บทรุกที่ 37: เสียทองเท่าหัว ไม่ยอมเสียผัวให้ใคร
(เสียทองเท่าหัว
ไม่ยอมเสียผัวให้ใคร : ไม่ยอมเสียสามีให้ใคร
แม้ว่าต้องแลกด้วยทรัพย์สินเงินทองมากเพียงใดก็ตาม)
🚹 บ่นบนบล็อก
ชื่อโพสต์ : How to Tame a Bad
Boy 👿 ห่างกันสักพัก...จะห่างทำไม ทำไมไม่รักกัน??!!
}}
สถานะ :
Draft
สวัสดีครับ... ก่อนอื่น ผมต้องกล่าวคำว่าขอโทษกับทุกๆท่านเอาไว้ล่วงหน้า
เนื่องจากการบ่นของผมที่พวกคุณกำลังจะได้อ่านในครั้งนี้ น่าจะมีบรรยายกาศอันเศร้าหมองยิ่งไปกว่าครั้งไหนๆที่ทุกท่านเคยได้อ่านมา
หากเรื่องของผมได้ทำให้พวกคุณรู้สึกซึมเศร้าติดพันหลังจากอ่านจบ
ผมหวังว่าคำขอโทษที่ผมได้กล่าวเอาไว้ตั้งแต่ต้น คงพอจะทำให้พวกคุณไม่ติดใจจนเผลอตั้งแง่
หรืออคติกับตัวผม หรืองานเขียนของผมไปตลอดหรอกนะครับ
กว่าที่เรื่องทั้งหมดจะดำเนินมาถึงตรงนี้ได้ ขอให้ผมได้ย้อนเหตุการณ์กลับไปถึงช่วงเวลาที่ผมตัดสินใจทำร้ายจิตใจน็อตด้วยการลากมือที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องกับความรักของเราสองคนสักหน่อยเถิดครับ
ในตอนนั้น...ผมคิดเอาไว้เสมอว่า หลังจากที่เราห่างกันแล้ว ทุกๆสิ่งจะเป็นไปตามแผนที่ผมเคยวางเอาไว้อย่างไร้ข้อผิดพลาด
เพราะผมมั่นใจในความคิดอันถ้วนถี่ของตัวเอง ซึ่งเมื่อมันผนวกเข้ากับข้อมูลสนับสนุนด้านพฤติกรรม
และความรู้สึกนึกคิดของน็อตที่ผมเก็บเกี่ยวมาเป็นอย่างดีตลอดระยะเวลาที่เราทั้งสองอยู่ด้วยกัน
ก็ยิ่งทำให้ผมแน่ใจในความสำเร็จของแผนการในครั้งนี้อย่างที่สุด
แต่พวกคุณรู้ไหมครับว่า...ในความเป็นจริง เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดภายหลังจากการห่างกันของเราคราวนั้น
กลับไม่ได้ใกล้เคียงกับผลลัพธ์ที่ผมได้เคยวาดหวังเอาไว้อย่างสวยหรูเอาเสียเลย
.
.
ณ วันนี้ เวลานี้...น็อตได้หายไปจากชีวิตผมเกือบจะสมบูรณ์แล้วครับ...
อย่างไรก็ดี ผมอยากจะอธิบายว่า การที่น็อตหายไปนั้น ไม่ได้เป็นเพราะตัวเขา
หรือตัวผม ได้เปลี่ยนความรู้สึกไปจากกันแต่อย่างใด หากแต่มันเป็นผลพวงซึ่งเกิดจากความผิดพลาดของแผนการที่ผมได้วางเอาไว้ประการหนึ่ง
และอีกปัจจัยที่พลิกผันสถานการณ์ทั้งหมดให้กลับตาลปัตร เห็นจะเป็นตัวแปรสำคัญ อันมีชื่อเรียกง่ายๆว่าครอบครัวของน็อตนั่นเอง
ผมเพิ่งจะได้รู้ว่า แผนการกำราบพ่อแบดบอยของผม ส่งผลให้น็อตเสียใจมาก จนคุณพ่อของเขาไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
จึงบังคับให้น็อตต้องหมั้น และแต่งงานกับผู้หญิงที่คุณพ่อและคุณแม่น็อตจัดหามาให้แทนที่จะส่งเสริมให้ลูกชายได้ครองรักกับผม
โดยที่เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นภายในไม่กี่วัน หลังจากที่ผมขอให้เราสองคนอยู่ห่างกัน
และเท่าที่ผมรู้... งานแต่งที่ว่า กำลังจะถูกจัดขึ้นในอีกไม่ถึงสองวันข้างหน้า
...หึ หึ...น่าตลกปนสมเพชดีไหมล่ะครับ
กับสิ่งที่ผมทำลงไปด้วยความย่ามใจในอีโก้ของตัวเอง...
...เพราะผม และการกระทำอันโง่เง่าของผมคนเดียวแท้ๆ
ที่ทำให้เรื่องทั้งหมดลงเอยแบบนี้...
.
.
...คุณรู้ไหมครับว่า เรื่องน่าเศร้ายิ่งกว่านั้นก็คือ คืนสุดท้ายที่เราอยู่ด้วยกัน
เราสองคนได้แอบแลกสัญญาใจต่อกันไปแล้ว...
...เราแต่งงาน และได้กลายเป็นคนๆเดียวกันไปเรียบร้อยแล้ว...
...ทั้งที่เราได้ผูกวิญญาณ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้วแท้ๆ แต่ทำไมเรื่องทั้งหมดยังออกมาในรูปนี้ก็ไม่รู้...
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากคืนที่เราแลกคำสัญญาว่าจะรักกันไปตลอดชีวิตของเราทั้งคู่
ผมก็พบว่า...ตรงที่ๆน็อตเคยนอนบนเตียงของผมนั้น
แทนที่จะมีเจ้าของใบหน้าอ่อนเยาว์หากแต่หล่อเหลาเหลือร้าย
กับร่างกายเปล่าเปลือยกำยำขาวผ่องน่ามองไปทุกสัดส่วนนอนยิ้มมุมปากมองหน้าผมด้วยสายตารักใคร่ไม่ต่างไปจากทุกๆเช้าที่เราตื่นนอนเคียงข้างกัน
กลับเหลือเพียงบแต่รอยบุ๋มบนหมอนที่เขาทิ้งเอาไว้ให้ผมดูต่างหน้า
เพื่อยืนยันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ใช่ความฝัน
หากผมล่วงรู้ว่านั่นเป็นเพียงความสุขเพียงชั่ววูบที่เกิดขึ้นก่อนเข้านอนในคืนนั้น
และหากผมรู้ว่า...ถ้าผมยอมปล่อยน็อตให้กลับบ้านไปตามคำสั่งของคุณพ่อเขา
น็อตจะไม่ได้กลับมาหาผมอีกเลยอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ผมจะไม่เผลอหลับตา หรือยอมพ่ายแพ้แก่ความง่วงงุน
เพื่อที่น็อตจะได้อยู่กับผมไปจนตราบนานเท่านาน
ผมไม่อยากตื่นขึ้นเพื่อรับรู้ความเป็นจริงที่ว่า สิ่งที่รอผมอยู่ในตอนเช้า...คือความว่างเปล่าและเดียวดายซึ่งโหดร้ายเกินกว่าคนที่ไม่ได้เตรียมใจมาก่อนล่วงหน้าอย่างผมจะรับมือได้...
...ก่อนหน้าที่น็อตจะจากผมไปนั้น เราได้พูดคุยตกลงกันว่า น็อตจะกลับไปเจรจากับที่บ้าน
เพื่อหว่านล้อมให้คุณพ่อและคุณแม่ยอมเปลี่ยนใจ ไม่รวบรัดให้ตัวเขาต้องเข้าพิธีวิวาห์กับหญิงสาวที่ผู้ใหญ่ฝ่ายชายจัดหามาให้
หรือถ้ามันเป็นไปไม่ได้จริงๆ น็อตก็จะเล่นตามน้ำไปจนกว่าจะหาทางหย่ากับภรรยา
เพื่อกลับมาอยู่กับผมเหมือนเดิม
ถึงจะรู้แก่ใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น...แต่ผมกลับเลือกที่จะปฏิเสธความจริง...
...แต่หลังจากความพยายามในการต่อสายโทรออกหาน็อตตลอดทั้งวันโดยไร้การตอบรับใดๆจากคนปลายสาย
สิ่งที่ผมเฝ้าหลอกตัวเองมาตลอด ก็ค่อยๆชัดเจนแจ่มแจ้งและจับต้องได้ในความคิดผมมากขึ้นเรื่อยๆ...
...น็อตคงจะหาทางเลี่ยงงานหมั้น และงานแต่งงานไม่ได้จริงๆ
อ่านมาถึงตรงนี้...พวกคุณคงเริ่มจะเห็นอะไรบางอย่างแล้วใช่ไหมครับ??
หึ!..สิ่งที่ผมพยายามวิ่งหนีมาตลอดก่อนหน้าที่ผมจะตกลงปลงใจกับน็อต
มันได้ย้อนกลับเข้ามาทำร้ายตัวผมเข้าอย่างจัง
เมื่อตระหนักได้ถึงความเป็นจริงอันน่าปวดใจ ผมก็เอาแต่คิดโทษตัวเองซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว
โดยไม่เหลือกกะจิตกะใจ หรือเรี่ยวแรงใดๆในการยันตัวลุกขึ้นมาจากเตียงเพื่อทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอีกเลย...
...ผมไม่อยากออกไปเจอหน้าใคร...
...ผมไม่อยากอาหาร หรือต้องการจะไปไหน...
...กระทั่งเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อขีดๆเขียนๆอะไรสักอย่าง ผมก็ยังไม่นึกอยากจะทำ...
....ตั้งแต่เช้าจรดเย็น สิ่งเดียวที่ผมทำ คือ การนอนนิ่งๆอยู่บนเตียง เหม่อมองหมอนและที่ว่างข้างๆตัวซึ่งเมื่อคืน
มันคือที่ๆน็อตเคยนอน หากแต่กลับไร้ร่องรอยของร่างกำยำที่คอยโอบกอดผมเอาไว้ตลอดทั้งคืน
ไม่มีอีกแล้วซึ่งไออุ่นที่ผมถวิลหาอย่างที่สุดในเวลานี้ น็อตไม่อยู่กับผมอีกต่อไปแล้ว
แม้ผมจะเสียใจ แต่ในเมื่อผมเลี่ยงความจริงไม่ได้... ผมจึงใช้เวลาเงียบๆช่วงฟ้าเปลี่ยนสี ทบทวนถึงช่วงเวลาต่างๆที่ผมกับน็อตได้ผ่านมาด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เรามีความสุขอย่างที่สุดในแบบที่ใครคนอื่นไม่มีวันเข้าใจ
ช่วงเวลาที่เราสังเกต เรียนรู้ และยอมรับอุปนิสัยใจคอทั้งดีและไม่ดีของอีกฝ่าย แลกเปลี่ยนความคิดและปรับความเข้าใจเนื่องจากความแตกต่างระหว่างเราสองคน
รวมทั้งถกเถียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องทั้งหลายแหล่ครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งละอันพันละน้อยซึ่งมีคุณค่ามหาศาลกับความทรงจำดีๆที่เกิดขึ้นก่อนที่ผมกับน็อตจะตกลงใจเป็นแฟนกันได้อย่างในทุกวันนี้
ทุกๆองค์ประกอบเหล่านั้นได้ช่วยผลักดันทำให้ผมเกิดความมานะที่จะต่อสู้เพื่อความรักของเราขึ้นมาอีกครั้ง...
...เสียงในหัวใจของผมเฝ้าบอกกับตัวเองว่า ผมกับน็อตเดินร่วมทางด้วยกันมาไกลเกินกว่าที่ผมจะยอมถอดใจไปง่ายๆ...
...ไม่มีทางเสียหรอกที่ผมจะปล่อยให้ผู้ชายสุดที่รักเพียงคนเดียวในชีวิตผมต้องหลุดมือไปเป็นของผู้หญิงอื่น
ผมเลยรีบรวบรวมสติ และคิดหาทางที่จะพิสูจน์ตัวเองให้ว่าที่คุณพ่อ
คุณแม่ และทุกๆคนในครอบครัวของสามีได้เห็นถึงความรักที่ผมมี
เพื่อให้พวกเขาได้เปิดโอกาสให้ผมกับน็อตอีกสักครั้ง คิดได้ดังนั้น
ผมก็รีบไปที่บ้านของน็อตทุกๆวันเพื่อแก้ไขเรื่องราวทั้งหมดให้กลับสู่สภาพที่มันควรจะเป็น
แต่ดูเหมือนความตั้งใจของผมจะสูญเปล่าลงทันทีที่ผมได้รู้จากคนงานในบ้านของน็อตว่า
เหตุที่ทำให้ผมไม่มีโอกาสได้เจอหน้าสมาชิกคนใดของครอบครัวน็อตเลยแม้แต่คนเดียว
นั่นก็เป็นเพราะเจ้าบ้านทุกคนได้ออกเดินทางไปพูดคุยเรื่องงานหมั้น และงานแต่งที่บ้านว่าที่เจ้าสาวของน็อตที่ต่างจังหวัดโดยพร้อมหน้ากันตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง
คำบอกเล่าสั้นๆอย่างเห็นอกเห็นใจในนั่น ได้ตอกย้ำกับผมได้เป็นอย่างดีว่า
ผมคงไม่มีโอกาสได้แก้ตัวเป็นครั้งที่สองอีกแล้ว
และน็อตคงจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนที่คุณพ่อของเขาจัดหามาให้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผมขอสารภาพให้พวกคุณได้รับรู้ร่วมกันเลยนะครับว่า วินาทีแรกที่ผมได้ยินเรื่องนี้จากปากของคนเก่าคนแก่ในบ้านของน็อตด้วยหูตัวเอง
ผมก็แทบจะล้มทั้งยืน ผมรู้สึกเหมือนว่า โลกทั้งใบที่ผมเคยเห็นว่ามันสวยงาม
กลับถล่มทลายลง จนเผยให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้ว รอบๆตัวผม ก็มีแต่โลกหม่นๆสีเทาอันอ้างว้างและว่างเปล่าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
หัวใจของผมมันหวิวไหวเสียจนทุกๆครั้งที่มันสั่งให้จมูกผมสูดลมหายใจอย่างแผ่วๆ
มันก็เฝ้าแต่จะบังคับให้น้ำใสๆในดวงตาคอยไหลออกมาเป็นเพื่อนอยู่ร่ำไป
เสียงกระซิบคำว่ารักแผ่วๆของน็อตที่ยังก้องอยู่ข้างในหัวผมได้คร่ากำลังใจในการต่อสู้ของผมให้ค่อยๆมลายหายไปจนหมดสิ้น
ผมกลับบ้านมาถึงบ้านโดยไม่รู้ว่าผมกลับมาได้อย่างไร ผมพยายามโทรหาน็อตเพื่อถามไถ่ถึงความเป็นมาเป็นไปของเรื่องทั้งหมดจากปากเขา
และถ้าโชคยังเข้าข้างผมอยู่...ผมคงจะพออ้อนให้เขากลับมาใช้เวลากับผมให้มากที่สุด
ก่อนที่เขาจะต้องแต่งงานไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมีเพียงแค่
เสียงอย่างเป็นห่วงจากสุดที่รักของผมจากปลายสาย ที่พร่ำบอกเพียงสั้นๆแต่ว่า ‘ทุกๆอย่างจะดีขึ้น ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
และไม่ว่าอย่างไร...น็อตก็ขอให้ขนุนเชื่อใจน็อต เพราะน็อตรักขนุนนะฮะ’ ก่อนที่เขาจะตัดสายไป
เพราะเจ้าตัวถูกเรียกให้ไปคุยกับพ่อแม่ฝ่ายหญิง
ผมทำได้แค่เพียง พยายามเค้นให้ตัวเองจดจำเสียงสุดท้ายที่เพิ่งได้ยิน
แล้วเล่นมันให้ดังอยู่ในหัวตลอดเวลา เพื่อขับกล่อมให้ตัวเองหลับตาผ่านคืนอันโหดร้ายคืนนั้นมาได้
และในวันรุ่งขึ้น ผมก็ตื่นลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยความรู้สึกหนักอึ้งข้างในอก
และดวงตาที่บวมช้ำ... ถึงอย่างนั้น ผมก็พยายามกล้ำกลืนความรู้สึกเจ็บปวด
และขับไล่บรรดาความคิดด้านลบทั้งหลายให้พ้นไป พร้อมกับปลุกปลอบตัวเองให้กลับมามีเรี่ยวแรง
และกำลังใจที่จะสู้เพื่อความรักของผมอีกครั้ง ผมทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในตอนเช้าของทุกๆวัน
ด้วยเพราะยังมีความหวังจากบทสนทนาสั้นๆที่ผมคุยกับน็อตทุกๆคืนก่อนนอน
แต่พวกคุณรู้หรือไม่ครับว่า... เรื่องบางเรื่อง
เราก็ไม่อาจจะแก้ไขอะไรได้ ในวันที่ทุกอย่างมันสายเกินไป...
...เรื่องราวของผมกับน็อตที่เกิดขึ้นก็ไม่ต่างกัน...
...เช้าวันนี้ ผมเพิ่งจะได้รับจดหมายสั้นๆจากคุณพ่อของน็อต
เชิญให้ผมไปร่วมแสดงความยินดีกับสุดที่รักของผม
และเจ้าสาวของเขาในงานหมั้นและงานแต่งที่กำลังจะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้...
