Monday, February 4, 2019

• รักหลอก ๆ ต้องบอกลุง •||#35|| 04.02.2019



#35

มาดก็น่าลุ้นหุ่นก็เจ๋งแจ๋ว เชื่องดังแมวง่วงนอนในกุฎิ
ให้คนมือแปขูดมะพร้าวนิด บีบกะทิเมื่อไรจะได้มัน
ก็ตัวรักเขาเฝ้าแต่มองตา ห่างตั้งวาสองวา โถยังขาสั่น
เกิดมาเป็นชายถ้ามัวอายกัน อีกกี่วันจะได้ เจาะไข่แดง
กระแซะเข้ามาซิ - พุ่มพวง ดวงจันทร์

…………………………………………………………………………………………………………


ผมรู้สึกตัวตื่นเพราะความรู้สึกกึ่งร้อนกึ่งคันยุบยิบแปลก ๆ
สงสัยพี่หนาวจะกอดผมแน่นเกินไป เหงื่อเลยออกจนไม่สบายตัว
แต่ทุกทีก็แบบนี้ ทำไมอยู่ ๆ ก็เพิ่งมารู้สึก... เอ หรือไฟดับ แอร์เลยไม่ติด

พอใจมันปักธงนำหน้า ผมเลยผงกหัวขึ้นแล้วปรือตามองหน้าปัดแอร์บนผนังห้องอย่างหงุดหงิด แต่เพราะง่วงจนขี้เกียจคลำหาแว่น ผมเลยยกแขนพี่หนาวขึ้น เขยิบไปนอนห่าง ๆ ลุงแกสักหน่อยแล้วค่อยหลับตานอนต่อ จังหวะกำลังจะผล็อยหลับ หูผมก็ได้ยินเสียงสวบสาบดังขึ้นใกล้ ๆ จากนั้นความรู้สึกอึดอัดเหมือนถูกงูเหลือมรัดก็หวนคืนมาใหม่

เอ๊ ลุงนี่... กลัวผมหายนักหรือไง ถึงได้ตามมากอดอยู่นั่น

ผมอมยิ้มกับตัวเองอย่างย่ามใจหลังโดนเพื่อนร่วมเตียงดึงตัวเข้าไปกอดอีกจนได้ พอเคลิ้ม ๆ จวนจะหลับ (อีกรอบ) คนข้าง ๆ ก็หอมแก้ม พรมจูบไปทั่วหน้าแต่มักจะวนเวียนอยู่แถว ๆ ริมฝีปากผมคล้าย ๆ ลังเล รู้แบบนั้นผมเลยเบี่ยงหน้าหันกลับไปจูบตอบเสียเลย สิ้นเรื่อง...

ถึงจะย้ายมาอยู่ด้วยกันเต็มเวลา แต่ช่วงที่ตื่นเต็มตาและมีสติครบถ้วน เราสองคนก็ไม่เคยก้าวหน้าถึงขั้นกอดจูบ ยิ่งเล้าโลมจริงจังนี่เลิกหวังไปได้เลย เหตุผลน่ะเหรอ... หึ มีสิ

ถ้าตัดเรื่องที่ผมป๊อดออกไป ที่เหลือก็น่าจะเป็นเพราะปลาวาฬยังคงเห่อผมไม่หาย พอส่งแกเข้านอนเสร็จปุ๊บ ผมกับพี่หนาวก็คลานขึ้นเตียงแล้วสลบปั๊บ ตื่นมาอีกทีก็ ปิ๊ง! ได้เวลาเริ่มลูปวันใหม่วนไปอีกครั้ง แต่พูดก็พูดเถอะ ที่ผมยังอดทนครองพรหมจรรย์ (ครั้งที่สอง) ได้โดยไม่โดนไฟราคะคลอกตาย ก็เพราะช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่นระหว่างคืน พี่หนาวมักจะละเมอนัวผมบ่อยเสียจนอดคิดไม่ได้ว่า หรือที่ผ่านมา ลุงแกจะอัดอั้นอย่างหนัก ร่างกายเลยต้องแอบระบายความใคร่เอาตอนหลับลึกอะไรแบบนี้

อ๊ะ!

ไม่ทันส่งเสียง พี่หนาวก็ปิดปากผมด้วยปาก แถมยังมือซนล้วงเข้ามาในเสื้อนอนผมเสียอีก

จูบนี้รสร้อนแรงแฝงความเอาแต่ใจเต็มเปี่ยม หน้าท้องกับแผ่นอกที่โดนสัมผัสปลุกเร้าก็ร้อนผ่าวคล้ายโดนไฟลวก แม้ไม่ตั้งใจ แต่ผมกลับส่ายเอว บิดไปมาจนเนื้อตัวเราเสียดสีกันยิ่งกว่าเดิม พอผมดิ้นเร่า พี่หนาวก็ส่งเสียงครางในลำคอแล้วขยี้ยอดอกกันเต็มแรงเหมือนมันเขี้ยว

บุญบาป ผมว่า... ผมต้องได้แล้วแหละ

ลุงไซด์ไลน์ยืนยันความเชื่อที่ว่าทันที เขาผุดลุกขึ้นนั่งแล้วเอี้ยวตัวไปหยิบถุงยางกับเจลตรงลิ้นชักหัวเตียง จากนั้นจึงรีบร้อนถอดเสื้อผ้าออกก่อนจะปอกเปลือกผมต่อ พอรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หัวใจผมก็เต้นโครมคราม หัวสมองหมุนติ้วเป็นลูกข่าง เราจูบกันจนผมตาลาย มือไม้อ่อน ถึงจะไม่ใช่ประสบกามครั้งแรก แต่เพราะอีกฝ่ายคือพี่หนาว ความตื่นเต้นเลยยิ่งทวีคูณ พอเขาผละจูบทีไร ผมเป็นต้องหลับหูหลับตาฮุบอากาศ สูดลมหายใจเหมือนคนไม่เป็นงานไปเสียทุกรอบ

