Wednesday, January 18, 2017

ถ้าต้อยได้ ชายจะเป็นอมตะ ||#09|| 18.01.2017

<|No.09|>
จะดุด่าว่ากล่าวยังไงก็ได้ แต่อย่าทำเป็นไม่สนใจชายได้ไหม ชายไม่เก็ท


……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...


“อ้าวพี่ชาย!

“อ้าวยิม วันนี้ยิมก็มากินข้าวที่นี่เหมือนกันเหรอ? บังเอิญจังเลย” ใบหน้าเคราครึ้มของคนคุ้นเคยช่วยบรรเทาความร้อนแรงของอากาศช่วงเที่ยงตรง กับความแออัดขัดข้องของโรงอาหารบรรเทาเบาบางลงอย่างไม่น่าเชื่อ ชายชาตรียิ้มรับรูมเมทซึ่งพยายามเดินฝ่ากำแพงนักศึกษาผู้หิวโหยเข้ามาหาด้วยสีหน้ามุ่งมั่น

“ครับ พอดีวันนี้ผมมีเรียนที่ฮอล์กลาง พวกนั้นมันเลยขี้เกียจขี่รถกลับไปกินที่คณะ” เมื่อหางตาของเฟรชชี่หน้าหนวดลากผ่านไปเห็นพิชญ์กับผึ้งขณะสอดส่องมองหาที่นั่งว่างอย่างเอาเป็นเอาตาย ชายหนุ่มจึงโพล่งขึ้นทันควัน “แล้วนี่พวกพี่ชายหาโต๊ะได้หรือยังครับ?”  

ได้ยินดังนั้น สายเปย์ผู้เลือกปลีกตัวเดินออกมาคุยกับรุ่นน้องต่างคณะจึงหันไปตะโกนถามเพื่อนสนิทแทนการตอบคำ “พิชญ์ ได้โต๊ะยัง?”

“ก็ถ้ามึงมาช่วยกันยืนทำหน้าหมากดดันคนอื่น กูคงจะได้โต๊ะไปนานแล้วล่ะชาย” พิชญ์เหวี่ยงใส่ชายหน้าเข่าอย่างเร้าอารมณ์ และเมื่อยิ่งมีปาณัธคอยผสมโรงด้วยแล้ว คนฟังอย่างยิมก็อดเห็นใจโชคชะตาด้านการคบหามิตรสหายอันต่ำต้อยของรูมเมทไม่ได้

“ใช่ชาย มึงมาช่วยพิชญ์มันเดี๋ยวนี้เลย อย่าโยกโย้เสียเวลา” พูดจบ ปาณัธก็ดีดตัวออกไปไล่ล่าอาหารกลางวันแบบไม่พรั่นสายตาเหนื่อยหน่ายของเพื่อนชายร่างสันทัดที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เลยสักนิด 

“อ้าวพี่ผึ้ง เดี๋ยวสิครับ!” แม้ชายชาตรีจะส่งเสียงทัดทาน แต่นั่นกลับไม่อาจทำให้ตัวอ่อนมนุษย์ป้าเปลี่ยนใจ ซ้ำร้ายยังยุยงให้พิชญ์อยากจะไปเดินหาอะไรกินเต็มแก่ตามไปอีกคน

“พี่พิชญ์จะไปซื้อข้าวเลยก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมช่วยพี่ชายเอง” ยิมอาสาโดยไม่คิดหน้าคิดหลังเพราะเชื่อว่า หากยิ่งปล่อยให้พิชญ์โมโหหิวนานกว่านี้ สายเปย์อาจจะโดนเพื่อนรักเหวี่ยงใส่จนมีอันเป็นไปในไม่กี่อึดใจข้างหน้า

“ขอบใจมากไอ้น้อง” หนุ่มบริหารรูปร่างสันทัดยิ้มรับก่อนจะรวบรัดตัดความอย่างรวดเร็ว “งั้นเดี๋ยวกูซื้อให้มึงเลยแล้วกันนะชาย ได้ที่แล้วยิงมานะ เดี๋ยวกูโทรหา”

“อือ”

“ไปครับพี่ชาย” เด็กวิศวะเอ่ยขึ้นทันทีที่คลื่นนักศีกษาผู้หิวโหยดูดกลืนพิชญ์จนลับตาไปอีกคน
“ไปไหนเหรอยิม?”

“ไปนั่งกินข้าวด้วยกันไงครับ”

“จะดีเหรอยิม?” เด็กบริหารทำทีเป็นไต่ถามเด็กปีหนึ่งพอเป็นพิธี ทว่าในใจนั้นกลับออกตัวระริกระรี้ด้วยความยินดีไปแล้วหลายกระบวนท่า... ถ้ายิมกับเพื่อน ๆ มากินข้าวที่นี่ ก็แปลว่าน้องเดียวคนดีของพี่ชายย่อมต้องมาด้วย!

“ไปเถอะครับ นั่งกินเบียด ๆ กันหน่อยก็ได้ พี่ชายจะได้ไม่ต้องเดินหาที่นั่งให้ร้อนไง” ยิมหยิบยื่นไมตรีให้แก่รุ่นพี่อย่างกระตือรือล้นจนไม่ทันจับสังเกตอาการใจเต้นไม่เป็นส่ำที่ตนเองกำลังเป็นอยู่

“อืม” ชายชาตรีลอบอมยิ้มกับตัวเองอย่างลิงโลด... อีกเดี๋ยวพี่ชายก็จะได้กินข้าวแกล้มใบหน้าน้องเดียวแล้ว ดีใจจัง!




“นั่งเลยพี่ชาย” หลังจากเชื้อเชิญอาคันตุกะเป็นที่เรียบร้อย ยิมก็หันไปชี้แจงแถลงไขกับเพื่อนในกลุ่มต่อทันที “เฮ้ยพวกมึง เดี๋ยววันนี้พวกพี่ชายจะมานั่งกินข้าวกับพวกเราด้วยนะ”

“พี่ชายหวัดดีครับ” เหล่าเด็กวิศวะพากันมองหน้ายิมเลิ่กลั่กเมื่อตระหนักว่า หนึ่งในสมาชิกของกลุ่มได้กระทำการชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้านเข้าให้จังเบ้อเร่อ ดีเท่าไรแล้วที่เดียวยังไม่กลับจากซื้อข้าว ไม่อย่างนั้นบรรยากาศคงอึดอัดจนพวกเขากระเดือกข้าวไม่ลงไปตาม ๆ กันแน่ ๆ  

“หวัดดีครับ วันนี้ขอพวกพี่นั่งด้วยนะ”

“ไม่ต้องขอหรอกพี่ นั่งข้าง ๆ ผมนี่ก็ได้” หากไม่ใช่ยิมแล้ว ไม่มีทางที่เฟรชชี่วิศวะคนไหน ๆ ในที่นั้นจะเอ่ยปากเชื้อเชิญสายเปย์หน้าเข่าด้วยมิตรไมตรีเช่นนี้อีกแล้ว  

“แล้วเดี๋ยวไอ้เดียวมามันจะนั่งไหนวะยิม?” หนึ่งในกลุ่มก้อนตรงหน้าพยายามส่งซิกลับ ๆ ให้กับยิมอีกคำรบ ทว่ากลับไม่ประสบผล

“เหลือแค่มันกับไอ้เอ๋เอง พี่พิชญ์กับพี่ผึ้งก็ตัวนิดเดียว นั่งเบียด ๆ กัน กูว่าน่าจะไหวอยู่”

“...เอ่อ... มึงว่างั้นเหรอวะ”

