#23
แต่นี้... จะหวังพึ่งใครไม่ได้อีก
ถูกแล้ว... ชีวิตดำเนินต่อไป
ความรัก... เก็บเหลือไว้ให้ตัวเองบ้าง
ชีวิตเธอมีไว้... เพื่อเธอ
เพื่อเธอ - หิน เหล็ก ไฟ
…………………………………………………………………………………………………………
“อืม”
เสียงครางเบา ๆ เหมือนแมวขี้เกียจกำลังบิดตัวดังขึ้นเมื่อเจ้าของร่างที่นอนราบอยู่บนโซฟาฟื้นคืนสติ
ร่างกายเกือบทุกสัดส่วนหนักอึ้งจนคเชนทร์เผลอโอดครวญทั้งที่ยังไม่ตื่นดี แต่ทันทีที่หางตาหันไปเห็นว่ามีใครอีกคนนั่งจ้องหน้าเขาคล้ายจะเอาเรื่อง
อดีตนางโชว์จึงรีบยันตัวขึ้นนั่งอย่างรีบร้อน
“ผมมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง”
เจ้าของร้านดอกไม้ถามพลางปลดยางรัดผมเหนือต้นคอออก สองมือได้รูปสางกลุ่มผมยุ่งตรงท้ายทอยอย่างเชื่องช้าก่อนจะค่อย
ๆ รวบเส้นผมตรงยาวประบ่าขึ้นเก็บทีละช่อ
“เมื่อกี้คุณหน้ามืด”
คำตอบที่ได้ฟังทำให้มือที่ง่วนอยู่หยุดชะงัก
คเชนทร์เสมองนาฬิกาบนผนังอย่างกังวล “ผมหลับไปนานหรือเปล่าครับ”
“ประมาณห้านาทีได้”
คนหมดสติร้องอ้อในใจก่อนจะเอ่ยอย่างมีมารยาท
“ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้คุณต้องลำบาก”
“เฮ่อ”
เสียงถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายของบุคคลซึ่งไม่น่าจะยอมมานั่งใกล้
ๆ หนำซ้ำยังใช้อากาศหายใจร่วมกันทำให้อดีตนางโชว์นึกถึงภาพบรรยากาศขณะร่วมโต๊ะอาหารของครอบครัวสุดประหลาดเมื่อตอนเย็น
ที่ผ่านมา
พ่อของเวลาไม่เคยแสดงท่าทีเป็นมิตรโดยเฉพาะกับเขา แต่ลึก ๆ แล้วก็ไม่น่าใช่คนเลวร้าย
เพราะถ้าเมื่อครู่ไม่ได้อีกฝ่ายช่วยไว้ คเชนทร์คงถูกทิ้งขว้างให้นอนสลบอยู่ข้างถนน...
สรุปว่าคน
ๆ นี้เป็นคนแบบไหนกันนะ?
ขณะที่ใจนึงใคร่ค้นหาคำตอบ
อีกใจกลับตระหนักว่าพวกเขาทั้งคู่ต่างเป็นเพียงคนแปลกหน้าของกันและกัน ซึ่งทันทีที่อนุสติระลึกรู้ถึงสถานะคนอื่นคนไกลของธาม
กล่องเล็ก ๆ ที่ซุกซ่อนความลับดำมืดภายในใจคเชนทร์ก็ถูกปลดล็อกแล้วเปิดออกโดยที่เจ้าของไม่ทันรู้ตัว
“จริง
ๆ แล้วผมใช่คนกรุงเทพฯ ” ชายหนุ่มเอ่ยเบา ๆ พลางหวนนึกถึงสถานที่แห่งความทรงจำซึ่งมีเพียงแต่ตัวเขาเท่านั้นที่รู้จัก
“ตอนอายุสิบห้าผมหนีออกจากบ้านเพราะพ่อไม่ยอมให้กลับไปเรียนต่อ”
“คุณรู้ไหมว่าทำไมพ่อผมถึงห้ามไม่ให้ผมไปโรงเรียน”
ธามปรายตามองคนพูดอย่างงง ๆ เมื่อจู่ ๆ คเชนทร์ก็หัวเราะร่วนในลำคออย่างไม่มีสาเหตุ
“เพราะพ่อยอมมีลูกโง่ ๆ ดีกว่าจะยอมให้ชาวบ้านรู้ว่าผมเป็นพวกวิปริตผิดเพศ”
“พอได้ยินคำว่าอายจากปากพ่อ
ผมก็ตัดสินใจหนีเข้ากรุงเทพฯ เดี๋ยวนั้นเลย... ตอนนั้น ใจผมคิดแค่ว่า
ถ้าประสบความสำเร็จแล้วมีเงินมาก ๆ พ่อกับแม่คงจะเลิกอายเสียทีที่มีลูกอย่างผม”
เจ้าของร้านดอกไม้ยิ้มเยาะตัวตนไร้เดียงสาในอดีต “หึ! กว่าจะรู้ว่าตัวเองโง่อย่างที่พ่อบอกก็สายไปแล้ว”
“ตอนมาอยู่กรุงเทพฯ
ใหม่ ๆ ตัวผมเล็กเหมือนเด็กประถมแถมยังเรียนจบแค่ป.หก ผมเลยสมัครงานได้แค่ไม่กี่อย่าง”
คเชนทร์นิ่งนึกพลางละมือจากยางรัดผม เขาปล่อยให้กลุ่มไหมสีดำเงางามสยายลงเคลียบ่า “เพราะไม่อยากเป็นเด็กปั๊มแถมไม่ถนัดแบกหาม
ผมเลยไปสมัครเป็นเด็กล้างจาน แต่เพราะผมเป็นเด็กนี่แหละเลยถูกเขาโกงเอา”
แม้อายุการทำงานในตำแหน่งเด็กล้างจานจะสั้นจนน่าใจหาย
แต่เพราะนั่นคือประสบการณ์แรกของการเป็นฟันเฟืองเล็ก ๆ ในโลกทุนนิยมของเด็กต่างจังหวัดวัยเพียงสิบห้า
อดีตนางโชว์จึงจดจำความขมขื่นของมันได้ดี
จานแต่ละใบ
ช้อนแต่ละคันที่ฝ่ามือเล็ก ๆ คู่นั้นเพียรขัดถูให้สัมผัสไม่แตกต่างจากถ้วยชามที่เคยล้างตอนอยู่บ้าน
แต่ความสุขใจที่ได้หลังจากนั้นกลับผิดกันลิบลับ หนำซ้ำยิ่งเมื่อสุดท้ายนายจ้างไม่ได้ให้เงินค่าแรงตามที่ตกลงกันไว้
การถูกฉ้อโกงด้วยน้ำมือของผู้ใหญ่ก็เร่งรัดให้เด็กหนุ่มมองเห็นสัจธรรมของการดำรงชีวิตในเมืองฟ้าอมรภายในระยะเวลาอันสั้น
ถึงอย่างนั้น
นับว่าฟ้ายังเมตตาที่ ข้าง ๆ กายเขายังมีอำนวย...