“ทูครับ” พี่หนาวกดปลายจมูกกรอกเสียงข้างหูผม ลำพังพูดใกล้หูน่ะไม่เท่าไร แต่หางเสียงกระเส่ากับลมหายใจร้อน ๆ ที่ขาดเป็นห้วง ๆ นั่นกำลังทำให้ผมเป็นบ้า “อีกเดี๋ยวก็เช้าแล้ว สัญญากับพี่ก่อนว่าทูจะไม่ส่งเสียง”

ผมพยายามหรี่ตาเพ่งมองหน้าคู่สนทนาในความมืด “ให้ผมเงียบตลอดเลยเหรอครับ”

เวร เสียงผมตอนนี้แหบสะเด็ดยิ่งกว่าเป็ดป่วย ขืนครางออกไปจริง ๆ จากที่ตั้ง ๆ คงเหี่ยวหมด

“ครับ เดี๋ยวปลาวาฬตื่น” พี่หนาวคงรู้ว่าผมเห็นหน้าแกไม่ชัดเลยยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ไม่เท่านั้น เจ้าตัวยังยิ้มหวานใส่กันเสียอีก “ได้ไหมครับ”

ต่อให้เวลานี้ภายในห้องจะยังคงมืดสลัวคล้ายกลางคืน แต่ลองแชมป์ตื่นก่อนใครในบ้านรับรองเวลา ผมก็เชื่อสุดใจ
ผมพยักหน้ารับแล้วกวาดตามองใบหน้าเปื้อนยิ้มของเขาอย่างหลงใหล... ผู้ชายคนนี้กำลังจะกลายเป็นของผมโดยสมบูรณ์
สาบานเลยว่า ต่อให้โดนพ่อรูปหล่อจิ้มจนเข่าทรุด ผมก็จะไม่หลุดปากร้องสักแอะ

“เด็กดี”

พี่หนาวคลี่ยิ้มให้ผมดูเร็ว ๆ อีกที ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะย้ายลงไปประทับลงตรงซอกคอ แล้วไล่ลงต่ำไปเรื่อย ๆ มือทั้งสองข้างของเขาคลึงเคล้นบีบนวดตัวผมจนอ่อนระทวย ยิ่งเมื่อเผลอนึกภาพขณะหลังมือกับเส้นเลือดปูดโปนลูบไล้ตัวผมจากแนวสีข้างย้อนขึ้นมายังผิวอ่อนใต้วงแขนแล้วบดขยี้หน้าอกอย่างจงใจ ผมก็เชิดหน้า แอ่นร่างท้าทายทุกสัมผัสอย่างลืมอาย จวบจนเมื่อรู้สึกเย็นวาบพร้อม ๆ กับเสียวซ่านตรงกึ่งกลางลำตัว ผมก็เด้งขึ้นจากที่นอนทันควัน

เฮ้ยพี่หนาว อย่า!.. ตรงนั้นมันฮาร์ดคอร์ไป๊

ก่อนผมจะหวีดร้องโวยวาย อีกฝ่ายก็ดันปลายนิ้วเข้าปากผมแล้วตวัดสายตาขึ้นส่งข้อความ... อ้อ ห้ามส่งเสียงสินะ

แต่มันจะดีเหรอ

ผมส่ายหัวพลางส่งสายตาอ้อนวอน อีกฝ่ายกลับเพียงหรี่ตาเป็นเส้นโค้งแล้วกวาดปลายนิ้วไล่หนีบลิ้นผมเล่น ในเมื่อพี่หนาวไม่เดือดร้อน ผมจึงดูดปลายนิ้วเขาเบา ๆ บอกเจ้าตัวว่าผมพร้อมจะทำตามสัญญา ต่อให้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้จะน่าอายและเสียดเสียวสิ้นดี

ภาพพี่หนาวขณะทอดสายตาจ้องมองผมคล้ายอยากจะกลืนกินกันทั้งที่เจ้าตัวกำลังหม่ำ ผม อยู่จริง ๆ ทำเอาสติสตังที่ยังพอเหลือกระจัดกระจาย ทุกอย่างจึงจบลงในระยะเวลาไม่นาน แต่แทนที่จะเบาใจสบายตัว ผมกลับแทบสำลักน้ำลายเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกลืนซากความสุขของผมลงคอไปเสียแล้ว

ผมฉุดพี่หนาว ดึงตัวเขาขึ้นมาจูบเป็นพัลวัน ในใจหวังให้น้ำบ่อน้อยช่วยเจือจาง หรืออย่างน้อย ๆ ก็ช่วยทำให้เขาลืม ๆ มันไปเสีย ลุงไซด์ไลน์หัวเราะร่วนในลำคอก่อนจะต้อนจูบผมจนงอมพร้อม ๆ กับส่งนิ้วมือที่ถูกเลียจนโชกชุ่มเข้ามาในตัวอย่างช้า ๆ ถึงอย่างนั้น ความรู้สึกหวามไหว รุ่มร้อนจนใกล้แหลกลาญที่ปลายนิ้วนำพา กลับเทียบตัวตนของพี่หนาวที่ค่อย ๆ คืบเข้ามาแทนที่ในภายหลังไม่ได้เลย

นี่ผมไม่ได้เผลอสั่งยาอกฟูรูฟิตมาเคี้ยวเล่นใช่ไหม ทำไมข้างล่างถึงได้เสียดตึงเหมือนเพิ่งโดนพรากจิ้น...

