#36
สิ่งใดดูเหมือนมีค่า
ค้นไขว่และคว้ากันไป
ไม่ขอยึดยื้อให้เหนื่อยใจ
ฉันขอเธอคนเดียว
โลกกลม ๆ
จะเป็นของใคร ไม่เคยจะข้องเกี่ยว
มีแต่เธอผู้เดียวก็สุขใจ
เธอให้ใจจริงแท้และมีความหมาย
เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม
เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม
- บิลลี่ โอแกน
…………………………………………………………………………………………………………
หากจะให้หาโปรเจคไหนที่ลูกค้าขยันเปย์รัว
ๆ เหมือนกลัวเงินหมดอายุแบบอีตาคุณพันเลิศ ผมบอกเลยว่ายาก
ขนาดวันสุดท้ายของโปรเจค
ตาลุงคาสโนวาก็ยังคงคอนเซปต์ป๋า พาทุกคนในทีมมาเลี้ยงบุฟเฟ่ต์โรงแรมฉลองส่งท้ายคล้ายที่บ้านมีเครื่องพิมพ์แบงค์
ต้องขอบคุณจังหวะ
โอกาส และพรหมลิขิตจริง ๆ ที่เกื้อหนุนให้พี่จี๊ดฉกงานนี้มาได้ เพราะนอกจากคอนซัลท์ลูกกะจ๊อกอย่างพวกผมจะอิ่มจังตังค์อยู่ครบกันถ้วนหน้าแล้ว
ราว ๆ ต้นปี หัวหน้าแก๊งอย่างคุณอาทิมาก็จะกลายเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเจ้าสัวบริษัทเครื่องดื่มชูกำลังเจ้าดังอีกด้วย
“ในฐานะตัวแทนผู้บริหาร
ผมขอขอบคุณคอนซัลท์และทีมงานทุกคนที่ช่วยกันผลักดันจนงานนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี หากขาดความร่วมแรงร่วมใจจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
อีกนานเลยกว่าที่ King’s Bev. จะรู้ว่า จริง ๆ แล้ว พวกเราสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้ต้นทุนต่าง
ๆ น้อยลง เพราะฉะนั้น ผมอยากให้ทุกคนถือว่า อาหารมื้อนี้คือคำขอบคุณจากใจจริงครับ”
คุณพันเลิศชูแก้วน้ำขึ้นพลางคลี่ยิ้มแจกจ่ายแก่ทุก ๆ คนในโต๊ะก่อนจะพักสายตาหยุดที่หัวหน้าทีมคอนซัลท์ข้าง
ๆ ตัว
ใช่ครับ
พี่จี๊ดโดนตาลุงคาสโนวาลากไปนั่งด้วยกันตรงหัวโต๊ะอีกแล้ว
ต่อให้บริษัทผมจะไม่ได้ผลกำไรหรือชื่อเสียงจากงานนี้ในวงกว้าง
แต่ถ้าวัดความสำเร็จด้วยปริมาณความรักจากผู้จ้างงาน เจ้านายผมคงได้คะแนนเต็มร้อย ถ้าไม่เชื่อ
ลองจ้องแสงวิบวับของโคตรเพชรบนนิ้วนางข้างซ้ายของพี่จี๊ดดูก็ได้ รับรองตาพร่ากันทุกคน
“แล้วถ้าพวกเราอยากได้มากกว่าคำขอบคุณล่ะคะบอส
จะพอมีลุ้นไหม” เท่าที่ดูจากสีหน้าคาดหวังของยูสเซอร์ทั้งโต๊ะ ผมเดาว่าคุณแก้ว
เลขาหน้าห้องคนสวยของคุณพันเลิศจะต้องถูกเลือกให้เป็นตัวแทนหมู่บ้านมาเจรจาต่อรองขอโบนัสเพิ่มเด็ด
ๆ
ตาลุงสายเปย์ยิ้มมุมปากแต่ไม่ตอบ
ซ้ำยังผลักภาระมาให้แฟนผมเสียอีก “หนาวว่าไง”
ผมอาศัยจังหวะนั้นแอบจ้องตากับผู้ชายรูปหล่อที่นั่งตรงข้าม
เขาคลี่ยิ้มในแววตาส่งให้ผมเร็ว ๆ ก่อนจะสวมบทบาทคนขรึมทำเข้มใส่พวกลูกน้องอย่างเหนือชั้น
“ถ้าตามปกติคุณทำงานดี ตอนประเมินผลประจำปีก็น่าจะไม่มีปัญหานะครับ”
“โห่
คุณหนาวอะ!”
