Monday, January 22, 2018

• รักหลอก ๆ ต้องบอกลุง •||#02|| 22.01.2018



#02


ได้แต่ฝันหวาน ได้แต่เพ้อไป ว่าหัวใจแอบรักใครคนหนึ่ง
เขาดูคมเข้ม บาดใจรักตรึง ฝันรำพึงฝากรอยซึ้งใจ
หลับก็ฝันหวาน ตื่นยังเพ้อครวญ รักคอยกวนให้ใจฝันเรื่อยไป
ถ้าได้พบหน้าหากได้ชิดใกล้ ฝันคงไม่เป็นเพียงแต่ฝันไป
ฝันฝันหวาน - ผุสชา โทณะวณิก


…………………………………………………………………………………………………………


“ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ผมขออนุญาตขับไปห้าง xxx นะครับ”

หลังจากรถติดไฟแดงได้สักพัก สารถีแปลกหน้าก็ทำลายความเงียบภายในห้องโดยสารลง ผมเอียงคอมองเขางง ๆ เพราะถ้าจะไปห้างที่ว่า ทำไมเขาถึงไม่นั่งรถไฟฟ้าไปล่ะ ใกล้นิดเดียวเองแถมรถยังไม่ติดอีกต่างหาก

คนข้าง ๆ คงอ่านสายตาผมออก  เขาจึงอมยิ้มก่อนตอบ “ขามารถติดมาก ผมเลยแวะจอดรถไว้ที่นั่นแล้วต่อวินไปหาคุณ จริง ๆ ผมกะจะนั่งบีทีเอสกลับไปเอารถ แต่พอเห็นคุณมีเรื่อง ผมก็ห่วง กลัวคุณโมโหจนขับรถชนใครเข้า”

“เมื่อกี้ผมดูแย่มากเลยเหรอ” ผมนิ่วหน้าเพราะไม่คิดว่าตัวเองจะสติหลุดจนทำให้คนอื่นพลอยเดือดร้อนไปด้วย    

เขาส่ายหัวแล้วทอดสายตามองเหม่อคล้ายกำลังครุ่นคิด “ถ้าผมไม่เข้าไป เขาคงต่อยคุณ”

ผมนิ่งฟังแล้วทอดถอนใจ คู่อื่นเลิกกัน ผมเห็นเขายังกลับมาคุยเล่น กลับมาคบค้าทำธุรกิจด้วยกันได้ แต่ไอ้พี่บูมนี่ยังไง หรือใจคอมันจะไม่อยากเป็นแม้กระทั่งรุ่นพี่ที่ผมเคารพฝีมือ

เฮ่อ ถ้าผมกับมันไม่ทำงานที่เดียวกัน  เรื่องทั้งหมดคงง่ายกว่านี้

“ถ้าคุณมีเรื่องทุกข์ร้อนอยากหาที่ระบาย คุณคุยกับผมได้นะ” คงเป็นเพราะสายตาคู่นั้นฟ้องว่าเจ้าตัวเป็นห่วงผมจากใจจริง ผมจึงสูญเสียความยับยั้งชั่งใจที่ควรมีต่อคนแปลกหน้าไปโดยสิ้นเชิง

“คุณว่าผมโง่ไหม ผมคบกับเขามาสามปี แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าเขามีแฟนอยู่แล้วทั้งคน” พูดไปก็ได้แต่ยิ้มเยาะตัวตนที่ใสซื่อในวันวาน ทำไมตอนนั้นผมถึงได้โง่ล้ำลึกขนาดนั้นก็ไม่รู้

“เขาทำไม่ดีกับคุณ แล้วทำไมคุณต้องว่าตัวเองด้วยล่ะครับ” พูดจบ เขาก็เลิกคิ้วแล้วเหลือบมองผมเหมือนจะชี้ประเด็นก่อนจะเคลื่อนรถรักษาระยะโดยไม่ส่อเค้าหงุดหงิดกับรถติดช่วงบ่ายวันเสาร์สิ้นเดือนเลยสักนิด “ถ้าสามปีที่ผ่านมาคุณไม่เคยระแคะระคายเรื่องใครอีกคน แสดงว่าเขาคงทำแบบนี้มาจนชำนาญ คุณไม่ผิดหรอกครับที่รู้ไม่ทันเขา”

“หึ รู้ไม่ทันหรือโง่มันก็ค่าเท่ากันแหละคุณ” ผมเบ้หน้าเมื่อหวนนึกถึงความหลังอันเจ็บปวด “ถ้าเป็นคนอื่นคงเฉลียวใจตั้งแต่แฟนหายหัวไปเที่ยวแบ็คแพ็คทีละสองสามอาทิตย์แต่โทรหาได้แค่วันละครั้ง ครั้งละไม่กี่นาทีแล้วล่ะ แต่ที่น่าเจ็บใจที่สุดคืออะไรรู้ไหมคุณ อยู่ดี ๆ ไอ้คนที่ควรจะเป็นชู้ดันเสือกเป็นหลวง ผมเลยกลายเป็นคนมาทีหลังเฉยเลย”

“คุณพูดอย่างกับว่าถ้าคุณมาก่อน คุณจะรับได้งั้นแหละ” เขายิ้มมุมปากอีกแล้ว พูดแบบนั้นแล้วยิ้ม ต้องการอะไรกันแน่นะ  

