<|No.09|>
จะดุด่าว่ากล่าวยังไงก็ได้
แต่อย่าทำเป็นไม่สนใจชายได้ไหม ชายไม่เก็ท
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
“อ้าวพี่ชาย!”
“อ้าวยิม
วันนี้ยิมก็มากินข้าวที่นี่เหมือนกันเหรอ? บังเอิญจังเลย” ใบหน้าเคราครึ้มของคนคุ้นเคยช่วยบรรเทาความร้อนแรงของอากาศช่วงเที่ยงตรง
กับความแออัดขัดข้องของโรงอาหารบรรเทาเบาบางลงอย่างไม่น่าเชื่อ
ชายชาตรียิ้มรับรูมเมทซึ่งพยายามเดินฝ่ากำแพงนักศึกษาผู้หิวโหยเข้ามาหาด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
“ครับ
พอดีวันนี้ผมมีเรียนที่ฮอล์กลาง พวกนั้นมันเลยขี้เกียจขี่รถกลับไปกินที่คณะ” เมื่อหางตาของเฟรชชี่หน้าหนวดลากผ่านไปเห็นพิชญ์กับผึ้งขณะสอดส่องมองหาที่นั่งว่างอย่างเอาเป็นเอาตาย
ชายหนุ่มจึงโพล่งขึ้นทันควัน “แล้วนี่พวกพี่ชายหาโต๊ะได้หรือยังครับ?”
ได้ยินดังนั้น
สายเปย์ผู้เลือกปลีกตัวเดินออกมาคุยกับรุ่นน้องต่างคณะจึงหันไปตะโกนถามเพื่อนสนิทแทนการตอบคำ
“พิชญ์ ได้โต๊ะยัง?”
“ก็ถ้ามึงมาช่วยกันยืนทำหน้าหมากดดันคนอื่น
กูคงจะได้โต๊ะไปนานแล้วล่ะชาย” พิชญ์เหวี่ยงใส่ชายหน้าเข่าอย่างเร้าอารมณ์
และเมื่อยิ่งมีปาณัธคอยผสมโรงด้วยแล้ว
คนฟังอย่างยิมก็อดเห็นใจโชคชะตาด้านการคบหามิตรสหายอันต่ำต้อยของรูมเมทไม่ได้
“ใช่ชาย
มึงมาช่วยพิชญ์มันเดี๋ยวนี้เลย อย่าโยกโย้เสียเวลา” พูดจบ ปาณัธก็ดีดตัวออกไปไล่ล่าอาหารกลางวันแบบไม่พรั่นสายตาเหนื่อยหน่ายของเพื่อนชายร่างสันทัดที่ยืนอยู่ข้าง
ๆ เลยสักนิด
“อ้าวพี่ผึ้ง
เดี๋ยวสิครับ!” แม้ชายชาตรีจะส่งเสียงทัดทาน
แต่นั่นกลับไม่อาจทำให้ตัวอ่อนมนุษย์ป้าเปลี่ยนใจ ซ้ำร้ายยังยุยงให้พิชญ์อยากจะไปเดินหาอะไรกินเต็มแก่ตามไปอีกคน
“พี่พิชญ์จะไปซื้อข้าวเลยก็ได้นะครับ
เดี๋ยวผมช่วยพี่ชายเอง” ยิมอาสาโดยไม่คิดหน้าคิดหลังเพราะเชื่อว่า หากยิ่งปล่อยให้พิชญ์โมโหหิวนานกว่านี้
สายเปย์อาจจะโดนเพื่อนรักเหวี่ยงใส่จนมีอันเป็นไปในไม่กี่อึดใจข้างหน้า
“ขอบใจมากไอ้น้อง” หนุ่มบริหารรูปร่างสันทัดยิ้มรับก่อนจะรวบรัดตัดความอย่างรวดเร็ว
“งั้นเดี๋ยวกูซื้อให้มึงเลยแล้วกันนะชาย ได้ที่แล้วยิงมานะ เดี๋ยวกูโทรหา”
“อือ”
“ไปครับพี่ชาย”
เด็กวิศวะเอ่ยขึ้นทันทีที่คลื่นนักศีกษาผู้หิวโหยดูดกลืนพิชญ์จนลับตาไปอีกคน
“ไปไหนเหรอยิม?”
“ไปนั่งกินข้าวด้วยกันไงครับ”
“จะดีเหรอยิม?”
เด็กบริหารทำทีเป็นไต่ถามเด็กปีหนึ่งพอเป็นพิธี ทว่าในใจนั้นกลับออกตัวระริกระรี้ด้วยความยินดีไปแล้วหลายกระบวนท่า...
ถ้ายิมกับเพื่อน ๆ มากินข้าวที่นี่ ก็แปลว่าน้องเดียวคนดีของพี่ชายย่อมต้องมาด้วย!
“ไปเถอะครับ
นั่งกินเบียด ๆ กันหน่อยก็ได้ พี่ชายจะได้ไม่ต้องเดินหาที่นั่งให้ร้อนไง” ยิมหยิบยื่นไมตรีให้แก่รุ่นพี่อย่างกระตือรือล้นจนไม่ทันจับสังเกตอาการใจเต้นไม่เป็นส่ำที่ตนเองกำลังเป็นอยู่
“อืม”
ชายชาตรีลอบอมยิ้มกับตัวเองอย่างลิงโลด... อีกเดี๋ยวพี่ชายก็จะได้กินข้าวแกล้มใบหน้าน้องเดียวแล้ว
ดีใจจัง!
“นั่งเลยพี่ชาย”
หลังจากเชื้อเชิญอาคันตุกะเป็นที่เรียบร้อย ยิมก็หันไปชี้แจงแถลงไขกับเพื่อนในกลุ่มต่อทันที
“เฮ้ยพวกมึง เดี๋ยววันนี้พวกพี่ชายจะมานั่งกินข้าวกับพวกเราด้วยนะ”
“พี่ชายหวัดดีครับ”
เหล่าเด็กวิศวะพากันมองหน้ายิมเลิ่กลั่กเมื่อตระหนักว่า หนึ่งในสมาชิกของกลุ่มได้กระทำการชักน้ำเข้าลึก
ชักศึกเข้าบ้านเข้าให้จังเบ้อเร่อ ดีเท่าไรแล้วที่เดียวยังไม่กลับจากซื้อข้าว ไม่อย่างนั้นบรรยากาศคงอึดอัดจนพวกเขากระเดือกข้าวไม่ลงไปตาม
ๆ กันแน่ ๆ
“หวัดดีครับ
วันนี้ขอพวกพี่นั่งด้วยนะ”
“ไม่ต้องขอหรอกพี่
นั่งข้าง ๆ ผมนี่ก็ได้” หากไม่ใช่ยิมแล้ว ไม่มีทางที่เฟรชชี่วิศวะคนไหน ๆ
ในที่นั้นจะเอ่ยปากเชื้อเชิญสายเปย์หน้าเข่าด้วยมิตรไมตรีเช่นนี้อีกแล้ว
“แล้วเดี๋ยวไอ้เดียวมามันจะนั่งไหนวะยิม?”
หนึ่งในกลุ่มก้อนตรงหน้าพยายามส่งซิกลับ ๆ ให้กับยิมอีกคำรบ ทว่ากลับไม่ประสบผล
“เหลือแค่มันกับไอ้เอ๋เอง
พี่พิชญ์กับพี่ผึ้งก็ตัวนิดเดียว นั่งเบียด ๆ กัน กูว่าน่าจะไหวอยู่”
“...เอ่อ...