ผมสูดลมหายใจเข้าออกยาว ๆ พยายามลูบไล้ตัวเองให้ผ่อนคลาย พี่หนาวไม่ได้ขยับตัวทันที เขาย้ำจูบย้ำหอมไปทั่วหน้าพลางเลื่อนมือลงกุมเหนือมือผม แรก ๆ ก็แค่นำจังหวะให้ แต่หลัง ๆ อุ้งมือสากนิด ๆ นั่นก็เข้าควบคุมสถานการณ์แบบเบ็ดเสร็จ

“เหมาะมือพี่ที่สุด” ลุงไซด์ไลน์ยิ้มล้อ สาบานได้ว่าถ้าไม่เห็นว่าอีกฝ่ายรีบกัดฟันข่มความรู้สึก ผมคงเขินจนพลั้งมือหยิกคนแก่เข้าให้ แต่เพราะรู้ดีว่าพี่หนาวรู้สึกยังไง ผมก็ทำร้ายเขาไม่ลง... ทั้งที่เราต่างก็ทรมานไม่แพ้กัน แต่เขากลับยอมฝืนตัวเองเฝ้ารออย่างอดทน ผมเลยบีบต้นแขนพี่หนาวแล้วพยักหน้าเชื้อเชิญ

“คนดีของพี่” พี่หนาวยิ้มพลางเลื่อนสองมือขึ้นประคองแก้มผมแล้วบรรจงจูบไปทั่วหน้า จากนั้นเราก็โถมตัวเข้าโอบกอดซึ่งกันและกันครั้งแล้วครั้งเล่า เขาจูบผม ส่วนสองมือก็ลูบไปตามเนื้อตัว ยิ่งพอรู้ว่าส่วนไหนที่ทำให้ผมครางหวิวได้ พี่หนาวก็ยิ่งเอาใจใส่ บางสัมผัสฉุดดึงผมให้จมดิ่งลงสู่ห้วงความหฤหรรษ์เกินบรรยาย แต่ในบางครั้งกลับเหวี่ยงผมลอยคว้างกลางอากาศก่อนจะปล่อยให้ร่วงหล่นยาวนาน ความรู้สึกที่เขาหยิบยื่นให้ทั้งหมดนั้นมันยากเกินบรรยาย ผมจึงทำได้เพียงเม้มปากพลางปรือตามองอีกฝ่ายแล้วระบายทุกอย่างลงบนผืนผ้าปูที่นอนเท่านั้น

จริงอยู่ว่าแม้ผมจะเป็นฝ่ายถูกรุกราน แต่กลับกัน ผมเองก็ได้โอบอุ้มตัวตนทั้งหมดของพี่หนาวเอาไว้ภายใน ซึ่งดูเหมือนมันจะยังไม่พอ เพราะ ณ จุดหนึ่ง เขาก็จับปลายขาข้างหนึ่งของผมขึ้นพาดไหล่ แล้วตักตวง รีดเค้น ฝังตัวเองเข้าหาผมอย่างหนักหน่วง จนที่สุดแล้ว เราก็ก้าวข้ามจุดสูงสุดของอารมณ์โดยพร้อมเพรียงกัน

หลังจากพักหายใจหายคอ คุณแฟนรูปหล่อก็พลิกตัวลงมานอนกอดผม แถมยังเขี่ยปากผมเล่นเสียอีก “ไหนลองยื่นหน้ามาซิ ขอพี่ดูปากหน่อยครับ”

“หืม?” ผมเงยหน้า ช้อนตาขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างงง ๆ พี่หนาวเลยยิ้มหล่อกระแทกตาให้ดูใกล้ ๆ

“เมื่อกี้แฟนพี่เม้มปากตลอดเลย ไม่รู้เผลอกลืนปากลงท้องไปแล้วหรือยัง”

โอ้โหลุง ทำไมร้าย

“พี่หนาว!” ผมถลึงตาใส่แล้วขยำต้นแขนคนสูงวัยไปทีหนึ่ง แทนที่จะสลด ลุงไซด์ไลน์กลับฉีกยิ้มกว้างพลางคว้าตัวผมขึ้นมานอนทับกันแถมยังมีหน้ารัดเอวผมไว้แน่นเสียอีก

“ชู่วว์ ไม่เสียงดังสิครับ เดี๋ยวลูกตื่น” พอผมตั้งท่าจะอ้าปากชี้แจงข้อกล่าวหา พี่หนาวก็โน้มคอดึงผมเข้าไปหาแล้วกระซิบข้างหูผมอย่างอารมณ์ดี “ถ้าปลาวาฬไม่อยู่ พี่จะตามใจทูเต็มที่เลยนะครับ”

อื้อหือ... เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ
ที่บอกว่าตามใจเต็มที่ แปลว่าถ้าขอแบบหลุดโลก หลากสถานที่ พี่หนาวก็จัดได้งั้นสิ
ผมเอียงคอ เลิกคิ้วมองหน้าอีกฝ่าย แอบถามผ่านสายตาไปว่า จริงอะ

Cross my heart, baby” พี่หนาวพูดแล้วก็จูบผม จูบเสร็จยังหอมแก้มตามอีกหนึ่งฟอดใหญ่ “So, are we good?

ได้ยินแบบนั้น ผมก็ซุกหน้าซ่อนยิ้มกับซอกคออีกฝ่ายก่อนจะผงกหัวหงึกหงักจนลุงไซด์ไลน์หัวเราะร่วน

••••••

ตามปกติแล้ว วันอาทิตย์เป็นวันที่ร้านดอกไม้ปิดทำการ แต่เพราะมีขาประจำคอยมาเล่นกับแมวแทบทุกวัน คเชนทร์เลยมักจะเปิดประตูกระจกบานเล็กด้านหน้าร้านไว้รอต้อนรับเด็กชายเสมอ ด้วยเหตุนี้เอง อาคันตุกะคนอื่น ๆ ซึ่งคุ้นเคยกับคเชนทร์และสถานที่เป็นอย่างดีจึงสามารถเดินดุ่ม ๆ เข้าด้านในได้โดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า

“ลุงเชนสวัสดีค่ะ” ทรัพย์สมุทรหยุดวิ่งเพื่อยกมือไหว้เจ้าของร้านดอกไม้โดยเฉพาะ ด้านหลังเด็กหญิงคือคิมหันต์กับทิวัตถ์ที่กำลังยืนอมยิ้มภูมิใจเมื่อเห็นลูกสาวทักทายเจ้าของร้านดอกไม้อย่างมีสัมมาคารวะ