“บ้าเหรอคุณ จะก่อนจะหลังผมก็ไม่เอาด้วยหรอก ถ้าคบกับผมแล้วขอให้ผมไว้ใจ ขอให้ผมให้อิสรภาพ เขาก็ควรจะตอบแทนผมด้วยความซื่อสัตย์รักเดียวใจเดียวเหมือนกันสิ” กว่าจะนึกออกว่าไอ้ประกายวิบวับในดวงตาของเขาเมื่อครู่แปลว่าอะไร ผมก็โดนเขาแหย่จนพล่ามเป็นก๊อกแตก

“เท่าที่ฟัง ผมว่าคุณใจกว้างน่าดู เป็นผม ผมคงไม่ปล่อยแฟนไปไหนคนเดียวนาน ๆ หรอกครับ” เขาเอ่ยเรียบ ๆ ไม่เหลือแววล้อเล่น

“ใช่มะ! จะหาแฟนดี ๆ แบบผมได้จากที่ไหนอีก” ผมเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดปากยกหางตัวเองไปเต็ม ๆ ก็ตอนที่เห็นเขากลั้นขำ จนตัวสั่น บ้าจริง เผลอทำตัวน่าขายหน้าออกไปอีกแล้ว

ให้ตายเหอะ ผมแม่งโคตรไม่คูลเลยว่ะ

“นั่นสิครับ” ถึงเขาจะไม่หลุดหัวเราะออกมาโต้ง ๆ แต่สายตากรุ้มกริ่มไม่เลิกนั่นก็ทำให้ผมหน้าร้อน หัวใจเต้นตึกตักได้อยู่ดี

“...อือ ก็นั่นแหละ...” พูดแล้วก็เสยผมแก้เก้อพลางเสมองข้างทางเพราะวางหน้าไม่ถูก นั่นจึงทำให้ผมทันสังเกตเห็นรปภ.ของห้างใหญ่ตรงหัวมุมแยกเดินส่ายอาด ๆ ออกมากั้นทางเพื่อระบายรถออก ถ้าหนึ่งในนั้นคือรถของผม ผมคงกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เพราะยังคงติดแหงกอยู่ที่เดิม ผมจึงแอบปลื้มที่เพื่อนร่วมทางยังไม่มีทีท่าอึดอัดกับบทสนทนาน่าเบื่อของเรา

“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าเขามีแฟนอีกคน” เขาดึงเบรกมือก่อนจะเลื่อนเปลี่ยนเป็นเกียร์ว่างแล้วหันหน้ามารอฟังคำตอบ

“ทุกทีที่มันขอไปเที่ยวแบ็คแพ็คกับเพื่อน ผมจะกลับไปอยู่บ้าน แต่เผอิญรอบนี้ผมลืมของสำคัญไว้ที่คอนโดก็เลยแวะเข้าไปเอา” บาดแผลของผมยังสด พอรู้ว่ามีคนพร้อมรับฟัง ผมก็พล่ามเรื่องซ้ำซากที่เฟมกับรุ้งได้ยินจนเหม็นเบื่ออย่างเคียดแค้น  “หึ แทนที่จะได้ของ ที่ไหนได้ ผมกลับโดนมันเซอร์ไพรส์ด้วยการพาสจ๊วตมานัวกันบนเตียงที่ผมนอนอยู่ทุกคืน”

“แสดงว่าคุณไม่เคยกลับไปที่คอนโดตอนเขาไม่อยู่เลยเหรอ”

“อืม... แต่มันก็ไม่เคยพากันมากกที่ห้องเหมือนกัน ครั้งนั้นเป็นครั้งแรก” ทั้ง ๆ ที่เล่าเรื่องนี้เป็นพัน ๆ รอบได้ แต่ทำไมผมกลับไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองโง่น้อยลงเลยวะ

“แล้วคุณรู้รายละเอียดพวกนี้ได้ยังไง” เขาเอนหลังพิงประตูพลางจับจ้องผมไม่วางตา ทว่าการเปลี่ยนอิริยาบถเพียงเล็กน้อยกลับทำให้กลิ่นน้ำหอมของเขาฟุ้งกระจายจนใจผมเต้นผิดจังหวะ 

“มันบอก” อยู่ ๆ ผมก็รู้สึกไม่กล้าสู้สายตาคู่สนทนาขึ้นมาดื้อ ๆ  โอ๊ย จะประหม่าหรือจะอับอายก็เอาให้สุดสักทางเถอะวะไอ้ทู!

“หืม... เขาบอกคุณ?”