“ก็เออดิ! พี่ชายนั่งเลยครับ”  ภาพของชายชาตรีขณะทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ เพื่อนซี้หน้าหนวดทำเอาเหล่าผองเพื่อนของยิมและเดียวทั้งหลายอยากจะลาตายให้รู้แล้วรู้รอด

แม้พวกเขาจะเป็นห่วงความรู้สึกของหนึ่งเดียวรูปหล่อ กระนั้นกลับไม่มีใครคัดค้านเหตุผลของยิมเลยสักคน เพราะเท่าที่กะด้วยสายตา ม้านั่งตัวยาวที่พวกเขาจับจองนั้น สามารถรองรับการใช้งานของสิบกว่าชีวิตได้อย่างไม่จำกัดจำเขี่ยเลยสักนิด

ก่อนหน้าชายชาตรีจะได้เริ่มยิงคำถามเพื่อรีดเค้นข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับเดียวจากปากเพื่อน ๆ ปาณัธก็เดินโผเผมาทิ้งน้ำหนักลงนั่งตรงข้ามยิมโดยไม่ขอความเห็นจากใคร ๆ และนั่นทำให้เฟรชชี่หน้าหนวดรู้สึกเดือดร้อนจนต้องออกโรงแนะนำหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในโต๊ะให้เพื่อน ๆ ได้ทำความรู้จักทันที “พวกมึง นี่พี่ผึ้ง เพื่อนพี่ชายแล้วก็พี่ที่ทำงานกู”

“หวัดดีครับพี่ผึ้ง”

“เออ ดี ๆ ” สิ้นเสียงตอบลวก ๆ ของตัวอ่อนมนุษย์ป้าผู้ไม่ละสายตาจากจานข้าวตรงหน้าสักนาที ก็มีเสียงอุทานอย่างตกใจของชายหนุ่มหน้าตาดีที่เพิ่งเดินกลับมาสมทบกับผองเกลอที่โต๊ะ

“เฮ่ย!

“น้องเดียว!” ชายชาตรีคลี่ยิ้มจนเหงือกบานเมื่อเลื่อนกรอบสายตาไปยังต้นเสียงแล้วพบว่า ที่สุดแล้ว แรงจูงใจในการทำงานตลอดสามวันของตนกำลังยืนเต๊ะท่าทำหน้าหล่ออยู่ใกล้ ๆ  

“พี่มาได้ไงเนี่ย?!!” รอยยิ้มละม้ายคนเมาบนใบหน้ารูปเข่าทำเอาเดียวรีบหันไปกวาดตาจ้องมวลมิตรด้วยสายตาหงุดหงิดระคนผิดหวังเป็นที่สุด

“พี่ชายมากับยิมครับ”

“ก็วันนี้คนมันเยอะ กูเลยชวนมานั่งด้วย พวกพี่เขาจะได้ไม่ต้องยืนรอที่นั่งนาน ๆ ยังไงล่ะวะ” ยิมรับช่วงเสริมข้อความที่ยังตกหล่นต่อจากชายชาตรีด้วยสีหน้ากึ่งขบขัน กึ่งเอ็นดูรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ “มึงก็นั่งดิ จะยืนแดกหรือไง?”

จังหวะที่นายหนึ่งเดียวแสดงทีท่าอิหลักอิเหล่อเหลือประมาณอยู่นั้น คู่กรณีขาประจำของเด็กวิศวะรูปหล่อก็โผล่หน้ามาพอดี “ไอ้ชาย ทำไมไม่รับโทรศั...” พิชญ์ชะงักค้างหลังสำเหนียกถึงสถานการณ์ตรงหน้าอย่างถ่องแท้ แต่แล้วเสียงเรียกจากรุ่นน้องที่นั่งมองเขาตาแป๋วกันทั้งกลุ่มก็ทำเรียกร้องความสนใจจากหนุ่มบริหารจอมเหวี่ยงได้ชั่วคราว

“พี่พิชญ์หวัดดีครับ”

“โห! ไม่เจอกันหลายวันเลยพี่ พี่เป็นไงมั่งครับ?” นอกจากบรรดาเฟรชชี่จะกระพุ่มมือไหว้พิชญ์กันหมดทั้งโต๊ะแล้ว หนึ่งในนั้นยังทักทายคนมาใหม่ด้วยสีหน้าท่าทางเป็นกันเองผิดกับมารยาทที่ปฏิบัติต่อชายชาตรีลิบลับ

“ก็ดี” พิชญ์พยักหน้าเนือย ๆ ให้เด็กปีหนึ่งต่างคณะก่อนจะหันไปประกาศความต้องการของตัวเองกับเพื่อนรัก “กูไปนั่งโต๊ะอื่นนะชาย”

“ฮื่อพิชญ์ ไม่เอา นั่งนี่แหละ นะ นะ นั่งด้วยกันเถอะนะ”

“ไม่ ถ้ามึงไม่ย้ายโต๊ะกูก็ไม่แดก” แม้พิชญ์จะยื่นคำขาด แต่ก็อย่าประมาทอาการกระหายหนุ่มของสายเปย์ต่ำจนเกินไป

“ไม่เอา อย่าทำแบบนี้สิพิชญ์ นะ กินข้าวกับชายเถอะนะ”

“จิ๊! เดี๋ยวกูไปหาแดกที่อื่นเอาก็ได้!” บทบาทสุดเร้าหรือของชายชาตรีทำเอาพิชญ์กระแทกจานข้าวลงกับโต๊ะอย่างเหลืออดก่อนจะตั้งท่าหมุนตัวจีจาก กระนั้นเสียงคำรามลั่นของสุภาพสตรีเพียงหนึ่งเดียวในดงเจี๊ยวหวานกลับสยบทุก ๆ ความเคลื่อนไหวได้ในพริบตา

 “มึงนั่งลงแล้วกินข้าวเดี๋ยวนี้เลยนะพิชญ์ ห้ามทิ้งขว้างของกิน มันบาป เข้าใจไหม?”

“พี่ผึ้ง!

“ยังอีก!” เจตนาอุทธรณ์ของพิชญ์ถูกปัดตกไปหลังปาณัธใช้พระเดชเข้าข่มขู่เพื่อนผู้มีพระคุณต่อการศึกษาของเจ้าหล่อนอย่างก้าวร้าว “อย่าเรื่องมากดิวะพิชญ์ กินให้เสร็จ ๆ แล้วจะได้รีบไป”

“จิ๊!” พิชญ์ชักสีหน้าเบอร์ใหญ่สุดใส่คนออกคำสั่งด้วยหวังให้ตัวอ่อนมนุษย์ป้าเกิดเปลี่ยนใจ แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะโลกสวยเกินไป เพราะแม้แต่เฮียคองผู้รั้งตำแหน่งสามียังแทบทำให้ผึ้งเปลี่ยนใจไม่ได้เลย

“เร็ว!

“พี่ผึ้งแม่ง!” แม้จะฮึดฮัดขัดใจ แต่สุดท้ายพิชญ์ก็ไม่กล้างัดข้อกับผู้ทรงอิทธิพลของกลุ่มอยู่ดี ชายหนุ่มจึงจำเป็นต้องลดตัวลงนั่งข้าง ๆ ชายชาตรีอย่างเสียไม่ได้

ฝั่งยิมที่เห็นเพื่อนสนิทยืนอ้าปากค้าง แถมยังไม่ยอมลงหลักปักฐานเป็นมั่นเหมาะเสียทีก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกึ่งรำคาญกึ่งสงสัย “ถ้ามึงจะไม่แดก กูขอก๋วยเตี๋ยวมึงได้ไหมวะเดียว?”

