Monday, July 9, 2018

• รักหลอก ๆ ต้องบอกลุง •||#17 & แจ้งลา|| 09.07.2018


#17

ค่อย ๆ รักเธอ มากขึ้นทุกวัน ทุกวัน
ค่อย ๆ รักเธอ ก็เพราะว่าเธอคือเธอ
ขอเพียงสิ่งเดียวว่าเธอ จะมีน้ำใจให้กัน
ค่อย ๆ รักเธอ - ป้อม ออโต้บาห์น

…………………………………………………………………………………………………………

ความทรงจำสุดท้ายก่อนนอนเมื่อคืน คือการที่ผมสำเร็จเคล็ดวิชาพลิกตัวไปมาอยู่ในใจหลังจากนอนตัวแข็งตะแคงเกาะขอบเตียงนานหลายชั่วโมง ทว่าเมื่ออาการตื่นผู้สู้ความง่วงไม่ไหว ผมก็ยิงยาวเข้าเฝ้าพระอินทร์อย่างสนิทสนมซึ่งกว่าจะวาร์ปกลับสู่โลกแห่งความจริง เจ้าของเตียงก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

หมดกัน... ความหวังที่จะตื่นมาแอบมองหน้าพี่หนาวตอนนอนจบสิ้นลงเสียแล้ว
แต่แบบนี้ก็ดี ผมจะได้รีบเข้าไปอาบน้ำทำตัวให้สดใสก่อนต้องออกไปเจอลุงแกอีกครั้ง

หลังจากเดินวนหาเสื้อผ้าเก่าของตัวเองที่แขวนไว้ตรงราวข้าง ๆ ตู้เสื้อผ้าอยู่หลายรอบ ผมก็เริ่มเหงื่อตก เพราะนอกจากชุดนอนตัวโคร่งที่ใส่อยู่กับชุดทำงานเรียบกริบตรงหน้าตู้ที่ดูเหมือนจะเป็นของพี่หนาว ก็ไม่มีอะไรที่ผมพอจะใส่ไปทำงานได้เลย แล้วชุดเน่าเมื่อวานของผมไปไหน

ผมลูบหน้า จัดกรอบแว่น พลางเสยผมให้พอดูได้ก่อนจะเปิดประตูออกไปมองหาเจ้าของห้อง จังหวะที่บานประตูแง้มกว้าง ผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะสลับกับเสียงพูดคุยของสองพ่อลูกดังลอดออกมาจากประตูห้องตรงข้ามที่แง้มเอาไว้ ผมเลยถือวิสาสะเคาะประตูแล้วยื่นหน้าเข้าไป

“เอ่อ”
“ปลาทูช่วยปลาวาฬด้วยค่ะ สการ์จะหม่ำพุงปลาวาฬแล้วค่ะ!” สิ้นเสียงหัวเราะร่วน เด็กหญิงในชุดนอนหัวหูฟูฟ่องราว ๆ น้องซิมบ้าก็กรีดร้องเรียกผมพลางเตะขาแกว่งแขนอย่างไร้ทางสู้ ส่วนลุงที่นอนคู้ตัวกอดรัดลูกสาวอยู่ก็บีบเสียงข่มขู่ได้สมบทบาทดีเหลือเกิน

“จะยอมไปอาบน้ำหรือยัง โฮกกก!

ปลาวาฬหัวเราะคิกเพราะที่สุดแล้วพี่หนาวก็หม่ำพุงแกจริง ๆ เด็กหญิงดิ้นหนีอุตลุดก่อนจะยกมือยอมแพ้พลางหอบหายใจ “ยอมแล้ว ฮ่า ๆๆ คุณพ่อ ปลาวาฬยอมแล้วค่ะ”

ผมอมยิ้มเมื่อเห็นเจ้าวาฬน้อยกระโดดลงจากเตียงแล้ววิ่งปรู๊ดหายเข้าไปในห้องน้ำทันทีที่คนเป็นพ่อยอมปล่อยตัว พี่หนาวเหลียวมองผมก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินมาหยุดอยู่ใกล้ ๆ สภาพหลุดรุ่ยดูเซอร์กว่าทุกทีของอีกฝ่ายทำให้ผมคอแห้งจนเผลอกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก... ฮือ ลุงจะเผ็ดร้อนทุกลุคแบบนี้ไม่ได้นะครับ

“คือ... ผมจะถามว่าเสื้อผ้าผมอยู่ไหนเหรอครับ” เพราะยังประหม่าและคิดอกุศลกับคนตรงหน้าไม่เลิก ผมเลยเสมองโปสเตอร์โฟรเซ่นบนประตูห้องน้ำที่ปิดไม่สนิทแทนที่จะมองหน้าลุงแก

“วันนี้คุณใส่เสื้อผ้าของผมไปก่อน ผมแขวนไว้หน้าตู้ให้แล...”
“สการ์!
พี่หนาวยังพูดไม่ทันจบ ปลาวาฬในสภาพเปลือยท่อนบนก็โผล่หน้าออกมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่พ่อ จนพี่หนาวโผเข้าใส่ทำท่าคล้ายจะจับ เจ้าตัวเล็กเลยร้องวี้ดก่อนจะยอมปิดประตูแต่โดยดี “เดี๋ยวถ้าเข้าไปดูแล้วเจ้าหญิงยังไม่อาบน้ำ สการ์จะเข้าไปหม่ำพุงนะครับ”
“ค่า” เสียงสดใสกลั้วหัวเราะดังลอดออกมาจากห้องน้ำ

พี่หนาวยิ้มอย่างอ่อนใจให้ผม “เสื้อผ้าผมอาจจะหลวมหน่อยนะคุณ ส่วนกางเกงในอันนั้นของใหม่” เจ้าของบ้านเงียบไปก่อนจะมองผมหัวจรดเท้าแล้วเอ่ยเบา ๆ พลางอมยิ้ม “คุณน่าจะใส่ไซส์เดียวกับผมนี่แหละ”

เดี๋ยว! เมื่อกี้ผมเห็นนะว่าลุงเหล่อะไรผมอ่ะ “ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ” จะตาฝาดหรือตาไม่ฝาด ผมก็ทนอยู่ตรงนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว... วู้ว! ไอ้สายตาเจ้าชู้ของลุงแกเมื่อกี้ทำผมร้อนวูบวาบไปทั้งตัวเลยวุ้ย
.
.
.
.
“ปลาทูกินแซนวิชไหมคะ” เจ้าวาฬน้อยในชุดนักเรียนเคี้ยวขนมปังตุ้ย ๆ พลางยื่นจานในมือมาตรงหน้าผม

