Tuesday, March 17, 2015

หลากเรื่องรักเกือบสั้น...ว่าด้วยพยัญชนะตัวที่ ๔๑ :: หก (เรื่องสั้นหมายเลขหก)



หก(ปีที่แล้ว)




ภายในโถงทางเดินชั้นสูงสุดของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางกรุง
ไอความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ กับความเงียบสงบเป็นนิจของสถานที่  ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มรูปร่างกำยำทั้งสอง ซึ่งมีใบหน้าละม้ายกันผ่อนฝีเท้าราวกับจงใจเดินลอยชายอย่างเช่นในตอนนี้

แต่เป็นเพราะสองหนุ่มต่างรู้ดีว่า... บุคคลทั้งหลายในห้องผู้ป่วยพิเศษที่พวกเขากำลังเดินมุ่งหน้าไปหา  ต้องการเวลาหารือกันเป็นการภายในเกี่ยวกับประเด็นคาใจของสมาชิกส่วนใหญ่ในครอบครัว

แน่ล่ะ...
เพราะหนึ่งในสองหนุ่มถือเป็นคนบุคคลภายนอกโดยสมบูรณ์
ในขณะที่อีกหนุ่ม กลับมองตัวเองว่าเป็นเพียงว่าที่สมาชิกใหม่ของครอบครัวดังกล่าว และยังไม่กล้าเหมาว่าได้รับการยอมรับสักเท่าไร...เนื่องจากพ่อแม่ของหยก ยังไม่ยกตำแหน่งลูกเขยคนสุดท้องให้เขาอย่างเป็นทางการ แม้ว่าทั้งเขาและลูกชายคนเล็กของบ้าน จะสานสัมพันธ์ฉันท์คู่รักมาได้เกือบปี


การพบปะครอบครัวแฟนในช่วงปีแรกๆของความสัมพันธ์ตามธรรมเนียมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
คือเหตุผลหลักที่ทำให้เขยมือใหม่ผู้ไม่สันทัดการเข้าสังคม จำต้องหนีบลูกพี่ลูกน้องคนสนิทมาเป็นกองหนุนด้วย...แม้ไม่มีใครออกปากเชื้อเชิญเผ่าเลยก็เถอะ

เพื่อไม่ให้เหยื่อผู้พ่วงตำแหน่งน้องชายตาดำๆ เกิดอาการเหงาปากจนเกินไปนัก
เจเลยเป็นฝ่ายเริ่มถามเผ่าเกี่ยวกับเรื่องสัพเพเหระทั่วๆไป หลังจากยุติการพูดคุยกันไปชั่วขณะหนึ่งระหว่างอยู่ในลิฟท์


“เผ่า...พ่อมึงคุยซะใหญ่โตว่ามึงได้งานแล้ว...
.
...จริงเด่ะ?” เจเหลือบมองหน้าอีกฝ่ายที่ยืดอกผึ่งผายพองฟูดูคล้ายๆกับตัวจะแตกทันทีที่คำว่า ได้งาน หลุดออกจากปากเขาด้วยสายตาทึ่งแกมขำขัน 


ท่าทีภูมิอกภูมิใจนักหนาของน้องชาย
ทำให้เขาถึงกับสงสัยว่า ในอีกห้าปีข้างหน้า...
เผ่าจะยังทำท่าเป็นอึ่งอ่างพองลมเมื่อคนอื่นถามถึงเรื่องงานอยู่หรือเปล่า

ส่วนอีกฝ่าย...เมื่อรู้สึกตัวว่าเผลอแสดงอาการดีใจออกนอกหน้า ก็รีบปรับท่าทางเป็นปกติ
แล้วจึงตอบคนเป็นพี่ด้วยน้ำเสียงราบเรียบเพื่อกลบเกลื่อนทำเหมือนเรื่องนี้ไม่สำคัญแต่อย่างใด
เพราะเผ่ารู้นิสัยใจคอพี่ชายราวกับอ่านใจตัวเอง...
เจไม่เคยศรัทธาในระบบการทำงานแบบขั้นบันไดของบริษัททั้งหลายเท่าไรนัก

สำหรับเผ่า การคุยโวในเรื่องที่คู่สนทนาไม่สนใจ เท่ากับการทำลายบรรยากาศในการสังสรรค์พูดคุยโดยใช่เหตุ...
อีกอย่าง...การทำให้คนสำคัญอึดอัดโดยไม่จำเป็น ไม่ใช่แนวทางที่เขานิยม


“เออ...พอดีบริษัทนี้เค้าไปจัดบูธที่มหาลัย กูเลยลองไปสัมภาษณ์...แล้วก็เป็นอย่างที่มึงรู้น่ะแหละ”

“ดีใจด้วยนะเว่ย...เดี๋ยวกูปิดร้านฉลองเป็นของขวัญรับปริญญาควบเลี้ยงมึงได้งานทีเดียวแม่งเลย” เจเอ่ยจากใจจริง เพราะเห็นเผ่าร่ำร้องอยากเข้าทำงานที่บริษัทนี้ใจจะขาดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

“หึ! มึงยอมรับมาเหอะเจ...
.
...จริงๆแล้ว...มึงตั้งใจจะฉลองที่ลุงกับป้ารับเรื่องมึงกับพี่หยกได้อ่ะดิ กูรู้ทันหรอกน่า” น้องชายผลักไหล่พี่เบาๆด้วยความหมั่นไส้ จนเจไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะพูดเอาความดีเข้าตัวอีกแล้ว

“นั่นก็ด้วย...ไหนๆก็ไหนๆ รวบยอดเลี้ยงแม่งทีเดียวนี่แหละวะ ประหยัดเวลา แถมยังสะดวกดี” เผ่ายักไหล่เหมือนไม่สนใจข้อเท็จจริง แล้วเปลี่ยนเรื่องทันที

“พี่หยกขึ้นมาก่อนเหรอวะ?”

“เออ ตอนยืนรอมึงจอดรถ...
...กูบอกให้เค้าไปรอที่ห้องพักฟื้นของพี่หยงน่ะ...
...เห็นว่าพ่อแม่เค้าเรียกคุยเรื่องกู คงยาวหน่อย...
.
.
...ที่บ้านเค้าค่อนข้างเป็นห่วง เพราะกูกับหยกแม่งทำงานกันคนละช่วงเวลา...
...ตัวเค้าเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ ตื่นมาก็เห็นแดดจ้า เห็นฟ้าใสๆ...
.
...ในขณะที่กูมันคนกลางคืน...
...เช้าของกูก็ตอนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า เลิกงานมา...ก็เจอพระอาทิตย์วันใหม่...
...พ่อแม่หยกคงกลัวว่ากูจะแพ้แสงสี แล้วหนีลูกเค้าไปเอาผีเสื้อราตรีแทน”

“ก็หน้ามึงมันส่อนี่หว่า”

“กูชักจะแน่ใจแล้วว่ะ ว่าตอนเล็กๆ พ่อแม่มึงคงไปเก็บมึงมาจากถังขยะแถวไหนซักที่แน่ๆ...
เพราะความปราถนาดีแก่ญาติแท้ๆของมึงนี่...ไม่เคยมีเลยว่ะเผ่า”

“อ้าว รึมึงว่าไม่จริง?...
...ก็ฝีปากมึงน่ะโคตรพลิ้ว แถมยังเป็นเจ้าของร้านเหล้าที่หน้าตาพอไปวัดไปวาได้อีกตะหาก...
...ยิ่งเดี๋ยวนี้พวกคนเมาที่นอนให้เอาง่ายๆแม่งก็เยอะชิบหาย...
...กูว่า คงมีคนอยากอาสาลดตัวลงมาเป็นเถ้าแก่เนี้ยให้ร้านมึงเยอะน่าดูล่ะว่ะ...
.
...ถ้ากูเป็นพี่หยก กูก็มีระแวงเหมือนกันนะ”