ที่สุดแล้ว สีหน้าแปลกใจระคนเวทนาของเขาก็ทำให้ความละอายชนะไปขาดลอย ผมพยักหน้าจ๋อย ๆ พลางอ้อมแอ้มสารภาพ “วันนั้นพอจับได้ว่ามันมีคนอื่น แทนที่ผมจะได้บอกเลิกมันให้เป็นเรื่องเป็นราว ผมกลับต้องนั่งฟังแฟนมันขอโทษขอโพยที่ทำผมเสียใจ ก่อนจะลำดับความสัมพันธ์อันยาวนานเหนียวแน่นของพวกมันให้ฟังเป็นฉาก ๆ หนำซ้ำก่อนกลับนะคุณ แฟนมันยังมีหน้าพูดจาไกล่เกลี่ยให้ผมคืนดีกับไอ้ชั่วนั่นอีกอ่ะ... บ้าเนอะ ทั้งผม ทั้งพวกมันสองคน”

ผมเผลอเข้าใจว่าที่เขานิ่งไปเป็นเพราะกำลังอึ้ง แต่ที่จริงคือเขาเห็นสัญญาณไฟเขียวจึงต้องรีบปลดเบรกมือแล้วออกรถ ไม่อย่างนั้นเราสองคนคงจะได้ชื่นชมไฟแดงแยกนี้เป็นรอบที่สี่ พอรถเลี้ยวพ้นแยก คนข้างตัวผมก็เปรยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ถึงเราจะไม่รู้จักกัน แต่ผมดีใจนะที่คุณตัดสินใจเลิกกับเขา”

“เฮ่อ ถ้าวันนั้นผมเลิกกับมันสำเร็จจริง ๆ วันนี้เราจะเจอกันเหรอครับ” ภาพเหตุการณ์ตรงลานจอดรถทำผมถอนหายใจแล้วบึนปากอย่างเซ็ง ๆ  

“หึ ๆ นั่นสินะ” เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะตีไฟเลี้ยว หักพวงมาลัยตรงเข้าสู่ซอยซึ่งเป็นที่ตั้งของจุดหมายปลายทาง “แล้วนี่คุณจะทำไงต่อ เขาจะยอมปล่อยคุณไปดี ๆ ไหมครับ”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” ผมยอมรับอย่างท้อแท้ ยิ่งหลังเกิดเรื่อง ผมก็ยิ่งประมาทไม่ได้ แต่เพราะเป็นพวกเจ็บแล้วจำฝังใจ ฉะนั้นต่อให้ไอ้พี่บูมจะคลานกลับมากอดเข่าผมร้องห่มร้องไห้ ก็อย่าหวังเลยว่าจะผมจะใจอ่อน “ช่างมันเถอะ หัวเด็ดตีนขาดยังไงผมก็จะไม่กลับไปคบกับมัน แต่ถ้ามันยังพูดไม่รู้เรื่อง ผมก็ยังมีคุณอยู่ทั้งคน จริงไหมครับ”

“ผมนึกว่าคุณจะไม่พอใจที่ผมเล่นไม่สมบทบาทเสียอีก” แม้หางเสียงเขาจะเจือด้วยอารมณ์ขัน แต่แววตานั่นกลับฉายแววกระอักกระอ่วนคล้ายมีเรื่องคับข้องใจ ผมเลยรีบปลอบประโลม

“ใครบอก คุณน่ะเล่นเป็นแฟนผมได้เนียนสุด ๆ ”

คนถูกชมยิ้มรับหากแต่ไม่เอ่ยอะไร ผมจึงอาศัยจังหวะว่างของบทสนทนาพินิจรอยกรีดจาง ๆ ตรงหางตาที่มักจะโผล่ออกมาทักทายเวลาอีกฝ่ายคลี่ยิ้มเต็มใบ เฮ่อ คนอะไรน้อ หล่อโลกไม่ยุติธรรม หล่อไม่เพลี่ยงพล้ำ หล่อขนาดตีนกายังทำอะไรไม่ได้เลยอ่ะ คิดดู

“แต่ถ้าแฟนเก่าจะยังตื๊อทูไม่เลิก... ทูคงต้องขอฝากเนื้อฝากตัวกับพี่หนาวยาว ๆ เลยนะครับ” ผมคงจะไม่รู้สึกผิดบาปมากนักหากเมื่อกี้ไม่เผลอใช้เสียงสอง ช้อนตามองอ้อนคู่สนทนาไปสามทีถ้วน โดยที่ภายในหัวฉายภาพตัวเองลั่นไก Cash Cannon ยิงแบงค์พันใส่พี่หนาวในชุดวันเกิดแบบไม่ยั้ง

“ขอโทษจริง ๆ ครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่าผมจะมาเจอคุณได้อีกหรือเปล่า”

“อ่ะ... เอ่อ... เหรอครับ” แหม พี่เล่นตอบมาแบบนี้ ผมก็หน้าแหกเท่านั้นสิครับ

“ผมไม่ได้รังเกียจที่จะเป็นแฟนคุณนะครับ แต่ช่วงนี้ผมไม่ค่อยว่าง” ฟังเผิน ๆ เหมือนจะดี แต่ไม่เลย

“อย่าคิดมากสิครับ เมื่อกี้ผมพูดเล่น  จริง ๆ ผมตั้งใจว่าจะลองเปิดใจลองคบคนใหม่ดูเร็ว ๆ นี้แหละ” ผมโกหกเพราะไม่อยากดูสิ้นไร้ไม้ตอกจนเกินไปนัก