การที่เด็กหญิงปลาวาฬอยู่ในสภาพพร้อมไปโรงเรียนนั้นไม่น่าแปลกใจเท่ากับคนเป็นพ่อที่จวนจะแต่งตัวเสร็จแล้วเช่นกัน เอ ผมก็ไม่ได้อาบน้ำนานเสียหน่อย ลุงแกใจร้อนขนาดต้องแอบไปอาบน้ำห้องลูกสาวเลยเหรอ เพิ่งจะหกโมงครึ่งเอง จะรีบไปไหนกันลุง

“ไม่ครับ เดี๋ยวอาทูไปกินที่ออฟฟิศครับ” ผมยิ้มพลางเลื่อนจานไปตรงหน้าเด็กหญิงเช่นเดิมก่อนจะหันไปสนใจกิจกรรมที่ท่าน HR Director กำลังง่วนอยู่ เมื่อครู่พี่หนาวเพิ่งมัดยางเปียข้างที่สองของลูกสาวเสร็จ พอเห็นแกเอื้อมหยิบโบว์สีขาวที่วางไว้ข้าง ๆ กระเป๋าเป้โฟรเซ่นขึ้นมา ผมเลยเสนอตัวเพราะนอกจากจะมีฝีมือด้านผูกเนกไทแล้ว ผมคิดว่าลุงแกน่าจะอยากแต่งตัวให้เสร็จเสียที

“ให้ผมช่วยนะครับ” ผมแบมือพลางบุ้ยใบ้ขอโบว์ทั้งสองเส้นที่ลุงแกถืออยู่ อีกฝ่ายจึงยื่นให้ก่อนจะกลัดกระดุมแขนเสื้อไปพร้อม ๆ กัน

ลุงไซด์ไลน์ตั้งท่าจะเดินไปแต่แกชะงักแล้วหันกลับมามองผม “ผมไปเตรียมของก่อน เดี๋ยวถ้าปลาวาฬกินแซนวิชหมด ผมฝากคุณหยิบไมโลในตู้เย็นให้แกกล่องนึงได้ไหม”

“ได้ครับ” พี่หนาวก้มลงจุ๊บหน้าผากลูกสาวเร็ว ๆ หนึ่งทีก่อนจะหายลับเข้าห้องนอนไป ฝ่ายผมที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ กับการหอมหัวกันของสองพ่อลูกเมื่อครู่นี้กลับโดนกลิ่นสบู่หอม ๆ ที่ตัวลุงไซด์ไลน์ทิ้งไว้หลอกหลอนจนหน้าร้อนราวกับเป็นไข้ แถมหัวใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะไปเสียอีก

“วันนี้ฝนจะตกไหมคะปลาทู” เด็กหญิงที่นั่งแกว่งเท้าอยู่บนเก้าอี้กินข้าวเงยหน้ามองผมตาแป๋ว แม้จะแปลกใจที่อยู่ ๆ เจ้าวาฬน้อยเกิดนึกอยากรู้เกี่ยวกับลมฟ้าอากาศ แต่ผมก็ไม่รังเกียจที่จะหาคำตอบให้แกเลยสักนิด

“เอ่อ เดี๋ยวขออาเช็กพยากรณ์อากาศก่อนนะครับ” ผมละมือจากหางเปียที่เพิ่งผูกโบว์เสร็จแล้วล้วงมือถือออกมา ทว่าแอพฯ เช็กสภาพอากาศยังไม่ทันเด้งขึ้นหน้าจอ ปลาวาฬก็เอ่ยประโยคที่ทำให้ผมยืนตัวแข็งแข่งกับฝาผนังไปเสียแล้ว

“คุณพ่อบอกปลาวาฬว่าเมื่อคืนฝนตก ปลาทูเลยต้องนอนค้างที่นี่”

แม้ฝ่ามือผมจะเย็นเฉียบแต่เหงื่อกลับไหลโกรกท่วมหน้าผากไล่ลงมายันแผ่นหลัง สาบานเลยว่าถ้าเลวกว่านี้อีกหน่อย ผมคงเผลอตัวภาวนาให้แซนวิชติดคอปลาวาฬเสียเดี๋ยวนั้น เราจะได้ไม่ต้องพูดเรื่องนี้กัน... แต่มันไม่ถูกไง ผมทำแบบนั้นกับเจ้าวาฬน้อยของผมไม่ได้

เอาวะ! ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมก็จะสู้
เอาเลยปลาวาฬ ไม่ว่าหนูจะลงโทษคนที่มาเต๊าะพ่อตัวเองยังไง อาทูก็พร้อมยอมรับความผิดทุกประการ

“อ่า ครับ” ผมมองหน้าเจ้าตัวเล็กด้วยสายตาเว้าวอน

“ปลาวาฬอยากให้ฝนตกทุกวันจังเลยค่ะ ปลาทูจะได้นอนที่นี่ทุกคืนเลย” พูดจบ เด็กหญิงก็อมยิ้มอย่างน่ารักในขณะที่ผมลุ้นจนขี้เกือบหักในไปแล้ว

••••••

“ไปครับลูก ถึงโรงเรียนแล้ว” คนขับเอี้ยวตัวพลางหันไปพยักพเยิดกับลูกสาว จากที่คิดเองเออเองว่าโรงเรียนของปลาวาฬคงอยู่ไกลบ้านเพราะพี่หนาวหอบหิ้วพวกเราลงมาตั้งแต่เจ็ดโมงนิด ๆ แต่เวลาเพียงสิบนาทีที่นั่งจากคอนโดมาถึงลานจอดรถข้าง ๆ โรงเรียน ก็ทำให้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่หนาวถึงตัดสินใจซื้อคอนโดในย่านนี้ ลุงแกคงอยากให้ลูกไป-กลับโรงเรียนได้สะดวกกว่าใครเพื่อนนี่แหละ

“ปลาทูจะเดินไปส่งปลาวาฬด้วยกันไหมคะ”

“ไปสิครับ อาทูอยากรู้ว่าโรงเรียนของปลาวาฬจะสวยสู้โรงเรียนของอาทูได้รึเปล่าน้า” ผมยิ้มก่อนจะรีบลงจากรถแล้วอ้อมไปรับเจ้าตัวเล็ก

วันนี้ปลาวาฬก้าวลงจากรถโดยไม่ต้องให้พ่อช่วยแถมยังสะพายเป้ขึ้นบนหลังอย่างทะมัดทะแมงอีกต่างหาก ผมเลยเขยิบไปเดินข้าง ๆ พลางจูงมือแกเดินไปยังหน้าโรงเรียน “โรงเรียนของปลาทูชื่อโรงเรียนอะไรเหรอคะ”