“ถ้าเหี้ยๆอย่างมึงกลายมาเป็นหยก...กูคงเลิกเป็นเกย์แบบถาวรว่ะ”

“สันดาน! ถ้ากูเป็นเกย์ กูก็ไม่เอามึงเหมือนกันแหละวะ...
..หืยยย! คิดแล้วอารมณ์เสีย!!...
.
...มึงเอากระเช้าสีม่วงหรอยนี่ไปถือเลย...
...มีอย่างที่ไหน ซื้อของมาเยี่ยมคุณแม่มือใหม่  เสือกเลือกมาแต่ของสีม่วง...
...แถมยังยัดเยียดให้กูถือมาตลอดทางอีก...
.
.
...ยังดีนะ ที่ลูกพี่หยงเป็นผู้หญิง ไม่งั้นมึงคงได้โดนที่บ้านพี่หยกสาปส่งกันวันนี้...
...สัด!  ลำพังเดินกับมึงคนก็เข้าใจผิดกูเต็มที่แล้ว ยังจะมีไอ้กระเช้าห่านี่เพิ่มมาให้คิดมากได้อีก” เผ่าบ่นพลางยื่นกระเช้าส่งให้เจ แต่อีกฝ่ายกลับยืนกอดอกมองน้องชายด้วยสายตาขบขัน

“หึ หึ...แต่จะว่าไป มึงกับสีม่วงนี่ก็เหมาะกันดีนะ...
.
...จะไม่ลองหยั่งขาเข้ามาในโลกใบเดียวกับกูดูหน่อยเหรอ?” พูดจบ เจก็เดินเข้าไปเหนี่ยวคอน้องชายเข้ามากอดเอาไว้ก่อนออกเดินต่อ พลางส่งสายตาเป็นประกายพรายระยับชวนให้อีกฝ่ายรู้สึกคลื่นเหียน

“เจ...กูขอร้อง มึงอย่าทำท่าแบบนี้ได้ไม๊วะ.....กูขนลุก!


เมื่อสมองรับรู้ได้ถึงอันตราย เผ่าจึงตะเกียกตะกายยันตัวออกจากอ้อมกอดของพี่ชายด้วยอาการทุลักทุเล
แต่นับว่าออกตัวช้าไปมาก...เพราะมือของเจเริ่มจะลูบไล้ไปตามสันแก้ม และกรอบใบหน้าของเขาอย่างยั่วล้อ


“ทำไมล่ะเผ่าครับ?...เผ่าไม่ชอบล่ำๆแบบเจเหรอ?...
.
...หรือพี่เผ่าชอบแบบน่ารักๆเหมือนจ๋าล่ะคะ?” เจดัดเสียง พร้อมกับทำท่าโอเว่อร์สะดีดสะดิ้งเกินจริง พลางออกวิ่งไล่ตามน้องชายที่จ้ำอ้าวหนีไปตั้งแต่ประโยคเมื่อครู่ของเขา

“ไอ้ห่า!! หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ...อย่าเข้ามา  กูกลัววววว!!!

“พี่เผ่าขา.....รอจ๋าด้วยยยยยยยยย!!!

“อี๋!!! กูมีพระนะ!




สองหนุ่มวิ่งไล่กันผ่านทางเชื่อมของโรงพยาบาลซึ่งทำเป็นสวนหย่อมขนาดเล็ก สำหรับให้ผู้ป่วยและญาติใช้นั่งพักผ่อน
เสียงโวยวายของเผ่ากับเจ  สะกิดให้หนุ่มหน้าหวานร่างบางในชุดผู้ป่วยซึ่งนั่งห่อตัวอยู่ในรถเข็น  รู้สึกสนใจในความเคลื่อนไหวอันแสนวุ่นวาย ถึงขั้นยอมเหลียวหลังกลับไปมอง  โดยลืมไปเสียสนิทว่า...น้องสาวผู้กำลังเข็นรถให้เขาอยู่เบื้องหลังกำลังเจื้อยแจ้วถึงเรื่องอะไรอยู่


“พี่ชิ...พี่ชิฟังช่าอยู่ป่ะเนี่ยะ?” เสียงหวานๆของสาวน้อยวัยกระเตาะร้องท้วงผู้เป็นพี่ที่ยังนั่งเพ่งสายตาไปทางอื่น

“ห๊ะ?...เอ่อ.....แล้วเมื่อกี๊ช่าพูดอะไรล่ะ?”

“โห...พี่ชิก็ ปล่อยให้ช่าพูดอยู่ได้คนเดียวตั้งนานสองนาน...
...เฮ้ออออ ตลอดเลยนะเดี๋ยวนี้... น้องนุ่งนี่ไม่คิดจะสนใจ...แต่ก็ช่างเถอะ...
.
.
...ช่าบอกว่า เดี๋ยวพอพี่ชิออกจากโรงพยาบาลเย็นนี้แล้ว...
...กลับบ้านไปต้องรีบนอนนะ เพราะพรุ่งนี้พ่อจะพาพี่กับช่าไปสถานทูตตั้งแต่ก่อนหกโมง”

“อือๆ รีบนอนๆ” ชิตอบส่งๆ สายตายังคงจับจ้องสองพี่น้องเมื่อครู่ไม่วาง...ปฏิเสธไม่ได้ว่าน่ามองทั้งสองคน
แม้บุคลิกลักษณะของทั้งคู่จะแตกต่างกับคนที่ทำหัวใจเขาปี้ป่นไม่เหลือชิ้นดีอย่างลิบลับก็เถอะ...
.
.
...พี่ธีร์...
.
.
ชายหนุ่มนึกโกรธตัวเองที่ยังมีแก่ใจนึกถึงผู้ชายอีกคนที่ไม่มีตัวตนอยู่ในที่นี้
แต่เขาจะทำอย่างไรได้ล่ะ...
ในเมื่อตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าอีกสักกี่ปี ถึงจะลืมเรื่องของคนๆนั้นไปจากใจได้เสียที


“โห่...ช่าไม่คุยด้วยแล้ว” ช่าตัดบทด้วยไม่อยากกวนใจพี่ชายที่กำลังเหม่อ  หญิงสาวเข็นรถเข็นนำผู้ป่วยไปหยุดตรงใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ใจกลางพื้นที่สีเขียวซึ่งจัดแต่งอย่างสวยงาม “พี่ชิดูวิวไปก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวช่าลงไปซื้อขนมแป๊บนึง...เอาไรป่ะ?”

“ไม่ล่ะ ช่าไปเถอะ”  


ชิทอดสายตามองไปยังภาพของกรุงเทพฯเบื้องล่าง
เขาอดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่า ถ้าเปลี่ยนจากทางรถไฟเป็นแม่น้ำ...
วิวตรงนี้คงไม่ต่างกับวิวจากระเบียงคอนโดเท่าไรนัก

คอนโด...
สถานที่สุดท้ายที่เขาใช้เวลากับพี่ธีร์...


“ฮืออออออ........โฮ”


หนุ่มร่างบางถอนใจอย่างโล่งอก ทันทีที่ได้ยินเสียงฟูมฟายของผู้ชายคนหนึ่งดังมาจากอีกด้านหนึ่งของส่วนที่เขานั่งอยู่...
ชิไม่ได้เสียใจจนเป็นบ้า ขนาดที่รู้ว่าคนอื่นโศกเศร้าแล้วยังมีความสุขอยู่ได้...

