#35
มาดก็น่าลุ้นหุ่นก็เจ๋งแจ๋ว เชื่องดังแมวง่วงนอนในกุฎิ
ให้คนมือแปขูดมะพร้าวนิด บีบกะทิเมื่อไรจะได้มัน
ก็ตัวรักเขาเฝ้าแต่มองตา ห่างตั้งวาสองวา โถยังขาสั่น
เกิดมาเป็นชายถ้ามัวอายกัน อีกกี่วันจะได้ เจาะไข่แดง
กระแซะเข้ามาซิ - พุ่มพวง ดวงจันทร์
…………………………………………………………………………………………………………
ผมรู้สึกตัวตื่นเพราะความรู้สึกกึ่งร้อนกึ่งคันยุบยิบแปลก
ๆ
สงสัยพี่หนาวจะกอดผมแน่นเกินไป
เหงื่อเลยออกจนไม่สบายตัว
แต่ทุกทีก็แบบนี้ ทำไมอยู่ ๆ ก็เพิ่งมารู้สึก...
เอ หรือไฟดับ แอร์เลยไม่ติด
พอใจมันปักธงนำหน้า ผมเลยผงกหัวขึ้นแล้วปรือตามองหน้าปัดแอร์บนผนังห้องอย่างหงุดหงิด
แต่เพราะง่วงจนขี้เกียจคลำหาแว่น ผมเลยยกแขนพี่หนาวขึ้น เขยิบไปนอนห่าง ๆ
ลุงแกสักหน่อยแล้วค่อยหลับตานอนต่อ จังหวะกำลังจะผล็อยหลับ
หูผมก็ได้ยินเสียงสวบสาบดังขึ้นใกล้ ๆ จากนั้นความรู้สึกอึดอัดเหมือนถูกงูเหลือมรัดก็หวนคืนมาใหม่
เอ๊ ลุงนี่... กลัวผมหายนักหรือไง
ถึงได้ตามมากอดอยู่นั่น
ผมอมยิ้มกับตัวเองอย่างย่ามใจหลังโดนเพื่อนร่วมเตียงดึงตัวเข้าไปกอดอีกจนได้
พอเคลิ้ม ๆ จวนจะหลับ (อีกรอบ) คนข้าง ๆ ก็หอมแก้ม พรมจูบไปทั่วหน้าแต่มักจะวนเวียนอยู่แถว
ๆ ริมฝีปากผมคล้าย ๆ ลังเล รู้แบบนั้นผมเลยเบี่ยงหน้าหันกลับไปจูบตอบเสียเลย
สิ้นเรื่อง...
ถึงจะย้ายมาอยู่ด้วยกันเต็มเวลา แต่ช่วงที่ตื่นเต็มตาและมีสติครบถ้วน
เราสองคนก็ไม่เคยก้าวหน้าถึงขั้นกอดจูบ ยิ่งเล้าโลมจริงจังนี่เลิกหวังไปได้เลย เหตุผลน่ะเหรอ...
หึ มีสิ
ถ้าตัดเรื่องที่ผมป๊อดออกไป ที่เหลือก็น่าจะเป็นเพราะปลาวาฬยังคงเห่อผมไม่หาย
พอส่งแกเข้านอนเสร็จปุ๊บ ผมกับพี่หนาวก็คลานขึ้นเตียงแล้วสลบปั๊บ ตื่นมาอีกทีก็
ปิ๊ง! ได้เวลาเริ่มลูปวันใหม่วนไปอีกครั้ง
แต่พูดก็พูดเถอะ ที่ผมยังอดทนครองพรหมจรรย์ (ครั้งที่สอง) ได้โดยไม่โดนไฟราคะคลอกตาย
ก็เพราะช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่นระหว่างคืน พี่หนาวมักจะละเมอนัวผมบ่อยเสียจนอดคิดไม่ได้ว่า
หรือที่ผ่านมา ลุงแกจะอัดอั้นอย่างหนัก ร่างกายเลยต้องแอบระบายความใคร่เอาตอนหลับลึกอะไรแบบนี้
อ๊ะ!
ไม่ทันส่งเสียง พี่หนาวก็ปิดปากผมด้วยปาก แถมยังมือซนล้วงเข้ามาในเสื้อนอนผมเสียอีก
จูบนี้รสร้อนแรงแฝงความเอาแต่ใจเต็มเปี่ยม
หน้าท้องกับแผ่นอกที่โดนสัมผัสปลุกเร้าก็ร้อนผ่าวคล้ายโดนไฟลวก แม้ไม่ตั้งใจ แต่ผมกลับส่ายเอว
บิดไปมาจนเนื้อตัวเราเสียดสีกันยิ่งกว่าเดิม พอผมดิ้นเร่า พี่หนาวก็ส่งเสียงครางในลำคอแล้วขยี้ยอดอกกันเต็มแรงเหมือนมันเขี้ยว
บุญบาป ผมว่า... ผมต้องได้แล้วแหละ
ลุงไซด์ไลน์ยืนยันความเชื่อที่ว่าทันที
เขาผุดลุกขึ้นนั่งแล้วเอี้ยวตัวไปหยิบถุงยางกับเจลตรงลิ้นชักหัวเตียง
จากนั้นจึงรีบร้อนถอดเสื้อผ้าออกก่อนจะปอกเปลือกผมต่อ พอรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
หัวใจผมก็เต้นโครมคราม หัวสมองหมุนติ้วเป็นลูกข่าง เราจูบกันจนผมตาลาย มือไม้อ่อน ถึงจะไม่ใช่ประสบกามครั้งแรก
แต่เพราะอีกฝ่ายคือพี่หนาว ความตื่นเต้นเลยยิ่งทวีคูณ พอเขาผละจูบทีไร ผมเป็นต้องหลับหูหลับตาฮุบอากาศ
สูดลมหายใจเหมือนคนไม่เป็นงานไปเสียทุกรอบ
“ทูครับ” พี่หนาวกดปลายจมูกกรอกเสียงข้างหูผม
ลำพังพูดใกล้หูน่ะไม่เท่าไร แต่หางเสียงกระเส่ากับลมหายใจร้อน ๆ ที่ขาดเป็นห้วง ๆ
นั่นกำลังทำให้ผมเป็นบ้า “อีกเดี๋ยวก็เช้าแล้ว สัญญากับพี่ก่อนว่าทูจะไม่ส่งเสียง”
ผมพยายามหรี่ตาเพ่งมองหน้าคู่สนทนาในความมืด “ให้ผมเงียบตลอดเลยเหรอครับ”
เวร เสียงผมตอนนี้แหบสะเด็ดยิ่งกว่าเป็ดป่วย
ขืนครางออกไปจริง ๆ จากที่ตั้ง ๆ คงเหี่ยวหมด
“ครับ เดี๋ยวปลาวาฬตื่น” พี่หนาวคงรู้ว่าผมเห็นหน้าแกไม่ชัดเลยยื่นหน้าเข้ามาใกล้
ไม่เท่านั้น เจ้าตัวยังยิ้มหวานใส่กันเสียอีก “ได้ไหมครับ”
ต่อให้เวลานี้ภายในห้องจะยังคงมืดสลัวคล้ายกลางคืน
แต่ลองแชมป์ตื่นก่อนใครในบ้านรับรองเวลา ผมก็เชื่อสุดใจ
ผมพยักหน้ารับแล้วกวาดตามองใบหน้าเปื้อนยิ้มของเขาอย่างหลงใหล...
