วย หึ หึ
อุปสรรคของผม
ไม่ได้มีเพียงสถานะคนแปลกหน้า และโชคชะตาเท่านั้น
หากแต่ความถี่ที่จะได้มีโอกาสชื่นชมกลิ่นกายของเขา
ยังไม่แน่นอนอีกต่างหาก
อาทิตย์หนึ่งๆ
ผมจะมีโอกาสได้เจอเขาไม่ถึงห้าวัน...
อย่างแรก
คงเป็นเพราะผมทำงาน และเขาเป็นนิสิต
ช่วงเวลาเดินทางด้วยรถไฟฟ้าจึงตกหนักเฉพาะวันทำงานทั้งห้า
แต่ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้น...นั่นคือ
ผมต้องเสียทุกๆเย็นวันพฤหัสไปกับการเข้าประชุมโปรเจคใหม่
ถึงผมจะแน่ใจว่าเราต่างใช้รถไฟฟ้าเหมือนๆกันทั้งห้าวัน...
แต่เพราะผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร
มีตารางชีวิตแบบไหน
จึงทำให้ผมเริ่มนิสัยยืนรอรถไฟฟ้าที่ชานชาลา
นานเกินสองชั่วโมงในช่วงหลังเลิกงาน
โดยเจาะจงยอมลงรถที่สยาม
เพื่อตั้งหน้าตั้งตารอเจอเขาคนนั้น และเราจะได้นั่งรถกลับบ้านพร้อมๆกันแม้เขาจะไม่เคยรับรู้ก็เถอะ
หนึ่ง...เพื่อจะได้ชื่นใจเพียงชั่วครู่ก่อนกลับบ้าน
และสอง...เพื่อจะได้แอบเก็บข้อมูลว่า
ช่วงเวลาใดบ้าง ที่เขาจะเดินทางมาถึงสถานีแห่งนี้ในแต่ละเย็น
เคยถามตัวเองเหมือนกันว่า...ทำไมถึงบ้าได้ขนาดนี้?
แทบทุกเย็น...ผมลงทุนยืนรอผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้อยู่ได้ตั้งหลายชั่วโมง
แถมยังต้องควักเงินจ่ายเงินค่าปรับเกือบครึ่งร้อย
เพราะออกจากสถานีช้าแทบทุกวัน
แต่ที่บ้าที่สุดเห็นจะไม่พ้น...
ทำไมผมถึงไม่กล้าทำความรู้จักกับคนตัวหอมคนนั้นให้รู้แล้วรู้รอดไป?
สาเหตุที่เรื่องระหว่างเราไม่เคยก้าวหน้าไปถึงไหนๆ...
เพราะผมรู้แก่ใจดีว่า
ทั้งผมและเขา...
เราต่างเป็นผู้ชาย...
ต่อให้ผมพยายามคิดหาเหตุผลสนับสนุนจนล้มประดาตาย
แต่สุดท้าย...มันจะไม่ดูประหลาด
และน่ากลัวสำหรับเขาเกินไปหรือ...
หากอยู่ๆ
ผมเดินเข้าไปทักทาย พร้อมกับบอกเขาว่า...
ผมชอบกลิ่นตัวคุณชะมัด...อยากขอฟัด
อยากขอดมคุณไปตลอดชีวิตเลยจะได้ไหม?
อยากรู้จัง...
เวลาเกิดถูกใจใครที่อาศัยรถไฟฟ้าขบวนเดียวกันในช่วงเวลาสั้นๆ...
เขาเหล่านั้น...เริ่มต้นทำความรู้จักอีกฝ่ายด้วยวิธีใด?
“อ้าว
คีย์...วันนี้ก็ออกไม่ได้อีกแล้วเหรอ?” เสียงใจดีดังทักผมที่กำลังเดินเข้าไปใกล้กับบูธเจ้าหน้าที่ประจำสถานีรถไฟฟ้า
ผมยกมือไหว้อีกฝ่ายแล้วยิ้มแห้งๆแทนการตอบรับล่วงหน้า
“แหะ แหะ...หวัดดีครับพี่นพ...
.
...สี่สิบใช่ไหมครับ? พี่รอเดี๋ยวนะ...ผมมีเหรียญ” ผมรีบควักเหรียญในกระเป๋ากางเกงขึ้นมานับอย่างตั้งใจ
“คีย์
พี่ถามจริงๆเถอะ...
.
...คีย์มัวแต่ไปทำอะไรในสถานีอยู่ได้ตั้งนาน...
...ทำไมไม่รีบออกมาล่ะ
จะได้ไม่ต้องเสียค่าปรับทุกวันแบบนี้?”
น้ำเสียงเป็นห่วงของพี่นพ
ทำให้ผมต้องยอมเปิดปากเล่าเรื่องของตัวเองให้แกฟัง
หลังจากบ่ายเบี่ยงเลี่ยงคำถามของแกมาได้หลายอาทิตย์...
สารภาพกันตามจริง...
จะว่าไป ผมก็อยากระบายให้ใครสักคนได้รับฟังเหมือนกันแหละครับ
“ผมรอคนน่ะพี่...
...ผมไม่รู้หรอกว่าเค้าเป็นใคร...
...อยากรู้จัก
แต่ก็ไม่กล้า เลยต้องอาศัยนั่งรอเค้าทุกเย็นไปเรื่อยๆ...
.
.
...แค่ได้เห็นหน้า
ได้อยู่ใกล้ๆแค่เดี๋ยวเดียว ผมก็ดีใจมากแล้วครับพี่”
ผมมันเป็นพวกปากหนักโดยเฉพาะกับเรื่องความรัก...
กระทั่งเพื่อนสนิทอย่างไอ้แทน
ยังไม่ค่อยได้รู้เรื่องทำนองนี้ออกจากปากผมสักเท่าไร
ถ้าไม่ติดว่าข้างในอึดอัดจนจวนระเบิด...
อย่าได้หวังว่า
ใครจะได้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาปัญหาหัวใจให้กับผมง่ายๆ
“ทำไมไม่เดินเข้าไปทักเค้าเลยล่ะ...แมนๆหน่อยซี่”
“หึ
หึ...จะดีเหรอพี่...
...อีกฝ่ายเค้าก็ผู้ชายเหมือนๆกับผมนี่แหละครับ...
.
...เค้าจะไม่หาว่าผมแปลก
หรือกลัวผมไปเสียก่อนเหรอพี่?”
“หึ หึ เออว่ะ...
...เป็นพี่ อยู่ดีๆมีผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้เดินเข้ามาขอทำความรู้จัก
พี่ก็คงนอยด์เหมือนกัน...
.