ลองว่าได้ฟังท่าน
HR Director ผู้กล้าแกร่งยิ่งกว่าหินผาแสดงธรรมใส่
มารกิเลสตัวไหน ๆ ย่อมต้องแพ้พ่ายกันทั้งนั้น ดูอย่างยูสเซอร์ทั้งหมดในโต๊ะเวลานี้สิ
แต่ละคนทำหน้าเหมือนอยากกลั้นใจตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด พนันได้เลยว่าถ้าลุงไซด์ไลน์ไม่ได้นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้
แกจะต้องโดนเม้าท์แรง หรือไม่ก็โดนเผาพริกเผาเกลือสาปแช่งแล้วแหง ๆ
“ใจเย็นพวกคุณ”
เจ้ามือหัวเราะชอบใจคล้ายกับท่าทีเดือดร้อนของพนักงาน คือของหวานของลุงแกงั้นแหละ
“โธ่บอสคะ”
คุณพันเลิศโบกมือปรามลูกน้องให้สงบแล้วเปรยหน้าเป็น
“ผมว่าเก็บไปรอลุ้นตอน appraisal
แบบที่คุณหนาวว่าเถอะ รับรอง... มีเฮ” พูดแค่นี้ ยูสเซอร์ทั้งโต๊ะก็ยิ้มออก
อีกทั้งยังดูกระตือรือร้นผิดจากเมื่อครู่ลิบลับ “แต่วันนี้ผมขออย่างเดียว
ห้ามคุยเรื่องงานกันเด็ดขาด โอเคไหมทุกคน” (หมายเหตุ: appraisal หรือ การประเมินผลการปฏิบัติงาน)
“โอเค!”
การวางตัวกับลูกน้องของเจ้านายบริษัทนี้แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ขณะที่แฟนผมยึดถือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ จนตรงทื่อยิ่งกว่าไม้บรรทัด ตาลุงคาสโนวาก็แหกมันทุกกฎ
แถมยังสปอยล์ลูกน้องเก่งเหมือนกลัวเรตติ้งตก แต่ถึงคนอื่นจะปลื้มเจ้านายสายเปย์มากกว่า
ทว่าหลังจากจับลุงแกแก้อีมี่ (และแก้ผ้า) ครั้งแล้วครั้งเล่า พอเห็นพี่หนาวสวมบทบาทท่าน
HR Director ทีไร ร่างกายผมเป็นต้องอ่อนระทวยตัวย้วยตัวย่นทุกที...
งุ้ย คนบ้า
ดุทั้งนอกบ้าน ดุทั้งบนเตียง
เสาร์อาทิตย์หน้าถ้าพลาดจากธีมหนุ่มออฟฟิศ
อย่างน้อย ๆ ลุงแกต้องผูกเนกไทอะ ไม่งั้นผมไม่ยอมจริง ๆ ด้วย
“ทานเยอะ ๆ
นะคะบอส” คุณมิ้มวางกุ้งแม่น้ำเผาตัวโตลงตรงหน้าพี่หนาว เจ้าตัวเลิกคิ้วมองเครื่องบรรณาการก่อนจะเหลือบมองผมแล้วกดมุมปากจนเห็นลักยิ้ม
“เดี๋ยว ๆ
พี่มิ้ม อะไรยังไง นี่เรามากินบุฟเฟต์นะคะ” คุณโอ้เอ้คุยกับคุณมิ้มแต่พยักเพยิดมาทางผมที่ยังคงอึ้งกับสีหน้าท้าทายของลุงแกไม่หาย
“พี่ไม่เห็นเหรอว่าคุณทูนั่งอยู่ตรงนี้เองนะ”
“คุณทูฝากพี่ตักกับข้าวให้บอสจ้ะ”
คุณมิ้มเชิดหน้า ยักไหล่ ปรายตามองผมอย่างเหนือ ๆ “เดี๋ยวพอคุณทูไม่อยู่ พี่จะได้คอยดูแลบอสแทนคุณทูไงล่ะ
จริงไหมคะคุณทู”
“อ่า...
