หก(ปีที่แล้ว)
ภายในโถงทางเดินชั้นสูงสุดของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางกรุง
ไอความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ
กับความเงียบสงบเป็นนิจของสถานที่ ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มรูปร่างกำยำทั้งสอง
ซึ่งมีใบหน้าละม้ายกันผ่อนฝีเท้าราวกับจงใจเดินลอยชายอย่างเช่นในตอนนี้
แต่เป็นเพราะสองหนุ่มต่างรู้ดีว่า...
บุคคลทั้งหลายในห้องผู้ป่วยพิเศษที่พวกเขากำลังเดินมุ่งหน้าไปหา ต้องการเวลาหารือกันเป็นการภายในเกี่ยวกับประเด็นคาใจของสมาชิกส่วนใหญ่ในครอบครัว
แน่ล่ะ...
เพราะหนึ่งในสองหนุ่มถือเป็นคนบุคคลภายนอกโดยสมบูรณ์
ในขณะที่อีกหนุ่ม
กลับมองตัวเองว่าเป็นเพียงว่าที่สมาชิกใหม่ของครอบครัวดังกล่าว และยังไม่กล้าเหมาว่าได้รับการยอมรับสักเท่าไร...เนื่องจากพ่อแม่ของหยก
ยังไม่ยกตำแหน่งลูกเขยคนสุดท้องให้เขาอย่างเป็นทางการ
แม้ว่าทั้งเขาและลูกชายคนเล็กของบ้าน จะสานสัมพันธ์ฉันท์คู่รักมาได้เกือบปี
การพบปะครอบครัวแฟนในช่วงปีแรกๆของความสัมพันธ์ตามธรรมเนียมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
คือเหตุผลหลักที่ทำให้เขยมือใหม่ผู้ไม่สันทัดการเข้าสังคม
จำต้องหนีบลูกพี่ลูกน้องคนสนิทมาเป็นกองหนุนด้วย...แม้ไม่มีใครออกปากเชื้อเชิญเผ่าเลยก็เถอะ
เพื่อไม่ให้เหยื่อผู้พ่วงตำแหน่งน้องชายตาดำๆ
เกิดอาการเหงาปากจนเกินไปนัก
เจเลยเป็นฝ่ายเริ่มถามเผ่าเกี่ยวกับเรื่องสัพเพเหระทั่วๆไป
หลังจากยุติการพูดคุยกันไปชั่วขณะหนึ่งระหว่างอยู่ในลิฟท์
“เผ่า...พ่อมึงคุยซะใหญ่โตว่ามึงได้งานแล้ว...
.
...จริงเด่ะ?”
เจเหลือบมองหน้าอีกฝ่ายที่ยืดอกผึ่งผายพองฟูดูคล้ายๆกับตัวจะแตกทันทีที่คำว่า ‘ได้งาน’ หลุดออกจากปากเขาด้วยสายตาทึ่งแกมขำขัน
ท่าทีภูมิอกภูมิใจนักหนาของน้องชาย
ทำให้เขาถึงกับสงสัยว่า
ในอีกห้าปีข้างหน้า...
เผ่าจะยังทำท่าเป็นอึ่งอ่างพองลมเมื่อคนอื่นถามถึงเรื่องงานอยู่หรือเปล่า
ส่วนอีกฝ่าย...เมื่อรู้สึกตัวว่าเผลอแสดงอาการดีใจออกนอกหน้า
ก็รีบปรับท่าทางเป็นปกติ
แล้วจึงตอบคนเป็นพี่ด้วยน้ำเสียงราบเรียบเพื่อกลบเกลื่อนทำเหมือนเรื่องนี้ไม่สำคัญแต่อย่างใด
เพราะเผ่ารู้นิสัยใจคอพี่ชายราวกับอ่านใจตัวเอง...
เจไม่เคยศรัทธาในระบบการทำงานแบบขั้นบันไดของบริษัททั้งหลายเท่าไรนัก
สำหรับเผ่า การคุยโวในเรื่องที่คู่สนทนาไม่สนใจ
เท่ากับการทำลายบรรยากาศในการสังสรรค์พูดคุยโดยใช่เหตุ...
อีกอย่าง...การทำให้คนสำคัญอึดอัดโดยไม่จำเป็น
ไม่ใช่แนวทางที่เขานิยม
“เออ...พอดีบริษัทนี้เค้าไปจัดบูธที่มหาลัย
กูเลยลองไปสัมภาษณ์...แล้วก็เป็นอย่างที่มึงรู้น่ะแหละ”
“ดีใจด้วยนะเว่ย...เดี๋ยวกูปิดร้านฉลองเป็นของขวัญรับปริญญาควบเลี้ยงมึงได้งานทีเดียวแม่งเลย”
เจเอ่ยจากใจจริง เพราะเห็นเผ่าร่ำร้องอยากเข้าทำงานที่บริษัทนี้ใจจะขาดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
“หึ! มึงยอมรับมาเหอะเจ...
.
...จริงๆแล้ว...มึงตั้งใจจะฉลองที่ลุงกับป้ารับเรื่องมึงกับพี่หยกได้อ่ะดิ
กูรู้ทันหรอกน่า” น้องชายผลักไหล่พี่เบาๆด้วยความหมั่นไส้
จนเจไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะพูดเอาความดีเข้าตัวอีกแล้ว
“นั่นก็ด้วย...ไหนๆก็ไหนๆ
รวบยอดเลี้ยงแม่งทีเดียวนี่แหละวะ ประหยัดเวลา แถมยังสะดวกดี” เผ่ายักไหล่เหมือนไม่สนใจข้อเท็จจริง
แล้วเปลี่ยนเรื่องทันที
“พี่หยกขึ้นมาก่อนเหรอวะ?”
“เออ ตอนยืนรอมึงจอดรถ...
...กูบอกให้เค้าไปรอที่ห้องพักฟื้นของพี่หยงน่ะ...
...เห็นว่าพ่อแม่เค้าเรียกคุยเรื่องกู
คงยาวหน่อย...
.
.
...ที่บ้านเค้าค่อนข้างเป็นห่วง
เพราะกูกับหยกแม่งทำงานกันคนละช่วงเวลา...
...ตัวเค้าเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ
ตื่นมาก็เห็นแดดจ้า เห็นฟ้าใสๆ...
.
...ในขณะที่กูมันคนกลางคืน...
...เช้าของกูก็ตอนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า
เลิกงานมา...ก็เจอพระอาทิตย์วันใหม่...
...พ่อแม่หยกคงกลัวว่ากูจะแพ้แสงสี
แล้วหนีลูกเค้าไปเอาผีเสื้อราตรีแทน”
“ก็หน้ามึงมันส่อนี่หว่า”
“กูชักจะแน่ใจแล้วว่ะ
ว่าตอนเล็กๆ พ่อแม่มึงคงไปเก็บมึงมาจากถังขยะแถวไหนซักที่แน่ๆ...
เพราะความปราถนาดีแก่ญาติแท้ๆของมึงนี่...ไม่เคยมีเลยว่ะเผ่า”
“อ้าว รึมึงว่าไม่จริง?...
...ก็ฝีปากมึงน่ะโคตรพลิ้ว
แถมยังเป็นเจ้าของร้านเหล้าที่หน้าตาพอไปวัดไปวาได้อีกตะหาก...
...ยิ่งเดี๋ยวนี้พวกคนเมาที่นอนให้เอาง่ายๆแม่งก็เยอะชิบหาย...
...กูว่า คงมีคนอยากอาสาลดตัวลงมาเป็นเถ้าแก่เนี้ยให้ร้านมึงเยอะน่าดูล่ะว่ะ...
