Monday, July 2, 2018

• รักหลอก ๆ ต้องบอกลุง •||#16|| 02.07.2018


#16

แอบส่งดอกไม้ไปให้ เธอไม่รู้หรอก
กับสิ่งดี ๆ ให้เธอเธอไม่รู้
ยังคงปิดบังซ่อนอยู่
เธอไม่ต้องรู้ว่าฉันนั้นคือใคร
สายลมที่หวังดี - ทราย เจริญปุระ

…………………………………………………………………………………………………………

“เฮ่ยพี่ทู ดูนั่นดิ”

“อะไร” ผมอดตกใจไม่ได้เมื่ออยู่ ๆ ยีนส์ที่เดินเข้าห้องทำงานมาก่อนผมเพียงเสี้ยววินาทีร้องเจี๊ยกเหมือนเห็นผี แทนที่จะตอบ น้องเล็กที่ยืนทื่อขวางทางกลับชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปตรงเวิร์คสเปซของผมพลางทำหน้าดีใจราวกับกดบัตรคอนฯ วงไอดอลสุดเลิฟได้สิบใบรวด

“มีคนส่งดอกไม้มาด้วยอ่ะพี่ทู”

สิ้นเสียงตื่นเต้นของน้อง ผมก็มองไปยังจุดเดียวกันก่อนความสงสัยจะทำให้เผลอหลุดปากตามยีนส์ไปติด ๆ “ดอกไม้ใครอ่ะ”

ช่อดอกไม้ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ช่อนั้นกินพื้นที่ส่วนนั่งทำงานของผมไปไม่น้อย แม้จะสงสัยว่าเจ้าของเป็นใคร ทว่าลึก ๆ แล้วผมกลับแอบนึกชื่นชมคนให้อยู่ในใจ เพราะถ้าใครคนนั้นไม่ขยันแหกขี้ตาถ่อมาที่ทำงานตั้งแต่เช้า เซอร์ไพรส์ครั้งนี้คงจะไม่สำเร็จ... แต่ถามจริงเหอะ ใครมาเผลอลืมดอกไม้ไว้ตรงโต๊ะผมวะ

จูเนียร์หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะทำหน้าเจ้าเล่ห์ล้อเลียน “ของพี่หรือเปล่า... ถ้าอยากรู้ ทำไมพี่ไม่ลองอ่านการ์ดดูล่ะคะ” ว่าแล้ว ยีนส์ก็ทิ้งกระเป๋าบนเก้าอี้ทำงานตรงอีกมุมห้องแล้ววิ่งเข้ามาสิงผมต่ออีกทอด ผมแสร้งไม่สนใจน้องก่อนจะใช้ปลายนิ้วพลิกการ์ดเล็ก ๆ ใต้โบว์ขึ้นอ่านข้อความข้างใต้

I’m always Two’s - พี่รักทูนะครับ

“หูย คุณหนาวโรแมนติกมาก ๆๆๆ ” เด็กน้อยที่ยื่นหน้าแหลมมาแอบอ่านการ์ดในมือผมเริ่มเพ้อเจ้อเบอร์ใหญ่ “ขนาดเจอหน้ากันทุกวันแต่ก็ยังแอบส่งดอกไม้มาบอกรักพี่อีก... โอ๊ยพี่ทู หนูโคตรอิจฉาพี่เลย แฟนพี่คือดีอ่ะ” จูเนียร์หวีดเสียงดังพลางบิดแขนเสื้อผมเสียยู่ยี่จนพี่ฟี่ที่เพิ่งเดินเข้าห้องมาถึงกับทำหน้างง

“โวยวายอะไรของแกฮะยีนส์ เสียงงี้ดังไปถึงข้างนอกโน่น”

“โหยพี่ฟี่ พี่ฟี่จะไม่ให้หนูกรี๊ดได้ไงล่ะคะ... นี่เลยพี่ ดูนี่” น้องเล็กปรี่เข้าไปช่วยซีเนียร์ประจำทีมถือข้าวของพลางจูงมือขาเม้าท์รายใหญ่ให้เดินตามกันมาหยุดยืนประกบสองข้างของผม “แฟนพี่ทูส่งดอกไม้มาให้พี่ทูค่ะ... สวีทเนอะ”

“จริงเหรอทู” ผมเกือบจะเชื่อแล้วเชียวว่าเบื้องหลังคำถามนั้นคือความสงสัย ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายยิ้มกรุ้มกริ่มแบบที่แกมักจะทำเวลาเจอผมอยู่กับพี่หนาว แต่ผมจะกังวลเรื่องพี่ฟี่ไปทำไมในเมื่อมีเรื่องน่าตกใจยิ่งกว่าเกิดขึ้นตรงหน้าตัวเอง

พี่บูมส่งดอกไม้มาให้ผมทำไม?

“พี่ทู ถ่ายรูปลงไอจีไหมคะ เดี๋ยวหนูถ่ายให้” ยีนส์ยังคงเวิ่นเว้อรุงรัง แต่ผมจะโทษน้องได้ยังไงในเมื่ออีกฝ่ายเข้าใจว่าดอกไม้นี่เป็นของพี่หนาว ที่สำคัญคนปกติที่ไหนก็ต้องดีใจที่แฟนแอบทำเซอร์ไพรส์มากกว่าจะโวยวายเหวี่ยงวีนหรือเปล่าวะ

“เอ่อ อย่าเพิ่งเลย ทำงานก่อนเถอะ” ผมพยายามยกงานขึ้นบังหน้า แต่น้องเล็กยังปรารถนาดีไม่เลิก

“เอาน่าพี่ ถ่ายแป๊บเดียวแล้วก็ติดแฮชแท็ก #คนอวดแฟน สวยๆ คนอื่นจะได้รู้ไงว่าพี่ทูกับคุณหนาวรักกันมากเว่อร์”

“จะแปดโมงครึ่งแล้ว ไว้ก่อนเถอะนะ” ถึงกายหยาบจะยืนอยู่ตรงนี้ แต่จิตวิญญาณผมนี่ก้มลงกราบไหว้อ้อนวอนยีนส์เป็นรอบที่ล้านได้แล้ว

“โห่พี่ทู แป๊บเดียวเอง หนูสัญญาว่าหนูจะไม่แต่งรูปนาน”

“พอ ๆ แยกย้าย ๆ เริ่มงานได้แล้ว เดี๋ยวพี่จี๊ดจะมาแหกอกฉัน” ผมเหลือบมองพี่ฟี่อย่างเลื่อมใส สาบานเลยว่าผมไม่เคยดีใจที่โดนแกจิกใช้ให้ทำงานมากเท่าครั้งนี้

“ค่า” ยีนส์บึนปากรับคำพลางทำหน้าเสียดายในขณะที่ผมได้แต่ก้มมองช่อดอกไม้ในมือด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในใจ

หลังจากพวกเรารวบรวมสตินั่งทำงานไปได้ไม่นาน อยู่ ๆ สองสาวที่นั่งกันคนละมุมห้องก็ส่งเสียงคิกคักราวกับนัดกันมา ผมเลยแสร้งลุกขึ้นยืดเส้นแล้วย่องไปแอบส่องหน้าจอคอมพิวเตอร์ของน้องนุชสุดท้องของทีมก่อนจะพบว่ายีนส์กำลังไล่ดูรูปงานเลี้ยงคาราโอเกะเมื่อหลายวันก่อนอย่างเพลิดเพลิน

“ว่างหรือไง”

“แหม ก็พักสายตาน่ะพี่ทู” จูเนียร์ยักไหล่พลางอมยิ้มอย่างไม่สำนึก เห็นแล้วผมก็อดหมั่นไส้น้องมันไม่ได้

“เดี๋ยวพี่จะฟ้องพี่ฟี่”

“ฟ้องเลย ก็พี่ฟี่นี่แหละที่ชวนหนูเม้าท์” ไม่ทันขาดคำ กล่องข้อความที่ยีนส์คุยโต้ตอบกับพี่ฟี่ก็เด้งขึ้นบนหน้าจอ อื้อหือ หลักฐานคาตาขนาดนี้ แสดงว่ารุ่นพี่ผมสมรู้ร่วมคิดกับน้องมันสินะ

“อ้าวพี่ฟี่ ยังไง ๆ ”

ตัวการใหญ่เดินส่ายอาด ๆ เข้ามาเกาะไหล่ผมแล้วลอยหน้าลอยตาตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “ก็ไม่ยังไงหรอกย่ะ ฉันแค่เห็นอะไรบางอย่างเลยอยากคอนเฟิร์มกับยีนส์ให้แน่ใจ แต่ไหน ๆ แกลุกมาแล้วก็ดี ช่วยดูหน่อยซิว่าแกเห็นอย่างที่พวกฉันเห็นไหม”

“เห็นอะไรวะพี่” ผมมองหน้าซีเนียร์งง ๆ

“เออน่า” พี่ฟี่สะกิดบ่าน้องเล็กประจำทีม “เปิดตั้งแต่ต้นอัลบั้มเลยยีนส์”

จูเนียร์ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดด้วยการคลิกเปิดโฟลเดอร์รูปใหม่อีกครั้งแล้วค่อย ๆ ทยอยเปิดรูปทีละใบอย่างไม่ช้าไม่เร็วพลางอธิบาย “บั้มนี้ไอทีเพิ่งแชร์ลง archive ตอนเก้าโมงพี่”

ผมไม่แน่ใจว่าเมื่อสมัยผมยังเด็ก เรามีอัลบั้มรูปเยอะเท่าทุกวันนี้หรือเปล่า แต่ในยุคที่คนส่วนใหญ่พกพาโทรศัพท์มือถือซึ่งถ่ายรูป (แถมยังเลือกลบและถ่ายใหม่) ได้ทุกเมื่อ ผมพบว่าเราใช้เวลาไปกับการถ่ายรูปมากกว่าจะชื่นชมรูปที่ถ่ายมา ที่สำคัญคือเมื่อรวบรวมภาพถ่ายเหตุการณ์นั้น ๆ จากตากล้องทุก ๆ คนไว้ด้วยกัน เราจะพบว่ารูปแม่งซ้ำกันจนพานรู้สึกหมดอารมณ์อยากดูไปเลย ถึงอย่างนั้น ทฤษฎีที่ว่ากลับใช้ไม่ได้กับอัลบั้มล่าสุดที่เพิ่งผ่านตาผมไปหมาด ๆ

“แกเห็นหรือเปล่าว่าอีบูมมันทำตัวติดกับใครเป็นพิเศษ” แม้จะยังไม่รู้ว่าใครเป็นตากล้อง แต่เท่าที่ดู คนถ่ายน่าจะต้องเป็นหนึ่งในยูสเซอร์แผนก FI เพราะเกือบทุกไฟล์มีภาพของพี่บูมกับคุณไวท์อยู่ร่วมเฟรมเสมอ

“...คุณไวท์เหรอพี่...” นี่ถ้าพลาดรูปพวกนี้ไป ผมคงไม่ทันสังเกตว่าสองคนนั้นสกินชิพกันเกินเบอร์เพื่อนร่วมงาน แต่จะกี่ร้อยพันรูปเหล่านั้นกลับไม่น่าตกตะลึงเท่ากับข้อมูลวงในที่สองสาวสาดใส่กันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันไม่แพ้ละครหลังข่าว

“เออ ฉันได้ยินข่าวลือเรื่องคู่หู FI ตั้งแต่ก่อนพรีเซนต์ Blueprint แต่เพิ่งจะมาแน่ใจหลังได้เห็นรูปพวกนี้นี่แหละ”

“สองคนนั้นเขาคบกันจริง ๆ ใช่ไหมพี่” ยีนส์ชะเง้อคอรอฟังเจ้ากรมข่าวลือด้วยสายตาเปี่ยมความหวังจนผมยังอดนับถือความเผือกของน้องไม่ได้

หัวหน้าทีมเบ้ปากพลางปรายหางตามองยีนส์อย่างตำหนิ “แหม นั่งแทบจะขี่กันทั้ง ๆ ที่โซฟาว่างเตะบอลได้เขาคงจะเป็นแค่เพื่อนเรียนพิเศษด้วยกันหรอกนะยะ”

“แวร้งส์!

“หรือแกว่าไม่จริง” พี่ฟี่หันขวับไปถลึงตาใส่น้องเล็กจนเด็กมันยกมือยอมแพ้

“โหย เรื่องพี่บูมกับคุณไวท์นี่หนูไม่กล้าเถียงพี่ฟี่หรอกค่ะ เพราะหนูเคยได้ยินพวกพี่มิ้มเม้าท์ว่าฝั่ง FI เขาเห็นสองคนนั้นหนุงหนิงกันทั้งวัน ยิ่งคุณพันเลิศไม่ห้าม คุณไวท์ก็ยิ่งขยันแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของพี่บูมแบบออกนอกหน้ามาก”

ผมแอบช็อกหน่อย ๆ ที่มารู้เรื่องของสองคนนั่นเอาป่านนี้
สงสัยผมจะมัวแต่หลบหน้าแฟนเก่า เลยตกข่าวหลังเขาแบบไม่น่าให้อภัย
ถ้าที่สองสาวพูดมาเป็นเรื่องจริง แสดงว่าพี่บูมกับคุณไวท์ก็คบกันก่อนวันที่ผมกับพี่หนาวเจอพวกเขาที่ห้างอย่างนั้นน่ะสิ
โอ้โห อะไรจะเหมาะเจาะพอดีกับตอนที่พี่เมธติดต่อผมมาเลยวะ...

เดี๋ยวนะ หรือว่าที่พี่บูมบอกเลิกพี่เมธเพราะตั้งใจจะคบกับคุณไวท์แบบจริงจัง?
แล้วพี่บูมจะส่งดอกไม้มาให้ผมอีกทำไมล่ะ?

