#34
แม้วันใดหัวใจเธอพ่าย จะมาแพ้ไปกับเธอ
และถ้ามีวันใดน้ำตาเธอเอ่อ จะร้องไห้เป็นเพื่อนกัน
หากเธอสมหวังในวันหนึ่ง ให้รู้ว่าฉัน ยังแอบเห็นและชื่นชม
หากเธอท้อแท้ฉันยังอยู่ หากแม้นไม่เห็นฉัน
จงโปรดรู้ไว้ว่าเธอ ใช่อยู่คนเดียว
ยังมี - เฉลียง
…………………………………………………………………………………………………………
“สวัสดีครับม้า”
“หนาว ทู... มา ๆ มานั่งกินน้ำกินท่ากันก่อน” แม่คุณธามคลี่ยิ้มให้ผม
เดาว่าท่านคงเห็นตอนที่ผมแอบผงกหัวให้ท่านเมื่อครู่ ผมเลยทักท่านบ้าง
“มีอะไรให้พวกผมช่วยไหมครับม้า”
“โอ๊ย ไม่มี ๆ ส่วนใหญ่เตรียมเสร็จหมดแล้ว
เหลือแค่บาร์บีคิว เดี๋ยวค่อยตั้งเตาปิ้งตอนจะกินกันโน่นแหละ” แม่คุณธามโบกมือคล้ายบอกปัดกลาย
ๆ จากนั้นจึงรุนหลังเราสองคนให้เดินตรงไปยังโต๊ะตัวยาวที่เริ่มมีเก้าอี้เรียงประกบไว้บ้างแล้ว
“หิ้วอะไรกันมาเยอะแยะล่ะเนี่ย”
ลุงไซด์ไลน์ยิ้มพลางเหลือบตามองถาดหุ้มฟอยล์ที่วางซ้อนกันสองชั้นในมือ
ก่อนจะพยักพเยิดมาทางหม้อใบเล็กที่ผมถืออยู่ “พวกผมทำสปาเก็ตตี้กับปอเปี๊ยะมา
ให้วางตรงไหนดีครับม้า”
เมื่อวานตอนพี่หนาวบอกว่าช่วงกลางวันก่อนงานเลี้ยง
เขาจะชวนมาทำอะไรสนุก ๆ กันแค่สองคน ผมก็อดตื่นเต้นไม่ได้ ยิ่งพอเห็นพี่ป๊อบปี้แวะมารับเจ้าวาฬน้อยไปนอนด้วยตั้งแต่เมื่อคืน
จิตมารก็สั่งให้ผมเตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อมเสียแต่เนิ่น ๆ เผื่อว่าพอตื่นมาแล้วผู้ชายเกิดคึกคักอยากจะเล่นจ้ำจี้มันเดี๋ยวนั้น
ผมจะได้แสดงความจัดจ้านให้ลุงแกประทับใจ
ที่ไหนได้... พี่หนาวกลับลากผมไปซุปเปอร์แต่เช้า
ก่อนจะกลับมาหัวหมุนหน้าเตากันอยู่สองคน
เอาเถอะ ถึงตอนนี้เราสองคนจะยังไม่ได้กระชับความสัมพันธ์กันจนแนบแน่น
แต่แค่ได้เห็นคุณพ่อรูปหล่อยิ้มหวานตอนทำสปาเก็ตตี้ร้องว้าวมาเซอร์ไพรส์เจ้าตัวเล็ก
ผมก็พลอยมีความสุขไปด้วยอีกคน
“อ้อ... เอาไว้บนโต๊ะเลยก็ได้ ขอบใจนะ”
เจ้าบ้านที่เพิ่งทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งชี้นิ้วนำสายตา ผมเลยเดินตามหลังพี่หนาวไปวางสัมภาระยังที่หมาย
“แล้วปลาวาฬล่ะ ไม่ได้มาพร้อมหนาวเหรอ”
จังหวะที่พี่หนาวเอี้ยวตัวมารับหม้อจากมือผม
เจ้าตัวก็ตอบคำถามแม่คุณธามไปพร้อม ๆ กัน “เดี๋ยวป๊อบปี้พามาเย็น ๆ ครับม้า”
“อ้อ วันนี้ป๊อบปี้มาด้วยเหรอ”
“ครับ วันนี้บ้านผมขนมากันหมดบ้านเลยครับ ผมบอกธามไว้แล้ว”
วันก่อนลุงไซด์ไลน์เล่าให้ผมฟังว่า
ปกติแล้วครอบครัวใหม่ของพี่ป๊อบปี้มักจะจัดปาร์ตี้ฉลองวันคล้ายวันเกิดให้ปลาวาฬต่างหาก
แต่พอเมียเก่าผู้ทรงอิทธิพลของพี่หนาวสืบรู้ว่าหนึ่งในโต้โผใหญ่คาดหวังกับงานคืนนี้มาก
พี่ป๊อบปี้เลยยกขโยงครอบครัวมาสนับสนุนโครงการ ‘ทำดีเพื่อลูก’ ของคุณธามกันพร้อมหน้า
“ดี ๆ คนเยอะ ๆ จะได้ครึกครื้น”
ผมอาศัยจังหวะที่พี่หนาวคุยกับแม่คุณธามกวาดตามองไปรอบ
ๆ ดาดฟ้าชั้นบนสุดของร้านขนมปังอย่างทึ่ง ๆ ส่วนใหญ่อาคารที่อยู่โดยรอบล้วนแล้วแต่เป็นตึกแถวรุ่นเก่าสองชั้น
บ้านคุณธามซึ่งผมเดาว่าน่าจะสร้างทีหลังแถมยังเป็นคูหาสุดท้ายของบล็อกจึงได้วิวเด็ด
ๆ ไปครองโดยไม่โดนตึกสูงใด ๆ บดบัง จะเว้นก็แต่ตึกสูงด้านหลังที่ดูคุ้นตาชอบกล...