“โรงเรียนอาทูชื...”
“ม้าสวัสดีครับ” ผมเงยหน้าขึ้นมองพี่หนาวที่หยุดเดินกะทันหัน ท่าน HR Director ยกมือไหว้ผู้หญิงวัยกลางคนตัวเล็ก ๆ ที่เดินมากับเด็กผู้ชายในชุดเครื่องแบบคล้าย ๆ กับที่ปลาวาฬใส่อยู่

“เวลา!” เจ้าวาฬน้อยจูงมือผมวิ่งจู๊ดเข้าไปหาเด็กชาย ผมเลยไม่ทันรู้ว่าหญิงชราที่พี่หนาวทักเป็นใคร “ปลาทูขานี่เวลา เวลาเป็นเพื่อนสนิทของปลาวาฬเองค่ะ”

อ๋อ นี่เหรอคือเวลาที่ปลาวาฬพูดถึงเมื่อวาน... ลูกคุณธามสินะ “สวัสดีครับเวลา” ผมอมยิ้มพลางกวาดตามองเด็กชายเวลาอย่างตั้งใจ ฝ่ายเด็กหญิงที่ยังจับมือผมไม่ปล่อยก็ขิงผมโชว์เพื่อนเสียยกใหญ่

“เวลา นี่ปลาทูที่เล่าให้ฟังไง” เวลาผงกหัวพลางมองหน้าผมนิ่ง ๆ แทนการทักทาย ถ้าถามผม ผมฟันธงได้เดี๋ยวนี้เลยว่า ถึงเด็กชายจะค่อนข้างตี๋แต่โตไปน่าจะหล่อเกาหลีงานดีแบบที่โอปป้าโคเรียนยังต้องยอมแพ้ ถึงอย่างนั้น แววตาของแกกลับดูเศร้าสร้อยใจน้อยอย่างไรบอกไม่ถูก

หลังจากจ้องตากันครู่ใหญ่ เวลาก็ป้องปากกระซิบข้างหูปลาวาฬอย่างมีลับลมคมในก่อนที่เจ้าวาฬน้อยพยักหน้าแรงใส่เพื่อน “ใช่ คนนี้แหละที่มารับปลาวาฬกับคุณพ่อเมื่อวานนี้”

ถึงจะไม่รู้ว่าพวกเด็ก ๆ คุยอะไรกัน แต่ผมแน่ใจว่าเวลาน่าจะขี้อายมาก ๆ ตอนเด็ก ๆ น้องชายผมก็เคยเป็นแบบนี้อยู่พักนึง พอเจอคนแปลกหน้า มันจะชอบหลบอยู่หลังผมกับพี่เอิง พอใครชวนคุย แทนที่จะตอบเขา มันกลับหันมาเป่าหูพวกผมให้คุยแทน บอกตรง ๆ ว่าตอนนั้นไม่เหนื่อยหรอก สนุกดี แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ ๆ ไอ้สามก็กลายเป็นเด็กพูดมากปากรั่วไปเสียแล้ว

“จริง ๆ เมื่อวานนี้คนที่เห็นคุณพ่อกับปลาทูก่อนคือเวลาค่ะ เวลาสายตาดีมาก ๆ เลย ขนาดเล่นกับลูกน้องอยู่ด้วยกัน แต่เวลาก็ยังมองเห็นคุณพ่อเดินมารับปลาวาฬด้วย” ปลาวาฬอวดเพื่อนด้วยสีหน้าภาคภูมิใจไม่แพ้ตอนที่เล่าเรื่องตัวเอง ส่วนเด็กชายก็ก้มหน้ายิ้มอาย ๆ ไม่กล้าจ้องตา น่ารักแบบนี้ผมเลยอดชวนแกคุยไม่ได้

“เวลามีลูกน้องด้วยเหรอครับ”

เด็กชายขยับปากมุบมิบไม่ส่งเสียงก่อนจะพยักหน้าพลางยิ้มมุมปากจ้องผมตาเชื่อม ฮึ่ย... น่าบีบจังเล้ย เด็กอะไร!

“ลูกน้องเป็นแมวของเวลาค่ะ ตัวมันกลม ๆ สีส้ม ๆ น่ารักมาก ๆ เลย”

“เวลา คุณครูมารับแล้ว” ผู้หญิงที่น่าจะเป็นแม่ของคุณธามรวมถึงอาม่าของเวลาแตะบ่าหลานชาย

“ปลาวาฬครับ ไปครับ เข้าโรงเรียนได้แล้ว” พี่หนาวย่อตัวลงนั่งพลางกอดลูกสาว ปลาวาฬหอมแก้มลุงแกดังฟอดก่อนจะโผมาเกาะขาผมแล้วทำหน้าเหมือนพี่ฟี่ตอนมีเรื่องจะเม้าท์ ผมเลยโน้มตัวลงฟังแกใกล้ ๆ

“ปลาทูขา วันนี้ปลาทูมาหาปลาวาฬที่สระอีกนะคะ”

“เอ่อ” ผมมองหน้าเจ้าวาฬน้อยสลับกับลุงไซด์ไลน์อย่างลังเลใจ แม้จะยากเซย์เยสเดี๋ยวนั้น แต่ผมก็อดเกรงใจพี่หนาวกับพี่ป๊อบปี้ไม่ได้ เพราะผมทำให้พวกแกไม่ได้ใช้เวลาตามลำพังกับลูกสาวมาหลายอาทิตย์แล้ว

“นะคะ” เมื่อดวงตากลมแถมยังคมน่ามองสองคู่จับจ้องมองมาเป็นตาเดียว มีหรือที่ผมจะทำใจแข็งอยู่ได้

“ได้ครับ เดี๋ยวเย็นนี้เจอกันครับ” พอได้ฟังคำตอบที่พอใจเด็กหญิงก็ยิ้มกว้างพลางยื่นหน้าเข้ามาหอมแก้มผมเต็มแรง ผมเลยตอบแทนแกไปหนึ่งดอกแบบไม่น้อยหน้ากัน ส่วนเด็กชายเวลาก็กอดขาอาม่าเร็ว ๆ ก่อนจะจับจูงมือเจ้าวาฬน้อยของผมวิ่งดุ๊ก ๆ เข้าโรงเรียนไป แต่พอทั้งคู่ก้าวพ้นรั้วเหล็กได้ชั่วอึดใจ ปลาวาฬก็หันกลับมาโบกมือให้พวกเรา เพื่อนสนิทขี้อายเลยต้องพลอยโบกมือให้อาม่าของตัวเองตามไปอีกคน... โอย น่ารักคูณสองจนผมเผลอกุมใจ

“วันนี้ปลาวาฬไปเรียนว่ายน้ำใช่ไหมหนาว” อาม่าเปรยขึ้นโดยไม่ละสายตาจากแผ่นหลังของเด็กชาย