อ๋อ... คงจะคิดว่าผมยังรักมันอยู่สินะเลยคิดจะคบซ้อนอีกรอบ
แม่งเอ๊ย! คิดว่าผมหน้าโง่นักหรือไงถึงจะยอมใจอ่อนกลับไปคบด้วยเนี่ย

ว่าแต่ ทำไมไอ้พี่บูมถึงไม่ยอมคุยกับพี่เมธล่ะ รำคาญเหรอ?
แต่ถ้าพี่บูมเป็นคนบอกเลิก แค่คุยพี่เมธบ้าง ทำไมจะทำไม่ได้วะ?
อีกอย่าง พี่เมธก็อยู่ตั้งไกล รับโทรศัพท์ครั้งสองครั้งคงไม่ถึงตาย เพราะต่อให้ขี้ตื๊อแค่ไหน เขาก็ตามรังควานพี่บูมเป็นเห็บเหาไม่ได้อยู่ดี

เอ หรือผมควรไปคุยกับพี่บูมตามที่พี่เมธขอดูสักครั้งวะ ทุกสิ่งทุกอย่างจะได้จบ ๆ

••••••


“ได้ดอกไม้แล้วใช่ไหม ทูชอบไหมครับ”

“ผมไม่ได้จะคุยกับพี่เรื่องดอกไม้” พอเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาหา ผมก็กระเถิบหนีไปยืนไกลขึ้นอีกหน่อยพลางเหลือบซ้ายแลขวาไปรอบ ๆ ลานจอดรถอีกครั้ง

ที่ผมเลือกลานจอดรถบนชั้นสิบเอ็ดเป็นจุดนัดพบเพราะโควต้าที่จอดรถของพนักงานบริษัทพี่หนาวอยู่ชั้นเก้า ดังนั้น ย่อมไม่มีใครที่รู้จักพวกเราจะบังเอิญผ่านมาเห็นเข้าแน่ ๆ และแม้ที่จอดรถจะไม่พลุกพล่านเหมือนล็อบบี้ แต่หลังเลิกงาน ยังไงก็ต้องมีคนผ่านไปผ่านมาบ้างแหละ ที่สำคัญ มุมที่ผมยืนอยู่นี่ยังใกล้บันไดหนีไฟกับจุดพักของพี่รปภ. เพราะฉะนั้น หากอีกฝ่ายเกิดหน้ามืดขึ้นมา ผมน่าจะเอาตัวรอดได้แหละ

“อ้าว แล้วทูอยากจะคุยอะไรกับพี่ล่ะครับ”

หลังจากรู้เรื่องคุณไวท์ ผมก็อดขนลุกกับสายตาเยิ้ม ๆ ที่พี่บูมใช้มองผมไม่ได้ ผมเลยรีบรวบตึงทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว “เมื่อวันก่อนผมได้คุยกับพี่เมธ เขาขอให้ผมช่วยบอกให้คุณติดต่อกลับไปเพราะเขาเป็นห่วงคุณ ที่ผมจะบอกมีแค่นี้แหละ” พูดธุระจบ ผมก็ชักเท้าหมุนตัวไปอีกทาง แต่ยังไม่ทันได้เดินไปไหน ต้นแขนผมก็ถูกรั้งไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวสิทู คุยกับพี่ก่อน”

“ปล่อย! ผมจะกลับบ้าน” ผมสะบัดมืออีกฝ่ายออกก่อนจะถอยไปตั้งหลักอีกรอบ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เห็นพี่บูมตามมายืนขวางทางตรงหน้า โดยที่ข้างหลังเป็นฝาผนังไม่มีทางออกอื่น... อ้าวเฮ้ย ทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้อ่ะ

“ทู ฟังพี่นะครับ ให้โอกาสพี่พูดหน่อยนะพี่ขอร้อง”

“ผมให้เวลาคุณห้านาที” แม้ต้องจำใจยอมรับสภาพแต่ผมก็ไม่แตกตื่นจนล้มเลิกความตั้งใจในการเล็งหาตัวช่วย

“พี่เลิกกับเมธเพราะพี่รู้แล้วว่าพี่รักทู พี่ขาดทูไม่ได้ ทูกลับมาคบกับพี่ได้ไหม”

“ถ้าคุณพูดเรื่องนี้อีกผมจะกลับเดี๋ยวนี้” ผมยื่นคำขาดเพราะไม่อยากฟังเรื่องน้ำเน่าซ้ำซากจากปากคนมักมากไม่รู้จักพอ

“โอเค ๆ พี่ไม่พูดแล้วครับ แต่ทูฟังพี่นะ... ตอนนี้พี่ไม่มีใครจริง ๆ เพราะพี่ตั้งใจจะจีบทูใหม่อีกครั้ง” พี่บูมฝืนยิ้มพลางถอยหลังคล้ายกับต้องการเพิ่มระยะห่างให้ผมสบายใจ ผมนึกขอบคุณที่อีกฝ่ายยังมีมารยาท แต่อย่าคิดนะว่าทำแบบนั้นแล้วผมจะไขว้เขวหรือเห็นใจ

“คนที่คุณควรใส่ใจคือคุณไวท์ ไม่ใช่ผม”

“พี่กับไวท์ไม่ได้เป็นอะไรกัน!” ชื่อของคุณไวท์คงทำให้พี่บูมหลุดฟอร์ม ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ลืมตัวว้ากผมเสียงแข็ง ยังดีที่แกไหวตัวทัน ประโยคถัดมาเลยฟังละมุนหูผิดกับเมื่อครู่ลิบลับ “ทูให้โอกาสพี่ได้แสดงความจริงใจกับทูได้ไหมครับ นะครับ พี่ขอร้อง”

แปลกดีที่พอตัดใจจากพี่บูมได้เด็ดขาด ผมก็เริ่มรู้สึกตลกทุกครั้งที่เห็นพี่บูมพยายามปฏิเสธความจริงด้วยท่าทางร้อนรนราวกับคนบริสุทธิ์ สงสัยสามปีที่ผ่านมาผมคงจะโง่มากจริง ๆ ถึงไม่เคยดูออกเลยว่า แฟนเก่าถนัดพูดโกหกจนติดเป็นนิสัย

“ผมมีแฟนแล้วและผมรักแฟนผมมาก ส่วนนี่ เอาคืนไป ผมรับไว้ไม่ได้” ผมยังไม่ทันละมือจากช่อดอกไม้ พี่หนาวก็โทรมาเสียก่อน ผมเลยรีบกดรับสายของลุงไซด์ไลน์ทันที “ครับ”

(คุณยังไม่เลิกงานอีกเหรอ ให้ผมไปรับคุณที่ห้องไหม) หลังจากต้องทนฟังเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่นาน การได้ฟังเสียงนุ่ม ๆ ของพี่หนาวก็ทำให้ผมยิ้มออกอีกครั้ง แถมเรื่องน่ายินดีก็คือ ผู้ชายเสนอตัวว่าจะเดินมารับผมถึงที่

แต่เกรงว่าวันนี้คงไม่ดี เพราะผมไม่ได้อยู่ที่ห้องทำงานอย่างที่ไลน์บอกอีกฝ่ายไปตอนก่อนเลิกงาน “ไม่ต้องมารับทูหรอกครับ ทูกำลังลงไปครับพี่หนาว”