อ้อ คอนโดพี่หนาวนี่เอง ว่าแต่ ห้องเราอยู่ตรงไหนนะ
ระหว่างกำลังแอบนับนิ้วไล่ชั้นเพื่อมองหาบ้านหลังใหม่
เสียงพี่หนาวก็ลอยเข้าหู “มีอะไรให้พี่ช่วยไหมธาม”
“ไม่เป็นไรพี่
เดี๋ยวผมขนของอีกไม่กี่รอบก็เสร็จแล้ว” พอหันกลับไปมองต้นเสียง
ผมก็เห็นคุณธามกับน้องผู้ชายอีกคนหิ้วของขึ้นบันไดมาเต็มสองมือ ท่าทางคุณธามแกจะเหนื่อยมาก
เหงื่อนี่เปียกโชกไปทั้งตัวเลย
“เดี๋ยวผมไปต่อลำโพงก่อนนะเฮีย”
พอเห็นคุณธามพยักหน้าให้ คนพูดก็วางของตรงโต๊ะแล้วแบกกระเป๋ากีต้าร์ดิ่งไปอีกมุม
“ให้พี่ช่วยดีกว่าธาม” พูดไม่ทันขาดคำ แฟนผมก็พับแขนเสื้อรอท่า
เห็นแบบนั้นผมเลยเดินตามลุงแกเข้าไปหาเจ้าบ้านด้วยอีกคน “มา มีอะไรที่ต้องขนอีก”
“เอ่อ” คุณธามนิ่วหน้าพลางกลอกตากมองเราสองคนอย่างเกรงใจ
“ขอผมช่วยด้วยคนนะครับ”
ถึงจะไม่สนิทกับเจ้าบ้านเหมือนพี่หนาว แต่ถ้าพ่อคุณของผมต้องลงแรง ผมก็พร้อมจะช่วยแบ่งเบา
อีกอย่าง ไหน ๆ พวกเราก็อยู่ว่าง ๆ ถ้าช่วยกันคนละไม้ละมือ งานทั้งหมดก็จะเสร็จเร็วขึ้น
แถมคุณธามยังจะได้พักเหนื่อยเสียที
“โอเคครับ” พ่องานมองหน้าพี่หนาวกับผมสลับกันอยู่พักใหญ่คล้ายกำลังชั่งใจว่าจะเอายังไงดี
“พี่หนาวช่วยผมเขียนข้อความบนเค้กได้ไหมครับ เดี๋ยวผมจะลงไปยกเก้าอี้มาเพิ่ม”
“เอาสิ เค้กอยู่ตรงไหนล่ะ”
“เดี๋ยวผมพาไปครับ” พอเสร็จจากพี่หนาว
สายตาคุณธามก็เลื่อนมาหยุดที่ผม แต่เอ... ทำไมเจ้าตัวถึงดูลำบากใจนักล่ะ “ส่วนคุณทู”
“ครับ?” แววตาขอโทษขอโพยของอีกฝ่ายทำเอาผมหูผึ่ง รอฟังงานหน้าที่ของตัวเองอย่างจดจ่อ
“คุณทูช่วยลงไปเอากระบะสีขาวสองใบที่วางอยู่ในครัวข้างล่างให้หน่อยนะครับ
ผมเตรียมที่ต้องใช้ใส่ไว้ในนั้นหมดแล้ว”
“ได้ครับ” ผมพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน ในใจนึกขอบคุณอีกฝ่ายซ้ำ
ๆ ที่มอบหมายงานใช้แรงให้จัดการ ขืนปล่อยผมไว้กับเค้ก สาบานได้เลยว่าปลาวาฬกับเวลาจะต้องเป่าเค้กทั้งน้ำตาเพราะอ่านภาษาไก่เขี่ยไม่ออก
เผลอ ๆ อาจจะไม่เหลือเค้กไว้ให้ปักเทียนเลยก็ได้... ซุ่มซ่ามยืนหนึ่งอยู่ทางนี้
อย่าลืมสิ
หลังแยกทางกับสองหนุ่มตรงชั้นสาม ผมก็พาตัวเองลงมายืนหลงทิศอยู่ครู่หนึ่ง
จากนั้นจึงตรัสรู้ได้เองว่า ครัวบ้านนี้น่าจะอยู่ถัดจากส่วนหน้าร้านขนมปังเข้าไปด้านหลัง
จังหวะที่จะหักเลี้ยวซ้ายเข้าไปขนของตามคำสั่ง
หางตาผมก็เหลือบไปเห็นคุณเชนเดินจูงมือเจ้าของวันเกิดตัวน้อยเข้ามาในร้านพอดี ยืนมองจากตรงนี้
ถ้าใครบอกว่าคุณเชนเป็นผู้หญิงผมก็เชื่อ ยิ่งพอเจ้าตัวเดินควงเวลามาพร้อมกัน
บรรยากาศระหว่างทั้งคู่ก็ยิ่งดูเหมือนคุณแม่ยังสาวกับลูกชายสุดหล่อไปกันใหญ่
“คุณเชนสวัสดีครับ” ผมฉีกยิ้มพลางผงกหัวทักทายทั้งคู่
แม้คุณเชนจะมีออร่าเยือกเย็นคล้าย ๆ พวกผู้ใหญ่ แต่เพราะใบหน้าใสเด้งยิ่งกว่าตูดเด็กของแกแท้
ๆ ที่ทำให้ผมรู้สึกตงิดใจไปเสียทุกครั้งที่ตั้งท่าจะยกมือขึ้นแสดงความเคารพตามลำดับอาวุโส...
พนันได้เลยว่าอย่างมากคุณเชนน่าจะแก่กว่าผมไม่เกินสามปี ขืนผมไหว้ เผลอ ๆ แกจะไม่ชอบใจเสียเปล่า
ๆ
“อ๊ะ คุณทูนี่เอง” พอเห็นคุณเชนคลี่ยิ้มส่งให้ ผมก็อดปลื้มใจไม่ได้
คนอะไร ยิ้มสวยไม่พอ หน้าตายังละมุนละไมชวนมองไปเสียทุกมุม
“ไหว้อาทูสิครับเวลา” ผมเหม่อมองคุณเชนก้มหน้าลงคุยกับเวลาด้วยสายตาเลื่อมใส
คอยดูนะ ถ้ามีโอกาสจะแอบถามให้ได้เลยว่าแกใช้ครีมอะไรอยู่บ้าง ผมจะรีบไปตำตามให้ครบเซ็ต
“สวัสดีครับ”
เด็กชายน่ารักแถมยังว่าง่ายเสียจนผมอดใจไม่ไหว
สุดท้ายจึงทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ แล้วจ้องตาเบิร์ธเดย์บอยอย่างใกล้ชิด “สวัสดีครับสุดหล่อ
ไปไหนกันมาเอ่ย”
เวลายิ้มเขินก่อนจะก้มหน้าหลบสายตา เจ้าของร้านดอกไม้เลยช่วยเป็นล่ามให้อีกทอด
“พวกเราเพิ่งมาจากที่ร้านผมน่ะครับ เวลาแกแวะไปดูแมวมา”
พอเงยหน้า ผมก็เห็นคุณเชนยิ้มอย่างอ่อนใจและขออภัยอยู่ในที
ผมเลยส่ายหัวทำนองว่าผมไม่คิดมาก จากนั้นจึงหันไปเต๊าะเด็กน้อยอีกรอบ
“แล้วนี่ต้นอะไรครับ มีดอกสีฟ้าด้วย สวยจังเลย”
“ต้นอะไรครับเวลา”
“พยับหมอกครับ”
แหม ได้อารมณ์แม่ลูกผูกพันไปอีก... พอดีลูกชายขี้อาย
คุณแม่คนสวยเลยต้องคอยกระตุ้น ลูกชายจะได้ไม่เสียมารยาทกับลุงข้างบ้านงี้อ่อ
“คุณทูมาคนเดียวเหรอครับ”
“เปล่าครับ พี่หนาวอยู่ข้างบน” พอได้ยินที่คุณเชนถาม
ผมเลยรีบลุกขึ้นยืนแล้วผายมือไปตรงครัวด้านใน “ผมลงมาขนกระบะใส่ของน่ะครับ”
คู่สนทนามองตามมือผมไปจนสุดแล้วจึงก้มลงเจรจากับเจ้าของวันเกิด
“เดี๋ยวเวลาขึ้นไปดาดฟ้าก่อนนะครับ ลุงเชนจะช่วยอาทูขนของก่อน”
“ครับ” คุณเชนลูบหัวเด็กชายเบา ๆ พลางคลี่ยิ้มอย่างพอใจ
หลังจากส่งเจ้าตัวเล็กขึ้นบ้าน ผมก็เดินนำเจ้าของร้านดอกไม้เข้าไปในครัวเข้าไปขนกระบะพลาสติกแล้วเดินตามกันไต่ขั้นบันไดไปอย่างช้า