.
...ถ้ากูเป็นพี่หยก
กูก็มีระแวงเหมือนกันนะ”
“ถ้าเหี้ยๆอย่างมึงกลายมาเป็นหยก...กูคงเลิกเป็นเกย์แบบถาวรว่ะ”
“สันดาน!
ถ้ากูเป็นเกย์
กูก็ไม่เอามึงเหมือนกันแหละวะ...
..หืยยย!
คิดแล้วอารมณ์เสีย!!...
.
...มึงเอากระเช้าสีม่วงหรอยนี่ไปถือเลย...
...มีอย่างที่ไหน
ซื้อของมาเยี่ยมคุณแม่มือใหม่ เสือกเลือกมาแต่ของสีม่วง...
...แถมยังยัดเยียดให้กูถือมาตลอดทางอีก...
.
.
...ยังดีนะ
ที่ลูกพี่หยงเป็นผู้หญิง ไม่งั้นมึงคงได้โดนที่บ้านพี่หยกสาปส่งกันวันนี้...
...สัด! ลำพังเดินกับมึงคนก็เข้าใจผิดกูเต็มที่แล้ว
ยังจะมีไอ้กระเช้าห่านี่เพิ่มมาให้คิดมากได้อีก” เผ่าบ่นพลางยื่นกระเช้าส่งให้เจ
แต่อีกฝ่ายกลับยืนกอดอกมองน้องชายด้วยสายตาขบขัน
“หึ
หึ...แต่จะว่าไป มึงกับสีม่วงนี่ก็เหมาะกันดีนะ...
.
...จะไม่ลองหยั่งขาเข้ามาในโลกใบเดียวกับกูดูหน่อยเหรอ?”
พูดจบ เจก็เดินเข้าไปเหนี่ยวคอน้องชายเข้ามากอดเอาไว้ก่อนออกเดินต่อ พลางส่งสายตาเป็นประกายพรายระยับชวนให้อีกฝ่ายรู้สึกคลื่นเหียน
“เจ...กูขอร้อง
มึงอย่าทำท่าแบบนี้ได้ไม๊วะ.....กูขนลุก!”
เมื่อสมองรับรู้ได้ถึงอันตราย
เผ่าจึงตะเกียกตะกายยันตัวออกจากอ้อมกอดของพี่ชายด้วยอาการทุลักทุเล
แต่นับว่าออกตัวช้าไปมาก...เพราะมือของเจเริ่มจะลูบไล้ไปตามสันแก้ม
และกรอบใบหน้าของเขาอย่างยั่วล้อ
“ทำไมล่ะเผ่าครับ?...เผ่าไม่ชอบล่ำๆแบบเจเหรอ?...
.
...หรือพี่เผ่าชอบแบบน่ารักๆเหมือนจ๋าล่ะคะ?”
เจดัดเสียง พร้อมกับทำท่าโอเว่อร์สะดีดสะดิ้งเกินจริง พลางออกวิ่งไล่ตามน้องชายที่จ้ำอ้าวหนีไปตั้งแต่ประโยคเมื่อครู่ของเขา
“ไอ้ห่า!! หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ...อย่าเข้ามา กูกลัววววว!!!”
“พี่เผ่าขา.....รอจ๋าด้วยยยยยยยยย!!!”
“อี๋!!! กูมีพระนะ!”
สองหนุ่มวิ่งไล่กันผ่านทางเชื่อมของโรงพยาบาลซึ่งทำเป็นสวนหย่อมขนาดเล็ก
สำหรับให้ผู้ป่วยและญาติใช้นั่งพักผ่อน
เสียงโวยวายของเผ่ากับเจ
สะกิดให้หนุ่มหน้าหวานร่างบางในชุดผู้ป่วยซึ่งนั่งห่อตัวอยู่ในรถเข็น
รู้สึกสนใจในความเคลื่อนไหวอันแสนวุ่นวาย ถึงขั้นยอมเหลียวหลังกลับไปมอง โดยลืมไปเสียสนิทว่า...น้องสาวผู้กำลังเข็นรถให้เขาอยู่เบื้องหลังกำลังเจื้อยแจ้วถึงเรื่องอะไรอยู่
“พี่ชิ...พี่ชิฟังช่าอยู่ป่ะเนี่ยะ?”
เสียงหวานๆของสาวน้อยวัยกระเตาะร้องท้วงผู้เป็นพี่ที่ยังนั่งเพ่งสายตาไปทางอื่น
“ห๊ะ?...เอ่อ.....แล้วเมื่อกี๊ช่าพูดอะไรล่ะ?”
“โห...พี่ชิก็
ปล่อยให้ช่าพูดอยู่ได้คนเดียวตั้งนานสองนาน...
...เฮ้ออออ
ตลอดเลยนะเดี๋ยวนี้... น้องนุ่งนี่ไม่คิดจะสนใจ...แต่ก็ช่างเถอะ...
.
.
...ช่าบอกว่า
เดี๋ยวพอพี่ชิออกจากโรงพยาบาลเย็นนี้แล้ว...
...กลับบ้านไปต้องรีบนอนนะ
เพราะพรุ่งนี้พ่อจะพาพี่กับช่าไปสถานทูตตั้งแต่ก่อนหกโมง”
“อือๆ
รีบนอนๆ” ชิตอบส่งๆ สายตายังคงจับจ้องสองพี่น้องเมื่อครู่ไม่วาง...ปฏิเสธไม่ได้ว่าน่ามองทั้งสองคน
แม้บุคลิกลักษณะของทั้งคู่จะแตกต่างกับคนที่ทำหัวใจเขาปี้ป่นไม่เหลือชิ้นดีอย่างลิบลับก็เถอะ...
.
.
...พี่ธีร์...
.
.
ชายหนุ่มนึกโกรธตัวเองที่ยังมีแก่ใจนึกถึงผู้ชายอีกคนที่ไม่มีตัวตนอยู่ในที่นี้
แต่เขาจะทำอย่างไรได้ล่ะ...
ในเมื่อตัวเอง ก็ยังไม่รู้ว่าอีกสักกี่ปี ถึงจะลืมเรื่องของคนๆนั้นไปจากใจได้เสียที
“โห่...ช่าไม่คุยด้วยแล้ว”
ช่าตัดบทด้วยไม่อยากกวนใจพี่ชายที่กำลังเหม่อ หญิงสาวเข็นรถเข็นนำผู้ป่วยไปหยุดตรงใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ใจกลางพื้นที่สีเขียวซึ่งจัดแต่งอย่างสวยงาม
“พี่ชิดูวิวไปก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวช่าลงไปซื้อขนมแป๊บนึง...เอาไรป่ะ?”
“ไม่ล่ะ
ช่าไปเถอะ”
ชิทอดสายตามองไปยังภาพของกรุงเทพฯเบื้องล่าง
เขาอดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่า
ถ้าเปลี่ยนจากทางรถไฟเป็นแม่น้ำ...
วิวตรงนี้คงไม่ต่างกับวิวจากระเบียงคอนโดเท่าไรนัก
คอนโด...
สถานที่สุดท้ายที่เขาใช้เวลากับพี่ธีร์...
“ฮืออออออ........โฮ”
หนุ่มร่างบางถอนใจอย่างโล่งอก
ทันทีที่ได้ยินเสียงฟูมฟายของผู้ชายคนหนึ่งดังมาจากอีกด้านหนึ่งของส่วนที่เขานั่งอยู่...
ชิไม่ได้เสียใจจนเป็นบ้า
ขนาดที่รู้ว่าคนอื่นโศกเศร้าแล้วยังมีความสุขอยู่ได้...