“เรื่อง?!” สิ้นคำ เจ้าของเสียงก็นั่งลงตรงที่ว่างข้าง ๆ พิชญ์อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จนรุ่นพี่ร่างสันทัดขู่ฟ่อ
“เอ๊ะไอ้นี่!
“พิชญ์” ชายชาตรีสะกิดเพื่อนผู้มัวแต่หันไปจ้องอริรุ่นน้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“มึงเถิบไปดิวะ!
“ไม่!” เดียวลอยหน้าลอยตา
“พิชญ์”
สัมผัสยิก ๆ ตรงสีข้างที่ส่งตรงมาจากปลายนิ้วของสายเปย์ทำเอาพิชญ์เหลืออด “อะไรของมึงอีกล่ะ กูนั่งให้แล้วมึงยังไม่พอใจอีกหรือไง?”

“เปล่า ชายจะบอกว่า ถ้าพิชญ์นั่งไม่สบาย พิชญ์จะแลกที่กับชายก็ได้นะ” อดีตลูกคุณหนูยื่นข้อเสนอที่จะเป็นผลดีต่อทุก ๆ ฝ่ายโดยไม่คิดถามไถ่ความต้องการของเด็กวิศวะปีหนึ่งคนไหน ๆ ทั้งสิ้น

“ดีเหมือนกัน ขืนต้องนั่งตรงนี้ กูคงแดกอะไรไม่ลง!” จังหวะที่พิชญ์กำลังจะลุกขึ้นนั้นเอง ปาณัธก็แสดงฤทธาอภินิหารย์ให้เด็กหนุ่มทั้งโต๊ะร่วมเป็นสักขีพยานอีกคำรบ

“พอ ๆ ! ไม่ต้องเลย พวกมึงไม่ต้องแลกเลิกอะไรกันทั้งนั้นแหละ แค่นี้ก็น่าเวียนหัวจะแย่แล้ว  กินเดี๋ยวนี้เลยนะ! เอ๊ะ! กูบอกให้กินข้าวไง?!

“ครับพี่ผึ้ง” ไม่ต้องรอให้ตัวอ่อนมนุษย์ป้าตวาดซ้ำสอง ทั้งชายชาตรีและพิชญ์ต่างก็ต้องพับความต้องการเก็บใส่กระเป๋าแล้วก้มหน้าก้มตากินอาหารในจานข้าวของตัวเองอย่างจำยอม

“ยิม”

“อะไรเหรอครับพี่ชาย?” แม้น้ำเสียงที่รุ่นพี่หน้าเข่าเอ่ยเรียกเขาจะแผ่วเบาแค่ไหน แต่โสตประสาทของเฟรชชี่หน้าหนวดก็ยังได้ยินทุกถ้อยทุกคำอย่างชัดเจนแจ่มแจ๋ว

“ช่วยอะไรพี่ชายหน่อยสิ”

“พี่จะให้ผมช่วยอะไรเหรอครับ?”

“พี่ชายอยากคุยกับน้องเดียวอ่ะ” 

ต่อให้เห็นใบหน้าตกประหม่าของชายชาตรีเพียงเสี้ยวหนึ่งจากมุมข้าง ยิมก็ยังเผลอตัวถอนหายใจหนัก ๆ เพื่อระบายความรู้สึกหงุดหงิดที่แม้กระทั่งตัวเองยังไม่รู้ตัว กระนั้นแล้ว ยาจกเคราครึ้มกลับเลือกที่จะไม่ใช้อารมณ์ในการสนทนากับรูมเมทหน้าเข่าแต่อย่างใด “พี่ชายอยากคุยอะไรกับมันก็คุยเลยสิครับ ไม่มีใครว่าอะไรหรอก”

“ก็พี่ชายกลัวว่าถ้าพี่ชายพูดอยู่คนเดียว น้องเดียวจะไม่คุยกับพี่ชายน่ะสิ” ชายชาตรีให้เหตุผลเสียงอ่อนระโหย... ลำพังแค่ปฏิกิริยากับสายตาหวาดหวั่นของบรรดาเฟรชชี่คนอื่น ๆ ก็ทำให้เขาหมดกำลังใจมากแล้ว ลองว่าถ้าน้องเดียวไม่ยอมคุยด้วยอีกล่ะก็ หัวใจดวงน้อย ๆ ของสายเปย์คงจะยิ่งห่อเหี่ยวเกินเยียวยา

“ถ้าพี่ชายไม่กล้าคุยกับมันเอง ผมว่าพี่ก็ควรตั้งใจกินข้าวแบบที่พี่ผึ้งบอกดีกว่านะครับ” ยิมจงใจหลบสายตาออดอ้อนของรุ่นพี่ที่จับจ้องมองตนอย่างมีความหวัง

“ไหนยิมบอกว่ายิมจะช่วยพี่ชายจีบน้องเดียวไง” ครั้นเมื่อถูกขัดใจมาก ๆ ชายชาตรีก็เริ่มตีรวนกวนใจอีกฝ่ายมากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

“โหพี่ชาย! เล่นงี้เลยเหรอ?”

ในขณะเดียวกันนั้นเอง เพื่อนสนิทร่างสันทัดของสายเปย์ก็กำลังประสบปัญหาประเทศเพื่อนบ้านส่งสายตาข้ามระยะปลอดภัยเข้ามารุกรานเวลากินอาหารกลางวันอย่างไม่มีหยุดหย่อน “จิ๊!

“...” เดียวเลือกที่จะไม่ต่อความยาวสาวความยืด หากแต่แม้ปากจะเคี้ยวอาหารหยับ ๆ แต่หางตากลับจ้องมองกิริยาอาการของรุ่นพี่บริหารอยู่ตลอด

“จ้องหาพ่อมึงหรือไงไอ้สัด?!

“เปล่าสั...”

“น้องเดียวครับ น้องเดียวหายป่วยแล้วหรือยัง? แล้วน้องเดียวป่วยเป็นอะไรเหรอครับ?” ที่สุดแล้ว เด็กบริหารหน้าเข่าก็รวบรวมความกล้าส่งเสียงทักทายข้ามหัวสหายรักไปหาชายหนุ่มที่ตนหมายปองได้โดยไม่ต้องอาศัยผู้ช่วย

“...”

“ว่ายังไงครับน้องเดียว หายป่วยแล้วหรือยัง?”

“เฮ่อ!” อาการทำหูทวนลมพลางเสมองไปทางอื่นของเดียว กับสีหน้าคาดหวังอย่างใหญ่หลวงของชายชาตรี คือสองเหตุผลที่ทำให้ผู้ฟังหน้าหนวดอดรนทนไม่ได้

“ไอ้เดียว พี่ชายเขาถามน่ะ หูมึงหนวกหรือไง?”