ๆ
“ดอกพยับหมอกสวยดีนะครับ” ผมไม่อยากให้บรรยากาศระหว่างเราเงียบจนเกินไป
ผมเลยชวนคนที่เดินตามหลังคุยเรื่อยเปื่อย
“ครับ” เพราะเดินอยู่ข้างหน้า พอเหลียวกลับไป ผมเลยมองเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของอีกฝ่ายได้อย่างไม่ยากเย็น
“ผมให้แกเลือกต้นไม้ที่ร้านต้นนึงเป็นของขวัญ คิดว่าถ้าแกปลูกต้นไม้รอด
ต่อไปถ้าวันไหนเวลาอยากเอาลูกน้องกลับมาเลี้ยงเอง ผมจะได้วางใจ ไม่ต้องคอยเป็นห่วงทั้งคนทั้งแมว”
ฟังแล้วผมก็หลุดหัวเราะเพราะเห็นด้วยล้านเปอร์เซนต์
ซ้ำร้ายมันยังดึงภาพวีรกรรมสุดแสบในอดีตของตัวเองที่รวมหัวทำกับพี่เอิง ไอ้สามกลับมาฉายในหัวเป็นฉาก
ๆ “สงสัยตอนเด็ก ๆ พ่อจะเห็นพวกผมทำต้นไม้ที่บ้านตายบ่อย ตอนขอเลี้ยงหมาพ่อเลยห้ามเด็ดขาด”
ในเมื่อแม่ไม่อยากให้พวกเราสามพี่น้องย่างกรายเข้าใกล้ครัว
พวกผมจึงกลายมาเป็นศิษย์ก้นกุฏิที่พี่แต๋มสามารถใช้สอยให้ทำอะไรก็ได้
ซึ่งหนึ่งในเวรที่พ่อมอบหมาย คือ พวกผมต้องช่วยกันกำจัดวัชพืช รดน้ำต้นไม้
และดูแลสวนในระหว่างที่พ่อเดินสายไปบรรยายตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ แรก ๆ พ่อก็ยังสบายใจที่ได้พวกเรามาเป็นลูกมือ
แต่นาน ๆ เข้าไม้กระถางที่ท่านทั้งรักทั้งถนอมก็สลับกันเฉาตายทีละต้นสองต้น กระทั่งสนามหญ้ายังเหลืองเป็นหย่อม
ๆ ตอนไอ้สามเป็นตัวแทนกลุ่มไปอ้อนขอเลี้ยงหมา มีหรือที่พี่แต๋มจะยอมใจอ่อน
คนเดินตามหลังหัวเราะเสียงหวาน
“คุณทูชอบหมาเหรอครับ”
“ครับ”
“เหมือนปลาวาฬเลยครับ แกเคยบอกผมว่าชอบหมามาก สงสัยจะชอบหมากันทั้งบ้าน...
ใช่ไหมครับ” บุญบาป คุณเชนจะต้องรู้แล้วแน่ ๆ เลยว่าผมกับพี่หนาวเป็นอะไรกัน
ไม่อย่างนั้นเมื่อกี้แกคงไม่มองผมยิ้ม ๆ แบบนั้น
โธ่! เมื่อกี้ผมไม่น่าเอี้ยวคอกลับไปมองคุณเชนเลย
ถ้าไม่เห็นแต่แรกก็ไม่เขินแล้ว
“ก็ มั้งครับ” พูดจบผมก็เม้มปากแน่น ไม่กล้ายิ้ม เดี๋ยวคู่สนทนาจับไต๋ได้พอดีว่าทางนี้กำลังเขินสุดพลัง
“คุณเชนชอบแมวใช่ไหมครับ”
“อืม” ช่วงที่คุณเชนเงียบไปนั้น พวกเราก็ขึ้นมาถึงโถงชั้นสองพอดี
ผมเลยตีหน้านิ่งทำเข้มแล้วหันไปมองหน้าคู่สนทนา ก่อนจะพบว่า คุณเชนกำลังขมวดคิ้วนิ่วหน้าคล้ายกับไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง
“จริง ๆ ขอแค่อยู่ด้วยกันแล้วพูดรู้เรื่อง ไม่ดื้อ ไม่ทำให้ปวดหัว ไม่ทำลายข้าวของ
จะเป็นตัวอะไรก็น่าจะอยู่ด้วยกันรอดนะครับ”
ทำไมฟังแล้วผมถึงรู้สึกว่า
คุณเชนดูไม่ได้ตั้งใจจะเลี้ยงลูกพี่มาแต่ทีแรกวะ
“คุณเชนพูดเหมือนลูกพี่งอกออกมาจากต้นไม้เลยนะครับ”
เจ้าของร้านดอกไม้พยักหน้าพลางหัวเราะร่วน “ครับ”
“คุณเชนล้อผมเล่นแล้วครับ” เพราะไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนขี้อำ
ผมเลยหรี่ตาจ้องเจ้าตัวอย่างคาดโทษก่อนจะก้าวนำหน้าขึ้นบันไดไปเช่นเดิม
“ฮะ ๆๆๆ ” แทนที่พอโดนทำหน้าหมาใส่แล้วจะกลัว
คู่สนทนากลับหลุดหัวเราะออกมาอีกรอบ ดีที่เสียงหัวเราะของคุณเชนเพราะเหมือนเสียงระฆังใบเล็ก
ๆ ที่ฟังแล้วรื่นหู ผมเลยพลอยอมยิ้มตามไปอีกคน
“ผมเจอลูกพี่ที่ร้านจริง ๆ ครับ
ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาโผล่มาจากไหน เคยถามอยู่เหมือนกันว่าแอบไปลืมเจ้าของทิ้งไว้ที่ไหนหรือเปล่า
แต่เขาก็ไม่ตอบ รู้ตัวอีกทีก็อยู่ด้วยกันมาจะครึ่งปีแล้วครับ”
ยิ่งฟังผมก็ยิ่งปลื้มคุณเชนไปกันใหญ่ หน้าตาดีอย่างเดียวไม่พอ
จิตใจยังดีไปอีก
“ผมเคยได้ยินคนพูดว่า
คนที่เลี้ยงแมวส่วนใหญ่เป็นทาสแมว คุณเชนเป็นทาสแมวหรือเปล่าครับ”
“อืม เป็นทาสคือแบบไหนเหรอครับ” คนพูดทำหน้าสงสัย
“ก็แบบต้องคอยตามใจ นายท่านอยากกินอะไรก็หามาให้
อยากให้เกาพุง เกาคางก็ต้องว่างเกาให้ตลอดอะไรแบบนี้น่ะครับ” ที่ผมรู้ก็เพราะรุ้ง
เพื่อนสนิทอีกคนของผมทั้งรักทั้งหลงแมวแบบทุ่มเทถวายหัวมากเสียจนผมกับเฟมยังอดหมั่นไส้ความเยอะสิ่งของนังยาหยี
เจ้าชีวิตสี่เท้าของมันไม่ได้
“ผมไม่น่าใช่ทาสแมวนะครับ น่าจะเป็นแค่แม่บ้านคอยเสิร์ฟอาหารกับทำความสะอาดห้องน้ำให้มากกว่า”
ผมหลุดหัวเราะเต็มเสียง ที่แท้คุณเชนก็เป็นคนขี้เล่นและเป็นกันเองผิดกับมาดสุขุมนุ่มนวลดูนิ่ง
ๆ ที่เห็นภายนอก
แย่ ๆ คนสวยที่ทั้งอารมณ์ดี แถมยังรู้จักพูดจาแบบนี้น่ะชักจะน่ารักเกินไปแล้วนะ
นี่ถ้าผมยังเด็กแล้วได้ใกล้ชิดคุณเชนทุกวันเหมือนเวลา ไม่แน่ผมอาจจะเทิร์นรุกแล้วหาแฟนแบบคุณเชนให้ได้สักคน
“มาแล้วเหรอคุณ”
จังหวะที่ผมเพิ่งก้าวขึ้นเหยียบชั้นสาม
คุณธามเองก็เพิ่งลงจากดาดฟ้ามาเหมือนกัน รายนั้นพอเห็นเราสองคนเดินมาก็พุ่งเข้ามาหาคนที่เดินอยู่ข้างหลังผมทันที
“อืม”
“เดี๋ยวตอนผมลงมาอาบน้ำ ฝากคุณดูเวลาหน่อยสิ”
“อืม”
ผมแทบตาเหลือกหลังเห็นเจ้าของบ้านคว้ากระบะในมือคุณเชนแล้วเดินขึ้นบันไดไปต่อหน้าต่อตา...