ครับ” ผมมองหน้าพี่หนาวสลับกับสาว ๆ Destiny’s Child อย่างงง ๆ
เปล่าเลย
ผมไม่ได้ฝากใครทำอะไรทั้งสิ้น ผู้ชายของผม ผมดูแลเองได้ แต่จังหวะที่กำลังจะสั่นหัวปฏิเสธ
ซีเนียร์ประจำทีมซึ่งนั่งถัดไปทางซ้ายก็ยื่นหน้ามากระซิบใกล้ ๆ “หึงมะแก รู้สึกอะไรบ้างยัง”
ทำไมพี่ฟี่จะต้องอยากรู้ด้วยว่าผมรู้สึกยังไง...
ไม่มีใครตอบผมหรอก
แต่ลำพังสีหน้าสาแก่ใจของกลุ่มห้าสาว HR ขาเม้าท์ก็พอบอกอะไรได้ลาง ๆ
หึ
สงสัยผมจะโดนคนกันเองรวมหัวกลั่นแกล้งสั่งลาเสียแล้ว
“บอสกินเลยค่ะ
เดี๋ยวเย็นไปจะไม่อร่อย”
“ขอบคุณครับ”
ปากพี่หนาวไม่ได้ยิ้ม แต่ดวงตาฉายแววร้ายกาจ... สนุกมากไหมลุง
“ทุกคนกินข้าวกันเถอะครับ อีกเดี๋ยวจะได้กลับไปทำงานกันต่อ”
ได้ยินแบบนั้น
ผมก็หลุดยิ้ม ส่วนแฟนผมก็อมยิ้มเหมือนกัน
พี่ฟี่นะพี่ฟี่
ทั้ง ๆ ที่ตัวเองน่ะรู้ดีกว่าใครว่าพี่หนาวรักผม หลงผมจะตาย ยังจะกล้าเป่าหูพวกสาว
ๆ ให้มาทดสอบขาเตียงของเราสองคนอยู่ได้ เป็นไงล่ะ โดนท่าน HR
Director สวนกลับ... หมัดเดียว หงายหลังตึงทั้งวง
.
.
.
.
หลังฟูลเทิร์นออกจากห้องน้ำ
จังหวะที่ผมกำลังเดินกลับไปที่โต๊ะ พอดีกับที่คุณเซียงมุ่งหน้ามาทางห้องน้ำเช่นกัน
ผมเลยหยุดยืนแล้วหลบทางให้ แต่แทนที่จะเดินสวนไป อีกฝ่ายกลับชะงักฝีเท้าแล้วหยุดยืนตรงหน้า
“คุณทู”
“ครับคุณเซียง?”