...อ่ะ เอานี่
พี่ทำบัตรให้แล้ว...แตะออกได้เลยนะ” ผมยื่นมือไปรับบัตรโดยสาร
แล้วยกมือไหว้อีกฝ่ายตามความคุ้นเคยก่อนบอกลา
“หวัดดีครับพี่นพ...พรุ่งนี้เจอกันนะครับ”
พี่นพยิ้มรับขำๆ เมื่อได้ยินประโยคส่งท้าย...ใช่ ผมมันขาประจำเคาน์เตอร์นี่นะ
“อื้อ
ไปดีมาดี...พรุ่งนี้เจอกัน”
๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑
ผมอดแปลกใจไม่ได้
ที่เมื่อเช้า...ผมไม่เจอหน้าคนตัวหอม
ทำไมกัน?...
ทั้งที่เกือบทุกเช้าเราต้องเจอกันแท้ๆ
วันนี้ไม่มีเรียน?
ไม่สบาย? หรือเพราะเรื่องเมื่อวานทำให้อยากมาเจอหน้าผมกันแน่?
แต่ที่ผมรู้...การหายหน้าไปของเขา
ทำให้ผมทำให้ผมร้อนรนจนอยู่ไม่สุขตลอดระยะเวลาเกือบสามชั่วโมง
ระหว่างนั่งรอเจอเขาตรงชานชาลารถไฟฟ้าสถานีสยาม
ใจจริงผมอยากจะรอจนกว่าจะเจอเขา...
ถ้าไม่ติดว่าแม่โทรมาตามให้รีบกลับบ้านเป็นรอบที่ล้านได้
ผมคงไม่ต้องหักห้ามใจแล้วเดินขึ้นรถขบวนที่เพิ่งเทียบเข้าชานชาลาอย่างเนือยๆแบบนี้
แต่พวกคุณรู้อะไรไหมครับ?
จังหวะที่ประตูรถไฟฟ้ากำลังจะปิดลงนั้น
ผมเห็นร่างบางๆที่ผมจำได้ติดตาวิ่งกระหืดกระหอบจากบันไดก้าวเข้าสู่ชานชาลา
แต่ไอ้ที่ทำให้ผมประหลาดใจ
ไม่ใช่เพราะผมได้เห็นหน้าเขาในนาทีสุดท้าย
หากแต่เป็นเพราะ...
เมื่อขาสองข้างแตะลงบนพื้นชานชาลาอย่างมั่นคงแล้ว
มันยังคงพาร่างกะทัดรัดร่างนั้นวิ่งตรงไปยังขบวนรถ...
.
.
อันเป็นขบวนฝั่งตรงข้ามกับรถไฟขบวนปกติที่เขาควรใช้โดยสารกลับบ้าน
สองทุ่มกว่าแล้ว...จะรีบไปไหน?
ทำไมถึงดูร้อนรนกังวลใจ?...จะไปหาใคร?
สถานีแถวบ้าน
คือ สนามเป้าไม่ใช่หรือ?
แล้วทำไมถึงขึ้นรถขบวนที่มุ่งหน้าไปฝั่งธนฯแบบนั้นกันล่ะ?....ทำไม?
ผมครุ่นคิดเรื่องของเขาที่เห็นมาเมื่อครู่อยู่ตลอดเวลา
กระทั่งมาหยุดความสงสัยเอาไว้ได้พักหนึ่ง
เมื่อเดินมาถึงช่องติดต่อพนักงานเพื่อจ่ายค่าปรับเฉกเช่นทุกเย็น
“สีหน้าไม่ค่อยดีเลยนะคีย์...ทำหน้าแบบนี้เพราะต้องเสียค่าปรับรึเปล่า?”
“หวัดดีครับพี่นพ...
.
...เฮ้ออออออออออออออออออ...
...เปล่าครับพี่
ไม่มีอะไร”
จริงๆ ผมไม่ได้ต้องการแสดงท่าทางสลดหดหู่ให้พี่นพเป็นห่วงเท่าไรหรอกนะครับ
ลำพังแค่เผยให้แกรู้ว่า
ผมแอบปิ๊งผู้ชายด้วยกัน...
ก็ดูจะเป็นการรบกวนพื้นที่สมองของแกมากเกินไปแล้ว
แต่พอคิดถึงเรื่องคนตัวหอมกับท่าทางผิดวิสัยของเขาขึ้นมา
ผมก็อดถอนหายใจยาวไม่ได้จริงๆ
“นั่น...ทักพี่แล้วถอนใจ
แสดงว่าวันนี้ไม่เจอหน้าคนที่อยากเจอเหรอไง?”
“ก็...เจอครับพี่ แต่เค้าเลท”
“แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เจออีกไม่ใช่เหรอ...ไม่เป็นไรๆ
พี่เอาใจช่วยนะ...
.
...อ่ะนี่
บัตร กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ อย่าคิดมากเลย”
“ครับพี่...เจอกันครับ”
เมื่อแตะบัตรโดยสารออกจากสถานีเป็นที่เรียบร้อย
ผมก็เดินอย่างเลื่อนลอยไปตามทิศทางที่คุ้นเคย...แต่กลับต้องสะดุ้งด้วยความตกใจ
เมื่ออยู่ๆกลับมีเด็กมัธยมปลายหุ่นนักกีฬา
สูงใหญ่ หากแต่ยังไม่เท่าคนวัยผมเดินเข้ามาหยุดยืนประจันหน้า
แล้วส่งสายตาอาฆาตมาดร้ายมาให้ ก่อนจะเดินลับหายไป
เมื่อกี๊มันอะไรวะ?
เจ้ากรรมนายเวรของผมแต่หนไหน?
จำไม่ยักได้ว่า
เร็วๆนี้เคยไปมีเรื่องอะไรกับเด็กวัยเกรียนติ่งสิงห์มอปลายแบบนั้นเลยนี่หว่า...
ไอ้เด็กนั่นท่าจะประสาท
ทุกทีก็เห็นเอาแต่เมียงมองอยู่ห่างๆ
ไม่เคยโผล่มาทำหน้าเป็นลิงโดนกะปิใกล้ๆอย่างนี้มาก่อน...
มันไปเมาชานมไข่มุกที่ไหนมมาวะ?
๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑
เจอแล้ว!
ในที่สุดก็ได้เจอหน้า
ได้ยืนใกล้ๆ ได้สูดกลิ่นน่าชื่นใจเสียที...
ตอนที่แผ่นหลังบางในเสื้อนักศึกษาตัวโคร่งมีเหงื่อซึมนิดหน่อยเดินหันหลังผ่านหน้าไป
ทำให้ผมเพิ่งเข้าใจว่า
เมื่อเช้า...เราสองคนขึ้นรถขบวนเดียวกัน
ใจผมนึกอยากจะเรียก...