เฮ่ลโหลว แล้วผมล่ะ ผมยังจำเป็นอยู่ไหม
ใจคอไม่คิดจะช่วยกันหน่อยเหรอ?!
“ผมขอตัวขึ้นไปดูเวลาก่อนนะครับ”
“ครับ” สิ้นเสียงผม คุณเชนก็หันมายิ้มแหย ๆ พลางเหลือบมองกระบะในมือผมเร็ว
ๆ อยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะยกมือขึ้นปัดผมที่ปรกหน้าทัดหลังหูแล้วหมุนตัวเดินก้มหน้าขึ้นบันไดตามเจ้าของบ้านไปทันที
••••••
“Happy birthday to you, Happy birthday to you. Happy
birthday Happy birthday. Happy birthday to you TWO!”
“อธิษฐานเลยเด็ก ๆ ”
เจ้าของวันเกิดทั้งสองหลับตาพลางตั้งใจอธิษฐานกันอย่างคร่ำเคร่ง
แต่ความที่ทั้งคู่ยังไม่เดียงสา ขั้นตอนนี้จึงเรียบง่ายรวดเร็ว ชั่วอึดใจต่อมา
เทียนเล่มเล็ก ๆ บนเค้กรูปแมวอ้วนสีส้ม กับเค้กรูปหมาตัวใหญ่ใจดีก็ถูกปลาวาฬกับเวลาเป่าจนไร้เปลวไฟ
“ตัดเค้กเลยครับลูก” คิมหันต์ยื่นมีดพลาสติกส่งให้ลูกสาวแล้วคอยลุ้นอยู่ใกล้
ๆ ส่วนคเชนทร์ซึ่งยืนติดกับอาม่าก็ส่งมีดให้เวลาบ้างเช่นกัน ข้าง ๆ นั้นเป็นธามกับป๊อบปี้ที่ต่างขมักเขม้นถ่ายวิดีโออย่างไม่มีใครยอมใคร
ภาพเจ้าของวันเกิดทั้งสองขณะใช้สองมือประคองมีด
หั่นแบ่งเค้กเป็นชิ้นใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ตักใส่จานแล้วล้มบ้าง ทั้งหมดนั้นเรียกรอยยิ้มจากทุกคนได้ไม่ขาด
และก่อนที่ทั้งหมดจะแยกย้ายตามอัธยาศัย กัลปังหาก็ฉวยโอกาสที่แขกในงานยังคงรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนรวบรัดกิจกรรมถัดไปทันที
“มาค่ะทุกคน ถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึกหน่อยเร้ว”
“...เอ่อ...” ธามกวาดตามองหาไอซ์คล้ายตั้งใจจะไหว้วานอีกฝ่ายให้ช่วยถ่ายรูป
การพูดคุยกับคเชนทร์ทำให้พ่อม่ายเล็งเห็นความสำคัญของทุก ๆ วินาทีที่ได้ใช้ร่วมกับครอบครัวมากขึ้น
ชายหนุ่มจึงอยากบันทึกช่วงเวลานี้เอาไว้ย้ำเตือนความทรงจำในภายหลัง
“ธามไปเถอะ เดี๋ยวพี่กับแจสเปอร์สลับกันถ่ายเอง”
“ขอบคุณครับพี่” เมื่อป๊อบปี้หยิบยื่นน้ำใจ ธามก็ไม่ปฏิเสธข้อเสนอ
“ทีนี้ถ่ายรูปแต่ละครอบครัวนะคะ... มา
บ้านธามก่อนเลยแล้วกัน” กัลปังหาโบกมือไล่คิมหันต์กับทูให้พาปลาวาฬไปยืนรออยู่ข้าง
ๆ จากนั้นก็ชี้นิ้วกำกับตำแหน่งไอซ์ให้เขยิบเข้าร่วมฉาก ถึงจะยุ่งจนมือเป็นระวิง
ทว่าเจ้าหล่อนกลับไม่วายจับภาพความเคลื่อนไหวตรงหางตาได้อย่างแม่นยำ
“คุณเชนจะไปไหนคะ อยู่ถ่ายรูปด้วยก่อนสิคะ”
“...เอ่อ...” หนุ่มผมยาวคลี่ยิ้มจืดเจื่อน ลองว่าโดนทักขึ้นกลางวง
เขาคงจะปลีกตัวไปยืนหลบมุมเงียบ ๆ ไม่ได้เสียแล้ว
“มาหนู มาถ่ายรูปกัน”
แม้ใจจะอยากปฏิเสธ แต่ท่าทีเชื้อเชิญแข็งขันของเจ้าบ้านชราก็ทำให้คเชนทร์เปลี่ยนใจ
เอาเถอะ ยอมถ่ายไปให้จบ ๆ ดีกว่ายึกยักชักช้าจนคนอื่นพลอยเสียเวลากันไปหมด คิดได้ดังนั้น
เจ้าตัวจึงยอมปักหลักนิ่งอยู่ที่เดิม “ครับ”
“ธามมายืนตรงกลางเร็ว อุ้มเวลาด้วย
พี่จะถ่ายแค่ครึ่งตัวบน” ตากล้องกิตติมศักดิ์โบกข้อมือเร่งพ่อม่ายให้รีบทำตามบัญชา เพื่อให้รูปถ่ายอออกมาดีที่สุด
เจ้าของร้านขนมปังจึงย่อตัวลงอุ้มบุตรชายขึ้นแล้วย้ายไปยืนตรงกลางของกลุ่ม “ยืนชิด
ๆ กันหน่อยค่ะ คุณเชนเถิบเข้าไปอีกนิดได้ไหมคะ เดี๋ยวตกเฟรม”
สิ้นเสียงกัลปังหา อดีตนางโชว์ก็กระเถิบเข้าไปยืนซ้อนไหล่กว้างของพ่อม่ายตามคำสั่ง
ทว่าจังหวะนั้นเอง ธามกลับตวัดแขนอ้อมมาแตะเอวเจ้าของร้านดอกไม้เบา ๆ ก่อนจะดันตัวเขาให้ขยับมายืนซ้อนด้านหน้า
สายตาของทั้งคู่สบประสานกันเพียงชั่ววินาที ก่อนที่ความรู้สึกแปลก ๆ
จะทำให้เจ้าของร้านดอกไม้กับพ่อม่ายต่างหลบสายตาไปคนละทาง
“โอเค สวยแล้วค่ะ ยิ้มนะคะ...นึง ส่อง... สั้ม!” ป๊อบปี้มองรูปภาพในมือถือสลับกับกลุ่มคนตรงหน้าอย่างพึงพอใจ
“อีกรูปนะคะ คราวนี้ขอแบบร่าเริง ๆ เลยนะคะ”
หลังจากถูกรั้งตัวไว้อีกครั้ง หนุ่มผมยาวก็ยกฝ่ามือขึ้นลูบคางอย่างใจลอย
ส่วนอีกคนที่ยืนประกบอยู่ด้านหลังก็ลอบถอนใจเพื่อระบายความรู้สึกร้อนรุ่มไร้ที่มา...
