Monday, September 3, 2018

• รักหลอก ๆ ต้องบอกลุง •||#23|| 03.09.2018




#23


แต่นี้... จะหวังพึ่งใครไม่ได้อีก
ถูกแล้ว... ชีวิตดำเนินต่อไป
ความรัก... เก็บเหลือไว้ให้ตัวเองบ้าง
ชีวิตเธอมีไว้... เพื่อเธอ
เพื่อเธอ - หิน เหล็ก ไฟ


…………………………………………………………………………………………………………


“อืม” เสียงครางเบา ๆ เหมือนแมวขี้เกียจกำลังบิดตัวดังขึ้นเมื่อเจ้าของร่างที่นอนราบอยู่บนโซฟาฟื้นคืนสติ ร่างกายเกือบทุกสัดส่วนหนักอึ้งจนคเชนทร์เผลอโอดครวญทั้งที่ยังไม่ตื่นดี แต่ทันทีที่หางตาหันไปเห็นว่ามีใครอีกคนนั่งจ้องหน้าเขาคล้ายจะเอาเรื่อง อดีตนางโชว์จึงรีบยันตัวขึ้นนั่งอย่างรีบร้อน

“ผมมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง” เจ้าของร้านดอกไม้ถามพลางปลดยางรัดผมเหนือต้นคอออก สองมือได้รูปสางกลุ่มผมยุ่งตรงท้ายทอยอย่างเชื่องช้าก่อนจะค่อย ๆ รวบเส้นผมตรงยาวประบ่าขึ้นเก็บทีละช่อ

“เมื่อกี้คุณหน้ามืด”

คำตอบที่ได้ฟังทำให้มือที่ง่วนอยู่หยุดชะงัก คเชนทร์เสมองนาฬิกาบนผนังอย่างกังวล “ผมหลับไปนานหรือเปล่าครับ”

“ประมาณห้านาทีได้”

คนหมดสติร้องอ้อในใจก่อนจะเอ่ยอย่างมีมารยาท “ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้คุณต้องลำบาก”

“เฮ่อ”

เสียงถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายของบุคคลซึ่งไม่น่าจะยอมมานั่งใกล้ ๆ หนำซ้ำยังใช้อากาศหายใจร่วมกันทำให้อดีตนางโชว์นึกถึงภาพบรรยากาศขณะร่วมโต๊ะอาหารของครอบครัวสุดประหลาดเมื่อตอนเย็น

ที่ผ่านมา พ่อของเวลาไม่เคยแสดงท่าทีเป็นมิตรโดยเฉพาะกับเขา แต่ลึก ๆ แล้วก็ไม่น่าใช่คนเลวร้าย เพราะถ้าเมื่อครู่ไม่ได้อีกฝ่ายช่วยไว้ คเชนทร์คงถูกทิ้งขว้างให้นอนสลบอยู่ข้างถนน...  

สรุปว่าคน ๆ นี้เป็นคนแบบไหนกันนะ?

ขณะที่ใจนึงใคร่ค้นหาคำตอบ อีกใจกลับตระหนักว่าพวกเขาทั้งคู่ต่างเป็นเพียงคนแปลกหน้าของกันและกัน ซึ่งทันทีที่อนุสติระลึกรู้ถึงสถานะคนอื่นคนไกลของธาม กล่องเล็ก ๆ ที่ซุกซ่อนความลับดำมืดภายในใจคเชนทร์ก็ถูกปลดล็อกแล้วเปิดออกโดยที่เจ้าของไม่ทันรู้ตัว

“จริง ๆ แล้วผมใช่คนกรุงเทพฯ ” ชายหนุ่มเอ่ยเบา ๆ พลางหวนนึกถึงสถานที่แห่งความทรงจำซึ่งมีเพียงแต่ตัวเขาเท่านั้นที่รู้จัก “ตอนอายุสิบห้าผมหนีออกจากบ้านเพราะพ่อไม่ยอมให้กลับไปเรียนต่อ”

“คุณรู้ไหมว่าทำไมพ่อผมถึงห้ามไม่ให้ผมไปโรงเรียน” ธามปรายตามองคนพูดอย่างงง ๆ เมื่อจู่ ๆ คเชนทร์ก็หัวเราะร่วนในลำคออย่างไม่มีสาเหตุ “เพราะพ่อยอมมีลูกโง่ ๆ ดีกว่าจะยอมให้ชาวบ้านรู้ว่าผมเป็นพวกวิปริตผิดเพศ”

“พอได้ยินคำว่าอายจากปากพ่อ ผมก็ตัดสินใจหนีเข้ากรุงเทพฯ เดี๋ยวนั้นเลย... ตอนนั้น ใจผมคิดแค่ว่า ถ้าประสบความสำเร็จแล้วมีเงินมาก ๆ พ่อกับแม่คงจะเลิกอายเสียทีที่มีลูกอย่างผม” เจ้าของร้านดอกไม้ยิ้มเยาะตัวตนไร้เดียงสาในอดีต “หึ! กว่าจะรู้ว่าตัวเองโง่อย่างที่พ่อบอกก็สายไปแล้ว”

“ตอนมาอยู่กรุงเทพฯ ใหม่ ๆ ตัวผมเล็กเหมือนเด็กประถมแถมยังเรียนจบแค่ป.หก ผมเลยสมัครงานได้แค่ไม่กี่อย่าง” คเชนทร์นิ่งนึกพลางละมือจากยางรัดผม เขาปล่อยให้กลุ่มไหมสีดำเงางามสยายลงเคลียบ่า “เพราะไม่อยากเป็นเด็กปั๊มแถมไม่ถนัดแบกหาม ผมเลยไปสมัครเป็นเด็กล้างจาน แต่เพราะผมเป็นเด็กนี่แหละเลยถูกเขาโกงเอา”