“โชคดีที่ตอนหลังพี่นวยช่วยฝากงานให้ที่คาเฟ่ที่แกร้องเพลงอยู่”
พูดมาถึงตรงนี้ อดีตนางโชว์ก็คลี่ยิ้มด้วยความซาบซึ้งเมื่อใบหน้าเปื้อนยิ้มของอำนวยปรากฏขึ้นในห้วงความทรงจำ
“เงินเดือนไม่เยอะหรอก แต่ทิปดี ผมเลยพอเก็บเงินได้บ้าง”
จากเดิมที่คิดว่าจะรีบขอตัวกลับบ้าน
แต่ยิ่งฟัง ธามก็ยิ่งชะงักงัน ชายหนุ่มปล่อยให้เรื่องราวในอดีตของเจ้าของร้านดอกไม้โลดแล่นผ่านโสตประสาทไปเรื่อย
ๆ โดยไม่คิดขัดจังหวะ
“ผมทำอยู่กับพี่นวยได้พักนึง
ผมก็รู้ตัวว่าผมอยากจะเป็นนางโชว์ แต่ก็จนปัญญาเพราะไม่รู้ว่าจะไปสมัครที่ไหน แต่สุดท้ายพี่นวยก็หางานในคาบาเร่ต์ให้ผมจนได้”
พอนึกถึงวันแรกที่ตนเองต้องเปลี่ยนงาน คเชนทร์ก็คลี่ยิ้มบาง
อำนวยปฏิบัติกับเขาราวกับเป็นน้องชายตัวเล็ก
ๆ ที่เพิ่งจะไปโรงเรียนเป็นครั้งแรก เพราะนอกจากจะยอมฝืนตัวเองตื่นก่อนเวลาปกติหลายชั่วโมง
นั่งรถเมล์ไปส่งเขาถึงหน้าคาบาเร่ต์แล้ว หลังจากนั้นไม่กี่เดือน เจ้าของร้านดอกไม้ก็เพิ่งรู้จากปากเพื่อนร่วมงานว่า
วันนั้นพี่ชายผู้นี้ยังยอมเสียรายได้จากการร้องเพลงหนึ่งคืนเพื่อคอยตามแอบดูว่าตลอดชั่วโมงทำงาน
เขาโดนใครรังแกและเอาเปรียบหรือไม่...
กระทั่งต่อเมื่อวางใจว่าเด็กหนุ่มเอาตัวรอดในคณะได้แล้ว
อำนวยก็ยังคงไต่ถามถึงการทำงานในแต่ละวันโดยไม่มีตกหล่น
“เข้าไปตอนแรก
ผมไม่ได้เป็นนางโชว์เลยหรอกนะ เพราะผมยังเด็ก นมก็ไม่มี เต้นก็ไม่เป็น แต่ทำไงได้ล่ะ
ใจมันชอบทางนี้นี่นา” คเชนทร์นิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ให้กับช่วงเวลาอันยาวนานและน่าเหน็ดเหนื่อยก่อนจะประสบความสำเร็จ
“ผมยกของ ช่วยเขาทำนั่นทำนี่ พอว่างหน่อยผมก็หัดเต้นตามพวกแดนเซอร์แล้วก็ต่อท่าอยู่คนเดียว
ผิดบ้างถูกบ้าง ผมก็ทำ ๆ ไป โชคดีมีแดนเซอร์ออก ผมเลยได้เลื่อนขั้นจากเด็กขนของเป็นแดนเซอร์หางแถว
ตอนนั้นแค่ได้แต่งหน้า ได้แต่งตัวสวย ๆ แล้วออกไปเต้นให้คนอื่นดู
ผมก็มีความสุขแล้ว”
ชีวิตของคเชนทร์ไม่เคยมีทางลัด
กว่าจะได้เป็นแดนเซอร์ เขาต้องอดทนทำทุกอย่างรวมถึงแอบฝึกฝนการเต้นตามลำพังด้วยวิชาความรู้ที่ลักจำคนอื่นมา
จวบจนเมื่อได้ขึ้นเวทีสมใจ เด็กหนุ่มกลับโดนเพื่อนแดนเซอร์ด้วยกันล้อว่าเป็นกะเทยมีกล้าม
หนำซ้ำฝ่ามือยังหยาบยิ่งกว่ากระดาษทราย ถึงฟังแล้วจะไม่ชอบใจอยู่บ้าง
