#16
แอบส่งดอกไม้ไปให้ เธอไม่รู้หรอก
กับสิ่งดี ๆ ให้เธอเธอไม่รู้
ยังคงปิดบังซ่อนอยู่
เธอไม่ต้องรู้ว่าฉันนั้นคือใคร
สายลมที่หวังดี - ทราย เจริญปุระ
…………………………………………………………………………………………………………
“เฮ่ยพี่ทู ดูนั่นดิ”
“อะไร” ผมอดตกใจไม่ได้เมื่ออยู่ ๆ ยีนส์ที่เดินเข้าห้องทำงานมาก่อนผมเพียงเสี้ยววินาทีร้องเจี๊ยกเหมือนเห็นผี
แทนที่จะตอบ น้องเล็กที่ยืนทื่อขวางทางกลับชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปตรงเวิร์คสเปซของผมพลางทำหน้าดีใจราวกับกดบัตรคอนฯ
วงไอดอลสุดเลิฟได้สิบใบรวด
“มีคนส่งดอกไม้มาด้วยอ่ะพี่ทู”
สิ้นเสียงตื่นเต้นของน้อง ผมก็มองไปยังจุดเดียวกันก่อนความสงสัยจะทำให้เผลอหลุดปากตามยีนส์ไปติด
ๆ “ดอกไม้ใครอ่ะ”
ช่อดอกไม้ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ช่อนั้นกินพื้นที่ส่วนนั่งทำงานของผมไปไม่น้อย
แม้จะสงสัยว่าเจ้าของเป็นใคร ทว่าลึก ๆ แล้วผมกลับแอบนึกชื่นชมคนให้อยู่ในใจ
เพราะถ้าใครคนนั้นไม่ขยันแหกขี้ตาถ่อมาที่ทำงานตั้งแต่เช้า
เซอร์ไพรส์ครั้งนี้คงจะไม่สำเร็จ... แต่ถามจริงเหอะ
ใครมาเผลอลืมดอกไม้ไว้ตรงโต๊ะผมวะ
จูเนียร์หัวเราะเบา ๆ
ก่อนจะทำหน้าเจ้าเล่ห์ล้อเลียน “ของพี่หรือเปล่า... ถ้าอยากรู้
ทำไมพี่ไม่ลองอ่านการ์ดดูล่ะคะ” ว่าแล้ว ยีนส์ก็ทิ้งกระเป๋าบนเก้าอี้ทำงานตรงอีกมุมห้องแล้ววิ่งเข้ามาสิงผมต่ออีกทอด
ผมแสร้งไม่สนใจน้องก่อนจะใช้ปลายนิ้วพลิกการ์ดเล็ก ๆ ใต้โบว์ขึ้นอ่านข้อความข้างใต้
I’m always Two’s - พี่รักทูนะครับ
“หูย คุณหนาวโรแมนติกมาก ๆๆๆ ” เด็กน้อยที่ยื่นหน้าแหลมมาแอบอ่านการ์ดในมือผมเริ่มเพ้อเจ้อเบอร์ใหญ่
“ขนาดเจอหน้ากันทุกวันแต่ก็ยังแอบส่งดอกไม้มาบอกรักพี่อีก... โอ๊ยพี่ทู หนูโคตรอิจฉาพี่เลย
แฟนพี่คือดีอ่ะ” จูเนียร์หวีดเสียงดังพลางบิดแขนเสื้อผมเสียยู่ยี่จนพี่ฟี่ที่เพิ่งเดินเข้าห้องมาถึงกับทำหน้างง
“โวยวายอะไรของแกฮะยีนส์ เสียงงี้ดังไปถึงข้างนอกโน่น”
“โหยพี่ฟี่
พี่ฟี่จะไม่ให้หนูกรี๊ดได้ไงล่ะคะ... นี่เลยพี่ ดูนี่” น้องเล็กปรี่เข้าไปช่วยซีเนียร์ประจำทีมถือข้าวของพลางจูงมือขาเม้าท์รายใหญ่ให้เดินตามกันมาหยุดยืนประกบสองข้างของผม
“แฟนพี่ทูส่งดอกไม้มาให้พี่ทูค่ะ... สวีทเนอะ”
“จริงเหรอทู” ผมเกือบจะเชื่อแล้วเชียวว่าเบื้องหลังคำถามนั้นคือความสงสัย
ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายยิ้มกรุ้มกริ่มแบบที่แกมักจะทำเวลาเจอผมอยู่กับพี่หนาว
แต่ผมจะกังวลเรื่องพี่ฟี่ไปทำไมในเมื่อมีเรื่องน่าตกใจยิ่งกว่าเกิดขึ้นตรงหน้าตัวเอง
พี่บูมส่งดอกไม้มาให้ผมทำไม?
“พี่ทู ถ่ายรูปลงไอจีไหมคะ
เดี๋ยวหนูถ่ายให้” ยีนส์ยังคงเวิ่นเว้อรุงรัง แต่ผมจะโทษน้องได้ยังไงในเมื่ออีกฝ่ายเข้าใจว่าดอกไม้นี่เป็นของพี่หนาว
ที่สำคัญคนปกติที่ไหนก็ต้องดีใจที่แฟนแอบทำเซอร์ไพรส์มากกว่าจะโวยวายเหวี่ยงวีนหรือเปล่าวะ
“เอ่อ อย่าเพิ่งเลย ทำงานก่อนเถอะ”
ผมพยายามยกงานขึ้นบังหน้า แต่น้องเล็กยังปรารถนาดีไม่เลิก
“เอาน่าพี่ ถ่ายแป๊บเดียวแล้วก็ติดแฮชแท็ก
#คนอวดแฟน สวยๆ คนอื่นจะได้รู้ไงว่าพี่ทูกับคุณหนาวรักกันมากเว่อร์”
“จะแปดโมงครึ่งแล้ว ไว้ก่อนเถอะนะ”
ถึงกายหยาบจะยืนอยู่ตรงนี้ แต่จิตวิญญาณผมนี่ก้มลงกราบไหว้อ้อนวอนยีนส์เป็นรอบที่ล้านได้แล้ว
“โห่พี่ทู แป๊บเดียวเอง
หนูสัญญาว่าหนูจะไม่แต่งรูปนาน”
“พอ ๆ แยกย้าย ๆ เริ่มงานได้แล้ว
เดี๋ยวพี่จี๊ดจะมาแหกอกฉัน” ผมเหลือบมองพี่ฟี่อย่างเลื่อมใส
สาบานเลยว่าผมไม่เคยดีใจที่โดนแกจิกใช้ให้ทำงานมากเท่าครั้งนี้
“ค่า” ยีนส์บึนปากรับคำพลางทำหน้าเสียดายในขณะที่ผมได้แต่ก้มมองช่อดอกไม้ในมือด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในใจ
หลังจากพวกเรารวบรวมสตินั่งทำงานไปได้ไม่นาน
อยู่ ๆ สองสาวที่นั่งกันคนละมุมห้องก็ส่งเสียงคิกคักราวกับนัดกันมา ผมเลยแสร้งลุกขึ้นยืดเส้นแล้วย่องไปแอบส่องหน้าจอคอมพิวเตอร์ของน้องนุชสุดท้องของทีมก่อนจะพบว่ายีนส์กำลังไล่ดูรูปงานเลี้ยงคาราโอเกะเมื่อหลายวันก่อนอย่างเพลิดเพลิน