“สวัสดีครับคนสวย” เด็กหญิงยิ้มกริ่มพลางบิดตัวไปมา เห็นเจ้าตัวเล็กชำเลืองมองหาเพื่อนสนิท คเชนทร์จึงชี้นิ้วนำสายตาอีกฝ่ายให้มองไปยังมุมหนึ่งของร้าน เพราะแมวสองตัวแอบไปหลบอยู่ตรงนั้น กาลกมลจึงตามไปขลุกอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ช่วงสาย ๆ

“คุณเชน สวัสดีครับ”

“คุณทู คุณหนาว สวัสดีครับ” พอจบจากคู่พ่อ หนุ่มผมยาวก็ก้มลงเจรจากับเด็กหญิงด้วยความสนอกสนใจเป็นพิเศษ “ปลาวาฬมาเล่นกับเวลาเหรอครับ”

หากการที่กาลกมลไม่แวะมาเล่นแมวคือเรื่องแปลก เสาร์อาทิตย์ไหนที่ทรัพย์สมุทรโผล่มาสร้างสีสันให้ร้านดอกไม้ ก็ควรนับเป็นเรื่องมหัศจรรย์สำหรับเจ้าบ้านไม่ต่างกัน

“ใครน้าบอกอาทูว่าอยากแวะมาเล่นกับเวลา...” ก่อนเด็กหญิงจะตอบคำถาม ทิวัตถ์ก็ร่วมผสมโรงทั้งซักทั้งแซวเจ้าตัวเล็กด้วยอีกคน

“ปลาวาฬเองค่ะ” ทรัพย์สมุทรยิ้มยิงฟันแล้วชูมือขึ้นสุดแขนอย่างร่าเริง “ปลาวาฬขอไปเล่นกับเวลาก่อนนะคะ” เมื่อเห็นเหล่าผู้ใหญ่พยักหน้าให้ ปลาวาฬก็วิ่งถลาเข้าไปหาเพื่อนสนิทที่นั่งจุมปุ๊กอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง อดีตนางโชว์ทอดสายตามองพวกเด็ก ๆ อยู่เนิ่นนานก่อนจะถูกเสียงทุ้มของคิมหันต์ดึงดูดความสนใจ

“รบกวนคุณเชนด้วยนะครับ”

“ยินดีครับ เชิญนั่งก่อนครับ” หนุ่มผมยาวเดินนำชายหนุ่มทั้งสองไปยังโซฟา “ดื่มน้ำอะไรดีครับ น้ำเปล่า ชาเขียว หรือน้ำผลไม้”

“ให้ผมช่วยดีกว่าครับ คุณเชนจะได้ไม่เหนื่อย” ทิวัตถ์เสนอตัวแข็งขัน

“ไม่เป็นไรครับ”

“เถอะครับ”

แม้จะอยากรักษามารยาทเจ้าบ้านที่ดีสักแค่ไหน แต่ลองว่าต้องต่อกรกับรอยยิ้มเจิดจ้าและสายตามุ่งมั่นใต้แว่นกรอบหนาเหมือนลูกหมามองเจ้าของ เป็นใครก็ต้องใจอ่อนกันทั้งนั้น “ก็ได้ครับ”

“วันนี้คุณทูดูอารมณ์ดีจังเลยครับ” เห็นทูยิ้มไม่หุบ คเชนทร์จึงอดทักขึ้นไม่ได้

หนุ่มแว่นยื่นมือไปรับแก้วแล้วเหลือบมองคนข้างตัวอย่างเลิ่กลั่ก “เหรอครับ”

อย่าบอกนะว่าคุณเชนดูออก...
หรือเมื่อกี้อีกฝ่ายจะเห็นตอนเขาแอบหรี่ตาทำหน้ายั่วเยใส่พี่หนาวเข้าพอดี?

“ครับ...” เจ้าถิ่นวางแก้วทรงสูงในมือลงแล้วนึกทบทวนในใจ จากนั้นจึงพยักหน้ารับรองความถูกต้องของข้อมูล “...ตั้งแต่เดินเข้ามา คุณทูก็ยิ้มหวานตลอดเลยครับ”

ทูชิงหยิกแก้มทั้งสองข้างของตัวเองทันควันเพราะไม่อยากหลวมตัวคลี่ยิ้มรับข้อสันนิษฐานอย่างหน้าชื่นตาบาน คอนซัลท์หนุ่มเสมองไปอีกทางพลางเฉไฉทั้งที่พวงแก้มยังแดงปลั่งคล้ายกำลังจับไข้ “คุณเชนมีน้ำแข็งหรือเปล่าครับ”

อากาศวันนี้ร้อนแห้งแถมแดดยังแรงคล้ายไม่ใช่หน้าฝน คิมหันต์กับทูจึงชวนทรัพย์สมุทรทำกิจกรรมเบ็ดเตล็ดอยู่ในบ้านจนถึงบ่ายสามโมง จากนั้นทั้งหมดก็โยกย้ายฐานที่มั่นมายังร้านดอกไม้ตามที่รับปากกันเอาไว้ ทิวัตถ์จึงอยากเตรียมน้ำผลไม้เย็น ๆ เป็นรางวัลแก่เด็กหญิงคนเก่งที่เดินฝ่าความร้อนร่วมยี่สิบนาทีโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ
  
“มีครับ อยู่ในช่องฟรีซ คุณทูหยิบถุงออกมาได้เลย”

“เมื่อคืนคุณเชนกลับกี่โมงครับ” ประสาคนมีชนักปักหลัง ทันทีที่สบโอกาส ทูจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา หารู้ไม่ว่า การถามถึงเรื่องเมื่อคืน ไม่ต่างอะไรกับการยัดเผือกร้อนใส่มือคเชนทร์เข้าอย่างจัง เพราะภาพเหตุการณ์บนดาดฟ้าที่แว่บผ่านเข้ามาในสมองทำเอาคนฟังใจเต้นตุ๊ม ๆ ต้อม ๆ มือไม้อ่อนจนเกือบทำกล่องน้ำแอปเปิ้ลหลุดมือ

“ห้าทุ่มครับ”