ผมพยักหน้ารับแล้วจ้องตาคาดเดาเจตนาของอีกฝ่ายไปเรื่อยเปื่อย
ที่ผ่านมาเราแทบไม่ได้คุยกันนอกห้องประชุม
ผมเลยจ้องหน้าคู่สนทนาพลางคิดไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าตัวเองอ๊องจนลืมส่งมอบงาน หรือเซฟไฟล์เอกสารสำคัญอะไรใน
archive
(คลังสำหรับเก็บข้อมูล) หรือเปล่า คีย์ยูสเซอร์เลยต้องลำบากทักกัน
“พรุ่งนี้คุณทูไปเริ่มงานที่โปรเจคใหม่ใช่ไหมคะ”
“ครับ”
โปรเจคที่จะเริ่มในวันพรุ่งนี้เป็นโปรเจคเล็ก
ๆ เท่าที่อ่านเอกสารและรายละเอียดงานเบื้องต้น ลูกค้าต้องการวางระบบเฉพาะส่วนพื้นฐานจำเป็น
พี่จี๊ดเลยจะส่งยีนส์ลงสนามจริง ส่วนตัวผมจะกลับไปทำระบบเงินเดือนควบคู่ไปกับการทำหน้าที่เมนเทอร์เป็นครั้งแรก
คอยดูนะ ผมจะปลุกปั้นน้องน้อยให้กลายเป็นคอนซัลท์มือฉมังให้จงได้!
“ยังไงก็ขอให้คุณทูโชคดีนะคะ”
ชั่วอึดใจนึง ผมเห็นคำขอโทษอยู่ในแววตาคุณเซียง แต่นั่นไม่จำเป็นเลยสักนิด เพราะแค่เราต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่โดยไม่มีอคติเป็นที่ตั้งเหมือนที่คุณเซียงปฏิบัติต่อผมในช่วงหลัง
ๆ มันก็ดีที่สุดแล้ว
“ขอบคุณครับ”
ผมยิ้มอย่างไม่ถือสา “ถ้าใช้ระบบแล้วมีตรงไหนสงสัย ไลน์มาถามผมได้นะครับ”
ว่ากันตามจริง
ผมไม่จำเป็นต้องเสนอตัวช่วยคุณเซียงก็ได้ เพราะตามสัญญาที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้ สามเดือนต่อจากนี้
พวกคุณเซียงจะมีพี่ฟี่คอยอยู่ซัพพอร์ตแบบใกล้ชิด แต่พอคิดว่าน้ำใจเล็กน้อยที่หยิบยื่นให้คุณเซียงอาจช่วยให้ทีม
HR ทำงานได้อย่างราบรื่น และแฟนผมจะเหนื่อยน้อยลง
ผมก็ยินดีเอาตัวเข้าแลก
“ขอบคุณมากค่ะ”
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ผมผงกหัวให้อีกฝ่ายแล้วชักเท้าเตรียมก้าวเดิน
“คุณทู”
“ครับ?” ผมเอี้ยวหน้ากลับไปมองคุณเซียงที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
“ถ้าว่าง ๆ
แวะมาเยี่ยมกันบ้างนะคะ”
“ครับ” ผมยิ้มรับคำเชื้อเชิญด้วยความยินดี
นี่ถ้าคุณเซียงรู้ว่าออฟฟิศลูกค้าโปรเจคถัดไปอยู่ห่างจาก
King’s Bev. แค่สองป้ายรถไฟฟ้า แถมถ้าวันไหนเลิกงานเร็วหน่อย ผมจะโผล่หัวมานั่งทำงานรอผู้ชายตรงล็อบบี้ด้านหน้าออฟฟิศแน่
ๆ แกจะนึกเสียใจจนอยากถอนคำพูดไหมวะ
••••••
