Monday, September 10, 2018

• รักหลอก ๆ ต้องบอกลุง •||#24|| 10.09.2018




#24

บอกกันตรงตรง ว่าอยากรู้มานาน
เธอมีใคร ในหัวใจ
อาจจะมี ฉันอยู่ข้างใน
มีซามูไร มีไก่กุ๊กกุ๊ก
หน่อไม้ - อ้อม สุนิสา สุขบุญสังข์

…………………………………………………………………………………………………………


“อ้าวม้า ตื่นแล้วเหรอ” เสียงเดินลากฝีเท้าฟังหนักแน่นของสมาชิกในบ้านที่เพิ่งเดินตรงมาจากบันไดมุ่งหน้าเข้าครัวทำให้คนตั้งใจตื่นเช้าพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครโดยไม่ต้องละสายตาจากหม้อข้าวต้มเครื่องที่กำลังส่งกลิ่นหมอฉุย

หญิงชรายืนชะเง้อมองบุตรชายที่กำลังง่วนอยู่ในครัวโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะเดินไปนั่งยังโต๊ะกินข้าวคล้ายไม่อยากเสวนาด้วย ธามหรี่ไฟแล้วปิดฝาหม้อข้าวต้มบนเตาพลางตะโกนถามมารดา

“เวลาตื่นหรือยังม้า”

“ลื้อก็ขึ้นไปดูสิ”

“งั้นม้ารอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวเวลาลงมาแล้วค่อยกินข้าวพร้อมกัน”

“...”

ธามไม่ได้สนใจอาการปั้นปึ่งของมารดา ชายหนุ่มล้างมือแล้วซับน้ำลวก ๆ จากนั้นจึงรีบวิ่งขึ้นบันไดไปยังชั้นสามอันเป็นส่วนพักอาศัยของครอบครัว ขณะเดินผ่านห้องน้ำ กลิ่นสบู่เด็กกับไอความร้อนและละอองความเปียกชื้นที่แผ่ออกมาจาง ๆ ก็ทำให้พ่อหม้ายลดความเร็วฝีเท้าลง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเหยียบย่องเสียงแล้วเบามุ่งหน้าไปยังห้องที่ลูกชายและมารดาใช้หลับนอน

เมื่อมองผ่านช่องประตูที่เจ้าของห้องเปิดแง้มไว้ เขาก็เห็นบุตรชายกำลังยืนก้มหน้าติดกระดุมเสื้อนักเรียนอย่างตั้งใจ ข้อนิ้วมือสั้น ๆ จับกระดุมเม็ดเล็กไว้มั่น ก่อนที่มืออีกข้างจะดึงปลายสาบเสื้อแล้วประกบรังดุมลงทาบ จากนั้นสองมือก็ขยับยุกยิกอยู่พักใหญ่จนกระดุมเม็ดสุดท้ายยินยอมเข้าประจำที่

อาจเป็นเพราะบทสนทนากับคเชนทร์เมื่อคืนที่ทำให้ภาพตรงหน้าสะกดสายตาของเขาเสียอยู่หมัด การที่ลูกชายสามารถแต่งตัว เตรียมความพร้อมก่อนไปโรงเรียนได้ด้วยตัวเองทำให้ชายหนุ่มตาสว่าง

ช่วงวัยเด็กของเวลากำลังจะหมดลงในอีกไม่นาน
ที่ผ่านมาเขามัวแต่ทำอะไรอยู่ ทำไมถึงปล่อยเวลาเจ็ดปีที่ควรทำตัวเป็นพ่อที่ดีผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์?

รู้ดังนั้น ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปหาบุตรชายพลางหยิบหวีตรงโต๊ะข้างหัวนอนติดมือไปด้วย “มา เดี๋ยวป๊าหวีผมให้”

เด็กชายมีสีหน้าประหลาดใจแต่กลับยืนนิ่งอยู่กับที่คล้ายกำลังรอให้บิดาจัดแต่งทรงผมให้ดังปากว่า ธามย่อตัวลงนั่งตรงหน้าเวลาพลางบรรจงสางเส้นผมตรงสีดำสนิทอย่างเบามือ ผมของลูกชายอ่อนนุ่มผิดกับผมแข็ง ๆ เหมือนขนแปรงของเขา ใบหน้ายับย่นยู่ยี่ที่เคยเห็นใกล้ ๆ ขณะอุ้มประคองอีกฝ่ายขึ้นแนบอกเป็นครั้งแรกในห้องคลอด บัดนี้ส่อเค้าละม้ายตนเองในวัยเยาว์ขึ้นหลายส่วน เว้นเพียงดวงตาโศกคู่นั้นที่ถอดแบบมาจากภรรยาผู้ล่วงลับทุกกระเบียด

แม้ใจคนเป็นพ่อจะอยากยืดช่วงเวลานี้ให้นานออกไป แต่เส้นผมสั้น ๆ บนกระหม่อมเล็ก ๆ จะต้องหวีนานเท่าไรกัน “เสร็จแล้ว... ไป ลงไปกินข้าวเช้ากัน อาม่ารออยู่”

กาลกมลยังคงนิ่งเงียบ หากแต่เมื่อธามพยักหน้าให้เดินตาม เด็กชายในชุดนักเรียนผมเรียบแปล้เป็นพิเศษก็ก้าวเท้าออกจากห้องแต่โดยดี
.
.
.
.
“ม้ากินเยอะ ๆ นะ เดี๋ยวกลางวันอั๊วจะนึ่งปลาให้กิน”

“อือ” หญิงชราปรายตามองข้าวต้มซี่โครงหมูในถ้วยตรงหน้าพลางส่งรับคำในลำคอ ความรู้สึกโกรธขึ้งที่หล่อนมีต่อท่าทีเจ้ากี้เจ้าการของบุตรชายลดลงกว่าหลายวันก่อน ยิ่งหลังลิ้นรับรสหวานจาง ๆ ของน้ำซุปกับเนื้อซี่โครงหมูอ่อนนุ่มจนแทบไม่ต้องเคี้ยว หล่อนก็บอกได้ทันทีว่า ถ้าต้องเคี่ยวกระดูกเพื่อให้เนื้อหลุดล่อนออกจากกระดูกอย่างง่ายดาย แปลว่าธามจะต้องตื่นมาเตรียมเครื่องเครา เริ่มตั้งไฟต้มน้ำแกงตั้งแต่ตีสี่

รู้ดังนั้น หล่อนจึงทำใจแข็งต่อไปอีกไม่ไหว “ลื้อก็กินบ้างเถอะ”

“แป๊บนึงนะม้า” พ่อหม้ายยิ้มให้มารดาขณะกุลีกุจอเติมข้าวต้มใส่ในชามเล็ก ๆ ของกาลกมล “กินอีกชามนะเวลา ข้าวต้มมันไม่อยู่ท้อง เดี๋ยวตอนสาย ๆ จะหิว”

ธามอมยิ้มอย่างชื่นใจเมื่อเห็นบุตรชายก้มหน้าก้มตากินข้าวต้มถ้วยที่สอง แม้ทุกวันนี้เด็กชายจะไม่ยอมพูดกับเขา แต่ข้อดีของเวลาก็คือ เจ้าตัวไม่เคยเลือกกิน อีกทั้งยังว่านอนสอนง่ายเหมือนกับที่คเชนทร์บอกไว้ไม่ผิด...