คงอีกนานกว่าที่ทั้งคู่จะรู้ว่า ความใส่ใจเพียงเล็กน้อยที่ต่างมอบให้แก่กันได้สั่นคลอนกำแพงในใจ
ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้น ความรู้สึกลึกซึ้งบางอย่างก็หยั่งรากฝังเร้นลงในจิตใจ
ยากจะไถ่ถอนคืนกลับเสียแล้ว
“ม้าทำท่ามินิฮาร์ตเป็นไหมคะ”
“มันทำยังไงเหรออาป๊อบปี้”
ขณะที่คนส่วนใหญ่ช่วยกันสอนหญิงชราให้เรียนรู้ท่าถ่ายรูปยอดฮิต
พ่อม่ายก็จับสังเกตได้ว่าลูกชายเริ่มอยู่ไม่สุข “ฮื่อเวลา อย่าดิ้นสิลูก”
กาลกมลยังคงดิ้นรนอยากจะลงจากตัวพ่อให้ได้
“ทนหน่อยนะเวลา อีกแป๊บเดียวก็เสร็จแล้วครับ”
น่าแปลกที่เมื่อคเชนทร์เป็นคนเอ่ยปาก เด็กชายกลับยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี
“โอเคค่ะ ทุกคนร่าเริงเต็มที่นะคะ one... two... say Pepsi!”
“เป๊บ... อ๊ะ!” เหล่ากองเชียร์ที่ยืนลุ้นอยู่โดยรอบอดตกใจไม่ได้เมื่อเห็นเวลาทิ้งตัวโผเข้าใส่เจ้าของร้านดอกไม้กลางคัน
พ่อม่ายกระชับอ้อมกอดพลางกดท่อนล่างของบุตรชายแนบลำตัวเพื่อป้องกันการร่วงหล่น
จังหวะเดียวกันนั้นเอง คเชนทร์ก็ชูมือขึ้นช้อนแผ่นอกของเด็กชายเอาไว้ได้อย่างพอดิบพอดี
“ไม่มีใครเป็นอะไรใช่ไหมคะ” ป๊อบปี้ไต่ถามด้วยสีหน้ากังวล
“ไม่เป็นไรครับ” เมื่อได้ยินหนุ่มผมยาวยืนยันความเรียบร้อยของสถานการณ์
กัลปังหาจึงหันไปขอไอซ์ให้ช่วยถ่ายรูปให้ครอบครัวใหญ่ของตัวเองบ้าง
“เวลา คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ
ถ้าคุณอาเขารับไว้ไม่ทัน จะเจ็บตัวหนักเลยรู้ไหม” อาม่าเอ็ดหลานในไส้ด้วยความเป็นห่วง
คนสร้างเรื่องเม้มปากพลางพยักหน้ารับคำอย่างสำนึกผิด หลังจากนั้น
แม้จะไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่ทั้งหญิงชราและคเชนทร์กลับรับรู้ได้ว่า
เนิ่นนานกว่าที่สายตาตัดพ้อของคนเป็นพ่อจะละจากใบหน้าเลือดเนื้อเชื้อไข
ทันทีที่พิธีกรรมถ่ายรูปอันยาวนานรวมถึงขั้นตอนการแกะของขวัญสิ้นสุด
กัลปังหากับแจสเปอร์ก็อุ้มบุตรสาวคนเล็กซึ่งนอนหลับพับคาอกเข้าไปสมทบกับกลุ่มผู้ใหญ่ที่กำลังนั่งล้อมวง
เฝ้ามองเจ้าของวันเกิดชื่นชมของขวัญที่เพิ่งได้มาใหม่ คิมหันต์จึงอาศัยช่วงเวลานี้ดึงตัวลูกสาวไปนั่งคุยกันตรงมุมสงบแห่งหนึ่งของดาดฟ้า
“ปลาวาฬ”
“ขาคุณพ่อ”
“พ่อมีเรื่องสำคัญจะบอกลูกครับ”
“คุณพ่อจะบอกอะไรปลาวาฬเหรอคะ” ท่าทางดูมีลับลมคมในของบิดาสร้างสีสันแก่บทสนทนาเสียจนเด็กหญิงเผลอตัว
ชะโงกหน้าเข้าใกล้ผู้ให้กำเนิดพลางตั้งใจฟังคำตอบอย่างจดจ่อ
คิมหันต์สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วจึงเปรยความในใจออกมารวดเดียว
“จริง ๆ ที่พ่อพาอาทูมาอยู่ที่บ้านเราด้วยกัน
เพราะพ่อกับอาทูเป็นแฟนกันครับลูก”
“โอเคค่ะ” ทรัพย์สมุทรตอบพลางชะเง้อคอมองกลับไปยังกองของขวัญอย่างอาลัยอาวรณ์
นี่ไม่ใช่ปฏิกิริยาตอบสนองที่คิมหันต์คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า
หรืออีกฝ่ายจะไม่เข้าใจความหมายของประโยคเมื่อครู่?
“ปลาวาฬโอเคจริง ๆ นะลูกที่พ่อกับอาทูเป็นแฟนกัน”
“โอเคค่ะ” เด็กหญิงยังคงพะวงกับของเล่นใหม่ที่เพิ่งได้มาหมาด
ๆ เจ้าตัวจึงอยากกลับไปลูบ ๆ คลำ ๆ สัมผัสสมบัติทุกชิ้นให้ชุ่มชื่นหัวใจ
“ปลาวาฬลูก... ลูกเข้าใจที่พ่อพูดเมื่อกี้จริง ๆ ใช่ไหมครับ”
พ่อม่ายกวาดตามองหน้าเลือดเนื้อเชื้อไขอย่างจริงจัง นอกจากจะไม่ตัดพ้อ
ไม่ตีโพยตีพายใด ๆ ปลาวาฬยังรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างสงบ... แต่มันเป็นไปได้จริง
ๆ น่ะหรือ
เจ้าของวันเกิดขมวดคิ้วพลางถอนหายใจแรงจนไหล่ลู่ “เข้าใจสิคะ
ก็คุณพ่อกับอาทูรักกันเลยเป็นแฟนกัน เหมือนที่คุณแม่รักแด๊ดดี้ยังไงล่ะคะ” เด็กหญิงไขข้อข้องใจแก่ผู้ให้กำเนิดอย่างชัดถ้อยชัดคำพลางนับถอยหลังด้วยความอดทน
แต่ทันทีที่สมองน้อย ๆ กระหวัดถึงใบหน้าจิ้มลิ้มของตุ๊กตาบาร์บี้ตัวใหม่ เจ้าหล่อนก็ลืมตัวจนได้
“คุณพ่อมีอะไรจะบอกปลาวาฬอีกไหมคะ”
“เอ่อ ไม่มีแล้วครับลูก” คิมหันต์ถอนหายใจยาว...
ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปตามคำบอกเล่าของป๊อบปี้ไม่มีผิด แต่ถึงจะรู้ว่าอดีตภรรยาบอกเรื่องของเขากับทูให้ลูกสาวฟังแต่ทีแรก
เขายิ่งไม่ควรใช้มันเป็นข้ออ้างในการหลบเลี่ยงบทสนทนาครั้งนี้อยู่ดี กลับกัน...
ปลาวาฬควรได้รับฟังรายงานสถานะความสัมพันธ์ครั้งล่าสุดจากปากเขาเป็นคนแรกเสียด้วยซ้ำ
“ถ้างั้นขอปลาวาฬกลับไปตรงโน้นได้ไหมคะ”
“ได้ครับ” เป็นอีกครั้งที่คนเป็นพ่อเผลอทอดถอนใจ...
สงสัยเขาจะเลือกช่วงเวลาคุยผิดไป แต่ขืนเขารั้งรอจนทั้งหมดกลับถึงบ้าน ปลาวาฬอาจจะง่วงจนไม่มีอารมณ์คุยด้วย
“ขอบคุณค่ะ”
เจ้าของวันเกิดโน้มคอพ่อลงมาใกล้แล้วกดจูบลงบนแก้มสากเร็ว ๆ
ก่อนจะกึ่งกระโดดกึ่งวิ่งกลับไปที่โต๊ะ
คิมหันต์มองตามแผ่นหลังของลูกสาวอย่างอ่อนใจ แต่เมื่อเหลือบไปเห็นสีหน้าเป็นห่วงระคนกังวลของทิวัตถ์
เขาก็หลุดยิ้มพลางส่ายหน้า จากนั้นจึงส่งถ้อยคำปลอบประโลมผ่านสายตากลับไปด้วยหวังให้อีกฝ่ายไม่พลอยเป็นกังวล
เอาเถอะ ถึงคราวนี้ปลาวาฬจะไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร
แต่อย่างน้อย เรื่องที่ควรจะพูดก็พูดก็บอกออกไปครบถ้วนแล้ว หลังจากนี้
สิ่งที่เขาต้องทำคงเหลือเพียงแค่ มอบความรักแก่คนสำคัญทั้งสองอย่างเต็มที่
เพื่อที่สุดท้าย เจ้าตัวเล็กจะคุ้นเคยและอยู่ร่วมกับคนรักของเขาได้อย่างสันติและมีความสุขอย่างแท้จริง
••••••
เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนหัวค่ำทำให้คเชนทร์ตั้งใจอยู่รั้งท้ายเพื่อช่วยธามกับไอซ์เก็บของ
แม้จะไม่แน่ใจว่าด้วยเหตุอันใด เขาจึงรุ่มร้อน เป็นห่วงความรู้สึกของพ่อม่ายจนอยู่ไม่สุข
แต่เมื่อไพล่คิดไปว่า สิ่งที่ทำอยู่นี้คงพอตอบแทนน้ำใจของอีกฝ่ายเมื่อครั้งที่ช่วยเปลี่ยนหลอดไฟให้ตนโดยไม่ได้ร้องขอ
ความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายก็คลายลงราวปลิดทิ้ง
ทันทีที่การเก็บกวาดส่อเค้าสำเร็จเสร็จสรรพ
ไอซ์ก็ขอตัวกลับบ้านไปก่อน จะเหลือก็เพียงเจ้าของร้านดอกไม้ที่ยังยืนเก้ ๆ กัง ๆ
อยู่ในครัวของหลังร้านขนมปังคล้ายมีบางอย่างตกค้างอยู่ในใจ แต่ก่อนที่เจ้าตัวจะเอื้อนเอ่ยคำ
เจ้าบ้านที่ก้ม ๆ เงย ๆ จัดของคืนใส่ตู้เย็นก็เปรยขึ้นด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
“ง่วงหรือยังคุณ”
“หืม?” หนุ่มผมยาวเลิกคิ้วพลางมองแนวโค้งของกระดูกสันหลังที่แพลมออกมาจากบานประตูตู้เย็น
“กินเบียร์กัน” พ่อม่ายผู้กำลังนั่งยอง
ๆ อยู่หลังบานประตูตู้เย็นชะโงกหน้าออกมาส่งยิ้มให้พร้อมกับอวดเบียร์กระป๋องเย็นเจี๊ยบในมือ
“อืม เอาสิ”
“ไปคุณ” พอได้ยินคเชนทร์ตกปากรับคำ
ธามก็ฉวยถุงพลาสติกใบใหญ่มาใส่เบียร์เกือบสิบกระป๋องแล้วหิ้วขึ้นบันไดไปเดี๋ยวนั้น
ฝ่ายเจ้าของร้านดอกไม้ก็ไม่ได้ซักไซ้ให้มากความ ชายหนุ่มเพียงเดินตามอีกฝ่ายขึ้นบันไดกลับขึ้นไปยังชั้นดาดฟ้าพลางครุ่นคิดถึงเรื่องที่อยากสนทนากับเจ้าบ้านอย่างคร่ำเคร่ง
หลังหย่อนถุงเบียร์ใส่ลงในถังน้ำแข็ง พ่อม่ายก็ล่วงหน้าไปรออาคันตุกะตรงมุมหนึ่งของดาดฟ้า
ชายหนุ่มหยิบเก้าอี้พลาสติกสองตัวมาวางตั้งประจันหน้ากับวิวม่านราตรีฉาบแสงนีออน
“นั่งสิคุณ” สายตาของเจ้าถิ่นเฝ้ามองตรงมานิ่ง
ๆ มันแน่วแน่และหนักแน่นเสียจนคเชนทร์ยอมทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ว่างอีกตัวที่ตั้งอยู่ข้าง
ๆ กัน จากนั้นธามก็ยื่นกระป๋องเบียร์ที่เปิดแล้วส่งให้ “อะ กินสิ”
“ขอบใจ” อดีตนางโชว์อมยิ้มพลางปรายตามองอีกฝ่ายอย่างทึ่ง
ๆ
เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า ผู้ชายทึ่ม ๆ ก็มีมุมสุนทรีย์เหมือนคนอื่น...