...ที่สุดแล้ว...ระหว่างผมกับน็อต ก็เป็นได้แค่
คนรัก...ที่ไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกัน แม้แต่ในความฝันก็ตาม
ฝ่ามือและปลายนิ้วเรียวที่กำลังจรดอยู่บนแป้นคีย์บอร์ดของคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะรุ่นกลางเก่ากลางใหม่
ค่อยๆเลื่อนไปกดปุ่ม Ctrl และปุ่มตัวอักษร A ก่อนจะกดปุ่ม Delete เพื่อทำให้หน้ากระดาษทั้งหมดกลับคืนสู่สภาวะว่างเปล่าไร้ซึ่งตัวอักษรใดๆอีกครั้ง จากนั้น...มือทั้งสองข้างก็ผละออกจากแป้นพิมพ์
เนื่องจากเจ้าตัวต้องการใช้มันทั้งคู่เพื่อประคองและปกปิดใบหน้าเล็กๆขาวผ่องซึ่งกำลังเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมา
หลังจากได้อ่านเนื้อหาในตอนล่าสุดของนิยายที่ตนเองเขียนค้างอยู่อีกรอบหนึ่ง
เมื่อไร้ซึ่งเสียงรัวเร็วของแป้นพิมพ์
สรรพเสียงเดียวที่ดังก้องอยู่ภายในห้องนอนของขนุนในเวลานี้ เห็นจะเป็นเสียงร่ำไห้ปิ่มว่าจะขาดใจของผู้เป็นเจ้าของห้องนั่นเอง “ฮึก ฮึก....ฮืออออออ........ฮืออออ..... แต่ด้วยความไม่คุ้นชินกับเสียงร้องไห้อย่างเสียอกเสียใจของตัวเอง
ขนุนเลยเปิดโปรแกรมอีเมลขึ้นมา
แล้วเริ่มพิมพ์ข้อความสั้นๆเพื่อกลบเสียงแห่งความเศร้าของตัวเขาเองให้เบาลงกว่าตอนนี้อีกครั้ง
To: malinee@ilovebananapress.com
From: khemnun@ilovebananapress.com
Subject: re: re: re: re: re: re: re: re: re: บทนำนิยายเรื่องใหม่ (แนวทดลอง) – ขอเลื่อนส่งต้นฉบับไม่มีกำหนด
กราบสวัสดีครับคุณพี่เมี่ยง
ถ้าคุณพี่เมี่ยงจะกรุณา
ผมขอเลื่อนส่งต้นฉบับเรื่องนี้แบบไม่มีกำหนดนะครับ
ขอบพระคุณครับ
ขนุน
ผิดไปจากรอบที่แล้ว...
ครั้งนี้ ปลายนิ้วมือได้เลื่อนเมาส์เพื่อคลิกเลือกปุ่ม send ก่อนจะปล่อยให้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ฉบับนี้
ร่อนไปถึงคนรับปลายทางโดยไม่มีเนื้อหาตอนใหม่ของนิยายแนบติดไปเพื่อสร้างรอยยิ้มให้กับผู้รับดังที่เคย
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
(ขนุน)
หลังจากที่รู้ตัวว่าผมไม่อาจส่งเนื้อเรื่องตอนใหม่ในนิยายไปให้พี่เมี่ยงอ่านได้ตามกำหนดเวลาที่ได้รับปากกับแกเอาไว้
ผมก็ย้ายทำเลลงมานั่งเหม่อตรงโซฟาข้างล่างเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ และเพื่อใคร่ครวญถึงปัญหาใหญ่ที่กำลังเผชิญ
แม้จะมองไม่เห็นทางออกก็ตามที แต่อยู่ๆ เสียงของเจ้นิ้งก็ดังทำลายความเงียบของชั้นล่าง
ทั้งๆที่ผมเข้าใจมาตลอดว่า หลายวันมานี่ไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากผมคนเดียวแท้ๆ การปรากฏกายของพี่สาวโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าจึงทำให้ผมตกอกตกใจอยู่ไม่น้อย
“อ้าว
เป็นไรไปล่ะจ๊ะน้องสาว ทำไมมานั่งซึมกระทืออยู่แบบนี้? หรือว่า?!!...เมนส์ไม่มา???!!! ไอ้ย๊ะ!! นี่อย่าบอกนะว่า เค้ากำลังจะได้เป็นอากู๋สมใจก็คราวนี้เอง
แหม่...น้ำเชื้อไอ้น้องเขยนี่มันแรงดีแท้ว่ะ วะฮ่า ฮ่า ฮ่า” เจ้นิ้งทักทายผมออกมาด้วยน้ำเสียง
และใบหน้าสดใสผิดกับช่วงที่เจ้ต้องบินติดต่อกันยาวๆเมื่อสองเดือนก่อนลิบลับ
หลังจากพูดจบ พี่สาวสุดห้าวของผมก็นั่งลงตรงเบาะข้างๆ จากนั้นก็นั่งจ้องหน้าผมอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อบีบบังคับให้ผมตอบคำถามเพ้อเจ้อที่เจ้าตัวเพิ่งจะเอ่ยเมื่อครู่
ผมเหลือบหางตาเพื่อมองหน้าพี่สาวของตัวเองอย่างระอา
ก่อนจะตอบอีกฝ่ายส่งๆ ด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “เตงล่ะก็ พูดอะไรก็ไม่รู้
เค้าจะไปท้องได้ยังไงกันล่ะ...เค้าไม่ใช่ผู้หญิงซะหน่อย”
พี่สาวผมยิ้มกรุ้มกริ่มพลางทำท่าป้องปากกระซิบกระซาบก่อนจะถามคำถามล้วงลูกไม่มีเกรงใจน้องนุ่ง
“แต่กับน้องเขย...เตงก็ทำหน้าที่เป็นเมียไม่ใช่เหรอวะ?”
พอผมเผลอคิดตามที่เจ้พูดจนหวนนึกปถึงบทรักระหว่างผมกับน็อตในครั้งต่างๆ
ก็ทำเอาผมหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที สิ่งที่เจ้ว่ามา...ไม่ต่างไปจากความเป็นจริงเรื่องบทบาทหน้าที่บนเตียงของผมขณะร่วมรักกับน็อตแม้แต่กระผีก
แต่ถ้าเจ้คิดจะถามเพียงเพื่อทำให้ผมเสียอาการเอาขำขันแล้วล่ะก็ ผมขอเลือกที่จะเพิกเฉยต่อข้อสงสัยที่เจ้น้ารู้คำตอบดีแก่ใจ
แล้วโดนพี่ด่า ดีกว่าต้องอับอายขายขี้หน้าโดยไม่จำเป็น
ผมจึงเก็บอาการหวั่นไหวเมื่อคิดถึงบทรักกับน็อตเอาไว้หลังใบหน้านิ่ง
พลางสั่งให้ปากพูดจาเฉไฉเลี่ยงไปคุยเรื่องอื่น “แล้วทำไมอยู่ๆเตงถึงไม่มีบินล่ะ
เห็นเมื่ออาทิตย์ก่อนยังบอกเค้าอยู่เลยว่ารอบบินยาวไม่ใช่เหรอ แปลกจัง...ทำไมอยู่ดีๆอาทิตย์นี้ถึงกลับมาบ้านได้?”
“หึ
หึ...เตงอย่ามาทำเปลี่ยนเรื่อง เราพี่ๆน้องๆก็โตทันกันหมดแล้ว ยอมรับมาตามตรงซะทีเหอะว๊า
กะอีแค่เรื่องบนเตียง ไม่เห็นจะต้องมาคอยรักษามาดวางฟอร์มกับเค้าให้เหนื่อยอยู่...
.
...เป็นเมียให้ผู้ชายอื่นก็บอกว่าเป็นเมีย
เฮียจะได้สบายใจที่น้องสาวตัวเองยอมเปิดเผยธรรมชาติที่แท้จริงซะที” เจ้น้าพูดพลาง เอาข้อศอกกระทุ้งสีข้างของผมไปพลาง
ผมมองหน้าทะเล้นของพี่สาวตัวเองแล้วก็ต้องอ่อนใจ
ด้วยรู้ดีว่า...ต่อให้พยายามหลบเลี่ยงอย่างไร ไม่วันใดก็วันหนึ่งข้างหน้า
ผมก็ต้องยอมเล่าเรื่องลับระดับเอ็กซ์คลูซีฟแบบนี้ให้เจ้น้าฟังอยู่ดี
เพราะไม่มีทางที่พี่สาวหัวแข็งสุดดื้อดึงจะยอมปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านหูผ่านตาไปง่ายๆ
“...อื้อๆ...ก็นั่นแหละ...ก็อย่างที่เตงรู้ดีอยู่แล้วหน่ะ
เค้าขอไม่เร่ขายตัวเองให้ฟังอีกรอบแล้วกันนะ” ผมยอมรับไปตามตรงในที่สุด
แต่ถ้าเจ้น้าจะสังเกตสังกาอารมณ์ของผมเสียหน่อย อีกฝ่ายก็น่าจะรู้ว่า
ผมไม่ได้เต็มใจจะเปิดเผยความจริงข้อนี้ให้โลกได้รับรู้ซึ่งซึ่งหน้าแต่อย่างใด...
...ผมไม่มีทางหลุดปากบอกใครไปหรอกว่าผมน่ะเป็นเมียน็อต
เว้นเสียแต่ว่า ผมจำเป็นต้องพูดด้วยเหตุจำเป็นอย่างที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่จะเกิดขึ้นต่อหน้าน็อตคนเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ดี...ถึงผมจะยอมโอนอ่อนเปิดเผยด้านแบบนี้กับน็อตมากกว่าคนอื่น แต่ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการพูดเอาใจพ่อคุณ
หรือยั่วยวนให้อีกฝ่ายมีอารมณ์อย่างว่าขึ้นมาแบบทันอกทันใจ ผมก็ไม่กล้าเรียกตัวเองว่าเมีย
เรียกน็อตว่าผัวต่อหน้าเจ้าตัวแบบสบายปากเหมือนกันน่ะแหละ
เจ้น้าตบเข่าดังฉาดหลังจากได้ยินการยอมรับเรื่องหน้าที่บนเตียงของผม ดวงตาของพี่สาวผมดูสุกใสเป็นประกายขึ้นมาทันที
หลังจากที่เจ้าตัวสามารถบังคับให้ผมยอมจำนน และสารภาพเรื่องส่วนตัวอันน่าอับอายออกมาให้ฟังอย่างหมดเปลือก
แม้ผมจะไม่เต็มใจ หรือให้ความร่วมมือเท่าที่ควรก็ตาม
“หึ หึ หึ...ในที่สุด สิ่งที่เค้าเฝ้ารอคอยมานานแสนนานก็ได้กลายเป็นความจริงซะที...
.
.
...น้องสาวคนรองของเค้าได้เป็นฝั่งเป็นฝา
ทำหน้าที่เป็นภรรยาให้ผู้ชายอื่นอย่างเต็มภาคภูมิเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...
...ดีใจจริงว้อยยย!!” เจ้น้าตอบคำผมด้วยน้ำเสียงฮึกเหิมราวกับเสียงพากย์ที่ใช้ในสโลแกนหาเสียง
หรือปลุกใจให้คนไทยสำนึกรักชาติอย่างไรอย่างนั้น
เห็นท่าทางพี่สาวตัวเองดูยินดี
และมีความกระตือรือล้นเอาใจใส่เรื่องที่ผมตกเป็นฝ่ายรับให้ผู้ชายอีกคนอย่างไม่มีใครเกินแบบนี้
ทำเอาผมเริ่มจะสงสัยขึ้นมาเสียแล้วสิว่า หากวันใดวันหนึ่งข้างหน้า
พี่ผมเกิดไปตกหลุมรักใครสักคนแบบหัวปักหัวปำ แล้วในท้ายที่สุด...ผมได้มารู้ทีหลังว่า
เจ้ห้าวขาบู๊ของผมต้องยอมทำตัวเป็นผู้หญิงเต็มตัว เพื่อเติมเต็มความรักความปรารถนาให้อีกฝ่าย
ผมจะดีใจได้ครึ่งหนึ่งของที่เจ้น้าเป็นในตอนน้าหรือเปล่านะ??!
ยังไม่ทันไร
พี่สาวผมก็ถามวกเข้าประเด็นที่ยากเกินจะทำใจตอบด้วยน้ำเสียงปกติเข้าอีกดอก “...อ้าว!
แล้วนี่มานั่งหน้าตูมหาอะไรอยู่อีกล่ะ
ทำไมไม่หอบผ้าหอบผ่อนกลับไปอยู่กับผู้ชายของเตงให้รู้แล้วรู้รอด... ทีเมื่อก่อนนะ ยังไม่ทันที่เค้าจะได้ออกปากอนุญาตหรืออวยพรให้เตงกับน้องเขยโชคดี
เตงก็หนีหน้าหายต๋อมไปได้เสียเป็นเมียผัวกันกี่รอบต่อกี่รอบแล้วก็ไม่รู้”
ผมมองหน้าเจ้เคืองๆ
ก่อนตอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงห้วน “น็อตไม่อยู่ น็อตต้องไปจัดการเรื่องงานหมั้น งานแต่งของตัวเค้าเองน่ะ!!” จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังทำใจยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้
เมื่อไรก็ตามที่ผมจะต้องพูดเรื่องงานมงคลของน็อตออกมาดังๆ
ผมก็ควบคุมอารมณ์ให้ดูเรียบเฉยแบบที่ผมมักจะทำเพื่อปกปิดความเจ็บปวด
หรืออารมณ์อื่นๆในภาวะจิตใจเป็นปกติไม่ได้เลย
“ห๊ะ???!!
ว่าไงนะ???” เจ้น้าโหวกเหวกโวยวายทันทีเมื่อเข้าใจความหมายสิ่งที่ผมเพิ่งบอกไปเป็นอย่างดี
รอบนี้...พี่สาวผมไม่ได้ตบเข่า หากแต่ฟาดฝ่ามือลงตรงโต๊ะหน้าโซฟาอย่างจัง ขนาดว่าผมเป็นคนนั่งมอง...ยังรู้สึกเจ็บแทน
ผมเอื้อมมือไปคว้ามือพี่สาวที่แดงจัดมาถูเบาๆด้วยความเป็นห่วง
แล้วอธิบายรายละเอียดของเรื่องราวเพิ่มเติมเพื่อกันไม่ให้เจ้น้าทึกทักไปเองในแง่ลบ
“ที่เตงได้ยินน่ะ ไม่ผิดหรอก
น็อตเค้าถูกที่บ้านบังคับให้หมั้น และแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นไปแล้วน่ะ”
พอผมพูดจบ
พี่สาวผมก็ดีดตัวลุกขึ้นจากโซฟา ก่อนจะยืนเท้าเอวเดาะปลายเท้าแล้วถามผมกลับมาด้วยน้ำเสียงเดือดดาล“หนอยยยย!! ไอ้น้องเขยมันทำกับน้องสาวสุดเลิฟของเค้าอย่างงี้ได้ไง?
แล้วเตงยอมได้ไงวะ?”
...โธ่เตงก็...เค้าไม่ได้ยอม แต่เค้าห้ามที่บ้านน็อตไม่ได้ตังหากล่ะ....ฮือออ
ผมฉุดข้อมือพี่สาวขาลุยของผมให้นั่งลง
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมนั่งนิ่งๆ ผมจึงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดโดยสังเขปให้เจ้น้าฟังอีกรอบ
ผมยอมรับนะครับว่า ยิ่งคิด หรือยิ่งเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำๆ
ก็ยิ่งทำให้ผมเศร้าซึมไปกันใหญ่
แล้วอย่างนี้...เมื่อไรผมถึงจะหายจากอาการเฮิร์ทเพราะการกระทำของตัวเองได้เสียทีล่ะนี่??
“จริงๆต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะเค้าคนเดียว
เค้าทำให้น็อตต้องไปแต่งงานกับคนอื่นอย่างไม่มีทางเลือก...
...ถึงจะรู้อย่างนั้น
แต่เค้าก็ไม่ได้ยอมนะ สามสี่วันมานี่ เค้าก็เทียวไปเทียวมาที่บ้านน็อตทุกวัน เพราะหวังว่าจะมีโอกาสได้แสดงให้ทุกๆคนในบ้านได้เห็นถึงความตั้งใจ
และความพยายามที่จะแก้ไขความผิดที่เค้าเคยทำ แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างมันจะสายเกินไป
เพราะหลายวันมานี่...ไม่มีใครอยู่ที่บ้านนั้นซักคน รวมทั้งน็อตด้วย...
.
...ตั้งแต่เมื่อห้าคืนก่อน
น็อตก็ไม่ได้กลับมาหาเค้าอีกเลย...
...พอเค้าโทรไป...น็อตก็ไม่ว่างรับสาย
ไม่ก็คุยได้แค่วันละสั้นๆ บอกแค่ว่า น็อตกำลังพยายามทำทุกอย่างเพื่อเลิกล้มงานแต่งให้ได้
แล้วก็สั่งให้เค้าอดทนรอ
แล้วน็อตก็จะกลับมาทันทีเมื่อเค้าจัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้วน่ะ”
ทันทีที่ผมพูดจบ
ฝ่ามือเล็กๆทว่าอบอุ่นของเจ้น้าก็ตบลงมาเบาๆตรงบ่าผมราวกับจะสื่อถึงคำปลอบใจของอีกฝ่าย
จากนั้น พี่ผมก็เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงดีใจ
แกมประหลาดใจ “โห น่าชื่นชมว่ะ ตลอดชีวิตที่ผ่านมา
เค้าไม่เคยเห็นเตงดิ้นรนทำอะไรเพื่อใครคนอื่นมากขนาดนี้เลยนะ......นี่เป็นครั้งแรกที่เค้าเห็นเตงวิ่งไล่ตามคนอื่น
เพื่อพยายามไขว่คว้าความสุขอย่างสุดชีวิต...
.
.
...ทั้งรัก
ทั้งหลงเค้ามากล่ะซินะเนี่ยะ” สายตาเป็นห่วงเป็นใย และเอ็นดูของเจ้น้าทำเอาผมกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่อีกแล้วสิ
ใช่ครับ...
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตผม ที่ผมพยายามทุ่มเมทำทุกอย่างเท่าที่ผมจะทำได้ เพื่อขอแค่ให้ผมได้ลบล้างความผิดที่ผมได้ทำลงไป
และได้โอกาสเริ่มต้นใหม่กับคนที่ผมรัก ทั้งๆที่เกือบสามสิบปีที่ผ่านมา...ผมไม่เคยคาดคิดเลยว่า
ผมจะสามารถทำอะไรมากมายเช่นนี้ ให้กับใครอื่น...ที่ไม่ใช่คนในครอบครัวของตัวเอง
ตลอดมา...ผมเข้าใจไปเองคนเดียวว่า
การกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งความรักราวกับคนตาบอดที่ไม่ยอมลืมหูลืมตาเพื่อมองดูความเป็นจริง
หรือการเสียใจเพราะอกหักตามสูตรสำเร็จแบบที่เราเคยเห็นกันจนชินตาในมิวสิควิดีโอทั้งหลาย
มันช่างไร้เหตุผล มิหนำซ้ำ...มันยังเป็นการกระทำที่สิ้นเปลืองทรัพยากรอันมีค่าต่างๆอย่างไม่น่าเชื่อ
โดยเฉพาะเวลาและความรู้สึกภายในใจ
แต่สุดท้าย...กลับกลายเป็นผมเองที่เข้าใจถึงความหมายอันลึกซึ้งของประโยคที่ว่า
‘ใครที่ไม่เคยเจอเรื่องพวกนี้กับตัว
ก็จะไม่มีวันเข้าใจความรักที่แท้จริง’อย่างถึงแก่น จะต่างไปก็ตรงที่...ผมดันต้องทำความเข้าใจกับการสูญเสียไปพร้อมๆกับความรู้สึกรักใครสักคนอย่างหมดหัวใจด้วยนี่สิ
ผมโผเข้าซบบ่าเล็กๆของพี่สาวเพื่อหาที่พักพิง
และเพื่อหลบลี้หนีจากสายตาอาทรของเจ้ที่ชวนให้น้ำตาผมรื้นได้ตลอดเวลาอย่างน่าอัศจรรย์
“ฮึก ฮึก...เค้าไม่รู้จะทำไงแล้วอ่ะเตง นี่เค้าต้องเสียน็อตไปจริงๆแล้วเหรอ?”