ทันทีที่หัวสมองกระหวัดนึกถึงเจ้าของร้านดอกไม้ขึ้นมาอีกครั้ง ธามก็อดคิดถึงกิจกรรมที่ลูกชายชอบทำเป็นประจำทุกวันไม่ได้ ทว่าด้วยสภาพร่างกายที่ยังไม่แข็งแรงเต็มร้อยของมารดา ชายหนุ่มจึงอยากให้เวลาช่วยอยู่เป็นหูเป็นตา คอยดูแลอาม่าเผื่อว่าหล่อนจะล้มหมอนนอนเสื่อลงอีกครั้ง “เวลา เดี๋ยววันนี้ป๊าจะเปิดร้านแล้วนะ”

เมื่อเห็นบุตรชายเงยหน้าขึ้นมองสบตาด้วย ธามจึงอธิบายความต้องการของตัวเอง “เย็นนี้เวลาอย่าเพิ่งไปเล่นแมวได้ไหม อยู่เป็นเพื่อนอาม่าแทนป๊าหน่อย”

เวลาวางช้อนกินข้าวลง แล้วเลื่อนชามข้าวต้มไปอีกทางอย่างเบามือ สายตาเจ็บปวดของลูกชายทำให้ธามใจไม่ดี “ป๊ากับพี่ไอซ์ต้องเก็บร้าน เวลาช่วยป๊าคอยดูอาม่าหน่อยได้ไหม”

กาลกมลเข้าใจเหตุผลของบิดา หากแต่เรื่องแมวก็สำคัญ... เขากลัวมันลืมหน้าถ้าหายไปนาน ๆ

เป็นครั้งแรกที่เด็กชายนึกเสียใจที่เลือกวิธีประท้วงพ่อด้วยการไม่ปริปากพูด ด้วยเพราะเคยเรียนรู้มาก่อนว่า การเงียบต่อหน้าบิดาในบางครั้ง แปลว่าตัวเขาอาจต้องทำบางสิ่งที่ฝืนความต้องการทั้งที่ใจนึกแย้ง แต่ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะสรุป ผู้อาวุโสสูงสุดในโต๊ะกินข้าวก็เอ่ยแทรกขึ้นด้วยประโยคคำสั่งที่กาลกมลปฏิเสธไม่ได้

“เวลา ข้าวต้มเหลือแค่นั้นเอง กินให้หมดก่อนแล้วค่อยเอาชามไปเก็บ”
.
.
.
.
“เวลา เย็นนี้พอเลิกเรียนแล้วมาเล่นรอป๊าที่หน้าโรงเรียนนะ” หลังจอดรถเทียบหน้าประตูโรงเรียน ธามก็นัดแนะกับบุตรชายพลางเอี้ยวตัวไปหยิบกระเป๋าเป้ตรงเบาะด้านหลังแล้วยื่นให้อีกฝ่าย เมื่อได้กระเป๋า เด็กชายก็เปิดประตูรถแล้วเดินเข้าโรงเรียนไปโดยไม่รั้งรอ

ธามนึกเสียใจที่รีบร้อนอยากกลับไปดูมารดาเสียจนตัดสินใจจะไม่จอดรถเพื่อเดินมาส่งเลือดเนื้อเชื้อไขเหมือนเมื่อวันก่อน ๆ แต่เมื่ออาสาจราจรโบกเร่งให้เขารีบเคลื่อนรถให้พ้นถนนด้านหน้าโรงเรียน พ่อหม้ายจึงทำได้เพียงบังคับพวงมาลัยมุ่งหน้าไปซื้อของสดที่ตลาดด้วยหัวใจหนักอึ้ง...

ถึงลูกจะไม่ยอมพูดด้วย แต่ครั้งนี้เขากลับรู้ดีว่า ท่าทีมึนตึงเมื่อครู่เป็นเพราะเวลายังคงโกรธเคืองเรื่องที่ถูกห้ามไม่ให้ไปเล่นที่ร้านดอกไม้อยู่ไม่คลาย เห็นทีว่าการกลับตัวกลับใจ ทำตัวเป็นคุณพ่อดีเด่นจะไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่เผลอเข้าใจเสียแล้วสิ

••••••

“อะไรยีนส์ ชวนคุณโอ้เอ้คุยอีกแล้วนะ” ผมส่งเสียงปรามพลางบุ้ยใบ้ให้น้องเล็กประจำทีมหุบปากแล้วจับตาดูยูสเซอร์ทำแบบฝึกหัดย่อยของหัวข้อการฝึกอบรมรอบบ่ายวันนี้อย่างจริงจังเสียที ที่ไหนได้ คุณโอ้เอ้กลับโพล่งสวนขึ้นมาดื้อ ๆ จนผมทำหน้าไม่ถูก

“คุณทูไม่ต้องห่วงค่ะ ตอนนี้เอ้คีย์จ้างพนักงานอยู่ คุยได้”

ยิ่งมีซุปเปอร์ยูสเซอร์ออกหน้าให้ท้าย ยีนส์ก็แอ่นอกเล่นหูเล่นตาทำท่าเยาะเย้ยใส่ ผมเห็นสีหน้าลิงวอกของน้องแล้วก็ได้แต่สแยะยิ้มโดยไม่ลืมเตือนคุณโอ้เอ้ตามหน้าที่ของผู้นำการฝึกอบรมที่ดี “ครับ แต่ระวังวันเริ่มต้นด้วยนะครับ”