แม้อายุการทำงานในตำแหน่งเด็กล้างจานจะสั้นจนน่าใจหาย แต่เพราะนั่นคือประสบการณ์แรกของการเป็นฟันเฟืองเล็ก ๆ ในโลกทุนนิยมของเด็กต่างจังหวัดวัยเพียงสิบห้า อดีตนางโชว์จึงจดจำความขมขื่นของมันได้ดี

จานแต่ละใบ ช้อนแต่ละคันที่ฝ่ามือเล็ก ๆ คู่นั้นเพียรขัดถูให้สัมผัสไม่แตกต่างจากถ้วยชามที่เคยล้างตอนอยู่บ้าน แต่ความสุขใจที่ได้หลังจากนั้นกลับผิดกันลิบลับ หนำซ้ำยิ่งเมื่อสุดท้ายนายจ้างไม่ได้ให้เงินค่าแรงตามที่ตกลงกันไว้ การถูกฉ้อโกงด้วยน้ำมือของผู้ใหญ่ก็เร่งรัดให้เด็กหนุ่มมองเห็นสัจธรรมของการดำรงชีวิตในเมืองฟ้าอมรภายในระยะเวลาอันสั้น

ถึงอย่างนั้น นับว่าฟ้ายังเมตตาที่ ข้าง ๆ กายเขายังมีอำนวย...

“โชคดีที่ตอนหลังพี่นวยช่วยฝากงานให้ที่คาเฟ่ที่แกร้องเพลงอยู่” พูดมาถึงตรงนี้ อดีตนางโชว์ก็คลี่ยิ้มด้วยความซาบซึ้งเมื่อใบหน้าเปื้อนยิ้มของอำนวยปรากฏขึ้นในห้วงความทรงจำ “เงินเดือนไม่เยอะหรอก แต่ทิปดี ผมเลยพอเก็บเงินได้บ้าง”

จากเดิมที่คิดว่าจะรีบขอตัวกลับบ้าน แต่ยิ่งฟัง ธามก็ยิ่งชะงักงัน ชายหนุ่มปล่อยให้เรื่องราวในอดีตของเจ้าของร้านดอกไม้โลดแล่นผ่านโสตประสาทไปเรื่อย ๆ โดยไม่คิดขัดจังหวะ

“ผมทำอยู่กับพี่นวยได้พักนึง ผมก็รู้ตัวว่าผมอยากจะเป็นนางโชว์ แต่ก็จนปัญญาเพราะไม่รู้ว่าจะไปสมัครที่ไหน แต่สุดท้ายพี่นวยก็หางานในคาบาเร่ต์ให้ผมจนได้” พอนึกถึงวันแรกที่ตนเองต้องเปลี่ยนงาน คเชนทร์ก็คลี่ยิ้มบาง

อำนวยปฏิบัติกับเขาราวกับเป็นน้องชายตัวเล็ก ๆ ที่เพิ่งจะไปโรงเรียนเป็นครั้งแรก เพราะนอกจากจะยอมฝืนตัวเองตื่นก่อนเวลาปกติหลายชั่วโมง นั่งรถเมล์ไปส่งเขาถึงหน้าคาบาเร่ต์แล้ว หลังจากนั้นไม่กี่เดือน เจ้าของร้านดอกไม้ก็เพิ่งรู้จากปากเพื่อนร่วมงานว่า วันนั้นพี่ชายผู้นี้ยังยอมเสียรายได้จากการร้องเพลงหนึ่งคืนเพื่อคอยตามแอบดูว่าตลอดชั่วโมงทำงาน เขาโดนใครรังแกและเอาเปรียบหรือไม่...

กระทั่งต่อเมื่อวางใจว่าเด็กหนุ่มเอาตัวรอดในคณะได้แล้ว อำนวยก็ยังคงไต่ถามถึงการทำงานในแต่ละวันโดยไม่มีตกหล่น

“เข้าไปตอนแรก ผมไม่ได้เป็นนางโชว์เลยหรอกนะ เพราะผมยังเด็ก นมก็ไม่มี เต้นก็ไม่เป็น แต่ทำไงได้ล่ะ ใจมันชอบทางนี้นี่นา” คเชนทร์นิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ให้กับช่วงเวลาอันยาวนานและน่าเหน็ดเหนื่อยก่อนจะประสบความสำเร็จ “ผมยกของ ช่วยเขาทำนั่นทำนี่ พอว่างหน่อยผมก็หัดเต้นตามพวกแดนเซอร์แล้วก็ต่อท่าอยู่คนเดียว ผิดบ้างถูกบ้าง ผมก็ทำ ๆ ไป โชคดีมีแดนเซอร์ออก ผมเลยได้เลื่อนขั้นจากเด็กขนของเป็นแดนเซอร์หางแถว ตอนนั้นแค่ได้แต่งหน้า ได้แต่งตัวสวย ๆ แล้วออกไปเต้นให้คนอื่นดู ผมก็มีความสุขแล้ว”