(โอเค งั้นเดี๋ยวเจอกันที่รถนะครับ)

“ครับ เดี๋ยวทูจะรีบไปครับ” ผมรีบตัดสายก่อนจะผลักพี่บูมไปอีกทางแล้ววิ่งลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว “ขอตัวนะครับ”
.
.
.
.
“ขอโทษนะครับที่ทำให้รอ”

“ผมก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน” คนขับเหลือบมองผมก่อนจะวางสายตาลงบนช่อดอกไม้ในมือ “ดอกไม้สวยดีนะ”

สาบานว่าเมื่อกี้คือลุงแกตั้งใจชม ไม่ได้สาปแช่ง แหม... เสียงเข้มกว่าเอสเพรสโซ่ดับเบิ้ลช็อตไปอีก

“อ่า ครับ” ทันที่ที่สัมผัสได้ว่าพี่หนาวอาจกำลังหงุดหงิดที่ผมมาช้า หรือไม่ก็น่าจะติดใจเรื่องดอกไม้ ผมจึงยอมเปิดปากเล่าเรื่องพี่บูมให้อีกฝ่ายฟังแต่โดยดี “พี่บูมซื้อให้น่ะครับ เมื่อกี้ผมเลยตั้งใจจะเอาไปคืน”

“อืม” ลุงแกทำท่าเหมือนตั้งใจขับรถ ไม่ได้ซักไซ้อะไร แต่การหักพวงมาลัยแล้วดริฟท์เครื่องทิ้งโค้งนิด ๆ ตามสไตล์ดอม โทเรตโต (ที่ห่างหายกันไปนาน) บอกให้รู้ว่า พี่หนาวกำลังรอฟังคำอธิบายทั้งหมดจากผมอยู่

“จริง ๆ ผมไม่ได้ตั้งใจจะเอาดอกไม้ไปคืนอย่างเดียวหรอกครับ ผมไปคุยกับเขาเรื่องพี่เมธ”

คนขับขมวดคิ้วพลางนิ่วหน้า “พี่เมธ?”

“ก็สจ๊วตแฟนพี่บูมที่ผมเคยเล่าให้ฟังนั่นแหละครับ”

“แล้วทำไมคุณต้องไปคุยกับแฟนเก่าคุณเรื่องแฟนของเขาด้วยล่ะ”

“อาทิตย์ที่แล้วพี่เมธพยายามติดต่อผมเพราะอยากให้ผมคุยกับพี่บูมน่ะครับ” ระหว่างที่อธิบาย ผมต้องหักห้ามใจอย่างหนักที่จะไม่ยื่นมือไปนวดหัวคิ้วของคนขับให้คลายออกจากกัน สีหน้าพี่หนาวที่ฟ้องว่าเจ้าตัวหงุดหงิดไม่เข้าใจทำให้ผมจำเป็นต้องเรียบเรียงความคิด ก่อนจะย่อความเพื่อสรุปเรื่องราวทั้งหมดให้ลุงแกฟังอย่างรวบรัด ไม่ยืดเยื้อ

“คืออย่างนี้ครับ หลายวันก่อนพี่เมธส่งข้อความผ่านเฟซมาหาผม บอกว่า พี่บูมขอเลิกกับพี่เมธเมื่อประมาณสองอาทิตย์ที่แล้ว พอบอกเลิกเสร็จ พี่บูมก็หายสาปสูญติดต่อไม่ได้ พี่เมธเป็นห่วงเลยอยากให้ผมช่วยบอกให้พี่บูมติดต่อกลับไปน่ะครับ”

“แล้วทำไมคุณสจ๊วตถึงต้องไหว้วานคุณด้วยล่ะ คนอื่น ๆ ที่รู้จักกับแฟนเก่าคุณก็น่าจะยังมีอีกไม่ใช่เหรอ”

ไม่ใช่แค่พี่หนาวหรอกที่สงสัย ขนาดตัวผมนั่งคิดนอนคิดอยู่หลายวันก็ยังไม่ได้คำตอบ แต่ผมดันตัดสินใจช่วยพี่เมธไปแล้วนี่สิ “เรื่องนั้นผมก็ไม่รู้ครับ บอกตรง ๆ ว่าผมไม่อยากยุ่งกับทั้งพี่เมธแล้วก็พี่บูมสักเท่าไร”

คนขับถอนหายใจ “แต่สุดท้ายคุณก็ยอมช่วยคุณสจ๊วตจนได้”

“ครับ แต่สาเหตุที่ผมตัดสินใจจะไปคุยกับพี่บูมเพราะผมคิดว่าพี่บูมน่าจะเจอคนใหม่เลยทำให้ไม่ยอมคุยกับพี่เมธ ทางนั้นเลยเป็นห่วงน่ะครับ”

“คุณแน่ใจได้ยังไงว่าเขามีคนใหม่จริง ๆ ”

ระหว่างก้มหน้าก้มตาสารภาพ บอกเลยว่าผมเผลอตัวจิกปลายเท้าลงกับพรมอยู่หลายครั้ง ทั้งตอนที่ลุงแกเร่งเครื่องนำพรีอุสพุ่งทะยานฝ่าไฟเขียวอมเหลืองไปอย่างฉิวเฉียด รวมถึงตอนนี้ ที่อีกฝ่ายเร่งเครื่องขับจี้คันหน้าแล้วปาดซ้ายป่ายขวาแบบน่าทำปืนลั่นใส่เสียจริง ๆ ... พี่หนาวโกรธอะไรใคร ไหนเล่าให้น้องทูฟังซิครับ

“ผมได้ยินคนอื่นพูดกันเรื่องเขากับแฟนใหม่เขาน่ะครับ”

“ถ้าเขาคบใครใหม่จริงแล้วเขาจะซื้อดอกไม้ให้คุณทำไม”

ฟังคำถามนี้แล้ว ผมก็เริ่มถอนหายใจแข่งกับท่าน HR Director อย่างไม่กลัวเกรง
เวร แล้วผมควรจะตอบลุงแกยังไงดี... อ๋อ พี่บูมให้ดอกไม้ผมเพราะพี่บูมตั้งใจจะจีบผมให้กลับไปกินน้ำใต้ศอกของเขาอีกครั้งน่ะครับ ตอบแบบนี้จะดีเหรอ?