“แล้วเตงจะร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่าทำไมวะ?
เตงต้องลุกขึ้นสู้ดิ เตงต้องทำให้ไอ้น้องเขยมันกลับมาหาเตงให้ได้ดิวะ”
แม้สิ่งที่เจ้น้าบอกกับผมจะฟังดูห้วนๆ และไม่ได้ปลอบประโลมมากนัก
แต่ฝ่ามือที่ลูบหัวผมเบาๆบอกได้ดีว่าอีกฝ่ายอ่อนโยน และเป็นห่วงเป็นใยผมไม่น้อยไปกว่าใครๆ
ผมพยายามกลั้นน้ำตาแล้วไขข้อข้องใจของเจ้น้าทันทีที่ผมหยุดสะอื้น
“ฮึก...เค้าพยายามอย่างที่สุดแล้วล่ะเตง แต่เมื่อเช้า...พี่ดา คนในบ้านของน็อตเค้าเอาโน๊ตอันนี้มาให้
บอกว่าคุณป๋าของน็อตฝากข้อความนี้มาให้เค้า”
พูดจบผมก็ล้วงแผ่นกระดาษโน้ตใบเล็กๆที่ผมเพิ่งได้รับมาเมื่อเช้า หลังจากที่ผมไปนั่งรอพบหน้าสมาชิกของบ้านน็อตเพื่อพูดคุย
ปรับความเข้าใจ และแก้ไขเรื่องทั้งหมดอยู่หลายชั่วโมง แต่กลับไม่มีใครสักคนยอมให้ผมเข้าพบ
ทั้งๆที่พี่ดาบอกว่า คุณท่านทั้งหลายยกเว้นน็อตกลับลงมากรุงเทพฯเรียบร้อยแล้ว
“ไหน...ขอเค้าดูหน่อยดิ๊...”ฝ่ามือของพี่สาวผมแบหงายอยู่ตรงหน้าผม
นิ้วมือทั้งสี่กระดิกขึ้นลงเร็วๆพร้อมๆกันเพื่อเร่ง
ผมเลยยัดแผ่นกระดาษนั้นใส่ฝ่ามือของเจ้ตามคำขอร้องแกมบังคับของอีกฝ่าย
.
.
...เสียงอ่านข้อความของเจ้น้าดัง
และฟังชัดก้องเสียดไปทั้งใจผมดีเหลือเกิน...
...ต่อให้ผมไม่ได้เป็นคนอ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้นด้วยตัวเองอย่างที่เจ้น้ากำลังทำอยู่ในเวลานี้
ผมก็สามารถจดจำทุกๆตัวอักษร ทุกๆถ้อยคำในจดหมายน้อยฉบับนั้นได้เป็นอย่างดี
.
.
“...ถึงขนุน คุณป๋ารู้ดีว่า
การที่เราไม่ได้อยู่กับคนรักน่ะมันเจ็บปวดแค่ไหน...
...แต่การที่ไม่ได้เห็นคนรักของเรา
ในวันที่เขามีความสุขที่สุดในชีวิต คงจะทรมาน และค้างคาใจยิ่งกว่า...
...เพราะฉะนั้น
คุณป๋าอยากให้ขนุนมาร่วมแสดงความยินดีกับคุณน็อตและคู่หมั้น ในงานหมั้นและงานแต่งที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้
เวลาเจ็ดโมงเช้า ที่บ้านพิมรรักษา...
.
...เฮ๊ย ทำอย่างนี้ได้ไงวะ อย่างงี้เค้าเรียกว่าหยามหน้ากันชัดๆ!!...
...ไม่ได้เรื่องแล้วว่ะ เอาอย่างงี้ก็แล้วกัน...เดี๋ยวพรุ่งนี้เฮียกับยัยนิ้งจะรวมพลเฉพาะกิจแห่แหนกันไปถล่มงานแต่งที่ไอ้คุณป๋าใจร้ายมันจัดให้ล่มลงต่อหน้าต่อตา
เราสามคนพี่น้องจะรวมพลังกันไปฉีกหน้างานแต่งจอมปลอมพร้อมๆกันเลยดีไม๊? ว่าไงเตง?” เจ้น้าจับบ่าของผมทั้งสองข้างแล้วเขย่าแรงๆหลายทีระหว่างที่ผมกำลังไตร่ตรองเพื่อหาคำตอบที่ดีที่สุดให้กับคำชวนของเจ้น้าในครั้งนี้
แต่พอคิดได้ว่า ผมต้องไปทนเฝ้ามองน็อตที่แต่งตัวหล่อเหลาอยู่ในชุดเจ้าบ่าว
ขณะยืนเคียงข้างเจ้าสาวหน้าตาสะสวยดูเหมาะสมกันอย่างที่สุด ผมก็แทบทนภาพบาดตาเหล่านั้นไม่ได้
ผมเลยร้องตอบพี่สาวของตัวเองออกไปด้วยน้ำตา “ฮือออออ.....เค้าไม่อยากไป!! เค้าไม่อยากเห็นน็อตเป็นเจ้าบ่าวของผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้...
.
...ฮึก ฮึก เค้าไม่อยากเห็นน็อตยิ้มให้คนอื่น...
...เค้าไม่อยากเห็นน็อตต้องเป็นของคนอื่น ฮืออออ...
...ไม่อยากเห็นคนที่ทำให้น็อตมีความสุขเป็นคนอื่น...
...ฮืออออ...เค้าไม่ไปได้ไม๊อ่ะยอดคะน้า?? เค้าไม่ไปได้ไม๊????”
“ลูกขนุน!!...ถามจริง เตงคิดมากเรื่องไอ้น้องเขยต้องแต่งงานจนเสียจริตไปแล้วเหรอ?
เตงเป็นเมียหลวงนะ เตงต้องไปรักษาสิทธิของเตงดิวะ!!” เจ้น้าพูดเหมือนกับว่า
สิ่งที่ผมเป็นมันเป็นเรื่องที่สังคมส่วนใหญ่เข้าใจได้อย่างนั้นแหละ...
...กับน็อตแล้ว
จริงอยู่ที่ตัวผมรู้จัก รัก และเป็นแฟนพ่อเจ้าประคุณของผมมาก่อนน้องจินนี่ว่าที่คู่หมั้นอะไรนั่น
แต่ความจริงข้อนี้...เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ภายในกลุ่มสังคมแคบๆ
ระหว่างญาติ หรือเพื่อนฝูงที่สนิทของคู่เกย์อย่างเราเท่านั้น ครั้นจะให้ผมออกตัวแรงไปเที่ยวป่าวประกาศฐานะของตัวเองต่อหน้าคนอื่นๆที่รู้จักเราสองคนแค่เพียงผิวเผิน
เพื่อทวงสิทธิในตัวน็อตของผมคืนกลับมา ด้วยเหตุผลที่ว่า
ผมมีความสัมพันธ์ทางกายและใจกับเขามาก่อน ผมคงได้กลายเป็นตัวประหลาด
มากกว่าจะควรค่ากับการเป็นเมียที่น็อตหมายจะควงคู่อย่างออกหน้าออกตา แบบที่สามารถพาไปงานไหนต่อไหนด้วยกันได้อย่างไม่มีอับอายแน่ๆ...
...คิดได้เอง ก็รู้สึกชอกช้ำด้วยตัวเองขึ้นมาเองอีกครั้ง ผมร้องไห้เหมือนเด็กๆระหว่างที่ตัดพ้อต่อโชคชะตา
และวาสนาอันจำกัด “ฮึก ฮึก เมียหลวงบ้าอะไร...
เกย์อย่างเค้า เป็นได้มากสุดก็แค่คู่นอนชั่วครั้งชั่วคราวของลูกชายเค้าเท่านั้นแหละ
ฮืออออ”
เสียงเจ้น้าที่ถามผมออกมาในเวลานี้ฟังดูร้อนรนมากเป็นพิเศษ “ลูกขนุน...
อย่าบอกนะว่าเตงกำลังอยู่ในโหมดอกหัก” ผมพยักหน้าหงึกหงักเพราะไม่อาจจะส่งเสียงอื่นออกไปได้นอกจากเสียงสะอึกสะอื้นเพราะมัวเอาแต่นึกถึงภาพน็อตอยู่ในงานแต่งในวันพรุ่งนี้
“โธ่เอ๊ย...เค้าถึงได้ว่า ทำไมอยู่ดีๆเตงถึงได้สติแตกแหกกระเจิงจนพูดจาไม่รู้เรื่องอยู่อย่างนี้...
.
.
...เตงจะทำตัวป่วย หงอย สร้อยเศร้า จับเจ่าเป็นพะโล้ค้างปีอยู่ที่บ้าน
แล้วยอมเสียผัวให้คนอื่นมาชุบมือเปิบไปง่ายๆไม่ได้นะ เตงต้องไม่ลืมซิว่า
ไอ้น้องเขยมันรักเตงมากแค่ไหน” ผมส่ายหน้าแทนคำปฏิเสธที่ผมก็ยังไม่สามารถออกเสียงได้ เพราะพอผมเริ่มตั้งหน้าตั้งตาร้องไห้
ผมก็จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป
ตอนนี้ ร่างกายผมเริ่มจะกระตุกโยกไปทั้งตัวคล้ายๆกับคนกำลังสะอึกเร็วๆแต่ไร้เสียง
พี่สาวผมเห็นอาการผมแล้วก็ได้แต่กลอกตา
แล้วพูดต่อทันทีโดยไม่คิดยื่นมือเข้าช่วยเหลือและบรรเทาอาการร้องไห้จนเสียผู้เสียคนของผมแม้แค่น้อย
“เตงรู้ไม๊ วันนั้นที่เตงทะเลาะกับไอ้น้องเขย
แล้ววิ่งแจ้นกลับมาสงบจิตสงบใจที่บ้านน่ะ ไอ้น้องเขยมันมานั่งปรับทุกข์เรื่องจะบอกรักเตงยังไงดีอยู่ตั้งนานสองนาน...
.
...มันเอาแต่บ่นว่า มันกลัวว่าเตงจะไม่รักมัน
มันกังวลว่าเตงจะเห็นว่ามันไม่ใช่คนในสเปค แล้วก็จะมองเลยข้ามมันไป
ทั้งที่มันรักเตงมาก รักมาตั้งแต่แรกๆที่มันรู้จักกับเตง... รักทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีหวังในตัวเตงเลยแม้แต่น้อย
แต่มันก็ยังสู้ และอดทนทำทุกอย่างเพื่อให้เตงกลายเป็นแฟนมันจนได้...
.
...เอาอย่างงี้แล้วกันนะ เตงอยากร้องอยากเสียใจนักใช่ไม๊...ถ้างั้น เค้าจะให้เวลาเตงถึงแค่คืนนี้อีกแค่คืนเดียว
เค้าจะปล่อยให้เตงร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง เสียใจคร่ำครวญฟูมฟายตะกายฝายังไงก็ได้ แต่เช้าวันพรุ่งนี้...เตงจะต้องไปกับเค้า เราจะไปลองพยายามเปลี่ยนใจว่าที่พ่อผัวดูอีกครั้ง...
.
.
...เค้ามั่นใจว่า ต่อให้น้องเขยต้องแต่งงานกับใครอีกซักกี่คน ถ้าทั้งเตงและน้องเขยยังรู้สึกต่อกันเหมือนเดิม
ไม่ว่ายังไง...เตงกับน้องเขยก็ย่อมจะได้ลงเอยด้วยการครองคู่กันอย่างแน่นอน”
“ฮึก....เตงยังเชื่อว่าเราสามคนพี่น้องจะสามารถยับยั้งงานแต่งของน็อตได้อยู่อีกเหรอ?”
ผมถามพี่สาวของตัวเองออกไปด้วยเสียงอู้อี้ขึ้นจมูกจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง
“แน่ซิ... ไม่งั้นเค้าจะเป็นพี่สาวผู้แข็งแกร่ง
และชาญฉลาดของเตงได้เหรอ? ใช่ไม๊ล่ะยัยน้องสาวขาซึนจอมขี้แย...ฮึ?” จบคำ
มะเหงกก็เคาะลงมาบนกระหม่อมของผมเบาๆหลายครั้งด้วยความหมั่นไส้ของคนพูด
ผมว่าผมโชคดีเหลือเกิน ที่ในเวลาที่ผมต้องการใครสักคนมากที่สุดอย่างในตอนนี้
คนในครอบครัวก็พร้อมจะให้คำปรึกษา และการสนับสนุนผมอยู่เสมอ
ที่สำคัญ...เวลาคิดฟุ้งซ่านจนสมองตื้อนี่
ถ้าได้โดนตำหนิ ต่อว่า หรือโดนฝ่ามือสับลงมาตรงหน้าแงสักป๊าบ
ก็สามารถช่วยกำจัดความคิดงี่เง่าออกไปจากสมองของผมได้ราวกับปลิดทิ้ง...
...มิน่าล่ะ ผมถึงทนทำงานกับพี่เมี่ยงได้นานขนาดนี้
ทั้งที่แกมักจะโขกสับผมอย่างกับทาสในเรือนเบี้ยมาโดยตลอด...
...หรือว่าผมจะเป็นสาย M ทั้งใน และนอกเตียงกันนะ???!
ผมพยายามฝืนตัวเองให้หยุดสะอึกสะอื้น แล้วรับคำพี่สาวอย่างหนักแน่น ทั้งที่น้ำเสียงและหน้าตาเยินไปหมดหลังร้องไห้เป็นบ้ามาตั้งนานสองนาน
“ฮึก...เค้าไม่อยากเสียน็อตไป......เค้าจะไปตามน็อตกลับคืนมาให้จงได้!!”
เจ้น้าทำตาเป็นประกายและดูมีความสุขสุดๆที่ทำให้ผมเปลี่ยนใจ
เปลี่ยนอารมณ์ และเปลี่ยนความคิดได้ นั่นก็แสดงว่าพิธีล้างสมองของแกสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีอย่างที่ตั้งใจเอาไว้
“ดีมากอีหนู!!... สู้เพื่อผัว อีหนู...ท่องเอาไว้...สู้เพื่อผัว!!!” พี่สาวผมพยายามท่องคำสุดท้ายข้างๆหูผมซ้ำไปซ้ำมาราวกับต้องการสะกดจิตให้ผมทำตาม...
...ผมยอมรับเลยว่า ชั่วโมงที่คนเราอ่อนแอหรือหวั่นไหว คือช่วงเวลาที่อันตรายต่อตัวเราอย่างที่สุด...
...เพราะถ้าหากเราตกเป็นเหยื่อในช่วงเวลานี้ของชีวิต เราก็พร้อมจะทำทุกอย่างตามโปรแกรมที่เราได้ถูกป้อนคำสั่งเอาไว้...
...และผมอยากจะบอกว่า...สิ่งที่ผมกำลังจะทำต่อไปในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
เกิดขึ้นเพราะผมโดนควบคุมโดยแท้ เนื่องจากผมมั่นใจว่า
ไม่มีทางที่ผมจะพูดอะไรแบบนี้ออกมาง่ายๆในเวลาที่ผมมีสติครบถ้วนอย่างแน่นอน
“สู้เพื่อผัว สู้เพื่อผัว สู้เพื่อผัว!!” นี่คือสิ่งที่ผมท่องอย่างต่อเนื่องทั้งในใจ และนอกใจตลอดเวลา ราวกับเป็นมนตราวิเศษเรียกเนื้อ
เรียกปลาของพระสังข์รูปทองก็ไม่ปาน
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ผมขับรถพาเจ้น้ากับยัยนิ้งเข้ามาภายในบ้านของน็อตตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดี
ผมปลุกยัยนิ้งที่ยังนอนงัวเงียอยู่เบาะหลังให้ตื่น
ก่อนจะเดินนำเราทั้งหมดให้เข้าไปในตัวบ้าน ยังไม่ทันที่ผมจะก้าวขึ้นบันไดหน้าบ้าน
พี่ดาก็ออกมาต้อนรับพวกผมทั้งสามคนทันทีราวกับตั้งตารอรับผมและพี่น้องอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ผมยกมือไหว้พร้อมกับกล่าวทักทายผู้มีอาวุโสกว่าอย่างไม่รอช้า “สวัสดีครับพี่ดา
ผมขอเข้าพบคุณป๋า กับคุณบี๋หน่อยได้ไม๊ครับ?”
“ได้ค่ะคุณขนุน
คุณท่านสั่งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วค่ะว่า ถ้าคุณขนุนมาถึงบ้านให้รีบพาขึ้นไปพบท่านทั้งสองทันทีเลยค่ะ...เชิญทางนี้ค่ะ” แล้วก็จริงอย่างที่ผมสงสัย
เพราะพี่ดาได้ยืนยันความเข้าใจผมด้วยคำตอบที่มาพร้อมกับสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสของเธอโดยไม่มีทีท่าหงุดหงิดแต่อย่างใด
แม้ตัวผมจะเป็นแขกที่ไม่รู้จักกาละเทศะมากนัก เพราะคงไม่มีคนแปลกหน้าที่ไหน...กล้ามารบกวนเวลาพักผ่อนของทั้งเจ้าของบ้าน
และเวลาส่วนตัวของพี่ดาตั้งแต่ไก่โห่แบบนี้แน่ๆ
พี่ดาผู้อารีเดินนำหน้าเราสามพี่น้องขึ้นบันไดไปยังห้องที่อยู่อีกปีกตึกหนึ่งซึ่งอยู่ตรงข้ามกับทางเดินไปห้องของน็อต
ระหว่างที่ผมเดินฝ่าความเงียบของบ้านในยามเช้าด้วยใจตุ๊มๆต่อมๆอยู่นั้น
พี่ดาก็เอ่ยปากถามผมออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย “เมื่อคืนคุณขนุนไม่ได้นอนเหรอคะ?”
การที่ต้องตอบคำถามโดยไม่ทันตั้งตัว ทำเอาผมถึงกับอึ้งไปพักหนึ่ง
เพราะไม่คิดว่าอยู่ๆพี่ดาที่เดินเงียบๆมาตลอดทางจะถามผมด้วยเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ “เอ่อ...ผมนอนไม่ค่อยหลับน่ะครับ” ผมตอบพี่ดาพลางใช้มือทั้งสองข้างจับไปตามใบหน้าของตัวเองด้วยความกังวล
พร้อมกับส่งสายตาสงสัยกลับไปให้คนเก่าคนแก่ของบ้านน็อตเพื่อถามหาคำอธิบาย
เมื่อผมพูดจบ
พี่ดาก็เอ่ยเสริมออกมาทันทีในสิ่งที่ค้างคาใจผมอย่างที่สุด “ถึงได้ว่า ตาดูโรยๆ...”