“เข็มสั้น ปลาทอง อยู่นิ่ง ๆ ซี่” กาลกมลพยายามอุ้มลูกแมวทั้งสองตัวขึ้นแต่เจ้าตัวเล็กกลับส่งเสียงต่อต้านดังมิ้ว
ๆ แล้วพากันตะกายลงจากวงแขน เด็กชายจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากกองหนุนที่นั่งอยู่ไม่ไกล
“ปลาวาฬมาช่วยเราจับเข็มสั้นกับปลาทองหน่อย”
“เวลาจับเข็มสั้นกับปลาทองไปก่อนนะ เดี๋ยวถ้าเราเสร็จจากตรงนี้เมื่อไร
เราจะไปช่วย”
ปลาวาฬเหลือบมองเพื่อนซี้ด้วยหางตาอยู่อึดใจก่อนจะเบนความสนใจกลับไปยังภาระติดพันตรงหน้า
“ปลาวาฬ ทำอะไรน่ะครับ” เห็นพวกเด็ก ๆ
เงียบไปนาน คเชนทร์จึงเดินโฉบมาใกล้ ๆ แล้วแอบสังเกตการณ์ แต่ทันทีที่เห็นปลาวาฬป้อนขนมแมวเลียให้ลูกพี่กับลูกน้อง
ชายหนุ่มก็หลุดปากทักเสียงเข้มจนเด็กหญิงสะดุ้งโหยง
“ลูกน้องมันดูหิว ๆ อะค่ะลุงเชน
ปลาวาฬสงสารเลยแกะขนมให้กิน ลูกพี่มันคงได้กลิ่นเลยเดินมากินด้วย” ทรัพย์สมุทรฉีกยิ้มแห้งพลางมองหน้าเจ้าของร้านดอกไม้อย่างสำนึกผิด
“แล้วปลาวาฬไปเอาขนมแมวเลียมาจากไหนครับ”
“ปลาวาฬขอให้ปลาทูซื้อมาให้ค่ะ
ปลาทูบอกว่ายี่ห้อนี้อร่อย ไม่เค็ม” คนพูดยื่นมือข้างที่ยังว่าง กรีดนิ้วชี้กลมป้อมไปยังกระเป๋านักเรียนล้อลากตรงมุมร้านดอกไม้
“ปลาวาฬเอาขนมแมวเลียใส่กระเป๋าไปเรียนด้วยทุกวันเลยนะคะ บางทีก็แบ่งให้แมวที่โรงเรียนกินด้วย”
จากที่ตั้งใจจะดุ
แต่พอฟังเหตุผลของเด็กหญิงแล้ว คเชนทร์ก็พานใจอ่อน “ให้แค่ซองนี้แล้วพอนะครับ
เดี๋ยวลูกพี่กับลูกน้องไม่กินข้าว”
“โอเคค่ะ” ทรัพย์สมุทรพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย
หนุ่มผมยาวถอนใจ... สงสัยต่อไป เขาคงต้องเก็บขนมแมวเลียเอาไว้ให้เด็ก
ๆ ป้อนแมวโดยเฉพาะ ไม่อย่างนั้นพ่อแม่แมวคงจะอ้วนเป็นหมูไปเสียก่อน โดยเฉพาะก้อนขนตัวสีส้มที่หลังจากโดนทำหมันไปเมื่อต้นเดือน
มันก็เอาแต่กิน ๆ นอน ๆ ไม่ค่อยขยับตัว อย่างมากก็แค่เอาเหนียงพาดเหนือคอกลูก ๆ แล้วจ้องมองเจ้าตัวเล็กทั้งสองเล่นกันไปวัน
ๆ
“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ” คิมหันต์ที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านดอกไม้พร้อม
ๆ กับคนรักทักขึ้น
“คุณพ่อ ปลาทู!” เด็กหญิงยิ้มหวานให้คนคุ้นหน้าพลางรีดอาหารแมวเหลวตรงก้นซองขึ้นมาป้อนแมวทั้งสองตัวอย่างต่อเนื่อง