“ว่างหรือไง”
“แหม ก็พักสายตาน่ะพี่ทู” จูเนียร์ยักไหล่พลางอมยิ้มอย่างไม่สำนึก
เห็นแล้วผมก็อดหมั่นไส้น้องมันไม่ได้
“เดี๋ยวพี่จะฟ้องพี่ฟี่”
“ฟ้องเลย
ก็พี่ฟี่นี่แหละที่ชวนหนูเม้าท์” ไม่ทันขาดคำ กล่องข้อความที่ยีนส์คุยโต้ตอบกับพี่ฟี่ก็เด้งขึ้นบนหน้าจอ
อื้อหือ หลักฐานคาตาขนาดนี้ แสดงว่ารุ่นพี่ผมสมรู้ร่วมคิดกับน้องมันสินะ
“อ้าวพี่ฟี่ ยังไง ๆ ”
ตัวการใหญ่เดินส่ายอาด ๆ
เข้ามาเกาะไหล่ผมแล้วลอยหน้าลอยตาตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “ก็ไม่ยังไงหรอกย่ะ
ฉันแค่เห็นอะไรบางอย่างเลยอยากคอนเฟิร์มกับยีนส์ให้แน่ใจ แต่ไหน ๆ แกลุกมาแล้วก็ดี
ช่วยดูหน่อยซิว่าแกเห็นอย่างที่พวกฉันเห็นไหม”
“เห็นอะไรวะพี่” ผมมองหน้าซีเนียร์งง ๆ
“เออน่า” พี่ฟี่สะกิดบ่าน้องเล็กประจำทีม
“เปิดตั้งแต่ต้นอัลบั้มเลยยีนส์”
จูเนียร์ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดด้วยการคลิกเปิดโฟลเดอร์รูปใหม่อีกครั้งแล้วค่อย
ๆ ทยอยเปิดรูปทีละใบอย่างไม่ช้าไม่เร็วพลางอธิบาย “บั้มนี้ไอทีเพิ่งแชร์ลง archive ตอนเก้าโมงพี่”
ผมไม่แน่ใจว่าเมื่อสมัยผมยังเด็ก เรามีอัลบั้มรูปเยอะเท่าทุกวันนี้หรือเปล่า
แต่ในยุคที่คนส่วนใหญ่พกพาโทรศัพท์มือถือซึ่งถ่ายรูป (แถมยังเลือกลบและถ่ายใหม่)
ได้ทุกเมื่อ ผมพบว่าเราใช้เวลาไปกับการถ่ายรูปมากกว่าจะชื่นชมรูปที่ถ่ายมา
ที่สำคัญคือเมื่อรวบรวมภาพถ่ายเหตุการณ์นั้น ๆ จากตากล้องทุก ๆ คนไว้ด้วยกัน เราจะพบว่ารูปแม่งซ้ำกันจนพานรู้สึกหมดอารมณ์อยากดูไปเลย
ถึงอย่างนั้น ทฤษฎีที่ว่ากลับใช้ไม่ได้กับอัลบั้มล่าสุดที่เพิ่งผ่านตาผมไปหมาด ๆ
“แกเห็นหรือเปล่าว่าอีบูมมันทำตัวติดกับใครเป็นพิเศษ”
แม้จะยังไม่รู้ว่าใครเป็นตากล้อง แต่เท่าที่ดู คนถ่ายน่าจะต้องเป็นหนึ่งในยูสเซอร์แผนก
FI เพราะเกือบทุกไฟล์มีภาพของพี่บูมกับคุณไวท์อยู่ร่วมเฟรมเสมอ
“...คุณไวท์เหรอพี่...” นี่ถ้าพลาดรูปพวกนี้ไป
ผมคงไม่ทันสังเกตว่าสองคนนั้นสกินชิพกันเกินเบอร์เพื่อนร่วมงาน แต่จะกี่ร้อยพันรูปเหล่านั้นกลับไม่น่าตกตะลึงเท่ากับข้อมูลวงในที่สองสาวสาดใส่กันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันไม่แพ้ละครหลังข่าว
“เออ ฉันได้ยินข่าวลือเรื่องคู่หู FI ตั้งแต่ก่อนพรีเซนต์ Blueprint แต่เพิ่งจะมาแน่ใจหลังได้เห็นรูปพวกนี้นี่แหละ”
“สองคนนั้นเขาคบกันจริง ๆ ใช่ไหมพี่”
ยีนส์ชะเง้อคอรอฟังเจ้ากรมข่าวลือด้วยสายตาเปี่ยมความหวังจนผมยังอดนับถือความเผือกของน้องไม่ได้
หัวหน้าทีมเบ้ปากพลางปรายหางตามองยีนส์อย่างตำหนิ
“แหม นั่งแทบจะขี่กันทั้ง ๆ ที่โซฟาว่างเตะบอลได้เขาคงจะเป็นแค่เพื่อนเรียนพิเศษด้วยกันหรอกนะยะ”
“แวร้งส์!”
“หรือแกว่าไม่จริง” พี่ฟี่หันขวับไปถลึงตาใส่น้องเล็กจนเด็กมันยกมือยอมแพ้
“โหย
เรื่องพี่บูมกับคุณไวท์นี่หนูไม่กล้าเถียงพี่ฟี่หรอกค่ะ
เพราะหนูเคยได้ยินพวกพี่มิ้มเม้าท์ว่าฝั่ง FI เขาเห็นสองคนนั้นหนุงหนิงกันทั้งวัน ยิ่งคุณพันเลิศไม่ห้าม
คุณไวท์ก็ยิ่งขยันแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของพี่บูมแบบออกนอกหน้ามาก”
ผมแอบช็อกหน่อย ๆ ที่มารู้เรื่องของสองคนนั่นเอาป่านนี้
สงสัยผมจะมัวแต่หลบหน้าแฟนเก่า
เลยตกข่าวหลังเขาแบบไม่น่าให้อภัย
ถ้าที่สองสาวพูดมาเป็นเรื่องจริง แสดงว่าพี่บูมกับคุณไวท์ก็คบกันก่อนวันที่ผมกับพี่หนาวเจอพวกเขาที่ห้างอย่างนั้นน่ะสิ
โอ้โห อะไรจะเหมาะเจาะพอดีกับตอนที่พี่เมธติดต่อผมมาเลยวะ...
เดี๋ยวนะ หรือว่าที่พี่บูมบอกเลิกพี่เมธเพราะตั้งใจจะคบกับคุณไวท์แบบจริงจัง?
แล้วพี่บูมจะส่งดอกไม้มาให้ผมอีกทำไมล่ะ?
อ๋อ...
คงจะคิดว่าผมยังรักมันอยู่สินะเลยคิดจะคบซ้อนอีกรอบ
แม่งเอ๊ย! คิดว่าผมหน้าโง่นักหรือไงถึงจะยอมใจอ่อนกลับไปคบด้วยเนี่ย
ว่าแต่ ทำไมไอ้พี่บูมถึงไม่ยอมคุยกับพี่เมธล่ะ
รำคาญเหรอ?