มึงว่างั้นเหรอวะ”
“ก็เออดิ! พี่ชายนั่งเลยครับ” ภาพของชายชาตรีขณะทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ
เพื่อนซี้หน้าหนวดทำเอาเหล่าผองเพื่อนของยิมและเดียวทั้งหลายอยากจะลาตายให้รู้แล้วรู้รอด
แม้พวกเขาจะเป็นห่วงความรู้สึกของหนึ่งเดียวรูปหล่อ
กระนั้นกลับไม่มีใครคัดค้านเหตุผลของยิมเลยสักคน เพราะเท่าที่กะด้วยสายตา ม้านั่งตัวยาวที่พวกเขาจับจองนั้น
สามารถรองรับการใช้งานของสิบกว่าชีวิตได้อย่างไม่จำกัดจำเขี่ยเลยสักนิด
ก่อนหน้าชายชาตรีจะได้เริ่มยิงคำถามเพื่อรีดเค้นข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับเดียวจากปากเพื่อน
ๆ ปาณัธก็เดินโผเผมาทิ้งน้ำหนักลงนั่งตรงข้ามยิมโดยไม่ขอความเห็นจากใคร ๆ
และนั่นทำให้เฟรชชี่หน้าหนวดรู้สึกเดือดร้อนจนต้องออกโรงแนะนำหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในโต๊ะให้เพื่อน
ๆ ได้ทำความรู้จักทันที “พวกมึง นี่พี่ผึ้ง เพื่อนพี่ชายแล้วก็พี่ที่ทำงานกู”
“หวัดดีครับพี่ผึ้ง”
“เออ
ดี ๆ ” สิ้นเสียงตอบลวก ๆ ของตัวอ่อนมนุษย์ป้าผู้ไม่ละสายตาจากจานข้าวตรงหน้าสักนาที
ก็มีเสียงอุทานอย่างตกใจของชายหนุ่มหน้าตาดีที่เพิ่งเดินกลับมาสมทบกับผองเกลอที่โต๊ะ
“เฮ่ย!”
“น้องเดียว!” ชายชาตรีคลี่ยิ้มจนเหงือกบานเมื่อเลื่อนกรอบสายตาไปยังต้นเสียงแล้วพบว่า
ที่สุดแล้ว แรงจูงใจในการทำงานตลอดสามวันของตนกำลังยืนเต๊ะท่าทำหน้าหล่ออยู่ใกล้ ๆ
“พี่มาได้ไงเนี่ย?!!” รอยยิ้มละม้ายคนเมาบนใบหน้ารูปเข่าทำเอาเดียวรีบหันไปกวาดตาจ้องมวลมิตรด้วยสายตาหงุดหงิดระคนผิดหวังเป็นที่สุด
“พี่ชายมากับยิมครับ”
“ก็วันนี้คนมันเยอะ
กูเลยชวนมานั่งด้วย พวกพี่เขาจะได้ไม่ต้องยืนรอที่นั่งนาน ๆ ยังไงล่ะวะ”
ยิมรับช่วงเสริมข้อความที่ยังตกหล่นต่อจากชายชาตรีด้วยสีหน้ากึ่งขบขัน
กึ่งเอ็นดูรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ “มึงก็นั่งดิ จะยืนแดกหรือไง?”
จังหวะที่นายหนึ่งเดียวแสดงทีท่าอิหลักอิเหล่อเหลือประมาณอยู่นั้น
คู่กรณีขาประจำของเด็กวิศวะรูปหล่อก็โผล่หน้ามาพอดี “ไอ้ชาย ทำไมไม่รับโทรศั...” พิชญ์ชะงักค้างหลังสำเหนียกถึงสถานการณ์ตรงหน้าอย่างถ่องแท้
แต่แล้วเสียงเรียกจากรุ่นน้องที่นั่งมองเขาตาแป๋วกันทั้งกลุ่มก็ทำเรียกร้องความสนใจจากหนุ่มบริหารจอมเหวี่ยงได้ชั่วคราว
“พี่พิชญ์หวัดดีครับ”
“โห! ไม่เจอกันหลายวันเลยพี่
พี่เป็นไงมั่งครับ?” นอกจากบรรดาเฟรชชี่จะกระพุ่มมือไหว้พิชญ์กันหมดทั้งโต๊ะแล้ว
หนึ่งในนั้นยังทักทายคนมาใหม่ด้วยสีหน้าท่าทางเป็นกันเองผิดกับมารยาทที่ปฏิบัติต่อชายชาตรีลิบลับ
“ก็ดี”
พิชญ์พยักหน้าเนือย ๆ ให้เด็กปีหนึ่งต่างคณะก่อนจะหันไปประกาศความต้องการของตัวเองกับเพื่อนรัก
“กูไปนั่งโต๊ะอื่นนะชาย”
“ฮื่อพิชญ์
ไม่เอา นั่งนี่แหละ นะ นะ นั่งด้วยกันเถอะนะ”
“ไม่
ถ้ามึงไม่ย้ายโต๊ะกูก็ไม่แดก” แม้พิชญ์จะยื่นคำขาด แต่ก็อย่าประมาทอาการกระหายหนุ่มของสายเปย์ต่ำจนเกินไป
“ไม่เอา
อย่าทำแบบนี้สิพิชญ์ นะ กินข้าวกับชายเถอะนะ”
“จิ๊! เดี๋ยวกูไปหาแดกที่อื่นเอาก็ได้!” บทบาทสุดเร้าหรือของชายชาตรีทำเอาพิชญ์กระแทกจานข้าวลงกับโต๊ะอย่างเหลืออดก่อนจะตั้งท่าหมุนตัวจีจาก
กระนั้นเสียงคำรามลั่นของสุภาพสตรีเพียงหนึ่งเดียวในดงเจี๊ยวหวานกลับสยบทุก ๆ ความเคลื่อนไหวได้ในพริบตา
“มึงนั่งลงแล้วกินข้าวเดี๋ยวนี้เลยนะพิชญ์
ห้ามทิ้งขว้างของกิน มันบาป เข้าใจไหม?”
“พี่ผึ้ง!”
“ยังอีก!” เจตนาอุทธรณ์ของพิชญ์ถูกปัดตกไปหลังปาณัธใช้พระเดชเข้าข่มขู่เพื่อนผู้มีพระคุณต่อการศึกษาของเจ้าหล่อนอย่างก้าวร้าว
“อย่าเรื่องมากดิวะพิชญ์ กินให้เสร็จ ๆ แล้วจะได้รีบไป”
“จิ๊!” พิชญ์ชักสีหน้าเบอร์ใหญ่สุดใส่คนออกคำสั่งด้วยหวังให้ตัวอ่อนมนุษย์ป้าเกิดเปลี่ยนใจ
แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะโลกสวยเกินไป
เพราะแม้แต่เฮียคองผู้รั้งตำแหน่งสามียังแทบทำให้ผึ้งเปลี่ยนใจไม่ได้เลย
“เร็ว!”
“พี่ผึ้งแม่ง!” แม้จะฮึดฮัดขัดใจ แต่สุดท้ายพิชญ์ก็ไม่กล้างัดข้อกับผู้ทรงอิทธิพลของกลุ่มอยู่ดี
ชายหนุ่มจึงจำเป็นต้องลดตัวลงนั่งข้าง ๆ ชายชาตรีอย่างเสียไม่ได้
ฝั่งยิมที่เห็นเพื่อนสนิทยืนอ้าปากค้าง
แถมยังไม่ยอมลงหลักปักฐานเป็นมั่นเหมาะเสียทีก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกึ่งรำคาญกึ่งสงสัย
“ถ้ามึงจะไม่แดก กูขอก๋วยเตี๋ยวมึงได้ไหมวะเดียว?”
“เรื่อง?!” สิ้นคำ เจ้าของเสียงก็นั่งลงตรงที่ว่างข้าง
ๆ พิชญ์อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จนรุ่นพี่ร่างสันทัดขู่ฟ่อ
“เอ๊ะไอ้นี่!”