มือผมเริ่มจะอยู่ เที่ยวจับแก้ม
จับหน้าผาก จับโน่นจับนี่บนหน้า ราวกับมทือทั้งสองข้างของผมจะมีพลังพิเศษช่วยยัดกล้ามเนื้อต่างๆที่หย่อนคล้อยเสื่อมโทรม
ให้กลับเข้าที่เข้าทางอย่างที่มันควรจะเป็นในชั่วพริบตา
ก่อนที่จะไปเจอหน้าว่าที่พ่อแม่สามีในอีกไม่กี่อึดใจได้อย่างไรอย่างนั้น
...ตายแล้ว! นี่ผมโทรมขนาดคนไม่คุ้นหน้าอย่างพี่ดายังดูออกเลยหรือนี่??!
...กรี๊ดดด!! เดี๋ยวผมคุยกับคุณป๋าคุณบี๋เสร็จ
ผมต้องแว๊บกลับไปบำรุงผิวหน้าที่บ้านเสียหน่อยแล้วล่ะ
ไม่อย่างนั้น...ผมคงไม่มีหน้าไปสู้กับน้องจินนี่ว่าที่คู่หมั้นอะไรนั่นด้วยหนังหน้าสดที่ไม่พร้อมแบบนี้แน่ๆ
อีกอย่าง...ถ้าน็อตเกิดมาเห็นหน้าแย่ๆของผมตอนนี้เข้า
น็อตอาจจะตกใจจนเผลอมองน้องจินนี่อะไรนั่นแล้วปลื้มเอาก็เป็นได้...
...ไม่ได้การล่ะ! ผมต้องรีบคุยรีบกลับเสียแล้วสิ??!
พี่ดายิ้มให้ผมอีกครั้ง แล้วเปลี่ยนเรื่องถามอีกรอบ “...
แล้วนี่รับอาหารเช้ามารึยังคะ?”
ผมส่ายหัวแล้วตอบออกไปตามจริงอย่างนอบน้อม “อ่อ เอ่อ...ยังครับ คือว่าพวกผมรีบออกมาน่ะครับ กลัวว่าจะไม่ทัน”
พี่ดายิ้มให้ผมอีกครั้งแต่ไม่วายส่งสายตาตำหนิน้อยๆมาให้
จะว่าไป...พี่ดานี่ก็ทำตัวเหมือนแม่จ๋าของผมเลย
เมื่อไรก็ตามที่ผมเลี่ยงไม่กินข้าวเช้า
แม่จ๋าจะต้องคะยั้นคะยอต่อรองให้ผมกินอาหารเช้าที่ท่านเตรียมเอาไว้ให้อย่างน้อยครึ่งจานก่อนออกจากบ้านไปเสมอ
เมื่อเรามาหยุดตรงหน้าประตูบานใหญ่บานหนึ่ง
พี่ดาก็หันมาบอกกับพวกผมด้วยเสียงเบากว่าที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ “ถ้างั้น
เดี๋ยวพี่ดาจะไปหาอะไรมาให้ทานรองท้องนะคะ จะได้ไม่หิวมากจนเกินไป... และนี่ค่ะ
คุณท่านรออยู่ข้างในห้องนี้แหล่ะค่ะ”
“ขอบคุณครับพี่ดา ขอบคุณมากๆครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณพี่ดาอีกครั้ง
พี่ดายิ้มน้อยๆเป็นครั้งที่เท่าไรผมก็ไม่ทันได้นับ
ก่อนจะพูดให้กำลังใจผม “ไม่เป็นไรค่ะคุณขนุน... สู้ๆนะคะ พี่ดาเอาใจช่วย!!” เมื่อพูดจบเธอก็เดินหายลับไปทันที
ผมที่ไม่ทันได้บอกขอบคุณพี่ดาที่มาเร็วไปเร็วก็ได้แต่เกาท้ายทอยแก้เก้อ
แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่ผมจะต้องมาคิดเรื่องพี่ดาให้หนักสมอง
เพราะมีเรื่องที่สำคัญกว่ารอให้ผมทำอยู่ด้านหลังประตูข้างหน้า ผมเลยสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อรวบรวมความกล้าก่อนจะเคาะประตูเบาๆ
เพื่อบอกให้เจ้าของห้องทราบถึงการมาของผมกับพี่น้อง
ไม่นานหลังจากนั้น ผมก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำน่าเกรงขามของคุณป๋าเอ่ยอนุญาตให้ผมเข้าไป
ทันทีที่ผมบิดลูกบิดประตู เสียงของเจ้น้าก็ดังเบาๆตรงข้างหูว่า “สู้ๆนะน้องสาว
เค้ากับยัยนิ้งจะเป็นแบ็คอัพให้เอง”
เมื่อสิ้นเสียงของพี่สาว แทนที่พี่น้องทั้งสองของผมจะเดินตามผมเข้าไปในห้องเพื่อเผชิญหน้ากับคุณป๋าและคุณบี๋ด้วยกัน
อย่างที่ผมเข้าใจตั้งแต่ก่อนออกมาจากบ้าน กลับกลายเป็นว่า ผมโดนรุนหลังผลักจนหน้าทิ่มถลาเข้าไปในห้องอย่างเสียอาการ
จากนั้นประตูบานที่เพิ่งเปิดด้วยมือของผม ก็ถูกปิดลงด้วยตัวของมันเองแบบกึ่งอัตโนมัติ
ราวกับค่ายกลในด่านสุดท้ายของนิยายจีนกำลังภายในอย่างไรก็ไม่รู้
...ยอดคะน้า แม่คะนิ้ง ไอ้พี่น้องทรยศ!! อย่าให้ถึงทีเค้านะ เค้าจะเอาคืนพวกเตงให้เจ็บแสบเลยเชียว!
ผมสะบัดไล่ความแค้นพี่และน้องสาวของตัวเองออกไปทันที เมื่อเห็นคุณป๋าและคุณบี๋นั่งยิ้มรออยู่ตรงโซฟาข้างหน้า
อารามตกใจ ผมเลยเอ่ยทักทายผู้อาวุโสทั้งสองทันทีโดยที่ลืมยกมือไหว้ “สวัสดีครับคุณป๋า
คุณบี๋ ขอโทษที่ผมมารบกวนเวลาเตรียมงานสำคัญอย่างวันนี้” เมื่อพูดจบ
ผมก็รีบยกมือไหว้ปิดท้ายตามไป
แล้วส่งยิ้มหวานกลบเกลื่อนการกระทำที่ดูอย่างไรก็ไม่เข้าท่าและไร้มารยาทเมื่อครู่
คุณป๋ายิ้มกว้างให้ผมอย่างไม่ถือสาหาความ แล้วออกปากชวนยกใหญ่ “โฮ๊ยยย
ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ขนุนนั่งลงก่อนซิ...
.
.
...เออ...ว่าแต่ ขนุนมีอะไรล่ะ
ถึงได้มาหาคุณป๋ากับคุณบี๋ตั้งแต่ยังไม่หกโมงแบบนี้น่ะ?”
คำถามของคุณป๋าถูกยิงออกมาถึงผมอย่างไม่ทันตั้งตัว ดีว่าผมนั่งลงตรงโซฟาตัวเล็กตัวข้างๆเรียบร้อยแล้ว
ไม่อย่างนั้นผมต้องเผลอสะดุดหรือทำตัวป้ำๆเป๋อๆออกไประหว่างที่กำลังทำอะไรครึ่งๆกลางๆอยู่เป็นแน่
ผมรีบปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติก่อนตอบคำถามคุณป๋าด้วยท่าทางอย่างมั่นใจ
ทั้งสองท่านจะได้เข้าใจถึงจุดประสงค์ที่ผมขอเข้าพบท่านตั้งแต่หัววันแบบนี้แต่เนิ่นๆ
“ผมแน่ใจว่าสิ่งที่ผมกำลังจะพูดต่อไปนี้ น่าจะเป็นการร้องขออย่างเห็นแก่ตัวที่สุด แต่ทั้งที่รู้อย่างนั้น
ผมก็ยังจะขอโอกาสที่จะบอกสิ่งที่ผมต้องการออกมาให้คุณป๋ากับคุณบี๋รับฟังอยู่ดี...
.
...ผมอยากจะขอให้คุณป๋ากับคุณบี๋ ยกเลิกงานหมั้น
และงานแต่งของน็อตกับน้องจินนี่ลงด้วยเถอะครับ”
ผมยกมือไหว้ผู้ให้กำเนิดน็อตทั้งสองท่าน
ก่อนจะถดตัวลงนั่งกับพื้นแล้วกราบท่านทั้งสองที่พื้นอีกครั้ง
คุณบี๋ที่นั่งอยู่ใกล้ผมมากกว่าเอามือลูบแผ่นหลังของผมเบาๆ
แล้วยกใต้ๆแขนผม
จนผมต้องเงยหน้ากลับขึ้นมามองท่านที่กำลังนั่งยิ้มสวยมองผมไม่วางตา เมื่อท่านเห็นผมสบตาแล้ว
ท่านก็ถามผมด้วยเสียงใจดี “ที่ขนุนอยากจะขอจากคุณบี๋กับคุณป๋ามีแค่นี้เองเหรอลูก?”
“เอ่อ...ไม่ใช่แค่นี้หรอกครับคุณบี๋ นอกจากเรื่องยกเลิกงานแต่งแล้ว...ผมยังอยากขอโอกาสจากคุณป๋าและคุณบี๋
ขอให้ผมได้เป็นคนคอยดูแล คอยให้ความรัก คอยเอาใจใส่ทั้งช่วงเวลาทุกข์และสุขของน็อตไปตลอดชีวิตของผมน่ะครับ” ผมตอบคุณบี๋ทั้งที่สองมือยังพนมอยู่แนบอก
แต่แทนที่คุณบี๋จะได้พูดตอบ
กลับกลายเป็นเสียงของคุณป๋าที่นั่งห่างออกไปถามออกมาอย่างไม่พอใจ “ขนุนไม่คิดบ้างเลยเหรอว่า
สิ่งที่เราขอจากคุณป๋าเนี่ยะมันดูจะเยอะเกินไปรึเปล่า?”
ผมเลยตอบท่านไปตามความจริงที่ผมรู้สึก “สำหรับคนที่ไม่รู้จักมักจี่นิสัยใจคอกันมาก่อน
ผมเองก็เห็นด้วยกับคุณป๋าครับว่า...สิ่งที่ผมขอกับคุณป๋าและคุณบี๋ไปนั้น ฟังดูค่อนข้างจะเป็นการออกปากร้องขออย่างอุกอาจ
และเห็นแก่ตัวเกินไป แต่ถ้าผมเลือกได้...สิ่งที่ผมอยากจะขอให้เกิดขึ้นมากที่สุด คือ
ผมอยากจะขอให้ผมมีเวลามากกว่านี้ เพื่อที่ผมจะได้พิสูจน์ตัวเองว่า ผมรักน็อตมากแค่ไหน...
.
...ผมรู้ดีครับว่า แม้ตัวผมจะไม่สามารถทำหน้าที่หลายๆอย่างเฉกเช่นผู้หญิงคนใดได้
แต่ผมขอสัญญาต่อหน้าคุณป๋า และคุณบี๋เอาไว้ตรงนี้เลยว่า ผมจะใช้เวลาทุกวินาที ทำทุกๆอย่างให้น็อตด้วยความรักทั้งหมดที่ผมมี
เพื่อทำให้เค้ากลายเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก ตลอดเวลาที่ผมยังมีลมหายใจ...
.
...ผมขอร้องเถอะครับคุณป๋า คุณบี๋...
...ได้โปรดอนุญาตให้ผมได้อยู่กับน็อต ได้รักน็อต
ได้อยู่เคียงข้างน็อตไปเรื่อยๆด้วยเถอะครับ”
ผมก้มลงกราบคุณป๋ากับคุณบี๋อีกครั้งเพื่ออ้อนวอนขอในสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดในชีวิต
“คุณป๋าว่า ถึงน็อตจะแต่งงานไปแล้ว ขนุนก็ยังอยู่กับน็อตได้นะ...ไม่ต้องงงไปหรอก
คืองี้...คุณป๋าคุยเรื่องของขนุนกับบ้านของน้องจินนี่แล้ว ทางโน้นเค้าก็โอเค
หากคุณน็อตจะแว้บไปหาขนุนบ้างเป็นบางครั้งบางคราวให้พอหายคิดถึงกันน่ะ” เสียงนุ่มๆของคุณป๋าตอบคำผมด้วยถ้อยคำที่ผมไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ในสังคมยุคใหม่ที่ตระกูลดังส่วนใหญ่เลือกจะทำเพื่อสร้างอาณาจักรของตนให้ร่ำรวยยิ่งๆขึ้นไป
พอท่านเห็นว่าผมไม่พูดจาแย้งหรือถามอะไร คุณป๋าก็อธิบายต่อเนิบๆเหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ
หรือเรื่องยิบย่อยที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ “ก็อย่างนี้แหละนะ ในแวดวงคนทำธุรกิจอย่างก๊วนเพื่อนๆคุณป๋าน่ะเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี
เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเราจัดแจงให้เชื้อสายของเราได้แต่งงานกับทายาทตระกูลดังคนอื่นๆเพื่อต่อยอดและส่งเสริมให้เกิดผลประโยชน์ทางธุรกิจอย่างสูงสุด...
.
...แต่ไอ้ครั้นจะหักหาญน้ำใจลูกๆโดยไม่เหลียวแลความรู้สึกกันเลย
เราก็คงจะกลายเป็นพ่อแม่ใจยักษ์จนเกินไป...
...เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันในระยะยาวด้วยการปรองดองระหว่างสองตระกูลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
การให้น้ำหล่อเลี้ยงรักษาใจแก่เด็กๆทั้งสองฝ่าย ด้วยการยอมหลับตาซักข้างสองข้างนานๆครั้ง
ก็ไม่เห็นจะเป็นปัญหาอะไรเลย...
.
.
...ขนุนน่าจะเข้าใจสิ่งที่คุณป๋าเพิ่งบอกออกไปดีอยู่ใช่ไม๊ล่ะ?”
แค่ผมนึกตาม ผมยังรู้สึกร้อนด้วยความไม่พอใจไปหมดทั้งร่าง
แนวความคิดแบบนี้มันเป็นความคิดของผู้ใหญ่ที่เห็นแก่ตัวชัดๆ ไม่น่าเชื่อว่าครอบครัวที่ดูเหมือนจะรักกันมากอย่างที่ผมเห็นเมื่อหลายวันก่อน
จะมีประมุขที่คิดเรื่องน่ารังเกียจพวกนี้ได้โดยไม่ละอายใจ
ลำพังการที่คุณป๋าไม่เห็นใจผมน่ะไม่ทำให้ผมแปลกใจเท่าไร... แต่นี่
คุณป๋ากำลังเอาชีวิตของลูกขายตัวเองไปเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนกับทรัพย์สิน เงินทอง
และความมั่งคั่ง โดยไม่สนใจว่า อีกหลายสิบปีต่อจากนี้
ชีวิตของน็อตจะเป็นอย่างไร... ความคิดแบบนี้ของคนเป็นพ่อน่ะใช้ได้แน่หรือ??!
พอคิดถึงใจน็อต ผมเลยเผลอตอกกลับคุณป๋าอย่างเหลืออด “แล้วคนกลางอย่างน็อตเค้ายอมรับเงื่อนไขบ้าๆนี้ได้เหรอครับ?
น็อตจะยอมทิ้งความสุขทั้งชีวิตของตัวเองเพื่อแลกกับการแต่งงานกับคนที่เค้าไม่ได้รัก
แลกกับการต้องอยู่กินกับคนๆนั้นไปตลอดได้จริงๆเหรอครับ? คุณป๋าได้ลองถามเค้าดูดีๆแล้วเหรอครับว่า
หลังจากที่น็อตแต่งงานไปแล้ว...เค้าจะมีความสุขแน่ๆใช่ไหมครับ?”
คุณป๋ากระหยิ่มแล้วถามนิ่มๆออกมาอีกครั้ง “หึ...แล้วถ้าคุณป๋าจะบอกว่า
คุณน็อตเป็นคนเสนอความคิดนี้ขึ้นมาเองล่ะ ขนุนจะว่ายังไง?”
ผมแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ผมเพิ่งจะได้ยินออกจากปากคุณป๋าเมื่อครู่
จนผมต้องบอกปัดถ้อยคำไม่เข้าท่าด้วยการโต้แย้งของผมทันที “ผมไม่เชื่อหรอกครับ
ไม่มีทางที่น็อตจะเสนออะไรบ้าๆแบบนี้อย่างแน่นอน...
.
.
...น็อตคนที่ผมรู้จัก ถ้าเค้าพยายามอย่างที่สุดแล้ว และเค้ายังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ
เค้าก็จะไม่มีวันล้มเลิกความตั้งใจที่จะทำสิ่งๆนั้นลงง่ายๆ แม้ว่ามันจะยากเย็น
หรือลำบากลำบนซักแค่ไหนก็ตาม...
.
...และถ้าหากเค้าต้องถูกบังคับฝืนใจให้ต้องทำอะไรที่เค้าไม่อยากทำ...
...ไม่ขัดขืนจนตัวตาย
ก็อย่าได้หวังว่าน็อตจะยอมทำตามเงื่อนไขที่ตนเองไม่ตกลงด้วยโดยดี...
...สำหรับเรื่องแต่งงานเพื่อต่อเงินนี่ คนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยอย่างผมมองว่า...หากคุณป๋ายังดื้อดึงบีบบังคับน็อตให้แต่งงานเพื่อสานความรุ่งเรืองของธุรกิจ
และต่อสายป่านให้คุณป๋าจริงๆ ผลลัพธ์คงลงเอยด้วยการที่น็อตน่าจะคอยหาเรื่องหย่า
หรือหนักกว่านั้น...พ่อตัวดีคงจะหาจังหวะหนีหน้าหายไปจากบ้านโดยไม่คิดจะหวนกลับมาให้ใครคนไหนเจออีกเลย...
.
...ได้โปรดเถอะครับคุณป๋า คุณป๋าอย่าบีบคั้นน็อตให้เล่นตามเกมธุรกิจของคุณป๋าเลยนะครับ...
...ไม่ช้าก็เร็ว น็อตก็จะทนไม่ไหว...