ผู้ชายคนนี้กำลังจะกลายเป็นของผมโดยสมบูรณ์
สาบานเลยว่า ต่อให้โดนพ่อรูปหล่อจิ้มจนเข่าทรุด
ผมก็จะไม่หลุดปากร้องสักแอะ
“เด็กดี”
พี่หนาวคลี่ยิ้มให้ผมดูเร็ว ๆ อีกที ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะย้ายลงไปประทับลงตรงซอกคอ
แล้วไล่ลงต่ำไปเรื่อย ๆ มือทั้งสองข้างของเขาคลึงเคล้นบีบนวดตัวผมจนอ่อนระทวย
ยิ่งเมื่อเผลอนึกภาพขณะหลังมือกับเส้นเลือดปูดโปนลูบไล้ตัวผมจากแนวสีข้างย้อนขึ้นมายังผิวอ่อนใต้วงแขนแล้วบดขยี้หน้าอกอย่างจงใจ
ผมก็เชิดหน้า แอ่นร่างท้าทายทุกสัมผัสอย่างลืมอาย จวบจนเมื่อรู้สึกเย็นวาบพร้อม ๆ
กับเสียวซ่านตรงกึ่งกลางลำตัว ผมก็เด้งขึ้นจากที่นอนทันควัน
เฮ้ยพี่หนาว อย่า!.. ตรงนั้นมันฮาร์ดคอร์ไป๊
ก่อนผมจะหวีดร้องโวยวาย
อีกฝ่ายก็ดันปลายนิ้วเข้าปากผมแล้วตวัดสายตาขึ้นส่งข้อความ... อ้อ ห้ามส่งเสียงสินะ
แต่มันจะดีเหรอ
ผมส่ายหัวพลางส่งสายตาอ้อนวอน อีกฝ่ายกลับเพียงหรี่ตาเป็นเส้นโค้งแล้วกวาดปลายนิ้วไล่หนีบลิ้นผมเล่น
ในเมื่อพี่หนาวไม่เดือดร้อน ผมจึงดูดปลายนิ้วเขาเบา ๆ บอกเจ้าตัวว่าผมพร้อมจะทำตามสัญญา
ต่อให้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้จะน่าอายและเสียดเสียวสิ้นดี
ภาพพี่หนาวขณะทอดสายตาจ้องมองผมคล้ายอยากจะกลืนกินกันทั้งที่เจ้าตัวกำลังหม่ำ
‘ผม’ อยู่จริง ๆ ทำเอาสติสตังที่ยังพอเหลือกระจัดกระจาย
ทุกอย่างจึงจบลงในระยะเวลาไม่นาน แต่แทนที่จะเบาใจสบายตัว ผมกลับแทบสำลักน้ำลายเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกลืนซากความสุขของผมลงคอไปเสียแล้ว
ผมฉุดพี่หนาว ดึงตัวเขาขึ้นมาจูบเป็นพัลวัน ในใจหวังให้น้ำบ่อน้อยช่วยเจือจาง
หรืออย่างน้อย ๆ ก็ช่วยทำให้เขาลืม ๆ มันไปเสีย
ลุงไซด์ไลน์หัวเราะร่วนในลำคอก่อนจะต้อนจูบผมจนงอมพร้อม ๆ
กับส่งนิ้วมือที่ถูกเลียจนโชกชุ่มเข้ามาในตัวอย่างช้า ๆ ถึงอย่างนั้น ความรู้สึกหวามไหว
รุ่มร้อนจนใกล้แหลกลาญที่ปลายนิ้วนำพา กลับเทียบตัวตนของพี่หนาวที่ค่อย ๆ คืบเข้ามาแทนที่ในภายหลังไม่ได้เลย
นี่ผมไม่ได้เผลอสั่งยาอกฟูรูฟิตมาเคี้ยวเล่นใช่ไหม
ทำไมข้างล่างถึงได้เสียดตึงเหมือนเพิ่งโดนพรากจิ้น...
ผมสูดลมหายใจเข้าออกยาว ๆ พยายามลูบไล้ตัวเองให้ผ่อนคลาย
พี่หนาวไม่ได้ขยับตัวทันที เขาย้ำจูบย้ำหอมไปทั่วหน้าพลางเลื่อนมือลงกุมเหนือมือผม
แรก ๆ ก็แค่นำจังหวะให้ แต่หลัง ๆ อุ้งมือสากนิด ๆ นั่นก็เข้าควบคุมสถานการณ์แบบเบ็ดเสร็จ
“เหมาะมือพี่ที่สุด” ลุงไซด์ไลน์ยิ้มล้อ สาบานได้ว่าถ้าไม่เห็นว่าอีกฝ่ายรีบกัดฟันข่มความรู้สึก
ผมคงเขินจนพลั้งมือหยิกคนแก่เข้าให้ แต่เพราะรู้ดีว่าพี่หนาวรู้สึกยังไง ผมก็ทำร้ายเขาไม่ลง...