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ” ผมก้มลงมองนิ้วมือตัวเองสลับกับรอยยับบนกลีบดอกกุหลาบเพราะไม่กล้าสู้หน้าคู่สนทนา

“ทู ผมรู้ว่าคุณมีเรื่องไม่สบายใจ แต่ถ้าคุณไม่เล่าให้ผมฟัง ผมก็ไม่รู้ว่าจะช่วยคุณได้ยังไงนะ” น้ำเสียงนุ่ม ๆ ที่คุ้นเคยทำให้ผมยอมเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ผมจับจ้องใบหน้าด้านข้างของพี่หนาวด้วยหลากหลายความรู้สึกที่ผสมปนเปกันมั่วไปหมด แต่ทันทีที่ได้ยินประโยคหลังจากนั้น จิตใจของผมก็สงบลง “คุณไว้ใจผมได้นะทู”

อันที่จริง พี่หนาวไม่จำเป็นต้องย้ำประโยคเมื่อครู่อีกเลยก็ได้ เพราะตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ความลับเรื่องที่เราไม่ได้เป็นอะไรกันคงแตกไปตั้งแต่วันเริ่มโปรเจคและตัวผมคงตั้งต้นใหม่ไม่ได้เร็วขนาดนี้

ผมไว้ใจเขาและพร้อมจะยืนยันความรู้สึกตัวเอง เพราะฉะนั้น ถ้าพี่หนาวอยากรู้เรื่องผม ผมก็พร้อมจะเล่า “เมื่อกี้ตอนคุยกัน เขาขอโอกาสจากผมครับ เขาบอกว่าอยากจะกลับมาคบกับผมอีกครั้ง”

คู่สนทนานิ่งไปพักหนึ่งแต่ที่สุดแล้วลุงแกก็ถามออกมาเบา ๆ “เหรอ แล้วคุณบอกเขาไปว่ายังไง”

“ผมบอกว่าผมมีแฟนแล้ว ยังไงผมก็จะไม่กลับไปคบกับเขาเด็ดขาดครับ”

“อืม”

“ที่นัดพบเขาวันนี้เพราะผมตั้งใจจะบอกเขาเรื่องพี่เมธแล้วก็คืนดอกไม้นี่แหละครับ แต่พอดีคุณโทรมา ผมเลยไม่ทันได้คืนดอกไม้... รู้อย่างนี้ผมทิ้งมันไปตั้งแต่เช้าเสียก็ดี”

ผมปรายตามองช่อดอกไม้บนตักอย่างหงุดหงิด เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยมั้งที่ผมได้ของขวัญจากพี่บูมแล้วผมไม่ดีใจ ไม่ต้องถามหรอกว่าตอนคบกันเป็นยังไง ลองไถไทม์ไลน์เฟซบุ๊ค ไอจี หรือทวิตเตอร์ของผมดูสิ รับรองว่าทั้งคลิป ทั้งรูปที่ผมเคยลงอวดความสุขจุกอกในวันวานจะทำให้คุณรู้สึกรำคาญได้ภายในสามนาที

“ถ้าคุณไม่ได้คิดอะไรมาก ดอกไม้ก็จะเป็นแค่ดอกไม้”

“ครับ” ผมรับฟังคำปลอบใจของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง

“แต่ถ้าคุณลำบากใจ คุณจะให้ผมไว้ก็ได้นะ”

“หืม?” บุญบาป เมื่อกี้ลุงแกพูดอะไร พี่หนาวจะเอาดอกไม้ที่ผมไม่ต้องการไปทำไม อย่าบอกนะว่าเสียดาย

“นาน ๆ มีดอกไม้สดอยู่ในบ้านก็น่าจะสดชื่นดี ปลาวาฬคงจะชอบ” จริงอยู่ที่ผมไม่ควรส่งต่อดอกไม้ (ที่แฟนเก่าซื้อให้ด้วยใจไม่บริสุทธิ์) ให้กับผู้ใหม่ที่ผมอ้อยอยู่ แต่ถ้าเจ้าวาฬน้อยชอบและถ้ามันจะช่วยให้ผมไม่ต้องอารมณ์เสียอีก ผมก็ถือว่าเราต่างวิน วินกันทุกฝ่าย

“ถ้าคุณไม่รังเกียจ เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ” ผมยักไหล่ก่อนจะต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าพรีอุสกำลังเลี้ยวผ่านป้อมยามตรงด้านหน้าคอนโดของพี่หนาว เออใช่ วันนี้วันอังคาร ปลาวาฬไม่มีเรียนว่ายน้ำ แล้วทำไมลุงแกถึงพาผมมาที่นี่ล่ะ “ไม่ไปรับปลาวาฬแล้วเหรอครับ”

พี่หนาวหัวเราะเบา ๆ พลางถอยรถเข้าซองจอดอย่างช่ำชอง “ไปสิ แต่เดินไปนะ”

เมื่อจอดรถเสร็จ เจ้าถิ่นก็พาผมเดินเลาะรั้วคอนโดไปจนสุด ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าตรงมุมกำแพง มีป้อมยามตั้งอยู่ ข้าง ๆ กันคือประตูเหล็กบานเล็ก ๆ “สวัสดีครับ เชิญครับคุณหนาว” คุณลุงยามหน้าตาใจดียกมือตะเบ๊ะพลางเอ่ยทักพี่หนาวอย่างแข็งขันก่อนจะเปิดประตูให้พวกผมเดินออกไป

“ขอบคุณนะครับ” ลุงไซด์ไลน์เดินนำผมผ่านประตูเข้าสู่ตรอกเล็ก ๆ ที่ไม่ลึกนัก ท่าทีของทั้งพี่หนาวและคุณลุงยามที่ดูคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า ทั้งคู่น่าจะเจอกันทุกวันเป็นปกติวิสัย แต่ก่อนที่ผมจะคิดวิเคราะห์แยกแยะไปถึงไหน ๆ เสียงจ้อกแจ้กจอแจจากถนนใหญ่และตึกแถวที่เห็นอยู่ข้างหน้าก็ทำให้ผมประหลาดใจได้อีกหน

“หลังคอนโดเป็นตลาดเหรอครับ”

“ใช่ แถวนี้เป็นย่านร้านค้าเก่าแก่น่ะ บางร้านอยู่มาก่อนผมเกิดอีกนะ”

“สะดวกจังเลยครับ”

พี่หนาวพลางพยักหน้าก่อนจะเบี่ยงเลี้ยวซ้ายนำผมเดินไปตามทางเท้าด้านหน้าตึกแถวสามชั้น “ไว้คราวหลังผมจะพาคุณไปกินของอร่อยนะ”

“ครับ” ผมเหลือบมองแผ่นหลังกว้างของคนที่เดินอยู่ข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม... ที่เอาอาหารมาล่อนี่คืออ่อยใช่ไหม ผมกำลังถูกลุงแกตกอยู่หรือเปล่าวะ

“ถึงแล้ว” สิ้นเสียง พี่หนาวก็พาผมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเบเกอรี่แห่งหนึ่ง ดูจากสภาพแล้วผมเดาว่าร้านนี้น่าจะเปิดมานานหลายปี หรือไม่ก็ใกล้เจ๊งเต็มที เพราะสภาพเก่าโทรมดีเหลือเกิน แต่พอเจ้าถิ่นพาผมเดินผ่านประตูเข้าด้านใน กลิ่นนมเนยหอมตลบอบอวลก็ทำให้ตู้กระจกกับชั้นวางขนมโล่ง ๆ กลับดูมีมนตร์ขลังอย่างไรบอกไม่ถูก... อ่า ร้านนี้คงยังไม่เจ๊งหรอก แต่เจ้าคงอินดี้แรงอยู่ ไม่อย่างนั้นคงไม่ปล่อยให้หน้าร้านให้ดูลอฟท์ ๆ เซอร์ ๆ เบอร์นี้