หากแต่เสียงร้อนอกร้อนใจนั้น ช่วยฉุดให้เขาไม่ต้องตกอยู่ในภวังค์ที่มีแต่ภาพเก่าๆของเขากับผู้ชายอีกคน...
เพราะเขารู้ซึ้งว่า ถึงวันนี้จะไม่มีน้ำตา...
แต่ความเจ็บปวดที่มากับความทรงจำของวันเก่าๆ ก็ทำให้เสียใจไม่ใช่เล่น

แม้การแอบฟังเรื่องคนอื่นเท่ากับการล่วงเกินความเป็นส่วนตัว อีกทั้งยังเสียมารยาท
ถึงอย่างนั้น...ชิกลับเงี่ยหูฟังเรื่องราวของคนหลังพุ่มไม้สูงอีกฟากฝั่งอย่างขะมักเขม้น
พร้อมกับโต้ตอบข้อความที่ได้ยินโดยใส่อารมณ์เต็มที่อยู่ลำพังในใจ ประหนึ่งกำลังนั่งฟังคลับฟรายเดย์...หนึ่งในรายการโปรด


“โย...ทำไงดี เราจะทำไงดี?...ตั้งแต่เมื่อวานเรียวยังไม่ฟื้นเลยนะโย!!

“เบิ้ม ใจเย็นๆ เรียวไม่เป็นอะไรมากหรอก”


อืม...คนชื่อโยนี่คงจะกำลังปลอบใจคนชื่อเบิ้มอยู่ล่ะสิ...
น้ำเสียงนี่น่าฟังสมกับเป็นที่ปรึกษาจริงๆเลยนะ... สวัสดีครับพี่อ้อย
.
.
ส่วนคนชื่อเบิ้ม ท่าทางคงจะเสียใจสุดๆ ฟังจากหางเสียงสะอื้นก็พอเดาได้


“โธ่โย...ใจเราร้อนเป็นไฟตั้งแต่รู้ว่าเรียวเอาตัวเข้ามารับไม้แทนเราแล้ว...
.
...โยก็เห็นเรียวตอนหมดสตินอนอยู่บนเปลในรถพยาบาลก่อนจะมาถึงที่นี่ไม่ใช่เหรอ?...
...สภาพเรียวตอนนั้น...ฮึก...ทำเอาเราเจ็บเจียนตายเลยนะ”


 ‘คนชื่อเรียวนี่พระเอกมากกกก...
...สงสัยจะรักเบิ้มสุดๆ ลงทุนถึงขนาดยอมเอาตัวเข้ามารับความเจ็บปวดแทน...
...โรแมนติกจัง...
.
แต่เดี๋ยว! เบิ้มกับเรียวนี่ชื่อผู้ชายชัดๆ...
อย่าบอกนะว่า เบิ้มเรียวนี่ก็เพื่อนกูรักมึงว่ะอีกคู่เหมือนกัน?!...
คุณพระ...จุดไต้ตำตอแท้ๆ!’


“ไหนเบิ้ม...บอกเราซิว่าตอนก่อนเราจะพาครูมา มันเกิดอะไรขึ้น?”


เล่าเลยจ๊ะพ่อคุณ...พี่อ้อยถามเปิดประเด็นให้แล้ว


“โยจำตุ๊กตาพี่หมีที่เรียวเคยซื้อให้เราเป็นของขวัญวันเกิดได้ไม๊...
.
...เมื่อวานตอนที่เกิดเรื่องน่ะ เราเอาพี่หมีไปโรงเรียนด้วย เพราะยัยกล้วยบอกว่าอยากเห็นพี่หมีที่เรียวซื้อให้... 
...แต่หลังเลิกเรียน พวกนั้นก็มาแย่งพี่หมีไป...
...ไม่ต้องบอก โยก็รู้ใช่ไม๊...พวกนั้นต้องการอะไรจากไอ้ร่างใหญ่ใจปลาซิวอย่างเรา...
...เราเลยคิดซะว่า เพื่อแลกกับพี่หมีของเรียว แค่โดนพวกนั้นต่อยนิดๆหน่อยๆ คงไม่ใช่เรื่องใหญ่...
.
...แต่อยู่ๆ ตอนที่เราโดนพวกนั้นรุม เรียวก็ฝ่าเข้ามากลางวง แล้วไล่เตะต่อยจนพวกนั้นแตกกระเจิง...
...บอกตรงๆ...พอเห็นพวกนั้นวิ่งหนีไป เราโล่งใจนะ เพราะเผลอนึกไปว่า เราสองคนคงรอดตายแน่ๆแล้ว...
...ที่ไหนได้ พวกนั้นกลับวิ่งไปตามพวกรุ่นพี่มอหกมาช่วย...
...รู้อีกที ทั้งเรา ทั้งเรียวก็กลายเป็นเป้าวิ่งได้ของไอ้พวกนั้นไปเป็นที่เรียบร้อย...
.
.
...เรียวน่ะ นอกจากเรื่องโดนล้อ ก็มีแค่เรื่องเราเท่านั้น...ที่เค้าสู้ยิบตา ไม่เคยคิดจะยอมลงให้ใครง่ายๆ...
...พอมาเห็นเราโดนทำร้าย เค้าก็โกรธจนควันออกหู  ต่อให้ใครหน้าไหนมาห้ามยังไงก็ไม่คิดจะฟัง...
...พวกพี่มอหกเค้าคงเห็นว่าตีเราเท่าไหร่ ก็ไม่ระคายผิว...เลยเปลี่ยนจากมือ จากเท้า...มาเป็นไม้...
.
.
...แต่จังหวะที่ไม้หวดลมลงมา เรียวก็ถลาตัวเข้ารับไม้แทนเราทันที...
...ก็พอดีกับที่โยไปเรียกครูกับลุงภารโรงมาช่วยเราสองคนเอาไว้ได้ทันนั่นแหละ


โอ้แม่เจ้า ดราม่ามาก...อยากเก็บตะวันไว้ที่ปลายฟ้ากับเลือดขัตติยาสุดๆ


“เรียวนี่มันห่ามไม่ดูตัวเองเล๊ย เป็นแค่เด็กปอสามตัวเท่าลูกหมา...
...แค่ไล่ท้าตีท้าต่อยกับเพื่อนๆแล้วชนะไม่กี่ยก  ไม่ได้หมายความว่าจะทลายแกงค์เด็กมอปลายหมาหมู่ได้ง่ายๆซะหน่อย...
.
...เฮ้ออออ....
...ถ้าเรียวมันรู้ว่า...ปลายทางของความพยายามปกป้องเบิ้มอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...
...คือการที่สมองมันกระทบกระเทือนจนสูญเสียความทรงจำช่วงห้าปีหลังทั้งหมด...
...มันจะยอมเรียนรู้เรื่องความอดทน  ยอมร้องขอความช่วยเหลือจากพวกผู้ใหญ่ได้ดีขึ้นบ้างซักนิดไหม?...
.
.
...โดยเฉพาะถ้ามันรู้ว่า มันจะจำอะไรเกี่ยวกับเบิ้มไม่ได้อีกเลยน่ะนะ....
...เฮ้ออออ...แล้วโต้ซังของเรียวว่าไงมั่ง?”