แต่พอคิดถึงเสื้อผ้ากับเครื่องประดับสวย ๆ คิดถึงแสงไฟกับเสียงปรบมือโห่ร้องของคนดู
คเชนทร์ก็ลืมคำพูดร้าย ๆ ไปหมดสิ้น
“แต่พอทำไปนาน
ๆ เป็นแค่แดนเซอร์ก็ไม่พอ”
จริงอยู่ว่างานแดนเซอร์นั้นดีกว่าตอนเป็นเด็กยกของเป็นไหน
ๆ แต่เมื่อทำไปได้สักพัก คเชนทร์ก็ต้องย้ายออกจากหอที่เคยอยู่ด้วยเพราะไกลจากที่ทำงานใหม่
เมื่อต้องอยู่ห่างจากที่พึ่งทางใจอย่างอำนวย เด็กหนุ่มก็อดคิดไม่ได้ว่า การต้องเต้นอยู่หลังเงาคนอื่นไปตลอดชีวิตช่างไม่คู่ควรต่อการเสียสละครั้งนี้เอาเสียเลย
“ตอนนั้นใจผมท้อเพราะลึก
ๆ แล้วผมอยากเป็นนางโชว์ อยากเด่น มีเพลงโชว์เดี่ยว แต่พอคิดจะตัดใจ ผมก็กลัวว่าถ้าออกไปทั้งที่ยังไม่ลองทำให้เต็มที่
พี่นวยก็จะพลอยเสียชื่อไปด้วย” เจ้าของเรื่องรวบปอยผมที่ปรกตาทัดหูพลางยิ้มมุมปากอย่างภาคภูมิใจ
“ผ่านไปสองปีสุดท้ายก็ผมสมหวัง ผมได้เป็นตัวหลัก มีโชว์ มีเพลงเป็นของตัวเอง
แล้วผมก็เริ่มดัง”
เล่ามาถึงตรงนี้
อดีตนางโชว์ก็เงียบไป เรื่องราวที่ถูกเล่าเพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ กับแววตาเจ็บปวดระคนหมองเศร้าของคู่สนทนาทำให้ธามรู้สึกปั่นปวนจนอยู่ไม่สุข
“ดังแล้วยังไง”
“ดังแล้วก็เหลิงเท่านั้นสิคุณ
จะมีอะไร” อดีตนางโชว์ปรายตามองเสี้ยวหน้าของคนฟังก่อนจะแค่นหัวเราะอย่างขมขื่น “ตอนเป็นแดนเซอร์
ผมมัวแต่น้อยใจเพราะทุกคนเอาแต่มองตัวหลัก แต่พอได้เป็นนางโชว์ ถึงผมจะกลายเป็นเป้าสายตาของใครต่อใครก็จริง
แต่คนที่หวังดีกับผมกลับแทบไม่มี”
ทุก
ๆ แวดวงการทำงานมีเรื่องขัดแย้งและการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น กระทั่งในคณะคาบาเร่ต์เล็ก
ๆ ก็ไม่เว้น แม้คเชนทร์จะวางตัวเป็นกลางอีกทั้งยังเป็นมิตรกับทุกคนมาโดยตลอด แต่การเป็นแดนเซอร์ที่ดี
ขยันซ้อม ขยันเต้น และมุ่งมั่นจริงจังจนสามารถไต่เต้าจากเด็กยกของจนขึ้นเป็นนางโชว์ได้กลับกลายเป็นข้อหาที่เพื่อนร่วมงานบางคนใช้เป็นประเด็นเล่นงานเขายามอยู่ลับสายตากัน
อำนวยเคยบอกเขาว่าเราห้ามปากคนอื่นไม่ได้
แต่เราห้ามหูตัวเองไม่ให้ฟังได้ คเชนทร์จึงเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ชายหนุ่มทุ่มความสนใจทั้งหมดไปกับเรื่องงานโดยไม่เปลืองน้ำลายตอบโต้
แต่ถึงจะหลีกเลี่ยงปัญหาคนในได้ก็จริง สุดท้ายกลับมีบททดสอบที่ร้ายกาจและจัดการได้ยุ่งยากยิ่งกว่ารอท่าอยู่...