ทั้งที่เราต่างก็ทรมานไม่แพ้กัน แต่เขากลับยอมฝืนตัวเองเฝ้ารออย่างอดทน ผมเลยบีบต้นแขนพี่หนาวแล้วพยักหน้าเชื้อเชิญ
“คนดีของพี่” พี่หนาวยิ้มพลางเลื่อนสองมือขึ้นประคองแก้มผมแล้วบรรจงจูบไปทั่วหน้า
จากนั้นเราก็โถมตัวเข้าโอบกอดซึ่งกันและกันครั้งแล้วครั้งเล่า เขาจูบผม ส่วนสองมือก็ลูบไปตามเนื้อตัว
ยิ่งพอรู้ว่าส่วนไหนที่ทำให้ผมครางหวิวได้ พี่หนาวก็ยิ่งเอาใจใส่
บางสัมผัสฉุดดึงผมให้จมดิ่งลงสู่ห้วงความหฤหรรษ์เกินบรรยาย แต่ในบางครั้งกลับเหวี่ยงผมลอยคว้างกลางอากาศก่อนจะปล่อยให้ร่วงหล่นยาวนาน
ความรู้สึกที่เขาหยิบยื่นให้ทั้งหมดนั้นมันยากเกินบรรยาย
ผมจึงทำได้เพียงเม้มปากพลางปรือตามองอีกฝ่ายแล้วระบายทุกอย่างลงบนผืนผ้าปูที่นอนเท่านั้น
จริงอยู่ว่าแม้ผมจะเป็นฝ่ายถูกรุกราน แต่กลับกัน
ผมเองก็ได้โอบอุ้มตัวตนทั้งหมดของพี่หนาวเอาไว้ภายใน ซึ่งดูเหมือนมันจะยังไม่พอ
เพราะ ณ จุดหนึ่ง เขาก็จับปลายขาข้างหนึ่งของผมขึ้นพาดไหล่ แล้วตักตวง รีดเค้น
ฝังตัวเองเข้าหาผมอย่างหนักหน่วง จนที่สุดแล้ว เราก็ก้าวข้ามจุดสูงสุดของอารมณ์โดยพร้อมเพรียงกัน
หลังจากพักหายใจหายคอ คุณแฟนรูปหล่อก็พลิกตัวลงมานอนกอดผม
แถมยังเขี่ยปากผมเล่นเสียอีก “ไหนลองยื่นหน้ามาซิ ขอพี่ดูปากหน่อยครับ”
“หืม?” ผมเงยหน้า ช้อนตาขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างงง ๆ
พี่หนาวเลยยิ้มหล่อกระแทกตาให้ดูใกล้ ๆ
“เมื่อกี้แฟนพี่เม้มปากตลอดเลย
ไม่รู้เผลอกลืนปากลงท้องไปแล้วหรือยัง”
โอ้โหลุง ทำไมร้าย
“พี่หนาว!” ผมถลึงตาใส่แล้วขยำต้นแขนคนสูงวัยไปทีหนึ่ง
แทนที่จะสลด ลุงไซด์ไลน์กลับฉีกยิ้มกว้างพลางคว้าตัวผมขึ้นมานอนทับกันแถมยังมีหน้ารัดเอวผมไว้แน่นเสียอีก
“ชู่วว์ ไม่เสียงดังสิครับ เดี๋ยวลูกตื่น” พอผมตั้งท่าจะอ้าปากชี้แจงข้อกล่าวหา
พี่หนาวก็โน้มคอดึงผมเข้าไปหาแล้วกระซิบข้างหูผมอย่างอารมณ์ดี “ถ้าปลาวาฬไม่อยู่ พี่จะตามใจทูเต็มที่เลยนะครับ”
อื้อหือ... เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ
ที่บอกว่าตามใจเต็มที่ แปลว่าถ้าขอแบบหลุดโลก
หลากสถานที่ พี่หนาวก็จัดได้งั้นสิ
ผมเอียงคอ เลิกคิ้วมองหน้าอีกฝ่าย
แอบถามผ่านสายตาไปว่า ‘จริงอะ’
“Cross
my heart, baby” พี่หนาวพูดแล้วก็จูบผม จูบเสร็จยังหอมแก้มตามอีกหนึ่งฟอดใหญ่
“So, are we good?”
ได้ยินแบบนั้น ผมก็ซุกหน้าซ่อนยิ้มกับซอกคออีกฝ่ายก่อนจะผงกหัวหงึกหงักจนลุงไซด์ไลน์หัวเราะร่วน
••••••
ตามปกติแล้ว วันอาทิตย์เป็นวันที่ร้านดอกไม้ปิดทำการ
แต่เพราะมีขาประจำคอยมาเล่นกับแมวแทบทุกวัน คเชนทร์เลยมักจะเปิดประตูกระจกบานเล็กด้านหน้าร้านไว้รอต้อนรับเด็กชายเสมอ
ด้วยเหตุนี้เอง อาคันตุกะคนอื่น ๆ ซึ่งคุ้นเคยกับคเชนทร์และสถานที่เป็นอย่างดีจึงสามารถเดินดุ่ม
ๆ เข้าด้านในได้โดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า
“ลุงเชนสวัสดีค่ะ” ทรัพย์สมุทรหยุดวิ่งเพื่อยกมือไหว้เจ้าของร้านดอกไม้โดยเฉพาะ
ด้านหลังเด็กหญิงคือคิมหันต์กับทิวัตถ์ที่กำลังยืนอมยิ้มภูมิใจเมื่อเห็นลูกสาวทักทายเจ้าของร้านดอกไม้อย่างมีสัมมาคารวะ
“สวัสดีครับคนสวย” เด็กหญิงยิ้มกริ่มพลางบิดตัวไปมา
เห็นเจ้าตัวเล็กชำเลืองมองหาเพื่อนสนิท
คเชนทร์จึงชี้นิ้วนำสายตาอีกฝ่ายให้มองไปยังมุมหนึ่งของร้าน เพราะแมวสองตัวแอบไปหลบอยู่ตรงนั้น
กาลกมลจึงตามไปขลุกอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ช่วงสาย ๆ
“คุณเชน สวัสดีครับ”
“คุณทู คุณหนาว สวัสดีครับ” พอจบจากคู่พ่อ
หนุ่มผมยาวก็ก้มลงเจรจากับเด็กหญิงด้วยความสนอกสนใจเป็นพิเศษ “ปลาวาฬมาเล่นกับเวลาเหรอครับ”
หากการที่กาลกมลไม่แวะมาเล่นแมวคือเรื่องแปลก
เสาร์อาทิตย์ไหนที่ทรัพย์สมุทรโผล่มาสร้างสีสันให้ร้านดอกไม้ ก็ควรนับเป็นเรื่องมหัศจรรย์สำหรับเจ้าบ้านไม่ต่างกัน
“ใครน้าบอกอาทูว่าอยากแวะมาเล่นกับเวลา...”