“ไม่มีอะไรหรอกครับ” คเชนทร์ส่งสายตาบอกกาลกมลให้ยกมือไหว้ผู้ใหญ่
เวลารวบอุ้มลูกแมวแล้วทักทายคิมหันต์กับทิวัตถ์อย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับลุงหนาว ปลาทู”
“สวัสดีครับเวลา” คิมหันต์กวาดตามองพวกเด็ก
ๆ แล้วก็อมยิ้ม ทุกครั้งที่เจอกัน เวลาเป็นต้องขลุกอยู่กับทั้งลูกแมว ทั้งพ่อและแมวเสมอ
แต่มาเดี๋ยวนี้ กระทั่งลูกสาวของเขาก็ดูจะเห็นดีเห็นงามตามไปด้วยอีกคน
“วันนี้เจ้าตัวเล็กซนมากไหมครับเวลา” หนุ่มแว่นนั่งยอง
ๆ พลางเกาใต้คางลูกแมวหน้ากากในอ้อมกอดของเด็กชายเบา ๆ เจ้าปลาทองเงยหน้าพลางหลับตาพริ้ม
ยินยอมให้ชายหนุ่มลูบไล้ได้ตามใจ
“อืม”
กาลกมลบึนปากพลางมองลูกแมวทั้งสองสลับกันไปมา “นิดหน่อยครับ แต่เวลาฝึกมันอยู่”
“สู้ต่อไปนะครับคนเก่ง
อาทูเป็นกำลังใจให้” ชายหนุ่มลูบบ่าของเวลาเบา ๆ
ก่อนจะผุดลุกขึ้นเมื่อเหลือบเห็นคนรักเดินไปหยิบกระเป๋านักเรียนลายเอลซ่าตรงมุมห้อง
“ไปครับลูก กลับบ้านกัน” คิมหันต์เดินกลับมาหยุดยังจุดเดิมก่อนจะยื่นมือส่งให้ทรัพย์สมุทรที่ยังนั่งจุมปุ๊กอยู่บนพื้น
“ลุงเชน ปลาวาฬกลับก่อนนะคะ” เด็กหญิงยกมือไหว้เจ้าของร้านดอกไม้เร็ว
ๆ จากนั้นจึงใช้ฝ่ามือบิดาเป็นหลักยึดเพื่อกระโดดดึ๋งขึ้นยืนแล้วโบกมือให้เพื่อน “เวลา
เจอกันพรุ่งนี้ที่โรงเรียน”
“พวกผมขอตัวก่อนนะครับ”
สิ้นเสียงอำลา ทรัพย์สมุทรก็จูงมือพ่อกับทูเดินจากไป
ครอบครัวของคิมหันต์คล้อยหลังไปได้ไม่เท่าไร ชายหนุ่มหน้าตาบอกบุญไม่รับก็ย่างสามขุมผ่านกรอบประตูร้านดอกไม้แล้วเดินดุ่ม
ๆ เข้าครัวไปเตรียมสำรับเย็นโดยไม่หยุดทักทายใครทั้งสิ้น
“มาคุณ กินข้าว” จบจากคเชนทร์ ขาประจำผู้มาพร้อมปิ่นโตเถาใหญ่ก็ตะโกนเรียกบุตรชายต่อทันที
“เวลา มากินข้าวลูก”
“คร้าบ”
เดี๋ยวนี้อดีตนางโชว์แทบไม่ได้แตะต้องงานครัว
เพราะเชฟใหญ่เหมาทุกอย่างไปทำเกือบทั้งหมด ยิ่งช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา พี่สาวธามพาอาม่าเดินสายทำบุญขึ้นเหนือล่องใต้
พ่อม่ายก็แทบจะย้ายมาตั้งรกรากที่ร้านดอกไม้ตามลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไปอีกคน
พ่อลูกคู่นี้ เหมือนกันอย่างกับแกะ... หนุ่มผมยาวเอนตัวพิงเคาน์เตอร์พลางทอดสายตามองแผ่นหลังของสองพ่อลูกที่วุ่นอยู่คนละมุมอย่างอ่อนใจ