หากแต่เสียงร้อนอกร้อนใจนั้น
ช่วยฉุดให้เขาไม่ต้องตกอยู่ในภวังค์ที่มีแต่ภาพเก่าๆของเขากับผู้ชายอีกคน...
เพราะเขารู้ซึ้งว่า
ถึงวันนี้จะไม่มีน้ำตา...
แต่ความเจ็บปวดที่มากับความทรงจำของวันเก่าๆ
ก็ทำให้เสียใจไม่ใช่เล่น
แม้การแอบฟังเรื่องคนอื่นเท่ากับการล่วงเกินความเป็นส่วนตัว
อีกทั้งยังเสียมารยาท
ถึงอย่างนั้น...ชิกลับเงี่ยหูฟังเรื่องราวของคนหลังพุ่มไม้สูงอีกฟากฝั่งอย่างขะมักเขม้น
พร้อมกับโต้ตอบข้อความที่ได้ยินโดยใส่อารมณ์เต็มที่อยู่ลำพังในใจ
ประหนึ่งกำลังนั่งฟังคลับฟรายเดย์...หนึ่งในรายการโปรด
“โย...ทำไงดี
เราจะทำไงดี?...ตั้งแต่เมื่อวานเรียวยังไม่ฟื้นเลยนะโย!!”
“เบิ้ม
ใจเย็นๆ เรียวไม่เป็นอะไรมากหรอก”
‘อืม...คนชื่อโยนี่คงจะกำลังปลอบใจคนชื่อเบิ้มอยู่ล่ะสิ...
น้ำเสียงนี่น่าฟังสมกับเป็นที่ปรึกษาจริงๆเลยนะ...
สวัสดีครับพี่อ้อย
.
.
ส่วนคนชื่อเบิ้ม
ท่าทางคงจะเสียใจสุดๆ ฟังจากหางเสียงสะอื้นก็พอเดาได้’
“โธ่โย...ใจเราร้อนเป็นไฟตั้งแต่รู้ว่าเรียวเอาตัวเข้ามารับไม้แทนเราแล้ว...
.
...โยก็เห็นเรียวตอนหมดสตินอนอยู่บนเปลในรถพยาบาลก่อนจะมาถึงที่นี่ไม่ใช่เหรอ?...
...สภาพเรียวตอนนั้น...ฮึก...ทำเอาเราเจ็บเจียนตายเลยนะ”
‘คนชื่อเรียวนี่พระเอกมากกกก...
...สงสัยจะรักเบิ้มสุดๆ
ลงทุนถึงขนาดยอมเอาตัวเข้ามารับความเจ็บปวดแทน...
...โรแมนติกจัง...
.
แต่เดี๋ยว! เบิ้มกับเรียวนี่ชื่อผู้ชายชัดๆ...
อย่าบอกนะว่า เบิ้มเรียวนี่ก็เพื่อนกูรักมึงว่ะอีกคู่เหมือนกัน?!...
คุณพระ...จุดไต้ตำตอแท้ๆ!’
“ไหนเบิ้ม...บอกเราซิว่าตอนก่อนเราจะพาครูมา
มันเกิดอะไรขึ้น?”
‘เล่าเลยจ๊ะพ่อคุณ...พี่อ้อยถามเปิดประเด็นให้แล้ว’
“โยจำตุ๊กตาพี่หมีที่เรียวเคยซื้อให้เราเป็นของขวัญวันเกิดได้ไม๊...
.
...เมื่อวานตอนที่เกิดเรื่องน่ะ
เราเอาพี่หมีไปโรงเรียนด้วย
เพราะยัยกล้วยบอกว่าอยากเห็นพี่หมีที่เรียวซื้อให้...
...แต่หลังเลิกเรียน
พวกนั้นก็มาแย่งพี่หมีไป...
...ไม่ต้องบอก
โยก็รู้ใช่ไม๊...พวกนั้นต้องการอะไรจากไอ้ร่างใหญ่ใจปลาซิวอย่างเรา...
...เราเลยคิดซะว่า
เพื่อแลกกับพี่หมีของเรียว แค่โดนพวกนั้นต่อยนิดๆหน่อยๆ คงไม่ใช่เรื่องใหญ่...
.
...แต่อยู่ๆ
ตอนที่เราโดนพวกนั้นรุม เรียวก็ฝ่าเข้ามากลางวง
แล้วไล่เตะต่อยจนพวกนั้นแตกกระเจิง...
...บอกตรงๆ...พอเห็นพวกนั้นวิ่งหนีไป
เราโล่งใจนะ เพราะเผลอนึกไปว่า เราสองคนคงรอดตายแน่ๆแล้ว...
...ที่ไหนได้
พวกนั้นกลับวิ่งไปตามพวกรุ่นพี่มอหกมาช่วย...
...รู้อีกที
ทั้งเรา ทั้งเรียวก็กลายเป็นเป้าวิ่งได้ของไอ้พวกนั้นไปเป็นที่เรียบร้อย...
.
.
...เรียวน่ะ
นอกจากเรื่องโดนล้อ ก็มีแค่เรื่องเราเท่านั้น...ที่เค้าสู้ยิบตา
ไม่เคยคิดจะยอมลงให้ใครง่ายๆ...
...พอมาเห็นเราโดนทำร้าย
เค้าก็โกรธจนควันออกหู
ต่อให้ใครหน้าไหนมาห้ามยังไงก็ไม่คิดจะฟัง...
...พวกพี่มอหกเค้าคงเห็นว่าตีเราเท่าไหร่
ก็ไม่ระคายผิว...เลยเปลี่ยนจากมือ จากเท้า...มาเป็นไม้...
.
.
...แต่จังหวะที่ไม้หวดลมลงมา
เรียวก็ถลาตัวเข้ารับไม้แทนเราทันที...
...ก็พอดีกับที่โยไปเรียกครูกับลุงภารโรงมาช่วยเราสองคนเอาไว้ได้ทันนั่นแหละ ”
โอ้แม่เจ้า ดราม่ามาก...อยากเก็บตะวันไว้ที่ปลายฟ้ากับเลือดขัตติยาสุดๆ’
“เรียวนี่มันห่ามไม่ดูตัวเองเล๊ย
เป็นแค่เด็กปอสามตัวเท่าลูกหมา...
...แค่ไล่ท้าตีท้าต่อยกับเพื่อนๆแล้วชนะไม่กี่ยก ไม่ได้หมายความว่าจะทลายแกงค์เด็กมอปลายหมาหมู่ได้ง่ายๆซะหน่อย...
.
...เฮ้ออออ....
...ถ้าเรียวมันรู้ว่า...ปลายทางของความพยายามปกป้องเบิ้มอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...
...คือการที่สมองมันกระทบกระเทือนจนสูญเสียความทรงจำช่วงห้าปีหลังทั้งหมด...
...มันจะยอมเรียนรู้เรื่องความอดทน
ยอมร้องขอความช่วยเหลือจากพวกผู้ใหญ่ได้ดีขึ้นบ้างซักนิดไหม?...
.
.
...โดยเฉพาะถ้ามันรู้ว่า
มันจะจำอะไรเกี่ยวกับเบิ้มไม่ได้อีกเลยน่ะนะ....
...เฮ้ออออ...แล้วโต้ซังของเรียวว่าไงมั่ง?”
‘ห๊ะ?! ว่าไงนะ...เรียวนี่อยู่ปอสามเองเรอะ?
.
อเมซิ่ง...รู้ตัวเร็วดีจริงลูกชาย...
ส่วนลูกสาว...ท่าทางอีกหน่อย
หนูจะกลายเป็นอมตะนะจ๊ะ ฮุ ฮุ...
.