“พิชญ์”
ชายชาตรีสะกิดเพื่อนผู้มัวแต่หันไปจ้องอริรุ่นน้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“มึงเถิบไปดิวะ!”
“ไม่!” เดียวลอยหน้าลอยตา
“พิชญ์”
สัมผัสยิก
ๆ ตรงสีข้างที่ส่งตรงมาจากปลายนิ้วของสายเปย์ทำเอาพิชญ์เหลืออด “อะไรของมึงอีกล่ะ
กูนั่งให้แล้วมึงยังไม่พอใจอีกหรือไง?”
“เปล่า
ชายจะบอกว่า ถ้าพิชญ์นั่งไม่สบาย พิชญ์จะแลกที่กับชายก็ได้นะ” อดีตลูกคุณหนูยื่นข้อเสนอที่จะเป็นผลดีต่อทุก
ๆ ฝ่ายโดยไม่คิดถามไถ่ความต้องการของเด็กวิศวะปีหนึ่งคนไหน ๆ ทั้งสิ้น
“ดีเหมือนกัน ขืนต้องนั่งตรงนี้ กูคงแดกอะไรไม่ลง!” จังหวะที่พิชญ์กำลังจะลุกขึ้นนั้นเอง
ปาณัธก็แสดงฤทธาอภินิหารย์ให้เด็กหนุ่มทั้งโต๊ะร่วมเป็นสักขีพยานอีกคำรบ
“พอ
ๆ ! ไม่ต้องเลย พวกมึงไม่ต้องแลกเลิกอะไรกันทั้งนั้นแหละ
แค่นี้ก็น่าเวียนหัวจะแย่แล้ว กินเดี๋ยวนี้เลยนะ! เอ๊ะ! กูบอกให้กินข้าวไง?!”
“ครับพี่ผึ้ง”
ไม่ต้องรอให้ตัวอ่อนมนุษย์ป้าตวาดซ้ำสอง ทั้งชายชาตรีและพิชญ์ต่างก็ต้องพับความต้องการเก็บใส่กระเป๋าแล้วก้มหน้าก้มตากินอาหารในจานข้าวของตัวเองอย่างจำยอม
“ยิม”
“อะไรเหรอครับพี่ชาย?”
แม้น้ำเสียงที่รุ่นพี่หน้าเข่าเอ่ยเรียกเขาจะแผ่วเบาแค่ไหน
แต่โสตประสาทของเฟรชชี่หน้าหนวดก็ยังได้ยินทุกถ้อยทุกคำอย่างชัดเจนแจ่มแจ๋ว
“ช่วยอะไรพี่ชายหน่อยสิ”
“พี่จะให้ผมช่วยอะไรเหรอครับ?”
“พี่ชายอยากคุยกับน้องเดียวอ่ะ”
ต่อให้เห็นใบหน้าตกประหม่าของชายชาตรีเพียงเสี้ยวหนึ่งจากมุมข้าง
ยิมก็ยังเผลอตัวถอนหายใจหนัก ๆ เพื่อระบายความรู้สึกหงุดหงิดที่แม้กระทั่งตัวเองยังไม่รู้ตัว
กระนั้นแล้ว
ยาจกเคราครึ้มกลับเลือกที่จะไม่ใช้อารมณ์ในการสนทนากับรูมเมทหน้าเข่าแต่อย่างใด “พี่ชายอยากคุยอะไรกับมันก็คุยเลยสิครับ
ไม่มีใครว่าอะไรหรอก”
“ก็พี่ชายกลัวว่าถ้าพี่ชายพูดอยู่คนเดียว
น้องเดียวจะไม่คุยกับพี่ชายน่ะสิ” ชายชาตรีให้เหตุผลเสียงอ่อนระโหย...
ลำพังแค่ปฏิกิริยากับสายตาหวาดหวั่นของบรรดาเฟรชชี่คนอื่น ๆ
ก็ทำให้เขาหมดกำลังใจมากแล้ว ลองว่าถ้าน้องเดียวไม่ยอมคุยด้วยอีกล่ะก็
หัวใจดวงน้อย ๆ ของสายเปย์คงจะยิ่งห่อเหี่ยวเกินเยียวยา
“ถ้าพี่ชายไม่กล้าคุยกับมันเอง
ผมว่าพี่ก็ควรตั้งใจกินข้าวแบบที่พี่ผึ้งบอกดีกว่านะครับ” ยิมจงใจหลบสายตาออดอ้อนของรุ่นพี่ที่จับจ้องมองตนอย่างมีความหวัง
“ไหนยิมบอกว่ายิมจะช่วยพี่ชายจีบน้องเดียวไง”
ครั้นเมื่อถูกขัดใจมาก ๆ ชายชาตรีก็เริ่มตีรวนกวนใจอีกฝ่ายมากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
“โหพี่ชาย! เล่นงี้เลยเหรอ?”
ในขณะเดียวกันนั้นเอง
เพื่อนสนิทร่างสันทัดของสายเปย์ก็กำลังประสบปัญหาประเทศเพื่อนบ้านส่งสายตาข้ามระยะปลอดภัยเข้ามารุกรานเวลากินอาหารกลางวันอย่างไม่มีหยุดหย่อน
“จิ๊!”
“...”
เดียวเลือกที่จะไม่ต่อความยาวสาวความยืด หากแต่แม้ปากจะเคี้ยวอาหารหยับ ๆ แต่หางตากลับจ้องมองกิริยาอาการของรุ่นพี่บริหารอยู่ตลอด
“จ้องหาพ่อมึงหรือไงไอ้สัด?!”
“เปล่าสั...”
“น้องเดียวครับ
น้องเดียวหายป่วยแล้วหรือยัง? แล้วน้องเดียวป่วยเป็นอะไรเหรอครับ?” ที่สุดแล้ว
เด็กบริหารหน้าเข่าก็รวบรวมความกล้าส่งเสียงทักทายข้ามหัวสหายรักไปหาชายหนุ่มที่ตนหมายปองได้โดยไม่ต้องอาศัยผู้ช่วย
“...”
“ว่ายังไงครับน้องเดียว
หายป่วยแล้วหรือยัง?”
“เฮ่อ!” อาการทำหูทวนลมพลางเสมองไปทางอื่นของเดียว
กับสีหน้าคาดหวังอย่างใหญ่หลวงของชายชาตรี คือสองเหตุผลที่ทำให้ผู้ฟังหน้าหนวดอดรนทนไม่ได้
“ไอ้เดียว
พี่ชายเขาถามน่ะ หูมึงหนวกหรือไง?”
“กูเปล่า”
“งั้นมึงก็ตอบเขาดิวะ
อย่าปล่อยให้รุ่นพี่รอ หรือมึงอยากดูไม่ดีในสายตาคนอื่น?” ค่าที่ยิมรู้ดีว่าเพื่อนสนิทห่วงภาพลักษณ์และชื่อเสียงของตัวเองมากเสียจนบางครั้งเดียวก็กลายเป็นคนพูดจาตลบแตลงปลิ้นปล้อนไปโดยไม่ตั้งใจ
ชายหนุ่มหน้าหนวดจึงอาศัยจุดอ่อนที่วามาบีบบังคับอีกฝ่ายให้ยอมวิสาสะกับชายชาตรีทั้งที่เจ้าตัวไม่ต้องการ
“ผมหายแล้ว”
“หายแล้วก็ดีครับ
แต่ยังไงน้องเดียวก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี ๆ นะ ถ้าขาดเรียนบ่อย ๆ
เกรดจะตกเอารู้ไหม”
“เฮ่อ!” เดียวเบ้หน้าไปอีกทางพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
ซึ่งไอ้อาการหน้าไหว้หลังหลอกที่เด็กวิศวะทำนั้น ก่อกวนคนข้าง ๆ จนเจ้าตัวไม่อาจเพิกเฉยได้อีกต่อไป
“มึงกินข้าวเสียทีสิวะชาย
กูไม่อยากเข้าคลาส’จารย์ตุ๋มสายนะ”
แทนที่จะสนใจคำเตือนของพิชญ์
สายเปย์กลับหน้ามืดตามัวเห็นว่าที่ผัวเป็นชอบไปเสียฉิบ “ว่าแต่น้องเดียวป่วยเป็นอะไรเหรอครับ?”