...ผมกลัวครับ ผมกลัวว่าเค้าอาจจะตัดสินใจทำในสิ่งที่เราทั้งหมดไม่คาดฝัน
เพียงเพราะต้องการอยากจะหนีออกมาจากสิ่งแวดล้อมที่เค้าไม่ต้องการจริงๆก็ได้
แล้วสุดท้าย...อะไรๆที่เราคิดว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ มันอาจจะพลิกผัน และยากเกินแก้ไข
จนเราทั้งหมดต้องมานั่งเสียใจกับการฝืนใจน็อตตั้งแต่แรกก็เป็นได้”
“เหมือนอย่างที่ขนุนทำกับน็อตน่ะเหรอ?” โดนคุณป๋าสวนกลับมาแค่ดอกเดียว ก็ทำเอาผมแทบกระอักก้อนเลือดในอกตายไปหลายครั้ง
แต่เมื่อเรื่องมันออกมาในรูปนี้ ถ้ามัวแต่บ่ายเบี่ยง ทำเลี่ยงความผิดอยู่
คงจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดที่จะแสดงความบริสุทธิ์ใจที่ผมมีออกมาให้พ่อแม่ของน็อตได้เล็งเห็นแน่ๆ
ผมพยักหน้ารับ แล้วยืนยันให้ผู้อาวุโสเข้าใจ “ครับ...เหมือนเรื่องที่ผมทำกับน็อต
ที่มันยังทำให้ผมเสียใจอยู่จนทุกวันนี้”
คุณป๋ายังคงถามกดดันผมต่อไม่มีลดละ “แล้วทำไมขนุนถึงไม่ยอมถอดใจไปจากน็อตซักทีล่ะ
ทั้งๆที่คุณป๋าก็บอกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วว่า ไม่ว่ายังไง...คุณป๋าก็จะจับคุณน็อตให้แต่งงานไปกับคนอื่นซะให้ได้”
...ใจคอคุณป๋ากะจะฆ่าผมให้ตายด้วยคำถามบาลึกไปทั้งหัวใจพวกนี้หรือนี่??!
...ฟังที่คุณป๋าพูดมาแต่ละอย่าง
ถ้าผมไม่โดนเจ้น้าสะกดจิตให้ไม่ถอดใจไปจากผัวง่ายๆ
ผมคงจะกราบลาว่าที่พ่อสามีไปหลบเลียแผลใจสักสามสี่ปี
ถึงจะมีเรี่ยวแรงกลับมาต่อยตีต่อสู้เพื่อลูกชายของท่านอีกรอบละมั้ง
ผมเลยตอบท่านไปตามจริง “ถ้าการเลิกรักน็อตเป็นเรื่องง่ายดายอย่างที่คุณป๋าอยากให้ผมทำ
หลังจากถูกคุณป๋าตอกย้ำว่าไม่ต้องการให้ผมกับน็อตลงเอยกันกลายๆอยู่หลายครั้ง... ผมก็คงไม่มานั่งทู่ซี้อยู่ตรงพื้นข้างหน้าคุณป๋าราวกับคนหน้าไม่อายพูดจาไม่รู้เรื่อง
เพื่ออ้อนวอนขอโอกาสและการยอมรับจากคุณป๋าและคุณบี๋ ด้วยเพราะหวังว่าคุณป๋าและคุณบี๋จะยอมเห็นใจ
เปิดทางให้เราสองคนได้รักกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนี้หรอกครับ”
“หึ! ประชดคุณป๋าแบบนี้ คงจะฝืนใจน่าดูล่ะซินะ”
น้ำเสียงของคุณป๋าฟังคล้ายๆกับเยาะเย้ยผมอยู่ไม่น้อย
เพื่อไม่ให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
ผมจึงสูดลมหายใจเข้าออกยาวๆเพื่อควบคุมอารมณ์ไม่ให้แกว่งไปตามถ้อยคำและน้ำเสียงชวนคิดมากที่คุณป๋าใช้
แล้วค่อยๆตอบคำถามคุณป๋าออกไปอย่างมีเหตุผล
“ไม่ใช่ว่าผมฝืนใจหรืออะไรหรอกนะครับ แต่มันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคิดจะทำให้กับใครมาก่อนในชีวิตต่างหาก...
...ที่ผ่านมา ผมไม่เคยคิดว่าผมต้องมาอ้อนวอนร้องขอความเห็นใจจากพ่อแม่ของแฟน
หรือบากหน้าบุกน้ำลุยไฟต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความรัก
และการยอมรับจากครอบครัวของแฟนมาก่อน ผมไม่เคยรู้ว่า
ผมพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อคนที่ผมรักได้มากขนาดนี้ มันเลยออกจะเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่ยากเกินจะรับมือไปซักหน่อย...
.
.
...แต่ถ้านั่น จะทำให้ผมกับน็อตได้รักกัน และอยู่ด้วยกันแล้วล่ะก็
ต่อให้ผมต้องอายมากกว่านี้ ต่อให้ผมต้องทำในเรื่องที่ผมไม่เคยทำมาก่อน
ผมก็พร้อมจะทำทุกอย่างไม่ว่ามันจะทำให้ผมรู้สึกวางตัวไม่ถูกซักแคไหนก็ตามครับ”
“คิดว่าตัวเองเหมาะกับลูกชายคนนี้ของคุณป๋าตรงไหนกันน่ะเรา ฮึ?”
“ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมจะเป็นคนที่เหมาะสมสำหรับน็อตในความหมายของคุณป๋ารึเปล่านะครับ...
...แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นที่ผมได้เรียนรู้ หลังจากได้รับความรักอันยิ่งใหญ่จากน็อต นั่นคือ...ความเหมาะสมในเรื่องรูปโฉมโนมพันธ์
ฐานะทางบ้าน และสิ่งฉาบฉวยภายนอก
ไม่ได้มีความสำคัญอะไรสำหรับการเสริมสร้างความสัมพันธ์อีกต่อไป...
.
...การยอมรับในสิ่งที่เราสองคนต่างเป็นโดยเนื้อแท้ต่างหากล่ะครับ
ที่เป็นตัวชี้วัดความเหมาะสมระหว่างคนสองคนได้...
...ผมรู้ตัวดีว่า ผมมีข้อเสียไม่น้อย
แต่ตลอดเวลาที่เราสองคนได้ทดลองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน น็อตได้ทำให้ผมแน่ใจว่า
เค้าสามารถรับในทุกสิ่งที่ผมเป็นได้
และเค้ารักตัวตนของผมอย่างที่ไม่มีใครเคยทำให้ผมรับรู้มาก่อน...
.
...ส่วนเค้าเอง เค้าก็มีข้อเสียมากมาย บางเรื่อง...หนักหนาเกินกว่าที่คนเรียบๆอย่างผมจะรับมือได้ด้วยเหมือนกัน
แต่หลังจากที่เราได้ปรับความเข้าใจเมื่อต้องเผชิญอุปสรรคนานัปการ ความดีงาม
และความรักของเค้าที่มีต่อผม ก็ทำให้ผมตกหลุมรักเค้าได้ซ้ำๆอย่างไม่มีวันสิ้นสุด...
.
...ผมแน่ใจว่า หลังจากนี้...ความชื่นมื่นของช่วงแรกรักคงจะจืดจางไปในอีกไม่ช้าตามกาลเวลาที่ผันแปร
และสุดท้าย...เราคงต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำในสิ่งทั่วๆไป ที่อาจจะเป็นเรื่องน่าเบื่อในสายตาของใครหลายๆคน
แต่การมีน็อตอยู่ด้วย
กลับทำให้ช่วงเวลาธรรมดาๆ กลายเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขอย่างที่สุด และผมแน่ใจว่า
การมีผมอยู่ข้างๆ...ก็จะทำให้เค้ามีความสุขมากไม่ต่างกัน”
ถ้าผมไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป
ผมว่าผมซื้อใจคุณบี๋ให้มาอยู่ข้างเดียวกับผมได้หนึ่งคนแล้ว เพราะเมื่อผมพูดจบ
คุณบี๋ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คล้ายกับท่านจะเห็นด้วยกับความคิดของผม และถ้าผมเดาไม่ผิด...คุณบี๋นี่แหละ
ที่เป็นกุนซือผู้อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจสำคัญๆทั้งหลายของคุณป๋า... สุดท้าย
ถ้าเรื่องทั้งหมดมันออกมาในรูปแบบที่ผมไม่ได้หวังเอาไว้
ผมจะพยายามหลอกล่อให้คุณบี๋นี่แหละ ยื่นมือเข้าแทรกแซงความต้องการของคุณป๋าเอง...
...ถึงผมจะเป็นคนไม่มีเพื่อนฝูงมากนัก
แต่เรื่องอ้อนผู้ใหญ่นี่ผมเก่งไม่เป็นสองรองใคร ไม่อย่างนั้น
พ่อจ๋าแม่จ๋าคงไม่ตามใจผมถึงขนาดยอมปล่อยให้ผมย้ายลงมาอยู่บ้านที่กรุงเทพฯตั้งแต่ตอนเรียนจบมัธยมปลาย
โดยบังคับให้เจ้น้าย้ายออกจากคอนโดมาคอยดูแลผมอย่างทุกวันนี้ได้ง่ายๆหรอกเหรอ หึ
หึ..สิบคุณป๋าหรือจะสู้หนึ่งคุณบี๋ได้!
“แล้วถ้าคุณป๋ายอมยกเลิกงานหมั้นกับงานแต่งในวันนี้
คุณป๋าจะแน่ใจได้ยังไงว่า ขนุนจะไม่ทำร้ายจิตใจคุณน็อตอย่างที่เพิ่งทำไปสดๆร้อนๆก่อนหน้านี้อีกล่ะ?
ไม่ใช่ว่าคุณป๋ายอมแล้ว อีกวันสองวันจะมาบอกเลิกกันให้ลูกคุณป๋ามันกลับมานั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งเป็นไอ้เสือสิ้นลายให้รำคาญสายตาอีกหรอกนะ”
“ถ้าจะให้บอกตามตรง ผมว่า...ผมน่าจะเป็นคนเดียวในที่นี้ ที่รักน็อตไม่ต่างไปจากคนอื่นๆในครอบครัวของคุณป๋า
หากแต่ผมมีข้อมูลเกี่ยวกับตัวเค้าน้อยที่สุด ซึ่งหลังจากนี้
เราสองคนคงต้องปรับความเข้าใจ และปรับตัวเข้าหากันอีกหลายต่อหลายครั้ง แต่สิ่งนึงที่ผมจะไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้นก็คือ
ผมจะไม่ยอมให้เราสองคนต้องอยู่ห่างกัน เพราะความไม่เข้าใจอีกต่อไปแล้วครับ ผมรู้ซึ้งแล้วว่า...ผมไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขอีกต่อไป
ถ้าผมไม่มีน็อตอยู่เป็นแรงใจให้กับผมน่ะครับ” ผมตอบคุณป๋าไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง
แต่สิ่งที่คุณป๋าถามกลับมาทำเอาผมงงเป็นไก่ตาแตก
"นี่ขนุน...ถามจริงๆเหอะ พูดจาแบบนี้ออกมาเป็นฉากๆน่ะ ไม่เขินร๊อะ?”
อยู่ๆคุณป๋าก็ทำหน้าทำตาล้อเลียนผม ซึ่งเมื่อดูเผินๆ ท่าทางของคุณป๋าช่างเหมือนกับลูกชายของท่านเวลาที่แหย่ผมตอนอารมณ์ดีไม่มีผิด ต่อไปวันหนึ่งข้างหน้า...ผมว่า
น็อตต้องดูเหมือนคุณป๋ามากที่สุดในบรรดาลูกชายทั้งสามคนแน่ๆ
ผมอมยิ้มก่อนยอมรับกับคุณป๋าไปตรงๆ “เขินซิครับ
แต่ก็อย่างที่ผมบอกคุณป๋าไปว่า ขอแค่ให้ได้น็อตกลับคืนมา...ผมก็ยินดีทำทุกอย่างที่ผมไม่เคยคิดจะทำมาก่อน”
พอได้ยินสิ่งที่ผมพูด
คุณป๋าก็เปลี่ยนท่าทีเป็นการพูดคุยสบายๆซึ่งแตกต่างออกไปจากบรรยากาศที่เราคุยกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้
“ฮ่าๆๆๆ ไม่น่าเชื่อนะว่าความรักจะทำให้เรายอมทำได้ถึงขนาดนี้...
.
.
...นี่ขนุน...ขนุนรู้ไม๊ว่า ก่อนที่เราจะคุยกันยาวขนาดนี้น่ะ...
...ไอ้เสือน่ะมันบอกกับคุณป๋าไม่มีขาดปากเลยนะว่า
คุณป๋าจะต้องต้อนขนุนให้หนักๆ เพราะเราน่ะเป็นพวกกลัวดอกพิกุลจะร่วงมากที่สุด ขนาดมันที่ว่าอยู่ด้วยกันกับขนุนมาจนเห็นกันครบทุกซอกทุกมุม
ไอ้เสือมันยังไม่เคยได้ยินความในใจของเราเท่ากับที่คุณป๋า
และคุณบี๋เพิ่งจะได้ยินไปนี่เลยนะเนี่ยะ” พอพูดกับผมจบ
คุณป๋าก็หันกลับไปทำหน้าเป็นใส่คุณบี๋ที่นั่งมองคุณป๋าด้วยสายตางุนงงอยู่ข้างๆ
ก่อนจะเอ่ยกับคู่ชีวิตของท่านอย่างร่าเริง “คุณบี๋ๆ เราอย่าเอาเรื่องที่เราคุยกับขนุนไปเล่าให้ไอ้เสือมันฟังเลยดีกว่านะ
คุณป๋าอยากเห็นมันอกแตกตายต่อหน้าต่อตาซะจริงๆ ฮ่าๆๆๆ”
คุณบี๋ส่งเสียงปรามสามีของเธอที่ดูจะถูกอกถูกใจกับความคิดที่จะแหย่ลูกชายเสียเต็มประดา
“คุณป๋านี่ล่ะก็ เรื่องแกล้งลูกนี่ถนัดจริงนะคะ เดี๋ยวเถอะ...ถ้าหลังจากนี้ คุณน็อตเกิดน้อยใจจนไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องมาให้บี๋เห็นหน้า
บี๋จะแอบหนีไปนอนบ้านคุณแม่ซักสองอาทิตย์ รับรองว่าคุณป๋าจะต้องเหงาจนทุรนทุรายแน่ๆ...คอยดูฝีมือบี๋ได้เลย”
“โอ่เอ๊ โอ่เอ๊...คุณบี๋ล่ะก็ คุณป๋าจะทำใจร้ายไส้ระกำกับไอ้บุตรบังเกิดเกล้าสุดที่รักของคุณบี๋ได้ยังไงกันล่ะ” คุณป๋าทำท่าออดอ้อนงอนง้อคุณบี๋ที่กำลังนั่งกอดอกไม่สนใจสามี
ยิ่งเห็นคุณป๋าทำท่าแบบนี้...ผมก็ยิ่งคิดถึงน็อตมากขึ้นเท่านั้น...
ผมอยากกลับไปหาน็อต...อยากเจอ อยากกอด อยากอยู่ใกล้ๆ อยากเอาใจ
อยากคอยทำตัวเอาแต่ใจ และอยากใช้เวลาทั้งหมดของผมกับเขาเหลือเกิน
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะหลุดเข้าไปในโลกแห่งความคิดที่มีแต่น็อตอยู่เต็มไปหมด
เสียงดุๆของคุณบี๋ก็ดึงผมกลับมาสู่สถานการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง “ถ้างั้นเราก็เข้าเรื่องกันซะทีเถอะค่ะคุณป๋า
บี๋ว่าขนุนน่าจะร้อนใจแย่แล้วมั้งคะ”
คุณป๋าเลยเอ่ยกับผมด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงานตามที่คุณบี๋ร้องขอ “เอาล่ะ
ไหนๆเราก็แสดงออกว่ารักลูกของคุณป๋าได้มากขนาดนี้แล้ว คุณป๋าก็จะลองคิดดูก็แล้วกัน...
.
...แต่เรื่องงานแต่ง งานหมั้น คุณป๋าคงจะแคนเซิลไม่ทันแล้วล่ะ ไม่ว่ายังไง...วันนี้คุณน็อตก็ต้องหมั้น
และแต่งงานให้เสร็จสิ้นไปก่อน เพราะทุกๆอย่างถูกเตรียมการเอาไว้หมดแล้ว คุณป๋ากับคุณบี๋ก็อุตส่าห์บินไปเชิญพ่อแม่
และคนสนิทของอีกฝ่ายมาซะพร้อมหน้า อยู่ๆจะให้พ่อฝ่ายเจ้าบ่าวมาบอกเลิกงานแต่งเอากลางคัน
เดี๋ยวฝ่ายโน้นเค้าจะเสียหายเอาได้...
.
.
...เอาอย่างงี้แล้วกัน คุณป๋ารับปากว่า
คุณป๋าจะช่วยเรื่องขนุนกับน็อตอย่างเต็มที่ แต่ตอนนี้...คุณป๋าคงต้องขอให้ขนุนทำทีเป็นยอมๆตามน้ำไปก่อน
เดี๋ยวพอเสร็จงานแต่งเมื่อไหร่...เราทุกคน ค่อยมาคิดหาวิธีจัดการกับปัญหาหลังแต่งกันอีกที
เอาตามนี้ก็แล้วกันนะ”
..นี่น่ะหรือคือสิ่งที่คุณป๋าจะจัดการให้เรื่องทั้งหมดมันคลี่คลาย??!!
...ถ้าปล่อยให้น็อตแต่งงานไปกับน้องจินนี่อะไรนั่น
เรื่องมันจะยิ่งยุ่งล่ะสิไม่ว่า...
...จะยอมง่ายๆไม่ได้นะขนุน! ยังไงก็ต้องกัดไม่ปล่อย จริงอยู่ว่าถ้ายกเลิกกลางคัน
ฝ่ายหญิงจะเสียหายเป็นอันมาก แต่ถ้าในระยะยาว หากเกิดงานแต่งขึ้น...นอกจากชื่อเสียงที่จะเสียแล้ว
ผมว่าเราต้องเยียวยาความรู้สึกของฝ่ายเจ้าสาวผู้ไม่เป็นที่ต้องการไปอีกยาวนานกว่านี้แน่ๆ
ผมเลยแย้งอย่างอดไม่ได้
เพราะไม่เห็นด้วยกับการแก้ปัญหาที่รังแต่จะสร้างปัญหาไม่มีสิ้นสุดของคุณป๋า “แต่คุณป๋าครับ...ถ้าทำแบบนั้น
ปัญหามันจะไม่ยิ่งยุ่งเหยิงแก้ยากไปกว่านี้หรอกเหรอครับ ไหนจะเรื่องหย่า
ไหนจะความรู้สึกของน้องจินนี่ และครอบครัวอีก ผมว่า....