จริงอยู่ที่แม้ยูสเซอร์แต่ละคนจะดูแลเฉพาะระบบงานที่ตนถนัดตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย แต่เนื่องจากโปรเจคนี้มียูสเซอร์ผู้กล้าเพียงหยิบมือ ท่าน HR Director เลยขอให้ตอนฝึกอบรม สามสาว Destiny’s Child (ตามที่พี่ฟี่แอบใช้เรียกยูสเซอร์ลับหลัง) จะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้งานระบบทุก ๆ ระบบงานภายใต้ขอบข่ายของ HR เผื่อว่าหากมีใครจำเป็นต้องลางานติดกันหลายวัน อีกสองคนที่เหลือก็จะสามารถดูแลงานเร่งด่วนที่เกี่ยวข้องกับการใช้ระบบไปพลาง ๆ โดยไม่ต้องคอยตามล้างผลาญคนลาให้ต้องเสียอารมณ์กันทั้งสองฝ่าย

“ค่า” คุณโอ้เอ้ลากหางเสียงยืดยาวแบบที่เดาได้ว่าแกน่าจะกลอกตาใส่ผมอยู่แน่ ๆ ก่อนจะเอ่ยลอย ๆ ขึ้น “สรุปว่าไงพี่มิ้ม เดี๋ยวเลิกงานแล้วพี่มิ้มไปกับพวกเอ้เปล่า”

“ไป ๆ ต่อให้เลิกเย็นก็ไป” สิ้นเสียง คุณมิ้มก็ชะโงกหน้าขึ้นจากจอโน้ตบุ๊คแล้วหันไปปรึกษาลูกพี่ใหญ่ของทีมผม “คุณฟี่ วันนี้เราเลิกตามเวลาหรือเปล่าคะ”

“ถ้าทุกคนทำแบบฝึกหัดเสร็จทันตามเวลาที่ตกลงกันไว้ ฟี่ว่าเราไม่น่าจะเลิกเลทนะคะ”

ถึง Destiny’s Child กับลิซ่า แบล็คพิงค์จะกัดปากกลั้นเสียงกรี๊ดแต่สีหน้าสุดฟินของสี่สาวก็ทำให้บุคคลผู้อยู่นอกวงเม้าท์ (ของกลุ่มสตรีทั้งหก) อย่างผมอดถามขึ้นไม่ได้ “วันนี้คุณมิ้มกับคุณโอ้เอ้มีธุระเหรอครับ”

“พวกเรานัดกันไปชอปปิ้งค่า” ยิ่งเห็นคุณโอ้เอ้ตั้งท่าโปรยเงินอย่างก๋ากั่น ผมก็อดคันไม่คันมือไม่ได้

“ห้างไหนเซลล์เหรอครับ” พักนี้ผมคงทำตัวติดผู้ (และลูกสาว) หนักไปหน่อยเลยไม่ค่อยได้อัปเดตว่าห้างไหนจัดมหกรรมดูดทรัพย์อะไรเป็นพิเศษบ้าง เกิดแบรนด์ที่ผมปลื้มลดล้างสต็อกขึ้นมา ผมจะได้ตามไปตำได้ทันท่วงที

“ถึงไม่เซลล์ ยังไงวันนี้ก็ต้องไปค่ะ”

“ทำไมล่ะครับ” ผมถึงกับเดินลิ่ว ๆ จากหน้าห้องมาหยุดยืนข้าง ๆ คุณโอ้เอ้เพราะอยากคุยกับแกให้รู้เรื่อง... ไหน มันมีอะไร เล่ามาสิครับ ทำไมต้องแห่ไปเสียตังค์กันวันนี้?

คุณโอ้เอ้ส่ายหัวพลางกลอกตามองผมอย่างระอา “แหมคุณทู ลืมแล้วหรือไงคะว่าวันมะรืนเราจะไปไหนกัน”

“อ๋อ... ครับ” ผมดันกรอบแว่นขึ้นพลางยิ้มเขิน สงสัยผมจะหมกมุ่นเตรียมเรื่องฝึกอบรมจนลืมทุกสิ่งอย่างไปจริง ๆ นั่นแหละ “จะไปซื้ออะไรกันเหรอครับ”

“ความลับค่ะ” ปากคุณโอ้เอ้บอกแบบนั้น แต่สายตาแวววาวกับรอยยิ้มมีเลศนัยของแกกลับเล่าเรื่องเกินเบอร์ไปมาก...

ถ้าให้เดา ผมคิดว่าพวกสาว ๆ น่าจะไปซื้อชุดว่ายน้ำกัน เพราะอีกสองวัน คุณพันเลิศจะขนทุกชีวิตในทีมโปรเจคไปกิน ๆ นอน ๆ ที่หัวหินเป็นเวลาหนึ่งคืนสองวัน ท่านสปอนเซอร์ให้เหตุผลว่า กิจกรรมครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้ยูสเซอร์มีเรี่ยวแรงทำทั้งงานราษฏร์และงานหลวงต่อไป (โดยไม่บ่น) อีกทั้งยังเพื่อฉลองความสำเร็จของโปรเจคล่วงหน้า ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้ว ใคร ๆ ก็รู้ว่า ลุงแกแค่อยากพาหัวหน้าพวกผมไปจู๋จี๋ที่ต่างจังหวัดแบบไม่น่าเกลียดเท่านั้นเอง

แต่ใครล่ะจะเหม็นความป๋าของคุณพันเลิศได้ลงคอ ยิ่งหลังจากที่คุณแก้ว เลขาฯ ส่วนตัวของตาลุงคาสโนว่าส่งอีเมลแจ้งหมายกำหนดการกับรายละเอียดที่พักมาให้ทีมโปรเจคเมื่อหลายวันก่อน ทุกคนก็โดนโรงแรมบูทีคขนาดเล็กสุดเก๋ที่มีทางลงสระว่ายน้ำครบทุกห้องล่อลวงจนตกเป็นทาสพากันฝันหวานแบบถ้วนหน้า ซึ่งนี่คงเป็นสาเหตุให้พวกสาว ๆ จะตื่นเต้นกับทริปนี้จนต้องหาเรื่องถลุงเงินนอกฤดูเซลล์ เพราะการถ่ายเซลฟี่ในเสื้อผ้าชุดใหม่ หรือบิกินีแซ่บ ๆ โดยมีพื้นหลังเป็นสระว่ายน้ำยาวสุดลูกหูลูกตาก็น่าจะทำให้อินสตาแกรมของแต่ละคนฮอทยังกะฟายเอ้อมากทีเดียว

จะว่าไป โปรเจคนี้ก็เร็วเหมือนกันนะ เพราะถ้าลองนับ ๆ ดู เหลือเวลาอีกแค่เดือนกว่า ๆ ก็ถึงกำหนดที่พวกผมต้องส่งมอบงานให้ทีมซัพพอร์ทเข้ามาดูแลลูกค้าต่ออีกทอด... แล้วเรื่องระหว่างผมกับพี่หนาวล่ะ ถ้าถึงเวลานั้น เราสองคนจะเป็นยังไง?