พอได้ทำอะไรที่ชอบเข้าหน่อยก็หลงลืมทุกสิ่ง แต่นี่ก็หกโมงกว่าแล้ว ขืนเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง
วันนี้คงไม่มีใครได้กินข้าวเย็น อดีตนางโชว์จึงสืบเท้าก้าวไปหาเด็กชายที่ยังนัวเนียกับแมวทั้งสี่ตัวไม่เลิกรา
“เวลา ไปกินข้าวกันครับ” ว่าแล้ว
เจ้าตัวก็ยื่นมือไปรอ เห็นดังนั้น กาลกมลจึงอุ้มลูกแมวลงวางในคอกอย่างนุ่มนวล เด็กชายจับมือคเชนทร์
ลุกขึ้น เดินตามอีกฝ่ายเข้าไปล้างมือในห้องน้ำอย่างคุ้นเคยกันดี
“วันนี้มีพะโล้ด้วยนะเวลา” ทันทีที่ทั้งสามนั่งร่วมโต๊ะอาหาร
ธามก็อวดกับข้าวหอมกรุ่นที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะอย่างภาคภูมิใจ เด็กชายแลบลิ้นเล็มเม็ดข้าวที่ปลายช้อน
พลางจับจ้องถ้วยแกงที่พ่อนำเสนอด้วยดวงตาเป็นประกาย เจ้าของร้านขนมปังยิ้มกริ่มชอบใจขณะกุลีกุจอตักเห็ดหอมกับไข่ใส่จานให้บุตรชายหัวแก้วหัวแหวน
“กินเยอะ ๆ นะเวลา
ถ้าหมดแล้วเดี๋ยวป๊าเติมให้อีก”
“ขอบคุณครับ”
“อะคุณ” ธามตักเต้าหู้ก้อนในพะโล้ใส่จานให้เจ้าบ้าน
“ขอบคุณ” คเชนทร์นิ่งมองของโปรดในจานพลางยกมือขึ้นจับลูกผมทัดหู
“คุณก็กินได้แล้ว”
“แป๊บนึงคุณ” หนึ่งมือของพ่อม่ายขยับตะเกียบ
ส่วนมืออีกข้างสอดปลายช้อนแงะพุงปลานึ่งบ๊วยอย่างคล่องแคล่ว ชายหนุ่มตักเนื้อปลาขาวฉ่ำใส่จานลูกชายจนพูน
“ช่วยป๊าชิมหน่อย ถ้าอร่อย ป๊าจะได้ทำให้อาม่ากิน”
ขณะที่เวลาพยักหน้ารับคำพลางเคี้ยวตุ้ยไม่หยุดปาก
คเชนทร์กลับนึกห่วงธามอย่างห้ามใจไม่อยู่...
ทำงานมาทั้งวัน ไม่รู้ว่าได้หยุดพักกินน้ำกินท่าบ้างหรือเปล่า
กลางวันก็แทบไม่กินข้าว มัวแต่เตรียมเครื่องปรุงสำหรับทำอาหารเย็นอีก คิด ๆ
ขึ้นมาแล้วเจ้าตัวก็ตักผัดผักกับกุ้งตัวใหญ่ใส่จานให้เสียหน่อย “กินบ้างเถอะ”
“อืม” เจ้าของร้านขนมปังรับคำห้วน ๆ แต่ก็ไม่วายตักพุงปลาใส่จานให้เป็นการตอบแทน
อาหารเย็นมื้อนั้นผ่านไปอย่างเรียบง่าย
มีบทสนทนาดังขึ้นเป็นระยะ ๆ ซึ่งโดยมากแล้ว อดีตนางโชว์จะเป็นโฆษกคอยตั้งคำถาม กระตุ้นเด็กชายให้เล่าเรื่องที่โรงเรียนให้พวกเขาฟัง
ส่วนธาม ถ้าไม่นั่งฟังพลางเคี้ยวข้าวเงียบ ๆ เจ้าตัวก็มักจะวุ่นอยู่กับการตักกับข้าว
ไม่ก็แกะเนื้อเลาะก้างปลาแจกจ่ายใส่จานคนอื่นอยู่ร่ำไป
“เวลา ตรงนั้นยังมีฟองอยู่เลยครับ” หนุ่มผมยาวชี้นิ้วให้เด็กชายดูฟองขาว