แต่ถ้าพี่บูมเป็นคนบอกเลิก
แค่คุยพี่เมธบ้าง ทำไมจะทำไม่ได้วะ?
อีกอย่าง พี่เมธก็อยู่ตั้งไกล
รับโทรศัพท์ครั้งสองครั้งคงไม่ถึงตาย เพราะต่อให้ขี้ตื๊อแค่ไหน เขาก็ตามรังควานพี่บูมเป็นเห็บเหาไม่ได้อยู่ดี
เอ หรือผมควรไปคุยกับพี่บูมตามที่พี่เมธขอดูสักครั้งวะ
ทุกสิ่งทุกอย่างจะได้จบ ๆ
••••••
“ได้ดอกไม้แล้วใช่ไหม
ทูชอบไหมครับ”
“ผมไม่ได้จะคุยกับพี่เรื่องดอกไม้”
พอเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาหา
ผมก็กระเถิบหนีไปยืนไกลขึ้นอีกหน่อยพลางเหลือบซ้ายแลขวาไปรอบ ๆ ลานจอดรถอีกครั้ง
ที่ผมเลือกลานจอดรถบนชั้นสิบเอ็ดเป็นจุดนัดพบเพราะโควต้าที่จอดรถของพนักงานบริษัทพี่หนาวอยู่ชั้นเก้า
ดังนั้น ย่อมไม่มีใครที่รู้จักพวกเราจะบังเอิญผ่านมาเห็นเข้าแน่ ๆ
และแม้ที่จอดรถจะไม่พลุกพล่านเหมือนล็อบบี้ แต่หลังเลิกงาน ยังไงก็ต้องมีคนผ่านไปผ่านมาบ้างแหละ
ที่สำคัญ มุมที่ผมยืนอยู่นี่ยังใกล้บันไดหนีไฟกับจุดพักของพี่รปภ. เพราะฉะนั้น
หากอีกฝ่ายเกิดหน้ามืดขึ้นมา ผมน่าจะเอาตัวรอดได้แหละ
“อ้าว
แล้วทูอยากจะคุยอะไรกับพี่ล่ะครับ”
หลังจากรู้เรื่องคุณไวท์
ผมก็อดขนลุกกับสายตาเยิ้ม ๆ ที่พี่บูมใช้มองผมไม่ได้ ผมเลยรีบรวบตึงทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว
“เมื่อวันก่อนผมได้คุยกับพี่เมธ
เขาขอให้ผมช่วยบอกให้คุณติดต่อกลับไปเพราะเขาเป็นห่วงคุณ ที่ผมจะบอกมีแค่นี้แหละ” พูดธุระจบ
ผมก็ชักเท้าหมุนตัวไปอีกทาง แต่ยังไม่ทันได้เดินไปไหน
ต้นแขนผมก็ถูกรั้งไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวสิทู
คุยกับพี่ก่อน”
“ปล่อย! ผมจะกลับบ้าน”
ผมสะบัดมืออีกฝ่ายออกก่อนจะถอยไปตั้งหลักอีกรอบ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เห็นพี่บูมตามมายืนขวางทางตรงหน้า
โดยที่ข้างหลังเป็นฝาผนังไม่มีทางออกอื่น... อ้าวเฮ้ย ทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้อ่ะ
“ทู
ฟังพี่นะครับ ให้โอกาสพี่พูดหน่อยนะพี่ขอร้อง”
“ผมให้เวลาคุณห้านาที”
แม้ต้องจำใจยอมรับสภาพแต่ผมก็ไม่แตกตื่นจนล้มเลิกความตั้งใจในการเล็งหาตัวช่วย
“พี่เลิกกับเมธเพราะพี่รู้แล้วว่าพี่รักทู
พี่ขาดทูไม่ได้ ทูกลับมาคบกับพี่ได้ไหม”
“ถ้าคุณพูดเรื่องนี้อีกผมจะกลับเดี๋ยวนี้”
ผมยื่นคำขาดเพราะไม่อยากฟังเรื่องน้ำเน่าซ้ำซากจากปากคนมักมากไม่รู้จักพอ
“โอเค
ๆ พี่ไม่พูดแล้วครับ แต่ทูฟังพี่นะ... ตอนนี้พี่ไม่มีใครจริง ๆ
เพราะพี่ตั้งใจจะจีบทูใหม่อีกครั้ง” พี่บูมฝืนยิ้มพลางถอยหลังคล้ายกับต้องการเพิ่มระยะห่างให้ผมสบายใจ
ผมนึกขอบคุณที่อีกฝ่ายยังมีมารยาท แต่อย่าคิดนะว่าทำแบบนั้นแล้วผมจะไขว้เขวหรือเห็นใจ
“คนที่คุณควรใส่ใจคือคุณไวท์
ไม่ใช่ผม”
“พี่กับไวท์ไม่ได้เป็นอะไรกัน!” ชื่อของคุณไวท์คงทำให้พี่บูมหลุดฟอร์ม
ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ลืมตัวว้ากผมเสียงแข็ง ยังดีที่แกไหวตัวทัน ประโยคถัดมาเลยฟังละมุนหูผิดกับเมื่อครู่ลิบลับ
“ทูให้โอกาสพี่ได้แสดงความจริงใจกับทูได้ไหมครับ นะครับ พี่ขอร้อง”
แปลกดีที่พอตัดใจจากพี่บูมได้เด็ดขาด
ผมก็เริ่มรู้สึกตลกทุกครั้งที่เห็นพี่บูมพยายามปฏิเสธความจริงด้วยท่าทางร้อนรนราวกับคนบริสุทธิ์
สงสัยสามปีที่ผ่านมาผมคงจะโง่มากจริง ๆ ถึงไม่เคยดูออกเลยว่า แฟนเก่าถนัดพูดโกหกจนติดเป็นนิสัย
“ผมมีแฟนแล้วและผมรักแฟนผมมาก
ส่วนนี่ เอาคืนไป ผมรับไว้ไม่ได้” ผมยังไม่ทันละมือจากช่อดอกไม้ พี่หนาวก็โทรมาเสียก่อน
ผมเลยรีบกดรับสายของลุงไซด์ไลน์ทันที “ครับ”
(คุณยังไม่เลิกงานอีกเหรอ
ให้ผมไปรับคุณที่ห้องไหม) หลังจากต้องทนฟังเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่นาน
การได้ฟังเสียงนุ่ม ๆ ของพี่หนาวก็ทำให้ผมยิ้มออกอีกครั้ง แถมเรื่องน่ายินดีก็คือ
ผู้ชายเสนอตัวว่าจะเดินมารับผมถึงที่
แต่เกรงว่าวันนี้คงไม่ดี
เพราะผมไม่ได้อยู่ที่ห้องทำงานอย่างที่ไลน์บอกอีกฝ่ายไปตอนก่อนเลิกงาน “ไม่ต้องมารับทูหรอกครับ
ทูกำลังลงไปครับพี่หนาว”
(โอเค
งั้นเดี๋ยวเจอกันที่รถนะครับ)
“ครับ
เดี๋ยวทูจะรีบไปครับ” ผมรีบตัดสายก่อนจะผลักพี่บูมไปอีกทางแล้ววิ่งลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว
“ขอตัวนะครับ”
.