ชีวิตของคเชนทร์ไม่เคยมีทางลัด กว่าจะได้เป็นแดนเซอร์ เขาต้องอดทนทำทุกอย่างรวมถึงแอบฝึกฝนการเต้นตามลำพังด้วยวิชาความรู้ที่ลักจำคนอื่นมา จวบจนเมื่อได้ขึ้นเวทีสมใจ เด็กหนุ่มกลับโดนเพื่อนแดนเซอร์ด้วยกันล้อว่าเป็นกะเทยมีกล้าม หนำซ้ำฝ่ามือยังหยาบยิ่งกว่ากระดาษทราย ถึงฟังแล้วจะไม่ชอบใจอยู่บ้าง แต่พอคิดถึงเสื้อผ้ากับเครื่องประดับสวย ๆ คิดถึงแสงไฟกับเสียงปรบมือโห่ร้องของคนดู คเชนทร์ก็ลืมคำพูดร้าย ๆ ไปหมดสิ้น

“แต่พอทำไปนาน ๆ เป็นแค่แดนเซอร์ก็ไม่พอ”

จริงอยู่ว่างานแดนเซอร์นั้นดีกว่าตอนเป็นเด็กยกของเป็นไหน ๆ แต่เมื่อทำไปได้สักพัก คเชนทร์ก็ต้องย้ายออกจากหอที่เคยอยู่ด้วยเพราะไกลจากที่ทำงานใหม่ เมื่อต้องอยู่ห่างจากที่พึ่งทางใจอย่างอำนวย เด็กหนุ่มก็อดคิดไม่ได้ว่า การต้องเต้นอยู่หลังเงาคนอื่นไปตลอดชีวิตช่างไม่คู่ควรต่อการเสียสละครั้งนี้เอาเสียเลย

“ตอนนั้นใจผมท้อเพราะลึก ๆ แล้วผมอยากเป็นนางโชว์ อยากเด่น มีเพลงโชว์เดี่ยว แต่พอคิดจะตัดใจ ผมก็กลัวว่าถ้าออกไปทั้งที่ยังไม่ลองทำให้เต็มที่ พี่นวยก็จะพลอยเสียชื่อไปด้วย” เจ้าของเรื่องรวบปอยผมที่ปรกตาทัดหูพลางยิ้มมุมปากอย่างภาคภูมิใจ “ผ่านไปสองปีสุดท้ายก็ผมสมหวัง ผมได้เป็นตัวหลัก มีโชว์ มีเพลงเป็นของตัวเอง แล้วผมก็เริ่มดัง”

เล่ามาถึงตรงนี้ อดีตนางโชว์ก็เงียบไป เรื่องราวที่ถูกเล่าเพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ กับแววตาเจ็บปวดระคนหมองเศร้าของคู่สนทนาทำให้ธามรู้สึกปั่นปวนจนอยู่ไม่สุข “ดังแล้วยังไง”

“ดังแล้วก็เหลิงเท่านั้นสิคุณ จะมีอะไร” อดีตนางโชว์ปรายตามองเสี้ยวหน้าของคนฟังก่อนจะแค่นหัวเราะอย่างขมขื่น “ตอนเป็นแดนเซอร์ ผมมัวแต่น้อยใจเพราะทุกคนเอาแต่มองตัวหลัก แต่พอได้เป็นนางโชว์ ถึงผมจะกลายเป็นเป้าสายตาของใครต่อใครก็จริง แต่คนที่หวังดีกับผมกลับแทบไม่มี”

ทุก ๆ แวดวงการทำงานมีเรื่องขัดแย้งและการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น กระทั่งในคณะคาบาเร่ต์เล็ก ๆ ก็ไม่เว้น แม้คเชนทร์จะวางตัวเป็นกลางอีกทั้งยังเป็นมิตรกับทุกคนมาโดยตลอด แต่การเป็นแดนเซอร์ที่ดี ขยันซ้อม ขยันเต้น และมุ่งมั่นจริงจังจนสามารถไต่เต้าจากเด็กยกของจนขึ้นเป็นนางโชว์ได้กลับกลายเป็นข้อหาที่เพื่อนร่วมงานบางคนใช้เป็นประเด็นเล่นงานเขายามอยู่ลับสายตากัน

อำนวยเคยบอกเขาว่าเราห้ามปากคนอื่นไม่ได้ แต่เราห้ามหูตัวเองไม่ให้ฟังได้ คเชนทร์จึงเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ชายหนุ่มทุ่มความสนใจทั้งหมดไปกับเรื่องงานโดยไม่เปลืองน้ำลายตอบโต้ แต่ถึงจะหลีกเลี่ยงปัญหาคนในได้ก็จริง สุดท้ายกลับมีบททดสอบที่ร้ายกาจและจัดการได้ยุ่งยากยิ่งกว่ารอท่าอยู่...

ความรัก

“ผู้ชายที่เข้าหาผมส่วนใหญ่ก็เข้ามาเพราะหน้าตาผมกันทั้งนั้น แต่ไม่มีใครจริงใจสักคน

“คุณโดนหลอกบ่อยเหรอ” เจ้าของร้านขนมขมวดคิ้วพลางจ้องหน้าอดีตนางโชว์ด้วยสายตาทึ่งระคนตำหนิ

ริมฝีปากได้รูปของคเชนทร์ดัดโค้งขึ้นเล็กน้อยหลังเจ้าตัวสังเกตเห็นคู่สนทนาทำท่าแปลกใจจนดูตลก “ครั้งเดียว... ผมโดนหลอกแค่ครั้งเดียว แต่ครั้งเดียวก็ทำให้ผมหมดตัวเลยนะ เงินที่หามาได้เยอะก็จมหายไปกับผู้ชายคนนั้นทุกบาททุกสตางค์ แต่ที่น่าเจ็บใจที่สุดคืออะไรรู้ไหมคุณ”

“เขามีกิ๊กเหรอ”