ผมเดินกลับไปนั่งตรงโต๊ะหน้าห้องพลางคิดวนเวียนถึงลุงไซด์ไลน์อยู่พักใหญ่ จนเมื่อหูผมได้ยินสาว ๆ เม้าท์เรื่องละครผัว ๆ เมีย ๆ แล้วมีชื่อพี่เวียร์ ศุกลวัฒน์ดังขึ้นเท่านั้นแหละ พี่หนาวก็ถูดดีดออกจากห้วงความของผมเดี๋ยวนั้น...

พี่เวียร์ฟิตติ้งละครเรื่องใหม่!
สาบานเลยว่าหยุดยาวครั้งหน้า ผมจะโทรจิกเฟมมานอนดูหนอน เอ๊ย! ดูหน้าพี่เวียร์แบบมาราธอนด้วยกัน

“เมื่อเช้าพี่มิ้มเห็นหรือเปล่า” ดูเหมือนความสนใจในตัวพี่เวียร์ของสาว ๆ จะไม่มากเท่าผม เพราะอยู่ ๆ คุณโอ้เอ้ก็ชะเง้อคอขึ้นแล้วเอนตัวไปหาหัวหน้าทีมยูสเซอร์ด้วยสีหน้ามีลับลมคมใน ขนาดมองจากตรงนี้ ผมยังรู้เลยว่า ในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า Destiny’s Child จะต้องเม้าท์ถึงใครสักคน (ที่ผมน่าจะเคยเห็นหน้า) แบบเผ็ดร้อนแน่ ๆ

“เห็นอะไร” คุณมิ้มปรือตาขึ้นจากหน้าจอพอเป็นพิธีจนคุณโอ้เอ้ถอนหายใจ แต่สี่สาวที่เหลือนี่สิ แต่ละคนนั่งเงียบกริบรอเก็บข้อมูลอย่างตั้งใจกว่าตอนฟังผมบรรยายเรื่องระบบเสียอีก

“ก็คุณชาย FI กับคุณบูมไง” พอจั่วหัวระบุชื่อขึ้นมาเท่านั้นแหละ คุณมิ้มก็ตาสว่างพลางขยับเข้าไปสุมหัวกับคนเปิดประเด็นทันที และแน่นอนว่าถ้าตัวแม่ลุก ตัวลูกจะนิ่งเฉยอยู่ได้อีกหรือ

“อ๋อ...เห็น ทำไมไวท์กับคุณบูมทำอะไรเหรอ” ผมเหล่มองสาว ๆ ทั้งหกคนที่วางมือจากแบบฝึกหัดมาสุมหัวกันด้วยความอ่อนใจ แต่ที่ยอมหยวน ๆ ให้ ไม่ใช่แค่เพราะผมกลัวว่าตัวเองกับพี่หนาวจะกลายเป็นเป้าหมายใหม่ในการเม้าท์ แต่เพราะเรื่องที่คุณโอ้เอ้กำลังจะเผานั้นเกี่ยวกับแฟนเก่าของผมแบบเต็ม ๆ ด้วยน่ะสิ

ถึงจะตัดใจจากไอ้พี่บูมได้เด็ดขาดแล้ว แต่พอรู้ว่าคุณไวท์คบหากับผู้ชายในอดีตของผม บางครั้งผมก็อยากรู้เรื่องแฟนใหม่ของแฟนเก่า อันที่จริง พูดให้ถูกคือผมอยากฟังเรื่องฉิบหายของสองคนนั่นเพื่อความสะใจอะไรเทือกนั้นแหละ

“ไม่มีอะไรหรอกพี่ แค่คุณ FI กรี๊ดใส่คุณบูมในลิฟท์เท่านั้นเอง” พูดจบ คนเห็นเหตุการณ์ก็็็Hยักไหล่ พลางจือปากเชิดคอตั้งอย่างผู้ชนะ

“หา?! จริงเหรอ?”

“จริ้งงง” โอ้โห สีหน้ากับน้ำเสียงคุณโอ้เอ้มาเต็มจนผมยังปักใจเชื่อไปแล้วเกินครึ่ง “ก็ตอนนั้นเอ้ยืนรอลิฟท์อยู่ แต่พอลิฟท์เปิด เอ้ก็เห็นคุณชาย FI หวีดใส่คุณบูมแรงมาก แรงจนเอ้หมดอารมณ์ลงไปซื้อกาแฟเพราะอยากเดินตามไปเผือกเรื่องของสองคนนั้นมากกว่า”

“แล้วทำไมคุณโอ้เอ้ไม่ตามไปล่ะคะ” พี่ฟี่ปฏิบัติหน้าที่เจ้ากรมข่าวลือซึ่งถือเอาเรื่องชาวบ้านเป็นเรื่องของตัวเองอย่างน่ายกย่อง

นั่นสิ ทำไมคุณโอ้เอ้ถึงไม่ตามไป

“โอ๊ย ไม่ล่ะค่ะ เอ้ไม่อยากเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ FI มันไม่คุ้ม” ดูจากอาการเบ้ปากมองบนกับการถูมืออย่างรังเกียจของคุณโอ้เอ้แล้ว ผมก็พอเดาได้ว่า คุณไวท์จะต้องไม่ใช่เพื่อนร่วมงานที่แผนกบุคคลโปรดปรานสักเท่าไร เฮ้อ! แทนที่ผมจะได้ฟังเรื่องกอซซิปเกี่ยวกับคู่หู FI กลายเป็นว่าผมดันต้องมารู้ว่า สองคนนั้นโดนทั้งที่ปรึกษาและยูสเซอร์ระบบงาน HR พร้อมใจกันยี้ใส่อย่างแท้จริงไปเสียได้

 ••••••

เมื่อเงยหน้าขึ้นจากสมุดบัญชี คเชนทร์ก็พบว่า อัลพาร์ดสีขาวคันที่เพิ่งนั่งเมื่อวานกำลังจอดบังหน้าร้านของเขาอยู่ ชายหนุ่มตวัดหางตาไปมองนาฬิกาบนผนังพลางตั้งคำถามกับตนเองว่า ธามมาทำอะไรที่นี่ตอนเกือบสี่โมง แม้ความสงสัยจะยังไม่คลายลง แต่ทันทีที่ประตูบานข้างสไลด์เปิดจนเผยให้เห็นเด็กชายกับเด็กหญิงในชุดนักเรียนค่อย ๆ ปีนลงจากเบาะตอนหลังของรถ ชายหนุ่มก็รีบวิ่งออกไปเปิดประตูกระจกเพื่อรอรับปลาวาฬกับเวลาทันที