แต่ก็จนปัญญา เพราะไม่รู้จะเรียกเขาด้วยชื่อใด
ที่สำคัญ...ไม่มีเหตุผลที่จะรั้งตัวเขาเอาไว้อีกต่างหาก
ผมเลยต้องจำใจปล่อยให้เขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อต่อแถวลงบันไดเลื่อนลงจากชานชาลาสถานีสยาม
เย็นวันนี้ผมใช้เวลารอไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
คนตัวหอมก็มายืนฟังเพลงรอรถไฟฟ้าเรียบร้อยแล้ว
ผมเลยกระวีกระวาดรีบเดินอ้อมชานชาลาไปอีกฝั่ง...
พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ปรากฏตัวอยู่ในระยะสายตาของอีกฝ่าย
แล้วจึงเดินไปต่อท้ายแถวที่เขาคนนั้นยืนรอรถไฟอยู่
โชคดีเป็นของคนส่วนใหญ่...เพราะเย็นนี้รถไฟฟ้าไม่อัดแน่นเท่าใดนัก
แต่จะถือเป็นวันโชคดีของผมหรือไม่...ใครเลยจะรู้
ผมรีบสาวเท้าเดินตามคนที่ยืนข้างหน้าราวๆสามช่วงตัวเข้าตู้โดยสาร
แล้วรีบสอดส่องสายตาหามุมที่พอจะยืนใกล้ๆอีกฝ่ายอย่างไม่น่าสงสัยจนเกินไปนัก
แต่ก็ต้องผิดหวัง
เพราะแค่เดินคล้อยหลังกันไม่กี่วินาที...ผมก็หาร่างบางๆนั่นไม่เจอเสียแล้ว
คลาดกัน?
เปลี่ยนใจ
ไม่อยากนั่งรถขบวนนี้?
หรือเขาจะเห็นผมเข้า
แล้วตัดสินใจลงจากรถเพื่อหนีหน้าไอ้บ้ากาม?
เพราะไม่อยากออกอาการตระหนกจนตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งโบกี้
ผมเลยต้องรอจนกว่าจะถึงราชเทวี
เพื่อเปลี่ยนที่ยืนไปสำรวจพื้นที่ตู้ข้างๆ
สุดท้ายผมก็เจอเขายืนหลบอยู่ตรงมุมตู้ของโบกี้ก่อนหน้า
พลางหลับตาฟังเพลงเหมือนทุกที
อย่างนี้นี่เอง...ตอนขาเข้ามา
เจ้าตัวคงจะเดินเบี่ยงไปหามุมสงบฟังเพลงสินะ
ถึงได้ว่า...พอผมเดินเข้าขบวนรถมาจึงมองไม่เห็น
เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายต้องคลาดสายตาไปอีกครั้ง
ผมเลยตัดสินใจยืนเฝ้า รอให้เขาลืมตาขึ้น
เมื่อนั้น...ผมจะได้เอ่ยปากขอโทษเรื่องวานซืนให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
ก่อนก้าวสู่บทสนทนาอื่นๆต่อไป
จนแล้วจนรอด...เปลือกตาบางจ๋อยนั่นกลับไม่ยอมเปิดขึ้นสักครั้ง
ระหว่างรอจังหวะพูดคุยกับอีกฝ่าย
ผมจึงทำได้เพียงแค่ปล่อยให้ตัวเองเคลิบเคลิ้มไปกับกลิ่นหอมๆ
และเสียงเพลงที่ดังลอดออกมาจากหูฟังของคนข้างๆ...
เพราะพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่เขา
ผมเลยจับทำนองเพลงที่กำลังบรรเลงก้องในหูอีกฝ่ายขึ้นมาได้ง่ายๆ...
อีกอย่าง...จะไม่ให้ผมฟังเพลงนั้นออกได้อย่างไร...
ก็นั่นมันเพลงของศิลปินที่ผมชอบมากวงหนึ่งเลยนี่นา
(เดินผ่าน มองคนไม่รู้จัก วนเวียนและเป็นอยู่
ดูไปก็รู้สึก อย่างเคย เหมือนเคย
ลองมองผ่าน ความทรงจำที่มีอยู่
คงมีเพียงฉันคนหนึ่ง
คนเดียวที่รู้จัก อย่างเดิม เหมือนเดิม)
กระทั่งเมื่อรถเทียบที่สถานีอนุเสาวรีย์
กระเป๋าลากใบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติคนหนึ่งเกิดกระแทกเข้ากับขอบประตูรถไฟฟ้าส่งเสียงดังก้อง
จึงทำให้คนตรงหน้าลืมตาขึ้นเพื่อมองไปรอบๆอย่างเสียไม่ได้
เมื่ออาตี๋ตากลมกวาดตามองมาเจอผมที่จับจ้องใบหน้าขาวๆของเขาไม่วาง...
ก็ทำให้เจ้าของดวงหน้า
แสดงอาการเซอร์ไพรส์ผ่านสายตาและท่าทางออกมาอย่างชัดเจน
ด้วยความตื่นเต้นหลังจากเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝัน
ผมจึงเผลอส่งยิ้มกว้างไปให้คนตัวหอม
ที่จนตอนนี้...ยังวางสีหน้าไม่ถูก
พอรับรู้ว่า
อีกฝ่ายพุ่งความสนใจทั้งหมดมาให้...
ปากผมก็เริ่มขยับร้องคลอเสียงเพลงในหูฟังของอีกคนโดยไม่เปล่งเสียง
ถ้าไม่เรียกว่าจีบ...
ผมก็ไม่รู้ว่าควรจะเรียกการกระทำแสนเสี่ยวนี้ว่าอะไรแล้วล่ะ...
“คนๆหนึ่งได้เปลี่ยนแปลงทุกๆอย่างไป
คนที่ทำให้ยิ้มได้
ไม่ว่าเราจะเศร้าเพียงไหน
เธอคนหนึ่ง
ทำให้รักฉันเปลี่ยนไป
ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ
อาจเป็นเพราะคู่กัน”
เพียงครู่เดียวจริงๆที่รอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นตรงริมฝีปากบางสีแดงสดคู่นั้น...
เพียงครู่เดียวที่ผมได้มีโอกาสจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสุกใสราวกับผืนฟ้ายามค่ำคืนที่แต่งแต้มประกายของดวงดาวเอาไว้
เพียงครู่เดียวครู่นั้น...ที่ทุกๆอย่างในสายตา
สามารถทำให้หัวใจของผมเต้นแรงราวกับจะหลุดออกจากทรวงอก
และแล้ว...ใบหน้าหวานๆ
กับรอยยิ้มชวนมองของเขาก็ลอยเคลื่อนห่างออกไป เมื่อรถไฟฟ้าจอดเทียบยังสถานีของเขา
อาห์...หอมไม่พอ
ยิ้มสวยอีกต่างหาก
คนอะไรจะน่ารักได้มากขนาดนี้กันวะ?!