ก่อนเด็กหญิงจะตอบคำถาม ทิวัตถ์ก็ร่วมผสมโรงทั้งซักทั้งแซวเจ้าตัวเล็กด้วยอีกคน
“ปลาวาฬเองค่ะ” ทรัพย์สมุทรยิ้มยิงฟันแล้วชูมือขึ้นสุดแขนอย่างร่าเริง
“ปลาวาฬขอไปเล่นกับเวลาก่อนนะคะ” เมื่อเห็นเหล่าผู้ใหญ่พยักหน้าให้ ปลาวาฬก็วิ่งถลาเข้าไปหาเพื่อนสนิทที่นั่งจุมปุ๊กอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง
อดีตนางโชว์ทอดสายตามองพวกเด็ก ๆ อยู่เนิ่นนานก่อนจะถูกเสียงทุ้มของคิมหันต์ดึงดูดความสนใจ
“รบกวนคุณเชนด้วยนะครับ”
“ยินดีครับ เชิญนั่งก่อนครับ” หนุ่มผมยาวเดินนำชายหนุ่มทั้งสองไปยังโซฟา
“ดื่มน้ำอะไรดีครับ น้ำเปล่า ชาเขียว หรือน้ำผลไม้”
“ให้ผมช่วยดีกว่าครับ
คุณเชนจะได้ไม่เหนื่อย” ทิวัตถ์เสนอตัวแข็งขัน
“ไม่เป็นไรครับ”
“เถอะครับ”
แม้จะอยากรักษามารยาทเจ้าบ้านที่ดีสักแค่ไหน
แต่ลองว่าต้องต่อกรกับรอยยิ้มเจิดจ้าและสายตามุ่งมั่นใต้แว่นกรอบหนาเหมือนลูกหมามองเจ้าของ
เป็นใครก็ต้องใจอ่อนกันทั้งนั้น “ก็ได้ครับ”
“วันนี้คุณทูดูอารมณ์ดีจังเลยครับ” เห็นทูยิ้มไม่หุบ
คเชนทร์จึงอดทักขึ้นไม่ได้
หนุ่มแว่นยื่นมือไปรับแก้วแล้วเหลือบมองคนข้างตัวอย่างเลิ่กลั่ก
“เหรอครับ”
อย่าบอกนะว่าคุณเชนดูออก...
หรือเมื่อกี้อีกฝ่ายจะเห็นตอนเขาแอบหรี่ตาทำหน้ายั่วเยใส่พี่หนาวเข้าพอดี?
“ครับ...” เจ้าถิ่นวางแก้วทรงสูงในมือลงแล้วนึกทบทวนในใจ
จากนั้นจึงพยักหน้ารับรองความถูกต้องของข้อมูล “...ตั้งแต่เดินเข้ามา
คุณทูก็ยิ้มหวานตลอดเลยครับ”
ทูชิงหยิกแก้มทั้งสองข้างของตัวเองทันควันเพราะไม่อยากหลวมตัวคลี่ยิ้มรับข้อสันนิษฐานอย่างหน้าชื่นตาบาน
คอนซัลท์หนุ่มเสมองไปอีกทางพลางเฉไฉทั้งที่พวงแก้มยังแดงปลั่งคล้ายกำลังจับไข้ “คุณเชนมีน้ำแข็งหรือเปล่าครับ”
อากาศวันนี้ร้อนแห้งแถมแดดยังแรงคล้ายไม่ใช่หน้าฝน
คิมหันต์กับทูจึงชวนทรัพย์สมุทรทำกิจกรรมเบ็ดเตล็ดอยู่ในบ้านจนถึงบ่ายสามโมง จากนั้นทั้งหมดก็โยกย้ายฐานที่มั่นมายังร้านดอกไม้ตามที่รับปากกันเอาไว้
ทิวัตถ์จึงอยากเตรียมน้ำผลไม้เย็น ๆ เป็นรางวัลแก่เด็กหญิงคนเก่งที่เดินฝ่าความร้อนร่วมยี่สิบนาทีโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ
“มีครับ อยู่ในช่องฟรีซ
คุณทูหยิบถุงออกมาได้เลย”
“เมื่อคืนคุณเชนกลับกี่โมงครับ” ประสาคนมีชนักปักหลัง
ทันทีที่สบโอกาส ทูจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา หารู้ไม่ว่า การถามถึงเรื่องเมื่อคืน ไม่ต่างอะไรกับการยัดเผือกร้อนใส่มือคเชนทร์เข้าอย่างจัง
เพราะภาพเหตุการณ์บนดาดฟ้าที่แว่บผ่านเข้ามาในสมองทำเอาคนฟังใจเต้นตุ๊ม ๆ ต้อม ๆ มือไม้อ่อนจนเกือบทำกล่องน้ำแอปเปิ้ลหลุดมือ
“ห้าทุ่มครับ”
“ขอโทษนะครับที่ไม่ได้อยู่ช่วยเก็บของ”
ทิวัตถ์ค้อมหัว ทำท่าขอโทษขอโพยยกใหญ่
“ไม่เป็นไรครับ” ในเมื่อคู่สนทนาไม่ได้ซักไซ้ซอกแซก
อดีตนางโชว์จึงพลอยเบาใจ ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม ส่ายหัว มองสบตาอีกฝ่ายอย่างเข้าอกเข้าใจ
แม้เจ้าของวันเกิดทั้งสองจะได้โควต้านอนดึก ทว่าหลังจากแกะของขวัญได้ไม่นาน เวลากับปลาวาฬก็สลับกันหาวหวอด
พวกผู้ใหญ่จึงแยกย้ายบ้านใครบ้านมันตั้งแต่ก่อนสี่ทุ่ม
“เอ๊ะ!” คงเพราะอยู่ ๆ หูก็แว่วเสียงของคิมหันต์ หนุ่มแว่นจึงรีบหันกลับไปดูก่อนจะพบว่า
มีคนคุ้นหน้าเพิ่งเดินเข้าร้านดอกไม้มาหยก ๆ นี่เอง “คุณธามมาครับ”