ความรัก
“ผู้ชายที่เข้าหาผมส่วนใหญ่ก็เข้ามาเพราะหน้าตาผมกันทั้งนั้น
แต่ไม่มีใครจริงใจสักคน”
“คุณโดนหลอกบ่อยเหรอ”
เจ้าของร้านขนมขมวดคิ้วพลางจ้องหน้าอดีตนางโชว์ด้วยสายตาทึ่งระคนตำหนิ
ริมฝีปากได้รูปของคเชนทร์ดัดโค้งขึ้นเล็กน้อยหลังเจ้าตัวสังเกตเห็นคู่สนทนาทำท่าแปลกใจจนดูตลก
“ครั้งเดียว... ผมโดนหลอกแค่ครั้งเดียว แต่ครั้งเดียวก็ทำให้ผมหมดตัวเลยนะ
เงินที่หามาได้เยอะก็จมหายไปกับผู้ชายคนนั้นทุกบาททุกสตางค์ แต่ที่น่าเจ็บใจที่สุดคืออะไรรู้ไหมคุณ”
“เขามีกิ๊กเหรอ”
“หึ! น้อยไปสิ คนเลวน่ะเลวได้มากกว่าที่คุณคิดเยอะ”
คเชนทร์ปรารภเสียงอ่อนพลางถอนหายใจ “คงเพราะเขาเป็นแฟนคนแรกล่ะมั้ง ผมเลยยอมให้เขาหลอก
ยอมให้เขามีคนอื่น แถมยังยอมให้เขาตบตีอยู่ตั้งเกือบปีแน่ะ”
การต้องปิดบังตัวตนจากบุพพการีทำให้เด็กชายคเชนทร์ไม่กล้าคิดเรื่องความรัก
กระทั่งภายหลังจากได้ลองใช้ชีวิตอิสระในเมืองหลวงแล้วก็ตาม ไม่มีสักครั้งที่เด็กหนุ่มจะนั่งล้อมวงสนทนาพูดคุยเรื่องรัก
ๆ ใคร่ ๆ อย่างที่ใคร ๆ ชอบทำกัน เขาจึงไม่ทันตระหนักว่าความสัมพันธ์หวานปนขมขื่นที่ชายคนรักยัดเยียดให้ในช่วงเดือนที่สามหลังจากตกลงคบหานั้น
แท้จริงแล้วเป็นเพียงความรักลวง ๆ
ทว่ากว่าจะรู้ตัวว่าความสงบสุขเพียงชั่วขณะไม่จำเป็นต้องแลกด้วยบาดแผลและรอยฟกช้ำ
เงินก้อนใหญ่ที่ตั้งใจเก็บหอมรอมริบไว้สำหรับการผ่าตัดแปลงเพศก็ค่อย ๆ ร่อยหรอหลังจากผู้ชายคนนั้นช่วยผลาญ...
ใช่ว่าคเชนทร์จะไม่เคยปฏิเสธ แต่ใครล่ะจะเชื่อว่า เพียงเพราะไม่ได้เงินแค่ไม่กี่พันบาทดั่งใจหมาย
อีกฝ่ายถึงกับต่อยเขาจนผล็อยหลับกลางอากาศมาแล้ว
“คุณก็โง่จริง
ๆ น่ะแหละ เป็นคนดี ๆ ไม่ชอบ ชอบเป็นกระสอบทราย”
ลองถ้าใครสักคนมาพูดจาแบบนี้ใส่หน้าตัวเขาในอดีต
เชื่อเถอะว่าคน ๆ นั้นจะต้องถูกตัดออกจากสารบบชีวิตไปตลอดกาล แต่เมื่อผ่านความชอกช้ำมาได้
คเชนทร์จึงเพียงแค่ยักไหล่พลางส่ายหัวอย่างขำ ๆ เมื่อได้ฟังคำพูดตอกย้ำอย่างเจ็บแสบเมื่อครู่
“ก็จริงของคุณ
คิดดูสิ ขนาดผมจับได้ว่าเขาพาผู้หญิงมาเอากันที่ห้อง แทนที่เขาจะสำนึก
เขากลับกระทืบผมจนต้องเข้าโรง’บาลไปนอนให้หมอหยอดน้ำข้าวต้มอยู่หลายวันเพราะผมหาเรื่องผู้หญิงที่เขาพามากกบนเตียงตัวเอง”
จังหวะที่คเชนทร์กำลังพูดอยู่นั้น
แมวหน้ากากที่ผลุบหายเข้าไปหลบหลังตู้ก็ค่อย ๆ ย่องเข้ามาหาด้อม ๆ มอง ๆ ใกล้ ๆ ทั้งสองหนุ่ม
เจ้าของร้านดอกไม้จึงอุ้มมันขึ้นมานอนบนตักพลางเกาขนนุ่มนิ่มใต้คางเบา ๆ จวบจนได้ยินลูกพี่ส่งเสียงครางในลำคอคล้ายกับชอบใจ
เมื่อนั้น เรื่องราวในอดีตก็ถูกสานต่อ “แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุที่เขาเลิกกับผมหรอกนะ”
“โดนไปขนาดนั้น
คุณยังคิดไม่ได้อีกเหรอ”
“อืม
ผมถึงได้บอกว่าผมโง่ไงล่ะ” คเชนทร์ก้มลงมองสีหน้าเปี่ยมสุขของก้อนขนสีดำบนตักพลางหัวเราะขื่น
“พอผมเงินหมดนั่นแหละ เขาถึงหายไป แทนที่จะดีใจ ผมกลับขังตัวอยู่แต่ในห้อง วัน ๆ
เอาแต่ร้องไห้ ข้าวก็ไม่กิน นอนก็ไม่นอน งานการก็ไม่ไปทำ พอขาดงานบ่อย ๆ เข้า เถ้าแก่ก็เรียกไปตักเตือนอยู่สองสามครั้ง
สุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหว เลยไล่ผมออก”
ตอนคบกัน
ต่อให้ทั้งซ้อมทั้งข่มขู่คเชนทร์หนักมือแค่ไหน ผู้ชายคนนั้นก็จะยังพร่ำคำรักกรอกหูเขาทุกวัน
ในขณะที่คเชนทร์ไม่เคยปริปากพูดคำหวานเลยสักครั้ง แต่แล้วเมื่ออีกฝ่ายหายจากชีวิตไป
อดีตนางโชว์ก็เพิ่งเข้าใจว่า คนที่ไม่เคยเอ่ยคำว่ารักอย่างเขากลับรักและลุ่มหลงคนหลอกลวงพรรค์นั้นอย่างสาหัสสากรรจ์จนไม่เป็นอันใช้ชีวิต
อำนวยรู้ข่าวเรื่องที่เขาโดนทิ้งหลังจากโดนเจ้านายเรียกไปเตือนครั้งแรก
ความที่เป็นห่วงน้องชายต่างสายเลือดจนไม่เป็นอันกินอันนอน ผู้มีพระคุณจึงหอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่ดูแล
และคอยประคับประคองจนน้องรักกลับไปทำงานได้ แต่เมื่อนักร้องคาเฟ่จากไป คเชนทร์ก็หมกตัวอยู่บนที่นอน
กินน้ำตาต่างข้าวอีกเหมือนเดิม เดือดร้อนให้อำนวยต้องมาพาเขากลับไปอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
“ช่วงที่ผมโดนไล่ออกมันเป็นช่วงเดียวกับวิกฤตต้มยำกุ้ง
ผับ บาร์ คาบาเร่ต์ปิดกันเป็นว่าเล่น
พวกนางโชว์กับแดนเซอร์บางคนที่ผมเคยรู้จักก็โดนลอยแพกันยกแก๊ง ทุกคนเลยแย่งงานกันจนผมหางานไม่ได้
พออยู่ว่าง ๆ ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ผมก็ยิ่งฟุ้งซ่านจนหลัง ๆ ก็เริ่มสติแตก
ตอนนั้นผมคิดแค่ว่าผมต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้แฟนกลับมา
สุดท้ายผมเลยกินยาฆ่าตัวตายเพราะคิดว่าถ้าเขารู้
เขาต้องยอมใจอ่อนแล้วกลับมาอยู่กับผมแน่ ๆ ”
ก่อนจะตัดสินใจคิดสั้น
คเชนทร์มักจะครุ่นคิดกังวลจนนอนไม่ค่อยหลับ ยิ่งช่วงไหนที่อำนวยไม่อยู่ห้องเพราะต้องไปทำงาน
หรือออกไปทำธุระข้างนอกครั้งละหลายชั่วโมง ชายหนุ่มก็ยิ่งควบคุมตัวเองไม่ให้คิดถึงเรื่องชวนหดหู่แทบไม่ได้
ผลคือ บางครั้งเขาจะนั่งเหม่อมองผนังห้องนิ่ง ๆ ครั้งละนาน ๆ ไม่ก็นอนขดอยู่บนพื้นห้อง แล้วโอบกอดตัวเองเอาไว้อย่างนั้นจนกว่าอำนวยจะกลับมา
กระนั้น
อยู่มาวันหนึ่ง ฝาผนังกับพื้นห้องก็เสื่อมมนต์ขลัง เขาจึงตัดสินใจกล่อมให้ตัวเองหลับตาลงเสีย
รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ฟื้นขึ้นในโรงพยาบาลพร้อมอาการเจ็บร้าวเป็นทางตั้งแต่คอเรื่อยลงไปอันเป็นผลจากการสวนสายยางเพื่อล้างท้อง
แต่ความเจ็บปวดทางกายก็หายวับไปในพริบตาเมื่อต้องทนเห็นอำนวยร้องไห้ให้กับความโง่เขลาของตัวเขาเอง
เรื่องที่คเชนทร์เพิ่งเล่าออกมานั้นทำให้ธามนิ่งไปพักใหญ่...
เขาไม่เคยรู้ว่าคนที่คลี่ยิ้มให้เวลาได้อย่างอ่อนโยนไปเสียทุกครั้ง
จะเคยมีอดีตที่เจ็บปวดและโง่เขลาถึงเพียงนี้
“เขาไม่มา...
ไม่เคยมา”
อดีตนางโชว์ถอนหายใจพลางเลื่อนสายตาไล่มองสายไฟจากมุมเพดานฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่ง
จากนั้นจึงกะพริบตาปริบ ๆ พร้อมกับเปรยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “คนเดียวที่มาเยี่ยม
มาอยู่กับผมทุกวันคือพี่นวย พี่นวยร้องไห้ทุกครั้งที่ผมร้องไห้
พอเห็นแกร้องไห้เพราะสงสารผมมาก ๆ เข้า ผมก็คิดได้ พอออกจากโรงพยาบาล
พี่นวยก็พาผมไปฝากฝังกับเจ๊”
“เจ๊?”