ไอ้คีย์สุดจะฟิน!!
เฮ๊ย...อ้าว! แล้วชื่อล่ะ?
แล้วเบอร์ล่ะ?
แล้วเรื่องส่วนตัวของเขาล่ะ?
โธ่ไอ้คีย์...ทำท่าจะไปได้ดีอยู่แล้วเชียว
ทำไมถึงลืมเรื่องสำคัญพวกนี้ไปง่ายๆได้ล่ะวะ?! ฮึ่ย!!!
“อ้าว...วันนี้ก็ยังโดนอีกเหรอ...
.
...นี่ก็มาเร็วกว่าเวลาปกติตั้งครึ่งชั่วโมงแล้วไม่ใช่เหรอ” เสียงทักทายของพี่นพทำให้ผมจำต้องพักเรื่องคนตัวหอมยิ้มหวานเอาไว้ก่อน
“หึ
หึ...หวัดดีครับพี่นพ สงสัยบีทีเอสคงอยากให้ผมได้เจอหน้าพี่ทุกวันล่ะมั้งครับ”
ผมยื่นแบงค์สีเขียวสองใบส่งผ่านช่องรับเงินตามความคุ้นเคย “เอ่อ พี่นพครับ
ผมมีเรื่องอยากถามหน่อยครับ”
เอาล่ะ..ถ้าไม่ถามใครตอนนี้
ผมคงอกแตกตายแน่ๆ
ขอฟังความเห็นจากบุคคลที่สามเสียหน่อยถอะ
“อะไรเหรอคีย์?”
“พี่ว่า
ผมไปตั้งกระทู้ตามหาตัวคนที่ผมชอบในพันทิปดีป่ะพี่?...
.
.
...ผมเห็นมีคนตั้งกระทู้ทำนองนี้เยอะขึ้นเรื่อยๆ...
...ที่ได้ลงเอยเป็นแฟนกันก็มีหลายคู่...
...ถ้าผมทำแบบนั้นมั่ง
พี่ว่า...มันจะเวิร์คไม๊ครับพี่?”
“คีย์...จริงอยู่ที่กับบางคนมันได้ผล
แต่กับคนส่วนมาก...มันอาจจะไม่ใช่...
.
...คนที่ยินดีมีความสุขเมื่อตัวเองกลายเป็นศูนย์กลางของความสนใจมันก็มี...
...แต่บางคนก็ไม่ได้อยากป่าวประกาศเรื่องส่วนตัวให้ใครต่อใครรับรู้...
...ไม่อยากถูกคนอื่นจับตาด้วยเรื่องละเอียดอ่อนทำนองนี้...
.
.
...แล้วยิ่งคีย์ถ้าไม่รู้จักคนๆนั้นด้วยล่ะก็
คีย์ไม่มีทางรู้เลยว่า เค้าจะชอบวิธีการแบบนี้ไม๊
...พี่ว่าอาจจะได้ไม่คุ้มเสียนะคีย์...
...ดีไม่ดี...เค้าอาจจะกลัวไม่กล้าเข้าหน้าเราไปเลยก็ได้”
“เออ...มันก็จริงแฮะ
แล้วอย่างนี้ผมควรทำไงดีอ่ะพี่?”
“ง่ายๆเลย
แค่รวบรวมความกล้าแล้วลองเข้าไปคุยกับเค้าซะสิ
ยังไงก็ดีกว่าเอาแต่แอบมองอยู่อย่างนี้”
“ง่ายจริงด้วยพี่...แต่ทำโคตรยากเลยครับ”
“หึ
หึ...สู้ๆนะ พี่เอาใจช่วย” พี่นพยื่นบัตรให้
ผมรับเอาไว้แต่ก็ค้างมือกลางอากาศอยู่อย่างนั้น เพราะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“ขอบคุณครับพี่.........เออ
พี่นพครับ วันนี้น้องคนนั้นไม่มาเหรอ?”
“น้องไหนเหรอคีย์?”
“อ๋อ...ก็น้องมัธยมกางเกงดำหัวเกรียนที่ชอบมาป้วนเปี้ยนแถวๆนี้บ่อยๆไงครับ...
...วันก่อนตอนที่คุยกับพี่นพเสร็จ...
...น้องเค้าก็เดินมามองหน้าผมแปลกๆ
แถมยังทำท่าเหมือนไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมซักเท่าไหร่...
.
.
...เผอิญวันนี้ผมหยุดคุยกับพี่ตั้งนาน
แต่ยังไม่เห็นหน้าเหวี่ยงๆของน้องมัน...
...เลยรู้สึกคิดถึงขึ้นมาแปลกๆยังไงก็ไม่รู้
เลยลองถามพี่ดูน่ะครับ...
...เผื่อพี่จะรู้จักน้องคนนั้น”
พอผมพูดถึงตรงนี้ หน้าพี่นพดูเจื่อนๆชอบกล...เอ...หรือผมจะคิดไปเอง
“เหรอ...
...อืม
พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาไว้พี่จะลองสังเกตดูนะ”
“หวัดดีครับพี่นพ”
๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑
เย็นวันนี้ ผู้คนที่รอโดยสารรถไฟฟ้ายืนเบียดเสียดกันแน่นขนัดเต็มพื้นที่ชานชาลา...
เมื่อรถมา คนตัวหอมของผมก็เดินนำเข้าด้านในไปก่อนตามเคย
แต่ด้วยจำนวนคนที่คับคั่งเป็นพิเศษ
ทำให้ผมต้องยอมวิ่งไปแทรกตัวเข้าตู้ข้างๆ...
นาทีนี้...ต่อให้ไม่เห็นหน้า
แค่รู้ว่าได้โดยสารรถขบวนเดียวกันกลับบ้านก็ยังดี
ให้ตายเถอะ...ผมต้องรอจนผ่านอนุเสาวรีย์ฯไปแล้วนั่นแหละ
ถึงจะมีโอกาสเดินตามหาคนที่ผมอยากเจอมากที่สุด
ซึ่งหมายความว่า
ผมมีเวลาเจอหน้าเขาไม่กี่นาทีเท่านั้น ก่อนเจ้าตัวจะลงจากรถไป
โน่นแน่ะ...ยืนหลับตาฟังเพลง
พลางโยกหัวเบาๆอยู่ตรงมุมโบกี้เหมือนเดิมเปี๊ยบ
ผมสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ
บังคับขาทั้งสองข้างให้ก้าวเดินอย่างมั่นคงตรงไปยังเป้าหมาย
วันนี้ผมเตรียมความพร้อม
และบทสนทนามาเป็นอย่างดี
จะได้รู้กันไปเสียทีว่าจะออกหัวหรือก้อย
อย่างมากก็กลายเป็นไอ้เกย์ใจกล้าในสายตาเขา...
คงจะไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้หรอก...
...มั้ง...
เสียงแหลมๆของไซเรนรถตำรวจดังลั่นออกมาจากมือถือของผมพอดีจังหวะที่กำลังจะเดินเข้าไปทักทายคนตัวหอม
มันเป็นเสียงริงโทนพิเศษสำหรับผู้หญิงคนแรกที่ผมเทิดทูนเหนือใครๆ...
ถ้าไม่รับสาย...ความตายคือคำตอบเดียวที่รอผมอยู่หลังจากเดินเข้าบ้าน
“ฮัลโหล...ครับแม่”
(คีย์
น้ำปลาที่บ้านหมด แม่ฝากหนูซื้อหน่อยได้ไม๊ลูก)
“เอ่อ...ได้ครับแม่
แต่ผมเพิ่งขึ้นรถไฟฟ้าเองนะครับ ยังไงแม่รอหน่อยนะ” ...พูดความจริงแต่ครึ่งเดียว แม่คงไม่ด่าผมหรอกมั้ง
(ไม่ต้องห่วงลูก...เพราะแม่ไม่ได้รอ
แต่แกงเขียวหวาน พ่อ กับพี่ขิงรอน้ำปลาจากหนูอยู่นะลูก รีบๆมาล่ะ)
อ่ะโห...นี่น่ะเหรอที่บอกว่าไม่ได้รอ
ไซโคเก่งไม่มีใครเกินล่ะแม่คุณของผม...
เวลานึกอยากได้อะไรก็โทรมา
แล้วก็วางหูใส่กันง่ายๆทันทีที่เสร็จธุระ
แถมโทรมาแต่ละที...เลือกเวลาได้พอดีกับช่วงเวลาสำคัญของผมแทบทั้งนั้น
ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน...เพราะจังหวะที่แม่ผมสั่งความ
เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ร่างบางเดินออกจากขบวนรถไป
น้ำปลาเหรอ?...
เอาเป็นว่า แวะซื้อน้ำปลาแถวสนามเป้าเสียเลยดีกว่า
จะได้ซื้อทั้งน้ำปลา
และได้แอบเดินตามไปส่งใครบางคนถึงหน้าบ้าน...คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มอีกนะไอ้คีย์
ผมรีบกระโดดออกจากขบวนรถแล้ววิ่งกระหืดกระหอบลงบันไดเพื่อตามรอยของอีกคนที่ล่วงหน้าเดินลงไปยังชั้นทางออก
โชคดีที่อีกฝ่ายออกจะเดินช้า
เลยทำให้ผมสามารถไล่ตามเขาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
แต่แล้วผมกลับต้องประหลาดใจ
เมื่อร่างบางไม่ได้เลี้ยวไปทางซ้าย
หรือ ขวาเพื่อหาทางออก
หากเดินมุ่งไปยังบันไดอีกฟาก
แล้วค่อยๆไต่ระดับความสูงกลับขึ้นไปบนชานชาลาฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง
นั่นเขากำลังจะทำอะไร?
จะไปไหน?
ถึงสนามเป้าแล้วไม่ใช่หรือ?
ทำไมไม่รีบกลับบ้าน?
นี่มันชักจะแปลกเกินไปแล้ว...
และผมคงปล่อยให้เรื่องนี้คาใจอยู่ต่อไปไม่ได้...
ไหนๆก็ไหนๆ ขอตามไปดูให้สุดเสียหน่อยเถอะวะ
อยากรู้เหลือเกินว่า...คนตัวหอมกำลังเล่นอะไรอยู่กันแน่?
ส่วนน้ำปลา...ขอเวลาคีย์ออกเรือไปล่าปลามาทำน้ำปลาชั้นยอดให้แม่ก่อนก็แล้วกันนะครับ
๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑
‘ไอ้คีย์...มึงต้องลองคุยกับเค้าดูว่ะ
ถ้าพลาด...มึงก็ได้เพื่อน...
...แต่ถ้ามึงจะป๊อดแล้วเก็บความรู้สึกเอาไว้แบบนี้
มึงก็ต้องถามตัวเองว่า มีงโอเคกับการแอบรักไปตลอดไม๊’
‘เอาน่าไอ้คีย์
เชื่อพวกกู...มึงลองคุยกับเค้าดู...
...ขำๆ...
...อย่างน้อยมึงจะได้ไม่เสียใจ
ที่มึงได้ลองให้โอกาสตัวเองทำความรู้จักกับคนที่มึงชอบยังไงล่ะวะ...
...มึงดูกูเป็นตัวอย่างก็ได้
ขนาดรู้ว่าเค้ารักคนอื่นอยู่...กูยังมีน้ำหน้าเสนอตัวบอกว่าจะรอเค้าเลยนะเว่ย!’
‘ถ้าเค้าไม่สนมึง
เดี๋ยวกูบอกให้โซ่หาเพื่อนหน้าตาน่ารักๆให้ซักคนไม๊ล่ะ กูว่าน้องตู๋นี่แม่งเด็ดใช้ได้เลยนะ’
‘พี่คีย์ครับ...อย่าเอาแต่คิดอยู่อย่างเดียวเลยครับ
ลงมือซักทีเถอะ...พวกผมกับพี่ๆจะเอาใจช่วย’
วันนี้ผมมีภารกิจอันยิ่งใหญ่...
มันเป็นภารกิจที่ต้องอาศัยการแฝงตัวอยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก
เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นจุดสังเกต
หนำซ้ำยังต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าภารกิจจะลุล่วง
ผมเลยอาศัยเวลาว่างหลังเลิกงานเย็นวันพฤหัสแรกที่ไม่ต้องประชุมเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
หลังจากเลิกงาน
ผมก็รีบแอบมาแฝงตัวในชานชาลาสถานีสยามเพื่อสังเกตการณ์อยู่ร่วมสองชั่วโมง
แล้วจึงนั่งรถเล่นไปถึงสนามเป้าเบาๆ
ก่อนจะเปลี่ยนฝั่งนั่งย้อนกลับมายังจุดเริ่มต้นเพื่อกระโดดขึ้นรถไฟฟ้าอีกขบวนมุ่งสู่บางหว้า
ระหว่างปฏิบัติภารกิจอยู่นี่...คำพูดของเหล่าสมาชิกชมรมเฉพาะกิจของไอ้แทนยังคงวนเวียนก้องอยู่ในหัว
ถ้าถามผมว่า...ผมทำแบบนี้แล้วจะได้อะไร
ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน...ว่าผลลัพธ์ที่รอผมอยู่จะคุ้มค่าไหม
เอาเป็นว่า
ขอให้พวกคุณอดใจรอคำตอบที่ผมกำลังจะคาดคั้นออกมาจากปากเขาในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้จะดีกว่า
“วันนี้ที่สยามน่ะ...คุณรอใครเหรอ?” ผมถามอีกฝ่ายที่ยังหลับตาฟังเพลงอยู่ตรงมุมตู้โดยสารรถไฟฟ้าเหมือนทุกวันโดยไม่คิดจะกล่าวอารัมภบท
“ห๊ะ...อะไรนะครับ?”