ไหน ๆ ก็ได้โอกาสคุยกับเด็กหนุ่มที่หมายตา ชายชาตรีจึงไม่ปล่อยให้คำถามใด ๆ
ค้างคาใจ “ที่พี่ชายถามเพราะพี่ชายจะได้ซื้อของดี ๆ มาบำรุงน้องเดียวไง”
ประโยคที่เพิ่งได้ยินผ่านหูทำเอายิมสะดุ้งไปทั้งตัวราวกับกระทิงตื่นกลัวไฟป่า
เมื่อกี๊พี่ชายพูดอะไรออกมา
รู้ตัวบ้างหรือเปล่า?!
“อะแฮ่ม!” ปีหนึ่งหน้าหนวดชิงกระแอมเรียกร้องความสนใจจากรูมเมทรุ่นพี่ด้วยไม่อยากฉีกหน้ากันโต้ง
ๆ กระนั้น ชายชาตรีกลับมัวแต่หลงชื่นชมรูปลักษณ์อันหล่อเหลาของเพื่อนเขาไม่วางวาย
“อะแฮ่ม ๆ ”
“มึงเป็นอะไรยิม
กระแอมอยู่ได้ ข้าวติดคอหรือไง?” ปาณัธกระแทกช้อนกับจานพลางโพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงคิดรำคาญจนผู้ช่วยพ่อครัวในร้านจำต้องก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างไม่มีปากเสียง
เมื่อสบโอกาสดี
ชายชาตรีก็วกกลับเข้าเรื่องสำคัญที่ตนต้องหาคำตอบโดยพลัน “สรุปน้องเดียวเป็นอะไรครับ
บอกพี่ชายหน่อยนะ พี่ชายจะได้ซื้อของให้ได้ถูก”
นอกจากจะไม่โต้ตอบแล้ว
ฝ่ายเด็กปีหนึ่งที่ถูกตื๊อถามยังแอบใช้เรือนร่างของคนนั่งข้าง ๆ
บดบังทิวทิศน์คล้ายหัวเข่าเจ้าปัญหาเข้าให้เสียอีก ความพยายามดังกล่าวจึงส่งผลให้นายหนึ่งเดียวกระเถิบตัวเข้าประชิดกับพิชญ์มากเกินความจำเป็น
ซึ่งแม้รุ่นพี่จอมเหวี่ยงจะระลึกรู้ถึงความชิดใกล้ที่ว่าเป็นอย่างดี
แต่เพราะติดที่ปาณัธยื่นคำขาดเอาไว้แต่ต้น พิชญ์เลยตัดสินใจจัดการกับของกินให้ลุล่วงเป็นลับดับแรก
ทันทีที่ยัดทะนานของกินในจานเข้าปากเสร็จสรรพ
พิชญ์ก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับประกาศกร้าวทั้ง ๆ ที่กับข้าวในปากยังเคี้ยวไม่ละเอียด “ผมอิ่มแล้ว
ไปก่อนนะครับ”
ทันทีที่สั่งเสียกับปาณัธจบ
พิชญ์ก็เปิดตูดเผ่นแน่บหายลับไปในพริบตา ทว่าน่าแปลกที่เมื่อพิชญ์ลุกไป เด็กวิศวะผู้หล่อเหลาเกินหน้าใคร
ๆ ก็พุ่งทะยานตามหลังไปอีกคนจนชายชาตรีตั้งท่าจะติดสอยห้อยตามผู้ชายที่ตนหมายตาไปด้วยเช่นกัน
ถ้าไม่ติดว่าความมุ่งมั่นนั้นจะทำให้ปาณัธร้องขัดขึ้นล่ะก็นะ
“อ่ะ
ๆๆๆ ! นั่นมึงจะไปไหนไอ้ชาย?!”
“ผมจะไปตามน้องเดียวครับพี่ผึ้ง
น้องเดียวยังกินข้าวไม่เสร็จเลย เดี๋ยวน้องเดียวจะเป็นโรคกระเพาะ”
“ไม่ต้องห่วงคนอื่น! เมื่อกี๊กูบอกมึงว่าไง?” สีหน้างุนงงเป็นควายหลงปลักทำให้ตัวอ่อนมนุษย์ป้าช่วยกรุณาทบทวนความจำให้อีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นจนเส้นขนหลังคอคนฟังเกือบทั้งโต๊ะลุกเกรียวกราว
“กูบอกมึงใช่ไหมว่าอย่ากินทิ้งขว้าง”
“...แต่...”
ชายชาตรีแย้งพลางวางสายตามองตามแผ่นหลังของเดียวที่เห็นอยู่ไกล ๆ อย่างละห้อยหา
ทว่ามันกลับไม่ได้ช่วยให้สายเปย์หน้าเข่ามีแต้มต่อเหนือผึ้งแต่อย่างใด
“จะกินดี
ๆ ไหม หรือจะให้กูโมโห?”
“ครับ
ๆ กินแล้วครับ”
“เดี๋ยวพี่พิชญ์
หยุดก่อน!” นอกจากรุ่นพี่จะไม่หยุดเดินแล้ว
ดูเหมือนประโยคขอร้องดังกล่าวจะทำให้อีกฝ่ายเริ่มออกวิ่งไปเสียอีก แต่โชคดีกลับตกเป็นของนายหนึ่งเดียว
เพราะเส้นทางที่ทั้งสองเดินอยู่นั้น เป็นทางตรงบังคับ ไม่มีแยกอื่น ๆ
ให้อีกฝ่ายปลีกตัวหลีกหนี เฟรชชี่จึงกัดฟันสับขาวิ่งไปดักหน้าคนโตกว่าเอาไว้ได้ทัน
“เดี๋ยวพี่
คุยกันก่อนดิ!”
“กูไม่มีอะไรจะคุยกับมึง!”
“แต่ผมมี!”
“กูไม่คุย! มึงถอยไปเดี๋ยวนี้เลยนะ
ไม่งั้นกูจะ...”
“จะอะไรพี่?”
“จะต่อยมึง!” พิชญ์โพล่งอย่างเหลืออดพลางตั้งการ์ดข่มขู่รุ่นน้องให้เสียขวัญ
กระนั้นคู่สนทนากลับหน้าด้านหน้าทนกว่าที่เขาคาดคิดไปหลายเบอร์
“แต่วันนี้ผมยังไม่ทำอะไรพี่เลยนะ
พี่จะต่อยผมจริง ๆ น่ะเหรอ?” เดียวผายมือให้อีกคนสังเกตเห็นความพยายามรักษาระยะห่างอย่างแข็งขันของตน
แต่แม้คนเกิดทีหลังจะไม่ร่นระยะเข้าใกล้ แต่ก็ใช่ว่าเด็กวิศวะจะยอมปล่อยให้รุ่นพี่วิ่งหนีไปไหนง่าย
ๆ เพราะเมื่อพิชญ์สืบเท้าก้าวฉีกไปทางไหน เดียวก็จะตามไปรักษาระยะห่างให้ยังคงเท่าเดิมอยู่เสมอ
“งั้นกูจะโทรเรียกตำรวจมาจับมึง!”