“หึ! น้อยไปสิ คนเลวน่ะเลวได้มากกว่าที่คุณคิดเยอะ” คเชนทร์ปรารภเสียงอ่อนพลางถอนหายใจ “คงเพราะเขาเป็นแฟนคนแรกล่ะมั้ง ผมเลยยอมให้เขาหลอก ยอมให้เขามีคนอื่น แถมยังยอมให้เขาตบตีอยู่ตั้งเกือบปีแน่ะ”

การต้องปิดบังตัวตนจากบุพพการีทำให้เด็กชายคเชนทร์ไม่กล้าคิดเรื่องความรัก กระทั่งภายหลังจากได้ลองใช้ชีวิตอิสระในเมืองหลวงแล้วก็ตาม ไม่มีสักครั้งที่เด็กหนุ่มจะนั่งล้อมวงสนทนาพูดคุยเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ อย่างที่ใคร ๆ ชอบทำกัน เขาจึงไม่ทันตระหนักว่าความสัมพันธ์หวานปนขมขื่นที่ชายคนรักยัดเยียดให้ในช่วงเดือนที่สามหลังจากตกลงคบหานั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงความรักลวง ๆ

ทว่ากว่าจะรู้ตัวว่าความสงบสุขเพียงชั่วขณะไม่จำเป็นต้องแลกด้วยบาดแผลและรอยฟกช้ำ เงินก้อนใหญ่ที่ตั้งใจเก็บหอมรอมริบไว้สำหรับการผ่าตัดแปลงเพศก็ค่อย ๆ ร่อยหรอหลังจากผู้ชายคนนั้นช่วยผลาญ... ใช่ว่าคเชนทร์จะไม่เคยปฏิเสธ แต่ใครล่ะจะเชื่อว่า เพียงเพราะไม่ได้เงินแค่ไม่กี่พันบาทดั่งใจหมาย อีกฝ่ายถึงกับต่อยเขาจนผล็อยหลับกลางอากาศมาแล้ว

“คุณก็โง่จริง ๆ น่ะแหละ เป็นคนดี ๆ ไม่ชอบ ชอบเป็นกระสอบทราย”

ลองถ้าใครสักคนมาพูดจาแบบนี้ใส่หน้าตัวเขาในอดีต เชื่อเถอะว่าคน ๆ นั้นจะต้องถูกตัดออกจากสารบบชีวิตไปตลอดกาล แต่เมื่อผ่านความชอกช้ำมาได้ คเชนทร์จึงเพียงแค่ยักไหล่พลางส่ายหัวอย่างขำ ๆ เมื่อได้ฟังคำพูดตอกย้ำอย่างเจ็บแสบเมื่อครู่

“ก็จริงของคุณ คิดดูสิ ขนาดผมจับได้ว่าเขาพาผู้หญิงมาเอากันที่ห้อง แทนที่เขาจะสำนึก เขากลับกระทืบผมจนต้องเข้าโรงบาลไปนอนให้หมอหยอดน้ำข้าวต้มอยู่หลายวันเพราะผมหาเรื่องผู้หญิงที่เขาพามากกบนเตียงตัวเอง”

จังหวะที่คเชนทร์กำลังพูดอยู่นั้น แมวหน้ากากที่ผลุบหายเข้าไปหลบหลังตู้ก็ค่อย ๆ ย่องเข้ามาหาด้อม ๆ มอง ๆ ใกล้ ๆ ทั้งสองหนุ่ม เจ้าของร้านดอกไม้จึงอุ้มมันขึ้นมานอนบนตักพลางเกาขนนุ่มนิ่มใต้คางเบา ๆ จวบจนได้ยินลูกพี่ส่งเสียงครางในลำคอคล้ายกับชอบใจ เมื่อนั้น เรื่องราวในอดีตก็ถูกสานต่อ “แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุที่เขาเลิกกับผมหรอกนะ”

“โดนไปขนาดนั้น คุณยังคิดไม่ได้อีกเหรอ”

“อืม ผมถึงได้บอกว่าผมโง่ไงล่ะ” คเชนทร์ก้มลงมองสีหน้าเปี่ยมสุขของก้อนขนสีดำบนตักพลางหัวเราะขื่น “พอผมเงินหมดนั่นแหละ เขาถึงหายไป แทนที่จะดีใจ ผมกลับขังตัวอยู่แต่ในห้อง วัน ๆ เอาแต่ร้องไห้ ข้าวก็ไม่กิน นอนก็ไม่นอน งานการก็ไม่ไปทำ พอขาดงานบ่อย ๆ เข้า เถ้าแก่ก็เรียกไปตักเตือนอยู่สองสามครั้ง สุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหว เลยไล่ผมออก”

ตอนคบกัน ต่อให้ทั้งซ้อมทั้งข่มขู่คเชนทร์หนักมือแค่ไหน ผู้ชายคนนั้นก็จะยังพร่ำคำรักกรอกหูเขาทุกวัน ในขณะที่คเชนทร์ไม่เคยปริปากพูดคำหวานเลยสักครั้ง แต่แล้วเมื่ออีกฝ่ายหายจากชีวิตไป อดีตนางโชว์ก็เพิ่งเข้าใจว่า คนที่ไม่เคยเอ่ยคำว่ารักอย่างเขากลับรักและลุ่มหลงคนหลอกลวงพรรค์นั้นอย่างสาหัสสากรรจ์จนไม่เป็นอันใช้ชีวิต