“อ้อ ครับ” คเชนทร์รับคำเสียงเรียบ
ชายหนุ่มคว้าถุงคุกกี้นิ่มมาจัดเรียงใส่จานอย่างพิถีพิถันคล้ายไม่ใส่ใจ ทว่าเพียงได้ยินชื่อเจ้าของร้านขนมปัง
อีกทั้งยังรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังยืนอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน ข้างในก็พลอยว้าวุ่นจนแทบทำหน้าไม่ถูก
“เดี๋ยวผมหยิบแก้วไปเผื่อคุณธามเลยนะครับ”
คนพูดถูมือพลางจัดแจงทุกอย่างเร็วไว ยิ่งทิวัตถ์ดูกระตือรือร้นกับการต้อนรับธามมากเท่าไร
หนุ่มผมยาวก็ยิ่งรู้สึกประหม่าขึ้นอีกหลายเท่า
“ครับ”
จังหวะที่ทิวัตถ์กับคเชนทร์เดินถือถาดออกมานั้น
คิมหันต์กับธามกำลังถ่ามไถ่กันและกันด้วยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป พอเห็นอีกสองหนุ่มเดินตรงมาหา
คู่พ่อม่ายก็เลื่อนกรอบสายตาไปมองอย่างตั้งใจ
“คุณธาม สวัสดีครับ”
“สวัสดีครับ”
“ทำไมวันนี้ปิดร้านช้าจังล่ะครับ”
ทิวัตถ์ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างโอภาปราศรัยก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ คนรัก
“วันนี้มีออร์เดอร์พิเศษครับ
เลยต้องอยู่รอ”
แม้ร้านขนมปังจะปิดหน้าร้าน ไม่ขายปลีกในวันอาทิตย์
ทว่าตั้งแต่เล็กตาย ธามก็เปิดรับออร์เดอร์ของสายส่งขนมปังจนถึงบ่ายโมง เพิ่งจะมีช่วงหลัง
ๆ นี่เองที่เขาเริ่มวางแผนเตรียมการเพื่อปิดร้านทุก ๆ วันอาทิตย์อีกครั้งเพราะอยากให้เวลากับครอบครัวอย่างเต็มที่
“นั่งก่อนสิธาม”
คิมหันต์ผายมือเชื้อเชิญ
“ขอบคุณครับพี่” ธามผงกหัวให้หนาวอย่างสุภาพก่อนจะหันไปจ้องหน้าหนุ่มผมยาวอย่างมีนัยยะ
จวบจนเมื่อสายตาของทั้งคู่สบกัน เจ้าตัวก็พลันนึกขึ้นได้ว่า มารดาได้มอบหมายให้ตนทำอะไรบางอย่าง
“คุณ”
อดีตนางโชว์เลิกคิ้วพลางมองหน้าธามเงียบ
ๆ
“ม้าฝากมาให้” พ่อม่ายรุ่นเล็กปราดเข้าไปหาเจ้าถิ่นพลางยื่นปิ่นโตเถาใหญ่ใส่หน้า
“เมื่อเช้าพี่ผมแวะมารับม้าไปทำบุญ ม้าเลยสั่งกับข้าวมาเผื่อคุณด้วย”
“ไม่เห็นต้องลำบากเลยคุณ” คเชนทร์เหลือบมองปิ่นโตในมืออีกฝ่ายแล้วก็อดเกรงใจไม่ได้
แต่พอจะอ้าปากทัดทาน ธามกลับหิ้วปิ่นโตไปวางบนโต๊ะกินข้าวหน้าตาเฉย เจ้าของร้านดอกไม้จึงยอมทำตัวเสียมารยาท
ปล่อยคิมหันต์กับทิวัตถ์ไว้ตามลำพังที่โซฟาแล้วก้าวฉับ ๆ ตามไปคุยกับคนหน้ามึนให้รู้เรื่อง
“คุณ”
“หืม” พ่อม่ายไม่ได้สนใจ ซ้ำยังไล่เปิดบานตู้เก็บของในครัวคล้ายกำลังมองหาอะไรสักอย่าง
แม้จะสับสนกับท่าที่สุดประหลาดของอีกฝ่าย
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่คเชนทร์อยากทำความเข้าใจในเวลานี้ “ถ้าคุณกลับไปบ้านแล้ว
ฝากบอกอาม่าด้วยว่าทีหลังไม่ต้องซื้อเผื่อผม ผมเกรงใจ อีกอย่าง กับข้าวเยอะขนาดนี้
ผมกินคนเดียวไม่หมดหรอก”
เถาปิ่นโตที่เจ้าของร้านดอกไม้นำมาฝากมีขนาดใหญ่
อีกทั้งยังซ้อนกันหลายชั้น ต่อให้ไม่รู้ว่าภายในบรรจุสิ่งใด
แต่ค่าครองชีพทุกวันนี้ไม่มีทางปรานีเจ้ามืออย่างแน่นอน หนุ่มผมยาวจึงยิ่งลำบากใจเมื่อรู้ว่าหญิงชราจ่ายเงินหลายร้อยเพื่อซื้อของให้ตนโดยเฉพาะ
“เดี๋ยวผมอยู่กินข้าวเย็นที่นี่”
“ฮะ?” คเชนทร์อ้าปากค้างพลางเหลือบมองคู่สนทนาอย่างแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
เมื่อกี้ตาทึ่มบอกว่าจะอยู่กินข้าวเย็นที่นี่งั้นเหรอ
ใครเชิญ?