“ขอโทษนะครับที่ไม่ได้อยู่ช่วยเก็บของ” ทิวัตถ์ค้อมหัว ทำท่าขอโทษขอโพยยกใหญ่

“ไม่เป็นไรครับ” ในเมื่อคู่สนทนาไม่ได้ซักไซ้ซอกแซก อดีตนางโชว์จึงพลอยเบาใจ ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม ส่ายหัว มองสบตาอีกฝ่ายอย่างเข้าอกเข้าใจ แม้เจ้าของวันเกิดทั้งสองจะได้โควต้านอนดึก ทว่าหลังจากแกะของขวัญได้ไม่นาน เวลากับปลาวาฬก็สลับกันหาวหวอด พวกผู้ใหญ่จึงแยกย้ายบ้านใครบ้านมันตั้งแต่ก่อนสี่ทุ่ม

“เอ๊ะ!” คงเพราะอยู่ ๆ หูก็แว่วเสียงของคิมหันต์ หนุ่มแว่นจึงรีบหันกลับไปดูก่อนจะพบว่า มีคนคุ้นหน้าเพิ่งเดินเข้าร้านดอกไม้มาหยก ๆ นี่เอง “คุณธามมาครับ”

“อ้อ ครับ” คเชนทร์รับคำเสียงเรียบ ชายหนุ่มคว้าถุงคุกกี้นิ่มมาจัดเรียงใส่จานอย่างพิถีพิถันคล้ายไม่ใส่ใจ ทว่าเพียงได้ยินชื่อเจ้าของร้านขนมปัง อีกทั้งยังรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังยืนอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน ข้างในก็พลอยว้าวุ่นจนแทบทำหน้าไม่ถูก

“เดี๋ยวผมหยิบแก้วไปเผื่อคุณธามเลยนะครับ” คนพูดถูมือพลางจัดแจงทุกอย่างเร็วไว ยิ่งทิวัตถ์ดูกระตือรือร้นกับการต้อนรับธามมากเท่าไร หนุ่มผมยาวก็ยิ่งรู้สึกประหม่าขึ้นอีกหลายเท่า

“ครับ”

จังหวะที่ทิวัตถ์กับคเชนทร์เดินถือถาดออกมานั้น คิมหันต์กับธามกำลังถ่ามไถ่กันและกันด้วยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป พอเห็นอีกสองหนุ่มเดินตรงมาหา คู่พ่อม่ายก็เลื่อนกรอบสายตาไปมองอย่างตั้งใจ

“คุณธาม สวัสดีครับ”

“สวัสดีครับ”

“ทำไมวันนี้ปิดร้านช้าจังล่ะครับ” ทิวัตถ์ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างโอภาปราศรัยก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ คนรัก

“วันนี้มีออร์เดอร์พิเศษครับ เลยต้องอยู่รอ”

แม้ร้านขนมปังจะปิดหน้าร้าน ไม่ขายปลีกในวันอาทิตย์ ทว่าตั้งแต่เล็กตาย ธามก็เปิดรับออร์เดอร์ของสายส่งขนมปังจนถึงบ่ายโมง เพิ่งจะมีช่วงหลัง ๆ นี่เองที่เขาเริ่มวางแผนเตรียมการเพื่อปิดร้านทุก ๆ วันอาทิตย์อีกครั้งเพราะอยากให้เวลากับครอบครัวอย่างเต็มที่

“นั่งก่อนสิธาม” คิมหันต์ผายมือเชื้อเชิญ

“ขอบคุณครับพี่” ธามผงกหัวให้หนาวอย่างสุภาพก่อนจะหันไปจ้องหน้าหนุ่มผมยาวอย่างมีนัยยะ จวบจนเมื่อสายตาของทั้งคู่สบกัน เจ้าตัวก็พลันนึกขึ้นได้ว่า มารดาได้มอบหมายให้ตนทำอะไรบางอย่าง “คุณ”

อดีตนางโชว์เลิกคิ้วพลางมองหน้าธามเงียบ ๆ

“ม้าฝากมาให้” พ่อม่ายรุ่นเล็กปราดเข้าไปหาเจ้าถิ่นพลางยื่นปิ่นโตเถาใหญ่ใส่หน้า “เมื่อเช้าพี่ผมแวะมารับม้าไปทำบุญ ม้าเลยสั่งกับข้าวมาเผื่อคุณด้วย”

“ไม่เห็นต้องลำบากเลยคุณ” คเชนทร์เหลือบมองปิ่นโตในมืออีกฝ่ายแล้วก็อดเกรงใจไม่ได้ แต่พอจะอ้าปากทัดทาน ธามกลับหิ้วปิ่นโตไปวางบนโต๊ะกินข้าวหน้าตาเฉย เจ้าของร้านดอกไม้จึงยอมทำตัวเสียมารยาท ปล่อยคิมหันต์กับทิวัตถ์ไว้ตามลำพังที่โซฟาแล้วก้าวฉับ ๆ ตามไปคุยกับคนหน้ามึนให้รู้เรื่อง

“คุณ”

“หืม” พ่อม่ายไม่ได้สนใจ ซ้ำยังไล่เปิดบานตู้เก็บของในครัวคล้ายกำลังมองหาอะไรสักอย่าง

แม้จะสับสนกับท่าที่สุดประหลาดของอีกฝ่าย แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่คเชนทร์อยากทำความเข้าใจในเวลานี้ “ถ้าคุณกลับไปบ้านแล้ว ฝากบอกอาม่าด้วยว่าทีหลังไม่ต้องซื้อเผื่อผม ผมเกรงใจ อีกอย่าง กับข้าวเยอะขนาดนี้ ผมกินคนเดียวไม่หมดหรอก”

เถาปิ่นโตที่เจ้าของร้านดอกไม้นำมาฝากมีขนาดใหญ่ อีกทั้งยังซ้อนกันหลายชั้น ต่อให้ไม่รู้ว่าภายในบรรจุสิ่งใด แต่ค่าครองชีพทุกวันนี้ไม่มีทางปรานีเจ้ามืออย่างแน่นอน หนุ่มผมยาวจึงยิ่งลำบากใจเมื่อรู้ว่าหญิงชราจ่ายเงินหลายร้อยเพื่อซื้อของให้ตนโดยเฉพาะ

“เดี๋ยวผมอยู่กินข้าวเย็นที่นี่”

“ฮะ?” คเชนทร์อ้าปากค้างพลางเหลือบมองคู่สนทนาอย่างแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง

เมื่อกี้ตาทึ่มบอกว่าจะอยู่กินข้าวเย็นที่นี่งั้นเหรอ ใครเชิญ?