 ‘ห๊ะ?! ว่าไงนะ...เรียวนี่อยู่ปอสามเองเรอะ?
.
อเมซิ่ง...รู้ตัวเร็วดีจริงลูกชาย...
ส่วนลูกสาว...ท่าทางอีกหน่อย หนูจะกลายเป็นอมตะนะจ๊ะ ฮุ ฮุ...
.
แต่เรื่องมันเศร้ากว่าที่คิดเอาไว้เยอะเลยแฮะ...
คุณแม่อยากจะร้องไห้


“โต้ซังบอกว่าจะพาเรียวไปรักษาตัวที่ญี่ปุ่น...
...เพราะตั้งแต่แม่เรียวเสีย นอกจากครอบครัวเรา...ก็ไม่เหลือใครดูแลเรียวระหว่างที่โต้ซังบินไปทำงานที่โน่นที่นี่...
...ท่านไม่อยากปล่อยให้เรียวอยู่ห่างสายตาในเวลาที่เรียวต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษแบบนี้น่ะ...
.
...อีกอย่าง โต้ซังบอกว่า มีอาจารย์หมอท่านนึงเชี่ยวชาญเรื่องสมองมาก...
...ถ้ารีบพาเรียวบินกลับไปญี่ปุ่น...เรียวอาจจะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมก็ได้”

“อืม...สงสัยคงต้องปล่อยให้โต้ซังจัดการจริงๆแล้วล่ะมั้ง...
.
...ลำพังเด็กมอต้นอย่างเราสองคน คงไม่มีทางทำอะไรให้ดีไปกว่านี้ได้แน่ๆ”


 ‘เรียวกับเบิ้ม...
.
รักต้องห้ามในวัยเรียน...
แถมโชคชะตายังเล่นตลก...
นางเอกโดนกลั่นแกล้งตลอดเวลา...
พระเอกก็ดันมาความจำเสื่อมจนต้องถูกจับแยกกัน...
.
อะไรมันจะเศร้าบีบหัวใจคนฟังได้มากขนาดนี้...
คุณแม่เห็นใจพวกหนูจังเลยลูก


“ทั้งๆที่รู้ว่าถ้าเรียวกลับไปญี่ปุ่นกับโต้ซังแล้วทุกอย่างมันจะดีชึ้น...
...แต่เรากลับไม่ดีใจเลยโย...
.
...เราไม่รู้จะทำยังไง  เราอยู่โดยไม่มีเรียวไม่ได้...
...โยเข้าใจเราใช่ไม๊? เรียวเป็นทุกอย่างของเรา...
...เรียวเป็นน้อง เป็นพี่ เป็นเพื่อน...เป็น...ฮึก.....โฮฮฮฮฮฮ.....”


 ‘โอ้ยยย! ตาย ตาย!...
...พี่อ้อยช่วยปลอบเบิ้มที...ลูกสาวคุณแม่ร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจอยู่แล้ว


“พูดแบบนี้เดี๋ยวสามใบไม่เถาของเบิ้มจะโมโหเอานะ...
.
...พี่บิ๋ม พี่บี๋ พี่บุ๋มเค้ารักเบิ้มจะตาย...
...แต่น้องชายดันไปรักคนอื่นมากกว่าพี่สาวตัวเองได้ซะนี่”

“โธ่...โยอ่ะ เราไม่มีกะใจจะเล่นนะ”

“เราก็แค่อยากให้เบิ้มยิ้มได้เฉยๆเองนี่นา...
.
...เอาอย่างงี้ดีไม๊...
...ระหว่างที่เรียวอยู่ที่โน่น เราสองคนก็หมั่นเขียนอีเมลถามไถ่อาการของเรียวกับโต้ซัง...
...ถามโต้ซังว่าเรียวจะกลับมาอยู่ที่นี่เมื่อไหร่  หลังจากนั้น...เราค่อยออกตามหาเรียวกันอีกครั้ง...ดีไม๊เบิ้ม?”

“แต่ถ้าถึงเวลานั้น...เรียวยังจำเรื่องต่างๆระหว่างเราไม่ได้ เราจะทำยังไงล่ะโย?”


 ‘ไม่มีทาง!! ถึงวันนั้น คุณแม่เชื่อว่าเรียวต้องจำเบิ้มได้แน่ๆ...
เพราะขนาดอายุเท่านี้ ยังปกป้องเบิ้มเป็นอย่างดี...
.
แสดงว่า สำหรับเรียวแล้ว เบิ้มเป็นยิ่งกว่าคนสำคัญ...
เพราะขนาดคุณแม่เองยังไม่ยอมเจ็บตัวฟรีเพราะใคร ถ้าไม่ได้รักคนๆนั้นมากพอที่จะยอมตายแทนได้หรอกนะลูกสาว


“ไม่ต้องห่วงหรอก...เราเชื่อว่า ไอ้เด็กหกขวบที่ให้สัญญากับเบิ้มว่า...ถ้าโตเป็นผู้ใหญ่เมื่อไหร่ จะให้โต้ซังมาขอเบิ้มไปเป็นภรรยา ก่อนจะเอาคัตเตอร์กรีดเลือดสาบานปิดท้าย มันจะลืมเรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้ไปง่ายๆหรอก...
.
.
...อย่างน้อยๆ เรียวมันก็น่าจะจำหน้าเบิ้มตอนร้องไห้ขี้มูกโป่งหลังจากที่โดนขอหมั้นด้วยลูกอมคูก้าได้แน่ๆ...
...ขนาดเราที่เป็นทั้งเพื่อนเจ้าบ่าวและเจ้าสาว เรายังลืมไม่ลงเลย หึ หึ หึ”


 ‘กรี๊ดดดดด...น่ารักมั่กๆ...ให้ลูกอมแทนแหวนหมั้น...หวานมันได้อีก


“โยบ้า!!

“เรียวมันโชคดีนะที่เจอเบิ้ม และจองเบิ้มเอาไว้เรียบร้อยแต่เนิ่นๆ...
...ดูซิเนี่ยะ เพื่อนใครก็ไม่รู้...นิสัยน่ารัก แถมยังเป็นกุลสตรีแบบพร้อมสรรพจนผู้หญิงหลายคนยังต้องอาย...
...รับรอง...อีกหน่อยสามใบเถาต้องชิดซ้าย เพราะน้องชายคนเล็กนี่แหละที่จะทำให้หัวกระไดบ้านไม่แห้ง...
.
.
...ส่วนเบิ้มเองก็โชคดีเหมือนกัน ที่มีเรียวเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง...
...เพราะคนใจเด็ดรักมั่นแบบเรียวนี่แหละ ที่จะปกป้องและดูแลเบิ้มไปตลอดชีวิตได้”


น่ารักจังเลย...ยังสมัครเป็นแฟนคลับของลูกทั้งสองทันไม๊เนียะ?