“ครับ” คู่สนทนาของพี่หนาวทำหน้าบอกบุญไม่รับก่อนจะถอนหายใจพรู ผมเห็นแล้วอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ลุงไซด์ไลน์แกไวกว่า “มีอะไรหรือเปล่าครับม้า”

“ก็ธามน่ะสิ วันก่อนเพิ่งหาเรื่องทะเลาะกับลูก เวลาเลยยิ่งเงียบ ขนาดม้าถามอะไรก็ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยตอบ”

“ถ้าอย่างนั้นเย็นนี้ผมให้ปลาวาฬหยุดเรียนว่ายน้ำวันนึงดีไหมครับ”

“ไม่เป็นไร ๆ เดี๋ยววันนี้ม้าจะดูเวลาเอง หนาวไม่ต้องเป็นห่วงนะ” แม่ของคุณธามดูเวลาก่อนจะบีบมือพี่หนาวเบา ๆ “เดี๋ยวม้าไปก่อนดีกว่า ว่าจะแวะไปซื้อซี่โครงหมูมาต้มเสียหน่อย”

“สวัสดีครับม้า”

“สวัสดีครับ” แม้จะยังไม่รู้ความเป็นมาระหว่างสองครอบครัวนี้สักเท่าไรนัก แต่ผมก็รีบยกมือไหว้ ม้า ตามพี่หนาวก่อนที่แกจะเดินจากไป
.
.
.
.
ระหว่างเฝ้ามองรถบนทางด่วนเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าตามประสาการจราจรช่วงก่อนเข้างาน ผมก็อาศัยเรื่องครอบครัวของเวลามาสนทนาฆ่าเวลากับคนข้าง ๆ “ร้านขนมเมื่อวานที่เราเดินไปรับปลาวาฬคือบ้านเวลาเหรอครับ” 

“ใช่” พี่หนาวเม้มปากพลางเคาะนิ้วกับพวงมาลัยเบา ๆ ผมคิดว่าเขาคงอยากจะพูดอะไรต่อ ผมเลยรอฟังอย่างตั้งใจ “สองปีก่อนตอนที่ผมกับป๊อบปี้เลิกกัน ป๊อบปี้เขาต้องไป ๆ กลับ ๆ เมืองไทยทุก ๆ สองเดือน ผมเองก็เพิ่งลงหุ้นทำบริษัทกับเซนได้ไม่นาน ช่วงแรก ๆ ผมต้องแว่บออกไปรับลูกที่โรงเรียนแล้วพาแกไปนอนรอผมทำงานที่ออฟฟิศ”

ผมมองหน้าพี่หนาวอย่างทึ่ง ๆ แต่ยังไม่ทันพูดอะไรอีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน “แต่โชคดีที่แม่ของเวลาช่วยรับปลาวาฬกลับบ้านไปพร้อมกัน ผมเลยไม่ต้องเป็นห่วงลูกจนไม่เป็นอันทำงาน”

“ถึงว่า ปลาวาฬกับเวลาดูสนิทกันมากเลยนะครับ” ทีนี้ผมก็เลิกสงสัยแล้วว่าทำไมเด็กขี้อายอย่างเวลาถึงคบหากับเด็กร่าเริงสุดขีดอย่างเจ้าวาฬน้อยได้

“เรียกว่าตัวติดกันเลยจะดีกว่า” ลุงไซด์ไลน์อมยิ้มพลางค่อย ๆ ผ่อนเบรคขณะต่อท้ายแถวรอผ่านด่านจ่ายเงินสุดท้ายก่อนพรีอุสจะลงสู่พื้นราบ

“เวลาแกเป็นเด็กขี้อายเหรอครับ ผมเห็นแกคุยแต่กับปลาวาฬ ไม่ยอมคุยกับผมเลย”

“เมื่อก่อนเวลาพูดเก่งนะ แต่พอเสียแม่ แกก็ไม่ค่อยพูดกับใครอีก”

“อ้าว แม่ของเวลาเสียแล้วเหรอครับ” ผมอดตกใจไม่ได้เพราะเท่าที่เจอคุณธามเมื่อวาน ผมเข้าใจว่าตัวผม คุณธาม รวมถึงแม่ของเวลาน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกัน ซึ่งคนรุ่นผมคือวัยก่อร่างสร้างตัว วัยที่กำลังฝันเฟื่องถึงอนาคตที่สดใสรุ่งโรจน์ ไม่ใช่เสียชีวิตทั้ง ๆ ยังเห็นโลกไม่หนำใจแบบนี้ “ทำไมถึงเสียเหรอครับ”

“อืม เพิ่งเสียเมื่อปลายปีที่แล้วนี่เอง ปอดติดเชื้อรุนแรงน่ะ”

“น่าสงสารเวลาจัง”

“อืม เวลาน่าสงสารมากเพราะเขาติดแม่ ตอนแรกผมเกรงใจบ้านของเวลามากที่ต้องเอาปลาวาฬไปฝากไว้ทุกเย็น แต่พอเล็กเสีย ผมว่าดีแล้วที่ปลาวาฬอยู่เล่นกับเวลา เด็ก ๆ จะได้ไม่เหงากันทั้งคู่” พี่หนาวเม้มปากพลางถอนหายใจยาว

แค่รับฟังยังหนักใจแทน ผมเลยอดปลอบใจลุงไซด์ไลน์ไม่ได้ “ต่อให้ตอนนี้เวลาจะยังไม่ยอมพูด แต่ถ้าแกได้ใช้เวลากับปลาวาฬบ่อย ๆ ผมเชื่อว่าวันนึงเวลาจะดีขึ้นครับ” ก็ปลาวาฬน่ารักแถมยังร่าเริงเบอร์นี้ ใครที่ได้อยู่ใกล้ ๆ ก็ต้องพลอยรู้สึกสดชื่นกันทั้งนั้นแหละ

สีหน้าคนขับดูผ่อนคลายเพียงชั่วอึดใจก่อนที่ลุงแกจะขมวดคิ้วแล้วทำหน้าเครียดอีกครั้ง “อืม... คุณ”

“ครับ?” ผมมองรอยย่นบนหน้าผากของอีกฝ่ายด้วยความไม่สบายใจ ทำไมอยู่ ๆ ถึงนิ่วหน้า หรือลุงแกมีปัญหาอะไรกับผม