.
.
.
“ขอโทษนะครับที่ทำให้รอ”
“ผมก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน” คนขับเหลือบมองผมก่อนจะวางสายตาลงบนช่อดอกไม้ในมือ
“ดอกไม้สวยดีนะ”
สาบานว่าเมื่อกี้คือลุงแกตั้งใจชม
ไม่ได้สาปแช่ง แหม... เสียงเข้มกว่าเอสเพรสโซ่ดับเบิ้ลช็อตไปอีก
“อ่า ครับ” ทันที่ที่สัมผัสได้ว่าพี่หนาวอาจกำลังหงุดหงิดที่ผมมาช้า
หรือไม่ก็น่าจะติดใจเรื่องดอกไม้ ผมจึงยอมเปิดปากเล่าเรื่องพี่บูมให้อีกฝ่ายฟังแต่โดยดี
“พี่บูมซื้อให้น่ะครับ เมื่อกี้ผมเลยตั้งใจจะเอาไปคืน”
“อืม” ลุงแกทำท่าเหมือนตั้งใจขับรถ ไม่ได้ซักไซ้อะไร
แต่การหักพวงมาลัยแล้วดริฟท์เครื่องทิ้งโค้งนิด ๆ ตามสไตล์ดอม โทเรตโต (ที่ห่างหายกันไปนาน)
บอกให้รู้ว่า พี่หนาวกำลังรอฟังคำอธิบายทั้งหมดจากผมอยู่
“จริง ๆ ผมไม่ได้ตั้งใจจะเอาดอกไม้ไปคืนอย่างเดียวหรอกครับ
ผมไปคุยกับเขาเรื่องพี่เมธ”
คนขับขมวดคิ้วพลางนิ่วหน้า “พี่เมธ?”
“ก็สจ๊วตแฟนพี่บูมที่ผมเคยเล่าให้ฟังนั่นแหละครับ”
“แล้วทำไมคุณต้องไปคุยกับแฟนเก่าคุณเรื่องแฟนของเขาด้วยล่ะ”
“อาทิตย์ที่แล้วพี่เมธพยายามติดต่อผมเพราะอยากให้ผมคุยกับพี่บูมน่ะครับ”
ระหว่างที่อธิบาย
ผมต้องหักห้ามใจอย่างหนักที่จะไม่ยื่นมือไปนวดหัวคิ้วของคนขับให้คลายออกจากกัน สีหน้าพี่หนาวที่ฟ้องว่าเจ้าตัวหงุดหงิดไม่เข้าใจทำให้ผมจำเป็นต้องเรียบเรียงความคิด
ก่อนจะย่อความเพื่อสรุปเรื่องราวทั้งหมดให้ลุงแกฟังอย่างรวบรัด ไม่ยืดเยื้อ
“คืออย่างนี้ครับ หลายวันก่อนพี่เมธส่งข้อความผ่านเฟซมาหาผม
บอกว่า พี่บูมขอเลิกกับพี่เมธเมื่อประมาณสองอาทิตย์ที่แล้ว พอบอกเลิกเสร็จ พี่บูมก็หายสาปสูญติดต่อไม่ได้
พี่เมธเป็นห่วงเลยอยากให้ผมช่วยบอกให้พี่บูมติดต่อกลับไปน่ะครับ”
“แล้วทำไมคุณสจ๊วตถึงต้องไหว้วานคุณด้วยล่ะ
คนอื่น ๆ ที่รู้จักกับแฟนเก่าคุณก็น่าจะยังมีอีกไม่ใช่เหรอ”
ไม่ใช่แค่พี่หนาวหรอกที่สงสัย ขนาดตัวผมนั่งคิดนอนคิดอยู่หลายวันก็ยังไม่ได้คำตอบ
แต่ผมดันตัดสินใจช่วยพี่เมธไปแล้วนี่สิ “เรื่องนั้นผมก็ไม่รู้ครับ บอกตรง ๆ
ว่าผมไม่อยากยุ่งกับทั้งพี่เมธแล้วก็พี่บูมสักเท่าไร”
คนขับถอนหายใจ “แต่สุดท้ายคุณก็ยอมช่วยคุณสจ๊วตจนได้”
“ครับ
แต่สาเหตุที่ผมตัดสินใจจะไปคุยกับพี่บูมเพราะผมคิดว่าพี่บูมน่าจะเจอคนใหม่เลยทำให้ไม่ยอมคุยกับพี่เมธ
ทางนั้นเลยเป็นห่วงน่ะครับ”
“คุณแน่ใจได้ยังไงว่าเขามีคนใหม่จริง ๆ
”
ระหว่างก้มหน้าก้มตาสารภาพ บอกเลยว่าผมเผลอตัวจิกปลายเท้าลงกับพรมอยู่หลายครั้ง
ทั้งตอนที่ลุงแกเร่งเครื่องนำพรีอุสพุ่งทะยานฝ่าไฟเขียวอมเหลืองไปอย่างฉิวเฉียด รวมถึงตอนนี้
ที่อีกฝ่ายเร่งเครื่องขับจี้คันหน้าแล้วปาดซ้ายป่ายขวาแบบน่าทำปืนลั่นใส่เสียจริง
ๆ ... พี่หนาวโกรธอะไรใคร ไหนเล่าให้น้องทูฟังซิครับ
“ผมได้ยินคนอื่นพูดกันเรื่องเขากับแฟนใหม่เขาน่ะครับ”
“ถ้าเขาคบใครใหม่จริงแล้วเขาจะซื้อดอกไม้ให้คุณทำไม”
ฟังคำถามนี้แล้ว ผมก็เริ่มถอนหายใจแข่งกับท่าน
HR Director อย่างไม่กลัวเกรง
เวร แล้วผมควรจะตอบลุงแกยังไงดี... อ๋อ
พี่บูมให้ดอกไม้ผมเพราะพี่บูมตั้งใจจะจีบผมให้กลับไปกินน้ำใต้ศอกของเขาอีกครั้งน่ะครับ
ตอบแบบนี้จะดีเหรอ?