“ข้อหาอะไรพี่?
แค่รุ่นน้องมาคุยกับรุ่นพี่นี่มันผิดกฏหมายตรงไหน?”
“มึงไม่ได้จะมาคุยกับกูหรอก
มึงแค่จะแกล้งหลอกให้กูตายใจแล้วค่อยล้างแค้นกูทีหลัง กูรู้ทันหรอกน่า!” แม้จะเป็นประโยคสั้น ๆ แต่มันกลับบอกเล่าประสบการณ์อันโหดร้ายนับครั้งไม่ถ้วนที่ชวนให้พิชญ์รู้สึกคลื่นไส้วิงเวียนยามหวนนึกถึงไปเสียทุกที
นี่ถ้าตลอดสองปีที่ผ่านมา เขาไม่เผลอใจอ่อนยอมให้เพื่อนซี้หน้าเข่าลากตัวไปเฝ้าเด็ก
ๆ ของมันอยู่เนือง ๆ แล้วล่ะก็ ป่านนี้เขาก็ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดผวาพวกชายแปลกหน้าจำนวนไม่ต่ำกว่าห้ารายที่ปฏิเสธเยื่อใยของชายชาตรีแล้วหันมาเอาดีกับการไล่เต๊าะเขาอย่างทุกวันนี้หรอก
“โห่พี่
ผมตั้งใจจะมาคุยกับพี่จริง ๆ ”
ดูเหมือนว่าหยาดน้ำตาของเด็กบริหารที่หลั่งไหลเพราะเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อนจะช่วยชำระล้างจิตใจของนายหนึ่งเดียวให้บริสุทธิ์ผุดผ่องได้อย่างน่าอัศจรรย์
เพราะเจ้าตัวยืนกรานปณิธานล่าสุดของตัวเองอย่างหนักแน่นจนคนฟังยังแอบสะดุดใจ
“กูไม่เชื่อ!”
“เชื่อหน่อยเหอะพี่
ผมอยากขอโทษพี่เรื่องเมื่อวันก่อนจริง ๆ นะ”
ต่อให้เดียวจะอมพระทั้งวัดมาพูด
แต่ฝ่ายรุ่นพี่ผู้มีอดีตอันขมขื่นคอยติดตามหลอกหลอนอยู่ไม่เว้นแต่ละวันก็ไม่ยอมเปิดใจรับฟังอยู่วันยันค่ำ
“คิดเหรอว่ากูจะโง่เชื่อมึงง่าย ๆ ! แต่มึงเสนอหน้ามาก็ดี วันก่อนกูยังชำระความกับมึงไม่หนำใจเลย!” ไม่ทันขาดคำ ปลายเท้าของพิชญ์ก็เตะเข้าที่จุดสูงสุดของซอกขาของคนตรวหน้าเข้าเต็มรัก
แต่แทนที่อีกฝ่ายจะล้มหงายพ่ายแพ้ดังเช่นทุก
ๆ ครั้งที่ผ่านมา กลับกลายเป็นตัวเขาเองที่ต้องนิ่วหน้า
พลางเขย่งเก็งกอยเพราะอาการปวดขาอย่างแสนสาหัส “โอ๊ย! มึง มึง มึง?!” พิชญ์หวีดร้องขณะกระโดดเหยง ๆ ไปมาเมื่อหลังเท้าปะทะเข้ากับบางอย่างที่แข็งกร้าวราว
ๆ น้อง ๆ กระดองเหล็ก
“อูย”
จริงอยู่ที่ความเจ็บปวดในครั้งนี้จะรบกวนส่วนล่างของชายหนุ่มได้ไม่น้อย
แต่เครื่องป้องกันด้านในก็ทำให้เดียวยังคงไม่ร่วงผล็อยเป็นใบไม้เหมือนที่แล้ว ๆ มา
“พี่เตะผมทำไมเนี่ย? ผมยังไม่ได้ทำอะไรพี่เลยนะ”
“เมื่อกี๊นี้มันอะไร?
มึงทำอะไรกู?! อูย ซี๊ดส์”
“ผมจะไปทำอะไรพี่ได้?
มีแต่พี่นี่แหละที่ทำผม” เฟรชชี่ชิงว่าต่อ “แล้วถ้าขืนผมไม่รู้จักป้องกันตัวเอง
ผมก็พิการพอดีดิพี่” เดียวนึกขอบคุณตัวเองไม่หายที่ตัดสินใจพรีออเดอร์กางเกงกระจับรุ่นใหม่มาใช้ได้ทันท่วงที
ไม่อย่างนั้นป่านนี้ ‘ไข่’ เขาคงโดนขาพี่พิชญ์ขยี้จนไม่เหลือชิ้นดีไปแล้วแน่ ๆ
“มึงหมายความว่ายังไง?”
แทนที่พิชญ์จะได้คำตอบ กลับมีเสียงของบุคคลที่สามดังแทรกกลางขึ้นเสียก่อน
“เฮ้ยน้อง! มึงทำอะไรพี่พิชญ์?!!!”
“ไอ้ ไอ้... ฟรายเดย์! มึงยังมีหน้าโผล่มาอีกเรอะ?!” เด็กบริหารหน้าเสียเมื่อเห็นเจ้ากรรมนายเวรอีกหนึ่งรายปรากฏกายขึ้นต่อหน้าต่อตา
“ไอ้นี่น่ะเหรอคนที่พี่อยู่ด้วยเมื่อวันก่อน?”
เดียวถามพลางมองหน้ารุ่นพี่บริหารสลับกับชายผู้มาใหม่อย่างงง ๆ
“เมื่อกี๊มึงทำอะไรพี่พิชญ์ของกู?”
“กูไปเป็นของมึงเมื่อไรไอ้เหี้ยฟรายเดย์?! อย่าให้กูหายเจ็บเชียวนะ
กูจะอัดมึงให้ร้องเลย!”
“พี่พิ...
อุ๊บ!!!” ก่อนที่รุ่นพี่แปลกหน้าจะดึงดราม่าจนสถานการณ์ยุ่งยากไปมากกว่านี้
นายหนึ่งเดียวผู้มีพลังพิเศษหลังได้สวมใส่เกราะเพชรเจ็ดสีไว้ภายใต้กางเกงสแล็คก็ส่งไม้ความเจ็บปวดในรูปแบบที่ตัวเองคุ้นเคยต่อให้กับกล่องดวงใจของพี่ฟรายเดย์เข้าอย่างจัง
“ไปพี่
เราไปคุยกันที่อื่นดีกว่าครับ!” ยังไม่ทันที่ประโยคเชื้อเชิญจะสิ้นสุด
เฟรชชี่วิศวะก็ฉุดข้อมือรุ่นพี่ต่างคณะให้ออกวิ่งหน้าตั้งตามหลังกันมาโดยไม่สนถ้อยคำต่อว่าด่าทอที่ดังรดต้นคออย่างไม่ขาดสาย
“ไอ้เหี้ยเดียว
ปล่อยกู! กูเจ็บขา!
พ่อมึงตายหรือไงถึงได้วิ่งเป็นเจ๊กตื่นไฟแบบนี้ ฮะ?!”
“ทนหน่อยพี่
เดี๋ยวไอ้นั่นมันก็ตามมาทันหรอก!”
“ปล่อย! กูบอกให้ปล่อยไง!” จนเมื่อแน่ใจแล้วว่าพ้นวิถีติดตามของสตอล์กเกอร์ปีสอง
พิชญ์ก็เริ่มโวยวายพร้อมผ่อนฝีเท้าลงอย่างดึงดัน กระนั้นหนึ่งเดียวกลับยังไม่อาจไว้วางใจ
ชายหนุ่มจึงหันไปกระตุ้นรุ่นพี่ให้ออกวิ่งอีกครั้งด้วยความหวังดี
“อีกนิดนะพี่
ผมอยากแน่ใจว่าพี่จะปลอดภัยจากไอ้นั่นแล้วจ... โอ๊ย!”