คนตัวหอมทำหน้างงก่อนจะถอดหูฟังออกช้าๆ สายตาบ่งบอกถึงความแปลกใจขั้นสูงสุด
“ผมถามว่า...คุณไปนั่งรอใครที่ม้านั่งสุดปลายชานชาลาสถานีสยามตั้งแต่ห้าโมงกันครับ?”
“.......”
เขาไม่ตอบคำถามผม
แถมยังทำหน้ากระอักกระอ่วนเหมือนจะร้องไห้อีกต่างหาก
ถึงอย่างนั้น...สายตาเว้าวอนเหมือนลูกกวางน้อยของเขา
กลับไม่ทำให้ผมออมมือง่ายๆ
“แล้วนี่คุณกำลังจะไปไหนเหรอครับ?”
“.......”
“บ้านคุณไม่ได้อยู่แถวๆสนามเป้าเหรอ?”
“........”
“ก็ได้...คุณจะไม่ตอบคำถามผมก็ได้...
.
...เอาเป็นว่า
วันนี้...คุณไปไหน ผมก็ไปด้วยแล้วกัน คุณคงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไม๊ละครับ?”
“..........”
“นั่นไง..ผมว่าแล้วว่าคุณต้องโอเค”
ผมรวบรัดตัดความ แล้วกดดันอีกฝ่ายต่อทันที
“เดี๋ยวผมถือกระเป๋าให้นะครับ..คุณไม่ต้องกลัวคนอื่นเค้าเข้าใจเราผิดหรอกครับ”
เขาพยายามยื้อกระเป๋าสะพายไหล่ของตัวเองเอาไว้
จนผมต้องปล่อยหมัดเด็ดเข้าเล่นงานเป้าหมายหลักของภารกิจในครั้งนี้เข้าจนได้
“ก็เราเป็นแฟนกันนี่เนอะ”
ผมตั้งใจพูดเสียงดังกว่าปกติ...ยิ่งถ้าคนทั้งโบกี้ได้ยิน ก็ยิ่งดี
“ห๊ะ?!” คนตัวหอมหลุดปากร้องเสียงหลงแบบเสียอาการ แล้วจึงปล่อยมือจากกระเป๋าเพื่อปิดริมฝีปากตัวเองทันที
“แหม
ไม่ต้องเขินหรอก...เดี๋ยวลงรถแล้วเราไปหาอะไรกินกันดีกว่า
จะได้กินไปคุยไปยังไงล่ะครับ”
(สถานีต่อไป...สุรศักดิ์ Next station, Surasak – เสียงประกาศแจ้งสถานีในขบวนรถไฟฟ้า)
“ถ้าจำไม่ผิด เราต้องลงสถานีนี้ใช่ไม๊...
.
...ป่ะ...ไปกันเถอะครับ”
ผมเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของเขามากุมเอาไว้ แล้วเดินนำอีกฝ่ายออกจากขบวนพร้อมกัน
“พี่ปล่อยผมก่อนเถอะครับ
คนมองใหญ่แล้ว” คนพูดพยายามแกะมืออกจากมือผมด้วยท่าทางร้อนรน พร้อมๆกับส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากผู้โดยสารคนอื่น...
แต่ผมแน่ใจพันเปอร์เซนต์ว่า
คงไม่มีใครอยากเข้ามาก้าวก่ายปัญหาของคู่รักเกย์แน่ๆ...
ก็ผมเล่นประกาศหน้าไมค์อออกจะดังเสียขนาดนั้นแล้วนี่
ผมยื่นหน้าเข้าไปกระซิบใกล้ๆหูของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย็นๆ
แบบที่แม่ผมมักจะทำทุกครั้งที่อยากให้ผมทำอะไรตามคำสั่ง
“ถ้าวันนี้เราแตะบัตรออกจากสถานีไม่ได้เพราะต้องจ่ายค่าปรับ
เราต้องยอมบอกเบอร์เราให้พี่รู้ ตกลงนะครับ” ตบท้ายด้วยรอยยิ้มแสยะเสียหน่อย
จะได้สมบทบาท
“พี่อย่าทำอย่างนี้ซิครับ ขอกระเป๋าผมคืนเถอะนะ” สายตาอีกฝ่ายดูล่อกแล่กทุกครั้งที่เหลือบมองกระเป๋าสะพายบนไหล่ผม...สงสัยต้องลองแหย่ดูเสียหน่อย
“งั้นตอบคำถามพี่มาก่อน..
ถ้าตอบได้ถูกใจ พี่จะคืนกระเป๋าให้” ผมชูกระเป๋าของคนตัวหอมขึ้น แล้วแกว่งล่อสายตาพร้อมกับยิงคำถามทันควัน
“บอกพี่ได้ไม๊ครับว่า จริงๆแล้ว เรามาทำอะไรที่นี่?”
“....เอ่อ....”
หลอกล่อถึงขนาดนี้ยังจะปากแข็ง...
ชักอยากรู้เสียแล้วสิว่า
ในกระเป๋านี่มีอะไร
ทำไมถึงได้ทำหน้าซีดเหมือนจะเป็นลมตอนที่ผมแกว่งกระเป๋าไปมาอย่างเมื่อครู่
“ไม่อยากได้กระเป๋าคืนเหรอ?”
ผมล้วงเข้าไปหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาชูสุดช่วงแขน...
เดาว่า
ความลับส่วนใหญ่คงอยู่ในนี้...
เพราะผมเองยังไม่ชอบให้คนอื่นมาเปิดกระเป๋าตังค์เล่นเลย...