แต่เรื่องมันเศร้ากว่าที่คิดเอาไว้เยอะเลยแฮะ...
คุณแม่อยากจะร้องไห้’
“โต้ซังบอกว่าจะพาเรียวไปรักษาตัวที่ญี่ปุ่น...
...เพราะตั้งแต่แม่เรียวเสีย
นอกจากครอบครัวเรา...ก็ไม่เหลือใครดูแลเรียวระหว่างที่โต้ซังบินไปทำงานที่โน่นที่นี่...
...ท่านไม่อยากปล่อยให้เรียวอยู่ห่างสายตาในเวลาที่เรียวต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษแบบนี้น่ะ...
.
...อีกอย่าง
โต้ซังบอกว่า มีอาจารย์หมอท่านนึงเชี่ยวชาญเรื่องสมองมาก...
...ถ้ารีบพาเรียวบินกลับไปญี่ปุ่น...เรียวอาจจะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมก็ได้”
“อืม...สงสัยคงต้องปล่อยให้โต้ซังจัดการจริงๆแล้วล่ะมั้ง...
.
...ลำพังเด็กมอต้นอย่างเราสองคน
คงไม่มีทางทำอะไรให้ดีไปกว่านี้ได้แน่ๆ”
‘เรียวกับเบิ้ม...
.
รักต้องห้ามในวัยเรียน...
แถมโชคชะตายังเล่นตลก...
นางเอกโดนกลั่นแกล้งตลอดเวลา...
พระเอกก็ดันมาความจำเสื่อมจนต้องถูกจับแยกกัน...
.
อะไรมันจะเศร้าบีบหัวใจคนฟังได้มากขนาดนี้...
คุณแม่เห็นใจพวกหนูจังเลยลูก’
“ทั้งๆที่รู้ว่าถ้าเรียวกลับไปญี่ปุ่นกับโต้ซังแล้วทุกอย่างมันจะดีชึ้น...
...แต่เรากลับไม่ดีใจเลยโย...
.
...เราไม่รู้จะทำยังไง เราอยู่โดยไม่มีเรียวไม่ได้...
...โยเข้าใจเราใช่ไม๊?
เรียวเป็นทุกอย่างของเรา...
...เรียวเป็นน้อง
เป็นพี่ เป็นเพื่อน...เป็น...ฮึก.....โฮฮฮฮฮฮ.....”
‘โอ้ยยย! ตาย ตาย!...
...พี่อ้อยช่วยปลอบเบิ้มที...ลูกสาวคุณแม่ร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจอยู่แล้ว’
“พูดแบบนี้เดี๋ยวสามใบไม่เถาของเบิ้มจะโมโหเอานะ...
.
...พี่บิ๋ม พี่บี๋
พี่บุ๋มเค้ารักเบิ้มจะตาย...
...แต่น้องชายดันไปรักคนอื่นมากกว่าพี่สาวตัวเองได้ซะนี่”
“โธ่...โยอ่ะ
เราไม่มีกะใจจะเล่นนะ”
“เราก็แค่อยากให้เบิ้มยิ้มได้เฉยๆเองนี่นา...
.
...เอาอย่างงี้ดีไม๊...
...ระหว่างที่เรียวอยู่ที่โน่น
เราสองคนก็หมั่นเขียนอีเมลถามไถ่อาการของเรียวกับโต้ซัง...
...ถามโต้ซังว่าเรียวจะกลับมาอยู่ที่นี่เมื่อไหร่
หลังจากนั้น...เราค่อยออกตามหาเรียวกันอีกครั้ง...ดีไม๊เบิ้ม?”
“แต่ถ้าถึงเวลานั้น...เรียวยังจำเรื่องต่างๆระหว่างเราไม่ได้
เราจะทำยังไงล่ะโย?”
‘ไม่มีทาง!! ถึงวันนั้น คุณแม่เชื่อว่าเรียวต้องจำเบิ้มได้แน่ๆ...
เพราะขนาดอายุเท่านี้
ยังปกป้องเบิ้มเป็นอย่างดี...
.
แสดงว่า
สำหรับเรียวแล้ว เบิ้มเป็นยิ่งกว่าคนสำคัญ...
เพราะขนาดคุณแม่เองยังไม่ยอมเจ็บตัวฟรีเพราะใคร
ถ้าไม่ได้รักคนๆนั้นมากพอที่จะยอมตายแทนได้หรอกนะลูกสาว’
“ไม่ต้องห่วงหรอก...เราเชื่อว่า
ไอ้เด็กหกขวบที่ให้สัญญากับเบิ้มว่า...ถ้าโตเป็นผู้ใหญ่เมื่อไหร่ จะให้โต้ซังมาขอเบิ้มไปเป็นภรรยา
ก่อนจะเอาคัตเตอร์กรีดเลือดสาบานปิดท้าย มันจะลืมเรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้ไปง่ายๆหรอก...
.
.
...อย่างน้อยๆ
เรียวมันก็น่าจะจำหน้าเบิ้มตอนร้องไห้ขี้มูกโป่งหลังจากที่โดนขอหมั้นด้วยลูกอมคูก้าได้แน่ๆ...
...ขนาดเราที่เป็นทั้งเพื่อนเจ้าบ่าวและเจ้าสาว
เรายังลืมไม่ลงเลย หึ หึ หึ”
‘กรี๊ดดดดด...น่ารักมั่กๆ...ให้ลูกอมแทนแหวนหมั้น...หวานมันได้อีก’
“โยบ้า!!”
“เรียวมันโชคดีนะที่เจอเบิ้ม และจองเบิ้มเอาไว้เรียบร้อยแต่เนิ่นๆ...
...ดูซิเนี่ยะ
เพื่อนใครก็ไม่รู้...นิสัยน่ารัก แถมยังเป็นกุลสตรีแบบพร้อมสรรพจนผู้หญิงหลายคนยังต้องอาย...
...รับรอง...อีกหน่อยสามใบเถาต้องชิดซ้าย
เพราะน้องชายคนเล็กนี่แหละที่จะทำให้หัวกระไดบ้านไม่แห้ง...
.
.
...ส่วนเบิ้มเองก็โชคดีเหมือนกัน
ที่มีเรียวเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง...
...เพราะคนใจเด็ดรักมั่นแบบเรียวนี่แหละ
ที่จะปกป้องและดูแลเบิ้มไปตลอดชีวิตได้”
‘น่ารักจังเลย...ยังสมัครเป็นแฟนคลับของลูกทั้งสองทันไม๊เนียะ?’
“ที่พูดขนาดนี้
เพราะอยากให้เราสบายใจใช่ไม๊?...
.
...ขอบคุณมากนะโย...
...ขอบคุณจริงๆที่คอยอยู่เคียงข้างเรา
โยเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตเราเลยนะ”
‘คุณแม่เห็นด้วย...พี่อ้อยทำหน้าที่ได้ดีมาก...
.
...ขนาดคนนอกอย่างคุณแม่
แค่ได้ฟังเสียงพี่อ้อยปลอบโยนยังรู้สึกสบายใจตามไปด้วยเลย...
...เบิ้ม...หนูโชคดีมากลูก
ที่มีพี่อ้อยเป็นเพื่อนแบบนี้’
“เพื่อนกัน...คิดไรมาก...
.
...ไปเบิ้ม!...เราลงไปเฝ้าเรียวกันเถอะ...
...ถึงเรียวจะยังจำอะไรไมได้
แต่คนเอาแต่ใจคงเหงาแย่ ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอใคร...
...เราพูดถูกใช่ไม๊ล่ะ?
หึ หึ”
‘กำลังจะไปกันแล้วเหรอ?...ขอคุณแม่เห็นหน้าหน่อยได้ไม๊...