“ที่พูดขนาดนี้ เพราะอยากให้เราสบายใจใช่ไม๊?...
.
...ขอบคุณมากนะโย...
...ขอบคุณจริงๆที่คอยอยู่เคียงข้างเรา โยเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตเราเลยนะ”


 ‘คุณแม่เห็นด้วย...พี่อ้อยทำหน้าที่ได้ดีมาก...
.
...ขนาดคนนอกอย่างคุณแม่ แค่ได้ฟังเสียงพี่อ้อยปลอบโยนยังรู้สึกสบายใจตามไปด้วยเลย...
...เบิ้ม...หนูโชคดีมากลูก ที่มีพี่อ้อยเป็นเพื่อนแบบนี้


“เพื่อนกัน...คิดไรมาก...
.
...ไปเบิ้ม!...เราลงไปเฝ้าเรียวกันเถอะ...
...ถึงเรียวจะยังจำอะไรไมได้ แต่คนเอาแต่ใจคงเหงาแย่ ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอใคร...
...เราพูดถูกใช่ไม๊ล่ะ? หึ หึ”


กำลังจะไปกันแล้วเหรอ?...ขอคุณแม่เห็นหน้าหน่อยได้ไม๊...
.
...คุณแม่อยากเก็บใบหน้าพวกหนูๆเอาไว้ให้นึกถึงเวลาท้อแท้ไม่มีกำลังใจน่ะลูก


“ฮื่อ...ขอบคุณนะโย”

“ฮะ ฮะ ฮะ...ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”


ชิรู้ตัวเองดี เวลานี้...แขนของเขายังไม่แข็งแรงมากพอที่จะเคลื่อนรถเข็นไปข้างหน้าได้
เขาจึงยันตัวขึ้นจากรถเข็นช้าๆ แล้วย่องไปแอบมองเด็กทั้งสองตรงข้างพุ่มไม้

ชายหนุ่มยอมรับว่า สิ่งที่เห็น...ห่างไกลจากภาพที่คาดเอาไว้มาก
แม้จะเผื่อใจเรื่องเบิ้ม...ที่น่าจะตัวใหญ่สมชื่อเอาไว้บ้างแล้วก็ตาม..
แต่พอนึกขึ้นได้ว่า เบิ้มยังเป็นเพียงเด็กมอต้น...ชิก็อดตกใจจนเผลอปรารภกับตัวเองเบาๆไม่ได้


“เด็กสมัยนี้ตัวโตดีเนอะ...
.
...ลูกสาวคุณแม่ แข็งแรงกำยำและล่ำมากลูก...
...แต่ดูไปดูมา...หนูเบิ้มนี่ก็น่าเอ็นดูไปอีกแบบ”






ขณะเดียวกัน ณ ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในย่านศูนย์กลางวัยรุ่น
บรรยากาศในร้านไอศกรีมยอดนิยมช่วงบ่ายแก่ๆของวันนี้  คึกคักผิดหูผิดตาเนื่องจากอยู่ในช่วงปิดเทอมใหญ่...
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมีลูกค้าวัยรุ่นหน้าตาดีหลายกลุ่ม ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาในร้านอย่างไม่ขาดสายก็เป็นได้

ในเมื่อมีอาหารตาคอยดึงดูดความสนใจของคนที่เดินผ่านไปมา...
จึงไม่แปลกอะไร หากจะมีลูกค้าบางรายที่แฝงตัวเข้ามาด้วยจุดประสงค์อื่น...นอกเหนือไปจากการลิ้มลองรสชาติไอศกรีม




โต๊ะหัวมุมที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวโต๊ะนั้น...
นับเป็นอาหารตาชั้นดีของเหล่าสาวน้อยสาวใหญ่ รวมไปถึงเหล่าผู้ชายที่มีรสนิยมบูชาลัทธิโชตะเป็นที่สุด

เพราะภายในโต๊ะ ประกอบไปด้วยสมาชิกวัยละอ่อนสองหน่อ กับเด็กน้อยหน้าสวยหวานจนแทบระบุเพศไม่ได้อีกหนึ่งคน
ซึ่งเมื่อสำรวจหน้าตาและรูปร่างของพวกเขาทั้งหมดแล้ว
อาจเผลอนึกไปได้ว่า...เด็กหนุ่มกลุ่มนี้ ต้องผ่านขั้นตอนการคัดกรองหน้าตาก่อนเริ่มคบหากันแน่ๆ


“เฮ๊ยไอ้คีย์ เมื่อกี๊ตอนออกจากห้องติว...กูเห็นมึงแอบส่องน้องสองเด็กเตรียมฯนี่หว่า”

“หุบปากไปเลยไอ้แทน!  มึงน่ะม่อน้อยกว่ากูซะที่ไหน...
.
...โซ่ เดี๋ยวพอกลับถึงบ้าน โซ่ไปฟ้องแม่เลยนะว่า จริงๆแล้วไอ้แทนมันไม่ได้อยากมาเรียนติวอะไรนี่หรอก...
...มันแค่อยากหาเรื่องออกจากบ้านมาจีบสาวคอนแวนต์”  คีย์เอี้ยวตัวไปกระซิบกระซาบข้างหูเด็กชายตัวน้อยหน้าหวานที่มีคราบช็อกโกแลตแต้มเป็นดวงๆตามสองแก้ม


ไม่รู้เป็นเพราะท่าทางสนิทจนเกินพอดีของคีย์ที่ปฏิบัติต่อโซ่...
เพราะเดือดเนื้อร้อนใจกับคำพูดหาสาระไม่ได้เมื่อครู่...
หรือเพราะไม่อยากให้แววตาผิดหวังปรากฏขึ้นในดวงตาใสๆคู่นั้น...
แทนจึงตบหัวเพื่อนสนิทไปเต็มรัก แล้วแก้ตัวกับน้องชายต่างสายเลือดเป็นพัลวัน


“ไอ้คีย์!! พูดอย่างงี้กูเสียหายหมด...
.
...โซ่ครับ อย่าไปเชื่อไอ้คีย์มันนะ พี่ไม่เคยทำแบบนั้นเลย เนอะ เนอะ” แทนจับมือน้องชายไกวไปมา เจ้าตัวเล็กยิ้มแฉ่ง...ตอบพี่ชายเสียงดังฟังชัด

“โซ่เชื่อพี่แทน...เพราะพี่แทนไม่เคยโกหกโซ่!!

“ดีมากครับ คนดีของพี่...เดี๋ยวหมดถ้วยนี้ โซ่อยากกินอะไรอีก สั่งได้เลยนะ พี่แทนเลี้ยงเอง!” แทนเลื่อนปลายนิ้วไล้เบาๆตรงมุมปากน้องเพื่อปาดหยดไอศกรีมเพื่อไม่ให้เปื้อนเลอะเสื้อตัวเก่งของเจ้าตัวเล็ก

“ฟรวย!...มึงติดสินบนโซ่นี่หว่า...
.
...ถึงว่า...น้องมึงโคตรพูดง่ายเลย”

“สัดคีย์ครับ! ระวังภาษาด้วย น้องกูนั่งหัวโด่อยู่ทั้งคน...เยาวชนของประเทศชาติเลยนะมึง”

“หนอย! ทำมาเป็นพูดดีนะไอ้พี่ตัวอย่าง เมื่อกี๊มึงยังสัดคีย์อยู่เลย”

“กูเรียกมึงว่าสัตว์...ประเสริฐไง ไม่พอใจเหรอครับเพื่อนคีย์?...
.
...แต่พอพูดถึงเรื่องสาวๆ กูล่ะสงสัย...
...ทำไมมึงถึงยังไม่คบใครเป็นตัวเป็นตนซักทีวะ?...เอาแต่จดๆจ้องๆส่องคนนั้นที คนนี้ทีอยู่ได้ กูล่ะรำคาญลูกตาเต็มที”

คีย์เอามือทั้งสองข้างเลื่อนไปปิดหูโซ่เอาไว้ แล้วลอยหน้าตอบเพื่อน “กูแค่รอคนที่ใช่ให้มาเกิด ไม่ใช่คลำไปเถิด...ขอแค่ไม่เจอหางเป็นใช้ได้อย่างมึงนี่หว่าไอ้แทน หึ หึ หึ”  เจ้าตัวเล็กทำหน้าเหรอหราพลางมองหน้าพี่สองคนสลับกันไปมา

ถึงคราวเอาคืน แทนก็ไม่รอช้า...ฟาดฝ่ามือตีลงบนแขนทั้งสองของเพื่อน แล้วปัดให้ออกห่างจากแก้มน้อง “(เพี๊ยะ เพี๊ยะ!) เดี๋ยวนี้ยอกย้อนเก่งนักนะมึง...
.
...มึงเลือกเอา...
...มึงจะยอมบอกกูดีๆ หรือ ควิซฟิสิกส์คราวหน้าแบบไร้โพย...
...ห๊า...คุณเพื่อนคีย์อัปปรวย?!