อำนวยรู้ข่าวเรื่องที่เขาโดนทิ้งหลังจากโดนเจ้านายเรียกไปเตือนครั้งแรก ความที่เป็นห่วงน้องชายต่างสายเลือดจนไม่เป็นอันกินอันนอน ผู้มีพระคุณจึงหอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่ดูแล และคอยประคับประคองจนน้องรักกลับไปทำงานได้ แต่เมื่อนักร้องคาเฟ่จากไป คเชนทร์ก็หมกตัวอยู่บนที่นอน กินน้ำตาต่างข้าวอีกเหมือนเดิม เดือดร้อนให้อำนวยต้องมาพาเขากลับไปอยู่ด้วยกันอีกครั้ง

“ช่วงที่ผมโดนไล่ออกมันเป็นช่วงเดียวกับวิกฤตต้มยำกุ้ง ผับ บาร์ คาบาเร่ต์ปิดกันเป็นว่าเล่น พวกนางโชว์กับแดนเซอร์บางคนที่ผมเคยรู้จักก็โดนลอยแพกันยกแก๊ง ทุกคนเลยแย่งงานกันจนผมหางานไม่ได้ พออยู่ว่าง ๆ ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ผมก็ยิ่งฟุ้งซ่านจนหลัง ๆ ก็เริ่มสติแตก ตอนนั้นผมคิดแค่ว่าผมต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้แฟนกลับมา สุดท้ายผมเลยกินยาฆ่าตัวตายเพราะคิดว่าถ้าเขารู้ เขาต้องยอมใจอ่อนแล้วกลับมาอยู่กับผมแน่ ๆ ”

ก่อนจะตัดสินใจคิดสั้น คเชนทร์มักจะครุ่นคิดกังวลจนนอนไม่ค่อยหลับ ยิ่งช่วงไหนที่อำนวยไม่อยู่ห้องเพราะต้องไปทำงาน หรือออกไปทำธุระข้างนอกครั้งละหลายชั่วโมง ชายหนุ่มก็ยิ่งควบคุมตัวเองไม่ให้คิดถึงเรื่องชวนหดหู่แทบไม่ได้ ผลคือ บางครั้งเขาจะนั่งเหม่อมองผนังห้องนิ่ง ๆ  ครั้งละนาน ๆ ไม่ก็นอนขดอยู่บนพื้นห้อง แล้วโอบกอดตัวเองเอาไว้อย่างนั้นจนกว่าอำนวยจะกลับมา

กระนั้น อยู่มาวันหนึ่ง ฝาผนังกับพื้นห้องก็เสื่อมมนต์ขลัง เขาจึงตัดสินใจกล่อมให้ตัวเองหลับตาลงเสีย รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ฟื้นขึ้นในโรงพยาบาลพร้อมอาการเจ็บร้าวเป็นทางตั้งแต่คอเรื่อยลงไปอันเป็นผลจากการสวนสายยางเพื่อล้างท้อง แต่ความเจ็บปวดทางกายก็หายวับไปในพริบตาเมื่อต้องทนเห็นอำนวยร้องไห้ให้กับความโง่เขลาของตัวเขาเอง

เรื่องที่คเชนทร์เพิ่งเล่าออกมานั้นทำให้ธามนิ่งไปพักใหญ่... เขาไม่เคยรู้ว่าคนที่คลี่ยิ้มให้เวลาได้อย่างอ่อนโยนไปเสียทุกครั้ง จะเคยมีอดีตที่เจ็บปวดและโง่เขลาถึงเพียงนี้

“เขาไม่มา... ไม่เคยมา” อดีตนางโชว์ถอนหายใจพลางเลื่อนสายตาไล่มองสายไฟจากมุมเพดานฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่ง จากนั้นจึงกะพริบตาปริบ ๆ พร้อมกับเปรยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “คนเดียวที่มาเยี่ยม มาอยู่กับผมทุกวันคือพี่นวย พี่นวยร้องไห้ทุกครั้งที่ผมร้องไห้ พอเห็นแกร้องไห้เพราะสงสารผมมาก ๆ เข้า ผมก็คิดได้ พอออกจากโรงพยาบาล พี่นวยก็พาผมไปฝากฝังกับเจ๊”

“เจ๊?” ธามเลิกคิ้วพลางมองหน้าคเชนทร์งง ๆ เพราะตามบทสนทนาไม่ทัน

“เจ๊โจโจ้ แกเป็นเจ้าของคาบาเร่ต์ที่รับผมเข้าทำงาน” คเชนทร์เบือนหน้ามองคนข้าง ๆ แล้วคลี่ยิ้มบาง ๆ เคลือบน้ำตาให้ “นอกจากพี่นวยแล้ว เจ๊ก็เป็นอีกคนที่ผมรักและเคารพเหมือนพ่อแม่ แกคอยช่วยผมจนผมกลับมาเป็นนางโชว์ได้อีกครั้ง”

แม้อำนวยกับโจโจ้จะถือเป็นผู้มีพระคุณของคเชนทร์ด้วยกันทั้งคู่ แต่ถ้าให้นิยามความสัมพันธ์ของเขาที่มีต่อพี่ทั้งสองคนแล้ว อำนวยคงเป็นครอบครัว ขณะที่รายหลังคือบุคคลต้นแบบที่เขาอยากดำเนินตามรอยเท้าให้จงได้

แรกที่รู้จักโจโจ้ผ่านคำบอกเล่าของอำนวย คเชนทร์เข้าใจว่าอีกฝ่ายคือชายหนุ่มเจ้าสำราญผู้เป็นศูนย์กลางของงานสังสรรค์ อีกทั้งยังเป็นขวัญใจของผองเพื่อน แต่เมื่อได้พบตัวจริง อดีตนางโชว์ก็ตระหนักว่า สิ่งที่เคยได้ยินมาเกี่ยวกับโจโจ้เป็นเพียงเศษเสี้ยวของความน่าอัศจรรย์ที่แฝงอยู่ในร่างของเจ้านายคนใหม่ของเขาเท่านั้น