ธามเลิกคิ้วพลางมองหน้าคเชนทร์งง ๆ เพราะตามบทสนทนาไม่ทัน
“เจ๊โจโจ้
แกเป็นเจ้าของคาบาเร่ต์ที่รับผมเข้าทำงาน” คเชนทร์เบือนหน้ามองคนข้าง ๆ
แล้วคลี่ยิ้มบาง ๆ เคลือบน้ำตาให้ “นอกจากพี่นวยแล้ว เจ๊ก็เป็นอีกคนที่ผมรักและเคารพเหมือนพ่อแม่
แกคอยช่วยผมจนผมกลับมาเป็นนางโชว์ได้อีกครั้ง”
แม้อำนวยกับโจโจ้จะถือเป็นผู้มีพระคุณของคเชนทร์ด้วยกันทั้งคู่
แต่ถ้าให้นิยามความสัมพันธ์ของเขาที่มีต่อพี่ทั้งสองคนแล้ว อำนวยคงเป็นครอบครัว ขณะที่รายหลังคือบุคคลต้นแบบที่เขาอยากดำเนินตามรอยเท้าให้จงได้
แรกที่รู้จักโจโจ้ผ่านคำบอกเล่าของอำนวย
คเชนทร์เข้าใจว่าอีกฝ่ายคือชายหนุ่มเจ้าสำราญผู้เป็นศูนย์กลางของงานสังสรรค์ อีกทั้งยังเป็นขวัญใจของผองเพื่อน
แต่เมื่อได้พบตัวจริง อดีตนางโชว์ก็ตระหนักว่า
สิ่งที่เคยได้ยินมาเกี่ยวกับโจโจ้เป็นเพียงเศษเสี้ยวของความน่าอัศจรรย์ที่แฝงอยู่ในร่างของเจ้านายคนใหม่ของเขาเท่านั้น
หลายครั้งที่การตัดสินใจของโจโจ้สอนให้เขารู้จักการคิดนอกกรอบ
กล้าลองเสี่ยงกระโจนไขว่คว้าโอกาส
น้ำใจและการช่วยเหลือที่อีกฝ่ายมอบให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนก็ทำให้เขาเริ่มเผื่อแผ่สิ่งที่เขาพอมีให้คนอื่น
ๆ มากขึ้น
การเป็นนาย
เป็นพี่ เป็นเพื่อน รวมถึงเป็นผู้ปกครองที่ดีที่โจโจ้แสดงให้เห็นมาโดยตลอดทำให้คเชนทร์รู้จักการวางตัวกับทุก
ๆ คนได้อย่างเหมาะสม
แต่เรื่องที่คเชนทร์รู้สึกขอบคุณโจโจ้เป็นที่สุดเห็นจะเป็นตอนที่เขากลับมาจากบ้าน
ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ชายคนนี้คอยเตือนสติ คนที่ไม่มีแม้วุฒิมอต้นอย่างเขาคงไม่ขวนขวายกลับไปเรียนจนพบศักยภาพด้านอื่น
ๆ ของตัวเอง
“แล้วรอบนี้คุณหายโง่หรือยัง”
คเชนทร์หัวเราะออกมาเบา
ๆ เพราะเข้าใจความหมายของคำถามเมื่อครู่เป็นอย่างดี “เรื่องผู้ชายน่ะผมหายขาด
ผมไม่คบใครอีกเลยเพราะผมไม่อยากโง่อีก” พูดมาถึงตรงนี้
เสียงหัวเราะก็หยุดลงแบบดื้อ ๆ ชายหนุ่มก้มลงมองเจ้าแมวตาปรือที่ใกล้จะหลับคาตักเต็มที
จากนั้นจึงถอนหายใจพรู “แต่เรื่องครอบครัว ผมยังโง่ดักดานเหมือนเดิม”
“ยังไง”
ธามเอนหลัง ทิ้งน้ำหนักพิงพนักโซฟาแล้วกอดรอฟังอย่างตั้งใจ
“พอได้กลับมาโชว์อีก
เป้าหมายในชีวิตผมก็เปลี่ยน ถึงเงินจะเข้ามาเยอะ
แต่ผมเลือกที่จะกินอยู่อย่างประหยัดเพราะอยากเก็บเงินให้ได้มาก ๆ
ผมจะได้กลับไปหาพ่อกับแม่เร็ว ๆ ตอนนั้นตั้งใจว่าถ้าเก็บเงินได้สักล้านสองล้าน
ผมก็จะลาออกแล้วกลับไปอยู่บ้านเสียที แต่พอเข้าปีที่หก พี่นวยก็ป่วยเป็นมะเร็ง
ผมเลยเอาเงินที่ผมมีเกือบทั้งหมดไปช่วยแก ยื้อได้อยู่สองปี แกก็เสีย”
หลังจาก
‘มาม่าช่า’ กลับมาสร้างชื่อเสียงให้กับคณะคาบาเร่ต์ของโจโจ้ได้ไม่ถึงปี
คเชนทร์กับเจ้านายคนใหม่ก็ช่วยกันหว่านล้อมจนอำนวยยอมลาออกจากคาเฟ่แล้วย้ายมาทำงานที่คาบาเร่ต์เสียด้วยกัน
เมื่อโรคร้ายแสดงอาการ อดีตนางโชว์จึงสามารถดูแลผู้มีพระคุณได้ทันท่วงที ทว่าต่อให้พวกเขาจะขยันเทียวเข้าเทียวออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น
แต่ร่างกายของอำนวยกลับยอมแพ้ไปทั้ง ๆ ที่หัวใจยังฮึดสู้
แม้จะเตรียมใจไว้ล่วงหน้า
แต่การตายของผู้ที่เป็นดั่งบุพพการีคนที่สองก็ส่งผลกระทบต่อจิตใจของคเชนทร์เป็นอย่างมากทั้งในแง่ของการสูญเสียและการเตือนสติให้ระลึกรู้ถึงความไม่เที่ยงแท้ของสังขาร
อำนวยตายตั้งแต่อายุเพียงสี่สิบสอง
แล้วพ่อกับแม่ของเขาที่แก่กว่านั้นราว ๆ สิบปีล่ะ พวกท่านจะเป็นอย่างไรบ้าง?