“เรื่องอะไรกูจะรอให้มึงทำอะไรกูได้อีก!” หลังจากกระชากคนตัวโตกว่าเข้าหาหัวเหม่งที่ตั้งพิกัดรอท่าเสียดิบดีจนอีกฝ่ายหงายเงิบ
เด็กบริหารก็วิ่งเตลิดหนีไปตามสไตล์นางเอกเทพนิยายสุดอมตะ หากแต่แทนที่จะทิ้งรองเท้าแก้วข้างหนึ่งไว้ให้เจ้าชายดูต่างหน้า
ซินเดอเรลล่าจอมเหวี่ยงกลับมอบรอยฟกช้ำตามร่างกายและความรู้สึกคันยิบ ๆ ในหัวใจให้นายหนึ่งเดียวเอาไว้ใช้เป็นข้ออ้างในการนึกถึงตัวเขาอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น
“เดี๋ยวครับพี่ชาย
เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ทันทีที่ลากชายชาตรีออกมาจากวงกินข้าวกลางวันได้สำเร็จ ยาจกเคราครึ้มก็เกริ่นนำเข้าประเด็นร้อนโดยไม่รอช้า
“เรื่องอะไรเหรอยิม?”
“เรื่องที่พี่ชายบอกไอ้เดียวไปเมื่อตอนกินข้าวไงครับ”
สีหน้างุนงงของคู่สนทนาทำให้รุ่นน้องยิ่งร้อนรุ่ม “ถ้าไอ้เดียวมันบอกพี่ชายว่ามันป่วยเป็นอะไร
พี่ชายจะไปตามซื้อของบำรุงให้มันจริง ๆ น่ะเหรอครับ?”
“ก็ใช่น่ะสิยิม
ใคร ๆ ก็ต้องไม่อยากให้คนที่ชอบป่วยบ่อย ๆ หรอก จริงไหม”
“ทั้ง
ๆ ที่จน ๆ แทบไม่มีเงินกินข้าว พี่ชายก็ยังจะซื้อของไปปรนเปรอไอ้เดียวมันอีกเหรอ?”
“โธ่ยิม! ถึงตอนนี้พี่ชายจะมีเงินไม่มาก
แต่ถึงยังไงพี่ชายก็ต้องดูแลน้องเดียวให้ดีให้ได้เหมือนเดิมนั่นแหละ” ชายชาตรีเน้นย้ำจุดยืนที่ตัวเขายึดถือนับตั้งแต่ช่วงแรก
ๆ ที่ก้าวเข้าสู่เส้นทางสายเปย์ให้รูมเมทแจ้งแก่ใจ
ทว่าคนฟังกลับเริ่มไม่มั่นใจว่าระหว่างการไม่รู้สำนึกถึงสถานะทางการเงินอันต่ำเตี้ยเรี่ยดินของคนตรงหน้า
กับสีหน้าท่าทางเคลิบเคลิ้มเพ้อฝันที่อีกฝ่ายแสดงออกยามพูดถึงไอ้เดียวนั้น
อย่างไหนสร้างความหงุดหงิดใจให้กับมากกว่ากัน “แล้วพี่จะทำยังไง? แค่เงินติดตัวสักพันพี่ยังไม่มี
แล้วพี่จะไปดูแลไอ้เดียวมันได้ยังไง?”
“พี่ชายว่าจะยืมเงินพิชญ์ก่อนน่ะ”
“โหพี่! พี่พูดอะไรแบบนี้ออกมาง่าย ๆ ได้ยังไงวะ?!!”
“ทำไมล่ะยิม
ก็ตอนนี้พี่ชายไม่มี แต่ถ้าพี่ชายจำเป็นต้องซื้อของให้น้องเดียวจริง ๆ
พี่ชายก็ต้องหายืมจากคนอื่นก่อนไง”
คำตอบพล่อย
ๆ แบบไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา กอปรกับความรู้สึกไม่พอใจเมื่อต้องทนเห็นสายเปย์กระดี๊กระด๊ายามเจอหน้าเพื่อนสนิททำให้อยู่
ๆ ยิมก็เกิดได้ยินเสียงดังเปรี๊ยะก้องสะท้อนอยู่ในรูหู ก่อนทุกอย่างจะเงียบหายไปพร้อม
ๆ กับฟางเส้นสุดท้ายที่ขาดสะบั้นลง
โชคดีที่ยิมเคยรับใช้หลวงพ่ออย่างใกล้ชิดมาตั้งแต่อายุยังน้อย
เฟรชชี่หน้าหนวดจึงไม่ปล่อยให้โทสะมีอำนาจเหนือทุกสิ่ง เด็กวิศวะสูดลมหายใจหนัก ๆ
พร้อมกับระบายความร้อนในหัวออกอย่างช้า ๆ ก่อนจะเผยความต้องการจากใจจริงออกมาเป็นครั้งแรก
“ผมว่าผมจะไม่ช่วยพี่จีบไอ้เดียวมันแล้วนะ”
“อ้าว! ทำไมล่ะยิม?
ทำไมยิมถึงจะไม่ช่วยพี่แล้วล่ะ?” ชายชาตรีแปลกใจกับสีหน้าตึงเครียดผิดไปจากทุกทีที่รูมเมทแสดงออก
“หรือเมื่อกี๊พี่ชายพูดอะไรไม่เข้าหูยิม? พี่ชายขอโทษนะยิม
ยิมอย่าโกรธพี่ชายเลยนะ”
“ผมไม่ได้โกรธพี่
ผมแค่คิดว่า ถึงผมจะช่วยพี่ไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา สู้ผมเอาเวลาไปตั้งใจเรียน
หรือทำมาหากินดีกว่า”
“ทำไมจะไม่มีประโยชน์ล่ะยิม
ถ้ายิมยอมช่วยพี่ต่อ พี่ก็จะจีบน้องเดียวได้ง่ายขึ้นอีกไง”
“ผมถามพี่จริง
ๆ เหอะ พี่ชอบไอ้เดียวมันตรงไหน?” ยิมเหลืออดกับสีหน้าระรื่นไม่มีสลดของชายชาตรี...
คำก็เดียว สองคำก็เดียว ไอ้เดียวมันกลัวพี่จะตาย นี่พี่ชายยังไม่รู้ตัวอีกหรือไง?!
“ยิมอยากรู้จริง
ๆ เหรอ?” เด็กบริหารปีสามโยนหินถามทางด้วยสีหน้าเคอะเขินจนคนฟังทนดู ทนฟังไม่ไหว
“เพราะหน้าตามันใช่ไหม?”
อาการบิดตัวพลางยิ้มเอียงอายของอีกฝ่ายทำให้ยิมนึกหมั่นไส้จนพรั่งพรูความลับในใจออกมาจนหมด
“ถ้าแค่นั้น ผมแนะนำว่าพี่ควรเลิกชอบไอ้เดียวมันจะดีกว่า เพราะคนอย่างมันไม่มีทางหันมาชอบพี่หรอก”
“ทำไมล่ะยิม?”
“ก็เพราะไอ้เดียวมันสนแต่เปลือกนอกก่อนอย่างอื่นไงพี่
ที่สำคัญ ถ้าผมโดนไล่ออกจากบ้านแล้วเหลือเงินติดตัวไม่ถึงสองพัน
ผมจะเอาตัวให้รอดก่อนเป็นอย่างแรก
ไม่ใช่เที่ยวคอยไล่ตามจีบคนที่เขาไม่มีวันชอบเราเหมือนพี่แน่ ๆ ”
“ทำไมยิมพูดแบบนี้ล่ะ?”