หลายครั้งที่การตัดสินใจของโจโจ้สอนให้เขารู้จักการคิดนอกกรอบ กล้าลองเสี่ยงกระโจนไขว่คว้าโอกาส
น้ำใจและการช่วยเหลือที่อีกฝ่ายมอบให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนก็ทำให้เขาเริ่มเผื่อแผ่สิ่งที่เขาพอมีให้คนอื่น ๆ มากขึ้น
การเป็นนาย เป็นพี่ เป็นเพื่อน รวมถึงเป็นผู้ปกครองที่ดีที่โจโจ้แสดงให้เห็นมาโดยตลอดทำให้คเชนทร์รู้จักการวางตัวกับทุก ๆ คนได้อย่างเหมาะสม

แต่เรื่องที่คเชนทร์รู้สึกขอบคุณโจโจ้เป็นที่สุดเห็นจะเป็นตอนที่เขากลับมาจากบ้าน ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ชายคนนี้คอยเตือนสติ คนที่ไม่มีแม้วุฒิมอต้นอย่างเขาคงไม่ขวนขวายกลับไปเรียนจนพบศักยภาพด้านอื่น ๆ ของตัวเอง

“แล้วรอบนี้คุณหายโง่หรือยัง”

คเชนทร์หัวเราะออกมาเบา ๆ เพราะเข้าใจความหมายของคำถามเมื่อครู่เป็นอย่างดี “เรื่องผู้ชายน่ะผมหายขาด ผมไม่คบใครอีกเลยเพราะผมไม่อยากโง่อีก” พูดมาถึงตรงนี้ เสียงหัวเราะก็หยุดลงแบบดื้อ ๆ ชายหนุ่มก้มลงมองเจ้าแมวตาปรือที่ใกล้จะหลับคาตักเต็มที จากนั้นจึงถอนหายใจพรู “แต่เรื่องครอบครัว ผมยังโง่ดักดานเหมือนเดิม”

“ยังไง” ธามเอนหลัง ทิ้งน้ำหนักพิงพนักโซฟาแล้วกอดรอฟังอย่างตั้งใจ

“พอได้กลับมาโชว์อีก เป้าหมายในชีวิตผมก็เปลี่ยน ถึงเงินจะเข้ามาเยอะ แต่ผมเลือกที่จะกินอยู่อย่างประหยัดเพราะอยากเก็บเงินให้ได้มาก ๆ ผมจะได้กลับไปหาพ่อกับแม่เร็ว ๆ ตอนนั้นตั้งใจว่าถ้าเก็บเงินได้สักล้านสองล้าน ผมก็จะลาออกแล้วกลับไปอยู่บ้านเสียที แต่พอเข้าปีที่หก พี่นวยก็ป่วยเป็นมะเร็ง ผมเลยเอาเงินที่ผมมีเกือบทั้งหมดไปช่วยแก ยื้อได้อยู่สองปี แกก็เสีย”

หลังจาก มาม่าช่า กลับมาสร้างชื่อเสียงให้กับคณะคาบาเร่ต์ของโจโจ้ได้ไม่ถึงปี คเชนทร์กับเจ้านายคนใหม่ก็ช่วยกันหว่านล้อมจนอำนวยยอมลาออกจากคาเฟ่แล้วย้ายมาทำงานที่คาบาเร่ต์เสียด้วยกัน เมื่อโรคร้ายแสดงอาการ อดีตนางโชว์จึงสามารถดูแลผู้มีพระคุณได้ทันท่วงที ทว่าต่อให้พวกเขาจะขยันเทียวเข้าเทียวออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น แต่ร่างกายของอำนวยกลับยอมแพ้ไปทั้ง ๆ ที่หัวใจยังฮึดสู้

แม้จะเตรียมใจไว้ล่วงหน้า แต่การตายของผู้ที่เป็นดั่งบุพพการีคนที่สองก็ส่งผลกระทบต่อจิตใจของคเชนทร์เป็นอย่างมากทั้งในแง่ของการสูญเสียและการเตือนสติให้ระลึกรู้ถึงความไม่เที่ยงแท้ของสังขาร

อำนวยตายตั้งแต่อายุเพียงสี่สิบสอง แล้วพ่อกับแม่ของเขาที่แก่กว่านั้นราว ๆ สิบปีล่ะ พวกท่านจะเป็นอย่างไรบ้าง?
คิดได้ดังนั้น คเชนทร์จึงมุมานะทำงานหลักและงานเสริมจนเต็มเวลา หนึ่งก็เพื่อต้องการเยียวยาความเศร้าโศกหลังอำนวยลาจากโลกนี้ไป และอีกส่วนก็เพื่อเก็บเงินให้ได้สักก้อนก่อนอายุสามสิบ

“อืม”

แววตาเจ็บปวดของธามขณะที่ฟังเรื่องของอำนวยทำให้คเชนทร์นึกถึงบาดแผลของอีกฝ่าย ชายหนุ่มจึงรีบเบี่ยงประเด็นเพราะไม่อยากกวนน้ำให้ขุ่น “พอไม่มีเงิน ผมก็ต้องหาใหม่ แต่หลังฟองสบู่แตก เงินก็ดันเฟ้อ เงินเก็บสองล้านเลยไม่พอ”

“แล้วคุณทำยังไง”