ผมสาวเท้าก้าวไปหยุดข้าง ๆ คนนำทาง ลุงไซด์ไลน์กดกริ่งข้าง ๆ บานประตูกระจกซึ่งติดฟิล์มสีดำสนิท รอเพียงไม่นาน ประตูบานนั้นก็ถูกเปิดจากด้านในโดยผู้ชายหน้าตี๋ที่น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม หากแต่ตัวสูงใหญ่สูสีพอ ๆ กับพี่หนาว

“พี่หนาว มารับปลาวาฬเหรอครับ” ชายแปลกหน้ามองผมสลับกับพี่หนาวอย่างสงสัย

“ใช่” คนข้าง ๆ หันมายิ้มให้ก่อนจะผายมือ “ธามนี่ทู ทูนี่ธาม เจ้าของร้าน”

“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”

“เช่นกันครับ” หลังจากพี่หนาวแนะนำเราสองคนให้รู้จักกัน ผมก็สัมผัสได้ว่าคุณธามดูผ่อนคลายและเริ่มจะเป็นมิตรกับผมมากขึ้น สงสัยพี่แกจะเป็นพวกเก็บเนื้อเก็บตัวล่ะมั้ง

เจ้าของร้านขนมยิ้มให้ผมก่อนจะหันไปคุยกับพี่หนาว “เดี๋ยวผมขึ้นไปเรียกปลาวาฬให้นะพี่”

ไม่ทันขาดคำ ผมก็ได้ยินเสียงวิ่งตึงตังลงบันไดมา จากนั้นร่างเล็ก ๆ ของเด็กหญิงที่ผมคิดถึงมาตลอดวันก็ถลาเข้าใส่แบบเต็มรัก “ปลาทู!

“ว่ายังไงครับคนสวย” จากเกาะแข้งเกาะขาในช่วงแรก ๆ เดี๋ยวนี้ปลาวาฬกับผมตัวติดกันถึงขั้นที่ผมต้องอุ้มอีกฝ่ายระหว่างพูดจาทักทายกันไปเสียแล้ว “รู้ได้ไงครับว่าอาทูมารับ” ผมเขี่ยแก้มนุ่มนิ่มของเด็กหญิงอย่างเพลิดเพลิน

“ปลาวาฬเห็นอาทูกับคุณพ่อเดินอยู่ข้างล่างค่ะ”

ผมเหลือบไปมองพี่หนาวเพื่อส่งสายตาถาม แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังคุยเคร่งเครียดอยู่กับคุณธาม ผมจึงต้องไขปริศนาฟ้าแลบของเจ้าวาฬน้อยด้วยตัวเอง “ปลาวาฬเห็นอาทูได้ยังไงครับ”

“ปลาวาฬเล่นกับเวลาอยู่บนดาดฟ้า มองลงมาก็เห็นคุณพ่อกับปลาทูค่ะ”

นี่ปลาวาฬวิ่งตึง ๆ ลงจากดาดฟ้าเพื่อมาหาผมเลยเหรอ
โอยหนูลูก อาทูรักหนูจนไม่รู้จะรักยังไงแล้วครับ ว่าแต่ เวลาคือใครหนอ

ก่อนผมจะได้ซักไซ้ปลาวาฬต่อ คุณพ่อรูปหล่อก็แทรกขึ้นกลางคัน “ไปลูก ลาอาธามก่อนครับ” พี่หนาวพยักหน้าใส่ลูกหนึ่งที เด็กหญิงก็ดิ้นขลุกขลักคล้ายอยากจะลงสู่พื้น สุดท้ายผมเลยปล่อยแกให้ยืนเองอย่างที่ขอ

“สวัสดีค่ะอาธาม” ปลาวาฬออกสเต็ปไหว้ติ๊ดชึ่งอีกครั้ง ซึ่งนั่นทำให้ทั้งผมและคุณธามหลุดยิ้มด้วยความเอ็นดู

“ไปก่อนนะธาม ไว้วันไหนกินข้าวกัน”

พี่หนาวตบบ่าธามเบา ๆ จากนั้นเจ้าของร้านก็แค่นยิ้มบาง ๆ พลางปั้นสีหน้าให้กลับเรียบเฉยเหมือนตอนที่ผมเห็นเขาครั้งแรก “ได้ครับพี่ พี่ว่างวันไหนก็นัดมาได้เลย”

“ไปค่ะปลาทู กลับไประบายสีพี่โอลาฟกัน”

“พวกเราไประบายสีพี่โอลาฟกันเลย!” เมื่อเห็นสีหน้าพร้อมกลับบ้านของเจ้าวาฬน้อยเต็มตา ผมก็หันไปพยักหน้าลาคุณธามพอเป็นพิธีก่อนจะยอมให้เด็กหญิงจูงมือกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากร้านด้วยความกระตือรือล้น

••••••

คเชนทร์ละสายตาจากหน้าร้านเพื่อเหลือบมองนาฬิกาบนผนังอีกครั้งก่อนจะทอดถอนใจ นอกจากวันนี้เวลาจะไม่แวะมาที่ร้านดอกไม้แล้ว กระทั่งอาม่าซึ่งมักจะเดินผ่านหน้าร้านเขาทุก ๆ วันหลังจากรับเวลากลับจากโรงเรียน ชายหนุ่มก็ยังไม่เห็น แม้ใจจะนึกห่วงเด็กชาย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนก็ทำให้อดีตนางโชว์ไม่กล้าไปตามสอดส่องอีกฝ่ายถึงบ้าน

“คิดถึงเวลาไหมลูกพี่” คเชนทร์เปรยถามก้อนกลม ๆ สีดำที่นอนขดตัวอยู่ในกล่องบนพื้นด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ลูกพี่เงยหน้าขึ้นจ้องตาเขาราวกับรู้ภาษาก่อนจะร้องออกมาเบา ๆ

“เมี้ยว”

“อือ ฉันก็คิดถึงเวลาเหมือนกัน” เจ้าของร้านหลับตาพลางคลี่ยิ้มบางเบาเมื่อเพื่อนร่วมชายคาย้ายขึ้นมานอนขดตัวข้าง ๆ กันคล้ายกับต้องการปลอบใจ

••••••

Good night ค่ะปลาทู”

“ราตรีสวัสดิ์ครับคนสวยของอา” หลังโดนผมหอมจนแก้มยู่ เจ้าตัวเล็กก็หอมแก้มผมกลับก่อนที่เจ้าตัวจะต้วมเตี้ยมเข้าห้องนอนไปแต่โดยดี ผมมองส่งเด็กหญิงจนพอใจก่อนจะหันกลับมาบอกลาพี่หนาว แต่อยู่ ๆ กลับมีสายเข้าซึ่งเบอร์บนหน้าจอคือหมายเลขที่ผมตัดสายทิ้งไม่ได้

“พี่ฟี่โทรมาครับ ไม่รู้ว่ามีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า”