“มาครับ เข้ามาข้างในก่อน” สิ้นเสียงเชื้อเชิญ เด็ก ๆ ก็กรูกันเข้าไปด้านในร้านอย่างรู้งานจนเจ้าของร้านดอกไม้หลุดหัวเราะด้วยความอ่อนใจระคนเอ็นดู แต่ก่อนที่คเชนทร์จะก้าวเท้าตามทั้งคู่เข้าด้านใน เสียงแตรของรถตู้ที่ยังจอดนิ่งไม่ไปไหนก็เรียกร้องให้ชายหนุ่มหมุนตัวกลับไปมองบานกระจกรถฝั่งเบาะนั่งข้างคนขับที่ค่อย ๆ เลื่อนลงอย่างอ่อนใจ

“ฝากด้วยนะคุณ เก็บร้านเสร็จแล้วผมจะมารับ”

“ได้ครับ” คเชนทร์รับปากพลางอมยิ้ม ถึงจะไม่ทักทายกันตามมารยาทเหมือนผู้คนส่วนใหญ่ แต่การที่ธามเอ่ยประโยคเมื่อครู่ก็น่าประทับใจมากแล้ว

“อืม” คนขับค้อมหัวลงเล็กน้อยก่อนจะขับรถออกไป ท่าทีที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดของอีกฝ่ายทำให้อดีตนางโชว์เลิกตำหนิตัวเองที่เผลอหลุดปากเล่าเรื่องไร้สาระไปเมื่อคืน ชายหนุ่มหมุนตัวเดินเข้าด้านในร้านโดยไม่ทันรู้ตัวว่า จนถึงตอนนี้ ริมฝีปากของเขายังคงบิดขึ้นเป็นรูปโค้งคล้ายพระจันทร์เสี้ยวแขวนลอยเด่นอยู่บนใบหน้าไม่เลิกรา

“สวัสดีครับเด็ก ๆ หิวกันหรือยัง” เมื่อได้ยินเสียงคเชนทร์ เด็กหญิงและเด็กชายที่กำลังวุ่นวายอยู่กับแมวก็ยกมือขึ้นไหว้เขาแบบเร็ว ๆ ก่อนจะหันไปขัดจังหวะการนอนกลางวันของเจ้าลูกดำลูกส้มพี่น้องทั้งสองตัวต่อ

“ยังค่ะ เมื่อกี้อาธามซื้อขนมโตเกียวหน้าโรงเรียนให้ปลาวาฬกับเวลากินแล้วค่ะ”

“แล้วกินน้ำกันหรือยังครับ” เด็กสองคนมองหน้ากันงง ๆ อยู่ชั่วอึดใจคล้ายไม่แน่ใจว่าควรตอบอย่างไรดี เห็นดังนั้น เจ้าของร้านดอกไม้จึงรีบยื่นข้อเสนออย่างรวดเร็ว “งั้นกินนมกันคนละกล่องนะครับ จะได้ไม่หิวน้ำ”

“ค่า”

แม้เด็กชายกาลกมลจะเป็นคนโปรดในดวงใจ แต่ระยะเวลาอาทิตย์กว่า ๆ ที่อดีตนางโชว์ไม่ได้ฟังเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงทรัพย์สมุทรขณะเล่าถึงเรื่องราวสารพัดสารพันทั้งที่เคยฟังอยู่เกือบทุกวันก็ทำให้คเชนทร์รู้สึกคิดถึงปลาวาฬตัวน้อยเอามาก ๆ

“ลุงไม่ได้เจอปลาวาฬตั้งหลายวัน ปลาวาฬไปทำอะไรมาบ้างครับ ไหนลองเล่าให้ลุงฟังหน่อยได้ไหมเอ่ย” คเชนทร์ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็ก ๆ ใกล้กินนมกันเสร็จแล้ว ทรัพย์สมุทรดูดนมอึกสุดท้ายจนกล่องบุบบี้ ก่อนจะเอ่ยตอบอย่างฉะฉานเหมือนทุกครั้ง

“ปลาวาฬไปรับปลาทูกับคุณพ่อที่ทำงานค่ะ”

“ปลาทู?” คนฟังเลิกคิ้วพลางมองหน้าเจ้าของเรื่องเล่าอย่างงง ๆ ใช่ว่าที่ผ่านมาชายหนุ่มจะไม่เคยได้ยินชื่อนี้ผ่านหูมาก่อน แต่เพราะไม่เคยถามอีกฝ่ายเรื่อง ปลาทู ให้รู้แน่ชัด ภาพปลาทูนอนคอหักเบียดกันในเข่งจึงเที่ยวผุดขึ้นมาในหัวของคเชนทร์อยู่ร่ำไป

“ค่ะ” ปลาวาฬพยักหน้าแรงจนหางเปียทั้งสองกระตุกไปทางซ้ายที ขวาที “เมื่อวันก่อนปลาทูกับคุณพ่อต้องไปทำงานที่โรงงาน แล้วโรงงานอยู่ใกล้บ้าน คุณพ่อเลยขอให้คุณแม่พาปลาวาฬไปส่งที่โรงงานค่ะ”

“อ๋อ ครับ” จากแรกที่ยังสับสนกับคำว่า ปลาทู ของเด็กหญิง แต่พอลองตั้งใจฟังดี ๆ คเชนทร์ก็เห็นภาพหนุ่มน้อยใส่แว่นท่าทางสำรวมที่มักจะปรากฏตัวข้าง ๆ กายพ่อของเด็กหญิงไปเสียทุกครั้งที่เจอกัน... อ๋อ ปลาทูก็คือคุณทูนี่เอง

“คุณพ่อบอกว่า ที่คุณพ่อให้ปลาวาฬไปรอที่โรงงานเพราะคุณพ่ออยากให้ปลาทูกลับมานอนที่บ้านด้วยกัน แต่คุณพ่อไม่รู้จะทำยังไง คุณพ่อเลยให้ปลาวาฬไปชวนปลาทูให้คุณพ่อค่ะ”

หืม!?... คราวนี้ไม่ใช่คำว่า ปลาทูเสียแล้วล่ะที่ชวนงง แต่สิ่งที่คุณหนาวคุยกับลูกสาวต่างหากที่แปลกจนเจ้าของร้านดอกไม้รู้สึกสะกิดใจ

ตกลงคุณหนาวกับคุณทูไม่ได้เป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องกันหรอกเหรอ
นี่ปลาวาฬรู้หรือเปล่าว่าคุณพ่อ... เอ่อ...
แต่เรื่องจริงมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เขาคิดไปเองคนเดียวก็ได้