“แหม...อย่าทำใจร้ายกับเพื่อนไปหน่อยเลยครับพี่แทนสุดหล่อ...
...ขอโอกาสให้ผมได้แก้ตัวซักครั้งเถอะนะครับสัส”

“.......” แทนพยักหน้าให้แทนคำตอบ คีย์เลยยอมอธิบายสั้นๆ

“ที่กูยังไม่มีใคร ก็เพราะกูยังไม่เจอคนในสเปคแค่นั้นเอง”

“สเปคมึงมันเป็นยังไงวะ?...
...ตอนเด็กๆเห็นมึงบอกต้องนมใหญ่ๆ ใจดี มีตังค์เลี้ยงหนม ผมยาว...
...นั่นคือแบบฉบับของสาวในฝันของมึงเลยไม่ใช่เหรอ?”

“นั่นมันตอนเด็กๆเว่ย...แต่ตอนนี้ กูขอคนหุ่นดีๆ หน้าใสๆ เข้าอกเข้าใจกูไปซะทุกเรื่อง...
.
.
.
...ไม่งี่เง่า ไม่เรื่องมาก ไม่เอาใจยาก ไม่ขี้บ่น ไม่เป็นคนชอบบงการ...
...ชอบอะไรคล้ายๆกู...ท่องเที่ยว ฟังเพลง กีฬา ดารา ดนตรี... 
...ที่สำคัญรักกู รักครอบครัวกู รักเพื่อนกู รักหมากู...
...กูขอแค่นี้แหละว่ะ ไม่มากไม่มาย” คีย์สูดหายใจเข้าลึกๆอยู่หลายรอบ เพราะเขาเองก็รู้สึกเหนื่อยไม่ใช่เล่น

”โห...นั่นเรียกไม่มากมายเหรอวะ...
.
...กูว่ายาวพอๆกับสนธิสัญญาเบาว์ริงเลยนะเว่ย” แทนเหน็บ แต่คีย์กลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใส่ ในขณะที่เจ้าตัวเล็กที่เป็นผู้ฟังแบบรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้างมาโดยตลอดเวลากลับทำตาโตเป็นไข่ห่าน

“สนธิสัญญาบราวนี่ย์เหรอพี่แทน...โซ่อยากกินสนธิสัญญาบราวนี่ย์อ่ะ!!” โซ่เขย่าแขนพี่ชายพลางส่งสายตาอ้อนวอน แต่คนที่ออกอาการหวั่นไหวก่อนกลับเป็นคีย์

“หึ หึ หึ...น้องมึงนี่น่ารักว่ะ...
.
...ถ้าแฟนกูหน้าตาน่ารักเหมือนน้องมึงได้อีกซักข้อ ก็คงดีเหมือนกันว่ะแทน”

“สัส! น้อยๆหน่อย โซ่น่ะของกูคนเดียว!!...โซ่ครับ เดี๋ยวพี่แทนสั่งสนธิสัญญาบราวนี่ย์มาให้กินนะครับ” แทนอุ้มน้องมานั่งบนตักตัวเอง แล้วล้วงทิชชู่เปียกในเป้ออกมาเพื่อเช็ดรอยเปื้อนข้างๆแก้มให้อย่างทนุถนอม

“มึงน่ะแหละน้อยๆหน่อย  โซ่แม่งอยู่มอสองแล้วนะเว่ย...ทำท่าซะอย่างกับว่าน้องมึงเป็นเด็กเล็กๆอยู่ได้”

“ก็กูรักของกู...กูอยากดูแล อยากทำทุกอย่างให้...
.
...คนไม่มีน้องอย่างมึง ไม่มีวันเข้าใจหรอก...เนอะโซ่เนอะ...
...เอาล่ะ เช็ดหน้าเสร็จแล้วครับ...ทีนี้หน้าก็สะอาดหอมเหมือนใหม่แล้วนะโซ่ (ฟอดดด)” แทนหอมแก้มใสของน้องตามความเคยชิน

เจ้าตัวเล็กถึงกับกลั้นยิ้มจนแก้มบุ๋ม ก่อนกล่าวขอบคุณพี่ชายตัวเองด้วยคำพูดอย่างกระมิดกระเมี้ยน ปิดท้ายด้วยการกระทำแบบเดียวกันบนแก้มของอีกฝ่าย นั่นจึงยิ่งทำให้แทนฉีกยิ้มกว้างไปกันใหญ่ “ขอบคุณครับพี่แทน (ฟอดดดด)”




ภาพแสดงความรักอันน่าอิจฉาของสองพี่น้องซึ่งชวนให้ใครๆที่ได้มองต่างอมยิ้ม
กลับไม่ได้สะท้อนอยู่ในแววตาหลังกรอบแว่นเลนส์หนาเตอะของเด็กชายตัวกลม หน้าสิวเขรอะที่นั่งห่างออกไปไม่กี่โต๊ะ
เพราะไม่ว่าเมื่อไร...คนเดียวที่เขามอบความสนใจให้โดยไม่มีข้อแม้ คือ เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาโดดเด่นอีกคนต่างหาก

แม้เขาจะเรียนเก่งติดอันดับผู้นำของชั้นปี...
แต่เมื่อสืบรู้ว่าคีย์ลงเรียนติวเข้ามหาวิทยาลัยแถวๆนี้
เขาก็ลงทุนเซ้าซี้หม่าม๊าอยู่หลายวัน กว่าจะได้ยกเลิกติวเตอร์ส่วนตัว เพื่อมาเรียนพิเศษข้างนอกบ้านอย่างคีย์บ้าง
เพราะสำหรับเขาแล้ว นี่นับเป็นเพียงโอกาสเดียว ที่จะได้แอบเฝ้ามองรุ่นพี่ที่ชื่อคีย์อยู่ห่างๆ  หลังจากอีกฝ่ายย้ายไปเรียนมอปลายที่โรงเรียนชายล้วนชื่อดังเมื่อสองปีก่อน


เด็กชายหลุดยิ้มด้วยความพอใจ ระหว่างนึกขอบคุณตัวเองซ้ำๆที่เฝ้าอดทนรออีกฝ่ายหน้าโรงเรียนกวดวิชาอยู่เกือบชั่วโมง
เพราะในที่สุด  วันนี้ก็มาถึงจนได้...