คิดได้ดังนั้น
คเชนทร์จึงมุมานะทำงานหลักและงานเสริมจนเต็มเวลา หนึ่งก็เพื่อต้องการเยียวยาความเศร้าโศกหลังอำนวยลาจากโลกนี้ไป
และอีกส่วนก็เพื่อเก็บเงินให้ได้สักก้อนก่อนอายุสามสิบ
“อืม”
แววตาเจ็บปวดของธามขณะที่ฟังเรื่องของอำนวยทำให้คเชนทร์นึกถึงบาดแผลของอีกฝ่าย
ชายหนุ่มจึงรีบเบี่ยงประเด็นเพราะไม่อยากกวนน้ำให้ขุ่น “พอไม่มีเงิน
ผมก็ต้องหาใหม่ แต่หลังฟองสบู่แตก เงินก็ดันเฟ้อ เงินเก็บสองล้านเลยไม่พอ”
“แล้วคุณทำยังไง”
“ผมก็ค่อย
ๆ ทำ ค่อย ๆ เก็บเงินไปเรื่อย ๆ ” คเชนทร์อมยิ้มบางเบาเมื่อเห็นว่าลูกพี่หลับคาตักของเขาเสียแล้ว
“แต่สุดท้ายผมก็เพิ่งรู้ว่า ผมใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตเพื่อหาเงิน
แต่พอได้เงินมาจริง ๆ คนที่ผมอยากให้อยู่ใช้เงินด้วยก็ตายหมดเรียบ”
แม้ที่สุดแล้วอดีตนางโชว์จะคิดได้
แต่หลังจากหอบหิ้วความคาดหวังว่าจะกลับไปตั้งต้นใหม่ที่ถิ่นฐานบ้านเกิด เพื่อต้องพบว่าสถานที่ที่ตนคุ้นเคยในวัยเยาว์ไม่หลงเหลือสิ่งใดให้อาลัยอีกต่อไป
ทั้งพ่อและแม่ที่ตายจาก รวมถึงบ้านไม้ยกพื้นใต้ถุนสูงหลังเดิมที่กลายเป็นบ้านสองชั้นครึ่งไม้ครึ่งปูนสีแสบสันยิ่งกว่าริ้วสายรุ้งตามงานวัด
เมื่อนั้น ชายหนุ่มก็พลันประจักษ์ถึงอาการเสียศูนย์ และหมดสิ้นทุกสิ่งอย่างจนแทบจะล้มทั้งยืน
“พ่อแม่คุณ...?”
และแล้วธามก็เข้าใจ นี่เองคือเหตุผลที่ทำให้เจ้าของร้านดอกไม้ร้องไห้จนสลบ... ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง
เขาจะยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหรือไม่
“อืม”
เจ้าของร้านดอกไม้ก้มหน้ามองพื้นทว่าสายตาเลื่อนลอยคู่นั้นกลับไม่ได้จับจ้องสิ่งใดเป็นพิเศษ
“เมื่อสิบสองปีก่อนผมกลับไปที่บ้าน แต่บ้านที่ผมเคยอยู่กลับกลายเป็นบ้านของคนอื่นไปแล้ว”
“แล้วคุณรู้ได้ไงว่าพ่อแม่คุณไม่อยู่แล้ว
เขาอาจจะแค่ย้ายไปอยู่ที่อื่นก็ได้”
“ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อเหมือนกัน
แต่พอญาติห่าง ๆ พาผมไปไหว้ที่เก็บอัฐิของพ่อกับแม่ที่วัด ผมก็ต้องยอมรับความจริงว่าพวกท่านไม่อยู่แล้ว”
คเชนทร์ดึงปกเสื้อเชิ้ตขึ้นซับน้ำตา “พ่อผมตายตั้งแต่ผมมากรุงเทพฯ ได้แค่สองปี
ส่วนแม่ผมท่านเพิ่งตายตอนก่อนผมกลับไปบ้านได้แค่ไม่กี่เดือน”
อดีตนางโชว์สะอื้นเสียงดังจนลูกพี่ที่นอนอยู่บนตักยังลุกหนีในขณะที่ธามเองก็เริ่มนั่งไม่ติด
แต่แทนที่จะหลบฉากเอาตัวรอดเหมือนเหมียวเจ้าถิ่น ชายหนุ่มกลับเพียงแค่เดินไปหยิบกล่องทิชชูบนโต๊ะกินข้าวแล้วรีบกลับมานั่งตามเดิม
“อะคุณ”
สิ้นเสียง กล่องทิชชูก็ถูกยัดใส่มือของอดีตนางโชว์อย่างประดักประเดิด
“ถ้าผมกลับบ้านเร็วกว่านั้นสักปี
อย่างน้อย ๆ ผมก็จะได้เจอแม่... แค่ไม่กี่เดือนอะคุณ ผมกลับบ้านช้าไปแค่ไม่กี่เดือนเอง!”
“...อืม...”
หยดน้ำตาที่หลั่งรินราวกับไม่มีจุดสิ้นสุดทำให้คนฟังอดนึกถึงเรื่องระหองระแหงระหว่างตนเองกับมารดาไม่ได้
ธามจึงปล่อยให้คเชนทร์นั่งร้องไห้ตามลำพังโดยไม่คิดจะเอ่ยคำใดเพื่อเสียดแทงใจเจ้าของร้านดอกไม้เหมือนทุกที
แต่เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าของร้านดอกไม้ต้องเสียน้ำตาด้วยเรื่องของบุพพการี
อดีตนางโชว์จึงตั้งสติได้ในระยะเวลาเพียงไม่นาน “ผมถึงได้บอกไงว่า คุณน่ะโชคดี อย่างน้อย ๆ
คุณก็โชคดีกว่าผมที่คุณยังมีโอกาสแก้ตัวเพราะครอบครัวยังอยู่กับคุณ”
“อืม”
พอเปรียบเทียบตัวเองกับเรื่องของคเชนทร์แล้ว ธามก็เริ่มรู้สึกละอายใจขึ้นมานิด ๆ
“เพราะฉะนั้น ต่อจากนี้ไป
คุณก็ต้องดูแลแม่กับลูกชายของคุณให้ดี ๆ นะ” คนพูดซับน้ำตาก่อนจะฝืนยิ้มให้กำลังใจคนที่กำลังประสบปัญหาครอบครัวอยู่ในตอนนี้
“ผมอยากให้เวลาเป็นเด็กที่มีความสุข”
สิ่งหนึ่งที่คเชนทร์ไม่ได้บอกให้ธามฟัง
คือ เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากเด็กชายคเชนทร์วัยสิบห้าปีหนีออกจากบ้าน
ครั้งสุดท้ายที่กลับบ้านเมื่อสิบสองปีที่แล้ว
ญาติได้เล่าให้ฟังว่า พ่อไม่เคยหยุดติดตามข่าวคราวของลูกชายที่สูญหาย แต่ความพยายามที่ถูกตอบแทนด้วยล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ทำให้ทั้งพ่อและแม่ทำได้แค่เฝ้ารอให้เขากลับบ้านอย่างสิ้นหวัง
พ่อของเขาเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลันตอนเขาอายุได้สิบเจ็ดปี
แม้ไร้ใบบุญสามีให้พึ่งพา แต่แม่ก็ยังต่อสู้หาเลี้ยงตัวเองตามลำพังด้วยเพราะยังหวังว่า
สักวันหนึ่ง ลูกชายเพียงคนเดียวของหล่อนจะหวนกลับมาหา กระนั้นการจมอยู่ในห้วงความทุกข์ระทมเป็นเวลานาน
ก็ทำให้มารดาผู้น่าสงสารของเขาตรอมใจตายก่อนที่ลูกชายจะกลับบ้านได้เพียงสี่เดือน
พอเล่าจบ
ญาติห่าง ๆ คนนั้นก็พูดให้สติว่า ในโลกนี้ ไม่มีพ่อแม่คนไหนจะโกรธลูกได้นาน...