ใช่ จริง ๆ จิตใจผมบริสุทธิ์ ผมแค่ใช้ลุงไซด์ไลน์เป็นข้ออ้างตัดขาดกับไอ้เหี้ยพี่บูมก็เท่านั้น
ลึก ๆ แล้วผมไม่ได้คิดจะใช้เงินฟาดหัวแล้วเคลมตาลุงนี่เลยสักนิด
ไม่เจอก็ไม่เจอสิ ไม่เจอแล้วไง... ใครแคร์

“ถ้าอย่างนั้นผมจะเอาใจช่วยให้เขายอมเลิกกับคุณเร็ว ๆ นะครับ” รู้ตัวอีกที รถผมก็ค่อยๆ ชะลอความเร็วก่อนจะหยุดตรงหน้าซองจอดหนึ่งตรงชั้นใต้ดินของอีกหนึ่งห้างหรูในละแวกใกล้ ๆ กัน

“ขอบคุณมากนะครับที่มาส่ง” ผมยังไม่ทันได้พูดอะไร เขาก็ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วตั้งท่าพร้อมดีดตัวออกจากรถอย่างกระฉับกระเฉง ผมจึงทำได้แค่แสร้งยิ้มรับทั้งที่ข้างในกำลังรู้สึกเสียเซลฟ์เอามาก ๆ  

“ผมต่างหากล่ะครับที่ต้องขอบคุณ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี ถ้ายังไงผมขอตัวเลยนะครับ” ผมปราดลงจากรถเมื่อเห็นอีกฝ่ายเลื่อนมือไปเปิดประตูฝั่งคนขับ

“โชคดีนะครับ” เพื่อนเที่ยววัยดึกหยุดยืนส่งผมอยู่ตรงข้าง ๆ รถ เขารอจนแน่ใจว่าผมรัดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย เมื่อนั้นจึงคลี่ยิ้มบาง ๆ พลางเอ่ยทิ้งท้ายอย่างรู้งาน “คุณต้องหาแฟนใหม่ได้เร็ว ๆ นี้แน่ ๆ ครับ”

ฟังแล้วปากผมก็คันยิบ ๆ อยากจะถามสวนไปว่า ถ้าผมบอกว่า ผมชอบพี่มากจนอยากให้เราเป็นแฟนกันเดี๋ยวนี้เลย พี่จะยอมไหมครับ แต่ในความเป็นจริงผมกลับทำได้แค่ขับรถจากมาอย่างหมดอาลัยตายอยากพร้อมกับแหกปากร้องเพลงคนไม่จำเป็นเหมือนผีบ้าอยู่ในใจ

 ••••••

“พี่จี๊ดหวัดดีครับ” ผมยกมือไหว้รุ่นพี่ที่เพิ่งหอบของลงจากรถ

“มาเช้าจังทู ขับมาไม่ยากใช่ไหม” ผมส่ายหัว อีกฝ่ายเองก็ไม่ได้เดือดร้อนกับคำตอบเพราะมัวแต่จัดระเบียบสายกระเป๋าสะพายบนไหล่ขณะตั้งท่าจะออกเดิน แต่แล้วอยู่ ๆ พี่จี๊ดกลับชะงักงันก่อนจะเอี้ยวตัวหันไปกดรีโมทล็อครถตัวเองอีกครั้ง “ออกจากบ้านกี่โมงเนี่ย”

“หกโมงครับ พอลงทางด่วน ผมก็วิ่งเลาะมาทาง local road เลยถึงเร็ว” ใจผมนึกอยากช่วยพี่จี๊ดถือกระเป๋าคอมฯ ใบโต แต่ลำพังไอ้ที่อยู่ในมือตัวเองก็หนักพอดู ผมจึงเดินช้า ๆ เพื่อให้เรียวขาบนส้นสูงแหลมปรี๊ดของอีกฝ่ายก้าวตามได้ทัน“แล้วพี่จี๊ดล่ะครับ ออกจากบ้านกี่โมง”

“เรื่องนั้นไว้ทีหลัง  พี่ว่าตอนนี้เราเอาของขึ้นไปเก็บกันก่อนเถอะ เดี๋ยวต้องเสียเวลาแลกบัตรอีก” ผมเกือบจะไม่คิดอะไรแล้วเชียว แต่สีหน้าลำบากใจของพี่จี๊ดตอนเอ่ยประโยคหลังจากนั้นก็ทำให้ผมเสียวสันหลังอย่างไรบอกไม่ถูก

“ทู เรามีเรื่องต้องคุยกันนะ”
.
.
.
.
“ทูอ่านเมลเมื่อวานที่พี่ส่งให้แล้วใช่ไหม” พี่จี๊ดเปิดประเด็นทันทีที่ผมวางจานข้าวราดแกงลงบนโต๊ะ บรรยากาศเคร่งเครียดกดดันที่เกิดขึ้นฉับพลันทำให้ผมจำใจต้องทรุดตัวลงนั่งหากแต่ยังไม่วายแอบปักหมุดร้านกาแฟไว้ในใจล่วงหน้า

“ครับ” ผมพยักหน้ารับพลางนึกถึงเนื้อหาหลัก ๆ ที่อีกฝ่ายระบุในอีเมลฉบับดังกล่าว “สรุปว่าโปรเจคนี้พี่ฟี่ทำ PYM (ระบบเงินเดือน) กับ TM (ระบบเวลา) แล้วผมทำที่เหลือใช่ไหมครับ”