“เจ้พาม้าไปทำบุญที่เพชรบูรณ์สามวัน” จนป่านนี้ พ่อม่ายก็ยังคงหาก้ม ๆ เงย ๆ หาอะไรบางอย่างไม่เลิก

อดีตนางโชว์เข้าใจสถานการณ์ของครอบครัวธาม อีกทั้งยังตระหนักถึงความรักที่เด็กชายมีต่อแมวทั้งสองตัวเป็นอย่างดี การสาธยายเรื่องความเกรงใจกับชายผู้ไม่สนใจใครจึงตกไปในที่สุด “ถ้างั้นผมฝากขอบคุณอาม่าด้วยนะ”

ลองว่าอาม่าไม่อยู่บ้านเสียคน ไม่เขาก็ธามจะต้องกินข้าวเย็นตามลำพัง ดังนั้น ถ้าต้องทนเหม็นหน้าตาทึ่มนี่เพิ่มอีกวันละสองสามชั่วโมงคงไม่สาหัสเท่าไร

“คุณมีทัปเปอร์แวร์ไหม” ในที่สุด ฝ่ายผู้บุกรุกที่เพียรเดินวนหาของในห้องครัวราวกับเป็นบ้านตัวเองก็ยอมรับความพ่ายแพ้ ธามยืนเท้าเอวพลางชักสีหน้าใส่ตู้บิลท์อินในครัวจนทั่ว

คเชนทร์ลอบถอนใจจากนั้นจึงเปิดตู้ใกล้ ๆ ตัวแล้วหยิบกล่องถนอมอาหารพลาสติกส่งให้ พ่อม่ายรับของแล้วเดินลิ่ว ๆ กลับไปที่โต๊ะ จากนั้นจึงยกปิ่นโตชั้นบนขึ้นจากเถา ใช้ส้อมที่ลงทุนพกมาจากที่บ้านค่อย ๆ จิ้มเค้กรูปแมวส้มที่หั่นเป็นชิ้นสวยงามเกือบสิบชิ้นใส่ทัปเปอร์แวร์ แล้วบรรจงปิดฝาอย่างเบามือ “อันนี้เดี๋ยวค่อยกินตอนสี่โมงแล้วกัน”

“อืม” อ๊ะ!

ท่วงทำนองคึกคักติดหูที่ดังมาจากถนนหน้าร้านทำเอาหนุ่มผมยาวชะงักไป ถ้าเขาจำไม่ผิด เสียงเพลงที่ดังอยู่นี้ คือ เสียงโฆษณาเรียกลูกค้าของรถเร่ขายขนมจีบซาละเปาเจ้าประจำที่พวกเด็ก ๆ โปรดปราน แต่เพราะรสชาติอันยอดเยี่ยมเป็นเอกลักษณ์ เมนูยอดนิยมส่วนใหญ่จึงมักจะหมดก่อนที่รถจะวิ่งมาถึงหน้าร้านดอกไม้เสมอ โดยเฉพาะขนมจีบกุ้ง ขนมจีบปู ซึ่งทันทีที่นึกถึงสีหน้าปลื้มปริ่มของพวกเด็ก ๆ หลังได้กินของว่างแสนอร่อย คเชนทร์ก็พลอยหลงลืมทุกอย่างไปในพริบตา... กระทั่งคู่สนทนาตรงหน้าก็ไม่เว้น

เจ้าของร้านดอกไม้ผลุนผลันไปหยิบกระเป๋าสตางค์ในลิ้นชักหลังเคาน์เตอร์พลางปักหมุดในใจว่าวันนี้จะต้องซื้อขนมจีบกุ้งที่เด็กชายชอบกินกลับมาให้จงได้

“คุณเชนจะไปไหนครับ” ทิวัตถ์เห็นเจ้าของร้านดอกไม้ดูรีบร้อนจึงอดทักขึ้นไม่ได้

“ผมจะไปดักรถซาละเปาครับ พวกเด็ก ๆ ชอบกิน”

“เหรอครับ งั้นเดี๋ยวผมไปด้วย” หนุ่มแว่นนึกสนุกจึงผุดลุกผุดนั่งด้วยความตื่นเต้นก่อนจะผินหน้าไปถามไถ่พรรคพวกทันควัน “ปลาวาฬกินซาละเปาไหมครับ”

เด็กหญิงซึ่งกำลังสุมหัวกับเพื่อนสนิทเหลียวกลับมามองเจ้าของคำถามอยู่ชั่วอึดใจ จากนั้นจึงตอบเร็ว ๆ ก่อนจะสะบัดหน้ากลับไปทันที “กินค่ะ”

“แล้วปลาวาฬอยากกินซาละเปาไส้อะไรครับ” ยิ่งเห็นคเชนทร์กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปกวักมือเรียกรถกระบะต่อหลังคา หน้าตาเหมือนร้านขายซาละเปาเคลื่อนที่ ทิวัตถ์ก็ยิ่งลุกลี้ลุกลน... อยากออกไปซื้อของก็ใช่ แต่อีกใจก็อยากคุยกับทรัพย์สมุทรให้รู้เรื่องเสียก่อน

“ทูออกไปดูก่อนก็ได้ว่าเขาขายอะไรบ้าง เดี๋ยวพี่เดินไปบอกว่าลูกอยากกินอะไร” เห็นคนรักดูกระอักกระอ่วน คิมหันต์ก็ไม่เพิกเฉย