อายบัตรประชาชนน่ะครับ
“อย่า!! อย่าเปิดนะครับ!!!......พี่คีย์ อย่า!!!” ส่งเสียงห้ามปรามผมยังไม่พอ คนตัวหอมยังพยายามยืดแขนสั้นๆเพื่อไล่คว้าเอากระเป๋าตังค์สุดปลายแขนผม
ทั้งที่สรีระเราต่างกันไม่ใช่เล่น
สุดท้าย...ร่างบางที่เอาแต่สนใจของนอกกาย
ก็เสียหลักพุ่งเข้าชนอกผม
ผมเลยต้องปล่อยมือจากกระเป๋าตังค์เพื่อมาคว้าตัวของเขามากอดเอาไว้
ส่วนเจ้ากระเป๋าตังค์ดูจะเข้าใจสถานการณ์ดีเหลือเกิน
เพราะมันเปิดอ้าขายความลับที่อยู่ด้านในทันทีหลังจากตกลงบนพื้น
พอเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน ผมถึงกับร้องถามอีกฝ่ายโดยไม่ต้องเสียเวลาใคร่ครวญ
“เรารู้จักพี่?”
คำถามนี้มาจากรูปถ่ายใบเล็กๆที่เจ้าตัวพกติดกระเป๋า...รูปนั้น เป็นรูปติดบัตรสมัยหัวเกรียนของผมเอง
“ครับ...ผมรู้จักพี่
รู้จักมานานแล้วด้วย แต่พี่คงจำผมไม่ได้หรอก
ทางที่ดี...พี่อย่ามายุ่งกับคนอย่างผมจะดีกว่า”
ฟังพูดเข้า...สิ่งที่เพิ่งพูดออกมานี่
ยิ่งทำให้เรื่องระหว่างเราชักจะแปลกไปกันใหญ่แล้วนะ
“ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะ?”
อีกฝ่ายดูลังเลเพียงไม่นาน สุดท้ายก็สูดลมหายใจลึกเข้าปอด แล้วก้มหน้าก้มตาตอบผม
“ก่อนพี่จะย้ายไปเรียนมอปลายที่อื่น
เราสองคนเคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน...
...ตั้งแต่พี่เข้ามาเรียนมอหนึ่ง
พี่ก็กลายเป็นนักกีฬาบาสที่ป็อบสุดๆ เพราะพี่ทั้งเก่ง ทั้งหล่อ...
...ผมชื่นชมพี่มาก
คอยแอบเฝ้าตามเชียร์พี่ตรงขอบสนามไม่เคยพลาดซักแมทช์...
...แต่คนดังอย่างพี่
ก็ไม่เคยชายตามองคนอย่างผม เพราะผมมันเป็นแค่เด็กอ้วนๆแถมยังขี้เหร่ดูไม่ได้...
.
.
...แต่ถึงอย่างนั้น
ผมก็ยังไม่ตัดใจ...
...ผมยังคงติดตามสืบเสาะเรื่องเกี่ยวกับตัวพี่ทุกๆเรื่อง...
...ผมรู้ว่าพี่ย้ายไปเรียนที่ไหน
ต่อมหาลัยอะไร คณะอะไร...
...พี่ชอบอะไร
ไม่ชอบอะไร แฟนคนแรก...ยันคนสุดท้ายชื่ออะไร เลิกกันเพราะเรื่องไหน ผมก็รู้รายละเอียดทุกอย่าง...
...รู้กระทั่งว่า
บ้านพี่อยู่ที่ไหน ครอบครัวพี่มีใครบ้าง เพื่อนสนิทพี่คือใคร...ผมรู้หมด...
.
.
...ตั้งแต่เด็กจนโต
ผมบ้าพี่มาก ผมพยายามทำทุกอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนแบบที่พี่ชอบ...
...ผมลดน้ำหนัก
เปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนใหม่ เพราะพี่บอกว่าพี่ชอบคนผอม พี่ชอบคนหน้าใส...
...ผมตั้งใจเรียน
เพราะอยากเรียนที่เดียวกับพี่ อยากมีประสบการณ์ดีๆร่วมกัน
แม้ว่าเราจะอยู่คนละคณะก็เถอะ...
...พอพี่จบ
ผมก็อุตส่าห์ออกจากบ้านแต่เช้า
แล้วนั่งรถไปยืนรอพี่ที่สนามเป้าทุกวัน...อย่างน้อยๆ เราก็ได้ขึ้นรถพร้อมๆกัน...
...ตกเย็น
ผมก็มานั่งอ่านหนังสือรอ เผื่อว่าจะได้ขึ้นรถไฟไปส่งพี่กลับบ้าน...
.
.
.
...พี่คีย์รู้ไม๊ ที่ผมทำขนาดนี้ เพราะอะไร...
...พี่คีย์รู้ไม๊ ที่ผมทำขนาดนี้ เพราะอะไร...
...เพราะผมรักพี่...
...ผมรักพี่ข้างเดียวมาตลอด...
.
.
...รู้อย่างงี้แล้ว
พี่คีย์ก็ไม่ควรมายุ่งกับผม...
...ปล่อยไอ้คนไม่มีอะไรดีอย่างผมเพ้อถึงพี่อยู่คนเดียวอย่างนี้เถอะครับ
อย่ามาสนใจผมเลย” ร่างบางๆพยายามดันตัวออกห่างจากผม กลับกัน...ผมก็ยิ่งจะยื้อตัวของเขาเอาไว้
เพราะผมยังไม่ได้คำตอบของเรื่องคาใจผมที่สุด
“เดี๋ยวนะ...เราบอกพี่ว่า
เราแอบชอบพี่มานานแล้ว...
.
...แถมยังรู้อีกว่าพี่ชอบอะไร...ไม่ชอบอะไรโดยละเอียดไปเสียทุกอย่าง?
อย่างนั้นใช่ไม๊?”
“ขอกระเป๋าผมคืนเถอะครับพี่คีย์
แล้วพี่คีย์ก็ปล่อยผมกลับบ้านซะที...ผมไม่อยากจะเสียค่าปรับมากไปกว่านี้แล้วล่ะ” เขาพยายามกระพริบตาถี่เพื่อกั้นไม่ให้น้ำใสๆในดวงตากลมโตนั่นไหลออกมา
“เดี๋ยวก่อน...พี่มีอีกคำถามที่อยากจะฟังคำตอบจากปากเรา...
.
...
พี่ไม่เชื่อหรอกว่าเราชอบพี่จริงๆ...
...เพราะถ้าเราชอบพี่
เราต้องรู้ซิว่า ตั้งแต่ไหนแต่ไร...พี่แพ้น้ำหอม ได้กลิ่นทีไรเป็นต้องจามตลอด...
...เลยพลอยทำให้ไม่ชอบคนใส่น้ำหอมที่สุด...
...ถ้าเรารู้อย่างนี้
...ทำไมยังใส่น้ำหอมจนฉุนไปหมด?”