และแล้ว...เขาก็ได้รู้ว่า คนที่คีย์ชอบ เป็นคนแบบไหน มีนิสัยใจคอ หรือ เอกลักษณ์พิเศษอย่างไร...
การได้รับรู้ความจริงข้อนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับปรุงตัวเอง ก่อนจะเดินหน้าสู่ขั้นตอนพิชิตใจรุ่นพี่ที่เขาใฝ่ฝัน

  
เขาอ่านทวนข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับคีย์ ที่บรรจงจดด้วยลายมือเป็นระเบียบลงในสมุดโน้ตเล่มเล็กๆ ตามปากคำของจำเลยที่เพิ่งเปรยกับเพื่อนสนิทไปเมื่อครู่ ด้วยท่าทางรื่นรมย์ราวกับกำลังอ่านบทพลอดรักของนิยายชั้นดี

สายตาของเขาไล่ไปหยุดอยู่ตรงบรรทัดแรก ภายใต้หัวข้อซึ่งถูกขีดเส้นใต้ย้ำหลายรอบ...หัวข้อที่ว่า สเปคพี่คีย์!!’
แล้วจึงละสายตาเพื่อเหลือบไปพินิจใบหน้าเล็กๆของเด็กอีกคน ผู้ที่เพิ่งกลายเป็นประเด็นใหม่อันน่าสนใจสำหรับเขา



“พี่คีย์ชอบคนหุ่นดี หน้าใส...และต้องน่ารักเหมือนคนๆนั้นเหรอ?” ระหว่างปล่อยให้สมองจดจำรูปลักษณ์อันงดงามของเด็กผู้ชายอีกคน...ก็อดนึกเปรียบเทียบกับตัวเองในใจไม่ได้


อืม...เด็กผู้ชายคนนั้นน่ารักสุดยอดจริงๆด้วยแฮะ
แล้วชาตินี้เราต้องทำยังไง เราถึงจะน่ารักขาวใสให้ได้สักครึ่งของเขากันนะ?
.
เรียนอยู่มอสองเหมือนเราแท้ๆ...ทำไมตัวเล็กเหมือนเด็กประถมแบบนั้นก็ไม่รู้  
เรานี่สิ...ตัวใหญ่จนหม่าม๊าบ่นว่าชักจะเหมือนหมีเข้าไปทุกวันๆ 
หน้างี้ก็มันแผล่บ...แถมสิวเห่อจนแทบไม่รู้ว่าหน้าเรียบๆคืออะไร  ฟันหน้ายังห่างจนต้องครอบเหล็กเอาไว้อีก...
.
.
เฮ้อออ! แล้วอย่างนี้...เมื่อไรพี่คีย์จะหันมาสนใจเราบ้างล่ะเนี่ยะ?



เสียงหวานๆของพนักงานสาวเสื้อแดงกระโปรงสั้นเรียกความสนใจของเด็กชายร่างกลมได้ชะงัด  “รับอะไรเพิ่มอีกไม๊คะ?”

เพื่อใคร่ครวญหาคำตอบที่ดีที่สุดให้กับคำถามข้อนี้... 
เด็กชายตู๋ถึงกับต้องนั่งนิ่งๆอยู่พักใหญ่...
.
.
.
.
.
...สุดท้าย เขาจึงตอบสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มไปอย่างอายๆว่า


“อ๋อ...ฮะ  ผมขอสติ๊กกี้ชูวี่เพิ่มวิปครีมสองจุด ช็อกโกแลตชิป กับฮ็อตฟัดจ์อีกถ้วยนึงฮะ”





ตัดภาพไปยังฝั่งตรงข้ามของร้าน...
ลูกค้าหน้าตาดีอีกกลุ่มกำลังเลือกเมนูไอศกรีมอย่างตั้งอกตั้งใจ
จะว่าไปแล้ว...หนุ่มๆในโต๊ะนี้ กลับมีความหลากหลายทางอายุสูงกว่าลูกค้าโต๊ะอื่นๆ ซึ่งโดยเฉลี่ยจัดอยู่ในกลุ่มของวัยรุ่นเสียมาก

หนึ่งคนเป็นเด็กชายหน้าตามีเค้าโครงหล่อลากดินแม้อายุยังน้อย หากแต่ดูดื้อรั้นไม่เอาใคร
ถึงอย่างนั้น...ตัวแสบที่พูดถึง กลับคอยหาโอกาสเกาะแข้งเกาะขาชายหนุ่มหน้าตาหมดจดอายุราวๆยี่สิบอยู่ตลอดเวลา
และสุดท้าย คือ หนุ่มหล่อวัยทำงาน ที่ดูภูมิฐานสมวัย


“พี่นพ...เนียร์จะกินเอิร์ธเควก  พี่นพกินกับเนียร์นะคร๊าบ” เจ้าตัวเล็กแต่แสบสุดเลื่อนเก้าอี้เข้าไปชิดกับเก้าอี้ของนพ หวังจะออเซาะอีกฝ่ายได้อย่างเต็มที่

“โหเนียร์...มีกันอยู่แค่สามคน แล้วจะกินเอิร์ธเควกหมดไม๊เนี่ยะ?” นพค้านไม่เต็มเสียงนัก

“สามคนที่ไหน...เนียร์จะกินกับพี่นพคนเดียว!!” เจ้าตัวเล็กไม่ยอมลดราวาศอก

“ทำอย่างนั้นไม่ได้นะเนียร์...
...ถ้าเรากินเอิร์ธเควกกันแค่สองคน แล้วอย่างนี้พี่วีจะกินไอติมกับใคร?...
.
...วันนี้ทั้งวัน พี่วีเค้าตามใจเนียร์ทุกอย่างเลยนะ...
...เนียร์บอกว่าอยากกินไอติม...พี่เค้าใจดีก็พามา ทั้งๆที่เมื้อกี๊เนียร์เพิ่งจะกินเค้กไปเอง”

“ไม่เอา!!...เนียร์จะกินกับพี่นพ!


นพถึงกับหน้าเสีย เมื่อเห็นอาการดีดดิ้นไม่อยู่สุข กับใบหน้าหงิกงอพร้อมระเบิดอารมณ์เต็มแก่ของน้องชายข้างบ้าน 
เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา เด็กน้อยไม่เคยงอแงไร้เหตุผลมาก่อน

เขาไม่เข้าใจว่า เหตุใด...เนียร์ถึงตั้งป้อมหาเรื่องฉีกหน้าเขาได้ทั้งวัน
หากเป็นวันอื่น เขาคงไม่ปวดหัวนัก...
แต่ทำไมน้องต้องทำตัวไม่น่ารักเอาวันที่รุ่นพี่อดีตเดือนคณะชวนเขามาเที่ยวด้วยล่ะ?


“จูเนียร์!  อย่าดื้อสิครับ!...
.
...ดื้อมากๆอย่างนี้ คราวหลังพี่ไม่พามาเที่ยวด้วยแล้วนะ”

“นพครับ...ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพี่สั่งกาแฟก็ได้...พี่ไม่ค่อยชอบกินของหวานเท่าไร” วีแตะหลังมือนพเบาๆ

“ถ้างั้นพี่วีก็ไปกินกาแฟที่ร้านอื่นก็แล้วกัน...กาแฟในร้านไอติมไม่อร่อยหรอก” เด็กชายสะบัดหางเสียง แล้วกระชากมือนพมาแนบแก้มตัวเอง

“เนียร์...เนียร์พูดกับพี่วี่อย่างนี้ได้ยังไง?!...
.
...ลืมไปแล้วเหรอไงว่า ถ้าเมื่อเช้า พี่วีไม่ไปช่วยพูดกับพ่อแม่เราเพี่อขออนุญาตให้เนียร์ออกมากับพี่...
...ต่อให้เนียร์ร้องไห้จนลูกตาหลุดออกมาข้างนอก...
...พ่อกับแม่เนียร์ไม่มีทางใจอ่อนยอมให้เราออกมาเที่ยวเล่นกับพวกพี่แบบนี้แน่ๆ”

“ก็เนียร์พูดความจริงนี่นา ร้านนี้ร้านไอติม...
...ถ้าพี่วีอยากกินกาแฟ...ก็ไปร้านขายกาแฟซิ...
.
.
...เนียร์พูดผิดตรงไหน...ใช่ไม๊ครับพี่วี?” เจ้าตัวแสบทำท่ากลับลำหันมาอ้อนชายหนุ่ม หลังจากนพวางท่าปั้นปึ่งใส่

“ฮะ ฮะ ฮะ...ครับ ครับ...เนียร์พูดถูกแล้วครับ”

“ถ้างั้นพี่วีก็ไปร้านกาแฟซะสิครับ จะมานั่งอยู่ที่นี่ทำไม?”