“เหรอครับ แล้วพอปลาวาฬไปรับคุณพ่อกับปลาทู หลังจากนั้นปลาวาฬทำอะไรต่อครับ”

“ทำหลายอย่างเลยค่ะ บางทีก็ไปบ้านปลาทูเพราะคุณพ่อต้องพาปลาทูไปเอาเสื้อผ้า บางทีก็ไปส่งปลาทูกลับบ้าน หรือบางทีคุณพ่อก็พาพวกเรากลับไปกินข้าวที่บ้าน พอกินข้าวเสร็จ ปลาวาฬกับปลาทูก็จะดู National Geographic กับ Animal Planet ไม่ก็ระบายสีเอลซ่า ไม่ก็เล่นจังก้าด้วยกันค่ะ” เด็กหญิงเล่าไปก็ยิ้มไป ดวงตาสุกใสเป็นประกายคู่นั้นชวนให้คนมองรู้สึกชื่นใจระคนเป็นห่วงอวลอยู่ในอก “ตอนก่อนนอนปลาทูจะอ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์ให้ปลาวาฬฟังค่ะ คุณพ่อบอกว่าปลาทูอ่านภาษาอังกฤษเก่งมาก เพราะอ่านทีไรปลาวาฬหลับทู้กที” เด็กหญิงทรัพย์สมุทรหัวเราะคิกคักกับตัวเอง

“เหรอครับ” คเชนทร์ยิ้มรับพลางเหลือบมองเวลาที่นั่งเล่นแมวอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะเลื่อนกรอบสายตากลับมามองเด็กหญิงผู้ร่าเริงตรงหน้าอย่างหนักอก ความรู้สึกเป็นห่วงทำให้เขานึกอยากถามปลาวาฬถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณหนาวกับ ปลาทูว่าแท้จริงแล้วเป็นเช่นไร แต่เพราะรู้ดีว่าเรื่องนี้ละเอียดอ่อนเกินกว่าที่คนนอกอย่างเขาควรก้าวก่าย คเชนทร์จึงหักห้ามใจพลางคิดจะเปลี่ยนเรื่องคุย ซึ่งนั่นก็พอดีกันกับที่เด็กหญิงเปรยความในใจขึ้น

“ปลาวาฬรักปลาทูมากเลยค่ะ”

“ลุงก็คิดว่าปลาทูน่าจะรักปลาวาฬมากเหมือนกันนะครับ” ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของใคร คเชนทร์จึงเลือกออกความเห็นในทางสร้างสรรค์และเป็นความจริงเท่านั้น

แม้ตัวเขาจะรู้จักกับ ปลาทูของปลาวาฬ เพียงผิวเผิน แต่ชายหนุ่มกลับสังเกตเห็นความรักและความอาทรของหนุ่มแว่นที่มีต่อเด็กหญิงผ่านการกระทำและความเอาใจใส่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าญาติมิตรหรือคนชิดใกล้ แน่นอนว่าเมื่อใครคนหนึ่งส่งมอบความรู้สึกจากใจ แรงสั่นสะเทือนของมันก็ทำให้คนรอบข้างสัมผัสได้แม้จะไม่ใช่ผู้รับโดยตรง

เด็กหญิงยิ้มรับอย่างภาคภูมิใจก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้เจ้าของร้านดอกไม้อ้าปากค้างนานหลายวินาที “คุณพ่อก็รักปลาทูนะคะ ปลาวาฬรู้”

หือ... คุณหนาวรัก ปลาทู?
คำว่า รัก ที่เพิ่งได้ยินนั้นคือรักแบบไหน?
ที่ปลาวาฬพูดมา มันหมายความว่ายังไง?

“อย่างนั้นเองเหรอครับ” คเชนทร์รับคำไปส่ง ๆ ทั้งที่ความคิดยังไม่ทันตกผลึก บทสนทนานี้มันผิดปกติที่ตรงไหน... หรือเพราะเขาแก่เกินไปเลยไม่เข้าใจความหมายที่เด็กหญิงต้องการสื่อสารได้จริง ๆ  

“ใช่ค่ะ คุณแม่บอกปลาวาฬว่าคุณพ่ออยากเป็นแฟนกับปลาทูแต่คุณพ่อยังเขินอยู่ คุณแม่เลยให้ปลาวาฬคอยช่วย เพราะถ้าคุณพ่อเป็นแฟนกับปลาทู ปลาทูก็จะมาอยู่กับปลาวาฬ ทีนี้ปลาวาฬก็จะได้เล่นกับปลาทูทุกวันเลย” อยู่ ๆ เด็กหญิงก็ชะโงกหน้าเข้ามาหาคเชนทร์แล้วป้องปากกระซิบกระซาบข้างหู “แต่คุณแม่บอกว่านี่เป็นภารกิจลับสุดยอด ปลาวาฬต้องห้ามบอกคุณพ่อกับปลาทูเด็ดขาด เพราะฉะนั้น ลุงเชนอย่าบอกใครนะคะ”

“คะ... ครับ”

Pinky swear ก่อนค่ะลุงเชน”

ต่อให้ไม่เข้าใจความหมายเต็มร้อย แต่เมื่ออีกฝ่ายยื่นปลายนิ้วก้อยเล็ก ๆ มาตรงหน้า คเชนทร์ก็ยอมเกี่ยวนิ้วสัญญากับเด็กหญิงโดยง่าย “โอเคครับ”

“โอเคค่ะ!” ทันทีที่อดีตนางโชว์รับปาก ทรัพย์สมุทรก็กอดอกยิ้มเผล่พลางยักคิ้วให้คนฟังอย่างภาคภูมิใจในความเก่งกาจไม่มีใครเกินของตัวเอง

และแล้ว ความพยายามวางตัวเป็นคนนอกของคเชนทร์ก็ถูกเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบทำลายลงด้วยความลับระดับชาติ ข้อมูลวงในที่เพิ่งได้ยินไปเมื่อสักครู่ทำให้อดีตนางโชว์นั่งอึ้งอยู่นานสองนานด้วยความสงสัยในวิสัยทัศน์ของครอบครัวสมัยใหม่ซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่ครอบครัวของเขาหยิบยื่นให้โดยสิ้นเชิง

••••••

เสียงเรียกเข้าคุ้นหูตอนสองทุ่มกว่าทำให้ผมรีบละสายตาจากเสื้อผ้าที่ผมกำลังจะพับใส่กระเป๋าเดินทาง... พี่หนาวเฟซไทม์มา!