“กูเปล่า”

“งั้นมึงก็ตอบเขาดิวะ อย่าปล่อยให้รุ่นพี่รอ หรือมึงอยากดูไม่ดีในสายตาคนอื่น?” ค่าที่ยิมรู้ดีว่าเพื่อนสนิทห่วงภาพลักษณ์และชื่อเสียงของตัวเองมากเสียจนบางครั้งเดียวก็กลายเป็นคนพูดจาตลบแตลงปลิ้นปล้อนไปโดยไม่ตั้งใจ ชายหนุ่มหน้าหนวดจึงอาศัยจุดอ่อนที่วามาบีบบังคับอีกฝ่ายให้ยอมวิสาสะกับชายชาตรีทั้งที่เจ้าตัวไม่ต้องการ

“ผมหายแล้ว”

“หายแล้วก็ดีครับ แต่ยังไงน้องเดียวก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี ๆ นะ ถ้าขาดเรียนบ่อย ๆ เกรดจะตกเอารู้ไหม”

“เฮ่อ!” เดียวเบ้หน้าไปอีกทางพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ซึ่งไอ้อาการหน้าไหว้หลังหลอกที่เด็กวิศวะทำนั้น ก่อกวนคนข้าง ๆ จนเจ้าตัวไม่อาจเพิกเฉยได้อีกต่อไป

“มึงกินข้าวเสียทีสิวะชาย กูไม่อยากเข้าคลาสจารย์ตุ๋มสายนะ”

แทนที่จะสนใจคำเตือนของพิชญ์ สายเปย์กลับหน้ามืดตามัวเห็นว่าที่ผัวเป็นชอบไปเสียฉิบ “ว่าแต่น้องเดียวป่วยเป็นอะไรเหรอครับ?” ไหน ๆ ก็ได้โอกาสคุยกับเด็กหนุ่มที่หมายตา ชายชาตรีจึงไม่ปล่อยให้คำถามใด ๆ ค้างคาใจ “ที่พี่ชายถามเพราะพี่ชายจะได้ซื้อของดี ๆ มาบำรุงน้องเดียวไง”

ประโยคที่เพิ่งได้ยินผ่านหูทำเอายิมสะดุ้งไปทั้งตัวราวกับกระทิงตื่นกลัวไฟป่า
เมื่อกี๊พี่ชายพูดอะไรออกมา รู้ตัวบ้างหรือเปล่า?!

“อะแฮ่ม!” ปีหนึ่งหน้าหนวดชิงกระแอมเรียกร้องความสนใจจากรูมเมทรุ่นพี่ด้วยไม่อยากฉีกหน้ากันโต้ง ๆ  กระนั้น ชายชาตรีกลับมัวแต่หลงชื่นชมรูปลักษณ์อันหล่อเหลาของเพื่อนเขาไม่วางวาย “อะแฮ่ม ๆ ”

“มึงเป็นอะไรยิม กระแอมอยู่ได้ ข้าวติดคอหรือไง?” ปาณัธกระแทกช้อนกับจานพลางโพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงคิดรำคาญจนผู้ช่วยพ่อครัวในร้านจำต้องก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างไม่มีปากเสียง

เมื่อสบโอกาสดี ชายชาตรีก็วกกลับเข้าเรื่องสำคัญที่ตนต้องหาคำตอบโดยพลัน “สรุปน้องเดียวเป็นอะไรครับ บอกพี่ชายหน่อยนะ พี่ชายจะได้ซื้อของให้ได้ถูก”

นอกจากจะไม่โต้ตอบแล้ว ฝ่ายเด็กปีหนึ่งที่ถูกตื๊อถามยังแอบใช้เรือนร่างของคนนั่งข้าง ๆ บดบังทิวทิศน์คล้ายหัวเข่าเจ้าปัญหาเข้าให้เสียอีก ความพยายามดังกล่าวจึงส่งผลให้นายหนึ่งเดียวกระเถิบตัวเข้าประชิดกับพิชญ์มากเกินความจำเป็น
ซึ่งแม้รุ่นพี่จอมเหวี่ยงจะระลึกรู้ถึงความชิดใกล้ที่ว่าเป็นอย่างดี แต่เพราะติดที่ปาณัธยื่นคำขาดเอาไว้แต่ต้น พิชญ์เลยตัดสินใจจัดการกับของกินให้ลุล่วงเป็นลับดับแรก

ทันทีที่ยัดทะนานของกินในจานเข้าปากเสร็จสรรพ พิชญ์ก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับประกาศกร้าวทั้ง ๆ ที่กับข้าวในปากยังเคี้ยวไม่ละเอียด “ผมอิ่มแล้ว ไปก่อนนะครับ”

ทันทีที่สั่งเสียกับปาณัธจบ พิชญ์ก็เปิดตูดเผ่นแน่บหายลับไปในพริบตา ทว่าน่าแปลกที่เมื่อพิชญ์ลุกไป เด็กวิศวะผู้หล่อเหลาเกินหน้าใคร ๆ ก็พุ่งทะยานตามหลังไปอีกคนจนชายชาตรีตั้งท่าจะติดสอยห้อยตามผู้ชายที่ตนหมายตาไปด้วยเช่นกัน ถ้าไม่ติดว่าความมุ่งมั่นนั้นจะทำให้ปาณัธร้องขัดขึ้นล่ะก็นะ

“อ่ะ ๆๆๆ ! นั่นมึงจะไปไหนไอ้ชาย?!

“ผมจะไปตามน้องเดียวครับพี่ผึ้ง น้องเดียวยังกินข้าวไม่เสร็จเลย เดี๋ยวน้องเดียวจะเป็นโรคกระเพาะ”

“ไม่ต้องห่วงคนอื่น! เมื่อกี๊กูบอกมึงว่าไง?” สีหน้างุนงงเป็นควายหลงปลักทำให้ตัวอ่อนมนุษย์ป้าช่วยกรุณาทบทวนความจำให้อีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นจนเส้นขนหลังคอคนฟังเกือบทั้งโต๊ะลุกเกรียวกราว “กูบอกมึงใช่ไหมว่าอย่ากินทิ้งขว้าง”

“...แต่...” ชายชาตรีแย้งพลางวางสายตามองตามแผ่นหลังของเดียวที่เห็นอยู่ไกล ๆ อย่างละห้อยหา ทว่ามันกลับไม่ได้ช่วยให้สายเปย์หน้าเข่ามีแต้มต่อเหนือผึ้งแต่อย่างใด  

“จะกินดี ๆ ไหม หรือจะให้กูโมโห?”

“ครับ ๆ กินแล้วครับ”




“เดี๋ยวพี่พิชญ์ หยุดก่อน!” นอกจากรุ่นพี่จะไม่หยุดเดินแล้ว ดูเหมือนประโยคขอร้องดังกล่าวจะทำให้อีกฝ่ายเริ่มออกวิ่งไปเสียอีก แต่โชคดีกลับตกเป็นของนายหนึ่งเดียว เพราะเส้นทางที่ทั้งสองเดินอยู่นั้น เป็นทางตรงบังคับ ไม่มีแยกอื่น ๆ ให้อีกฝ่ายปลีกตัวหลีกหนี เฟรชชี่จึงกัดฟันสับขาวิ่งไปดักหน้าคนโตกว่าเอาไว้ได้ทัน

“เดี๋ยวพี่ คุยกันก่อนดิ!

“กูไม่มีอะไรจะคุยกับมึง!

“แต่ผมมี!

“กูไม่คุย! มึงถอยไปเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้นกูจะ...”
“จะอะไรพี่?”
“จะต่อยมึง!” พิชญ์โพล่งอย่างเหลืออดพลางตั้งการ์ดข่มขู่รุ่นน้องให้เสียขวัญ กระนั้นคู่สนทนากลับหน้าด้านหน้าทนกว่าที่เขาคาดคิดไปหลายเบอร์

“แต่วันนี้ผมยังไม่ทำอะไรพี่เลยนะ พี่จะต่อยผมจริง ๆ น่ะเหรอ?” เดียวผายมือให้อีกคนสังเกตเห็นความพยายามรักษาระยะห่างอย่างแข็งขันของตน แต่แม้คนเกิดทีหลังจะไม่ร่นระยะเข้าใกล้ แต่ก็ใช่ว่าเด็กวิศวะจะยอมปล่อยให้รุ่นพี่วิ่งหนีไปไหนง่าย ๆ เพราะเมื่อพิชญ์สืบเท้าก้าวฉีกไปทางไหน เดียวก็จะตามไปรักษาระยะห่างให้ยังคงเท่าเดิมอยู่เสมอ

“งั้นกูจะโทรเรียกตำรวจมาจับมึง!