ด้วยความสัตย์จริง จุด ๆ นี้ ชายชาตรีบอกได้เลยว่าเขางงหนักมากจริง ๆ
หาใช่ตั้งใจกวนตีนอีกฝ่ายไม่
“ไม่รู้เหมือนกันโว้ย!” ก่อนจะหลุดปากพูดจาทำร้ายจิตใจคนฟังไปมากกว่านี้
เฟรชชี่หน้าหนวดก็เลือกการเดินหนีไปเฉย ๆ ต่างวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปพลาง ๆ
ทว่ามันกลับสร้างความรู้สึกว้าวุ่นใจให้ชายชาตรีไปเสียนี่
“ทำไมล่ะยิม?
ทำไมยิมถึงต้องพูดแบบนั้นกับพี่ชายด้วย?” การต้องรับฟังความจริงอันน่าเจ็บปวดทำให้ชายหนุ่มหน้าเข่าสับสนจนเสียศูนย์
ครั้นจะบอกตัวเองให้ไม่เชื่อ เขาก็ดันทำไม่ได้ เพราะนอกจากเพื่อนสนิทอย่างยิม คงไม่มีใครรู้จัก
หรือรู้ใจน้องเดียวดีไปกว่านี้อีกแล้ว...
ยิมจะตอกย้ำทำไม?
ใจคออีกฝ่ายจะไม่ปล่อยให้เขาได้ฝันถึงน้องเดียวต่อไปอีกสักนิดนึงเลยเหรอ?
$$$$$$$$
“ขอบใจนะยิม”
แทนที่คนช่วยจัดร้านเตรียมพร้อมสำหรับต้อนรับลูกค้าจะยิ้ม ส่งสายตา หรือตอบโต้อะไรสักอย่างออกมาให้เป็นกิจลักษณะ
ยิมกลับเดินผ่านหน้าชายชาตรีเลยเข้าครัวไปแบบไม่เห็นหัวจนปาณัธเองยังอดสงสัยไม่ได้
“มึงไปทำอะไรให้ไอ้ยิมมันโกรธวะชาย?”
“ชายเปล่านะครับพี่ผึ้ง”
สายเปย์ส่ายหน้าเป็นพัลวัน ใช่จะมีแต่พี่ผึ้งเสียหน่อยที่สงสัยกับอาการไม่พูดไม่จาของยิม
เขาเองก็รู้สึกเหงาไม่น้อยเมื่อต้องชวนรุ่นน้องคุยเป็นต่อยหอยอยู่ฝ่ายเดียว
“ก็ถ้าไม่ใช่มึงแล้วจะเป็นใคร
กูเห็นวัน ๆ มันก็วุ่นอยู่แต่กับมึงแค่คนเดียว” ยิ่งชายชาตรีส่ายหัวหนักข้อมากขึ้นเท่าไร
ตัวอ่อนมนุษย์ป้าก็ยิ่งดูจะไม่พอใจกับอวัจนะภาษาที่คู่สนทนาแสดงออกมากขึ้นเท่านั้น
“ไหนมึงลองเล่ามาซิว่าเมื่อตอนกลางวันมันเรียกมึงไปคุยเรื่องอะไร?”
“อ๋อ
ยิมบอกผมว่าจะไม่ช่วยผมจีบน้องเดียวแล้วครับ”
“แค่นั้น?”
จวบจนถึงคำถามข้อนี้
ชายชาตรีก็ยังไม่หยุดส่ายหัวป้อย ๆ “ก่อนหน้านั้นยิมถามชายว่าชายจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อของบำรุงให้น้องเดียวน่ะครับ”
“แล้วมึงตอบมันไปว่า?”
“ชายบอกว่าชายจะยืมเงินพิชญ์ซื้ออาหารบำรุงให้น้องเดียวไปก่อนเพราะตอนนี้ชายยังไม่มีเงินน่ะครับ”
“โห่ไอ้ชาย! มึงนี่มันจนแล้วไม่เจียมจริง ๆ เล้ยยย! มิน่า ไอ้ยิมมันถึงไม่ยอมคุยกับมึง ลองเป็นกูสิ
กูจะสวดมึงให้ยับแล้วจับมึงมาตบ ๆๆๆ ให้เลิกคิดเรื่องคบกับไอ้เด็กนั่นเลยคอยดู” ไม่พูดเปล่า
เพราะปาณัธฟาดต้นแขนเพื่อนสนิทราวกับกำลังตบไล่ฝุ่นออกจากหมอนหนุน
“โอ๊ย! ๆๆๆ ชายเจ็บครับพี่ผึ้ง!” เมื่อแน่ใจว่าฝ่ามืออรหันต์ของเพื่อนสาวย้ายกลับไปหาเจ้าของเป็นที่เรียบร้อย
สายเปย์ก็ตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม “ทำไมพี่ผึ้งพูดเหมือนพี่ผึ้งไม่สนับสนุนชายกับน้องเดียวเลยล่ะครับ?”
“ก็ถ้าไอ้เด็กการ์ตาร์นั่นมันสนใจมึงได้สักครึ่งนึงของไอ้ยิมกูจะไม่ว่าเลยสักคำ”
“พี่ผึ้งคิดอย่างนั้นเหรอครับ?”
แม้คำตอบของปาณัธจะช่วยชี้ช่องให้คนฟังยิ่งมองเห็นความจริงได้แจ่มชัดยิ่งขึ้น แต่ชายชาตรีก็ยังไม่อาจตัดใจจากว่าที่เหนือชายได้ร้อยเปอร์เซนต์
“ก็ใช่น่ะสิ”
รุ่นพี่ในวงการร้านข้าวต้มถอนหายใจหนักหน่วงด้วยความเป็นห่วงเพื่อนหน้าเข่าอย่างสุดซึ้ง
“นี่ชาย กูถามจริง ๆ เหอะวะ ทุกครั้งที่มึงเจอไอ้เด็กนั่นน่ะ มึงไม่เห็นหรือไงว่ามันจ้องจะหนีมึงท่าเดียว”
“...”
“นี่ยังไม่นับหน้าตาเหมือนคนอยากตายตอนที่มันเห็นมึงอีกนะ”
ปาณัธไม่ได้ตาบอด และหล่อนก็หวังให้ชายชาตรีเลิกบ้าได้แล้ว “ชาย ถ้าไอ้เด็กนั่นมันรู้สึกอะไรกับมึง
มันจะไม่ไปนั่งหลบมุมอยู่หลังไอ้พิชญ์อย่างเมื่อกลางวันหรอก”
“...”
“ที่สำคัญ
เมื่อไรมึงถึงจะเลิกใช้เงินเปย์ผู้ชายเสียทีวะ? ฮะชาย ต้องรอให้ไม่มีข้าวกินก่อนหรือไงถึงจะคิดได้?”
“...”
“นี่มึงยังไม่รู้ตัวอีกหรือไงว่ามึงไม่มีสมบัติเอาไว้ให้ผลาญเล่นเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วนะ
หรือมึงจะซมซานกลับบ้านไปให้คุณชายพ่อมึงสมน้ำหน้าเอาก่อนจะหาผัวเป็นตัวเป็นตนได้
ฮึ เอาอย่างนั้นไหม?!”
“ชายคิดได้แล้วครับพี่ผึ้ง
พี่ผึ้งอย่าด่าชายอีกเลยนะครับ ชายขอโทษ ชายผิดไปแล้ว” อดีตคุณหนูส่ายหัวดิกเมื่อยาขมที่ปาณัธจัดให้
เตือนสติเขาได้ชะงัดดีเสียจริง
ชายจะไม่กลับบ้านจนกว่าจะหาว่าที่เหนือชายได้!