คุณป๋าลุกขึ้นแล้วทำท่าไม่ใส่ใจ
เหมือนตอนที่ผมคุยกับคุณป๋าที่ห้องนั่งเล่นก่อนจะไล่ผมกลับบ้าน พอผมหันไปมองหน้าคุณบี๋
คุณบี๋ก็เอาแต่ยิ้มโดยไม่ได้แย้งอะไร “เอาน่า
เอาน่า...เชื่อมือคุณป๋าเถอะ ตอนนี้ขอคุณป๋ากับคุณบี๋แต่งตัวก่อนก็แล้วกันนะ
เดี๋ยวจะไม่ทันฤกษ์กันพอดี... ดา ดาเอ๊ย
ดาช่วยพาขนุนไปที่ห้องรับรองที่ซิ ชั้นอยากจะเตรียมตัวสำหรับงานแต่งเต็มแก่แล้ว” พี่ดาที่รอท่าอยู่ตรงหน้าประตูก็เปิดเข้ามาแล้วพยุงผมขึ้นจากพื้น
ก่อนจะพยายามจูงมือของผมให้เดินตามไป
“เดี๋ยวครับคุณป๋า”
ผมที่ยังไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจจากว่าที่คุณพ่อสามี
ก็ได้แต่ตะโกนร้องเรียกความสนใจของคุณป๋าที่โอบไหล่คุณบี๋เดินเข้าด้านในห้องไปแล้ว
ในระหว่างที่ร่างของผมกำลังเดินสวนออกประตูตามการบังคับทิศทางของพี่ดา
จนผมต้องหันกลับมาขอร้องความเห็นใจจากพี่ดาที่ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งอย่างไม่มีบกพร่อง “.... พี่ดา พี่ดาเดี๋ยวก่อนซิครับ
ผมยังคุยกับคุณป๋าไม่จบเลยครับ”
หากแต่สิ่งที่พี่ดาตอบผม กลับยิ่งทำให้ผมงงไปกันใหญ่ “คุณขนุนไม่ต้องคุยแล้วล่ะค่ะ พี่ดาว่า
คุณขนุนไปแต่งตัวก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะไปไม่ทันฤกษ์เริ่มงานนะคะ” พอพี่ดาพูดจบ
เธอก็พาผมเดินเข้าห้องอีกห้องที่อยู่ไม่ไกลจากห้องใหญ่ของคุณป๋ากับคุณบี๋
ผมพยายามขืนตัวเองให้หยุดแล้วถามพี่ดาด้วยความสงสัยติดหมัด “ทำไมผมต้องแต่งตัวด้วยล่ะครับ ผมแค่ต้องการจะมาคุยกับคุณป๋าเท่านั้นเอง”
แต่แล้วพี่สาวและน้องสาวตัวดีของผมก็โผล่มาจากข้างในห้องเพื่อมาตัดจบบทาสนทนาของผมกับพี่ดาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มทันที
“อีหนูเอ๊ย..มาถึงขั้นนี้แล้ว เค้าว่าเตงควรจะทำตามที่ใครๆในบ้านคุณป๋าบอกไปก่อน
เพราะตอนนี้ เราคงจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ทันแล้วล่ะ”
ผมหันกลับไปมองหน้าพี่สาวด้วยใบหน้าอึ้งเหนือคำบรรยาย...
เจ้น้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ...
สงสัยจะลืมไปแล้วสินะว่า วีรกรรมที่หักหลังผมตรงหน้าประตูเมืองของศัตรูเมื่อครู่นี้
ทั้งๆที่ตัวเองนัดแนะกับผมเอาไว้อย่างดิบดีแต่ทีแรกว่า พร้อมอาสาตัวมาเป็นกองเสริมสู้รบกับคุณป๋าด้วยกัน
ยังไม่ได้รับการชำระความแท้ๆ ยังมีหน้ามาพูดจาเข้าข้างพ่อฝ่ายชายที่กำลังจะจัดงานแต่ง
พรากความรักไปจากผมออกมาได้ง่ายๆ โดยไม่คิดจะใส่ใจรักษาผลประโยชน์ใหน้องชายอย่างผมแม้แต่น้อยได้อีกเหรอ??! เป็นพี่สาวประสาอะไรกันเนี่ยะ?!!
ผมเลยถามพี่สาวตัวเองที่กำลังหน้าบานยิ้มแก้มแฉ่งราวกับจะแต่งงานเสียเองด้วยเสียงไม่พอใจสุดๆ “เตง เตงพูดอย่างงี้ได้ไงอ่ะ
ไหนเตงบอกว่าเตงจะช่วยเค้าเต็มที่ไงล่ะ? นี่เค้าไม่เรียกว่าช่วยนะ...เค้าเรียกว่า
เห็นคนอื่นดีกว่าน้องตัวเองต่างหาก!!”
“เอ๊า! ก็นี่ไง
เค้ากำลังช่วยเตงอย่างเต็มที่อยู่นี่ไง ไป! ไปแต่งตัวกัน!!” พี่สาวผมทำหน้าตายพลางพูดจายอกย้อนกวนประสาทโดยไม่สนใจผมที่กำลังโกรธจนเริ่มจะสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
ไม่เท่านั้น พอพูดจบ...ร่างเล็กๆของเจ้น้าก็เดินสามขุมเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ
ยัยนิ้งที่ยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับและไม่มีความเห็นใดๆยิ้มแหยๆให้กำลังใจผมอยู่ตรงมุมห้องตามประสาน้องเล็กสุดที่ไม่อยากโดนหางเลขไปด้วยเวลาพี่สองคนตีกัน
เมื่อแผ่นหลังของผมชนเข้ากับผนังห้อง
ผมก็เปลี่ยนท่าทีเป็นอ้อนวอนพี่สาวตัวเองให้เห็นใจ
และหาทางช่วยผมให้ไปขัดขวางงานแต่งของน็อต
แทนที่จะต้องมาแต่งตัวไปเป็นสักขีพยานแบบนี้ “เตง ไม่เอา...เค้าไม่แต่ง
เค้าต้องไปยกเลิกงานให้ได้ก่อน”
เสียงเย็นๆของเจ้น้าที่ชวนให้ขนทั้งร่างของผมลุกฮือราวกับจะอยากจะอพยพย้ายถิ่นฐานด้วยความกลัวทำเอาผมยืนนิ่งไม่ไหวติง
ยิ่งไอ้เสียงแห่งความทารุณมาพร้อมกับประโยคที่น่าสยองสุดๆ
ก็ทำให้ผมต้องยอมทำตามความต้องการของเจ้น้าจนได้ “จะไปอาบน้ำแต่งตัวดีๆ หรือจะไปด้วยน้ำตา?”
พอเห็นว่าผมไม่ต่อสู้หรือขัดขืนอีกต่อไป ยัยนิ้งก็เดินมาหา แล้วจูงมือผมเข้าไปในห้องน้ำที่เตรียมน้ำร้อนและทุกอย่างเอาไว้พร้อมสรรพ
ผมหยุดยืนนิ่งๆมองเงาตัวเองในกระจก สลับกับมองหน้ายัยนิ้งที่แอบมองผมอยู่ตรงอีกฝั่งของประตูด้วยสายตาขวางๆ
เพราะไม่ชอบใจที่ต้องถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่ต้องการที่สุดแบบนี้ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวแล้วเริ่มถอดเสื้อผ้าออกจากตัวอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนอันโหดเหี้ยมของเจ้น้าที่เตือนว่า ถ้าภายในห้านาที
ผมยังอาบน้ำไม่เสร็จ เจ้น้าจะเข้ามาช่วยผลัดเซลล์ผิวที่กลางหลังให้ผมด้วยกรงเล็บอันทารุณของตัวเอง
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เวลาอีกเกือบชั่วโมงให้หลัง ยัยนิ้งก็เดินเลี่ยงไปหยิบกระจกมายื่นให้
แล้วทำหน้าภูมิอกภูมิใจอย่างที่สุด พลางพูดกับเจ้น้า
และพี่ดาที่มายืนเฝ้าผมตลอดเวลาที่ผมถูกยัยนิ้งจับแต่งตัว
“ในที่สุดก็เสร็จซะที...เฮ้อ
กว่าจะเสร็จก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ยะ”
ผมมองเงาตัวเองในกระจกก็ถึงกับตกใจกับสารรูปของคนที่หน้าตาคล้ายกับผม
หากแต่ดูเกาหลีมีสไตล์สุดๆที่อยู่ในนั้น เพราะไม่คิดว่า...แค่ผมต้องเข้าร่วมงานของน็อตกับผู้หญิงคนอื่นในฐานะตัวประกอบผู้แพ้พ่าย
ผมยังต้องลำบากมานั่งหลังขดหลังแข็งแต่งตัว แต่งหน้าหนาเสียจนมองไม่เห็นผิวหนังจริงอีกต่อไปแบบนี้ด้วย...
...บอกตรงๆเลยนะครับว่า ผมไม่ชอบความรู้สึกหนักอึ้งไม่สบายหน้า
รวมทั้งหัวแข็งเป็นก้อนอย่างนี้เลยให้ตาย...
...แล้วสูทเข้ารูปสีน้ำเงินกรมท่าที่แฟชั่นจ๋าอะไรนี่อีกละ...
.
...ปกติคนรวยส่วนใหญ่จะจุกจิกกับแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานแต่งมากขนาดนี้เลยเหรอ??!
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไร พี่ดาก็พูดให้สติเราทั้งสามคนออกมาทันที “ได้เวลางานเริ่มพอดีเลยค่ะ
พี่ดาว่า เราลงไปข้างล่างกันเลยดีกว่าไม๊คะ?
ป่านนี้พวกคุณๆทั้งหมดคงจะไปรอพร้อมกันหมดแล้ว พี่ดาอยากเห็นหน้าเจ้าบ่าว
กับเจ้าสาวเต็มทีแล้วค่ะ”
นั่นน่ะสินะ...ถ้าผมรีบวิ่งลงไปตอนนี้ก็น่าจะทันก่อนงานเริ่ม ผมคงยังพอมีโอกาสทักท้วงและขัดขวางไม่ให้พิธีการดำเนินต่อไปได้
ไหนๆวันนี้ผมก็เตรียมใจมาถล่มงานแต่งของน็อตเต็มที่แล้ว กับอีแค่ลงไปพะบู๊วางมวยกับคนทั้งงาน
รวมทั้งบ้านเจ้าสาวอีกสักยก ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่นา คิดได้ดังนั้น
ผมก็รีบวิ่งแจ้นออกจากห้องไปทันทีโดยไม่ทันฟังเสียงห้ามปรามของใครที่ยังยืนงงอยู่ในห้อง
แม้จะหอบหายใจ แต่ผมก็ยังคงวิ่งลงบันไดตามเสียงเพลงที่เปิดขับกล่อมภายในงานไปเรื่อยๆ
จนสุดท้าย ผมก็มาถึงยังเตนท์สีขาวที่เป็นส่วนพิธีการซึ่งตั้งอยู่ใจกลางสนามหญ้าในสวนหย่อมอันกว้างขวางของบ้าน
ถัดไปเป็นส่วนของงานเลี้ยงที่จัดริมสระว่ายน้ำ
ผมวิ่งฝ่าแขกหลายๆคนเข้าไปหยุดหายใจตัวโยนอยู่ตรงกลางวง จนทุกๆเสียงที่เคยดังจ้อกแจ้กก่อนหน้านั้นกลายกลับเป็นเงียบสนิท
และสายตาทุกคู่หันกลับมามองจ้องที่ผมเป็นตาเดียว
จะเว้นอยู่ก็แต่ร่างสูงในชุดทักซิโดสีดำสนิทที่ยังนั่งพับเพียบอยู่กับพื้นตรงหน้าชุดโซฟาสำหรับแขกผู้ใหญ่โดยยังหันหลังให้ผม
ซึ่งต่อให้ผมไม่ได้เจอเจ้าของร่างน่ามองนั้นนานกว่านี้ ผมก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่ยังนั่งอยู่กับพื้นคนนั้นเป็นใคร
ผมตะโกนเสียงดังกว่าปกติเพื่อบอกให้คนที่กำลังนั่งพูดคุยกับแขกผู้ใหญ่บางส่วนบนพื้นคนนั้น
ได้รับรู้ความต้องการของผม “น็อต! น็อตจะแต่งงานกับใครคนอื่นไม่ได้นะ...หัวเด็ดตีนขาดยังไงเค้าก็ไม่ยอม!!”
เมื่อได้ยินเสียงผม ซึ่งเป็นเสียงๆเดียวในเวลานี้ น็อตก็หันกลับมาทันที
ก่อนจะถามผมด้วยอาการอึ้งสุดๆ “ขนุน??!! ขนุนมาทำอะไรที่นี่ฮะ?” น็อตรีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาหา จากนั้น
เขาก็พยายามฉุดข้อมือของผมให้เดินหลบออกจากวงไป
แต่ในเมื่อผมยังไม่ได้ในสิ่งที่ผมต้องการ ผมก็ยังจะไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น
ผมสะบัดข้อมือออกจากมือน็อตแล้วโวยวายเสียงดัง
ด้วยหวังว่าสิ่งที่ผมพูดนี้ จะดังลอยไปเข้าหูผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาว
จนทำให้ทางโน้นถอนหมั้น และล้มเลิกงานแต่งไปด้วยตัวเอง “ตัวเองอย่าเพิ่งถามอะไรเค้าตอนนี้จะดีกว่า
เวลานี้...เค้าอยากให้ตัวบอกกับทุกคนให้รู้ว่า ตัวไม่อาจจะแต่งงานกับคนที่ตัวไม่ได้รัก
เพื่อตอบแทนบุญคุณของครอบครัวตัวได้ เพราะตัวรักเค้า...ตัวรักเค้าคนเดียว!!”
ระหว่างที่ผมพูดโต้ตอบกับน็อตเป็นฉากๆ ผมก็พยายามอัญเชิญจิตวิญญาณแห่งตัวละครร้ายๆที่ผมเคยเขียนในนิยายให้ย้ายมาสิงสู่ในตัวให้นานที่สุด
เพื่อช่วยให้ไม่ต้องรู้สึกอับอายกับการกระทำผิดที่ผิดเวลาอย่างไม่น่าให้อภัยในหน้าประวัติศาสตร์ของขีวิตตัวเองแบบที่กำลังทำอยู่ต่อหน้าทุกๆคนในงานวันนี้
น็อตพยายามจะพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มๆราวกับต้องการหว่านล้อมให้ผมยอมรับฟัง
ท่าทาง หน้าตา และน้ำเสียงของน็อตที่ผมเห็นอยู่นี่...พลอยทำให้ผมนึกไปว่า ตัวเองกำลังเป็นคนเมายาบ้าที่กำลังเอาคมมีดจี้คอตัวเองโดยไม่มีเหตุผล
ในขณะที่น็อตคือผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่พยายามพูดคุยหลอกล่อให้ผมตายใจ
ก่อนจะเช้ามารวบอาวุธ แล้วพาผมไปขังเพื่อรอเวลาให้ได้สติอีกครั้ง “ขนุน ใจเย็นๆก่อนซิฮะ ฟังเค้าอธิบายก่อนได้ไม๊...
แน่นอนว่า
คนเมารักที่กำลังหมดสิ้นหนทางอย่างผมย่อมจะไม่ยอมให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงานง่ายๆ
ผมร้องท้วงสุดหล่อที่ดูหล่อสุดๆในชุดเจ้าบ่าวออกไปทันควันด้วยน้ำเสียงร้อนรนอย่างที่ไม่เคยทำให้น็อตเห็นมาก่อน
“เราไม่มีเวลาอีกแล้วนะน็อต ถ้าขืนตัวแต่งงานกับน้องจินนี่ไป เหตุการณ์ทั้งหมดมันจะยุ่งเหยิงไปกว่านี้แน่ๆ
แล้วเรื่องระหว่างเราสองคนล่ะ?? เราจะทำยังไง?”
“ขนุนฮะ ขนุนฟังนะฮะ...งานหมั้น
งานแต่งครั้งนี้ เค้าคงจะยกเลิกไม่ได้ เพราะทุกๆอย่างมันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว เค้าต้องแต่งฮะ
ขนุนเข้าใจนะฮะ” น็อตที่หน้าเจื่อนลงเรื่อยๆหลังจากได้รับฟังถ้อยคำของผมรีบอธิบายเหตุผลให้ผมฟัง
เขาคงจะหวังให้ผมเข้าใจความยากลำบากที่จะเกิดขึ้นในฝั่งของครอบครัวเขา หากงานในวันนี้เกิดล่มลงไปด้วยเรื่องชู้สาวกับผู้ชายด้วยกันล่ะสินะ
แต่มีหรือที่ผมผู้สวมวิญญาณตัวร้าย ที่ท่องคาถาสู้เพื่อผัวของเจ้น้าจนขึ้นใจจะยอมรามือไปง่ายๆ...
“ต้องได้ซิ เตงก็แค่บอกกับทุกคนไปว่า เตงรักเค้า
เตงอยากอยู่กับเค้า...” ผมผละสายตาจากน็อตแล้วหันไปหาแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานทุกคน
แล้วพูดด้วยเสียงตะโกน “เตงบอกทุกคนไปซิว่าเรารักกัน และรักกันมากซะจนเราสัญญาที่จะใช้ชีวิตร่วมกันจนวันสุดท้ายไปแล้ว
และเตงจะไม่สามารถแต่งงานกับใครอื่นได้อีกต่อไป”
ผมหันกลับไปมองโดยรอบงาน แล้วก็พบกับสีหน้าตกตะลึงของแขกส่วนใหญ่ เมื่อนั้น...ผมก็เริ่มจะรู้สึกปลื้มอกปลื้มใจกับผลงานการทำลายงานหมั้นและแต่งของน็อตกับน้องจินนี่อันแสนเฉียบขาดของตัวเองขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้
ป่านนี้...สงสัยแขกฝั่งเจ้าสาว
น่าจะเอาเรื่องที่ผมป่าวประกาศเมื่อครู่ ไปสาธยายให้ทุกๆคนได้รับฟัง ไม่ช้าก็เร็ว...ผู้ใหญ่ทางนั้นคงจะคิดได้
และอาจไม่อยากให้ลูกหลานอนาคตไกลของตัวเอง ต้องมาจมปลักอยู่กับเกย์อย่างน็อตอีกต่อไปแน่ๆ
...อดทนอับอายขายหน้าอีกไม่นานหรอกนะขนุน...รับรองว่า
ทุกอย่างจะไปได้สวยอย่างที่เราต้องการ! สู้โว้ยยย!!