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ” ผมก้มลงมองนิ้วมือตัวเองสลับกับรอยยับบนกลีบดอกกุหลาบเพราะไม่กล้าสู้หน้าคู่สนทนา
“ทู ผมรู้ว่าคุณมีเรื่องไม่สบายใจ
แต่ถ้าคุณไม่เล่าให้ผมฟัง ผมก็ไม่รู้ว่าจะช่วยคุณได้ยังไงนะ” น้ำเสียงนุ่ม ๆ
ที่คุ้นเคยทำให้ผมยอมเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ผมจับจ้องใบหน้าด้านข้างของพี่หนาวด้วยหลากหลายความรู้สึกที่ผสมปนเปกันมั่วไปหมด
แต่ทันทีที่ได้ยินประโยคหลังจากนั้น จิตใจของผมก็สงบลง “คุณไว้ใจผมได้นะทู”
อันที่จริง
พี่หนาวไม่จำเป็นต้องย้ำประโยคเมื่อครู่อีกเลยก็ได้ เพราะตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ถ้าไม่ใช่เพราะเขา
ความลับเรื่องที่เราไม่ได้เป็นอะไรกันคงแตกไปตั้งแต่วันเริ่มโปรเจคและตัวผมคงตั้งต้นใหม่ไม่ได้เร็วขนาดนี้
ผมไว้ใจเขาและพร้อมจะยืนยันความรู้สึกตัวเอง
เพราะฉะนั้น ถ้าพี่หนาวอยากรู้เรื่องผม ผมก็พร้อมจะเล่า “เมื่อกี้ตอนคุยกัน เขาขอโอกาสจากผมครับ
เขาบอกว่าอยากจะกลับมาคบกับผมอีกครั้ง”
คู่สนทนานิ่งไปพักหนึ่งแต่ที่สุดแล้วลุงแกก็ถามออกมาเบา
ๆ “เหรอ แล้วคุณบอกเขาไปว่ายังไง”
“ผมบอกว่าผมมีแฟนแล้ว
ยังไงผมก็จะไม่กลับไปคบกับเขาเด็ดขาดครับ”
“อืม”
“ที่นัดพบเขาวันนี้เพราะผมตั้งใจจะบอกเขาเรื่องพี่เมธแล้วก็คืนดอกไม้นี่แหละครับ
แต่พอดีคุณโทรมา ผมเลยไม่ทันได้คืนดอกไม้...
รู้อย่างนี้ผมทิ้งมันไปตั้งแต่เช้าเสียก็ดี”
ผมปรายตามองช่อดอกไม้บนตักอย่างหงุดหงิด
เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยมั้งที่ผมได้ของขวัญจากพี่บูมแล้วผมไม่ดีใจ
ไม่ต้องถามหรอกว่าตอนคบกันเป็นยังไง ลองไถไทม์ไลน์เฟซบุ๊ค ไอจี
หรือทวิตเตอร์ของผมดูสิ รับรองว่าทั้งคลิป
ทั้งรูปที่ผมเคยลงอวดความสุขจุกอกในวันวานจะทำให้คุณรู้สึกรำคาญได้ภายในสามนาที
“ถ้าคุณไม่ได้คิดอะไรมาก
ดอกไม้ก็จะเป็นแค่ดอกไม้”
“ครับ” ผมรับฟังคำปลอบใจของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง
“แต่ถ้าคุณลำบากใจ คุณจะให้ผมไว้ก็ได้นะ”
“หืม?” บุญบาป เมื่อกี้ลุงแกพูดอะไร พี่หนาวจะเอาดอกไม้ที่ผมไม่ต้องการไปทำไม
อย่าบอกนะว่าเสียดาย
“นาน ๆ
มีดอกไม้สดอยู่ในบ้านก็น่าจะสดชื่นดี ปลาวาฬคงจะชอบ” จริงอยู่ที่ผมไม่ควรส่งต่อดอกไม้
(ที่แฟนเก่าซื้อให้ด้วยใจไม่บริสุทธิ์) ให้กับผู้ใหม่ที่ผมอ้อยอยู่
แต่ถ้าเจ้าวาฬน้อยชอบและถ้ามันจะช่วยให้ผมไม่ต้องอารมณ์เสียอีก
ผมก็ถือว่าเราต่างวิน – วินกันทุกฝ่าย
“ถ้าคุณไม่รังเกียจ
เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ” ผมยักไหล่ก่อนจะต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าพรีอุสกำลังเลี้ยวผ่านป้อมยามตรงด้านหน้าคอนโดของพี่หนาว
เออใช่ วันนี้วันอังคาร ปลาวาฬไม่มีเรียนว่ายน้ำ แล้วทำไมลุงแกถึงพาผมมาที่นี่ล่ะ “ไม่ไปรับปลาวาฬแล้วเหรอครับ”
พี่หนาวหัวเราะเบา
ๆ พลางถอยรถเข้าซองจอดอย่างช่ำชอง “ไปสิ แต่เดินไปนะ”
เมื่อจอดรถเสร็จ เจ้าถิ่นก็พาผมเดินเลาะรั้วคอนโดไปจนสุด
ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าตรงมุมกำแพง มีป้อมยามตั้งอยู่ ข้าง ๆ กันคือประตูเหล็กบานเล็ก
ๆ “สวัสดีครับ เชิญครับคุณหนาว” คุณลุงยามหน้าตาใจดียกมือตะเบ๊ะพลางเอ่ยทักพี่หนาวอย่างแข็งขันก่อนจะเปิดประตูให้พวกผมเดินออกไป
“ขอบคุณนะครับ”
ลุงไซด์ไลน์เดินนำผมผ่านประตูเข้าสู่ตรอกเล็ก ๆ ที่ไม่ลึกนัก ท่าทีของทั้งพี่หนาวและคุณลุงยามที่ดูคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า
ทั้งคู่น่าจะเจอกันทุกวันเป็นปกติวิสัย แต่ก่อนที่ผมจะคิดวิเคราะห์แยกแยะไปถึงไหน
ๆ เสียงจ้อกแจ้กจอแจจากถนนใหญ่และตึกแถวที่เห็นอยู่ข้างหน้าก็ทำให้ผมประหลาดใจได้อีกหน
“หลังคอนโดเป็นตลาดเหรอครับ”
“ใช่ แถวนี้เป็นย่านร้านค้าเก่าแก่น่ะ
บางร้านอยู่มาก่อนผมเกิดอีกนะ”
“สะดวกจังเลยครับ”
พี่หนาวพลางพยักหน้าก่อนจะเบี่ยงเลี้ยวซ้ายนำผมเดินไปตามทางเท้าด้านหน้าตึกแถวสามชั้น
“ไว้คราวหลังผมจะพาคุณไปกินของอร่อยนะ”
“ครับ” ผมเหลือบมองแผ่นหลังกว้างของคนที่เดินอยู่ข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม...