“เจ้พาม้าไปทำบุญที่เพชรบูรณ์สามวัน” จนป่านนี้
พ่อม่ายก็ยังคงหาก้ม ๆ เงย ๆ หาอะไรบางอย่างไม่เลิก
อดีตนางโชว์เข้าใจสถานการณ์ของครอบครัวธาม
อีกทั้งยังตระหนักถึงความรักที่เด็กชายมีต่อแมวทั้งสองตัวเป็นอย่างดี การสาธยายเรื่องความเกรงใจกับชายผู้ไม่สนใจใครจึงตกไปในที่สุด
“ถ้างั้นผมฝากขอบคุณอาม่าด้วยนะ”
ลองว่าอาม่าไม่อยู่บ้านเสียคน
ไม่เขาก็ธามจะต้องกินข้าวเย็นตามลำพัง ดังนั้น ถ้าต้องทนเหม็นหน้าตาทึ่มนี่เพิ่มอีกวันละสองสามชั่วโมงคงไม่สาหัสเท่าไร
“คุณมีทัปเปอร์แวร์ไหม” ในที่สุด ฝ่ายผู้บุกรุกที่เพียรเดินวนหาของในห้องครัวราวกับเป็นบ้านตัวเองก็ยอมรับความพ่ายแพ้
ธามยืนเท้าเอวพลางชักสีหน้าใส่ตู้บิลท์อินในครัวจนทั่ว
คเชนทร์ลอบถอนใจจากนั้นจึงเปิดตู้ใกล้
ๆ ตัวแล้วหยิบกล่องถนอมอาหารพลาสติกส่งให้ พ่อม่ายรับของแล้วเดินลิ่ว ๆ กลับไปที่โต๊ะ
จากนั้นจึงยกปิ่นโตชั้นบนขึ้นจากเถา ใช้ส้อมที่ลงทุนพกมาจากที่บ้านค่อย ๆ
จิ้มเค้กรูปแมวส้มที่หั่นเป็นชิ้นสวยงามเกือบสิบชิ้นใส่ทัปเปอร์แวร์ แล้วบรรจงปิดฝาอย่างเบามือ
“อันนี้เดี๋ยวค่อยกินตอนสี่โมงแล้วกัน”
“อืม” อ๊ะ!
ท่วงทำนองคึกคักติดหูที่ดังมาจากถนนหน้าร้านทำเอาหนุ่มผมยาวชะงักไป
ถ้าเขาจำไม่ผิด เสียงเพลงที่ดังอยู่นี้ คือ เสียงโฆษณาเรียกลูกค้าของรถเร่ขายขนมจีบซาละเปาเจ้าประจำที่พวกเด็ก
ๆ โปรดปราน แต่เพราะรสชาติอันยอดเยี่ยมเป็นเอกลักษณ์ เมนูยอดนิยมส่วนใหญ่จึงมักจะหมดก่อนที่รถจะวิ่งมาถึงหน้าร้านดอกไม้เสมอ
โดยเฉพาะขนมจีบกุ้ง
ขนมจีบปู
ซึ่งทันทีที่นึกถึงสีหน้าปลื้มปริ่มของพวกเด็ก ๆ หลังได้กินของว่างแสนอร่อย
คเชนทร์ก็พลอยหลงลืมทุกอย่างไปในพริบตา... กระทั่งคู่สนทนาตรงหน้าก็ไม่เว้น
เจ้าของร้านดอกไม้ผลุนผลันไปหยิบกระเป๋าสตางค์ในลิ้นชักหลังเคาน์เตอร์พลางปักหมุดในใจว่าวันนี้จะต้องซื้อขนมจีบกุ้งที่เด็กชายชอบกินกลับมาให้จงได้
“คุณเชนจะไปไหนครับ” ทิวัตถ์เห็นเจ้าของร้านดอกไม้ดูรีบร้อนจึงอดทักขึ้นไม่ได้
“ผมจะไปดักรถซาละเปาครับ พวกเด็ก ๆ
ชอบกิน”
“เหรอครับ งั้นเดี๋ยวผมไปด้วย” หนุ่มแว่นนึกสนุกจึงผุดลุกผุดนั่งด้วยความตื่นเต้นก่อนจะผินหน้าไปถามไถ่พรรคพวกทันควัน
“ปลาวาฬกินซาละเปาไหมครับ”
เด็กหญิงซึ่งกำลังสุมหัวกับเพื่อนสนิทเหลียวกลับมามองเจ้าของคำถามอยู่ชั่วอึดใจ
จากนั้นจึงตอบเร็ว ๆ ก่อนจะสะบัดหน้ากลับไปทันที “กินค่ะ”
“แล้วปลาวาฬอยากกินซาละเปาไส้อะไรครับ”
ยิ่งเห็นคเชนทร์กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปกวักมือเรียกรถกระบะต่อหลังคา หน้าตาเหมือนร้านขายซาละเปาเคลื่อนที่
ทิวัตถ์ก็ยิ่งลุกลี้ลุกลน... อยากออกไปซื้อของก็ใช่ แต่อีกใจก็อยากคุยกับทรัพย์สมุทรให้รู้เรื่องเสียก่อน
“ทูออกไปดูก่อนก็ได้ว่าเขาขายอะไรบ้าง
เดี๋ยวพี่เดินไปบอกว่าลูกอยากกินอะไร” เห็นคนรักดูกระอักกระอ่วน คิมหันต์ก็ไม่เพิกเฉย
“โอเคครับ”
หนุ่มแว่นยิ้มหวานแทนคำขอบคุณก่อนจะวิ่งตื๋อตามหลังเจ้าของร้านดอกไม้ไปติด ๆ ทันทีที่ทิวัตถ์คล้อยหลังไป
พ่อม่ายรุ่นใหญ่ก็เทความสนใจทั้งหมดกลับไปที่เลือดเนื้อเชื้อไขแทน
“ปลาวาฬจะกินซาละเปาไส้อะไรครับลูก”
“ไส้ครีมค่ะ”
“แล้วไส้หมูแดงล่ะครับ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วพลางสำรวจท่าทางมีลับลมคมในของพวกเด็ก
ๆ อย่างนึกสงสัย “อยากให้พ่อซื้อไว้เผื่อกินพรุ่งนี้เช้าไหมครับ”
ทรัพย์สมุทรเหลือบมองหน้าเวลาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนเดี๋ยวนั้น
“ปลาวาฬขอออกไปดูเองได้ไหมคะคุณพ่อ”
“โอเคครับ แต่พอออกไปแล้วต้องอยู่กับอาทูนะครับ
ห้ามวิ่งไปไหนคนเดียว deal?”