“อืม... ไม่มีอะไร” จนแล้วจนรอด พี่หนาวก็ไม่พูดอะไรออกมาเสียที ท่าทียึกยักแปลก ๆ ของลุงไซด์ไลน์ทำให้ผมไม่กล้าพูดอะไรอีก จวบจนเมื่อคนขับแตะคีย์การ์ดตรงทางเข้าใต้ตึกและหักพวงมาลัยพาพรีอุสไต่เนินขึ้นลานจอดรถแล้ว ผมก็รีบทำข้อตกลงว่าด้วยพิธีการเข้างานกับอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยวพอลงรถแล้วคุณขึ้นลิฟท์ไปก่อนเลยนะครับ ผมจะรอสักพักแล้วค่อยขึ้นออฟฟิศ”

“ไม่เป็นไรหรอก ขึ้นไปพร้อมกันเถอะ”

“แต่ถ้...”
“ต่อให้ผมไม่ขึ้นลิฟท์พร้อมคุณ ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนนินทาเราหรอกนะ” ดูเหมือนพี่หนาวจะจับทางผมได้ เพราะเมื่อไรก็ตามที่นึกจะเอาแต่ใจ ลุงแกจะอัญเชิญองค์ท่าน HR Director ลงประทับร่างลุงไซด์ไลน์มาสยบผมไปเสียทุกที

“ครับ” ผมก้มหน้ารับคำอย่างจำใจก่อนที่เสื้อเชิ้ตหลวมไปนิด สีสุภาพผิดลุคปกติไปหน่อยที่กำลังสวมอยู่จะทำให้นึกเรื่องสำคัญอีกเรื่องออก “เอ่อ เสื้อกับกางเกง เดี๋ยวอาทิตย์หน้าผมค่อยเอามาคืนนะครับ”

คนขับยกมือซ้ายแล้วโบกไหว ๆ โดยยังใช้เสียงท่านผู้บริหารคุยกับผม “ไว้คุณค่อยคืนผมทีเดียวตอนไปเอาเสื้อคุณที่บ้านผมเลยก็ได้ ผมไม่รีบ”

แปลว่าเร็ว ๆ นี้ผมจะได้กลับไปบ้านพี่หนาวอีกอย่างนั้นสินะ... เย่ส!
โอเคเลยครับพี่หนาว เช้านี้พี่หนาวจะดุด่าเฆี่ยนตีน้องทูยังไงก็ได้ น้องทูสู้ไหว

“ครับ”

“เย็นนี้คุณมีนัดกับปลาวาฬใช่ไหม”

“ครับ” นึกถึงเรื่องเมื่อเช้าแล้วผมก็อดยิ้มไม่ได้ ใครเลยจะคิดว่าผมกับเจ้าวาฬน้อยจะตัวติดกันไวเว่อร์เบอร์นี้

“งั้นผมจะรอคุณที่รถนะครับ” จริงอยู่ที่พักหลัง ๆ ผมมักจะแวะไปเล่นกับเวลาที่คอนโดเกือบทุกเย็น แต่โดยปกติแล้วจะเป็นผมเสียมากกว่าที่พยายามเลียบ ๆ เคียง ๆ ถึงปลาวาฬอยู่เสมอ พอคุยเรื่องเจ้าวาฬน้อยจนเข้าเส้น พี่หนาวก็จะชวนผมกลับบ้านด้วยอย่างเสียไม่ได้ ทว่านี่คือครั้งแรกที่เราสองคนตกลงแผนการกลับบ้านร่วมกันโดยที่ผมไม่ต้องนึกหวั่นว่าหลังเลิกงาน ผมจะได้ใช้เวลากับพี่หนาวไหม แล้วเรื่องอะไรที่ผมจะไม่ตอบรับข้อเสนอของลุงแกล่ะ

“ครับ” ผมพยักหน้ารับคำอีกฝ่ายอย่างว่าง่ายทั้งที่ในใจกำลังร่ำร้องดีดดิ้นด้วยความดีใจขั้นสุด

“คุณ”

“ครับ?” อะไรบางอย่างในน้ำเสียงของพี่หนาวฟังแปลกไป ผมเลยอดหันไปมองหน้าแกไม่ได้ แต่โชคไม่ดีที่แสงในที่จอดรถไม่มากพอ ผมจึงเห็นเพียงลักยิ้มที่ดูคล้ายกับจุดสีดำเข้ม ๆ ข้าง ๆ ริมฝีปากที่ถูกเม้มแน่นจนกลายเป็นเส้นตรงขีดหนึ่งข้างใต้ปลายจมูกโด่ง

อีกแล้ว พี่หนาวเรียกผมก่อนจะนิ่งไปดื้อ ๆ ... ลุงแกเป็นอะไรหรือเปล่าวะ

คนขับเสมองคอนโซลพลางสูดลมหายใจแล้วพูดออกมาโดยไม่มองหน้าผม “ผมชอบเวลาที่คุณเรียกผมว่าพี่หนาวนะ”

ทั้ง ๆ ที่กำลังนึกอยู่ว่าไปเผลอเรียกลุงแกแบบนั้นตอนไหน แต่สายตาคาดหวังกับสีหน้าตั้งใจฟังของอีกฝ่ายทำให้ผมพลั้งปากรีบตอบรับแกไปก่อนจะทันรู้ตัว “ครับ” ... ผมก็ชอบเรียกพี่ว่าพี่หนาวเหมือนกันครับ

บุญบาป พอยอมรับตัวเองแล้วผมก็ดันรู้สึกเขินเอามาก ๆ แถมยังเขินต่อเนื่องยาวนานจนไม่มีหน้าชวนอีกฝ่ายพูดคุยอะไรอีก แต่น่าแปลกที่ตลอดระยะเวลาหลายนาทีที่เราขึ้นลิฟท์ไปพร้อม ๆ กัน ผมกลับรู้สึกว่าพี่หนาวเองดูจะพอใจกับอาการเขินเงียบ ๆ ของผมเอามาก ๆ

••••••

แม้เด็กชายเวลาจะหายหน้าไปหลายวัน แต่คเชนทร์กลับสองจิตสองใจทุกครั้งที่ต้องดึงบานประตูม้วนลง จังหวะที่กำลังเดินไปปิดประตูหน้าร้านดอกไม้ ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติเข้าจนได้

ถ้าจำไม่ผิด วันนี้ทั้งวัน เขาเห็นลูกพี่นอนหมอบจ้องหลืบข้าง ๆ ตู้เก็บของโดยแทบไม่ขยับไปไหน ซึ่งจวบจนเดี๋ยวนี้ แมวหน้ากากก็ยังคงปักหลักอยู่กับที่คล้ายหุ่น ซึ่งเมื่อลองสังเกตดี ๆ อดีตนางโชว์ก็เห็นปลายหางสีส้มโผล่พ้นออกมากระดิกไหว ๆ คล้ายกำลังล้อเล่นกับแสงไฟภายในร้าน