แต่เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลังเถอะ
เวลานี้มีเรื่องอื่นที่เขาอยากพูดมากกว่า
“คุณโอเคใช่ไหม” เมื่อคำถามไม่ได้รับคำตอบ
หนำซ้ำธามยังทำทีคล้ายว่าฝากระป๋องเบียร์ในมือเปิดยากหนักหนา คเชนทร์ก็พอเดาออกว่าอีกฝ่ายจงใจประวิงเวลา
เขาจึงว่าต่อ “อดทนหน่อยนะคุณ”
เหตุหวาดเสียวตอนถ่ายรูปน่าจะทำให้เกือบทุกคนสังเกตเห็นช่องว่างที่กั้นกลางระหว่างสองพ่อลูกได้ลาง
ๆ แต่ยิ่งคนเป็นพ่อพยายามหาโอกาสเข้าใกล้เวลามากเท่าไร
ท่าทีเพิกเฉยของเด็กชายก็ยิ่งทำให้เจ้าของร้านดอกไม้อดสะทกสะท้อนใจแทนธามไม่ได้
“อืม” พ่อม่ายครางรับเบา ๆ
คเชนทร์บอกไม่ได้ว่าสีหน้าขมขื่นหลังกระดกเบียร์ที่เห็นอยู่นี้บ่งบอกถึงรสชาติของน้ำเมา
หรือมันคือความรู้สึกแท้จริงที่ซุกซ่อนเร้นลึกอยู่ภายในใจคู่สนทนากันแน่ แต่คนนอกอย่างเขาจะทำอะไรได้นอกเสียจากปลอบใจอีกฝ่ายกันเล่า
“จริง ๆ ถ้าได้ใช้เวลาด้วยกันบ่อย ๆ
เข้า ผมว่าแกก็น่าจะดีขึ้นนะ”
“อืม” สิ้นเสียงนั้น
ธามก็ยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด
“อยากเมานักเหรอคุณ”
“เปล่า” พ่อม่ายเอ่ยหน้าตายพลางบีบกระป๋องเหล็กในมือจนยับยู่
“ผมหิวน้ำ”
“อืม”
ขณะที่เจ้าของบ้านเดินไปเปิดถังน้ำแข็งแล้วหยิบเบียร์กระป๋องที่สอง
เจ้าของร้านดอกไม้ก็เลื่อนกรอบสายตามองไปอีกทางพลางทอดอารมณ์
จริงอยู่ที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า เขาจะได้เห็นวิวตรงหน้าผ่านตามาแล้ว ทว่าเมื่อได้ใช้เวลาเพ่งมองรายละเอียดทั้งหลายดี
ๆ อีกครั้ง ชายหนุ่มกลับค้นพบบางอย่างที่น่าสนใจ
ไม่นึกว่าจากตรงนี้จะมองเห็นรถบนทางด่วนด้วย...
ว่าแต่ ดึกป่านนี้ ทำไมรถรายังเต็มถนน
หรือเดี๋ยวนี้ผู้คนไม่รู้จักหลับจักนอนกัน?
แต่ต่อให้เป็นแบบนั้นจริง ก็ไม่น่าแปลก
เพราะสมัยที่ยังทำงานกับโจโจ้ เขาพบเจอกลุ่มคนที่ทำตัวว่างเปล่ามาทั้งวันเพื่อจะเริ่มใช้ชีวิตจริง
ๆ จัง ๆ หลังพระอาทิตย์สิ้นแสงอยู่ถมไป
ธามเดินกลับมาหยุดใกล้ ๆ ชายหนุ่มยืนหันหลัง
ทิ้งสะโพกพิงระเบียงแล้วเปรยขึ้นเบา ๆ “เล็กเป็นคนตั้งชื่อให้เวลา” มุมปากของชายหนุ่มกดลึกจนเกิดเงาสองจุดตรงกึ่งกลางใบหน้า
“เขาบอกผมโกรธลูกเลยตั้งชื่อตลก ๆ แก้แค้น”
“หึ!” ฟังแล้วคเชนทร์ก็แอบเห็นด้วยกับแม่เวลา เจ้าของร้านดอกไม้ผุดลุกขึ้นก่อนจะก้าวไปหยุดยืนข้าง
ๆ ธาม หากแต่หันหน้าเหม่อมองวิว “ถ้าตอนนั้นคุณเป็นคนตั้งชื่อให้เวลา
ตอนนี้แกจะชื่ออะไร”
“ธรณ์” ดวงตาคนพูดเป็นประกาย
เจ้าตัวกระตุกมุมปากขึ้นเร็ว ๆ ก่อนจะอ้อมแอ้มสารภาพ “มาจากทรมานแม่”
อดีตนางโชว์หลุดหัวเราะพลางส่ายหัวดิก “คุณนี่จริง
ๆ เลย”
“กาลแปลว่าเวลา กมลแปลว่าหัวใจ เขาตั้งชื่อลูกว่ากาลกมล
เพราะเวลาคือลูก
ส่วนผมคือหัวใจ”
“ภรรยาคุณคิดถูกแล้วล่ะที่เป็นคนตั้งชื่อให้เวลาเอง
ชื่อกาลกมลเพราะกว่าทรมานเยอะเลย”
“อืม” เจ้าของร้านขนมปังหลุดหัวเราะแค่เพียงอึดใจก่อนที่ใบหน้านั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยทันควัน
“ช่วงแรก ๆ ผมเคยช่วยเล็กเลี้ยงเวลาด้วยนะ แต่พอเปลี่ยนมือเป็นผมอุ้มทีไร
ลูกก็ร้องไห้ไม่เลิก” ธามยิ้มเยาะตัวเองพลางยกขอบกระป๋องจรดริมฝีปากอยู่ชั่วครู่แล้วนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น
“เล็กบอกว่ามือผมร้อนไปหน่อย เด็กที่เกิดวันมรสุมเข้าอย่างเวลาเลยไม่ชิน”
“แล้วคุณทำไงต่อ” แม้คเชนทร์จะสั่งตัวเองไม่ให้จ้องมองคู่สนทนา
แต่ลูกกระเดือกที่ขยับคล้ายระลอกคลื่นก็ทำลายสมาธิเขาดีเหลือเกิน
“ก็พยายามให้มากขึ้น
เผื่อว่าถ้าเวลาคุ้นมือผมแล้วเขาจะไม่ร้องไห้” พ่อม่ายยิ้มขื่น
“อืม”
“ผมไม่เคยท้อนะ
ถึงเวลาจะร้องไห้ทุกครั้งที่อยู่กับผม แต่มันมีอยู่ครั้งนึง เล็กพักผ่อนไม่พอเลยเป็นน้ำในหูไม่เท่ากัน
หมอให้ยามากิน สั่งให้นอนพักมาก ๆ แต่เขากลับนอนไม่ได้
เพราะต่อให้ผมจะทำยังไงเวลาก็เอาแต่ร้องไห้ท่าเดียว เล็กเลยต้องอุ้มลูกแล้วนั่งสัปหงกทั้งคืน
...” ธามเหม่อมองไปไกลคล้ายภาพเหตุการณ์ในวันวานโลดแล่นอยู่ตรงปลายสายตา “ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ผมก็ค่อย ๆ ถอยออกมาอยู่ห่าง ๆ แล้วก็ช่วยทำอย่างอื่นแทน เวลาจะได้ไม่โยเย
เล็กเองก็จะได้ไม่ต้องหักโหมจนป่วย”
ละอองความเศร้าที่แผ่กระจายออกมาจากคนข้าง
ๆ ทำให้คเชนทร์อดคิดไม่ได้ว่า แผ่นหลังแข็งแรงนั้นกำลังแบกรับความเดียวดายอาดูรเอาไว้เต็มพิกัด
หนุ่มผมยาวสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบบ่ากว้างเบา ๆ “ไม่เป็นไรนะคุณ”