“โอเคครับ” หนุ่มแว่นยิ้มหวานแทนคำขอบคุณก่อนจะวิ่งตื๋อตามหลังเจ้าของร้านดอกไม้ไปติด ๆ ทันทีที่ทิวัตถ์คล้อยหลังไป พ่อม่ายรุ่นใหญ่ก็เทความสนใจทั้งหมดกลับไปที่เลือดเนื้อเชื้อไขแทน

“ปลาวาฬจะกินซาละเปาไส้อะไรครับลูก”

“ไส้ครีมค่ะ”

“แล้วไส้หมูแดงล่ะครับ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วพลางสำรวจท่าทางมีลับลมคมในของพวกเด็ก ๆ อย่างนึกสงสัย “อยากให้พ่อซื้อไว้เผื่อกินพรุ่งนี้เช้าไหมครับ”  

ทรัพย์สมุทรเหลือบมองหน้าเวลาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนเดี๋ยวนั้น “ปลาวาฬขอออกไปดูเองได้ไหมคะคุณพ่อ”

“โอเคครับ แต่พอออกไปแล้วต้องอยู่กับอาทูนะครับ ห้ามวิ่งไปไหนคนเดียว deal?

“Deal!” เด็กหญิงยิ้มรับแล้วก้มมองพื้นสลับกับเพื่อนรักอย่างห่วง ๆ ทว่าสุดท้ายเจ้าตัวก็หักห้ามใจได้ “ปลาวาฬมาแล้วค่าปลาทู!” สิ้นเสียงประกาศ ปลาวาฬก็วิ่งตัดหน้าธาม ตามออกไปเกาะขาคุณอาคนโปรดเพื่อเลือกซื้อของอร่อยด้วยกันในที่สุด

พ่อม่ายรุ่นเล็กที่เพิ่งเดินออกจากครัวมองตามเด็กหญิงอย่างงุนงง แน่นอนว่าคงไม่มีใครจะช่วยไขข้อข้องใจแก่เขาได้นอกไปเสียจากชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอมยิ้มอยู่บนโซฟา “ปลาวาฬวิ่งไปไหนเหรอครับพี่”

“ออกไปซื้อซาละเปา”

จากจุดที่ยืนอยู่ เจ้าของร้านขนมปังมองเห็นท้ายรถกระบะสีแดงดูคุ้นตาจอดเยื้องไปทางคูหาข้าง ๆ ภาพทรัพย์สมุทรขณะเดินพันแข้งพันขาทิวัตถ์โดยที่หนุ่มแว่นเองก็กำลังเงี่ยหูฟังคเชนทร์อธิบายอย่างตั้งใจชวนให้คนเฝ้ามองโล่งอก... ค่อยยังชั่ว ที่แท้ก็ไม่ได้เหม็นขี้หน้ากันถึงขั้นต้องวิ่งหนีไปที่อื่น

เมื่อคลายกังวล ธามก็หันกลับไปคุยกับคิมหันต์ด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน “เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมโอนเงินค่างานเมื่อวานคืนให้นะครับ”

“ธามสะดวกเมื่อไรก็ค่อยโอนคืนพี่แล้วกัน พี่ไม่รีบ”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เย็นผมจะไลน์บัญชีรายรับรายจ่ายไปพร้อมกับสลิปโอ...”

“ลูกพี่!

น้ำเสียงตื่นตระหนกเมื่อครู่เรียกสายตาของชายหนุ่มทั้งสองให้ตวัดมองไปยังต้นเสียงในบัดดล ฝ่ายเวลาที่นั่งยอง ๆ อยู่กับพื้นก็หันรีหันขวางพลางมองไปรอบ ๆ ตัวสลับกับกองผ้าขนหนูบนพื้นอย่างหวั่นวิตก เสี้ยววินาทีที่เด็กชายสบตากับผู้ให้กำเนิด เจ้าตัวก็พุ่งเข้ามากอดขา ดึงชายเสื้อบิดาแล้วยื้อยุดฉุดกันให้ออกเดินไปยังจุดที่ตนเพิ่งผละจาก “ลูกพี่เลือดออกครับป๊า!

“ฮะ?!” ได้ยินดังนั้น คิมหันต์กับธามก็พานตกใจกันทั้งคู่ ทว่าลึก ๆ แล้ว ธามปฏิเสธไม่ได้ว่า ในห้วงของความตื่นตระหนกนั้น มีความปีติซุกซ่อนอยู่เต็มเปี่ยม... ในที่สุด เวลาก็ยอมพูดกับเขาเสียที

ถึงอย่างนั้น ชั่วอึดใจที่กำลังจะอ้าปากโห่ร้องให้สมกับความยินดี คำพูดเตือนสติของคเชนทร์ก็ผุดขึ้นในห้วงความคิด ธามจึงปัดความรู้สึกฮึกเหิมไปจากใจ แล้วจึงเดินไปตรวจสอบอาการของสัตว์เลี้ยงให้ลูกชายก่อน กระทั่งเห็นแมวหน้ากากผุดลุกผุดนั่งพลางเดินวนเป็นวงกลมอยู่บนกองผ้าขนหนูโดยที่มีบางอย่างติดอยู่ที่ก้น ชายหนุ่มก็เริ่มเอะใจ หันไปตะโกนบอกคิมหันต์ที่ลุกตามมาทีหลังด้วยน้ำเสียงลนลาน “พี่หนาวครับ”

“หืม มีอะไรหรือเปล่า”

“พี่ช่วยเปิดกูเกิ้ลหาข้อมูลทำคลอดแมวหน่อยได้ไหมครับ”

“ฮะ?!” ไม่ใช่แค่หนาวเท่านั้นที่ตกใจ ทว่าคราวนี้ทั้งคเชนทร์ที่เพิ่งเดินนำหน้าทูกับปลาวาฬเข้ามาในร้านก็หลุดปากร้องเสียงหลงโดยพร้อมเพรียง

“ลูกพี่น่าจะกำลังคลอดลูกครับ”
.
.
.
.
“ถือจานดี ๆ นะลูก” คิมหันต์นึกเป็นห่วงลูกสาวกับขนมจานใหญ่ในมือเจ้าตัว แต่ครั้นจะออกปากห้าม เขาก็ทำไม่ลง ทิวัตถ์ที่กำลังช่วยคเชนทร์อยู่ในครัวจึงช่วยออกหน้ากำชับเด็กหญิงอีกแรง