“ข้อหาอะไรพี่? แค่รุ่นน้องมาคุยกับรุ่นพี่นี่มันผิดกฏหมายตรงไหน?”

“มึงไม่ได้จะมาคุยกับกูหรอก มึงแค่จะแกล้งหลอกให้กูตายใจแล้วค่อยล้างแค้นกูทีหลัง กูรู้ทันหรอกน่า!” แม้จะเป็นประโยคสั้น ๆ แต่มันกลับบอกเล่าประสบการณ์อันโหดร้ายนับครั้งไม่ถ้วนที่ชวนให้พิชญ์รู้สึกคลื่นไส้วิงเวียนยามหวนนึกถึงไปเสียทุกที นี่ถ้าตลอดสองปีที่ผ่านมา เขาไม่เผลอใจอ่อนยอมให้เพื่อนซี้หน้าเข่าลากตัวไปเฝ้าเด็ก ๆ ของมันอยู่เนือง ๆ แล้วล่ะก็ ป่านนี้เขาก็ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดผวาพวกชายแปลกหน้าจำนวนไม่ต่ำกว่าห้ารายที่ปฏิเสธเยื่อใยของชายชาตรีแล้วหันมาเอาดีกับการไล่เต๊าะเขาอย่างทุกวันนี้หรอก

“โห่พี่ ผมตั้งใจจะมาคุยกับพี่จริง ๆ ” ดูเหมือนว่าหยาดน้ำตาของเด็กบริหารที่หลั่งไหลเพราะเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อนจะช่วยชำระล้างจิตใจของนายหนึ่งเดียวให้บริสุทธิ์ผุดผ่องได้อย่างน่าอัศจรรย์ เพราะเจ้าตัวยืนกรานปณิธานล่าสุดของตัวเองอย่างหนักแน่นจนคนฟังยังแอบสะดุดใจ

“กูไม่เชื่อ!

“เชื่อหน่อยเหอะพี่ ผมอยากขอโทษพี่เรื่องเมื่อวันก่อนจริง ๆ นะ”

ต่อให้เดียวจะอมพระทั้งวัดมาพูด แต่ฝ่ายรุ่นพี่ผู้มีอดีตอันขมขื่นคอยติดตามหลอกหลอนอยู่ไม่เว้นแต่ละวันก็ไม่ยอมเปิดใจรับฟังอยู่วันยันค่ำ “คิดเหรอว่ากูจะโง่เชื่อมึงง่าย ๆ ! แต่มึงเสนอหน้ามาก็ดี วันก่อนกูยังชำระความกับมึงไม่หนำใจเลย!” ไม่ทันขาดคำ ปลายเท้าของพิชญ์ก็เตะเข้าที่จุดสูงสุดของซอกขาของคนตรวหน้าเข้าเต็มรัก

แต่แทนที่อีกฝ่ายจะล้มหงายพ่ายแพ้ดังเช่นทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา กลับกลายเป็นตัวเขาเองที่ต้องนิ่วหน้า พลางเขย่งเก็งกอยเพราะอาการปวดขาอย่างแสนสาหัส “โอ๊ย! มึง มึง มึง?!” พิชญ์หวีดร้องขณะกระโดดเหยง ๆ ไปมาเมื่อหลังเท้าปะทะเข้ากับบางอย่างที่แข็งกร้าวราว ๆ น้อง ๆ กระดองเหล็ก

“อูย” จริงอยู่ที่ความเจ็บปวดในครั้งนี้จะรบกวนส่วนล่างของชายหนุ่มได้ไม่น้อย แต่เครื่องป้องกันด้านในก็ทำให้เดียวยังคงไม่ร่วงผล็อยเป็นใบไม้เหมือนที่แล้ว ๆ มา “พี่เตะผมทำไมเนี่ย? ผมยังไม่ได้ทำอะไรพี่เลยนะ”

“เมื่อกี๊นี้มันอะไร? มึงทำอะไรกู?! อูย ซี๊ดส์”

“ผมจะไปทำอะไรพี่ได้? มีแต่พี่นี่แหละที่ทำผม” เฟรชชี่ชิงว่าต่อ “แล้วถ้าขืนผมไม่รู้จักป้องกันตัวเอง ผมก็พิการพอดีดิพี่” เดียวนึกขอบคุณตัวเองไม่หายที่ตัดสินใจพรีออเดอร์กางเกงกระจับรุ่นใหม่มาใช้ได้ทันท่วงที ไม่อย่างนั้นป่านนี้ ไข่เขาคงโดนขาพี่พิชญ์ขยี้จนไม่เหลือชิ้นดีไปแล้วแน่ ๆ

“มึงหมายความว่ายังไง?” แทนที่พิชญ์จะได้คำตอบ กลับมีเสียงของบุคคลที่สามดังแทรกกลางขึ้นเสียก่อน

“เฮ้ยน้อง! มึงทำอะไรพี่พิชญ์?!!!” 

“ไอ้ ไอ้... ฟรายเดย์! มึงยังมีหน้าโผล่มาอีกเรอะ?!” เด็กบริหารหน้าเสียเมื่อเห็นเจ้ากรรมนายเวรอีกหนึ่งรายปรากฏกายขึ้นต่อหน้าต่อตา

“ไอ้นี่น่ะเหรอคนที่พี่อยู่ด้วยเมื่อวันก่อน?” เดียวถามพลางมองหน้ารุ่นพี่บริหารสลับกับชายผู้มาใหม่อย่างงง ๆ

“เมื่อกี๊มึงทำอะไรพี่พิชญ์ของกู?”

“กูไปเป็นของมึงเมื่อไรไอ้เหี้ยฟรายเดย์?! อย่าให้กูหายเจ็บเชียวนะ กูจะอัดมึงให้ร้องเลย!

“พี่พิ... อุ๊บ!!!” ก่อนที่รุ่นพี่แปลกหน้าจะดึงดราม่าจนสถานการณ์ยุ่งยากไปมากกว่านี้ นายหนึ่งเดียวผู้มีพลังพิเศษหลังได้สวมใส่เกราะเพชรเจ็ดสีไว้ภายใต้กางเกงสแล็คก็ส่งไม้ความเจ็บปวดในรูปแบบที่ตัวเองคุ้นเคยต่อให้กับกล่องดวงใจของพี่ฟรายเดย์เข้าอย่างจัง

“ไปพี่ เราไปคุยกันที่อื่นดีกว่าครับ!” ยังไม่ทันที่ประโยคเชื้อเชิญจะสิ้นสุด เฟรชชี่วิศวะก็ฉุดข้อมือรุ่นพี่ต่างคณะให้ออกวิ่งหน้าตั้งตามหลังกันมาโดยไม่สนถ้อยคำต่อว่าด่าทอที่ดังรดต้นคออย่างไม่ขาดสาย

“ไอ้เหี้ยเดียว ปล่อยกู! กูเจ็บขา! พ่อมึงตายหรือไงถึงได้วิ่งเป็นเจ๊กตื่นไฟแบบนี้ ฮะ?!

“ทนหน่อยพี่ เดี๋ยวไอ้นั่นมันก็ตามมาทันหรอก!

“ปล่อย! กูบอกให้ปล่อยไง!” จนเมื่อแน่ใจแล้วว่าพ้นวิถีติดตามของสตอล์กเกอร์ปีสอง พิชญ์ก็เริ่มโวยวายพร้อมผ่อนฝีเท้าลงอย่างดึงดัน กระนั้นหนึ่งเดียวกลับยังไม่อาจไว้วางใจ ชายหนุ่มจึงหันไปกระตุ้นรุ่นพี่ให้ออกวิ่งอีกครั้งด้วยความหวังดี

“อีกนิดนะพี่ ผมอยากแน่ใจว่าพี่จะปลอดภัยจากไอ้นั่นแล้วจ... โอ๊ย!