.
...คุณแม่อยากเก็บใบหน้าพวกหนูๆเอาไว้ให้นึกถึงเวลาท้อแท้ไม่มีกำลังใจน่ะลูก’
“ฮื่อ...ขอบคุณนะโย”
“ฮะ ฮะ
ฮะ...ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”
ชิรู้ตัวเองดี
เวลานี้...แขนของเขายังไม่แข็งแรงมากพอที่จะเคลื่อนรถเข็นไปข้างหน้าได้
เขาจึงยันตัวขึ้นจากรถเข็นช้าๆ
แล้วย่องไปแอบมองเด็กทั้งสองตรงข้างพุ่มไม้
ชายหนุ่มยอมรับว่า
สิ่งที่เห็น...ห่างไกลจากภาพที่คาดเอาไว้มาก
แม้จะเผื่อใจเรื่องเบิ้ม...ที่น่าจะตัวใหญ่สมชื่อเอาไว้บ้างแล้วก็ตาม..
แต่พอนึกขึ้นได้ว่า
เบิ้มยังเป็นเพียงเด็กมอต้น...ชิก็อดตกใจจนเผลอปรารภกับตัวเองเบาๆไม่ได้
“เด็กสมัยนี้ตัวโตดีเนอะ...
.
...ลูกสาวคุณแม่
แข็งแรงกำยำและล่ำมากลูก...
...แต่ดูไปดูมา...หนูเบิ้มนี่ก็น่าเอ็นดูไปอีกแบบ”
ขณะเดียวกัน ณ
ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในย่านศูนย์กลางวัยรุ่น
บรรยากาศในร้านไอศกรีมยอดนิยมช่วงบ่ายแก่ๆของวันนี้
คึกคักผิดหูผิดตาเนื่องจากอยู่ในช่วงปิดเทอมใหญ่...
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมีลูกค้าวัยรุ่นหน้าตาดีหลายกลุ่ม
ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาในร้านอย่างไม่ขาดสายก็เป็นได้
ในเมื่อมีอาหารตาคอยดึงดูดความสนใจของคนที่เดินผ่านไปมา...
จึงไม่แปลกอะไร
หากจะมีลูกค้าบางรายที่แฝงตัวเข้ามาด้วยจุดประสงค์อื่น...นอกเหนือไปจากการลิ้มลองรสชาติไอศกรีม
โต๊ะหัวมุมที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวโต๊ะนั้น...
นับเป็นอาหารตาชั้นดีของเหล่าสาวน้อยสาวใหญ่
รวมไปถึงเหล่าผู้ชายที่มีรสนิยมบูชาลัทธิโชตะเป็นที่สุด
เพราะภายในโต๊ะ
ประกอบไปด้วยสมาชิกวัยละอ่อนสองหน่อ กับเด็กน้อยหน้าสวยหวานจนแทบระบุเพศไม่ได้อีกหนึ่งคน
ซึ่งเมื่อสำรวจหน้าตาและรูปร่างของพวกเขาทั้งหมดแล้ว
อาจเผลอนึกไปได้ว่า...เด็กหนุ่มกลุ่มนี้
ต้องผ่านขั้นตอนการคัดกรองหน้าตาก่อนเริ่มคบหากันแน่ๆ
“เฮ๊ยไอ้คีย์
เมื่อกี๊ตอนออกจากห้องติว...กูเห็นมึงแอบส่องน้องสองเด็กเตรียมฯนี่หว่า”
“หุบปากไปเลยไอ้แทน!
มึงน่ะม่อน้อยกว่ากูซะที่ไหน...
.
...โซ่
เดี๋ยวพอกลับถึงบ้าน โซ่ไปฟ้องแม่เลยนะว่า จริงๆแล้วไอ้แทนมันไม่ได้อยากมาเรียนติวอะไรนี่หรอก...
...มันแค่อยากหาเรื่องออกจากบ้านมาจีบสาวคอนแวนต์”
คีย์เอี้ยวตัวไปกระซิบกระซาบข้างหูเด็กชายตัวน้อยหน้าหวานที่มีคราบช็อกโกแลตแต้มเป็นดวงๆตามสองแก้ม
ไม่รู้เป็นเพราะท่าทางสนิทจนเกินพอดีของคีย์ที่ปฏิบัติต่อโซ่...
เพราะเดือดเนื้อร้อนใจกับคำพูดหาสาระไม่ได้เมื่อครู่...
หรือเพราะไม่อยากให้แววตาผิดหวังปรากฏขึ้นในดวงตาใสๆคู่นั้น...
แทนจึงตบหัวเพื่อนสนิทไปเต็มรัก
แล้วแก้ตัวกับน้องชายต่างสายเลือดเป็นพัลวัน
“ไอ้คีย์!! พูดอย่างงี้กูเสียหายหมด...
.
...โซ่ครับ
อย่าไปเชื่อไอ้คีย์มันนะ พี่ไม่เคยทำแบบนั้นเลย เนอะ เนอะ”
แทนจับมือน้องชายไกวไปมา เจ้าตัวเล็กยิ้มแฉ่ง...ตอบพี่ชายเสียงดังฟังชัด
“โซ่เชื่อพี่แทน...เพราะพี่แทนไม่เคยโกหกโซ่!!”
“ดีมากครับ คนดีของพี่...เดี๋ยวหมดถ้วยนี้
โซ่อยากกินอะไรอีก สั่งได้เลยนะ พี่แทนเลี้ยงเอง!”
แทนเลื่อนปลายนิ้วไล้เบาๆตรงมุมปากน้องเพื่อปาดหยดไอศกรีมเพื่อไม่ให้เปื้อนเลอะเสื้อตัวเก่งของเจ้าตัวเล็ก
“ฟรวย!...มึงติดสินบนโซ่นี่หว่า...
.
...ถึงว่า...น้องมึงโคตรพูดง่ายเลย”
“สัดคีย์ครับ!
ระวังภาษาด้วย
น้องกูนั่งหัวโด่อยู่ทั้งคน...เยาวชนของประเทศชาติเลยนะมึง”
“หนอย! ทำมาเป็นพูดดีนะไอ้พี่ตัวอย่าง เมื่อกี๊มึงยังสัดคีย์อยู่เลย”
“กูเรียกมึงว่าสัตว์...ประเสริฐไง
ไม่พอใจเหรอครับเพื่อนคีย์?...
.
...แต่พอพูดถึงเรื่องสาวๆ
กูล่ะสงสัย...
...ทำไมมึงถึงยังไม่คบใครเป็นตัวเป็นตนซักทีวะ?...เอาแต่จดๆจ้องๆส่องคนนั้นที
คนนี้ทีอยู่ได้ กูล่ะรำคาญลูกตาเต็มที”
คีย์เอามือทั้งสองข้างเลื่อนไปปิดหูโซ่เอาไว้
แล้วลอยหน้าตอบเพื่อน “กูแค่รอคนที่ใช่ให้มาเกิด
ไม่ใช่คลำไปเถิด...ขอแค่ไม่เจอหางเป็นใช้ได้อย่างมึงนี่หว่าไอ้แทน หึ หึ หึ” เจ้าตัวเล็กทำหน้าเหรอหราพลางมองหน้าพี่สองคนสลับกันไปมา
ถึงคราวเอาคืน
แทนก็ไม่รอช้า...ฟาดฝ่ามือตีลงบนแขนทั้งสองของเพื่อน แล้วปัดให้ออกห่างจากแก้มน้อง
“(เพี๊ยะ เพี๊ยะ!)
เดี๋ยวนี้ยอกย้อนเก่งนักนะมึง...