ที่เอาอาหารมาล่อนี่คืออ่อยใช่ไหม ผมกำลังถูกลุงแกตกอยู่หรือเปล่าวะ
“ถึงแล้ว” สิ้นเสียง พี่หนาวก็พาผมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเบเกอรี่แห่งหนึ่ง
ดูจากสภาพแล้วผมเดาว่าร้านนี้น่าจะเปิดมานานหลายปี หรือไม่ก็ใกล้เจ๊งเต็มที เพราะสภาพเก่าโทรมดีเหลือเกิน
แต่พอเจ้าถิ่นพาผมเดินผ่านประตูเข้าด้านใน กลิ่นนมเนยหอมตลบอบอวลก็ทำให้ตู้กระจกกับชั้นวางขนมโล่ง
ๆ กลับดูมีมนตร์ขลังอย่างไรบอกไม่ถูก... อ่า ร้านนี้คงยังไม่เจ๊งหรอก
แต่เจ้าคงอินดี้แรงอยู่ ไม่อย่างนั้นคงไม่ปล่อยให้หน้าร้านให้ดูลอฟท์ ๆ เซอร์ ๆ
เบอร์นี้
ผมสาวเท้าก้าวไปหยุดข้าง ๆ คนนำทาง
ลุงไซด์ไลน์กดกริ่งข้าง ๆ บานประตูกระจกซึ่งติดฟิล์มสีดำสนิท รอเพียงไม่นาน ประตูบานนั้นก็ถูกเปิดจากด้านในโดยผู้ชายหน้าตี๋ที่น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม
หากแต่ตัวสูงใหญ่สูสีพอ ๆ กับพี่หนาว
“พี่หนาว มารับปลาวาฬเหรอครับ” ชายแปลกหน้ามองผมสลับกับพี่หนาวอย่างสงสัย
“ใช่” คนข้าง ๆ หันมายิ้มให้ก่อนจะผายมือ
“ธามนี่ทู ทูนี่ธาม เจ้าของร้าน”
“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
“เช่นกันครับ”
หลังจากพี่หนาวแนะนำเราสองคนให้รู้จักกัน ผมก็สัมผัสได้ว่าคุณธามดูผ่อนคลายและเริ่มจะเป็นมิตรกับผมมากขึ้น
สงสัยพี่แกจะเป็นพวกเก็บเนื้อเก็บตัวล่ะมั้ง
เจ้าของร้านขนมยิ้มให้ผมก่อนจะหันไปคุยกับพี่หนาว
“เดี๋ยวผมขึ้นไปเรียกปลาวาฬให้นะพี่”
ไม่ทันขาดคำ ผมก็ได้ยินเสียงวิ่งตึงตังลงบันไดมา
จากนั้นร่างเล็ก ๆ ของเด็กหญิงที่ผมคิดถึงมาตลอดวันก็ถลาเข้าใส่แบบเต็มรัก “ปลาทู!”
“ว่ายังไงครับคนสวย” จากเกาะแข้งเกาะขาในช่วงแรก
ๆ เดี๋ยวนี้ปลาวาฬกับผมตัวติดกันถึงขั้นที่ผมต้องอุ้มอีกฝ่ายระหว่างพูดจาทักทายกันไปเสียแล้ว
“รู้ได้ไงครับว่าอาทูมารับ” ผมเขี่ยแก้มนุ่มนิ่มของเด็กหญิงอย่างเพลิดเพลิน
“ปลาวาฬเห็นอาทูกับคุณพ่อเดินอยู่ข้างล่างค่ะ”
ผมเหลือบไปมองพี่หนาวเพื่อส่งสายตาถาม
แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังคุยเคร่งเครียดอยู่กับคุณธาม ผมจึงต้องไขปริศนาฟ้าแลบของเจ้าวาฬน้อยด้วยตัวเอง
“ปลาวาฬเห็นอาทูได้ยังไงครับ”
“ปลาวาฬเล่นกับเวลาอยู่บนดาดฟ้า
มองลงมาก็เห็นคุณพ่อกับปลาทูค่ะ”
นี่ปลาวาฬวิ่งตึง ๆ
ลงจากดาดฟ้าเพื่อมาหาผมเลยเหรอ
โอยหนูลูก
อาทูรักหนูจนไม่รู้จะรักยังไงแล้วครับ ว่าแต่ เวลาคือใครหนอ
ก่อนผมจะได้ซักไซ้ปลาวาฬต่อ
คุณพ่อรูปหล่อก็แทรกขึ้นกลางคัน “ไปลูก ลาอาธามก่อนครับ”
พี่หนาวพยักหน้าใส่ลูกหนึ่งที เด็กหญิงก็ดิ้นขลุกขลักคล้ายอยากจะลงสู่พื้น สุดท้ายผมเลยปล่อยแกให้ยืนเองอย่างที่ขอ
“สวัสดีค่ะอาธาม” ปลาวาฬออกสเต็ปไหว้ติ๊ดชึ่งอีกครั้ง
ซึ่งนั่นทำให้ทั้งผมและคุณธามหลุดยิ้มด้วยความเอ็นดู
“ไปก่อนนะธาม ไว้วันไหนกินข้าวกัน”
พี่หนาวตบบ่าธามเบา ๆ
จากนั้นเจ้าของร้านก็แค่นยิ้มบาง ๆ
พลางปั้นสีหน้าให้กลับเรียบเฉยเหมือนตอนที่ผมเห็นเขาครั้งแรก “ได้ครับพี่
พี่ว่างวันไหนก็นัดมาได้เลย”
“ไปค่ะปลาทู กลับไประบายสีพี่โอลาฟกัน”
“พวกเราไประบายสีพี่โอลาฟกันเลย!” เมื่อเห็นสีหน้าพร้อมกลับบ้านของเจ้าวาฬน้อยเต็มตา
ผมก็หันไปพยักหน้าลาคุณธามพอเป็นพิธีก่อนจะยอมให้เด็กหญิงจูงมือกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากร้านด้วยความกระตือรือล้น
••••••
คเชนทร์ละสายตาจากหน้าร้านเพื่อเหลือบมองนาฬิกาบนผนังอีกครั้งก่อนจะทอดถอนใจ
นอกจากวันนี้เวลาจะไม่แวะมาที่ร้านดอกไม้แล้ว กระทั่งอาม่าซึ่งมักจะเดินผ่านหน้าร้านเขาทุก
ๆ วันหลังจากรับเวลากลับจากโรงเรียน ชายหนุ่มก็ยังไม่เห็น แม้ใจจะนึกห่วงเด็กชาย
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนก็ทำให้อดีตนางโชว์ไม่กล้าไปตามสอดส่องอีกฝ่ายถึงบ้าน
“คิดถึงเวลาไหมลูกพี่” คเชนทร์เปรยถามก้อนกลม
ๆ สีดำที่นอนขดตัวอยู่ในกล่องบนพื้นด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
ลูกพี่เงยหน้าขึ้นจ้องตาเขาราวกับรู้ภาษาก่อนจะร้องออกมาเบา ๆ
“เมี้ยว”
“อือ ฉันก็คิดถึงเวลาเหมือนกัน” เจ้าของร้านหลับตาพลางคลี่ยิ้มบางเบาเมื่อเพื่อนร่วมชายคาย้ายขึ้นมานอนขดตัวข้าง
ๆ กันคล้ายกับต้องการปลอบใจ
••••••
“Good night ค่ะปลาทู”
“ราตรีสวัสดิ์ครับคนสวยของอา” หลังโดนผมหอมจนแก้มยู่
เจ้าตัวเล็กก็หอมแก้มผมกลับก่อนที่เจ้าตัวจะต้วมเตี้ยมเข้าห้องนอนไปแต่โดยดี ผมมองส่งเด็กหญิงจนพอใจก่อนจะหันกลับมาบอกลาพี่หนาว
แต่อยู่ ๆ กลับมีสายเข้าซึ่งเบอร์บนหน้าจอคือหมายเลขที่ผมตัดสายทิ้งไม่ได้
“พี่ฟี่โทรมาครับ
ไม่รู้ว่ามีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า”