“ถ้างั้นคุณคุยโทรศัพท์ไปก่อนนะ เดี๋ยวผมออกมาส่ง” ผมพยักหน้ารับแล้วจึงคุยโทรศัพท์เรื่องงานกับรุ่นพี่จนลืมเวลา รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เหลือบไปเห็นเจ้าของบ้านเดินออกมาจากห้องนอนของเจ้าวาฬน้อยแล้วนั่นแหละ

“ขอผมนั่งทำงานอีกสักพักนะครับ เหลืออีกนิดเดียวก็น่าจะเสร็จแล้ว” แม้จะละสายตาจากหน้าจอโน้ตบุ๊คเพื่อสนทนากับอีกฝ่าย แต่สองมือผมก็ยังไม่หยุดพิมพ์

ผมต้องรีบจบสเปคตัวนี้ให้ได้ก่อนกลับบ้าน ไม่อย่างนั้นงานมีปัญหาแน่

เจ้าของห้องส่ายหัวพลางยิ้มอย่างเข้าใจ “ไม่เป็นไร คุณทำงานต่อเถอะ เดี๋ยวผมจะเข้าไปเตรียมของในครัวหน่อย”

พี่หนาวปล่อยให้ผมทำงานต่ออย่างอิสระ ส่วนผมที่แม้จะเกรงใจ แต่สเปคของโปรแกรมที่ต้องเร่งส่งต่อให้โปรแกรมเมอร์ภายในคืนนี้ก็ดูดผมเข้าสู่วังวนของการทำงานอย่างรวดเร็ว แม้ก่อนหน้านี้ผมจะเริ่มเขียนสเปคโปรแกรมที่ว่ามาบ้างแล้ว แต่เนื่องจากพี่จี๊ดยังไม่ฟันธงคิวของโปรแกรมเมอร์มือดีมาเสียที ผมจึงจับงานอื่นที่ด่วนกว่ามาทำก่อน ทว่าเมื่อตอนสองทุ่มพี่จี๊ดก็โทรมาคอนเฟิร์มพี่ฟี่เรื่องดีลอาทิตย์เดียวของโปรแกรมเมอร์ ผมกับซีเนียร์เลยต้องรีบปั่นสเปคให้เสร็จภายในคืนนี้ เพื่อที่พรุ่งนี้ทางนั้นจะได้เริ่มทำงานอย่างไม่ขาดช่วง

พี่หนาวเดินกลับมาพร้อมน้ำแก้วหนึ่ง ลุงแกยื่นน้ำให้ผมก่อนจะเปรยเสียงเรียบ “คืนนี้คุณนอนที่นี่เถอะ”

เวรล่ะ นี่ผมทำงานเพลินจนลืมเวลาเลยเหรอ

ผมก้มดูเวลาบนหน้าจอก่อนจะประเมินปริมาณงานที่ยังเหลือแล้วจึงตัดสินใจ “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมกลับเลยดีกว่า” เอาวะ เดี๋ยวค่อยกลับไปปั่นต่อที่บ้าน รวมเวลาเดินทางแล้วไม่เกินห้าทุ่มสเปคก็น่าจะเสร็จ

“ถ้าคุณจะกลับ เดี๋ยวผมขับรถไปส่ง” ผมละสายตาจากหน้าจอแล้วหันไปมองหน้าเจ้าของบ้านทันที... นี่ก็จวนจะสี่ทุ่มแล้ว พี่หนาวจะขับรถไป ๆ กลับ ๆ ให้เหนื่อยทำไม

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมเรียกแท็กซี่กลับเองสะดวกกว่า”

“ข้างนอกฝนตกหนัก กว่าคุณจะเรียกแท็กซี่ได้คงอีกนาน” ลุงไซด์ไลน์ยืนกอดอกพลางดึงหน้าตึงพร้อมกับพยักพเยิดให้ผมเหลียวมองท้องฟ้าด้านนอก

“หืม ฝนตกเหรอครับ” ริ้วน้ำบนผิวกระจกที่ทิ้งตัวเป็นสายจากบนลงล่างทำให้ผมตกใจจนเผลออ้าปากกว้าง เจ้าของห้องที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โซฟาจึงช่วยอธิบายถึงสภาพอากาศสุดแปรปรวนเป็นวิทยาทาน

“คืนนี้พายุเข้า ฝนน่าจะตกอีกหลายชั่วโมง” พี่หนาวเอ่ยเรียบ ๆ “ถ้าคุณเกรงใจไม่อยากให้ผมขับรถไปส่ง คุณก็ควรรีบโทรไปบอกที่บ้านว่าจะนอนค้างที่นี่”

“แต่ผมไม่อยากรบกว...” ผมยังไม่ทันพูดจบประโยค สายเรียกเข้าของพี่ฟี่ก็ดังขึ้นอีกครั้ง พี่หนาวส่งสายตาบอกผมให้กดรับสายจากนั้นเจ้าตัวก็หันหลังเดินผลุบเข้าห้องที่อยู่ตรงข้ามกับห้องของปลาวาฬไปโดยไม่พูดอะไรอีก

“ครับพี่ กำลังทำอยู่ครับ ได้ครับ... ก่อนห้าทุ่มใช่ไหมพี่ เดี๋ยวผมรีบทำรีบส่งเลยครับ โอเคครับ CC ทีมกับพี่จี๊ด... ไม่ลืมครับ” [หมายเหตุ: CC (Carbon Copy ) คือ ช่องกรอกอีเมลผู้รับที่ผู้ส่งต้องการจะสำเนาถึง เมื่อส่งอีเมลแล้ว รายชื่อผู้รับทุกคนจะปรากฏขึ้นให้ทุกฝ่ายรับทราบ]

หลังจากวางสาย ผมก็รีบตรวจทานแก้ไขงานแล้วส่งเมลตามที่ซีเนียร์กำชับ แต่ถึงงานจะเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จริง ผมกลับยังต้องนั่งจ๋องรอเจ้าของบ้านเพื่อบอกลากันตามมารยาทเสียก่อน ระหว่างนั้น ผมจึงไถทวิตเช็กสภาพการจราจรเพื่อวางแผนก่อนกลับบ้าน แต่พอเจอคนก่นด่าว่าแท็กซี่ยากเว่อร์เพราะฝนตกหนักกับรถไฟฟ้าเสียซ้ำซากเข้าไป ผมก็เริ่มจะไขว้เขว

หรือผมจะค้างที่นี่ดี ไหน ๆ ผู้ชายก็เสนอแล้ว ที่เหลือผมก็แค่สนองให้จบ ๆ เท่านั้น

จังหวะที่ผมลังเลว่าจะส่งข้อความไปบอกพี่เอิงดีหรือไม่ พี่หนาวในชุดลำลองสุดเร้าใจก็เดินออกมาจากห้อง ผมจึงรีบยัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะดีดตัวขึ้นจากโซฟาอย่างคนมีชะนักปักหลัง “ผมกลับบ้านก่อนนะครับ”