.
...มึงเลือกเอา...
...มึงจะยอมบอกกูดีๆ
หรือ ควิซฟิสิกส์คราวหน้าแบบไร้โพย...
...ห๊า...คุณเพื่อนคีย์อัปปรวย?!”
“แหม...อย่าทำใจร้ายกับเพื่อนไปหน่อยเลยครับพี่แทนสุดหล่อ...
...ขอโอกาสให้ผมได้แก้ตัวซักครั้งเถอะนะครับสัส”
“.......” แทนพยักหน้าให้แทนคำตอบ
คีย์เลยยอมอธิบายสั้นๆ
“ที่กูยังไม่มีใคร
ก็เพราะกูยังไม่เจอคนในสเปคแค่นั้นเอง”
“สเปคมึงมันเป็นยังไงวะ?...
...ตอนเด็กๆเห็นมึงบอกต้องนมใหญ่ๆ
ใจดี มีตังค์เลี้ยงหนม ผมยาว...
...นั่นคือแบบฉบับของสาวในฝันของมึงเลยไม่ใช่เหรอ?”
“นั่นมันตอนเด็กๆเว่ย...แต่ตอนนี้
กูขอคนหุ่นดีๆ หน้าใสๆ เข้าอกเข้าใจกูไปซะทุกเรื่อง...
.
.
.
...ไม่งี่เง่า
ไม่เรื่องมาก ไม่เอาใจยาก ไม่ขี้บ่น ไม่เป็นคนชอบบงการ...
...ชอบอะไรคล้ายๆกู...ท่องเที่ยว
ฟังเพลง กีฬา ดารา ดนตรี...
...ที่สำคัญรักกู
รักครอบครัวกู รักเพื่อนกู รักหมากู...
...กูขอแค่นี้แหละว่ะ
ไม่มากไม่มาย” คีย์สูดหายใจเข้าลึกๆอยู่หลายรอบ เพราะเขาเองก็รู้สึกเหนื่อยไม่ใช่เล่น
”โห...นั่นเรียกไม่มากมายเหรอวะ...
.
...กูว่ายาวพอๆกับสนธิสัญญาเบาว์ริงเลยนะเว่ย” แทนเหน็บ
แต่คีย์กลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใส่ ในขณะที่เจ้าตัวเล็กที่เป็นผู้ฟังแบบรู้เรื่องบ้าง
ไม่รู้เรื่องบ้างมาโดยตลอดเวลากลับทำตาโตเป็นไข่ห่าน
“สนธิสัญญาบราวนี่ย์เหรอพี่แทน...โซ่อยากกินสนธิสัญญาบราวนี่ย์อ่ะ!!” โซ่เขย่าแขนพี่ชายพลางส่งสายตาอ้อนวอน
แต่คนที่ออกอาการหวั่นไหวก่อนกลับเป็นคีย์
“หึ หึ
หึ...น้องมึงนี่น่ารักว่ะ...
.
...ถ้าแฟนกูหน้าตาน่ารักเหมือนน้องมึงได้อีกซักข้อ
ก็คงดีเหมือนกันว่ะแทน”
“สัส! น้อยๆหน่อย โซ่น่ะของกูคนเดียว!!...โซ่ครับ เดี๋ยวพี่แทนสั่งสนธิสัญญาบราวนี่ย์มาให้กินนะครับ”
แทนอุ้มน้องมานั่งบนตักตัวเอง
แล้วล้วงทิชชู่เปียกในเป้ออกมาเพื่อเช็ดรอยเปื้อนข้างๆแก้มให้อย่างทนุถนอม
“มึงน่ะแหละน้อยๆหน่อย โซ่แม่งอยู่มอสองแล้วนะเว่ย...ทำท่าซะอย่างกับว่าน้องมึงเป็นเด็กเล็กๆอยู่ได้”
“ก็กูรักของกู...กูอยากดูแล
อยากทำทุกอย่างให้...
.
...คนไม่มีน้องอย่างมึง
ไม่มีวันเข้าใจหรอก...เนอะโซ่เนอะ...
...เอาล่ะ
เช็ดหน้าเสร็จแล้วครับ...ทีนี้หน้าก็สะอาดหอมเหมือนใหม่แล้วนะโซ่ (ฟอดดด)” แทนหอมแก้มใสของน้องตามความเคยชิน
เจ้าตัวเล็กถึงกับกลั้นยิ้มจนแก้มบุ๋ม
ก่อนกล่าวขอบคุณพี่ชายตัวเองด้วยคำพูดอย่างกระมิดกระเมี้ยน ปิดท้ายด้วยการกระทำแบบเดียวกันบนแก้มของอีกฝ่าย
นั่นจึงยิ่งทำให้แทนฉีกยิ้มกว้างไปกันใหญ่ “ขอบคุณครับพี่แทน (ฟอดดดด)”
ภาพแสดงความรักอันน่าอิจฉาของสองพี่น้องซึ่งชวนให้ใครๆที่ได้มองต่างอมยิ้ม
กลับไม่ได้สะท้อนอยู่ในแววตาหลังกรอบแว่นเลนส์หนาเตอะของเด็กชายตัวกลม
หน้าสิวเขรอะที่นั่งห่างออกไปไม่กี่โต๊ะ
เพราะไม่ว่าเมื่อไร...คนเดียวที่เขามอบความสนใจให้โดยไม่มีข้อแม้
คือ เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาโดดเด่นอีกคนต่างหาก
แม้เขาจะเรียนเก่งติดอันดับผู้นำของชั้นปี...
แต่เมื่อสืบรู้ว่าคีย์ลงเรียนติวเข้ามหาวิทยาลัยแถวๆนี้
เขาก็ลงทุนเซ้าซี้หม่าม๊าอยู่หลายวัน
กว่าจะได้ยกเลิกติวเตอร์ส่วนตัว เพื่อมาเรียนพิเศษข้างนอกบ้านอย่างคีย์บ้าง
เพราะสำหรับเขาแล้ว
นี่นับเป็นเพียงโอกาสเดียว ที่จะได้แอบเฝ้ามองรุ่นพี่ที่ชื่อคีย์อยู่ห่างๆ หลังจากอีกฝ่ายย้ายไปเรียนมอปลายที่โรงเรียนชายล้วนชื่อดังเมื่อสองปีก่อน
เด็กชายหลุดยิ้มด้วยความพอใจ
ระหว่างนึกขอบคุณตัวเองซ้ำๆที่เฝ้าอดทนรออีกฝ่ายหน้าโรงเรียนกวดวิชาอยู่เกือบชั่วโมง
เพราะในที่สุด วันนี้ก็มาถึงจนได้...
และแล้ว...เขาก็ได้รู้ว่า
คนที่คีย์ชอบ เป็นคนแบบไหน มีนิสัยใจคอ หรือ เอกลักษณ์พิเศษอย่างไร...
การได้รับรู้ความจริงข้อนี้
ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับปรุงตัวเอง ก่อนจะเดินหน้าสู่ขั้นตอนพิชิตใจรุ่นพี่ที่เขาใฝ่ฝัน
เขาอ่านทวนข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับคีย์
ที่บรรจงจดด้วยลายมือเป็นระเบียบลงในสมุดโน้ตเล่มเล็กๆ ตามปากคำของจำเลยที่เพิ่งเปรยกับเพื่อนสนิทไปเมื่อครู่
ด้วยท่าทางรื่นรมย์ราวกับกำลังอ่านบทพลอดรักของนิยายชั้นดี
สายตาของเขาไล่ไปหยุดอยู่ตรงบรรทัดแรก
ภายใต้หัวข้อซึ่งถูกขีดเส้นใต้ย้ำหลายรอบ...หัวข้อที่ว่า ‘สเปคพี่คีย์!!’