...อย่างไรก็ดี...สิ่งที่สำคัญเหนือไปกว่าการทำให้แขกเหรื่อเชื่อในความรักอันแนบแน่นระหว่างผมกับน็อต
คือ การที่ผมสามารถชักจูงจนน็อตยอมย้ายฝั่งมาร่วมมือกับผมแต่โดยดีเสียก่อน
ผมหันกลับกอดแขนข้างหนึ่งของน็อตเอาไว้แน่น ก่อนจะร้องอ้อนอีกฝ่ายดังๆแบบที่ต้องการให้ทุกคนได้ยินอย่างไม่มีตกหล่น
“น็อต! น็อตบอกทุกคนไปเถอะนะ ว่าเรารักกัน
เราไม่อยากจะแยกจากกัน และไม่มีวันที่เรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน...
น็อต น็อต เค้ารักเตงนะ เค้ารักเตงมาก
เค้าไม่อยากเสียเตงไป”
น็อตขืนตัวหนีผม ก่อนจะถอยห่างเพื่อเว้นระยะระหว่างเราสองคน แล้วตอบผมด้วยน้ำเสียงห่างเหิน“แต่เค้าคงทำไม่ได้หรอกฮะ
เพราะคุณป๋าคงจะฆ่าเค้าแน่ ถ้าเค้าทำอย่างนั้นจริงๆ” พูดจบ น็อตก็เหลียวมองไปรอบๆงาน
เหมือนกับต้องการเช็คว่าคุณป๋า หรือคุณบี๋เดินเข้างานมาหรือยัง จากนั้นก็ก้มดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือของตัวเอง
แล้วก็แอบทำไม่สนใจ ทั้งๆที่ดูหลุกหลิกร้อนรนพิกล
สงสัยน็อตจะเป็นกังวลว่าคุณป๋าจะโผล่เข้ามาเจอผมก่อปัญหาอยู่ที่นี่แน่ๆ
ไม่ได้การล่ะ! ถ้าผมยังขืนโอ้เอ้ไปมากกว่านี้ คงจะหยุดงานแต่งของน็อตเอาไว้ไม่ได้.... ผมต้องงัดเอามารยาพันล้านเล่มเกวียนของบรรดานายเอกนิยายจอมเจ้าเล่ห์ทั้งหลายแหล่มาใช้เพื่อปิดเกมเสียแล้วสิ!!
ผมเดินเข้าไปใกล้น็อตแล้วกอดน็อตเอาไว้แน่น
พลางพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ระหว่างที่ในใจพยายามนึกถึงตอนที่ต้องเสียน็อตไปให้คนอื่นเพื่อเรียกน้ำตาให้ไหลออกมาทันจังหวะ
จะได้สามารถล่อลวงให้น็อตสงสาร เห็นใจ
และยอมล้มเลิกงานแต่งเพื่อความสุขของผมในที่สุด
“ต้องได้ซิ ถ้าคุณป๋า คุณบี๋ หรือใครๆจะทำอะไรตัวจริงๆ
เค้าจะยอมรับผิด และชดใช้ทุกๆอย่างเอง...ถ้าฝ่ายน้องจินนี่เรียกร้องค่าเสียหายที่ตัวขอยกเลิกงานหมั้นงานแต่งเอากลางคัน
เค้าจะเอาเงินทั้งหมดที่เค้ามีมากองให้ตรงหน้า ถ้าเงินส่วนตัวของเค้ายังไม่เพียงพอ...เค้า เค้า...ฮึก...เค้าจะยอมขายสมบัติทุกชิ้น
การ์ตูนทุกเล่ม รวมทั้งหุ่นฟิกเกอร์วันพีซรุ่นลิมิเต็ด ยอมเป็นหนี้บัตรกดเงิน
บัตรเครดิต หนี้นอกระบบ ยอมบากหน้าไปยืมเงินพ่อแม่
ยอมให้เจ้น้า กับพี่เมี่ยงโขกสับเพื่อเอาเงินล่วงหน้ามาโปะค่าชดเชยให้ก็ได้....
.
.
...ถ้าใครจะทำร้ายเตง เค้าก็จะยอมเอาตัวเข้าแลก ฮึก
ฮึก...เค้ายอมทำทุกอย่าง ขอแค่ไม่ต้องให้เตงต้องแต่งงานกับคนอื่น!!”
ลองว่าผมยอมทำขนาดนี้แล้วน็อตจะยังทำไม่รู้สึกรู้สาอยู่ก็ดูจะใจร้ายกับผมเกินไปแล้วล่ะ...
...น็อตต้องรู้ตัวได้แล้วนะว่า
ถ้าผมยอมเอาหน้าที่การงาน และการเปิดประมูลการ์ตูนหายากกับหุ่นฟิกเกอร์วันพีซเพื่อเขานี่
มันหมายความว่า ตัวเขาคือที่สุดของที่สุดในชีวิตผม เป็นคนๆเดียวที่เลอค่าเสียจนผมสามารถสละซึ่งความสุขอื่นใดในโลกเพื่อเขาได้โดยไม่ต้องเสียเวลาใคร่ครวญ...
...ถึงเวลาที่เตงจะกลับมาสู่อ้อมอกของเค้าได้เสียทีนะ...
...มามะ มาเร๊วที่รัก เค้ารอเตงอยู่นะ!!
อนิจจา...ความเป็นจริงกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมคิดลิบลับ...
.
.
...น็อตพยายามแกะมือของผมที่สวมกอดเอวของเขาเอาไว้ออก
แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก “ทำไมเตงต้องทำถึงขนาดนี้ด้วยล่ะฮะ ก็เค้าบอกแล้วยังไงล่ะว่า
หลังงานแต่ง เค้าจะหาทางออกให้เรื่องนี้เอง”
แค่เห็นอาการเฉยเมย และไม่อยากจะให้ผมโดนตัวของน็อต
น้ำตาของผมก็ไหลอาบแก้มจริงๆโดยไม่ต้องอาศัยจินตนาการสร้างอารมณ์อีกต่อไป
ผมไม่นึกว่าน็อตจะยอมฝืนใจตัวเองทำเพื่อครอบครัวได้มากขนาดยอมแลกด้วยความสุขทั้งชีวิต
ที่สำคัญ...ผมยังทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆ เรื่องที่น็อตจะยอมปล่อยมือผมชั่วคราวอย่างที่เขาได้บอกผมในคืนที่เราแต่งงานกัน
เพื่อตอบแทนบุญคุณของคุณป๋าและคุณบี๋...
...จะด่าว่าผมเลว หรือเห็นแก่ตัวก็ได้ เพราะผมมันเป็นแค่คนธรรมดา
ไม่ได้มาจากนิยายเรื่องไหน...
...เพราะถ้าเป็นผม ที่ต้องอยู่ในสถานการณ์เดียวกับน็อต ไม่มีวันที่ผมจะยอมยอมให้พ่อจ๋าแม่จ๋าจับคู่ผมกับผู้หญิงคนไหนเป็นอันขาด
หรือถ้ามันต้องเกิดขึ้นจริงๆ...ผมก็จะไม่ยอมแต่ง ก็จะแต่งไปเพื่ออะไรล่ะ ถ้าสุดท้ายแล้ว....ไม่มีใครเป็นสุขใจได้อย่างแท้จริง แถมยังจะเป็นการสร้างเวรสร้างกรรมกับครอบครัวฝ่ายผู้หญิงที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ขึ้นมาอีกต่างหาก
ผมเลยทิ้งไพ่ตายใบสุดท้ายที่ผมมี
เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ผมไม่ค่อยจะยอมเปิดปากบอกให้น็อตได้ยิน ตลอดเวลาที่เรายังรักกันดีอยู่
“..แค่คิดว่าชื่อของเตงจะเขียนคู่กับชื่อของผู้หญิงคนอื่นในทะเบียนสมรส......หรือแค่ต้องคิดว่าเตงยิ้ม
เตงหัวเราะ เตงกินข้าวกับใครคนไหนที่ไม่ใช่เค้า แต่คนๆนั้นกลับมีสิทธิโดยชอบธรรมทางกฏหมายในตัวของเตงแบบเบ็ดเสร็จ...เค้าก็แทบจะทนไม่ได้...
.
.
...ถ้ามันต้องเป็นอย่างงั้นจริงๆ ให้เค้าตายไปพ้นๆซะยังจะดีกว่าที่เค้าจะต้องทนเห็นเตงตกเป็นของคนอื่น...
...ฮืออออออ... นะ น็อตนะ ยกเลิกงานแต่งเถอะนะ เค้าคงจะใจสลายถ้าต้องเห็นเตงแต่งงานไปกับคนอื่นจริงๆน่ะ...
ได้โปรดเถอะนะหัวจุก”
ผมสวมกอดร่างสูงที่หล่อกระชากใจในชุดชายผู้สำคัญที่สุดของงานในวันนี้อย่างสนิทแนบแทบจะกลายร่างเป็นเนื้อเดียวกันอีกครั้ง
คราวนี้...ผมสอดนิ้วมือทั้งสองของตัวเองประสานล็อคเข้าด้วยกัน เพื่อให้แน่ใจว่า...มือผมจะเหนียวพอจนพ่อคุณแกะมันออกจากกันไม่ได้ง่ายๆอย่างรอบที่แล้ว
..เอาซี่!! ถ้าน็อตคิดว่าจะแกะมือผมออกจากร่างได้ง่ายๆก็ลองดู...
...วินาทีนี้เลือดผมมันกำลังเข้าตา และขึ้นหน้ามั่วกันไปหมด ต่อให้ต้องนั่งกอดขาคว้าเข่าผมก็พร้อมจะทำ!!...
...ไม่มีอะไรจะหยุดขนุนไม่ให้มีผัวได้อีกต่อไปแล้ว!!!
แทนที่น็อตจะผลักไสไล่ส่งผมเหมือนทุกครั้งที่พยายามก่อนหน้านี้
เขากลับกอดผมเอาไว้แน่นไม่แพ้กัน ใบหน้าหล่อร้ายยิ้มพรายขณะก้มลงมองหน้าผมในระยะห่างออกไปไม่ถึงคืบ
น้ำเสียงร่าเริงผิดไปจากเมื่อครู่พูดดังลั่น ราวกับต้องการกระตุ้นให้ทุกๆคนที่กำลังตั้งใจฟังอยู่แล้ว
ยิ่งต้องเพ่งความสนใจทั้งหมดที่อาจวอกแวกไปกลับมาที่เราสองคนจนครบร้อยเปอร์เซนต์ “ก็ได้ฮะ ถ้างั้น เตงต้องสัญญาก่อนนะฮะว่า เตงจะรัก
และเป็นของเค้าคนเดียวไปตลอดชีวิตโดยไม่คิดจะวอกแวกไปหาใครหน้าไหนที่ไม่ใช่เค้าอีกเลย”
ด้วยบรรยากาศพาไป
ผมก็บ้าจี้โก่งคอตอบโดยพยายามเทียบความดังให้ได้เท่ากับ หรือมากกว่าที่น็อตพูดไปเมื่อครู่
“เค้าสัญญา เค้าจะรักเตงคนเดียวด้วยทั้งหมดของหัวใจ ไม่มีวันที่เค้าจะเห็นใครดีกว่า
หรือสนใจผู้ชายคนไหนอย่างแน่นอน เพราะในโลกนี้...สำหรับเค้าแล้ว เตงคือผู้ชายคนเดียวที่หล่อ
เซ็กซี่ และมีเสน่ห์ที่สุดในสายตา” ว่าจบแล้วจึงยิ้มหวานตบท้ายให้ผู้ชายที่กอดผมแน่นพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างกว่าสนามกีฬากลางประจำจังหวัด
...ต้องขอบคุณยัยนิ้งที่โบกหน้าผมมาจนหนาเป็นพิเศษ
ผมเลยไม่รู้สึกรู้สากับแรงกดดันจากสายตาทุกคู่ที่กำลังจ้องมองเราสองคนเป็นตาเดียว พาลทำให้ผมเผลอนึกไปว่า
เราสองคนเป็นลูกกวางลูกเก้งน้อยๆที่ตกอยู่ในวงล้อมของเหล่าหมาป่าหิวโซที่กำลังจดๆจ้องๆเพื่อรอจังหวะขย้ำ...
.
...แต่ก่อนอื่น ไหนๆพวกคุณๆก็รู้ประเด็นเด็ดว่าเจ้าบ่าวกลายเป็นเก้งไปแล้ว
ก็ช่วยทำตัวเป็นประโยชน์ด้วยการคาบข่าวไปบอกเจ้าสาวให้หน่อยแล้วกันว่า
ให้กลับบ้านไปอาบน้ำ มาสก์หน้า กินวีต้าแล้วเข้านอนได้เลย เพราะทางนี้...ไม่มีผู้ชาย
มีแต่ไม้ป่าเดียวกัน
เมื่อยิ้มหางตายับจนพอใจ พ่อคุณของผมก็ป่าวประกาศด้วยเสียงดังเกินกว่าเหตุออกมาอีกครั้งอย่างผู้มีชัย
พลางมองจ้องไปยังมุมเตนท์สองด้าน “หึ
หึ...เตงพูดจาได้น่ารักมาก หวังว่า...ไอ้หัวหงอก หรือหัวดำหน้าไหน ที่มันคิดอะไรกับเตงในที่นี้คงจะได้ยินโดยทั่วกัน
เสียที จะได้เลิกเกาะแกะเมียผมนับจากวันนี้เป็นต้นไป
เพราะคงจะไม่มีวันที่เตงจะสนใจพวกมันแน่ๆ”
ซึ่งเมื่อผมมองตามองศาที่พ่อคุณกำลังมองไป ก็เห็นว่าที่มุมหนึ่ง...มีเหล่าเพื่อนบ้านและน้องๆที่เราสองคนคุ้นเคยกำลังยืนมองพวกผมอยู่
หนึ่งในนั้น...คือช็อปซึ่งกำลังจ้องหน้าผมด้วยสายตานิ่งหากแต่ทรงพลังเหมือนทุกทีที่เขาชอบทำ ในขณะที่อีกมุมหนึ่ง มีพี่เกี๊ยว พี่เมี่ยง และพี่ๆที่สำนักพิมพ์ของผมหลายคนกำลังเบิกตามายังผมจนลูกตาแทบจะถลนออกจากเบ้า
แบบที่ว่า หลังจากนี้ คงต้องใข้มือทั้งสองข้างช่วยโกยลูกตาเก็บเข้าที่...
...ห๊ะ! แล้วพี่เมี่ยง พี่เกี๊ยว
กับพี่ๆที่ทำงานผมจะมาอยู่ที่นี่เพื่ออะไรล่ะ??!
...ซวยล่ะสิ!! แล้วทีนีผมจะมองหน้าใครได้อีกล่ะ ก็เล่นมาเห็นผมทำตัว
‘แรด’ ผิดปกติอยู่แบบนี้น่ะ...
...บารมีและชื่อเสียงที่เฝ้าสั่งสมมานาน...หมดกัน!
.
.
...แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งอาลัยอาวรณ์เรื่องภาพพจน์ของตัวเองจนเกินไป
เพราะจนถึงตอนนี้ ผมยังไม่ได้ในสิ่งที่ผมเอาตัว และศักดิ์ศรีเข้าแลกเลยนี่นา!
“เตง เตงอย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลย...สรุปว่า เรื่องงานแต่งล่ะ
เตงจะว่าไง?” ผมละล่ำละลักถามน็อต ก่อนที่พ่อคุณจะตัวพองเพราะความภูมิใจที่ข่มศัตรูหัวใจคนอื่นๆได้
จนร่างระเบิดตายไปเสียก่อน
“เอ๊า!...ก็ยังแต่งอยู่น่ะซิฮะ” น็อตตอบพลาง ก็หรี่ตามองหน้าผม
เหมือนกับจะถามว่า ‘ถามกันอย่างนี้...ล้อเล่นหรือเปล่า’ ไปพลาง
“ไม่ได้นะ แต่งไม่ได้!!” ผมแหวเสียงสูงออกไปทันทีด้วยดีกรีตัวร้ายขั้นสูงสุดจนคนใกล้ตัวถึงกับทำหน้าตลกปนตกใจ
อยู่ๆเสียงของคุณป๋าก็ชิงพูดตัดบทออกมาก่อนที่น็อตจะได้อ้าปากตอบผม
“ต้องได้ซิ ก็ทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวออกจะรักกันหวานชื่นออกซะขนาดนี้...
.
...คุณป๋าไหว้ล่ะ ช่วยแต่งๆกันให้เสร็จๆไปซะทีเท๊อะพ่อเจ้าประคุณทั้งสอง คุณป๋า คุณบี๋
กับทุกๆคนในที่นี้จะได้ไม่ต้องทนฟังอะไรเลี่ยนๆแบบเมื่อกี๊ซะที”
คุณป๋าเดินเข้ามาพร้อมกับคุณบี๋ พลางยักคิ้วข้างเดียวพร้อมกับส่งยิ้มมุมปากมาทางลูกชาย
ที่เมื่อผมแหงนหน้าขึ้นมองน็อต พ่อคุณก็กำลังทำหน้าตาแบบเดียวกับพ่อตัวเองส่งคืนไป
ไอ้ตัวผมที่งงสุดๆก็ได้แต่หันรีหันขวาง พลางทำหน้าเหวอ เพราะเริ่มจะตามสิ่งที่คุณป๋าพูดไม่ทัน...
.
...ไหน..เจ้าบ้าวเจ้าสาวรักกันหวานชื่น??
คนรักกันน่ะมันผมกับน็อตนะครับคุณป๋า...
...พ่อเจ้าประคุณทั้งสอง?
พ่อเจ้าประคุณตรงนี้มีแค่น็อตคนเดียว??...
...เอ๊ะ! ยังไง ทำไมแขกทุกคนถึงได้ทำหน้ายิ้มๆชอบอกชอบใจกันล่ะ?!
เจ้าของร่างที่กอดผมเอาไว้แน่นอ้อนพ่อตัวเองออกมาทันทีโดยไม่คิดจะอธิบายอะไรให้ผมได้รับรู้ แต่เมื่อฟังสิ่งที่พ่อคุณพูดจบ ผมก็เริ่มจะเข้าใจอะไรๆได้มากขึ้นแล้วล่ะ
“แหม่ คุณป๋าฮะ... นานๆน็อตจะได้โอกาสฟังความในใจจากปากเมียอย่างเนื้อๆเน้นๆต่อหน้าต่อตา
และต่อหน้าคนอื่นๆมากมายแบบนี้ซักครั้ง ขอน็อตฟังเยอะๆ ยาวๆกว่านี้หน่อยไม่ได้รึไงฮะ”
...อย่าบอกนะว่า ทั้งหมดนี้
เป็นแผนหลอกล่อให้ผมยอมพูดความรู้สึกของผมที่มีต่อตัวเขาออกมา...
...แล้วเรื่องแต่งงาน
ก็เป็นแค่ฉากบังหน้าเท่านั้น
เอ...หรือว่ามันจะไม่ใช่แค่ฉากบังหน้าเฉยๆกันนะ?...