ชายจะไม่เพ้อหาน้องเดียวอีกแล้ว
หมดเวลาเพ้อฝันถึงคนที่ไม่เคยเหลียวแลชายเลยสักครั้ง!
ต่อจากนี้
ชายจะตั้งหน้าตั้งตาหาคนดี ๆ ที่รักชายในแบบที่ชายเป็นจริง ๆ เสียที
“ขอให้คิดได้จริงเหอะ
อย่าให้กูรู้ทีหลังว่ามึงสักแต่พูดส่ง ๆ เพราะไม่อยากโดนกูด่าเชียวนะ” เสียงของปาณัธที่ดังแทรกขึ้นกลางคันทำให้สายเปย์หลุดออกจากภวังค์ทั้ง
ๆ ที่ยังอาลัยอาวรณ์ใบหน้าครึ้มหนวดที่ติดอยู่ในหัวไม่จางหาย
“โหพี่ผึ้ง! ชายคิดได้จริง ๆ นะครับ”
“หึ! ถ้าคิดได้จริงก็รีบไปขอโทษไอ้ยิมเสียสิ
ขืนมึงชักช้า มันอาจจะน้อยใจจนไม่ยอมคุยกับใครอีกเลยก็ได้นะ”
“เป็นอะไรของมึงเนี่ย?
หน้ายั้งตูด”
นี่หรือคือประโยคทักทายที่เราควรจะใช้กับเพื่อนร่วมงานเพียงคนเดียวของตัวเอง?
แต่ชายร่างคล้ายกระปุกตั้งฉ่ายชื่อโจซึ่งเพิ่งย่างกรายเข้ามาในครัวเป็นครั้งแรกของวันจะสนอะไรล่ะ
ในเมื่อคู่สนทนาดีแต่ส่งสายตาอำมหิตกลับคืนมาให้โดยไม่เคยพูดจาอะไรให้เขาต้องเจ็บช้ำน้ำใจเลยสักครั้ง
“...”
“ฮั่นแน่! กูรู้แล้ว!” ที่สุดแล้ว
สีหน้าบึ้งตึงของอีกฝ่ายก็ทำให้โจนึกอะไรออก แต่แทนที่จะปลุกปลอบรุ่นน้องดี ๆ
พ่อครัวใหญ่ประจำร้านกลับกวนน้ำให้ยิ่งขุ่นไปกันใหญ่
“...♫♪ เมียพี่มีชู้... ชาวบ้านเขารู้ กันทั่ว
แต่ตาพี่ถั่วเหลือทน รักละลาย เมื่อปลายหน้าฝน ♩ ต้องหนาวตรม ยอมทนหนาวทรวง เมียพี่มีชู้....
♪ คนเขารู้ กันเกร่อ ซื่อจนเซ่อเลยช้ำทรวง
อกเอ๋ยพ่อควายจงใจประท้วง ทั้งห่วงทั้งหวง แม่ไก่งวง ตัวงาม ♫ กรู้ววว!!...”
“เฮ่อ!”
“ชอบเขาก็บอกเขาไปสิวะ
หรือมึงอยากจะเป็นหมาคอยวิ่งไล่เห่าเครื่องบินไปวัน ๆ แล้วก็เก็บเอาหน้าเขาไปฝันเปียกทุกคืน
ๆ ?”
“...”
แววตาวูบไหวที่บ่งบอกว่าผู้ฟังกำลังจดจ่อกับทุก
ๆ ถ้อยคำเมื่อสักครู่เรียกรอยยิ้มของโจได้อยู่หมัด พ่อครัวใหญ่ย่างกรายเฉียดเข้าใกล้ ๆ ร่างสูงใหญ่ของมือขวาประจำตัวก่อนจะกระซิบกระซาบความลับระดับชาติให้ฟังอย่างไม่นึกหวง
“ซื่อ
ๆ อย่างไอ้ชายน่ะ ใคร ๆ ก็ดูออกว่าหลอกง่ายแค่ไหน ขืนมึงมัวแต่มองอย่างเดียว วันดีคืนดี
มันอาจจะวิ่งรี่ตามแมงดาหน้าหล่อไปนอนอ้าขารอให้มันขย่มจนคลานก็ได้
มึงว่างั้นไหมล่ะ?”
ประโยคกระแทกใจของโจทำเอาคนฟังเผลอกำหมัดแน่นเสียจนเส้นเลือดตามหลังมือและแขนปูดโปนจนดูน่ากลัว
แต่ใครเลยจะรู้ว่า ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้น มีความคิดอะไรแตกตัวและเติบโตตามเสียงยุแหย่ไปแล้วบ้าง
$$$$$$$$
“ยิม
พี่ชายขอโทษนะ”
“...”
ใบหน้าตลก ๆ เหมือนควายตกถังแป้งไม่อาจะทำให้ยิมหัวเราะได้เหมือนเมื่อสองคืนก่อน
ซ้ำร้าย ดูเหมือนว่าเจ้าของห้องจะชิงเดินหนีรุ่นพี่ไปหยุดยืนตรงอีกฟากฝั่งของห้องอยู่ตลอดเสียอีก
“ฮื่อยิม
ยิมคุยกับพี่ชายหน่อยสิ ถ้ายิมไม่ยอมคุยกับพี่ชาย คืนนี้พี่ชายคงนอนไม่หลับแน่ ๆ ”
“นอนได้แล้วพี่
ผมจะปิดไฟ”
“ยิม
ยิมยั...”
รอบนี้ดูเหมือนยิมจะไม่หือไม่อืออะไรทั้งนั้น
เพราะทันทีที่สิ้นประโยคฟังห่างเหินของเจ้าตัว ความมืดมัวก็กลืนกินทุก ๆ
ตารางนิ้วของห้องโดยพลัน จากนั้นไม่นาน ฟูกนอนตรงอีกฟากฝั่งก็โดนน้ำหนักตัวของเฟรชชี่ร่างยักษ์โถมเข้าใส่
เพื่อที่อีกฝ่ายจะนอนหันหลังให้โดยไม่พูดอะไรอีก
ทั้ง
ๆ ที่ตั้งใจมั่นว่าจะไม่ยอมนอนจนกว่าจะเคลียร์กันได้ กลับกลายเป็นว่าฝ่ายซึ่งจำใจนอนอย่างเสียไม่ได้
โดนมนตราของที่นอนใยมะพร้าวกล่อมจนหลับไหลไปก่อนคนหน้าหนวดนอนข้าง ๆ ที่ยังเบิกตาโพลงมองเพดานพลางคิดงุ่นง่านถึงอาการแปลก
ๆ ของตัวเองอยู่ไม่คลาย
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
ความในใจทิ้งท้ายตามสไตล์ชายชิค ๆ :
คุณพ่อชายหล่อ ฉลาด ขยัน และรักครอบครัวมาก
ส่วนคุณแม่ ท่านบอกชายว่า แรก ๆ ท่านก็แค่สวยกับรวยไปวัน ๆ
เท่านั้น
ท่านเพิ่งเทิร์นโปรฯ เป็นอมตะหลังได้กับคุณพ่อนี่แหละ
ถ้าโจทย์คือการเป็นอมตะที่หล่อและเก่งกาจรอบด้าน
คำตอบคือชายต้องไปล่อลวงเด็กประถมหน้าบ้าน ๆ มาเป็นแฟน
เพื่อให้เวลาเดินควงด้วย ชายจะได้ทั้งหล่อกว่าและเป็นอมตะไปพร้อม ๆ
กัน อย่างนั้นถูกไหม?
$$$$<| TBC |>$$$$
No comments:
Post a Comment