“ใช่ แต่พวกเอกสารหรืออะไรง่าย ๆ ทูให้ยีนส์ลองหัดทำก็ได้นะ” แม้ฐานะเจ้านายจะทำให้พี่จี๊ดมีอำนาจในการตัดสินใจเต็มร้อย แต่ทุกครั้งแกมักจะซักถามความคิดเห็นของลูกน้องก่อนวางแผนงานขั้นสุดท้ายเสมอ “พี่จะให้ยีนส์ช่วยทูกับฟี่ โปรเจคหน้าน้องจะได้ช่วยงานเราสองคนได้มากขึ้น”

“ครับ” ผมรับคำแกน ๆ เพราะแอบตงิดใจว่าเรื่องงานไม่ใช่หัวข้อที่พี่จี๊ดอยากคุย

“โปรเจคนี้บูมทำ FI (ระบบการเงิน) นะ ทูไม่มีปัญหาใช่ไหม” นี่คงเป็นเหตุผลที่พี่จี๊ดสลับตัวผมกับพี่ฟี่เอานาทีสุดท้าย เพราะระบบเงินเดือน (PYM) มันหนีระบบการเงินไปไม่พ้นน่ะสิ

ว่าแต่ ทำไมอยู่ ๆ พี่จี๊ดถึงพูดแบบนี้ล่ะ
หรือว่าแกจะรู้?!

“ครับ” หน้าผมหดเหลือสองนิ้วเพราะไม่คิดว่าเรื่องส่วนตัวจะดังกระฉ่อนไปถึงหูเจ้านาย

หลังจากโดนเบิกเนตรเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ใจผมคิดแค่ว่า ต่อต้องให้ทำงานที่เดียวกันต่อไป แต่ถ้าผมกับแฟนเก่ารับผิดชอบลูกค้าคนละเจ้า ดูแลกันคนละโปรเจค แผลอกหักก็ไม่น่าจะอักเสบร้ายแรง ที่ไหนได้ นอกจากไอ้พี่บูมจะไม่ยอมปล่อยผมไปตามยถากรรมแล้ว มันยังตามมาจองเวรผมถึงที่เสียอีก

“มีปัญหาอะไรก็บอกพี่ ไม่ก็บอกฟี่นะทู อย่าเก็บไว้คนเดียว... ทูบอกพวกพี่ได้ทุกเรื่องนะ” สายตาเป็นห่วงที่ฉายแววหนักใจของรุ่นพี่ยืนยันได้ดีว่าแกคงรับรู้ปัญหาส่วนตัวของผมแบบหมดเปลือก ไม่รู้ว่าพี่จี๊ดโดนวอแวเบอร์ไหน แกถึงได้ยอมเสี่ยงถอนตัวไอ้ชั่วนั่นออกจากอีกโปรเจคก่อนเวลาส่งมอบตั้งเกือบเดือน 

“ครับ” ผมไม่กล้าสู้หน้าคู่สนทนาขณะทั้งที่ขอบตาร้อนผ่าว ผมรู้สึกอับอายพี่จี๊ดจับใจที่ทำให้แกต้องพลอยลำบากไปอีกคน

“เดี๋ยวพี่จะคุยกับบูมมันอีกที โปรเจคนี้เป็นโปรเจคแรกที่บริษัทเราเหมาทั้งหมด พี่เลยไม่อยากให้พวกเราพลาดเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง... เข้าใจที่พี่พูดใช่ไหมทู”  

“ครับ” ผมรวบช้อนทั้ง ๆ ที่เพิ่งกินข้าวไปได้ไม่กี่คำ แค่นึกถึงหน้าตาทุเรศ ๆ กับคำพูดเห็นแก่ตัวของไอ้พี่บูม ผมก็รู้สึกผะอืดผะอมเต็มที

 ••••••

“ไปทู... ยีนส์ ไปเตรียมตัวได้แล้ว”

“พี่ฟี่เขาเรียกพวกเราไปไหนเหรอพี่ทู” หลังจากหัวหน้าทีมของผมก้าวฉับ ๆ จากไป น้องน้อยจบใหม่ก็ยื่นหน้ามากระซิบถามผมอย่างงง ๆ ผมเลยช่วยสงเคราะห์อีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู

“เสาร์อาทิตย์น่ะเคยเช็กเมลบ้างไหมเรา หรือว่าเอาแต่เล่นเกม” คนฟังส่ายหัวดิกจ้องผมตาแป๋ว สงสัยบ่ายนี้ผมคงต้องเรียกยีนส์มาสอนเรื่องการติดตามข่าวสารการงานให้ทันโลกเสียหน่อยแล้ว “อีกสิบนาทีมีประชุม Kick-off โปรเจค”

“หนูต้องเข้าด้วยเหรอพี่” น้องมันทำหน้าเหลอหลาพลางชี้นิ้วเข้าหาตัว

“อืม... ก็เข้าไปนั่งดูไง จะได้รู้ว่าข้างในเขาคุยอะไรกัน ต่อไปจะได้ไม่เด๋อ” ผมพับฝาคอมแล้วหยิบสมุดโน้ต ก่อนจะพยักหน้าเรียกน้องนุชสุดท้องให้เดินตามกันผ่านโต๊ะทำงานของพนักงานในบริษัทลูกค้าไปยังห้องประชุมที่มีพี่ฟี่กับพี่จี๊ดยืนคอยท่า