“ผมก็ค่อย ๆ ทำ ค่อย ๆ เก็บเงินไปเรื่อย ๆ ” คเชนทร์อมยิ้มบางเบาเมื่อเห็นว่าลูกพี่หลับคาตักของเขาเสียแล้ว “แต่สุดท้ายผมก็เพิ่งรู้ว่า ผมใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตเพื่อหาเงิน แต่พอได้เงินมาจริง ๆ คนที่ผมอยากให้อยู่ใช้เงินด้วยก็ตายหมดเรียบ”

แม้ที่สุดแล้วอดีตนางโชว์จะคิดได้ แต่หลังจากหอบหิ้วความคาดหวังว่าจะกลับไปตั้งต้นใหม่ที่ถิ่นฐานบ้านเกิด เพื่อต้องพบว่าสถานที่ที่ตนคุ้นเคยในวัยเยาว์ไม่หลงเหลือสิ่งใดให้อาลัยอีกต่อไป ทั้งพ่อและแม่ที่ตายจาก รวมถึงบ้านไม้ยกพื้นใต้ถุนสูงหลังเดิมที่กลายเป็นบ้านสองชั้นครึ่งไม้ครึ่งปูนสีแสบสันยิ่งกว่าริ้วสายรุ้งตามงานวัด เมื่อนั้น ชายหนุ่มก็พลันประจักษ์ถึงอาการเสียศูนย์ และหมดสิ้นทุกสิ่งอย่างจนแทบจะล้มทั้งยืน

“พ่อแม่คุณ...?” และแล้วธามก็เข้าใจ นี่เองคือเหตุผลที่ทำให้เจ้าของร้านดอกไม้ร้องไห้จนสลบ... ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง เขาจะยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหรือไม่

“อืม” เจ้าของร้านดอกไม้ก้มหน้ามองพื้นทว่าสายตาเลื่อนลอยคู่นั้นกลับไม่ได้จับจ้องสิ่งใดเป็นพิเศษ “เมื่อสิบสองปีก่อนผมกลับไปที่บ้าน แต่บ้านที่ผมเคยอยู่กลับกลายเป็นบ้านของคนอื่นไปแล้ว”

“แล้วคุณรู้ได้ไงว่าพ่อแม่คุณไม่อยู่แล้ว เขาอาจจะแค่ย้ายไปอยู่ที่อื่นก็ได้”

“ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อเหมือนกัน แต่พอญาติห่าง ๆ พาผมไปไหว้ที่เก็บอัฐิของพ่อกับแม่ที่วัด ผมก็ต้องยอมรับความจริงว่าพวกท่านไม่อยู่แล้ว” คเชนทร์ดึงปกเสื้อเชิ้ตขึ้นซับน้ำตา “พ่อผมตายตั้งแต่ผมมากรุงเทพฯ ได้แค่สองปี ส่วนแม่ผมท่านเพิ่งตายตอนก่อนผมกลับไปบ้านได้แค่ไม่กี่เดือน”

อดีตนางโชว์สะอื้นเสียงดังจนลูกพี่ที่นอนอยู่บนตักยังลุกหนีในขณะที่ธามเองก็เริ่มนั่งไม่ติด แต่แทนที่จะหลบฉากเอาตัวรอดเหมือนเหมียวเจ้าถิ่น ชายหนุ่มกลับเพียงแค่เดินไปหยิบกล่องทิชชูบนโต๊ะกินข้าวแล้วรีบกลับมานั่งตามเดิม

“อะคุณ” สิ้นเสียง กล่องทิชชูก็ถูกยัดใส่มือของอดีตนางโชว์อย่างประดักประเดิด

“ถ้าผมกลับบ้านเร็วกว่านั้นสักปี อย่างน้อย ๆ ผมก็จะได้เจอแม่... แค่ไม่กี่เดือนอะคุณ ผมกลับบ้านช้าไปแค่ไม่กี่เดือนเอง!

“...อืม...” หยดน้ำตาที่หลั่งรินราวกับไม่มีจุดสิ้นสุดทำให้คนฟังอดนึกถึงเรื่องระหองระแหงระหว่างตนเองกับมารดาไม่ได้ ธามจึงปล่อยให้คเชนทร์นั่งร้องไห้ตามลำพังโดยไม่คิดจะเอ่ยคำใดเพื่อเสียดแทงใจเจ้าของร้านดอกไม้เหมือนทุกที

แต่เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าของร้านดอกไม้ต้องเสียน้ำตาด้วยเรื่องของบุพพการี อดีตนางโชว์จึงตั้งสติได้ในระยะเวลาเพียงไม่นาน  “ผมถึงได้บอกไงว่า คุณน่ะโชคดี อย่างน้อย ๆ คุณก็โชคดีกว่าผมที่คุณยังมีโอกาสแก้ตัวเพราะครอบครัวยังอยู่กับคุณ”

“อืม” พอเปรียบเทียบตัวเองกับเรื่องของคเชนทร์แล้ว ธามก็เริ่มรู้สึกละอายใจขึ้นมานิด ๆ

“เพราะฉะนั้น ต่อจากนี้ไป คุณก็ต้องดูแลแม่กับลูกชายของคุณให้ดี ๆ นะ” คนพูดซับน้ำตาก่อนจะฝืนยิ้มให้กำลังใจคนที่กำลังประสบปัญหาครอบครัวอยู่ในตอนนี้ “ผมอยากให้เวลาเป็นเด็กที่มีความสุข”

สิ่งหนึ่งที่คเชนทร์ไม่ได้บอกให้ธามฟัง คือ เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากเด็กชายคเชนทร์วัยสิบห้าปีหนีออกจากบ้าน