“ถ้างั้นคุณคุยโทรศัพท์ไปก่อนนะ
เดี๋ยวผมออกมาส่ง” ผมพยักหน้ารับแล้วจึงคุยโทรศัพท์เรื่องงานกับรุ่นพี่จนลืมเวลา รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เหลือบไปเห็นเจ้าของบ้านเดินออกมาจากห้องนอนของเจ้าวาฬน้อยแล้วนั่นแหละ
“ขอผมนั่งทำงานอีกสักพักนะครับ
เหลืออีกนิดเดียวก็น่าจะเสร็จแล้ว” แม้จะละสายตาจากหน้าจอโน้ตบุ๊คเพื่อสนทนากับอีกฝ่าย
แต่สองมือผมก็ยังไม่หยุดพิมพ์
ผมต้องรีบจบสเปคตัวนี้ให้ได้ก่อนกลับบ้าน
ไม่อย่างนั้นงานมีปัญหาแน่
เจ้าของห้องส่ายหัวพลางยิ้มอย่างเข้าใจ
“ไม่เป็นไร คุณทำงานต่อเถอะ เดี๋ยวผมจะเข้าไปเตรียมของในครัวหน่อย”
พี่หนาวปล่อยให้ผมทำงานต่ออย่างอิสระ
ส่วนผมที่แม้จะเกรงใจ
แต่สเปคของโปรแกรมที่ต้องเร่งส่งต่อให้โปรแกรมเมอร์ภายในคืนนี้ก็ดูดผมเข้าสู่วังวนของการทำงานอย่างรวดเร็ว
แม้ก่อนหน้านี้ผมจะเริ่มเขียนสเปคโปรแกรมที่ว่ามาบ้างแล้ว
แต่เนื่องจากพี่จี๊ดยังไม่ฟันธงคิวของโปรแกรมเมอร์มือดีมาเสียที
ผมจึงจับงานอื่นที่ด่วนกว่ามาทำก่อน ทว่าเมื่อตอนสองทุ่มพี่จี๊ดก็โทรมาคอนเฟิร์มพี่ฟี่เรื่องดีลอาทิตย์เดียวของโปรแกรมเมอร์
ผมกับซีเนียร์เลยต้องรีบปั่นสเปคให้เสร็จภายในคืนนี้
เพื่อที่พรุ่งนี้ทางนั้นจะได้เริ่มทำงานอย่างไม่ขาดช่วง
พี่หนาวเดินกลับมาพร้อมน้ำแก้วหนึ่ง
ลุงแกยื่นน้ำให้ผมก่อนจะเปรยเสียงเรียบ “คืนนี้คุณนอนที่นี่เถอะ”
เวรล่ะ
นี่ผมทำงานเพลินจนลืมเวลาเลยเหรอ
ผมก้มดูเวลาบนหน้าจอก่อนจะประเมินปริมาณงานที่ยังเหลือแล้วจึงตัดสินใจ
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมกลับเลยดีกว่า” เอาวะ เดี๋ยวค่อยกลับไปปั่นต่อที่บ้าน
รวมเวลาเดินทางแล้วไม่เกินห้าทุ่มสเปคก็น่าจะเสร็จ
“ถ้าคุณจะกลับ เดี๋ยวผมขับรถไปส่ง”
ผมละสายตาจากหน้าจอแล้วหันไปมองหน้าเจ้าของบ้านทันที... นี่ก็จวนจะสี่ทุ่มแล้ว
พี่หนาวจะขับรถไป ๆ กลับ ๆ ให้เหนื่อยทำไม
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมเรียกแท็กซี่กลับเองสะดวกกว่า”
“ข้างนอกฝนตกหนัก
กว่าคุณจะเรียกแท็กซี่ได้คงอีกนาน”
ลุงไซด์ไลน์ยืนกอดอกพลางดึงหน้าตึงพร้อมกับพยักพเยิดให้ผมเหลียวมองท้องฟ้าด้านนอก
“หืม ฝนตกเหรอครับ” ริ้วน้ำบนผิวกระจกที่ทิ้งตัวเป็นสายจากบนลงล่างทำให้ผมตกใจจนเผลออ้าปากกว้าง
เจ้าของห้องที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โซฟาจึงช่วยอธิบายถึงสภาพอากาศสุดแปรปรวนเป็นวิทยาทาน
“คืนนี้พายุเข้า
ฝนน่าจะตกอีกหลายชั่วโมง” พี่หนาวเอ่ยเรียบ ๆ “ถ้าคุณเกรงใจไม่อยากให้ผมขับรถไปส่ง
คุณก็ควรรีบโทรไปบอกที่บ้านว่าจะนอนค้างที่นี่”
“แต่ผมไม่อยากรบกว...” ผมยังไม่ทันพูดจบประโยค
สายเรียกเข้าของพี่ฟี่ก็ดังขึ้นอีกครั้ง พี่หนาวส่งสายตาบอกผมให้กดรับสายจากนั้นเจ้าตัวก็หันหลังเดินผลุบเข้าห้องที่อยู่ตรงข้ามกับห้องของปลาวาฬไปโดยไม่พูดอะไรอีก
“ครับพี่ กำลังทำอยู่ครับ ได้ครับ... ก่อนห้าทุ่มใช่ไหมพี่
เดี๋ยวผมรีบทำรีบส่งเลยครับ โอเคครับ CC ทีมกับพี่จี๊ด... ไม่ลืมครับ” [หมายเหตุ: CC
(Carbon
Copy ) คือ ช่องกรอกอีเมลผู้รับที่ผู้ส่งต้องการจะสำเนาถึง เมื่อส่งอีเมลแล้ว
รายชื่อผู้รับทุกคนจะปรากฏขึ้นให้ทุกฝ่ายรับทราบ]
หลังจากวางสาย ผมก็รีบตรวจทานแก้ไขงานแล้วส่งเมลตามที่ซีเนียร์กำชับ
แต่ถึงงานจะเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จริง ผมกลับยังต้องนั่งจ๋องรอเจ้าของบ้านเพื่อบอกลากันตามมารยาทเสียก่อน
ระหว่างนั้น ผมจึงไถทวิตเช็กสภาพการจราจรเพื่อวางแผนก่อนกลับบ้าน แต่พอเจอคนก่นด่าว่าแท็กซี่ยากเว่อร์เพราะฝนตกหนักกับรถไฟฟ้าเสียซ้ำซากเข้าไป
ผมก็เริ่มจะไขว้เขว
หรือผมจะค้างที่นี่ดี ไหน ๆ
ผู้ชายก็เสนอแล้ว ที่เหลือผมก็แค่สนองให้จบ ๆ เท่านั้น
จังหวะที่ผมลังเลว่าจะส่งข้อความไปบอกพี่เอิงดีหรือไม่
พี่หนาวในชุดลำลองสุดเร้าใจก็เดินออกมาจากห้อง
ผมจึงรีบยัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะดีดตัวขึ้นจากโซฟาอย่างคนมีชะนักปักหลัง “ผมกลับบ้านก่อนนะครับ”
“ผมจัดที่นอนเสร็จแล้ว เพราะฉะนั้น
คืนนี้คุณต้องนอนที่นี่” น้ำเสียงเจ้าของห้องเฉียบขาดจนเสื้อผ้าหน้าผมที่ดูแปลกตาไม่ได้ช่วยลดดีกรีความน่าเกรงขามของท่าน
HR Director ลงเลยสักนิด
“หา?” ผมมองหน้าอีกฝ่ายอย่างอึ้ง ๆ เพราะคาดไม่ถึงว่าที่สุดแล้วลุงแกจะเล่นไม้แข็ง
“ไปอาบน้ำครับ ผมง่วงแล้ว” ลุงไซด์ไลน์ยัดเสื้อผ้ากับของใช้จำเป็นใส่มือผมแล้วยืนกอดอกมองข่มขู่
“ห้องน้ำอยู่ในห้องนอนครับ”
“คระ ครับ” ถึงจะยังงง ๆ แต่จุด ๆ นี้ใครจะหาว่าผมใจง่ายไม่ได้นะ
เพราะลองว่าผู้ชายออกตัวแรงก่อน ผมก็ไม่ควรจะท่ามากถูกไหม
.