สายตานับสิบคู่ที่จ้องมองตามเราสองคนกับเสียงซุบซิบหนักเบาเป็นระยะ ๆ คงทำให้ยีนส์ประหม่า เด็กน้อยเลยมัวแต่ก้มหน้าก้มตาสับขาฉับ ๆ จนไม่ทันสังเกตว่าตัวผมหยุดยืนปักหลักเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นเมื่อน้องทิ้งตัวเข้าใส่โดยไม่ระวัง ผมเลยเซแซ่ด ๆ ไปกระแทกไหล่ของพี่จี๊ดที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ อีกทอดหนึ่ง

“เฮ่ย?!
“ว้าย!

ทว่าก่อนที่ผมกับพี่จี๊ดจะโชว์ล้มหมู่เป็นขวัญตาแก่ลูกค้าเจ้าใหม่ ท่อนแขนแข็งแรงก็พาดเข้ามาพยุงร่างเอียงกระเท่ของเราสองคนเอาไว้ได้ทันท่วงที “ตื่นเต้นที่จะได้เจอลูกค้าจนแข้งขาอ่อนเลยเหรอครับ ขืนล้มไปตอนนี้คงได้ขายหน้ากันหมดพอดีนะพี่จี๊ด”

“ขอบใจนะบูม แต่แกจะหล่อกว่านี้มากถ้าผ่าหมาออกจากปากซักที” พี่จี๊ดเพียงปรายหางตามองสั่ง ไอ้พี่บูมก็ยอมปล่อยมือจากเราสองคนแต่โดยดี เจ้านายผมจัดทรงตัวเองเพียงชั่วอึดใจก่อนจะหันไปพยักหน้าให้คนอื่น ๆ ในทีมที่เพิ่งตามมาสมทบ ส่วนตัวผม ผมเลือกที่จะไม่พูดอะไรขณะค่อย ๆ ถอยไปยืนอีกฝั่งโดยอาศัยรุ่นน้องเป็นเกราะกำบังชั่วคราว   

“พี่จี๊ดคะ ห้องพร้อมแล้วค่ะ” พี่ฟี่ที่เพิ่งเดินออกมาพร้อมกับตัวแทนแผนกบุคคลของลูกค้าผายมือเชิญทุก ๆ คนเข้าห้องประชุม

จังหวะที่กำลังจะก้าวตามพี่จี๊ดเข้าด้านใน ไอ้พี่บูมกลับรั้งตัวผมไว้ก่อนจะแสยะยิ้มเต๊ะท่าแล้วยื่นหน้าเข้าใกล้  ผมจึงรีบผงะหนีจนเกือบหงายหลัง “เย็นนี้กลับบ้านกับพี่นะทู”

“ไม่” สิ้นเสียงผมก็กระทืบเท้าเหยียบตีนมันอย่างจังก่อนจะนวยนาดเข้าไปนั่งข้าง ๆ พี่ฟี่ด้วยมาดผู้ชนะ
หึ ถ้าออกตัวแรงขนาดนี้แล้วยังจะทู่ซี้ตีมึนใส่ผมไม่เลิก  ไอ้พี่บูมก็ควรร่างพินัยกรรมรอไว้แต่เนิ่น ๆ เพราะผมจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว
.
.
.
.
“พี่จี๊ดเป็นอะไรวะทู เช้านี้แกดูอยู่ไม่สุขไงไม่รู้นะพี่ว่า”

“ยังไงเหรอพี่” ระหว่างนั่งรอลูกค้าเข้าประชุม ผมแอบดีใจที่พี่ฟี่หันมาชวนผมเมาท์ฆ่าเวลา เพราะผมเริ่มจะรำคาญสายตาอาฆาตแค้นของที่ปรึกษาระบบ FI มากขึ้นทุกที... แหม เสียดาย สงสัยดอกเมื่อกี้จะเบาไปหน่อย

“นั่นไง ดูดิ ๆ ” ไม่พูดเปล่า พี่ฟี่ยังชี้ชวนให้ดูเจ้านายที่กำลังวุ่นวายกับการจัดตำแหน่งการวางข้าวของส่วนตัวจำนวนเพียงหยิบมืออย่างไม่รู้จักจบสิ้น ดีนะที่ลูกค้าส่วนใหญ่กำลังคุยกันน้ำลายแตกฟอง ไม่งั้นใคร ๆ คงจับได้พอดีว่าพี่จี๊ดแกกำลังลน

“เออ จริงด้วยว่ะพี่”

“เห็นแมะ พี่บอกแล้ว” เมื่ออาการผิดปกติของคนนั่งหัวแถวประจักษ์แก่สายตา พวกผมก็เริ่มอภิปรายไปตามปัญญาเท่าหางอึ่งหูอ้น