เพื่อความแน่ใจ ชายหนุ่มจึงทรุดตัวลงนอนคุดคู้กับพื้นแล้วเปิดไฟฉายในมือถือส่องใต้ขาตู้ ก่อนจะพบว่ามีดวงตาคู่หนึ่งซึ่งสะท้อนแสงไฟจนกลายเป็นสีเหลืองเรืองรองกำลังจ้องมองเขาอย่างระแวดระวัง

“เฮ่อ... พาเพื่อนที่ไหนมาอีกล่ะฮึ” คเชนทร์หยัดตัวขึ้นนั่งขัดสมาธิพลางอุ้มก้อนขนสีขาวดำขึ้นมาสอบปากคำ ทว่าผู้ต้องหาเพียงหนึ่งเดียวกลับให้การปฏิเสธในทันที

“เมี้ยว” ลูกพี่มองหน้าคเชนทร์อย่างจนใจด้วยไม่รู้จะอธิบายให้ชายหนุ่มฟังได้อย่างไรว่ามันเองก็เป็นหนึ่งในผู้ประสบภัยที่โดนเจ้าแมวส้มรุกรานอาณาเขตไม่ต่างกัน

••••••

“ถ้ายังไม่รีบกลับ วันนี้ทูไปกินข้าวเย็นกับพี่ไหมจ๊ะ”

เพราะประโยคชักชวนของพี่ป๊อบปี้แท้ ๆ เชียวที่ทำให้ผมต้องติดสอยห้อยตามสมาชิกบ้านพี่หนาวมานั่งจุมปุ๊กอยู่ตรงนี้ทั้งที่ปลาวาฬเรียนว่ายน้ำเสร็จไปตั้งแต่เมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว ทำไมครอบครัวนี้ถึงป้ายยาผมจนเชื่องได้ทุกคนเลยวะ

“ช่วงนี้งานหนักไหมทู” ระหว่างรอฟังคำตอบ พี่ป๊อบปี้ก็ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม แสงไฟในร้านอาหารตกกระทบเหลี่ยมเพชรเม็ดเท่ากระดุมเสื้อที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายนั่นทำเอาผมเหม่อมองจนตาลอยด้วยความวิ้งวับจับตาของมัน

“ไม่ครับ แต่เดือนหน้าคงจะหนักหน่อยเพราะจะเริ่ม training แล้ว” (หมายเหตุ: training หรือ ฝึกอบรม)

“ทูเก่งอยู่แล้ว งานหนักแค่ไหนเดี๋ยวมันก็ผ่านไปเนอะ”

“ขอบคุณครับ หมดเดือนหน้าก็เบาแล้วล่ะครับ” พูดง่าย ๆ ก็คือ เมื่อชดใช้กรรมในนรกเทรนนิ่งเสร็จเรียบร้อย คอนซัลท์อย่างพวกผมก็จะล่องลอยกลับขึ้นไปเสวยสุขบนสวรรค์ก่อนจะถูกถีบลงพื้นโลกอีกครั้งเมื่อเริ่มโปรเจคใหม่... จะว่าไป ผมเหลือเวลาอยู่กับพี่หนาวอีกแค่สองเดือนเองนี่หว่า

“อืม แล้วที่ผ่านมานี่หนาวเขารังแกอะไรทูบ้างหรือเปล่า ถ้ามี ทูฟ้องพี่ได้เลยนะ เดี๋ยวพี่จัดการให้เอง”

ฟังพี่ป๊อบปี้แล้วผมก็หัวเราะก่อนจะแอบเหลือบมองลุงไซด์ไลน์ที่พาลูกสาวไปดูเลือกเค้กที่ตู้แช่ด้านหน้าร้าน “ไม่เลยครับ พี่หนาวดีกับผมมาก”

“แล้วลูกสาวพี่ล่ะ ทูคิดว่าแกเป็นยังไงบ้าง”

“ปลาวาฬน่ารักมากครับ แกฉลาด ร่าเริง เป็นเด็กดี มีเหตุผลแล้วก็เชื่อฟังผู้ใหญ่มากเลยครับ” คำถามนี้ ผมตอบพี่ป๊อบปี้ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

ฟังแล้ว คู่สนทนาก็ยิ้มบาง ๆ อย่างแบ่งรับแบ่งสู้ “แต่ตอนแกดื้อนี่ทำพี่ปวดหัวมากเลยนะ”

“ปลาวาฬเคยดื้อด้วยเหรอครับ”

พี่ป๊อบปี้หัวเราะร่วนก่อนจะพยักหน้าเสียยกใหญ่ แม่ปลาวาฬตบโต๊ะเบา ๆ แล้วเม้าท์ลูกสาวแบบไม่มีกั๊ก “ทูต้องเจอตอนแกง่วงมาก ๆ แล้วไม่ได้นอนกับเวลาที่แกป่วยจ้ะ ไหนจะดื้อ ไหนจะอ้อน ไหนจะงอแง พี่ล่ะยอมใจแกเลย”

“ผมว่าถ้าเรารู้สาเหตุที่แกดื้อนี่ดีกว่าไม่รู้อะไรเลยนะครับ เพราะอย่างน้อย ๆ เราก็พอจะรับมือกับแกได้”

สาบานเลยว่าเคสปลาวาฬจะต้องดีกว่าไอ้สามเป็นล้านเท่า เพราะน้องผมน่ะดื้อของจริง หนำซ้ำแทบไม่มีใครในบ้านจับไต๋มันถูกไปเสียอีก ตอนนั้นแม่ผมเลยแก้ปัญหาด้วยการกล่อมไอ้สามนอนตั้งแต่ตอนที่มันเริ่มบ่นว่าง่วง ถ้าป่วยก็พาไปหาหมอ ป้อนยา แล้วก็ให้พ่อ ผม แล้วก็พี่เอิงคอยผลัดเวรมาดูแลมันเป็นพิเศษกว่าทุกที ซึ่งถ้าสุดท้ายมันยังงอแงงี่เง่า แม่ผมจะคุยกับมันด้วยเหตุผลก่อนจะจัดไม้เรียวให้เป็นมาตรการขั้นสุดท้าย... ซึ่งก็น่าแปลกที่พอแม่เรียกหาไม้ ไอ้สามที่ง่วง ๆ ป่วย ๆ อยู่ก็คุยรู้เรื่องขึ้นมาทันที

“ได้ฟังอย่างนี้พี่ก็สบายใจ” ผมยิ้มพลางพยักหน้ารับ “แล้วถ้าพ่อปลาวาฬดื้อล่ะ ทูจะรับมือไหวไหมจ๊ะ”