“เรื่องอะไรกูจะรอให้มึงทำอะไรกูได้อีก!” หลังจากกระชากคนตัวโตกว่าเข้าหาหัวเหม่งที่ตั้งพิกัดรอท่าเสียดิบดีจนอีกฝ่ายหงายเงิบ เด็กบริหารก็วิ่งเตลิดหนีไปตามสไตล์นางเอกเทพนิยายสุดอมตะ หากแต่แทนที่จะทิ้งรองเท้าแก้วข้างหนึ่งไว้ให้เจ้าชายดูต่างหน้า ซินเดอเรลล่าจอมเหวี่ยงกลับมอบรอยฟกช้ำตามร่างกายและความรู้สึกคันยิบ ๆ ในหัวใจให้นายหนึ่งเดียวเอาไว้ใช้เป็นข้ออ้างในการนึกถึงตัวเขาอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น




“เดี๋ยวครับพี่ชาย เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ทันทีที่ลากชายชาตรีออกมาจากวงกินข้าวกลางวันได้สำเร็จ ยาจกเคราครึ้มก็เกริ่นนำเข้าประเด็นร้อนโดยไม่รอช้า

“เรื่องอะไรเหรอยิม?”

“เรื่องที่พี่ชายบอกไอ้เดียวไปเมื่อตอนกินข้าวไงครับ” สีหน้างุนงงของคู่สนทนาทำให้รุ่นน้องยิ่งร้อนรุ่ม “ถ้าไอ้เดียวมันบอกพี่ชายว่ามันป่วยเป็นอะไร พี่ชายจะไปตามซื้อของบำรุงให้มันจริง ๆ น่ะเหรอครับ?”

“ก็ใช่น่ะสิยิม ใคร ๆ ก็ต้องไม่อยากให้คนที่ชอบป่วยบ่อย ๆ หรอก จริงไหม”

“ทั้ง ๆ ที่จน ๆ แทบไม่มีเงินกินข้าว พี่ชายก็ยังจะซื้อของไปปรนเปรอไอ้เดียวมันอีกเหรอ?”

“โธ่ยิม! ถึงตอนนี้พี่ชายจะมีเงินไม่มาก แต่ถึงยังไงพี่ชายก็ต้องดูแลน้องเดียวให้ดีให้ได้เหมือนเดิมนั่นแหละ” ชายชาตรีเน้นย้ำจุดยืนที่ตัวเขายึดถือนับตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่ก้าวเข้าสู่เส้นทางสายเปย์ให้รูมเมทแจ้งแก่ใจ

ทว่าคนฟังกลับเริ่มไม่มั่นใจว่าระหว่างการไม่รู้สำนึกถึงสถานะทางการเงินอันต่ำเตี้ยเรี่ยดินของคนตรงหน้า กับสีหน้าท่าทางเคลิบเคลิ้มเพ้อฝันที่อีกฝ่ายแสดงออกยามพูดถึงไอ้เดียวนั้น อย่างไหนสร้างความหงุดหงิดใจให้กับมากกว่ากัน “แล้วพี่จะทำยังไง? แค่เงินติดตัวสักพันพี่ยังไม่มี แล้วพี่จะไปดูแลไอ้เดียวมันได้ยังไง?”

“พี่ชายว่าจะยืมเงินพิชญ์ก่อนน่ะ”

“โหพี่! พี่พูดอะไรแบบนี้ออกมาง่าย ๆ ได้ยังไงวะ?!!

“ทำไมล่ะยิม ก็ตอนนี้พี่ชายไม่มี แต่ถ้าพี่ชายจำเป็นต้องซื้อของให้น้องเดียวจริง ๆ พี่ชายก็ต้องหายืมจากคนอื่นก่อนไง”

คำตอบพล่อย ๆ แบบไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา กอปรกับความรู้สึกไม่พอใจเมื่อต้องทนเห็นสายเปย์กระดี๊กระด๊ายามเจอหน้าเพื่อนสนิททำให้อยู่ ๆ ยิมก็เกิดได้ยินเสียงดังเปรี๊ยะก้องสะท้อนอยู่ในรูหู ก่อนทุกอย่างจะเงียบหายไปพร้อม ๆ กับฟางเส้นสุดท้ายที่ขาดสะบั้นลง

โชคดีที่ยิมเคยรับใช้หลวงพ่ออย่างใกล้ชิดมาตั้งแต่อายุยังน้อย เฟรชชี่หน้าหนวดจึงไม่ปล่อยให้โทสะมีอำนาจเหนือทุกสิ่ง เด็กวิศวะสูดลมหายใจหนัก ๆ พร้อมกับระบายความร้อนในหัวออกอย่างช้า ๆ ก่อนจะเผยความต้องการจากใจจริงออกมาเป็นครั้งแรก “ผมว่าผมจะไม่ช่วยพี่จีบไอ้เดียวมันแล้วนะ”

“อ้าว! ทำไมล่ะยิม? ทำไมยิมถึงจะไม่ช่วยพี่แล้วล่ะ?” ชายชาตรีแปลกใจกับสีหน้าตึงเครียดผิดไปจากทุกทีที่รูมเมทแสดงออก “หรือเมื่อกี๊พี่ชายพูดอะไรไม่เข้าหูยิม? พี่ชายขอโทษนะยิม ยิมอย่าโกรธพี่ชายเลยนะ”

“ผมไม่ได้โกรธพี่ ผมแค่คิดว่า ถึงผมจะช่วยพี่ไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา สู้ผมเอาเวลาไปตั้งใจเรียน หรือทำมาหากินดีกว่า”

“ทำไมจะไม่มีประโยชน์ล่ะยิม ถ้ายิมยอมช่วยพี่ต่อ พี่ก็จะจีบน้องเดียวได้ง่ายขึ้นอีกไง”

“ผมถามพี่จริง ๆ เหอะ พี่ชอบไอ้เดียวมันตรงไหน?” ยิมเหลืออดกับสีหน้าระรื่นไม่มีสลดของชายชาตรี... คำก็เดียว สองคำก็เดียว ไอ้เดียวมันกลัวพี่จะตาย นี่พี่ชายยังไม่รู้ตัวอีกหรือไง?!

“ยิมอยากรู้จริง ๆ เหรอ?” เด็กบริหารปีสามโยนหินถามทางด้วยสีหน้าเคอะเขินจนคนฟังทนดู ทนฟังไม่ไหว

“เพราะหน้าตามันใช่ไหม?” อาการบิดตัวพลางยิ้มเอียงอายของอีกฝ่ายทำให้ยิมนึกหมั่นไส้จนพรั่งพรูความลับในใจออกมาจนหมด “ถ้าแค่นั้น ผมแนะนำว่าพี่ควรเลิกชอบไอ้เดียวมันจะดีกว่า เพราะคนอย่างมันไม่มีทางหันมาชอบพี่หรอก”

“ทำไมล่ะยิม?”