“ผมจัดที่นอนเสร็จแล้ว เพราะฉะนั้น คืนนี้คุณต้องนอนที่นี่” น้ำเสียงเจ้าของห้องเฉียบขาดจนเสื้อผ้าหน้าผมที่ดูแปลกตาไม่ได้ช่วยลดดีกรีความน่าเกรงขามของท่าน HR Director ลงเลยสักนิด

“หา?” ผมมองหน้าอีกฝ่ายอย่างอึ้ง ๆ เพราะคาดไม่ถึงว่าที่สุดแล้วลุงแกจะเล่นไม้แข็ง

“ไปอาบน้ำครับ ผมง่วงแล้ว” ลุงไซด์ไลน์ยัดเสื้อผ้ากับของใช้จำเป็นใส่มือผมแล้วยืนกอดอกมองข่มขู่ “ห้องน้ำอยู่ในห้องนอนครับ”

“คระ ครับ” ถึงจะยังงง ๆ แต่จุด ๆ นี้ใครจะหาว่าผมใจง่ายไม่ได้นะ เพราะลองว่าผู้ชายออกตัวแรงก่อน ผมก็ไม่ควรจะท่ามากถูกไหม
.
.
.
.
จำได้ว่าก่อนผมจะยอมเข้าไปอาบน้ำพี่หนาวบอกว่าเขาจัดที่นอนเสร็จแล้ว แต่นอกจากเฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ ที่พบเห็นได้ในห้องนอนทั่วไป ผมกลับพบไม่พบที่ ๆ ควรทิ้งตัวนอนอื่นใดนอกจากเตียงคิงส์ไซส์หลังเดียว “ที่นอนผมอยู่ตรงไหนเหรอครับ”

“เดี๋ยวคุณนอนฝั่งที่ไม่ได้เปิดไฟนะ” เจ้าของห้องชี้นิ้วไปยังฝั่งหนึ่งของเตียงระหว่างที่เดินไปปรับแอร์ “คุณจะเอาหมอนเพิ่มอีกใบไหม”

“ไม่เป็นไรครับ... จริง ๆ ผมออกไปนอนโซฟาข้างนอกก็ได้นะครับ คุณจะได้นอนสบาย ๆ ” ต่อให้มั่นใจว่าเราสองคนจะนอนร่วมเตียงกันได้แบบเหลือที่อีกหลายไร่ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันไม่สมควรอยู่ดี

พี่หนาวเดินกลับมาทิ้งตัวลงบนเตียงพลางมองผมด้วยสายตาเหมือนผู้ใหญ่กำลังดุเด็ก “อย่าเลยคุณ โซฟาตัวนั้นนอนไม่สบายหรอก มีครั้งนึงผมเคยเผลอหลับ ตื่นมาอีกทีปวดหลังไปทั้งวัน”

“ถ้างั้นผมขอนอนพื้นแล้วกันครับ” ผมกวาดตามองเตียงนอนของพี่หนาวอีกครั้งพลางนึกกลุ้ม... ลุงจะไม่เกรงใจผมก็ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ช่วยห่วงตัวเองนิดนึง ลืมแล้วหรือไงว่าผมน่ะเน้นผิดผีกับผู้ชายเป็นหลัก ที่สำคัญผมน่ะแอบชอบลุงอยู่นะครับ เกิดนอน ๆ ไปแล้วผมละเมอจับอะไรขึ้นมา ลุงจะว่าผมไม่ได้นะเฮ่ย

“นอนบนเตียงด้วยกันนี่แหละคุณ” พอพี่หนาวพูดจบ เราสองคนมองหน้าวัดใจกัน แต่สุดท้าย สีหน้าไม่ยินดียินร้ายคล้ายคนไม่คิดอกุศลใด ๆ กับประโยคที่ตามมาก็ทำให้ผมยอมแพ้หมดรูป “เร็วครับ ผมจะปิดไฟแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องตื่นไปส่งปลาวาฬที่โรงเรียนแต่เช้า”

แม้จะตื่นเต้นกับแผนการวันพรุ่งนี้ แต่ผมกลับค่อย ๆ หย่อนตัวลงนอนบนเตียงของท่าน HR Director อย่างระมัดระวัง ใครบอกว่านอนเตียงผู้ชายแล้วหลับสบาย ขอให้ลองมาเป็นผมดู เพราะทุกครั้งที่จะหายใจแรงหรือพลิกตัวเปลี่ยนท่าสักที ผมต้องคิดแล้วคิดอีกอย่างน้อยสามรอบ

“พรุ่งนี้เราจะไปส่งปลาวาฬที่โรงเรียนกันเหรอครับ” ทันทีที่ไฟดวงสุดท้ายดับลง ผมก็รีบกระเถิบไปนอนตะแคงชิดขอบเตียงแล้วทำตัวแข็งแข่งกับหมอนข้างอย่างว่องไว

“ใช่ พรุ่งนี้คุณกับผม เราจะไปส่งปลาวาฬที่โรงเรียนพร้อมกัน”

“ทู” ผมแทบหยุดหายใจเมื่อได้ยินเสียงพี่หนาวดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลราวกับอีกฝ่ายกระเถิบมานอนบนหมอนใบเดียวกัน บุญบาป ผมควรทำไงดี พี่หนาวรุกแรงเว่อร์!

ไม่สิทู... มึงต้องไม่มโน พี่หนาวเขาก็นอนอยู่ของเขาดี ๆ  
โอเคเฟม เพื่อนจะไม่มโนในทางชู้สาวกับผู้ที่เรายังอ้อยไม่สำเร็จ

ที่สุดแล้ว เสียงถอนหายใจของลุงไซด์ไลน์ทำให้ผมได้สติ แต่หลังจากเงี่ยหูฟังอยู่พักใหญ่ พี่หนาวกลับไม่ยอมพูดอะไร ผมเลยอดสงสัยไม่ได้ “มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

“ฝันดีนะ”

ผมสูดลมหายใจพลางควบคุมเสียงของตัวเองไม่ให้สั่น จากนั้นจึงค่อย ๆ กลืนน้ำลายแล้วตอบพี่หนาวกลับไปอย่างยากลำบาก “ครับ... ฝันดีครับ” จะหาว่าผมขิงก็ได้นะ แต่คำว่า ฝันดี ที่พี่หนาวเคยพูดกับผมก่อนหน้านี้แม่งสู้ ฝันดี ที่ผมเพิ่งได้ยินแบบจะ ๆ เมื่อกี้ไม่ได้เลยจริง ๆ


••• TBC ••


ชะอุ๊ย ตอนนี้ลุงแกมาเหนือเมฆมาก
อะไรคือการอ้างว่าฝนตกให้นอนค้าง
อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่าอ่อยแล้วควรเรียกว่าอะไรกันค้า
(ทูบอกไม่อ่อยครับ พี่หนาวแค่เป็นห่วง กลัวผมกลับบ้านลำบาก ถถถ ลูก บทจะซื่อก็ซื่อเกิ้น)
ถ้าอ่านแล้วชอบ หรือไม่ชอบอย่างไร อย่าลืมบอกกล่าวกันบ้างนะคะ




No comments:

Post a Comment