ฟังคำถามของพี่ป๊อบปี้แล้วผมก็เหวอไป แต่แกกลับยิ้มชอบใจเหมือนคนรู้ทัน “คนภายนอกมักจะบอกว่าหนาวพูดน้อย เย็นชา โลกส่วนตัวสูง แต่ถ้าเขาเปิดรับใครแล้ว คน ๆ นั้นก็จะได้เห็นอีกด้านที่เขาเป็น... ทูเริ่มเห็นอีกด้านของหนาวบ้างแล้วใช่ไหมจ๊ะ”

แม้จะรู้สึกทะแม่ง ๆ แต่ผมกลับพยายามคิดว่าพี่ป๊อบปี้กำลังพูดถึงพี่หนาวในบทบาทของ HR Director ผมจึงยังสงบเยือกเย็นอยู่ได้ “ครับ”

“กับหนาวน่ะ ทูต้องใจเย็น ๆ นะ คนนี้น่ะเครื่องติดช้า... พี่จะคอยเชียร์นะจ๊ะ” แววตาที่สุกใสยิ่งกว่าโคตรเพชรที่แกใส่บอกกับผมว่าพี่ป๊อบปี้จับโป๊ะผมได้ทุกเม็ด

ในเมื่ออีกฝ่ายรู้แล้วว่าผมคิดยังไงกับอดีตสามีของแก แล้วคนกากอย่างผมที่โดนครอบครัวนี้ตกจนไปไหนไม่รอดมาตั้งแต่แรกจะตีมึนแถต่อได้ยังไง “คะ... ครับ”

ผมยังไม่ทันได้พูดได้ถามอะไรต่อ สองพ่อลูกก็กลับมาที่โต๊ะเสียก่อน พี่ป๊อบปี้ยิ้มหวานให้เจ้าวาฬน้อยที่เพิ่งทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ กัน “ว่าไงคะลูก สรุปลูกเลือกเค้กอะไร”

“เค้กช็อกโกแล็ตค่ะ”

พี่ป๊อบปี้หอมผมลูกสาวก่อนจะเหน็บลูกผมที่ปรกข้างแก้มเก็บหลังใบหูเล็ก ๆ ทั้งสองข้างอย่างทะนุถนอม “เดี๋ยวปลาวาฬกลับกับคุณแม่นะคะ”

“แล้วปลาทูล่ะคะ” พอเด็กหญิงหันมามองผมด้วยสายตาคาดหวัง ใจบาง ๆ ของผมก็เกิดหวั่นไหวขึ้นในบัดดล... โอ๊ยตาย ๆ ! คนบ้านนี้จะมีอิทธิพลกับผมมากไปไหม

“คืนนี้อาทูต้องกลับบ้านครับลูก” ผมจำใจปฏิเสธเพราะขืนผมตามใจเจ้าวาฬน้อยอีกครั้ง เชื่อได้เลยว่าหลังจากนี้ การกลับบ้านตัวเองจะกลายเป็นเรื่องยากเย็นและผิดบาปหนักกว่าเดิม

“แต่วันนี้ฝนตกนี่คะ” เด็กหญิงมองหน้าผมอย่างเว้าวอนซึ่งก่อนที่ใครจะถามอะไร ผมก็รีบรวบตึงเพราะไม่อยากอธิบายเรื่องที่คุยกับเจ้าวาฬน้อยไปเมื่อเช้า “อาทูบอกที่บ้านไว้แล้วครับว่าจะกลับบ้าน ไว้วันหลังอาทูจะไปเล่นกับปลาวาฬอีกนะครับ”

Pinky swear

ผมอมยิ้มพลางเกี่ยวนิ้วก้อยเล็ก ๆ ที่ยื่นข้ามโต๊ะมากระดิกอยู่ตรงหน้า “Cross my heart, princess อาทูสัญญาครับ”
.
.
.
.
ทันทีที่พรีอุสจอดตรงหน้ารั้วบ้านผม คนขับก็ยกแขนขึ้นเท้าพวงมาลัยแล้วเอี้ยวตัวหันมาคุยด้วย “ถ้าที่บ้านคุณถามเรื่องเมื่อคืน คุณก็บอกว่าคุณไปนอนบ้านผมนะ แต่ถ้าเขายังไม่เชื่อ คุณจะให้ผมคุยกับที่บ้านคุณให้ก็ได้”

สีหน้าของพี่หนาวจริงจังเสียจนผมซึ้งใจ “ขอบคุณครับ แต่ผมคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ” พูดจบผมก็ปลดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะพาดสายกระเป๋าสะพายขึ้นเหนือไหล่ตั้งท่าพร้อมลงจากรถ “ผมขอตัวนะครับ”

“เดี๋ยวก่อน” ไม่ใช่แค่เสียงของพี่หนาวที่ทำให้ผมหยุด แต่กลับเป็นฝ่ามืออบอุ่นที่รั้งผมเอาไว้ให้ต้องหันกลับไปคุยกัน

“ครับ?” ผมเลิกคิ้วมองหน้าพี่หนาวด้วยความสงสัยก่อนที่จะยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำพูดทิ้งท้ายคุ้นหู

“ฝันดีนะ”

“ฝันดีครับ” ผมเปิดประตูรถพร้อมก้าวลงจากรถไปแต่นึกอะไรได้เลยหันไปบอกอีกฝ่ายเร็ว ๆ “ขับรถดี ๆ นะครับ”

พี่หนาวยิ้มมุมปาก ชะโงกหน้าข้ามเบาะมาใกล้ ๆ แล้วเอ่ยอย่างนุ่มนวล “ได้ครับ ถ้าถึงบ้านแล้วเดี๋ยวพี่โทรหานะ”

“ครับ” สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้หูผมอื้อ หน้าผมร้อนเหมือนกำลังจะจับไข้ ผมรีบตะกายลงจากรถด้วยความดีใจจนลืมยืนส่งอีกฝ่ายเหมือนทุกที

••••••

“ว่ายังไง เจอไหม” หญิงชราถามลูกชายที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาในร้านด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

ธามหลบสายตามารดาพลางยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก “เดี๋ยวก็เจอม้า... ม้าเข้าไปรอข้างในบ้านเถอะ” ชายหนุ่มรุนหลังมารดาให้เดินเข้าด้านใน แต่หล่อนกลับขืนตัวไม่ยอมให้ความร่วมมือ อาม่าบีบแขนบุตรชายพลางถามไถ่ถึงผู้ช่วยอีกคนที่ตระเวนขี่มอเตอร์ไซค์ไปทั่วทุกซอยในละแวกนี้ตั้งแต่เมื่อช่วงหัวค่ำ

“โทรถามอาไอซ์หรือยัง”

“ไอซ์มันขับรถอยู่น่าม้า อีกเดี๋ยวค่อยโทร”