“หรือพี่จี๊ดจะกำลังตื่นเต้นวะพี่ โปรเจคนี้นอกจากแกต้องดูภาพรวมทั้งหมดแล้ว แกยังต้องดีลกับตัวท็อปฝั่งลูกค้าอีก แถมพวกคอนซัลท์ที่ Smart ส่งมาช่วยก็ดูจะคุมยากอยู่... ป่ะวะ” ผมจ้องพี่จี๊ดตาไม่วางพลางเดาสุ่มไปเรื่อย รายนี้ถ้าเหล้า (ปริมาณมาก) ไม่เข้าปาก เจ้าตัวไม่มีทางแย้มพรายเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังง่าย ๆ หรอก  

“ไม่รู้ดิ แกเครียดเปล่าวะทู”

“เครียดอะไร เทพอย่างพี่จี๊ดอ่ะนะจะเครียด... หรือจะเป็นวันนั้นของเดือนวะพี่” ข้อสงสัยของผมมีอันต้องตกไปเมื่อชายผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นกลางกรอบประตู

มาดหนุ่มใหญ่ใจดีของชายปริศนาผู้นั้นไม่ได้ชี้ชัดว่าเขาเป็นใคร แต่ทันทีที่เขาก้าวเข้ามาร่วมวง เหล่าลูกค้าที่เคยกระจายกำลังส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวตามมุมต่าง ๆ ก็จัดสรรที่นั่งได้อย่างลงตัวภายในชั่วพริบตา นี่ยังไม่นับคนที่เดินล้อมหน้าล้อมหลังที่คอยจัดแจงทุกอย่างให้พ่อคุณอีกอย่างน้อยสองอัตรานั่นอีกนะ

อ่า ถ้าให้เดา ผมว่าคนนี้ล่ะมั้งที่จ่ายเงินจ้างพวกผมมาทำโปรเจค

“สวัสดีครับคุณจี๊ด มารอผมนานไหมครับ” พูดจบเขาก็คลี่ยิ้มหยาดเยิ้มใส่พี่จี๊ดรัว ๆ  อื้อหือ แค่พูดมาประโยคเดียว ผมก็สรุปได้เดี๋ยวนั้นเลยว่า ตาลุงนี่ต้องหมายตาหัวหน้าผมอยู่แน่ ๆ เจอคนเข้าหาโต้ง ๆ แบบนี้ ถ้าพี่จี๊ดจะลุกลี้ลุกลน ผมว่าก็ไม่แปลก

“สวัสดีค่ะคุณพันเลิศ” พี่จี๊ดคลี่ยิ้มบางก่อนจะยกมือไหว้อีกฝ่ายอย่างชวนมอง “จี๊ดกับทีมเพิ่งมาถึงก่อนคุณพันเลิศไม่นานเองค่ะ” ไม่ว่าลึก ๆ แล้วแกจะคิดอย่างไรกับตาคาสโนว่านี่ก็ตาม แต่หัวหน้าทีมฝั่งคอนซัลท์อย่างพวกเราก็สามารถวางตัวได้น่าชื่นชมสมกับเป็นมืออาชีพเสมอ

คนกระเป๋าหนักยิ้มกรุ้มกริ่มขณะกวาดตามองพี่จี๊ดอย่างพึงพอใจก่อนจะหันกลับมาทำหน้าเอาการเอางานออกสื่อ “เอาล่ะครับ เรามาเริ่มประชุมกันเลยดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลากันทั้งสองฝ่าย” พอพูดจบ ตาคาสโนว่าก็ทิ้งตัวลงนั่งตรงเก้าอี้ประธานตรงหัวโต๊ะอย่างคุ้นเคย

“บอสคะ คุณจงรักษ์กับคุณคิมหันต์ยังไม่เข้ามาเลยค่ะ”

“เออ นั่นสิ ถึงว่าเก้าอี้ข้าง ๆ ผมยังว่าง” เสียงหัวเราะแก้เก้อของคุณพันเลิศยังไม่ทันจาง ประตูห้องประชุมก็ถูกกระชากเปิดอย่างแรงก่อนที่คนด้านนอกจะก้าวฉับ ๆ เข้ามาแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม “พูดถึงก็มาเลยนะคุณจงรักษ์ แล้วคุณคิมหันต์ล่ะอยู่ไหน”

คนมาใหม่ส่งสายตาดุ ๆ ลอดแว่นให้คุณพันเลิศพอเป็นพิธี จากนั้นจึงพยักพเยิดไปทางด้านหลังตนเอง “ก็เข้ามาพร้อมผมนี่แหละ”

“เอาล่ะ ยังขาดใครอีกไหมครับ”

เฮ่ย!!

 เมื่อได้เห็นคุณคิมหันต์เต็มสองตา เสียงเจื้อยแจ้วของคุณพันเลิศก็ลอยผ่านหูผมไปเสียเฉย ๆ  
ผมจะไม่เดือดร้อนเลยหากผู้ชายที่เพิ่งหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ คุณจงรักษ์ไม่ได้มีหน้าตาถอดแบบมาจากลุงไซด์ไลน์คนเมื่อบ่ายวันก่อนราวกับหล่อด้วยพิมพ์เดียว

คุณคิมหันต์ คือ พี่หนาว?
โอ๊ย ทำไมโลกมันกลมขนาดนี้วะ?!