ระหว่างที่ผมกำลังเอ๋อเพราะเอาแต่ประมวลผล พ่อลูกผู้มีสีหน้าแช่มชื่นตื่นเต้นไม่แพ้กันก็ต่อปากต่ดคำกันอย่างไม่มีลดละ“ไม่ต้องเลยไอ้เสือ
เท่าที่ทนฟังมาถึงตรงนี้...คุณป๋าก็ขนลุกจะแย่อยู่แล้ว...
.
...ว่าแต่ว่า ตกลงวันนี้คุณน็อตจะเอาแต่คาดคั้นให้คุณหนุนพูดความในใจออกมาให้ฟังอย่างเดียวใช่ไม๊
คุณป๋าจะได้ยกเลิกงานแต่งให้รู้แล้วรู้รอดไปซะที พวกพ่อๆแม่ๆจะได้ไม่ต้องเมื่อยเพราะต้องไปยืนแอบรอคิวอยู่ตรงโน้นอยู่ตั้งนานสองนาน” พอคุณป๋าพูดจบ
พ่อจ๋ากับแม่จ๋าก็เดินออกมาจากมุมหนึ่งของเตนท์ทันทีราวกับมีคนบอกบท
ตอนนี้...กลายเป็นผมเสียเองแล้วล่ะที่กำลังอ้าปากค้าง ถ่างตาโปน จนกับคำพูด
“โห่... แต่งซิฮะ แต่งซิ คุณป๋าก็เห็นว่าคุณหนุนน่ะเค้ารักน็อตขนาดไหน
ถ้าไม่แต่ง...เดี๋ยวคุณหนุนของคุณบี๋เค้าจะใจสลายเอาได้นะฮะ หึ หึ” คนพูดไล้ปลายคางของผมไปมาอย่างเพลิดเพลินระหว่างตอบรับคำของพ่อตัวเอง
.
.
“เอ่อ...ไอ้เสือ คุณป๋าว่า คุณน็อตควรจะชุบชีวิตว่าที่ลูกสะใภ้ของคุณป๋ากลับคืนมาก่อนดีไม๊
ตอนนี้คุณหนุนน่าจะงงจนจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกอีกต่อไปแล้วล่ะมั้ง ฮะ ฮะ ฮะ” เสียงหัวเราะเอร็ดอร่อยของคุณป๋าดังก้องไปทั้งงาน
พลอยทำให้แขกเหรื่อทั้งหมดหัวเราะสมทบตามออกมาอย่างช่วยไม่ได้
แต่แม้เสียงหัวเราะจะดังแค่ไหน
เสียงทุ้มๆเสียงเดียวก็ยังปลุกผมให้รู้สึกตัวได้อยู่เสมอ “ขนุน
ขนุนฮะ...ขนุนยังอยู่เป่าฮะ?” น็อตยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆกับใบหูผม
แล้วถามออกมาอย่างเป็นห่วงเป็นใย โดยไม่ลืมเป่าลมร้อนๆเข้าหูจนขนทั้งร่างของผมลุกเกรียวก่อนจะถอนใบหน้าออกไปเพื่อจ้องมองผมด้วยดวงตาฉ่ำหวาน
...งานแต่งที่ขอให้ตายอย่างไร เจ้าภาพฝ่ายชายก็ไม่ยอมล้มเลิกง่ายๆ...
...เจ้าบ่าว เจ้าสาวรักกันออกนอกหน้าจนชาวประชายี้เลี่ยน...
...พ่อแม่แอบรอคิว... คุณป๋าและคุณบี๋ เดินออกมาพร้อมกับพ่อจ๋าแม่จ๋า...
...พี่เมี่ยง พี่เกี๊ยว
แล้วไหนจะพี่ๆที่สำนักพิมพ์อีกล่ะ...
...งานแต่งนี้
จัดขึ้นเพื่อน็อตกับผมอย่างนั้นเองหรอกหรือ???!
“น็อต นี่มันเรื่องอะไรกัน?”ผมยื่นหน้าเข้าไปกระซิบถามอีกฝ่ายที่ยังหน้าบานเป็นจานดาวเทียม
และยังกอดผมไว้แน่น
อีกฝ่ายตอบผมลวกๆ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้ใครสักคน ระหว่างปล่อยเอวผมเพื่อเปลี่ยนมาเป็นจับมือแล้วจูงผมไปนั่งพับเพียบตรงหน้าโซฟาที่เขาเคยนั่งหันหลังให้ผมในตอนเช้างวันนี้
เพื่อรอเวลาเริ่มพิธีการตามฤกษ์ “อย่าเพิ่งถามเลยฮะ
เดี๋ยวรอให้พิธีการทั้งหมดเสร็จสิ้นไปก่อน แล้วคืนนี้เราค่อยคุยกันอีกที”
พอรู้ว่าตัวเองจะต้องเข้าพิธีแต่งงานแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ผมก็เกิดตื่นเต้นจนมือเย็น สมองตื้อ และทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาเสียเฉยๆ.... ก็แน่ล่ะ
ใครมันจะไปเคยแต่งงานมาก่อนบ้างล่ะ
ยิ่งคนที่เพิ่งเคยมีแฟนเป็นคนแรกอย่างผมแล้วด้วย ถ้าจะประหม่าจนหน้าเกร็งไปหมดก็คงจะไม่ผิดอะไรหรอกมั้ง
แต่เพื่อไม่ต้องกลายเป็นตัวตลกของงาน (ยิ่งไปกว่านี้) ผมเลยตัดสินใจถามผู้บงการงานแต่งทั้งหมดที่กำลังนั่งหน้าแป้นแล้นตอบรอยยิ้มและสายตาเอ็นดูของพ่อจ๋าแม่จ๋า
และคุณป๋าคุณบี๋ เพื่อกระซิบถามรายละเอียดของพิธีการเพื่อจะได้เตรียมตัวล่วงหน้าอย่างทันท่วงที
“แล้วตอนนี้ล่ะ....เค้าต้องทำอะไรมั่ง?”
ผมไม่อาจควบคุมความตื่นเต้นได้ เสียงผมเลยสั่นจนผมเริ่มรู้สึกอาย
สุดหล่อที่นั่งเอนตัวจนหัวเกือบจะติดกับหัวผมอยู่รอมร่อบอกด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“ไม่ยากเลยฮะ ใครบอกใครเตงทำอะไร เตงก็ทำไปตามนั้น แล้วก็ยิ้มบ่อยๆ
เพราะหลังจากนี้...เราจะกลายเป็นสามี ภรรยาถูกต้องตามกฏหมู่ของบ้านพิมรรักษา
และบรรดาเพื่อนฝูงของเราทุกคนแล้วนะฮะ” พูดจบพ่อคุณก็ปิดท้ายด้วยใบหน้าล้อเลียน ที่ชวนให้เลือดทั้งร่างกายไหลขึ้นมารวมตัวกันที่ใบหน้าของผมได้อย่างไม่ต้องนัดหมายล่วงหน้า
“ไอ้หัวจุกบ้า...เดี๋ยวนี้ชักจะร้ายกาจเกินไปแล้วนะ!! อย่าให้ถึงทีเค้าบ้างก็แล้วกัน!” ผมขู่ฟ่อเพื่อกลบเกลื่อนอาการเขินจนทำตัวไม่ถูก
คนฟังกลับไม่ได้ทำท่ากริ่งเกรงการรอลงอาญาของผมแต่อย่างใด
หากแต่ทำหน้าท้าทายอำนาจแล้วพูดช้าๆอย่างเน้นๆและเจาะจงทุกถ้อยทุกคำตรงข้างหูผม “จุ๊ จุ๊ จุ๊....อย่าลืมซิฮะว่า ใครกันแน่...ที่ร้ายกาจขนาดวางกับดักต่างๆนาๆเพื่อรวบหัวใจหนุ่มแบดบอย
จนแบดบอยผู้ไร้เดียงสาเกิดตกหลุมรักอย่างหัวปักหัวปำก่อน...
.
...พอวายร้ายหนุ่มรู้ตัวเองว่า หลงรักหนุ่มเนิร์ดสุดประหลาดจนยากจะถอนใจ
เขาเลยต้องพยายามหาทางรวบหัวรวบหาง และจัดงานแต่งงาน เพื่อทำให้หนุ่มเนิร์ดกลายมาเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของเค้าแต่เพียงผู้เดียว...
.
...ขนุนรู้ไม๊ฮะว่า เวลานี้...ในใจของหนุ่มแบดบอยคิดอะไรอยู่??...” ผมส่ายหน้า
แล้วจ้องตาน็อตเพื่อกดดันให้อีกฝ่ายยอมพูดสิ่งที่เจ้าตัวอมพะนำอยู่ออกมาเสียที “ตอนนี้เค้ากำลังหวังว่า หนุ่มเนิร์ดสุดโมเอ้ที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเค้า
จะยินดีรับผิดชอบผลลัพธ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายหลังจากการกระทำต่างๆตามแผนการอันโหดเหี้ยม
ไร้หัวใจของตัวเองอย่างเต็มใจที่สุดก็เท่านั้น...
.
.
.
...แต่งงานกับน็อตนะฮะ” มือหนาที่ยังคงกุมมือของผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อยบีบเบาๆคล้ายกับต้องการจะเร่งให้ผมตอบ
ผมส่งยิ้มหวานออกไปเป็นทัพหน้า แล้วจึงตามด้วยแม่ทัพใหญ่ที่มาในรูปการรับคำเสียงระรื่น
ตามด้วยขู่กรรโชกอีกฝ่ายเสียงเข้ม “อื้อออ......ก็เอาซิ แต่แต่งแล้วแต่งเลยนะ!..ห้ามหย่า!..ห้ามเลิกเป็นอันขาด! ไม่งั้นเค้าเอาเตงตายจริงๆด้วย!”
แต่พ่อตัวดีกลับไม่มีสลด แถมยังต่อปากต่อคำด้วยสีหน้าและเสียงสดใสที่บอกก็รู้ว่าเจ้าตัวไม่คิดจะลดราวาศอกยอมลงให้
ที่สำคัญ...มันต้องลากให้เรื่องหวานๆ พาลจะกลายเป็นเรื่องหวิวๆไปได้ทุกที่สิน่า “หึ
หึ...ไม่มีวันหรอกฮะ เพราะเค้านี่แหละ ที่จะเป็นฝ่ายเอาเตงจนกว่าเราจะตายกันไปข้าง”
“หื่น!” ผมด่าออกไปอย่างอดไม่ได้
...แต่ถ้าถามว่าผมชอบใจไหม...
...ขอบอกเลยว่าผมชอบมากกกกก...
...ผมชอบความหื่นของน็อตมาก ชอบแบบที่ว่า...เสียดายที่เรามาเจอกันช้าไปหลายปี
เพราะผมต้องเสียโอกาสดีๆในการทดลองการละเล่นอันสนุกสนานทางกายระหว่างผู้ชายร่างเปลือยสองคนไปตั้งหลายร้อยหลายพันรอบ...
ต่อจากนี้ ผมคงต้องเอาคืนให้คุ้มกับทุกๆวินาทีที่ผมขาดทุนไปเสียแล้วล่ะ...
...นี่แหละนะคือความโชคดีของคนที่มีสามีเด็ก ล่ำ กำยำ
และแข็งแรงประดุจม้าศึก หึ หึ
“หื่นแล้วรักไม๊ฮะ?” ร่างสูงที่นั่งข้างๆก้มหน้าลงมาหาผมใกล้ๆ
แล้วถามเบาๆโดยปล่อยให้ลมหายใจที่ออกมาพร้อมกับคำพูดของเขาเคลียกระทบกับแก้มของผมราวกับจูบทิ้งท้าย
“บ้า บ้า บ้า บ้า บ้า บ้า บ้า บ้า!” ผมทำสีหน้าเรียบๆระหว่างที่ตั้งใจกวนอีกฝ่ายด้วยการตอบไม่ตรงคำถาม
จนน็อตต้องเอนตัวออกห่างเพื่อจ้องหน้าผมด้วยความสงสัย เมื่อเห็นคนหล่อทำหน้างงจนสาแก่ใจ
ผมก็ยอมเฉลยให้พ่อคุณรู้ความหมายของสิ่งที่ผมเพิ่งได้เอ่ยก่อนอีกคนจะลงแดงทันที “ใครน้า
เคยบอกเค้าว่า...ผู้หญิงว่าบ้า แปลว่าผู้หญิงรัก...
.
...ถึงเค้าจะไม่ใช่ผู้หญิง แต่เค้าก็ทำหน้าที่เป็นภรรยาให้เตงใช่มะ...
...เพราะฉะนั้น คำว่าบ้าของเค้าก็น่าจะใช้แทนความหมายในทำนองเดียวกันได้ล่ะมั้ง...เนอะ”
คนฟังคำหวานเลี่ยนของผมยิ้มร่าหน้าบานยิ่งกว่าจานใดๆ ดูท่าพ่อคุณจะชอบใจคำตอบของผมเอาเสียมากๆ
ไม่เท่านั้น...สิ่งที่เขาเพิ่งจะได้ยิน คงไปกระตุ้นอารมณ์อย่างว่าเข้าให้แน่ๆ
ไม่อย่างนั้นสุดหล่อของผมคงจะไม่ตอบผมกลับมาด้วยประโยคชวนให้ล้มงานแต่งแบบนี้ “แหม่... อยากจะให้งานแต่งแม่งจบๆไปซะเดี๋ยวนี้
ตอนนี้จริงๆเลยวุ้ย พ่อจะจัดให้หนักให้สมกับที่ห่างหายจากการกอดก่ายเมียไปเสียหลายคืน”
...ก็ใช่ว่าน็อตจะอยากอยู่คนเดียวเสียหน่อย...
...แค่ผมได้เห็นพ่อคุณใส่ทักซิโดเต็มๆสองตาแค่ปราดเดียว
ผมนี่อยากจะลุกขึ้นมาแต่งคอสเพลย์เป็นเซเลอร์มูน แล้วร่ายมนตร์จันทราเพื่อให้หน้ากากทักซิโดตรงหน้าช่วยต่อขาต่อแขนให้จิบิมูนในท้องเสียเดี๋ยวนั้น...
.
.
...แต่เรื่องรวบหัวรวบหางน็อตโดยสมบูรณ์ก็สำคัญไม่แพ้การสร้างเผ่าพันธ์...
...ดังนั้น...เอาไว้คืนนี้ก่อนก็แล้วกันนะ
ผมจะจัดเต็มทุกท่วงท่าลีลา เพื่อให้คืนส่งตัวเข้าหอตราตรึงประทับอยู่ในความทรงจำของน็อตไปจนวันตายเลยทีเดียว...
...หึ หึ...คิดแล้วก็เปรี้ยวปาก
“ฮื่อ...ไม่ดีหรอก ไว้รอให้งานแต่งเสร็จก่อนนะ เดี๋ยวคุณป๋าว่าเอา”
ผมบีบมือน็อตหนักๆสองสามครั้งเพื่อปลอบใจ ทั้งที่ข้างในใจ ตัวผมกำลังพยายามควบคุมไฟตัณหาไม่ให้ลุกลามจนหื่นออกหน้าไปเสียก่อน
ยิ้มกระชากใจครั้งที่ล้านของวันทำให้ผมหวั่นไหวอีกครั้ง
ระหว่างที่พ่อคุณพูดนุ่มๆ ทว่าจริงจังชวนให้หนาวสันหลังขึ้นมาทันที “แต่งเสร็จ จะเปลี่ยนใจเอาตอนหลังก็ไม่ทันแล้วน้า”
นี่ถ้าไม่ติดว่ายิ้มอยู่ ผมคงเข้าใจว่า น็อตต้องการจะขู่เพื่อไม่ให้ผมคิดเปลี่ยนใจแน่ๆ...
...แต่น็อตคงจะไม่รู้อะไร เพราะผมไม่มีวันเปลี่ยนใจไปจากเขาเป็นอันขาด...
...ชาตินี้ ผมจะไปหาเนื้อชิ้นงามนามว่าน็อตที่หล่นตรงลงจากฟากฟ้า
มาตกตรงหน้าหมาจ๋อยๆอย่างผมได้อีกที่ไหนกัน เขานั่นแหละ จะเป็นคนที่ผมไม่ยอมปล่อยมือไปง่ายๆ
ผมยิ้มหวานให้อีกฝ่าย และบอกสิ่งที่อยู่ในใจของผมในเวลานี้
ในเวอร์ชั่นอ่อนโยน และเหมาะสมสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่เข้าใจโลกอันโหดร้ายของผู้ใหญ่อย่างถ่องแท้
แบบที่ตัดทอนความจริงอันน่าหวั่นกลัวทั้งหลายออกไปหมดสิ้น “จะไม่มีวันนั้น...อย่างแน่นอน”
...ก็ผมรักของผมนี่ ใครจะทำไมล่ะ?!
.
.
.
“สัญญานะฮะขนุน”
“สัญญาด้วยหัวใจทั้งดวงเลยคับหัวจุก”
เมื่อเราทั้งสองแลกเปลี่ยนคำสัญญาที่ออกมาจากใจของเราทั้งคู่จบลง ผมกับน็อตก็แบ่งปันรอยยิ้มอย่างมีความสุขให้แก่กัน
ก่อนที่พิธีการของงานในวันนี้จะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการเพียงไม่นานหลังจากนั้น
จบ...ไม่บริบูรณ์
(ก็พระเอกอย่างน็อตอยากเล่าเรื่องราวการเตรียมการงานแต่งของเขาบ้างน่ะสิ...
เพราะฉะนั้น...โปรดติดตามเบื้องหลังงานแต่งในท้ายเครดิต
เอ๊ย! ตอนหน้านะฮะ!!)
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
Merry Christmas ล่วงหน้านะคะทุกคน
ถึงจะไม่ใช่เทศกาลของบ้านเรา
แต่มะลิก็ขอให้ทุกๆคนมีความสุขมากๆค่ะ
ตอนนี้ก็ยาวอีกเหมือนกัน..ฮ่าๆ
ก่อนจบนี่มะลิจัดยาวตลอดๆ
(ตั้งใจจะให้เรื่องนี้่จบก่อนสิ้นปีค่ะ
จะได้ถือเป็นของขวัญปีใหม่ให้คนอ่านได้ใช้เวลาอ่านช่วงหยุดยาว ^^)
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด
ตอนหน้าน่าจะเป็นตอนสุดท้ายของเรื่องแล้วล่ะค่ะ
ใจหาย
แต่ก็ดีใจที่เข็นกันมาจนจบ...ขอให้อ่านอย่างมีความสุขนะคะ
และขออภัยเรื่องความยาวของตอนหลังๆด้วยค่ะ
รักคนอ่านทุกท่านเหมือนเดิมค่ะ จ๊วบๆๆ
No comments:
Post a Comment