ครั้งสุดท้ายที่กลับบ้านเมื่อสิบสองปีที่แล้ว ญาติได้เล่าให้ฟังว่า พ่อไม่เคยหยุดติดตามข่าวคราวของลูกชายที่สูญหาย แต่ความพยายามที่ถูกตอบแทนด้วยล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ทำให้ทั้งพ่อและแม่ทำได้แค่เฝ้ารอให้เขากลับบ้านอย่างสิ้นหวัง

พ่อของเขาเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลันตอนเขาอายุได้สิบเจ็ดปี แม้ไร้ใบบุญสามีให้พึ่งพา แต่แม่ก็ยังต่อสู้หาเลี้ยงตัวเองตามลำพังด้วยเพราะยังหวังว่า สักวันหนึ่ง ลูกชายเพียงคนเดียวของหล่อนจะหวนกลับมาหา กระนั้นการจมอยู่ในห้วงความทุกข์ระทมเป็นเวลานาน ก็ทำให้มารดาผู้น่าสงสารของเขาตรอมใจตายก่อนที่ลูกชายจะกลับบ้านได้เพียงสี่เดือน

พอเล่าจบ ญาติห่าง ๆ คนนั้นก็พูดให้สติว่า ในโลกนี้ ไม่มีพ่อแม่คนไหนจะโกรธลูกได้นาน...

ซึ่งประโยคสั้น ๆ นั้นเองที่ทำให้คเชนทร์สำนึกได้ว่า ความเจ็บปวดเมื่อต้องรับรู้ถึงการตายของพ่อกับแม่ ยังเบาบางกว่าการได้รู้ว่า ทิฐิไม่ใช่หนทางแก้ปัญหา หากแต่เป็นการให้อภัยทั้งต่อบิดามารดา รวมถึงการให้อภัยตัวเองต่างหากที่คเชนทร์ควรทำตั้งแต่เมื่อครั้งยังมีโอกาส

เพราะฉะนั้น... ครอบครัวที่สมาชิกยังอยู่กันพร้อมหน้าอย่างครอบครัวของเวลาจึงยิ่งไม่ควรต้องประสบพบเจอกับเรื่องดราม่าเพราะการตัดสินใจผิดพลาดเหมือนที่เขาเคยเจอ

“ผมจะพยายาม”

“อืม” ไม่รู้ทำไม แต่ทันทีที่ได้ยินธามรับคำด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจัง อีกทั้งเมื่อสบตากับอีกฝ่ายแล้วมองเห็นความมุ่งมั่นอยู่ในนั้นอย่างเต็มเปี่ยม จู่ ๆ คเชนทร์ก็รู้สึกว่า หัวใจเต้นแรงจนผิดสังเกตจนตัวเขาเองยังตกใจ

“เอ่อ... ผมต้องขอโทษคุณด้วยนะที่บังคับให้คุณต้องทนฟังผมพูดเสียยาวเลย” เจ้าของร้านดอกไม้ไม่อาจมองหน้าพ่อของเวลาตรง ๆ ได้อีกต่อไป อาการใจเต้นตูมตามเมื่อครู่ ไหนจะการระลึกรู้ว่าตนเผลอทำตัวเลอะเลือนได้อย่างน่าประหลาดกำลังทำให้คเชนทร์ประหม่าจนวางท่าไม่ถูก “แล้วก็... ขอบคุณคุณมาก ๆ ที่ช่วยผมไว้เมื่อกี้”

“ไม่เป็นไร”

“คุณคงจะอยากกลับบ้านแล้ว... ถ้าอย่างนั้น ผมไม่รบกวนคุณดีกว่า เชิญครับ” เจ้าบ้านผายมือไปที่ประตูพลางลุกขึ้นยืนมองกดดันอาคันตุกะ

“เดี๋ยว...” การที่คเชนทร์เปลี่ยนท่าทีกะทันหันทำให้ธามงุนงง แต่เมื่อหางตาเหลือบไปเห็นเข็มยาวที่เลื่อนจากตำแหน่งเดิมไปเกือบครึ่งหนึ่งของหน้าปัด เจ้าของร้านขนมปังก็อดเป็นห่วงมารดาไม่ได้ “โอเค ผมกลับดีกว่า”

หลังจากส่งแขกและปิดประตูลงกลอนครบทุกบาน คเชนทร์ก็กลับมานั่งกุมหน้าด้วยความอับอายอยู่เนิ่นนานหลังจากตระหนักได้ว่า ตนได้เผลอเล่าเรื่องส่วนตัวให้ธามฟังไปจนหมดสิ้น เมื่อกี้เขาต้องฟั่นเฟือนไปแล้วแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงจะปล่อยให้คนไม่มีมารยาทคนนั้นนั่งฟังปัญหาชีวิตสุดรันทดของตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบหรอก
                             

••• TBC ••


ใครที่รอปลาวาฬอยู่ อ่านตอนนี้แล้วอย่าเพิ่งยู่หน้ายี้เรานะคะ
สัญญาเลยว่าตอนหน้าเจ้าวาฬน้อยจะกลับมาเรียกคะแนนให้คุณพ่อแล้วค่ะ
อ่านแล้วชอบ หรือไม่ชอบอย่างไร ทิ้งข้อความไว้ให้เราชื่นชมบ้างน้า

https://www.facebook.com/asmileofsilenceAKAmalimaru/ ฝากเพจด้วยนะคะ (กดตรงนี้เลย) ^^


No comments:

Post a Comment