 ••••••


อีกห้าวัน... อีกแค่ห้าวันเท่านั้น ตัวเลขบอกวันบนปฏิทินตั้งโต๊ะที่ถูกวางทิ้งผิดที่ผิดทางทำให้หัวสมองของคเชนทร์เฝ้าคิดวนเวียนถึงความฝันที่กำลังจะกลายเป็นจริงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ชายหนุ่มเหลียวมองไปรอบตัวด้วยพลางรู้สึกฉงนปนทึ่งกับสภาพความเปลี่ยนแปลงของสถานที่ ๆ ตนเรียกขานว่าบ้านหลังใหม่ อีกไม่นาน เขาจะกลายเป็นเจ้าของร้านดอกไม้เต็มตัว แต่ก่อนที่ร้านจะเปิดให้บริการได้นั้น ชายหนุ่มคงต้องรีบเนรมิตห้องแถวชั้นล่างที่ช่างเพิ่งแบ่งสัดส่วนและต่อเติมเสร็จไปหมาด ๆ ให้กลับมาสะอาดเอี่ยมอ่องเป็นยองใยให้ได้เสียก่อน

ว่าแต่ เขาควรจัดการเศษขยะชิ้นใหญ่ที่ผู้เช่าคนก่อนทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าอย่างไรดี
จำไม่ได้ว่าเมื่อวันก่อนที่ออกไปซื้อของใช้เพิ่มเติม เขาได้ซื้อเชือกฟางกับถุงดำใบใหญ่ติดมือมาบ้างไหมนะ

คเชนทร์คิดพลางเดินไปเปิดประตูหลังบ้านด้วยตั้งใจจะหาสิ่งที่หมายตารวมถึงหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดอื่น ๆ แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะได้ลงมือทำตามตั้งใจ เขากลับได้ยินเสียงครางแผ่ว ๆ ของแมวตัวหนึ่งดังขึ้นหลังกำแพงลังกระดาษขนาดใหญ่เทินสูงจรดเพดานซึ่งล้วนแล้วแต่อัดแน่นด้วยข้าวของที่รอการจัดเก็บ

“หืม?” เสียงแมวที่ไหน ความสงสัยทำให้คเชนทร์รีบยกกล่องที่กองสุมกันจนสูงเทียมเพดานออกเพื่อตามหาต้นตอของเสียง ชายหนุ่มไม่ทันจะเหนื่อยดี ก้อนสีดำทรงกลม ๆ ที่ขดหลบมุมอยู่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า  

“แอบช่างเข้ามาหรือไง” เขาชะโงกหน้าลงก้มมองแมวตัวนั้นอยู่นานสองนาน อาการสงบนิ่ง ไม่แยแสอะไรของมันทำให้คเชนทร์นึกหมั่นเขี้ยว

“แน่ะ พูดด้วยก็ไม่พูดด้วย หยิ่งหรือไงเจ้าเหมียว” ทั้ง ๆ ที่โดนเขาทำเสียงดังใส่ในระยะเผาขน แต่ก้อนสีดำกลับยังไม่วิ่งหนี

“แปลกจริง เอ หรือจะไม่สบาย” ราวกับรู้ภาษา จู่ ๆ เจ้าแมวที่คเชนทร์ยังไม่ทันเห็นหน้าค่าตาก็ส่งเสียงร้องออกมาเบา ๆ ก่อนที่มันจะสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

“เฮ่ย! ห้ามตายนะ ทำใจดี ๆ เอาไว้ เดี๋ยวจะพาไปหาหมอ!” คเชนทร์ร้องเสียงหลงพลางล้วงผ้าขนหนูในกล่องใกล้ ๆ มือขึ้นมาห่อก้อนขนสีดำนั่นเอาไว้ ก่อนจะอุ้มมันแนบอกแล้ววิ่งพรวดพราดออกไปโดยไม่ทันฉุกคิดว่า คลินิกรักษาสัตว์ที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากร้านดอกไม้ราว ๆ สามป้ายรถเมล์เป็นอย่างต่ำ


••• TBC ••


และแล้ว นายตำรวจนอกเครื่องแบบก็เผยตัวอย่างเอิกเริก
(เดี๋ยว! มันใช่ที่ไหนเล่า! อย่างมากตาลุงหนาวก็สลับขั้วมาเป็นลูกค้าของทูเท่านั้นแหละ)
เรามารอดูกันต่อไปดีกว่าค่ะว่า ตอนหน้า หนูทูของแม่ป้าจะเจอกับเรื่องป่วง ๆ อะไรบ้าง

ส่วนแท็กสำหรับหวีดเรื่องนี้คือ #ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก
ชอบไม่ชอบยังไง ได้โปรดเมนท์ความในใจทิ้งไว้ให้เราอ่านบ้างเถอะนะคะ พลีสสสส
(ว่าด้วยเรื่องแท็ก เราขอยกความดีความชอบทั้งหมดให้คุณ alternative ไปเลยค่ะ ขอบคุณนะค้า!)
เจอกันวันจันทร์หน้าค่ะ สัญญาว่าจะไม่มาเซอร์ไพรส์ก่อนเวลาอีกแล้วค่ะ แหะ ๆ  


 หมายเหตุ: เผื่อใครนึกไม่ออก Cash Cannon หน้าตาแบบในรูปด้านล่างนี้แหละค่ะ 











No comments:

Post a Comment