“ก็เพราะไอ้เดียวมันสนแต่เปลือกนอกก่อนอย่างอื่นไงพี่ ที่สำคัญ ถ้าผมโดนไล่ออกจากบ้านแล้วเหลือเงินติดตัวไม่ถึงสองพัน ผมจะเอาตัวให้รอดก่อนเป็นอย่างแรก ไม่ใช่เที่ยวคอยไล่ตามจีบคนที่เขาไม่มีวันชอบเราเหมือนพี่แน่ ๆ ”

“ทำไมยิมพูดแบบนี้ล่ะ?” ด้วยความสัตย์จริง จุด ๆ นี้ ชายชาตรีบอกได้เลยว่าเขางงหนักมากจริง ๆ หาใช่ตั้งใจกวนตีนอีกฝ่ายไม่

“ไม่รู้เหมือนกันโว้ย!” ก่อนจะหลุดปากพูดจาทำร้ายจิตใจคนฟังไปมากกว่านี้ เฟรชชี่หน้าหนวดก็เลือกการเดินหนีไปเฉย ๆ ต่างวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปพลาง ๆ ทว่ามันกลับสร้างความรู้สึกว้าวุ่นใจให้ชายชาตรีไปเสียนี่  

“ทำไมล่ะยิม? ทำไมยิมถึงต้องพูดแบบนั้นกับพี่ชายด้วย?” การต้องรับฟังความจริงอันน่าเจ็บปวดทำให้ชายหนุ่มหน้าเข่าสับสนจนเสียศูนย์ ครั้นจะบอกตัวเองให้ไม่เชื่อ เขาก็ดันทำไม่ได้ เพราะนอกจากเพื่อนสนิทอย่างยิม คงไม่มีใครรู้จัก หรือรู้ใจน้องเดียวดีไปกว่านี้อีกแล้ว...

ยิมจะตอกย้ำทำไม? ใจคออีกฝ่ายจะไม่ปล่อยให้เขาได้ฝันถึงน้องเดียวต่อไปอีกสักนิดนึงเลยเหรอ?  


 $$$$$$$$

“ขอบใจนะยิม” แทนที่คนช่วยจัดร้านเตรียมพร้อมสำหรับต้อนรับลูกค้าจะยิ้ม ส่งสายตา หรือตอบโต้อะไรสักอย่างออกมาให้เป็นกิจลักษณะ ยิมกลับเดินผ่านหน้าชายชาตรีเลยเข้าครัวไปแบบไม่เห็นหัวจนปาณัธเองยังอดสงสัยไม่ได้

“มึงไปทำอะไรให้ไอ้ยิมมันโกรธวะชาย?”

“ชายเปล่านะครับพี่ผึ้ง” สายเปย์ส่ายหน้าเป็นพัลวัน ใช่จะมีแต่พี่ผึ้งเสียหน่อยที่สงสัยกับอาการไม่พูดไม่จาของยิม เขาเองก็รู้สึกเหงาไม่น้อยเมื่อต้องชวนรุ่นน้องคุยเป็นต่อยหอยอยู่ฝ่ายเดียว

“ก็ถ้าไม่ใช่มึงแล้วจะเป็นใคร กูเห็นวัน ๆ มันก็วุ่นอยู่แต่กับมึงแค่คนเดียว” ยิ่งชายชาตรีส่ายหัวหนักข้อมากขึ้นเท่าไร ตัวอ่อนมนุษย์ป้าก็ยิ่งดูจะไม่พอใจกับอวัจนะภาษาที่คู่สนทนาแสดงออกมากขึ้นเท่านั้น “ไหนมึงลองเล่ามาซิว่าเมื่อตอนกลางวันมันเรียกมึงไปคุยเรื่องอะไร?”

“อ๋อ ยิมบอกผมว่าจะไม่ช่วยผมจีบน้องเดียวแล้วครับ”

“แค่นั้น?”

จวบจนถึงคำถามข้อนี้ ชายชาตรีก็ยังไม่หยุดส่ายหัวป้อย ๆ “ก่อนหน้านั้นยิมถามชายว่าชายจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อของบำรุงให้น้องเดียวน่ะครับ”

“แล้วมึงตอบมันไปว่า?”

“ชายบอกว่าชายจะยืมเงินพิชญ์ซื้ออาหารบำรุงให้น้องเดียวไปก่อนเพราะตอนนี้ชายยังไม่มีเงินน่ะครับ”

“โห่ไอ้ชาย! มึงนี่มันจนแล้วไม่เจียมจริง ๆ เล้ยยย! มิน่า ไอ้ยิมมันถึงไม่ยอมคุยกับมึง ลองเป็นกูสิ กูจะสวดมึงให้ยับแล้วจับมึงมาตบ ๆๆๆ ให้เลิกคิดเรื่องคบกับไอ้เด็กนั่นเลยคอยดู” ไม่พูดเปล่า เพราะปาณัธฟาดต้นแขนเพื่อนสนิทราวกับกำลังตบไล่ฝุ่นออกจากหมอนหนุน

“โอ๊ย! ๆๆๆ ชายเจ็บครับพี่ผึ้ง!” เมื่อแน่ใจว่าฝ่ามืออรหันต์ของเพื่อนสาวย้ายกลับไปหาเจ้าของเป็นที่เรียบร้อย สายเปย์ก็ตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม “ทำไมพี่ผึ้งพูดเหมือนพี่ผึ้งไม่สนับสนุนชายกับน้องเดียวเลยล่ะครับ?”

“ก็ถ้าไอ้เด็กการ์ตาร์นั่นมันสนใจมึงได้สักครึ่งนึงของไอ้ยิมกูจะไม่ว่าเลยสักคำ”

“พี่ผึ้งคิดอย่างนั้นเหรอครับ?” แม้คำตอบของปาณัธจะช่วยชี้ช่องให้คนฟังยิ่งมองเห็นความจริงได้แจ่มชัดยิ่งขึ้น แต่ชายชาตรีก็ยังไม่อาจตัดใจจากว่าที่เหนือชายได้ร้อยเปอร์เซนต์

“ก็ใช่น่ะสิ” รุ่นพี่ในวงการร้านข้าวต้มถอนหายใจหนักหน่วงด้วยความเป็นห่วงเพื่อนหน้าเข่าอย่างสุดซึ้ง “นี่ชาย กูถามจริง ๆ เหอะวะ ทุกครั้งที่มึงเจอไอ้เด็กนั่นน่ะ มึงไม่เห็นหรือไงว่ามันจ้องจะหนีมึงท่าเดียว”

“...”

“นี่ยังไม่นับหน้าตาเหมือนคนอยากตายตอนที่มันเห็นมึงอีกนะ” ปาณัธไม่ได้ตาบอด และหล่อนก็หวังให้ชายชาตรีเลิกบ้าได้แล้ว “ชาย ถ้าไอ้เด็กนั่นมันรู้สึกอะไรกับมึง มันจะไม่ไปนั่งหลบมุมอยู่หลังไอ้พิชญ์อย่างเมื่อกลางวันหรอก”

“...”

“ที่สำคัญ เมื่อไรมึงถึงจะเลิกใช้เงินเปย์ผู้ชายเสียทีวะ? ฮะชาย ต้องรอให้ไม่มีข้าวกินก่อนหรือไงถึงจะคิดได้?”

“...”

“นี่มึงยังไม่รู้ตัวอีกหรือไงว่ามึงไม่มีสมบัติเอาไว้ให้ผลาญเล่นเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วนะ หรือมึงจะซมซานกลับบ้านไปให้คุณชายพ่อมึงสมน้ำหน้าเอาก่อนจะหาผัวเป็นตัวเป็นตนได้ ฮึ เอาอย่างนั้นไหม?!”  