“ผมชินแล้ว...ไม่คิดมากหรอก”
ฟังแล้วคเชนทร์ก็อดคิดไม่ได้ว่า ประโยคเมื่อครู่นี้
หากผู้พูดเป็นคนอื่น หัวใจเขาจะหดเกร็งจนเจ็บปวดเช่นนี้หรือไม่
ริ้วความรวดร้าวแปลกใหม่ในอกช่วงชิงคำพูดปลอบประโลมไปทั้งหมด
อดีตนางโชว์จึงอาศัยเครื่องดื่มรสขมกดข่มความรู้สึกไม่พึงประสงค์นั้นลงคอไปอย่างยากเย็น
“ถ้าไม่ได้จัดงานวันเกิดให้เวลา ผมคงไม่มีทางรู้เลยว่า
ก่อนหน้านี้บ้านผมเงียบแค่ไหน” ธามก้มหน้าพลางเอ่ยเสียงเครือ
“ม้ากับเวลาทนอยู่ได้ยังไง... ผมทำกับลูกแบบนั้นได้ยังไง”
อาจเป็นเพราะฤทธิ์ร้ายของแอลกอฮอล์ ผสานเข้ากับความอ้างว้างที่เล็ดรอดผ่านช่องว่างของบทสนทนาที่ทำให้จู่
ๆ คเชนทร์ก็ดึงตัวพ่อม่ายมากอดเอาไว้พลางลูบปลอบขวัญ “ไม่เป็นไร มันผ่านไปแล้วนะ”
สัมผัสอบอุ่นกับกลิ่นหอมหวานที่โอบล้อมรอบกายทำให้ธามรู้สึกสงบราวกับคนหลงทางพบทางกลับบ้าน
ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจ ก่อนจะทิ้งตัวลงอิงแอบ
เอื้อมคว้าคนตรงหน้าเข้าสู่อ้อมแขนของตน “เวลาที่บ้านมีเสียงคนคุยกันมันดีกว่าตอนอยู่กันเงียบ
ๆ เยอะเลยนะคุณ”
“ผมรู้ ผมรู้” เจ้าของร้านดอกไม้ตวัดฝ่ามือขึ้นตบตรงต้นคอของอีกฝ่ายอย่างเนิบเบาพลางเปรยอย่างอ่อนโยน
“ต่อไปมันจะค่อย ๆ ดีขึ้นนะ”
“จริงเหรอ”
ความสูญเสียไม่ได้ทำร้ายแค่ธาม
แต่ความรับผิดชอบในฐานะหัวหน้าครอบครัว ความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่การงาน
รวมถึงความคาดหวังของคนรอบข้างต่อการเป็นทั้งพ่อและลูกที่ดีให้ได้ในเวลาเดียวกัน
ยิ่งนานวัน สิ่งเหล่านั้นก็ยิ่งสั่งสมและกดทับตัวเขาจนแทบจะหายใจไม่ออก
ครั้นจะเปิดอกระบายความอัดอั้นตันใจให้มารดารับฟัง
ความห่างเหินเขินอายที่พบได้ในครอบครัวคนจีนหัวเก่าก็ทำให้พ่อม่ายเก็บกักความรู้สึกทั้งดีร้ายไว้กับตัว
“จริงสิ” ขณะขบคิดหาเหตุผลสนับสนุนคำพูดดังกล่าว
คเชนทร์ก็พยายามจับจ้องยวนยานบนทางด่วนเพื่อดึงความสนใจของตนออกห่างจากอ้อมกอดอันยาวนานจนชวนประหม่าที่ได้รับ
“...นี่...”
ธามนิ่งฟังทว่ายังคงกอดเจ้าของร้านดอกไม้ไม่ปล่อย
“เวลาชอบเค้กลูกน้องที่คุณทำให้มากเลยนะ
ตอนตัดเค้กแกดูลำบากใจมาก ทำท่าเหมือนไม่อยากตัดเลย” พูดมาถึงตรงนี้
หนุ่มผมยาวก็ตระหนักว่า ลึก ๆ แล้ว เขารู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย ถึงตาทึ่มนี่จะมีข้อเสียนับไม่ถ้วน
ทว่าสิ่งที่เจ้าตัวพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นตลอดหลายวันที่ผ่านมาก็น่าประทับใจและควรค่าแก่การสนับสนุนเป็นที่สุด
พ่อม่ายคลายวงแขนแล้วก้มหน้าลงมองสบตากับคู่สนทนาอย่างซาบซึ้ง
“ขอบคุณคุณมากนะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ผมคงพลาดอะไรไปเยอะเลย”
ความชิดใกล้แบบไม่คาดฝันทำให้คเชนทร์ไม่เป็นตัวของตัวเอง...
นานเท่าไรแล้วที่ร่างกายของเขาห่างหายจากความรู้สึกอบอุ่น
ปลอดภัยแบบนี้
ไหนจะท่วงท่ากับสายตาแปลก ๆ ที่อีกฝ่ายมองมา
อยากจะรู้จริง ๆ ว่าตาทึ่มนี่คาดหวังอะไรจากเขากันแน่
ในเมื่อไม่กล้าถาม ถ้าอย่างนั้นก็หนีก่อนแล้วกัน
“เอ่อ ผม... ง่วงแล้ว...” ไม่ทันขาดคำ
เจ้าของร้านดอกไม้ก็ขยับตัวถอยออกจากอ้อมกอดของคู่สนทนา
“เดี๋ยวสิคุณ”
“ผมกลับเลยดีกว่า มันดึกแล้ว”
เมื่อเห็นหนุ่มผมยาวตั้งท่าจะหมุนตัวตีจาก
ธามก็ฉุดข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ “ดึกแล้ว เดี๋ยวผมเดินไปส่ง”
ทั้งที่ปากอยากบอกว่าไม่ แต่สายตาเว้าวอนคู่นั้นกลับสะกดจนคเชนทร์พูดอะไรไม่ออก
แม้ระหว่างทางกลับบ้าน ทั้งคู่จะไม่พูดจากันสักคำ
หนำซ้ำยังก้มหน้าก้มตาเดินคล้ายกับมีเรื่องว้าวุ่นกวนใจ แต่ธามก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด
จวบจนเมื่อเห็นว่าคเชนทร์กำลังไขประตูกระจกบานใน พ่อม่ายจึงเอ่ยขึ้น
“เจอกันพรุ่งนี้นะคุณ”
อดีตนางโชว์หันหลังให้ก่อนจะปิดประตูใส่โดยไม่ตอบคำ
ทว่าจังหวะที่เจ้าตัวเกี่ยวปอยผมปรกหน้าขึ้นทัดหู ริ้วสีแดงบนแก้มขาว ๆ
กลับฟ้องความรู้สึกของเจ้าตัวอย่างเด่นชัด คุณพ่อลูกหนึ่งจึงเบิกบานใจเสียจนสามารถยืนนิ่ง
ๆ อยู่ตรงประตูเหล็กสีเทาทึมหน้าร้านดอกไม้ รอจนเห็นแสงไฟจากชั้นสอง จากนั้นจึงหมุนตัวเดินจากมาโดยไม่รู้สึกอึดอัดขัดใจที่ต้องทำอะไรไร้สาระแบบนี้เลยสักนิด
••• TBC •••
สารภาพเลยว่าเราเพิ่งปั่นตอนนี้เสร็จแบบหมาด
ๆ เลยค่ะ
เพราะงั้น
ขอยกยอดการตอบเมนต์ไปคราวหน้านะคะ (แง...ขอโทษค่ะ ไม่โกรธเราน้า)
ถ้าอ่านแล้วชอบ หรือไม่ชอบอย่างไร
อย่าลืมบอกกล่าวกันบ้างนะคะ ^^