“ฮัลโหลครับ” ผมวางมือจากสิ่งของที่จะพกติดตัวไปเที่ยวในทริปวันพรุ่งนี้แล้วกดรับสาย บนหน้าจอเป็นภาพเด็กหญิงปลาวาฬกำลังนอนอยู่บนเตียง แต่แทนที่ข้าง ๆ แก้มฝั่งหนึ่งจะเป็นตุ๊กตาหมีสีพาสเทลเหมือนทุกที คืนนี้คุณพ่อรูปหล่อกลับนอนเบียดจนตุ๊กตาตกกระป๋องไปเสียแล้ว

ฮือ พี่หนาวมุมเสย... ถ้าแอบแคปฯ หน้าจอตอนนี้ไว้แล้วเอาไปอวดเฟม คืนนี้ผมจะได้นอนไหมนะ

(ปลาทูขา) เสียงเรียกขานหวานหูของเด็กหญิงทำให้ผมหยุดคิดเรื่องอวดผู้ลงทันควัน ผมกวาดตามองใบหน้าเล็ก ๆ ของเจ้าวาฬน้อยบนหน้าจอด้วยความคิดถึง

เมื่อตอนเย็น แม้จะได้เจอหน้าพี่หนาวแว้บ ๆ ก่อนกลับบ้าน แต่เพราะวันนี้มีประชุมผู้บริหาร ท่าน HR Director จึงขอให้ผมกลับบ้านก่อน ไม่ต้องอยู่รอ เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะประชุมเสร็จกี่โมง นั่นจึงทำให้การไม่ได้ใช้เวลากับพี่หนาวยิ่งเศร้าคูณสองเพราะนอกจากจะต้องนั่งรถไฟฟ้าต่อมอไซค์กลับบ้านตามลำพังอย่างเหงา ๆ แล้ว ผมยังไม่ได้จี๋จ๋าใช้เวลาคุณภาพกับปลาวาฬไปอีก

เฮ้อ... ขนาดไม่ได้เจอหน้ากันแค่วันเดียว ผมยังโหยหาลูกสาวพี่หนาวอย่างหนัก แล้วถ้าโปรเจคนี้เสร็จ ผมจะทนคิดถึงแกยังไงไหว

“ครับ” ผมคลี่ยิ้มให้เด็กหญิงที่ยิ้มสวยที่สุดในโลกหนึ่งที ก่อนจะถามกลับด้วยความสงสัย “สองทุ่มกว่าแล้ว ปลาวาฬยังไม่นอนอีกเหรอครับ”

(ปลาวาฬนอนไม่หลับค่ะ) เจ้าวาฬน้อยว่าอย่างนั้นพลางทำหน้าบู้บี้เหมือนมีเรื่องกังวลใจ

พอเห็นแกดูไม่สดใส ผมก็อดย่นหัวคิ้วแล้วจ้องหน้าคนเป็นพ่อที่นอนอยู่ข้าง ๆ แกไม่ได้ ลุงแกฝีมือตกแล้วงั้นเหรอ “ทำไมอยู่ ๆ ปลาวาฬถึงนอนไม่หลับล่ะครับ”

เด็กหญิงครางพลางทำท่านึกอยู่ชั่วอึดใจ (ที่ปลาวาฬนอนไม่หลับเพราะคืนนี้ปลาทูไม่ได้มาเล่าแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ให้ปลาวาฬฟังก่อนนอนยังไงล่ะคะ)

โธ่ลูก... ทำไมหนูถึงน่ารักขนาดนี้นะ อาทูติดหนูจนจะไปไหนไม่รอดแล้วครับ  

“ถ้างั้นคืนนี้ให้คุณพ่ออ่านแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ให้ฟังก่อนดีไหมครับ” ถึงจะดีใจที่เจ้าวาฬน้อยติดผมแจ แต่ขืนผมผสมโรงดึงดราม่าไปกับแก คืนนี้สองพ่อลูกคงไม่ได้นอน

(แต่ปลาวาฬคิดถึงปลาทูนี่คะ ปลาวาฬอยากให้ปลาทูเป็นคนอ่านให้ฟัง) ผมถึงกับไปไม่เป็น ไม่รู้ว่าเด็กหญิงไปเรียนรู้วิธีพูดจาฉอเลาะแบบนี้มาจากไหน

หรือจะเป็น... นึกขึ้นมาแล้วก็อดเหลือบมองลุงไซด์ไลน์ไม่ได้
ไม่หรอก ต้องไม่ใช่พ่อสอนมาแน่ ๆ เยือกเย็นเป็นแผ่นน้ำแข็งอย่างพี่หนาว ไม่มีทางอ้อนใครบ่อย ๆ จนลูกสาวแอบจำแล้วทำตามอย่างแน่นอน

“เอาอย่างนี้นะ ถ้าคืนนี้ปลาวาฬยอมให้คุณพ่ออ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์ให้ฟัง อาทูจะซื้อของฝากจากหัวหินมาให้ปลาวาฬเยอะ ๆ เลยดีไหมครับ” ผมพยายามต่อรองอย่างสุดความสามารถเพราะอดห่วงเจ้าตัวเล็กไม่ได้ ขืนนอนดึกมาก ๆ พรุ่งนี้แกอาจจะง่วงจนงอแงไม่อยากตื่น แล้วคุณพ่อรูปหล่อจะเหนื่อยเสียก่อน

(ปลาวาฬไม่อยากได้ของฝากอ่ะค่ะ ปลาวาฬมีของเยอะแยะเต็มห้องแล้ว)

“ถ้าอย่างนั้น... เอาเป็นขนมดีไหมครับ อาทูรู้จักร้านขนมเจ้าอร่อยที่หัวหินหลายร้านเลยนะ”

เมื่อก่อนผมไปหัวหินบ่อย หนึ่งเลยเพราะพ่อผมชอบชวนลูก ๆ ไปรำลึกความหลังช่วงเพิ่งจีบแม่ติดใหม่ ๆ กันที่นั่น และสอง จากมหาลัยผม มันคือสถานที่ท่องเที่ยวสิ้นคิดที่เดินทางไปกลับสะดวกและถูกกว่าพัทยาเป็นไหน ๆ  

สมัยเรียน ผมกับเพื่อนมักจะนั่งรถไฟไปเดินเล่นตลาดโต้รุ่งกันคืนวันเสาร์ พอตลาดเลิกก็ยกขโยงกันไปนั่งร้องเพลง ตบยุงโต้รุ่งกันตรงชายหาด จากนั้นจึงค่อยไปม่อยหลับรอรถไฟขากลับตอนสาย ๆ ของวันอาทิตย์ แต่พอคบกับพี่บูม รายนั้นชอบเที่ยวป่าเที่ยวเขา ผมกับหัวหินเพื่อนเก่าเลยเริ่มห่าง ๆ กันไป แต่ผมมั่นใจว่า สามปีที่ไม่ได้ไปหัวหิน ไม่ได้ทำให้ความชำนาญในการเสาะหาของกินอร่อย ๆ มากำนัลเด็กหญิงของผมลดลง