“ชายคิดได้แล้วครับพี่ผึ้ง พี่ผึ้งอย่าด่าชายอีกเลยนะครับ ชายขอโทษ ชายผิดไปแล้ว” อดีตคุณหนูส่ายหัวดิกเมื่อยาขมที่ปาณัธจัดให้ เตือนสติเขาได้ชะงัดดีเสียจริง

ชายจะไม่กลับบ้านจนกว่าจะหาว่าที่เหนือชายได้!
ชายจะไม่เพ้อหาน้องเดียวอีกแล้ว หมดเวลาเพ้อฝันถึงคนที่ไม่เคยเหลียวแลชายเลยสักครั้ง!
ต่อจากนี้ ชายจะตั้งหน้าตั้งตาหาคนดี ๆ ที่รักชายในแบบที่ชายเป็นจริง ๆ เสียที

“ขอให้คิดได้จริงเหอะ อย่าให้กูรู้ทีหลังว่ามึงสักแต่พูดส่ง ๆ เพราะไม่อยากโดนกูด่าเชียวนะ” เสียงของปาณัธที่ดังแทรกขึ้นกลางคันทำให้สายเปย์หลุดออกจากภวังค์ทั้ง ๆ ที่ยังอาลัยอาวรณ์ใบหน้าครึ้มหนวดที่ติดอยู่ในหัวไม่จางหาย

“โหพี่ผึ้ง! ชายคิดได้จริง ๆ นะครับ”

“หึ! ถ้าคิดได้จริงก็รีบไปขอโทษไอ้ยิมเสียสิ ขืนมึงชักช้า มันอาจจะน้อยใจจนไม่ยอมคุยกับใครอีกเลยก็ได้นะ”





“เป็นอะไรของมึงเนี่ย? หน้ายั้งตูด”

นี่หรือคือประโยคทักทายที่เราควรจะใช้กับเพื่อนร่วมงานเพียงคนเดียวของตัวเอง? แต่ชายร่างคล้ายกระปุกตั้งฉ่ายชื่อโจซึ่งเพิ่งย่างกรายเข้ามาในครัวเป็นครั้งแรกของวันจะสนอะไรล่ะ ในเมื่อคู่สนทนาดีแต่ส่งสายตาอำมหิตกลับคืนมาให้โดยไม่เคยพูดจาอะไรให้เขาต้องเจ็บช้ำน้ำใจเลยสักครั้ง

“...”

“ฮั่นแน่! กูรู้แล้ว!” ที่สุดแล้ว สีหน้าบึ้งตึงของอีกฝ่ายก็ทำให้โจนึกอะไรออก แต่แทนที่จะปลุกปลอบรุ่นน้องดี ๆ พ่อครัวใหญ่ประจำร้านกลับกวนน้ำให้ยิ่งขุ่นไปกันใหญ่

“...♫♪ เมียพี่มีชู้... ชาวบ้านเขารู้ กันทั่ว แต่ตาพี่ถั่วเหลือทน รักละลาย เมื่อปลายหน้าฝน ต้องหนาวตรม ยอมทนหนาวทรวง เมียพี่มีชู้.... คนเขารู้ กันเกร่อ ซื่อจนเซ่อเลยช้ำทรวง อกเอ๋ยพ่อควายจงใจประท้วง ทั้งห่วงทั้งหวง แม่ไก่งวง ตัวงาม กรู้ววว!!...”

“เฮ่อ!

“ชอบเขาก็บอกเขาไปสิวะ หรือมึงอยากจะเป็นหมาคอยวิ่งไล่เห่าเครื่องบินไปวัน ๆ แล้วก็เก็บเอาหน้าเขาไปฝันเปียกทุกคืน ๆ ?”

“...”
แววตาวูบไหวที่บ่งบอกว่าผู้ฟังกำลังจดจ่อกับทุก ๆ ถ้อยคำเมื่อสักครู่เรียกรอยยิ้มของโจได้อยู่หมัด  พ่อครัวใหญ่ย่างกรายเฉียดเข้าใกล้ ๆ ร่างสูงใหญ่ของมือขวาประจำตัวก่อนจะกระซิบกระซาบความลับระดับชาติให้ฟังอย่างไม่นึกหวง

“ซื่อ ๆ อย่างไอ้ชายน่ะ ใคร ๆ ก็ดูออกว่าหลอกง่ายแค่ไหน ขืนมึงมัวแต่มองอย่างเดียว วันดีคืนดี มันอาจจะวิ่งรี่ตามแมงดาหน้าหล่อไปนอนอ้าขารอให้มันขย่มจนคลานก็ได้ มึงว่างั้นไหมล่ะ?”

ประโยคกระแทกใจของโจทำเอาคนฟังเผลอกำหมัดแน่นเสียจนเส้นเลือดตามหลังมือและแขนปูดโปนจนดูน่ากลัว แต่ใครเลยจะรู้ว่า ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้น มีความคิดอะไรแตกตัวและเติบโตตามเสียงยุแหย่ไปแล้วบ้าง

 $$$$$$$$


“ยิม พี่ชายขอโทษนะ”

“...” ใบหน้าตลก ๆ เหมือนควายตกถังแป้งไม่อาจะทำให้ยิมหัวเราะได้เหมือนเมื่อสองคืนก่อน ซ้ำร้าย ดูเหมือนว่าเจ้าของห้องจะชิงเดินหนีรุ่นพี่ไปหยุดยืนตรงอีกฟากฝั่งของห้องอยู่ตลอดเสียอีก

“ฮื่อยิม ยิมคุยกับพี่ชายหน่อยสิ ถ้ายิมไม่ยอมคุยกับพี่ชาย คืนนี้พี่ชายคงนอนไม่หลับแน่ ๆ ”

“นอนได้แล้วพี่ ผมจะปิดไฟ”

“ยิม ยิมยั...”

รอบนี้ดูเหมือนยิมจะไม่หือไม่อืออะไรทั้งนั้น เพราะทันทีที่สิ้นประโยคฟังห่างเหินของเจ้าตัว ความมืดมัวก็กลืนกินทุก ๆ ตารางนิ้วของห้องโดยพลัน จากนั้นไม่นาน ฟูกนอนตรงอีกฟากฝั่งก็โดนน้ำหนักตัวของเฟรชชี่ร่างยักษ์โถมเข้าใส่ เพื่อที่อีกฝ่ายจะนอนหันหลังให้โดยไม่พูดอะไรอีก

ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจมั่นว่าจะไม่ยอมนอนจนกว่าจะเคลียร์กันได้ กลับกลายเป็นว่าฝ่ายซึ่งจำใจนอนอย่างเสียไม่ได้ โดนมนตราของที่นอนใยมะพร้าวกล่อมจนหลับไหลไปก่อนคนหน้าหนวดนอนข้าง ๆ ที่ยังเบิกตาโพลงมองเพดานพลางคิดงุ่นง่านถึงอาการแปลก ๆ ของตัวเองอยู่ไม่คลาย  



……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...


ความในใจทิ้งท้ายตามสไตล์ชายชิค ๆ :
คุณพ่อชายหล่อ ฉลาด ขยัน และรักครอบครัวมาก
ส่วนคุณแม่ ท่านบอกชายว่า แรก ๆ ท่านก็แค่สวยกับรวยไปวัน ๆ เท่านั้น
ท่านเพิ่งเทิร์นโปรฯ เป็นอมตะหลังได้กับคุณพ่อนี่แหละ

ถ้าโจทย์คือการเป็นอมตะที่หล่อและเก่งกาจรอบด้าน
คำตอบคือชายต้องไปล่อลวงเด็กประถมหน้าบ้าน ๆ มาเป็นแฟน
เพื่อให้เวลาเดินควงด้วย ชายจะได้ทั้งหล่อกว่าและเป็นอมตะไปพร้อม ๆ กัน อย่างนั้นถูกไหม?


 $$$$<| TBC |>$$$$




No comments:

Post a Comment