“จูเนียร์!!....
.
...พี่วีครับ นพขอโทษแทนน้องด้วยนะครับ...
...เนียร์ยังเด็กมาก...
...แกยังไม่รู้ประสาอะไร แกเลยพูดไปเรื่อยน่ะครับ” นพกล่าวขอโทษรุ่นพี่จากใจจริง ในขณะที่ตัวต้นเหตุเอาแต่นั่งหน้าหงิกยกมือขึ้นกอดอก

วีส่ายหัวปฏิเสธ แล้วจึงปลอบนพให้คลายกังวล “หึ หึ หึ...พี่โอเคครับ นพไม่ต้องห่วง...
.
...เนียร์ครับ พี่วีเปลี่ยนใจแล้วล่ะ...วันนี้พี่วีอยากลองกินไอติมดูซักหน่อย...
...ไหนเนียร์ชอบไอติมรสอะไรครับ แนะนำพี่วีหน่อยได้ไม๊?”ชายหนุ่มยื่นหน้าเปื้อนยิ้มเข้ามาใกล้กับใบหน้าของเด็กชายพร้อมกับส่งสายตาผูกมิตร ทว่าเด็กน้อยกลับสะบัดหน้าหนีแล้วหันไปหาคนกลางที่ทำยังหน้าปูเลี่ยนไม่เปลี่ยน

“พี่นพ...เนียร์อยากเข้าห้องน้ำ....
.
...พี่นพพาเนียร์ไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะครับ เนียร์กลัวหลงทาง”

แม้จะยังหงุดหงิด แต่เมื่อเห็นสายตาและท่าทางไม่สบายตัวของเด็กน้อย นพก็ยอมใจอ่อนเสียดื้อๆ “โอเค โอเค...
...ได้ครับ เดี๋ยวพี่พาไปเข้าห้องน้ำนะ...
.
...พี่วีอยากกินอะไร สั่งไปก่อนเลยนะครับ...
...นพขอตัวพาเนียร์ไปเข้าห้องน้ำก่อน...ขอโทษด้วยนะครับพี่วี” นพละล้าละลังสั่งความรุ่นพี่ หลังจากหางตาเหลือบไปเห็นตัวแสบวิ่งตื๋อออกนอกร้านไปแล้ว

“ไม่เป็นไรครับ พี่รออยู่นี่นะ...รีบไปรีบมานะครับนพ”

“คร../พี่นพ เนียร์ปวดพูๆครับ...
.
...พี่นพ...เนียร์ไม่ไหวแล้ว!!!!” ยังไม่ทันจะรับคำรุ่นพี่ นพก็ต้องรีบวิ่งก้มหน้าออกไปสมทบกับเด็กชายที่หวนกลับมาที่ร้าน เพื่อมาตะโกนขอร้องแกมบังคับดังลั่น...ความอาย และความเป็นห่วงเจ้าเด็กแสบทำให้เขาหมดทางเลือกอีกครั้งจนได้

“อย่าเพิ่งนะเนียร์...รอก่อน!

“พี่นพอุ้มด้วย...เนียร์เดินไม่ไหว เดี๋ยวพูๆจะไหลออกมา”

“ว๊าาาาาาา....เนียร์นี่ อดทนหน่อยซี่...ทำไมวันนี้ถึงได้เรื่องเยอะขนาดนี้นะเรา!!



ก่อนจะออกตัววิ่งกระเตงพาลูกลิงเนียร์ที่กระโดดเกาะหมับเข้าแนบอกไปยังห้องน้ำตามคำสั่ง
นพก็หันไปส่งสายตาขอโทษขอโพยให้กับวีที่นั่งมองเขาตาละห้อยอีกครั้ง

ใจหนึ่ง...เขาก็อดเป็นห่วงความรู้สึกของวีขึ้นมาไม่ได้
ถึงตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาจะไม่เคยเปิดโอกาส หรือให้ความหวังใดๆกับอีกฝ่าย
แต่การทำลายประสบการ์ณการใช้เวลาร่วมกันสองต่อสองเป็นครั้งแรกด้วยฝีมือของเด็กน้อยข้างบ้านอย่างย่อยยับ...
ดูจะเป็นการทำร้ายความรู้สึกของวีเอามากๆ


แต่อีกใจ ที่ดูเหมือนจะมีอำนาจอยู่เหนือทุกอย่าง...
กลับสามารถกล่อมให้เขาวางทุกสิ่งเอาไว้เบื้องหลังได้ภายในชั่วพริบตา

และสิ่งๆนั้น มีชื่อเรียกง่ายๆว่า เด็กชายจูเนียร์...
เจ้าตัวน้อยที่เกิดหลังจากเขาสิบปี...
เด็กชายข้างบ้านที่มีอิทธิพลต่อเขาเหนือใครๆ

กับเนียร์แล้ว...เขาปราถนาจะได้เห็นรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าของเด็กตัวน้อยอยู่เสมอ
เขาอยากเป็นคนคอยดูแล เอาใจ และทำให้น้องชายข้างบ้านตัวดี...กลายเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก




นพไม่เคยตระหนักเลยว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ความรู้สึกรุนแรงของเขาที่ต้องการปกป้อง ดูแล และมอบความสุขให้กับเด็กชายผู้ที่เขาเฝ้ามองมาตั้งแต่ครั้งยังแบเบาะ
จะผันแปรไปเป็นความรู้สึกอื่น...


ซึ่งความรู้สึกนั้น...
จะนำพาความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมาสะกิดใจเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันได้ในท้ายที่สุด




๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑


หวัดดีค่า ^^
ตอนใหม่ตอนนี้เป็นตอนพิเศษที่เขียนขึ้นเพื่ออธิบายเรื่องราวของคู่ที่มีอดีตทั้งหลาย
ซึ่งไม่ได้กล่าวอย่างชัดเจนเอาไว้ในตอนที่แล้วๆมา
(รวมทั้งบางตอนที่กำลังจะกล่าวถึงในอนาคตด้วย)
หวังว่า...เนื้อหาในตอนนี้ จะตอบคำถามคาใจของใครๆได้ไม่มากก็น้อยนะคะ
แต่ถ้ายังไม่เคลียร์ในอารมณ์อีกล่ะก็...ขอเชิญติติงได้เต็มที่ค่ะ...วะฮ่า ฮ่า
(บ้าไปแล้ว Y_Y)

ทำไปทำมา...เรื่องสั้นต่อเนื่องเรื่องนี้ น่าจะมีจำนวนตอนทั้งสิ้นสิบตอนนะคะ
(ถ้าคนเขียนไม่เกิดบ้านึกคำที่นำหน้าด้วยตัว ห.หีบ
ซึ่งสามารถเอามามโนเป็นนิยายสั้นๆได้อีกกลางทางล่ะก็)

เพราะฉะนั้น...พวกเราทั้งหลายได้เดินทางมาถึงครึ่งทางกันแล้วค่ะ
ขอบพระคุณกำลังใจทุกๆความเห็นที่มีให้อย่างสม่ำเสมอ
เค้าดีใจและซาบซึ้งฝุดๆค่ะ ^_^
ขอให้อ่านเรื่องสั้นพวกนี้อย่างมีความสุขนะคะ
รักคนอ่านทุกคนค่ะ จ๊วบๆๆ


๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑


No comments:

Post a Comment