.
.
.
จำได้ว่าก่อนผมจะยอมเข้าไปอาบน้ำพี่หนาวบอกว่าเขาจัดที่นอนเสร็จแล้ว
แต่นอกจากเฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ ที่พบเห็นได้ในห้องนอนทั่วไป ผมกลับพบไม่พบที่ ๆ
ควรทิ้งตัวนอนอื่นใดนอกจากเตียงคิงส์ไซส์หลังเดียว “ที่นอนผมอยู่ตรงไหนเหรอครับ”
“เดี๋ยวคุณนอนฝั่งที่ไม่ได้เปิดไฟนะ” เจ้าของห้องชี้นิ้วไปยังฝั่งหนึ่งของเตียงระหว่างที่เดินไปปรับแอร์
“คุณจะเอาหมอนเพิ่มอีกใบไหม”
“ไม่เป็นไรครับ... จริง ๆ ผมออกไปนอนโซฟาข้างนอกก็ได้นะครับ
คุณจะได้นอนสบาย ๆ ” ต่อให้มั่นใจว่าเราสองคนจะนอนร่วมเตียงกันได้แบบเหลือที่อีกหลายไร่
แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันไม่สมควรอยู่ดี
พี่หนาวเดินกลับมาทิ้งตัวลงบนเตียงพลางมองผมด้วยสายตาเหมือนผู้ใหญ่กำลังดุเด็ก
“อย่าเลยคุณ โซฟาตัวนั้นนอนไม่สบายหรอก มีครั้งนึงผมเคยเผลอหลับ
ตื่นมาอีกทีปวดหลังไปทั้งวัน”
“ถ้างั้นผมขอนอนพื้นแล้วกันครับ”
ผมกวาดตามองเตียงนอนของพี่หนาวอีกครั้งพลางนึกกลุ้ม...
ลุงจะไม่เกรงใจผมก็ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ช่วยห่วงตัวเองนิดนึง ลืมแล้วหรือไงว่าผมน่ะเน้นผิดผีกับผู้ชายเป็นหลัก
ที่สำคัญผมน่ะแอบชอบลุงอยู่นะครับ เกิดนอน ๆ ไปแล้วผมละเมอจับอะไรขึ้นมา ลุงจะว่าผมไม่ได้นะเฮ่ย
“นอนบนเตียงด้วยกันนี่แหละคุณ” พอพี่หนาวพูดจบ
เราสองคนมองหน้าวัดใจกัน แต่สุดท้าย สีหน้าไม่ยินดียินร้ายคล้ายคนไม่คิดอกุศลใด ๆ
กับประโยคที่ตามมาก็ทำให้ผมยอมแพ้หมดรูป “เร็วครับ ผมจะปิดไฟแล้ว
เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องตื่นไปส่งปลาวาฬที่โรงเรียนแต่เช้า”
แม้จะตื่นเต้นกับแผนการวันพรุ่งนี้
แต่ผมกลับค่อย ๆ หย่อนตัวลงนอนบนเตียงของท่าน HR Director อย่างระมัดระวัง
ใครบอกว่านอนเตียงผู้ชายแล้วหลับสบาย ขอให้ลองมาเป็นผมดู
เพราะทุกครั้งที่จะหายใจแรงหรือพลิกตัวเปลี่ยนท่าสักที ผมต้องคิดแล้วคิดอีกอย่างน้อยสามรอบ
“พรุ่งนี้เราจะไปส่งปลาวาฬที่โรงเรียนกันเหรอครับ”
ทันทีที่ไฟดวงสุดท้ายดับลง ผมก็รีบกระเถิบไปนอนตะแคงชิดขอบเตียงแล้วทำตัวแข็งแข่งกับหมอนข้างอย่างว่องไว
“ใช่ พรุ่งนี้คุณกับผม เราจะไปส่งปลาวาฬที่โรงเรียนพร้อมกัน”
“ทู” ผมแทบหยุดหายใจเมื่อได้ยินเสียงพี่หนาวดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลราวกับอีกฝ่ายกระเถิบมานอนบนหมอนใบเดียวกัน
บุญบาป ผมควรทำไงดี พี่หนาวรุกแรงเว่อร์!
ไม่สิทู... มึงต้องไม่มโน
พี่หนาวเขาก็นอนอยู่ของเขาดี ๆ
โอเคเฟม
เพื่อนจะไม่มโนในทางชู้สาวกับผู้ที่เรายังอ้อยไม่สำเร็จ
ที่สุดแล้ว เสียงถอนหายใจของลุงไซด์ไลน์ทำให้ผมได้สติ
แต่หลังจากเงี่ยหูฟังอยู่พักใหญ่ พี่หนาวกลับไม่ยอมพูดอะไร ผมเลยอดสงสัยไม่ได้
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ฝันดีนะ”
ผมสูดลมหายใจพลางควบคุมเสียงของตัวเองไม่ให้สั่น
จากนั้นจึงค่อย ๆ กลืนน้ำลายแล้วตอบพี่หนาวกลับไปอย่างยากลำบาก “ครับ...
ฝันดีครับ” จะหาว่าผมขิงก็ได้นะ แต่คำว่า ‘ฝันดี’
ที่พี่หนาวเคยพูดกับผมก่อนหน้านี้แม่งสู้ ‘ฝันดี’ ที่ผมเพิ่งได้ยินแบบจะ ๆ เมื่อกี้ไม่ได้เลยจริง
ๆ
••• TBC •••
ชะอุ๊ย
ตอนนี้ลุงแกมาเหนือเมฆมาก
อะไรคือการอ้างว่าฝนตกให้นอนค้าง
อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่าอ่อยแล้วควรเรียกว่าอะไรกันค้า
(ทูบอกไม่อ่อยครับ
พี่หนาวแค่เป็นห่วง กลัวผมกลับบ้านลำบาก – ถถถ
ลูก บทจะซื่อก็ซื่อเกิ้น)
ถ้าอ่านแล้วชอบ หรือไม่ชอบอย่างไร
อย่าลืมบอกกล่าวกันบ้างนะคะ
No comments:
Post a Comment