“Deal!” เด็กหญิงยิ้มรับแล้วก้มมองพื้นสลับกับเพื่อนรักอย่างห่วง
ๆ ทว่าสุดท้ายเจ้าตัวก็หักห้ามใจได้ “ปลาวาฬมาแล้วค่าปลาทู!” สิ้นเสียงประกาศ ปลาวาฬก็วิ่งตัดหน้าธาม
ตามออกไปเกาะขาคุณอาคนโปรดเพื่อเลือกซื้อของอร่อยด้วยกันในที่สุด
พ่อม่ายรุ่นเล็กที่เพิ่งเดินออกจากครัวมองตามเด็กหญิงอย่างงุนงง
แน่นอนว่าคงไม่มีใครจะช่วยไขข้อข้องใจแก่เขาได้นอกไปเสียจากชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอมยิ้มอยู่บนโซฟา
“ปลาวาฬวิ่งไปไหนเหรอครับพี่”
“ออกไปซื้อซาละเปา”
จากจุดที่ยืนอยู่ เจ้าของร้านขนมปังมองเห็นท้ายรถกระบะสีแดงดูคุ้นตาจอดเยื้องไปทางคูหาข้าง
ๆ ภาพทรัพย์สมุทรขณะเดินพันแข้งพันขาทิวัตถ์โดยที่หนุ่มแว่นเองก็กำลังเงี่ยหูฟังคเชนทร์อธิบายอย่างตั้งใจชวนให้คนเฝ้ามองโล่งอก...
ค่อยยังชั่ว ที่แท้ก็ไม่ได้เหม็นขี้หน้ากันถึงขั้นต้องวิ่งหนีไปที่อื่น
เมื่อคลายกังวล ธามก็หันกลับไปคุยกับคิมหันต์ด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมโอนเงินค่างานเมื่อวานคืนให้นะครับ”
“ธามสะดวกเมื่อไรก็ค่อยโอนคืนพี่แล้วกัน
พี่ไม่รีบ”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เย็นผมจะไลน์บัญชีรายรับรายจ่ายไปพร้อมกับสลิปโอ...”
“ลูกพี่!”
น้ำเสียงตื่นตระหนกเมื่อครู่เรียกสายตาของชายหนุ่มทั้งสองให้ตวัดมองไปยังต้นเสียงในบัดดล
ฝ่ายเวลาที่นั่งยอง ๆ อยู่กับพื้นก็หันรีหันขวางพลางมองไปรอบ ๆ ตัวสลับกับกองผ้าขนหนูบนพื้นอย่างหวั่นวิตก
เสี้ยววินาทีที่เด็กชายสบตากับผู้ให้กำเนิด เจ้าตัวก็พุ่งเข้ามากอดขา ดึงชายเสื้อบิดาแล้วยื้อยุดฉุดกันให้ออกเดินไปยังจุดที่ตนเพิ่งผละจาก
“ลูกพี่เลือดออกครับป๊า!”
“ฮะ?!” ได้ยินดังนั้น คิมหันต์กับธามก็พานตกใจกันทั้งคู่ ทว่าลึก ๆ แล้ว ธามปฏิเสธไม่ได้ว่า
ในห้วงของความตื่นตระหนกนั้น มีความปีติซุกซ่อนอยู่เต็มเปี่ยม... ในที่สุด เวลาก็ยอมพูดกับเขาเสียที
ถึงอย่างนั้น ชั่วอึดใจที่กำลังจะอ้าปากโห่ร้องให้สมกับความยินดี
คำพูดเตือนสติของคเชนทร์ก็ผุดขึ้นในห้วงความคิด ธามจึงปัดความรู้สึกฮึกเหิมไปจากใจ
แล้วจึงเดินไปตรวจสอบอาการของสัตว์เลี้ยงให้ลูกชายก่อน กระทั่งเห็นแมวหน้ากากผุดลุกผุดนั่งพลางเดินวนเป็นวงกลมอยู่บนกองผ้าขนหนูโดยที่มีบางอย่างติดอยู่ที่ก้น
ชายหนุ่มก็เริ่มเอะใจ หันไปตะโกนบอกคิมหันต์ที่ลุกตามมาทีหลังด้วยน้ำเสียงลนลาน
“พี่หนาวครับ”
“หืม มีอะไรหรือเปล่า”
“พี่ช่วยเปิดกูเกิ้ลหาข้อมูลทำคลอดแมวหน่อยได้ไหมครับ”
“ฮะ?!” ไม่ใช่แค่หนาวเท่านั้นที่ตกใจ ทว่าคราวนี้ทั้งคเชนทร์ที่เพิ่งเดินนำหน้าทูกับปลาวาฬเข้ามาในร้านก็หลุดปากร้องเสียงหลงโดยพร้อมเพรียง
“ลูกพี่น่าจะกำลังคลอดลูกครับ”
.
.
.
.