แม้จะรู้ว่าเลือดเนื้อเชื้อไขพยายามควบคุมสติ ไม่โหวกเหวกโวยวายทั้ง ๆ ที่ก็ร้อนใจจนอยู่ไม่สุขพอกัน แต่เพราะหลานชายหายตัวไปทั้งคน หญิงชราจึงไม่สามารถวางเฉยอยู่ได้ “ไปหาตำรวจไหม เขาจะได้มาช่วยตามหาเวลา”

“ถ้าสี่ทุ่มยังไม่เจอ อั๊วจะไปแจ้งความ แต่อีกเดี๋ยวอั๊วจะโทรไปร่วมด้วยช่วยกันกับจส.ร้อย” ธามตั้งใจจะลองตามหาเวลาดูอีกสักรอบก่อนจะร้องขอความช่วยเหลือจากคนนอก แต่นั่นกลับไม่ใช่สิ่งที่อาม่าต้องการ

“โทรเลยสิ ลื้อจะรออะไรล่ะ” หล่อนเขย่าแขนเลือดเนื้อเชื้อไขอย่างร้อนรุ่ม

ธามที่ยังดื้อดึงกับความคิดของตัวเองบอกปัดมารดาเสียงห้วนก่อนจะเดินหนีออกนอกร้าน “ม้าเข้าไปรอข้างในร้านเถอะน่า ขออั๊วเดินไปดูข้างหลังอีกรอบ”

“อาธาม โทรเถอะ ม้าเป็นห่วงหลาน” หญิงชราก้าวตามหลังบุตรชายออกมาหน้าร้านแทบจะพร้อมกัน และทั้งคู่พบว่าคเชนทร์มายืนรอพวกเขาอยู่สักพักแล้ว

“อาม่าครับ เวลาอยู่ที่ร้านผมครับ”

“มึง!” ธามชี้หน้าพลางสืบเท้าจะเข้าไปหาเรื่อง อดีตนางโชว์เห็นท่าไม่ดีจึงรีบถอยหลังกรูดจนอาม่าต้องปราดเข้าไปขวางทาง

“อาธาม!” หล่อนดุลูกชายก่อนจะหันไปถามเจ้าของร้านดอกไม้เพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “เวลาอยู่กับหนูเหรอ”

“ครับ รีบไปกันเถอะครับ” คเชนทร์พยักพเยิดให้ทั้งสองออกเดินตามหลังตนเอง แต่ธามกลับวิ่งแซงนำหน้าทั้งสองไป

เห็นดังนั้น อดีตนางโชว์จึงรีบเร่งฝีเท้าตามเพราะกลัวอีกฝ่ายจะหงุดหงิดจนพาลใส่ลูกเหมือนเมื่อคราวก่อน ทว่าแทนที่เหตุการณ์ร้ายจะซ้ำรอยเดิม ธามที่ล่วงหน้าวิ่งเข้าร้านดอกไม้ไปก่อนกลับเพียงยืนมองเวลาที่นอนหลับอยู่บนพื้นด้วยสายตาเจ็บปวดระคนโล่งอกเท่านั้น

ภายหลังจากที่อาม่าเดินตามพวกเขาเข้ามาด้านใน อดีตนางโชว์จึงเริ่มบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดโดยสังเขป “เมื่อตอนเกือบทุ่มเวลาแกเดินร้องไห้มาหาผม บอกว่าแมวหาย พอถามไปถามมาผมก็เพิ่งรู้ว่าแมวที่เข้ามาแอบในร้านผมก่อนหน้านั้นคือแมวของเวลานี่เองครับ”

คเชนทร์มองหน้าผู้ปกครองทั้งสองอย่างเห็นอกเห็นใจ “ผมพยายามจับแมวออกมาให้แก แต่มันกลัวเลยหลบอยู่ตรงซอกตู้ไม่ยอมออกมา ผมเห็นว่าเย็นมากแล้วเลยกล่อมให้เวลากินข้าวก่อน พอแกกินเสร็จ แกก็มานอนเฝ้าแมวอยู่ตรงนั้นไม่ยอมลุกไปไหน แกคงตกใจและก็เหนื่อยมากเลยผล็อยหลับไปน่ะครับ”

ผู้ใหญ่ทั้งสามพากันถอนหายใจขณะจับจ้องเด็กชายที่กำลังนอนหลับอยู่บนฟูกซึ่งคเชนทร์เอาลงมาปูให้อย่างจำใจ หลังจากเวลาร้องไห้งอแงเพราะไม่ยอมให้เขาอุ้มไปนอนที่อื่น

“โธ่เวลา” อาม่าทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ เด็กชายก่อนจะลูบผมนุ่มนิ่มของเจ้าตัวแล้วก้มลงพูดเบา ๆ ข้างใบหูเล็ก ๆ “เวลา นี่อาม่าเอง”

“อือ” เด็กชายส่งเสียงครางครวญ ก่อนจะดิ้นหนีมือหล่อน

“กลับบ้านกับม่านะลูก”

“ลูกน้อง” กระทั่งละเมอ เด็กชายยังไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจที่จะพาแมวส้มกลับไปบ้านพร้อมกัน ผู้เป็นพ่อเห็นดังนั้นจึงย่อตัวลงนั่งแล้วช้อนร่างปวกเปียกของเลือดเนื้อเชื้อไขขึ้นแล้วพยักหน้าเรียกมารดา

“กลับเถอะม้า ดึกแล้ว” ไม่ทันขาดคำ ชายหนุ่มก็เดินออกไปยืนมองกดดันมารดาอยู่ด้านหน้าร้านจนหญิงชราหน้าม้านเพราะอาการดื้อแพ่งไม่เห็นหัวใครของเจ้าตัว

“ขอบใจมากนะหนู”

เจ้าของร้านดอกไม้แสร้งทำท่าไม่ใส่ใจคนไร้มารยาทก่อนจะฝืนยิ้มให้อาม่า “ไม่เป็นไรครับ” เหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นทำให้คเชนทร์อดคิดไม่ได้ว่า ทุกอย่างคงดีกว่านี้มากหากเวลาไม่ต้องมีธามเป็นพ่อ


••• TBC ••


เราขอแจ้งลาสองอาทิตย์นะคะ พอดีช่วงนี้เรายุ่ง ๆ เลยไม่มีเวลาเขียนตอนต่อไป
สัญญาว่าวันจันทร์ที่ 30 เราจะกลับมาพร้อมตอนใหม่ค่ะ
ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้ต้องรออีกแล้ว (แง อย่าทิ้งเค้านะ เค้าจะกลับมาแน่ ๆ ค่ะ ไม่ต้องกังวล)

No comments:

Post a Comment