“อย่าเข้าไปใกล้มันมากนะครับ เดี๋ยวลูกพี่จะคาบลูกหนี”

“โอเคค่า” ทรัพย์สมุทรรับคำแล้วก็หมุนตัวเดินลิ่วตรงไปยังทิศทางตรงกันข้ามทันที ฝ่ายเด็กชายที่เพิ่งรับแก้วน้ำหวานจากมือคเชนทร์ก็ตั้งท่าพร้อมวิ่ง ถ้าไม่ติดว่าโดนพ่อรั้งตัวไว้เสียก่อน ป่านนี้เวลาคงสับขาตามเพื่อนรักไปแล้ว

“เวลา” เจ้าของร้านขนมปังลูบผมบุตรชายพลางเอ่ยเสียงอ่อน “ถือแก้วดี ๆ ระวังหกนะ”

“ครับ”

ภาพเด็ก ๆ ตั้งใจประคองแก้วกับจานกึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับไปเฝ้าแมวแม่ลูกอ่อนช่างน่าเอ็นดูเสียจนพ่อม่ายทั้งสองคนที่นั่งประจำอยู่ตรงโต๊ะอาหารพากันอมยิ้มไม่หยุด

“พี่ดีใจด้วยนะธาม”

“ยินดีด้วยนะครับคุณธาม” หนุ่มแว่นเปรยพลางวางถ้วยแกงลงบนโต๊ะก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ หนาว

ระหว่างทำคลอดลูกแมว คิมหันต์กับทิวัตถ์ช่วยกันค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ส่วนเจ้าของแมวอย่างคเชนทร์รับบทหมอตำแยจำเป็นที่มีลูกมือเป็นสองพ่อลูกร้านขนมปัง ในขณะที่ปลาวาฬคอยส่งเสียงเชียร์แจ้ว ๆ จนลูกพี่จนคลอดลูกน้อยทั้งสองได้อย่างปลอดภัย ต่อให้ประสบการณ์ดังกล่าวจะทำเอาทุกคนลุ้นจนหมดแรง แต่เมื่อช่วงคับขันคลี่คลาย รายละเอียดทั้งหมดก็ถูกสลักลึกลงในใจ เพราะคงไม่มีใครหลงลืมเหตุการณ์ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของความสัมพันธ์ระหว่างกาลกมลกับธามอย่างแน่นอน

“ขอบคุณครับ” เจ้าของร้านขนมปังคลี่ยิ้มอย่างจริงใจก่อนจะถอนหายใจพรูคล้ายกับยังไม่คลายกังวลเสียทีเดียว... ที่วันนี้เวลายอมคุยกับเขาก็เพราะแมว แล้วเกิดวันนึงเจ้าตัวเลิกเห่อเจ้าสี่ขาขึ้นมา เขาไม่ต้องกลายเป็นพ่อที่ลูกไม่อยากเสวนาด้วยอีกครั้งเหรอ

“เฮ้ย ไม่เอา” หนาวตบบ่าหนุ่มรุ่นน้องเบา ๆ “อย่ามัวแต่คิดถึงพรุ่งนี้จนลืมความสุขตรงหน้าสิ”

“ครับพี่”

พ่อม่ายรุ่นใหญ่เหลือบมองเด็ก ๆ ที่นั่งเฝ้าแมวแม่ลูกอ่อนพลางสรุปอย่างเห็นใจเจ้าถิ่น “พวกเรามากินข้าวกันเถอะ จะได้ไปดูลูกต่อ คุณเชนจะได้นั่งพักเสียที”

นอกจากเวลาแล้ว ก็มีคเชนทร์นี่แหละที่แมวหน้ากากยอมให้จับตัว ชายหนุ่มจึงต้องรับบทหนักกว่าใคร ๆ หนำซ้ำพอทำคลอดลูกแมวเสร็จสรรพ เจ้าตัวยังต้องจัดหาโคมไฟ ปูฟูกใหม่ให้เจ้าเข็มสั้นกับปลาทอง ไหนจะต้องแยกอาหารกับน้ำเพิ่มอีกชุดสำหรับแม่แมวโดยเฉพาะ แถมสุดท้ายยังต้องมาเป็นธุระอุ่นสำรับกับข้าว เลี้ยงดูอาคันตุกะทั้งห้าประสาเจ้าบ้านที่ดี

“โอเคครับ” ธามพยักหน้ารับพลางหันไปคุยกับเจ้าของร้านดอกไม้ที่เพิ่งตามมาสมทบพร้อมกับข้าวจานสุดท้าย “กินข้าวคุณ”

“อืม”

“อะ ผมตักข้าวให้แล้ว” เจ้าของร้านขนมปังหยิบจานที่ตนตั้งใจตักข้าวในปริมาณที่พอเหมาะวางลงตรงหน้าคเชนทร์อย่างเบามือ หนุ่มผมยาวรวบปอยผมขึ้นทัดหูพลางกระแอมเบา ๆ แล้วแสร้งมองไปอีกทาง แม้จะรู้เห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้น ทว่าทั้งคิมหันต์และทิวัตถ์กลับไม่ได้พูดอะไร อีกทั้งยังเฝ้ารอจนธามตักผัดเต้าหู้ทรงเครื่องใส่จานของเจ้าบ้านก่อนแล้วนั่นแหละ ทั้งคู่จึงเริ่มรับประทานอาหารพร้อมรอยยิ้ม

••• TBC ••


ตอนหน้าเรื่องนี้ก็จบแล้วเด้อ
เพราะฉะนั้น ถ้าใครอยากอ่านตอนพิเศษใด ๆ ก็อย่าลืมทิ้งคอมเมนต์แนะนำไว้นะคะ
ไว้เรามาบอกลาลุงไซด์ไลน์กับปลาทูไปพร้อม ๆ กันนะคะ




No comments:

Post a Comment