“ผมรู้หรอกน่าว่าพี่แพ้น้ำหอม
ผมเลยไม่เคยใส่น้ำหอมยังไงล่ะ!!... พี่ส่งกระเป๋าผมคืนมาเถอะครับ ผมอยากกลับบ้านแล้ว”
อีกฝ่ายคงจะเหลืออด
เพราะเจ้าตัวเผลอตวาดใส่ผมแบบลืมเขิน
แต่นั่นยิ่งทำให้เขาดูน่ารักไปกันใหญ่...
ในที่สุดก็ยอมเผยไต๋แสดงตัวตนด้านอื่นๆออกมาให้ผมเห็นได้เสียที
ในที่สุดก็ยอมเผยไต๋แสดงตัวตนด้านอื่นๆออกมาให้ผมเห็นได้เสียที
แถมที่ดีสุดๆเห็นจะเป็น
คำตอบของเขาที่โดนใจผมเต็มๆ...
หึ! หอมธรรมชาติแบบนี้ พี่คีย์ยอมเป็นทาสไปทั้งชาติเลยครับผม
“แต่พี่คงให้เรากลับบ้านตอนนี้ไม่ได้หรอก...
.
.
...เว้นเสียแต่ว่าเราจะยอมบอกชื่อเรากับพี่
ยอมให้พี่ไปส่งบ้าน และบอกเบอร์มือถือมาซะก่อน” ผมยิ้มมุมปาก แล้วพูดต่อ“เมื่อก่อนเราอาจจะเหนื่อยที่ต้องรักพี่อยู่ฝ่ายเดียว...
แต่รอพี่เดี๋ยวนะครับ อีกไม่นานพี่คงจะรักเราหมดใจแล้วล่ะ”
“ห๊ะ?!
พี่คีย์ว่าไงนะครับ?”
“ก็หมายความว่า
พี่ก็ชอบเรายังไงล่ะ...แล้วจะยอมบอกชื่อให้พี่รู้ได้รึยังครับ หรือจะกลับขึ้นไปนั่งรถเล่น
แล้วแวะกินข้าวแถวบ้านพี่ก่อนดี?”
“.......”
“เร็วๆซิครับคนดี
พี่คีย์หิวจนจะกินเราได้ทั้งตัวแล้วนะครับ”
“ผมชื่อตู๋ครับ”
๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑
อาจเป็นเพราะวันนี้
กลิ่นหอมจรุงใจนั้น รุนแรงชวนดมยิ่งไปกว่าทุกๆวัน
แถมเรือนกายต้นกำเนิดกลิ่นนั้น
ยังอยู่ใกล้ในระยะที่ทำให้ทั้งผมและเขาประหม่าได้ทั้งคู่
ผมเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่า
สัมผัสของฝ่ามือผมที่สอดประสานเข้ากับมือของเขานั้น
จะยิ่งทำให้กลิ่นหอมๆของเขายิ่งกรุ่นอวลได้มากขนาดนี้
เช้าวันนี้ผมจึงโดนความหอมเล่นงานเสียอ่วม
จนหลวมตัวหลุดเข้าสู่ห้วงแห่งจินตนาการอันกว้างไกลของตัวเองอีกครั้ง...
ซึ่งรอบนี้ บอกอย่างไม่อายเลยครับ...
ไอ้คีย์อาการหนักมาก
ฟุ้งไปไกลขนาดที่ว่า...
สามารถคิดคำพูดขอบคุณผู้คน
และสิ่งของที่อยู่เบื้องหลังงานแต่งงานของตัวเองได้เป็นฉากๆ
สิ่งแรกที่สนับสนุนให้ผมสองคนมีวันนี้ได้
เห็นจะเป็น...
ระบบรถไฟฟ้าบ้านเรา
ที่ห่างไกล และไม่คุ้นเคยกับคำว่าเสถียรเท่าใดนัก...
ถ้าไม่ได้ความล่าช้า
ขัดข้อง และสถานการ์ณวิกฤตใดๆของบีทีเอสช่วยเอาไว้
ป่านนี้ผมอาจจะไม่ได้เจอกับตู๋...
เราสองคนคงไม่ได้เจอกับเนื้อคู่ของตัวเอง
ขอขอบคุณน้ำปลาของแม่ที่หมดอย่างกะทันหัน
รวมทั้งแกงเขียวหวานหม้อที่ปรุงนานที่สุดในโลก...
เพราะกว่าคนทั้งบ้านจะได้กิน...ก็ปาเข้าไปตอนเกือบสี่ทุ่ม
ทั้งๆที่แม่ครัวเริ่มลงมือตั้งแต่ก่อนสี่โมงเย็น
ขอบคุณพี่นพ...พนักงานบีทีเอสผู้อารี
มีจิตสาธารณะ...
คนๆเดียวที่รับฟัง
ให้คำปรึกษา และรับรู้พัฒนาการปัญหาหัวใจของผมตั้งแต่แรกเริ่ม ยันบทสรุป
อีกทั้งเหล่าศิษย์ร่วมสำนักรุกโสดใสหัวใจสี่ดวง...
ก่อนอื่น ผมขอยกเครดิตการตั้งชื่อปัญญาอ่อนของสมาคมลับให้แก่ไอ้แทนเพื่อนรัก...
ผู้ซึ่งชีวิตนี้
คงเป็นอะไรไม่ได้ นอกจาก...
ลูกที่ดี
สามีที่เคารพน้องโซ่ และเพื่อนดีที่โง่เหลือจะเอ่ย
และขอมอบคำขอบคุณอย่างจริงใจแก่ทั้งพี่เผ่า
พี่เจ และโยน้องน้อยที่คอยให้คำแนะนำ กำลังใจ
รวมทั้งแรงผลักดันผ่านการด่าทอประสาผู้ร่วมอุดมการณ์สละซิงในฐานะสามีมือใหม่
สุดท้าย...
สิ่งที่เห็นจะขาดไปไม่ได้เลย...
อย่างแรก
คือ...ความกล้าของตัวผม กล้าที่จะทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ...
และความรักมั่น
ซึ่งมากพอๆกันกับความพยายามของตู๋...
คนที่คอยเฝ้าดูผมอยู่ห่างๆด้วยความแน่วแน่มาตลอดหลายปี
ขอบคุณที่รักพี่...
ขอบคุณที่มาเจอกัน...
ขอบคุณที่ ‘หอม’ ไปเสียทุกวัน จนทำพี่หวั่นใจ
พี่รักตู๋นะครับ
๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑
ขอบคุณเนื้อเพลง:
คู่กัน ◘ สครับ
ที่มา:
http://sz4m.com/t5515
หวัดดีค่า ^_^
ขอให้อ่านอย่างมีความสุขนะคะ และขอบคุณที่เข้ามาทักทายค่ะ
รักคนอ่านทุกท่านค่ะ จ๊วบๆ
๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑
No comments:
Post a Comment