“ถือจานดี ๆ นะลูก” คิมหันต์นึกเป็นห่วงลูกสาวกับขนมจานใหญ่ในมือเจ้าตัว
แต่ครั้นจะออกปากห้าม เขาก็ทำไม่ลง ทิวัตถ์ที่กำลังช่วยคเชนทร์อยู่ในครัวจึงช่วยออกหน้ากำชับเด็กหญิงอีกแรง
“อย่าเข้าไปใกล้มันมากนะครับ
เดี๋ยวลูกพี่จะคาบลูกหนี”
“โอเคค่า” ทรัพย์สมุทรรับคำแล้วก็หมุนตัวเดินลิ่วตรงไปยังทิศทางตรงกันข้ามทันที
ฝ่ายเด็กชายที่เพิ่งรับแก้วน้ำหวานจากมือคเชนทร์ก็ตั้งท่าพร้อมวิ่ง
ถ้าไม่ติดว่าโดนพ่อรั้งตัวไว้เสียก่อน ป่านนี้เวลาคงสับขาตามเพื่อนรักไปแล้ว
“เวลา” เจ้าของร้านขนมปังลูบผมบุตรชายพลางเอ่ยเสียงอ่อน
“ถือแก้วดี ๆ ระวังหกนะ”
“ครับ”
ภาพเด็ก ๆ ตั้งใจประคองแก้วกับจานกึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับไปเฝ้าแมวแม่ลูกอ่อนช่างน่าเอ็นดูเสียจนพ่อม่ายทั้งสองคนที่นั่งประจำอยู่ตรงโต๊ะอาหารพากันอมยิ้มไม่หยุด
“พี่ดีใจด้วยนะธาม”
“ยินดีด้วยนะครับคุณธาม” หนุ่มแว่นเปรยพลางวางถ้วยแกงลงบนโต๊ะก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้าง
ๆ หนาว
ระหว่างทำคลอดลูกแมว คิมหันต์กับทิวัตถ์ช่วยกันค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ต
ส่วนเจ้าของแมวอย่างคเชนทร์รับบทหมอตำแยจำเป็นที่มีลูกมือเป็นสองพ่อลูกร้านขนมปัง ในขณะที่ปลาวาฬคอยส่งเสียงเชียร์แจ้ว
ๆ จนลูกพี่จนคลอดลูกน้อยทั้งสองได้อย่างปลอดภัย ต่อให้ประสบการณ์ดังกล่าวจะทำเอาทุกคนลุ้นจนหมดแรง
แต่เมื่อช่วงคับขันคลี่คลาย รายละเอียดทั้งหมดก็ถูกสลักลึกลงในใจ เพราะคงไม่มีใครหลงลืมเหตุการณ์ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของความสัมพันธ์ระหว่างกาลกมลกับธามอย่างแน่นอน
“ขอบคุณครับ” เจ้าของร้านขนมปังคลี่ยิ้มอย่างจริงใจก่อนจะถอนหายใจพรูคล้ายกับยังไม่คลายกังวลเสียทีเดียว...
ที่วันนี้เวลายอมคุยกับเขาก็เพราะแมว แล้วเกิดวันนึงเจ้าตัวเลิกเห่อเจ้าสี่ขาขึ้นมา
เขาไม่ต้องกลายเป็นพ่อที่ลูกไม่อยากเสวนาด้วยอีกครั้งเหรอ
“เฮ้ย ไม่เอา” หนาวตบบ่าหนุ่มรุ่นน้องเบา
ๆ “อย่ามัวแต่คิดถึงพรุ่งนี้จนลืมความสุขตรงหน้าสิ”
“ครับพี่”
พ่อม่ายรุ่นใหญ่เหลือบมองเด็ก ๆ
ที่นั่งเฝ้าแมวแม่ลูกอ่อนพลางสรุปอย่างเห็นใจเจ้าถิ่น “พวกเรามากินข้าวกันเถอะ จะได้ไปดูลูกต่อ
คุณเชนจะได้นั่งพักเสียที”
นอกจากเวลาแล้ว ก็มีคเชนทร์นี่แหละที่แมวหน้ากากยอมให้จับตัว
ชายหนุ่มจึงต้องรับบทหนักกว่าใคร ๆ หนำซ้ำพอทำคลอดลูกแมวเสร็จสรรพ เจ้าตัวยังต้องจัดหาโคมไฟ
ปูฟูกใหม่ให้เจ้าเข็มสั้นกับปลาทอง
ไหนจะต้องแยกอาหารกับน้ำเพิ่มอีกชุดสำหรับแม่แมวโดยเฉพาะ แถมสุดท้ายยังต้องมาเป็นธุระอุ่นสำรับกับข้าว
เลี้ยงดูอาคันตุกะทั้งห้าประสาเจ้าบ้านที่ดี
“โอเคครับ” ธามพยักหน้ารับพลางหันไปคุยกับเจ้าของร้านดอกไม้ที่เพิ่งตามมาสมทบพร้อมกับข้าวจานสุดท้าย
“กินข้าวคุณ”
“อืม”
“อะ ผมตักข้าวให้แล้ว” เจ้าของร้านขนมปังหยิบจานที่ตนตั้งใจตักข้าวในปริมาณที่พอเหมาะวางลงตรงหน้าคเชนทร์อย่างเบามือ
หนุ่มผมยาวรวบปอยผมขึ้นทัดหูพลางกระแอมเบา ๆ แล้วแสร้งมองไปอีกทาง แม้จะรู้เห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้น
ทว่าทั้งคิมหันต์และทิวัตถ์กลับไม่ได้พูดอะไร อีกทั้งยังเฝ้ารอจนธามตักผัดเต้าหู้ทรงเครื่องใส่จานของเจ้าบ้านก่อนแล้วนั่นแหละ
ทั้งคู่จึงเริ่มรับประทานอาหารพร้อมรอยยิ้ม
••• TBC •••
ตอนหน้าเรื่องนี้ก็จบแล้วเด้อ
เพราะฉะนั้น
ถ้าใครอยากอ่านตอนพิเศษใด ๆ ก็อย่าลืมทิ้งคอมเมนต์แนะนำไว้นะคะ
ไว้เรามาบอกลาลุงไซด์ไลน์กับปลาทูไปพร้อม
ๆ กันนะคะ
No comments:
Post a Comment