แล้วจึงละสายตาเพื่อเหลือบไปพินิจใบหน้าเล็กๆของเด็กอีกคน
ผู้ที่เพิ่งกลายเป็นประเด็นใหม่อันน่าสนใจสำหรับเขา
“พี่คีย์ชอบคนหุ่นดี
หน้าใส...และต้องน่ารักเหมือนคนๆนั้นเหรอ?” ระหว่างปล่อยให้สมองจดจำรูปลักษณ์อันงดงามของเด็กผู้ชายอีกคน...ก็อดนึกเปรียบเทียบกับตัวเองในใจไม่ได้
‘อืม...เด็กผู้ชายคนนั้นน่ารักสุดยอดจริงๆด้วยแฮะ
แล้วชาตินี้เราต้องทำยังไง
เราถึงจะน่ารักขาวใสให้ได้สักครึ่งของเขากันนะ?
.
เรียนอยู่มอสองเหมือนเราแท้ๆ...ทำไมตัวเล็กเหมือนเด็กประถมแบบนั้นก็ไม่รู้
เรานี่สิ...ตัวใหญ่จนหม่าม๊าบ่นว่าชักจะเหมือนหมีเข้าไปทุกวันๆ
หน้างี้ก็มันแผล่บ...แถมสิวเห่อจนแทบไม่รู้ว่าหน้าเรียบๆคืออะไร ฟันหน้ายังห่างจนต้องครอบเหล็กเอาไว้อีก...
.
.
เฮ้อออ! แล้วอย่างนี้...เมื่อไรพี่คีย์จะหันมาสนใจเราบ้างล่ะเนี่ยะ?’
เสียงหวานๆของพนักงานสาวเสื้อแดงกระโปรงสั้นเรียกความสนใจของเด็กชายร่างกลมได้ชะงัด “รับอะไรเพิ่มอีกไม๊คะ?”
เพื่อใคร่ครวญหาคำตอบที่ดีที่สุดให้กับคำถามข้อนี้...
เด็กชายตู๋ถึงกับต้องนั่งนิ่งๆอยู่พักใหญ่...
.
.
.
.
.
...สุดท้าย
เขาจึงตอบสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มไปอย่างอายๆว่า
“อ๋อ...ฮะ ผมขอสติ๊กกี้ชูวี่เพิ่มวิปครีมสองจุด
ช็อกโกแลตชิป กับฮ็อตฟัดจ์อีกถ้วยนึงฮะ”
ตัดภาพไปยังฝั่งตรงข้ามของร้าน...
ลูกค้าหน้าตาดีอีกกลุ่มกำลังเลือกเมนูไอศกรีมอย่างตั้งอกตั้งใจ
จะว่าไปแล้ว...หนุ่มๆในโต๊ะนี้
กลับมีความหลากหลายทางอายุสูงกว่าลูกค้าโต๊ะอื่นๆ ซึ่งโดยเฉลี่ยจัดอยู่ในกลุ่มของวัยรุ่นเสียมาก
หนึ่งคนเป็นเด็กชายหน้าตามีเค้าโครงหล่อลากดินแม้อายุยังน้อย
หากแต่ดูดื้อรั้นไม่เอาใคร
ถึงอย่างนั้น...ตัวแสบที่พูดถึง
กลับคอยหาโอกาสเกาะแข้งเกาะขาชายหนุ่มหน้าตาหมดจดอายุราวๆยี่สิบอยู่ตลอดเวลา
และสุดท้าย
คือ หนุ่มหล่อวัยทำงาน ที่ดูภูมิฐานสมวัย
“พี่นพ...เนียร์จะกินเอิร์ธเควก พี่นพกินกับเนียร์นะคร๊าบ” เจ้าตัวเล็กแต่แสบสุดเลื่อนเก้าอี้เข้าไปชิดกับเก้าอี้ของนพ
หวังจะออเซาะอีกฝ่ายได้อย่างเต็มที่
“โหเนียร์...มีกันอยู่แค่สามคน
แล้วจะกินเอิร์ธเควกหมดไม๊เนี่ยะ?” นพค้านไม่เต็มเสียงนัก
“สามคนที่ไหน...เนียร์จะกินกับพี่นพคนเดียว!!” เจ้าตัวเล็กไม่ยอมลดราวาศอก
“ทำอย่างนั้นไม่ได้นะเนียร์...
...ถ้าเรากินเอิร์ธเควกกันแค่สองคน
แล้วอย่างนี้พี่วีจะกินไอติมกับใคร?...
.
...วันนี้ทั้งวัน
พี่วีเค้าตามใจเนียร์ทุกอย่างเลยนะ...
...เนียร์บอกว่าอยากกินไอติม...พี่เค้าใจดีก็พามา
ทั้งๆที่เมื้อกี๊เนียร์เพิ่งจะกินเค้กไปเอง”
“ไม่เอา!!...เนียร์จะกินกับพี่นพ!”
นพถึงกับหน้าเสีย
เมื่อเห็นอาการดีดดิ้นไม่อยู่สุข กับใบหน้าหงิกงอพร้อมระเบิดอารมณ์เต็มแก่ของน้องชายข้างบ้าน
เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา
เด็กน้อยไม่เคยงอแงไร้เหตุผลมาก่อน
เขาไม่เข้าใจว่า
เหตุใด...เนียร์ถึงตั้งป้อมหาเรื่องฉีกหน้าเขาได้ทั้งวัน
หากเป็นวันอื่น
เขาคงไม่ปวดหัวนัก...
แต่ทำไมน้องต้องทำตัวไม่น่ารักเอาวันที่รุ่นพี่อดีตเดือนคณะชวนเขามาเที่ยวด้วยล่ะ?
“จูเนียร์! อย่าดื้อสิครับ!...
.
...ดื้อมากๆอย่างนี้
คราวหลังพี่ไม่พามาเที่ยวด้วยแล้วนะ”
“นพครับ...ไม่เป็นไรหรอก
เดี๋ยวพี่สั่งกาแฟก็ได้...พี่ไม่ค่อยชอบกินของหวานเท่าไร” วีแตะหลังมือนพเบาๆ
“ถ้างั้นพี่วีก็ไปกินกาแฟที่ร้านอื่นก็แล้วกัน...กาแฟในร้านไอติมไม่อร่อยหรอก”
เด็กชายสะบัดหางเสียง แล้วกระชากมือนพมาแนบแก้มตัวเอง
“เนียร์...เนียร์พูดกับพี่วี่อย่างนี้ได้ยังไง?!...
.
...ลืมไปแล้วเหรอไงว่า
ถ้าเมื่อเช้า พี่วีไม่ไปช่วยพูดกับพ่อแม่เราเพี่อขออนุญาตให้เนียร์ออกมากับพี่...
...ต่อให้เนียร์ร้องไห้จนลูกตาหลุดออกมาข้างนอก...
...พ่อกับแม่เนียร์ไม่มีทางใจอ่อนยอมให้เราออกมาเที่ยวเล่นกับพวกพี่แบบนี้แน่ๆ”
“ก็เนียร์พูดความจริงนี่นา
ร้านนี้ร้านไอติม...
...ถ้าพี่วีอยากกินกาแฟ...ก็ไปร้านขายกาแฟซิ...
.
.
...เนียร์พูดผิดตรงไหน...ใช่ไม๊ครับพี่วี?”