ซึ่งประโยคสั้น
ๆ นั้นเองที่ทำให้คเชนทร์สำนึกได้ว่า ความเจ็บปวดเมื่อต้องรับรู้ถึงการตายของพ่อกับแม่
ยังเบาบางกว่าการได้รู้ว่า ทิฐิไม่ใช่หนทางแก้ปัญหา
หากแต่เป็นการให้อภัยทั้งต่อบิดามารดา รวมถึงการให้อภัยตัวเองต่างหากที่คเชนทร์ควรทำตั้งแต่เมื่อครั้งยังมีโอกาส
เพราะฉะนั้น...
ครอบครัวที่สมาชิกยังอยู่กันพร้อมหน้าอย่างครอบครัวของเวลาจึงยิ่งไม่ควรต้องประสบพบเจอกับเรื่องดราม่าเพราะการตัดสินใจผิดพลาดเหมือนที่เขาเคยเจอ
“ผมจะพยายาม”
“อืม”
ไม่รู้ทำไม แต่ทันทีที่ได้ยินธามรับคำด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจัง อีกทั้งเมื่อสบตากับอีกฝ่ายแล้วมองเห็นความมุ่งมั่นอยู่ในนั้นอย่างเต็มเปี่ยม
จู่ ๆ คเชนทร์ก็รู้สึกว่า หัวใจเต้นแรงจนผิดสังเกตจนตัวเขาเองยังตกใจ
“เอ่อ...
ผมต้องขอโทษคุณด้วยนะที่บังคับให้คุณต้องทนฟังผมพูดเสียยาวเลย” เจ้าของร้านดอกไม้ไม่อาจมองหน้าพ่อของเวลาตรง
ๆ ได้อีกต่อไป อาการใจเต้นตูมตามเมื่อครู่ ไหนจะการระลึกรู้ว่าตนเผลอทำตัวเลอะเลือนได้อย่างน่าประหลาดกำลังทำให้คเชนทร์ประหม่าจนวางท่าไม่ถูก
“แล้วก็... ขอบคุณคุณมาก ๆ ที่ช่วยผมไว้เมื่อกี้”
“ไม่เป็นไร”
“คุณคงจะอยากกลับบ้านแล้ว...
ถ้าอย่างนั้น ผมไม่รบกวนคุณดีกว่า เชิญครับ” เจ้าบ้านผายมือไปที่ประตูพลางลุกขึ้นยืนมองกดดันอาคันตุกะ
“เดี๋ยว...”
การที่คเชนทร์เปลี่ยนท่าทีกะทันหันทำให้ธามงุนงง แต่เมื่อหางตาเหลือบไปเห็นเข็มยาวที่เลื่อนจากตำแหน่งเดิมไปเกือบครึ่งหนึ่งของหน้าปัด
เจ้าของร้านขนมปังก็อดเป็นห่วงมารดาไม่ได้ “โอเค ผมกลับดีกว่า”
หลังจากส่งแขกและปิดประตูลงกลอนครบทุกบาน
คเชนทร์ก็กลับมานั่งกุมหน้าด้วยความอับอายอยู่เนิ่นนานหลังจากตระหนักได้ว่า ตนได้เผลอเล่าเรื่องส่วนตัวให้ธามฟังไปจนหมดสิ้น
เมื่อกี้เขาต้องฟั่นเฟือนไปแล้วแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงจะปล่อยให้คนไม่มีมารยาทคนนั้นนั่งฟังปัญหาชีวิตสุดรันทดของตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบหรอก
••• TBC •••
ใครที่รอปลาวาฬอยู่ อ่านตอนนี้แล้วอย่าเพิ่งยู่หน้ายี้เรานะคะ
สัญญาเลยว่าตอนหน้าเจ้าวาฬน้อยจะกลับมาเรียกคะแนนให้คุณพ่อแล้วค่ะ
อ่านแล้วชอบ
หรือไม่ชอบอย่างไร ทิ้งข้อความไว้ให้เราชื่นชมบ้างน้า
https://www.facebook.com/asmileofsilenceAKAmalimaru/ ฝากเพจด้วยนะคะ (กดตรงนี้เลย) ^^
No comments:
Post a Comment