“ไม่อะค่ะ” ปลาวาฬส่ายหัวดิก สีหน้าเหมือนมีอะไรอยู่ในใจของอีกฝ่ายทำให้ผมยอมแพ้

“ของฝากไม่เอา ขนมก็ไม่เอา... ถ้างั้นปลาวาฬบอกอาทูหน่อยได้ไหมครับว่าอาทูต้องทำยังไง คืนนี้ปลาวาฬถึงจะยอมหลับ”

ปลาวาฬยิ้มกรุ้มกริ่มราวกับถูกใจคำถามเมื่อครู่เป็นที่สุด เด็กหญิงเหลือบมองพ่อครู่หนึ่งก่อนจะหันมาช้อนตามองจ้องกันอย่างมาดหมาย (ถ้ากลับจากหัวหินแล้ว ปลาทูมานอนกับปลาวาฬทุกวันเลยได้ไหมคะ)

ฮะ!? เมื่อกี้ปลาวาฬว่าอะไรนะ?

“...เอ่อ...” ผมตกใจจนพูดอะไรไม่ออก เลยอาศัยจ้องชั้นเหนียงเล็ก ๆ ที่ยื่นออกมาจากใต้คางกระจุ๋มกระจิ๋มของเจ้าวาฬน้อยเพราะไม่กล้าเหลือบมองหน้าพ่อแก ผมไม่รู้ว่าลุงไซด์ไลน์จะคิดยังไง แต่ที่แน่ ๆ ผมก็ไม่ควรรับปากเด็กหญิงพล่อย ๆ ด้วยเรื่องสำคัญที่เกี่ยวพันกับพี่หนาวอย่างเลี่ยงไม่ได้

(นะคะปลาทู ปลาวาฬคิดถึงปลาทู ปลาวาฬอยากให้ปลาทูอ่านแฮร์รี่ พ็อ...) เจ้าวาฬน้อยพูดยังไม่ทันจบ คนเป็นพ่อก็กระซิบอะไรบางอย่างให้เด็กหญิงฟังจนเจ้าตัวหัวเราะคิกด้วยแล้วพยักหน้ารัว ๆ ด้วยความชอบใจ (คุณพ่อบอกว่า จริง ๆ คืนนี้คุณพ่อก็นอนไม่หลับเหมือนกันค่ะ แต่ถ้าปลาทูอยู่ด้วย คุณพ่อจะต้องนอนหลับปุ๋ยแน่ ๆ เลย)

ผมไม่รู้ว่าตัวเองเหวอจนเผลอทำหน้าตาตลก ๆ เบอร์ไหนออกไป ท่าน HR Director ในลุคกึ่งหลุดลุ่ยกึ่งลำลองถึงได้หลุดหัวเราะตามปลาวาฬไปอีกคน แต่สาบานได้เลยว่าตลอดเวลาที่ลุงแกขำ สายตาคม ทรงอำนาจคู่นั้นกลับจ้องมองกันอย่างจริงจังจนผมมั่นใจว่า ประโยคเมื่อกี้ เด็กหญิงไม่ได้พูดเล่น ๆ

บุญบาป แม่ครับ ผู้ชายคิดถึงน้องทู
เมื่อกี้ลุงไซด์ไลน์เพิ่งใช้ลูกสาวเป็นเครื่องมือบอกความในใจกับน้องทู!... โอ๊ย ใจน้องทูยุ่ยหมดแล้ว

แต่ผมจะฟินจนเซย์เยสสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เรื่องนี้มันเรื่องใหญ่!
การที่อยู่ ๆ ผมจะไม่กลับบ้านกลับช่องครั้งละนาน ๆ แปลว่า ความรู้สึกของทั้งผม ทั้งพี่หนาวจะต้องชัดเจน และเราต้องเห็นตรงกัน ไม่อย่างนั้นพี่เอิงกับไอ้สามจะต้องตามมาลากคอผมถึงคอนโดพี่หนาวภายในสามวันเจ็ดวันเด็ด ๆ

“เอ่อ... เรื่องที่ปลาวาฬชวนอาทูไปนอนที่บ้าน ขออาทูคุยกับคุณพ่อของปลาวาฬก่อนได้ไหมครับ”

คราวนี้เป็นผมเองที่ไม่ยอมละสายตาจากลุงไซด์ไลน์ อย่างน้อย ๆ ผมก็จะไม่ยอมพลาดสีหน้าและแววตาที่อีกฝ่ายแสดงออกในช่วงเวลาสำคัญ...  ต่อให้ตอนนี้ผมจะยังไม่รู้ว่าตอนนี้พี่หนาวกำลังคิดอะไรอยู่ แต่อีกเดี๋ยวผมคงจะได้รู้เรื่องราวทั้งหมดจากปากน่าจูบของลุงแก

(โอเคค่ะ กู๊ดไนท์!) พูดจบ เจ้าตัวเล็กก็กดตัดสายทันที ภาพและเสียงสุดท้ายที่ผมรับรู้ คือ ปลาวาฬกำลังหัวเราะด้วยน้ำเสียงสดใสพลางส่งหนังสือเล่มที่ผมอ่านค้างไว้ให้พ่อ

เฮ่ย! ไหงงั้นอ่ะ ผมยังไม่ได้คุยกับพี่หนาวเลยนะเฮ่ย!

ก่อนที่ผมจะงงกับทุก ๆ อย่างไปมากกว่านี้ ลุงไซด์ไลน์ตัวดีก็ส่งข้อความมาหาเพียงสั้น ๆ ซึ่งเมื่ออ่านข้อความนั้นแล้ว กลับเป็นผมที่ดันตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเสียเอง

“ไว้เราคุยกันเรื่องที่ปลาวาฬบอกทูพรุ่งนี้นะครับ คืนนี้พี่ขอกล่อมลูกก่อน ฝันดีครับ”

••• TBC ••


เราจะแจ้งว่า เราจะลงตอนต่อไปวันที่ 24 นะคะ
พอดีช่วงสองอาทิตย์นี้เราต้องเดินทาง เลยอาจไม่มีเวลาเขียนตอนต่อไป

ถ้าอ่านแล้วชอบ รู้สึกใช่ อยากกรีดร้องถึงลุงไซด์ไลน์ให้ก้องโลกก็อย่าลืมติดแท็ก
#ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก กับ #คันหิม เด้อ เราจะไปแอบส่อง อิอิ

No comments:

Post a Comment