เจ้าตัวแสบทำท่ากลับลำหันมาอ้อนชายหนุ่ม หลังจากนพวางท่าปั้นปึ่งใส่
“ฮะ ฮะ
ฮะ...ครับ ครับ...เนียร์พูดถูกแล้วครับ”
“ถ้างั้นพี่วีก็ไปร้านกาแฟซะสิครับ
จะมานั่งอยู่ที่นี่ทำไม?”
“จูเนียร์!!....
.
...พี่วีครับ
นพขอโทษแทนน้องด้วยนะครับ...
...เนียร์ยังเด็กมาก...
...แกยังไม่รู้ประสาอะไร
แกเลยพูดไปเรื่อยน่ะครับ” นพกล่าวขอโทษรุ่นพี่จากใจจริง
ในขณะที่ตัวต้นเหตุเอาแต่นั่งหน้าหงิกยกมือขึ้นกอดอก
วีส่ายหัวปฏิเสธ
แล้วจึงปลอบนพให้คลายกังวล “หึ หึ หึ...พี่โอเคครับ นพไม่ต้องห่วง...
.
...เนียร์ครับ
พี่วีเปลี่ยนใจแล้วล่ะ...วันนี้พี่วีอยากลองกินไอติมดูซักหน่อย...
...ไหนเนียร์ชอบไอติมรสอะไรครับ
แนะนำพี่วีหน่อยได้ไม๊?”ชายหนุ่มยื่นหน้าเปื้อนยิ้มเข้ามาใกล้กับใบหน้าของเด็กชายพร้อมกับส่งสายตาผูกมิตร
ทว่าเด็กน้อยกลับสะบัดหน้าหนีแล้วหันไปหาคนกลางที่ทำยังหน้าปูเลี่ยนไม่เปลี่ยน
“พี่นพ...เนียร์อยากเข้าห้องน้ำ....
.
...พี่นพพาเนียร์ไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะครับ
เนียร์กลัวหลงทาง”
แม้จะยังหงุดหงิด
แต่เมื่อเห็นสายตาและท่าทางไม่สบายตัวของเด็กน้อย นพก็ยอมใจอ่อนเสียดื้อๆ “โอเค
โอเค...
...ได้ครับ
เดี๋ยวพี่พาไปเข้าห้องน้ำนะ...
.
...พี่วีอยากกินอะไร
สั่งไปก่อนเลยนะครับ...
...นพขอตัวพาเนียร์ไปเข้าห้องน้ำก่อน...ขอโทษด้วยนะครับพี่วี”
นพละล้าละลังสั่งความรุ่นพี่ หลังจากหางตาเหลือบไปเห็นตัวแสบวิ่งตื๋อออกนอกร้านไปแล้ว
“ไม่เป็นไรครับ
พี่รออยู่นี่นะ...รีบไปรีบมานะครับนพ”
“คร../พี่นพ เนียร์ปวดพูๆครับ...
.
...พี่นพ...เนียร์ไม่ไหวแล้ว!!!!” ยังไม่ทันจะรับคำรุ่นพี่ นพก็ต้องรีบวิ่งก้มหน้าออกไปสมทบกับเด็กชายที่หวนกลับมาที่ร้าน
เพื่อมาตะโกนขอร้องแกมบังคับดังลั่น...ความอาย และความเป็นห่วงเจ้าเด็กแสบทำให้เขาหมดทางเลือกอีกครั้งจนได้
“อย่าเพิ่งนะเนียร์...รอก่อน!”
“พี่นพอุ้มด้วย...เนียร์เดินไม่ไหว
เดี๋ยวพูๆจะไหลออกมา”
“ว๊าาาาาาา....เนียร์นี่
อดทนหน่อยซี่...ทำไมวันนี้ถึงได้เรื่องเยอะขนาดนี้นะเรา!!”
ก่อนจะออกตัววิ่งกระเตงพาลูกลิงเนียร์ที่กระโดดเกาะหมับเข้าแนบอกไปยังห้องน้ำตามคำสั่ง
นพก็หันไปส่งสายตาขอโทษขอโพยให้กับวีที่นั่งมองเขาตาละห้อยอีกครั้ง
ใจหนึ่ง...เขาก็อดเป็นห่วงความรู้สึกของวีขึ้นมาไม่ได้
ถึงตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เขาจะไม่เคยเปิดโอกาส หรือให้ความหวังใดๆกับอีกฝ่าย
แต่การทำลายประสบการ์ณการใช้เวลาร่วมกันสองต่อสองเป็นครั้งแรกด้วยฝีมือของเด็กน้อยข้างบ้านอย่างย่อยยับ...
ดูจะเป็นการทำร้ายความรู้สึกของวีเอามากๆ
แต่อีกใจ
ที่ดูเหมือนจะมีอำนาจอยู่เหนือทุกอย่าง...
กลับสามารถกล่อมให้เขาวางทุกสิ่งเอาไว้เบื้องหลังได้ภายในชั่วพริบตา
และสิ่งๆนั้น
มีชื่อเรียกง่ายๆว่า ‘เด็กชายจูเนียร์’...
เจ้าตัวน้อยที่เกิดหลังจากเขาสิบปี...
เด็กชายข้างบ้านที่มีอิทธิพลต่อเขาเหนือใครๆ
กับเนียร์แล้ว...เขาปราถนาจะได้เห็นรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าของเด็กตัวน้อยอยู่เสมอ
เขาอยากเป็นคนคอยดูแล
เอาใจ และทำให้น้องชายข้างบ้านตัวดี...กลายเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก
นพไม่เคยตระหนักเลยว่า
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ความรู้สึกรุนแรงของเขาที่ต้องการปกป้อง
ดูแล และมอบความสุขให้กับเด็กชายผู้ที่เขาเฝ้ามองมาตั้งแต่ครั้งยังแบเบาะ
จะผันแปรไปเป็นความรู้สึกอื่น...
ซึ่งความรู้สึกนั้น...
จะนำพาความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมาสะกิดใจเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันได้ในท้ายที่สุด
๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑
หวัดดีค่า ^^
ตอนใหม่ตอนนี้เป็นตอนพิเศษที่เขียนขึ้นเพื่ออธิบายเรื่องราวของคู่ที่มีอดีตทั้งหลาย
ซึ่งไม่ได้กล่าวอย่างชัดเจนเอาไว้ในตอนที่แล้วๆมา
(รวมทั้งบางตอนที่กำลังจะกล่าวถึงในอนาคตด้วย)
หวังว่า...เนื้อหาในตอนนี้
จะตอบคำถามคาใจของใครๆได้ไม่มากก็น้อยนะคะ
แต่ถ้ายังไม่เคลียร์ในอารมณ์อีกล่ะก็...ขอเชิญติติงได้เต็มที่ค่ะ...วะฮ่า
ฮ่า
(บ้าไปแล้ว Y_Y)
ทำไปทำมา...เรื่องสั้นต่อเนื่องเรื่องนี้
น่าจะมีจำนวนตอนทั้งสิ้นสิบตอนนะคะ
(ถ้าคนเขียนไม่เกิดบ้านึกคำที่นำหน้าด้วยตัว ‘ห.หีบ’
ซึ่งสามารถเอามามโนเป็นนิยายสั้นๆได้อีกกลางทางล่ะก็)
เพราะฉะนั้น...พวกเราทั้งหลายได้เดินทางมาถึงครึ่งทางกันแล้วค่ะ
ขอบพระคุณกำลังใจทุกๆความเห็นที่มีให้อย่างสม่ำเสมอ
เค้าดีใจและซาบซึ้งฝุดๆค่ะ ^_^
ขอให้อ่านเรื่องสั้นพวกนี้อย่างมีความสุขนะคะ
รักคนอ่านทุกคนค่ะ จ๊วบๆๆ
๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑
No comments:
Post a Comment