ๆ ของน้ำยาล้างจานตรงข้างถ้วยอาหารแมวที่ฝ่ามือเล็ก ๆ ของเจ้าตัวประคองอยู่
“เวลาต้องค่อย ๆ หมุนถ้วย เอามือวักน้ำแล้วถูให้ทั่วนะครับ
อย่าให้เหลือฟองสักจุดเลยรู้ไหม”
“ครับ”
ตั้งแต่ลูกพี่คลอดลูกแมว กาลกมลก็อาสาช่วยดูแลแมวทั้งสี่อีกแรง
โดยเจ้าตัวให้เหตุผลว่า ‘เพราะลุงเชนกับพ่อต้องหาเงินมาซื้อข้าวให้เวลากับครอบครัวแมว
เวลาเลยจะดูแลแมวแทนลุงเชนและพ่อเอง’
ถึงข้อเสนอที่ว่าจะน่าชื่นใจ
แต่คเชนทร์กลับไม่ได้ปล่อยเด็กชายให้รับผิดสัตว์เลี้ยงตามลำพัง
ชายหนุ่มยังคอยดูแลและกำกับให้เจ้าตัวทำกิจวัตรต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมายอีกทอด ซึ่งหน้าที่หลักของเวลาในตอนนี้มีเพียงล้างชามแมว
เปลี่ยนน้ำสะอาดให้แมว และคอยฝึก (เล่น) ลูกแมวทุกวัน ต่อให้ทั้งหมดนั่นจะดูเล็กน้อย
แต่เจ้าตัวกลับภาคภูมิใจที่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ใหญ่เป็นอย่างยิ่ง
ธามจิบน้ำพลางจับจ้องบุตรชายที่ลงทุนยืนต่อขาบนม้านั่งเพื่อล้างถ้วยอาหารแมวตรงอ่างล้างจานเหมือนพวกผู้ใหญ่
สลับกับเจ้าของร้านดอกไม้ที่คอยสอนลูกของเขาให้รู้จักรับผิดชอบงานบ้านโดยไม่ละสายตา
นับวันชายหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกสบายใจที่ได้ใช้เวลาอยู่ที่นี่กับลูก... กับคเชนทร์
ถึงใครจะบอกว่าเป็นเพราะลูกแมวที่ช่วยพลิกฟื้นความสัมพันธ์
แต่พ่อม่ายกลับรู้แจ้งแก่ใจว่า เจ้าของร้านดอกไม้ต่างหากที่ทำให้พวกเขาพ่อลูกเข้าใจกัน
อีกทั้งยังทำให้เวลามีความสุขและร่าเริงขึ้นมาก
“ส่งถ้วยมาครับ เดี๋ยวลุงเชนคว่ำให้”
“ขอบคุณครับ”
หนุ่มผมยาวหรี่ตามองเด็กชายขณะเจ้าตัวกำลังจะเช็ดมือกับชายเสื้อ
“ผ้าสีชมพูผืนนั้นใช้เช็ดมือได้ครับ” เจ้าบ้านบุ้ยใบ้พลางคว่ำชามข้าวแมวลงบนถาด
กาลกมลหลบสายตา คลี่ยิ้มขลาดเขินก่อนจะหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กข้างตัวขึ้นมาเช็ดมือลวก
ๆ
“ไปครับ ขึ้นไปอาบน้ำ”
ทั้งที่ปากพูดไปแบบนั้น แต่ในใจชายหนุ่มกลับนึกตำหนิบิดาของเด็กชายไม่หยุดหย่อน...
บ้านนี้เขาสอนกันท่าไหน กระทั่งเช็ดมือยังติดนิสัยเดียวกันมาทั้งพ่อทั้งลูก
“ถ้าอาบน้ำเสร็จแล้ว เวลาขอลงมาเล่นแมวได้ไหมครับ”
กาลกมลเม้มปากแล้วช้อนสายตาขึ้นมองหน้าคุณลุงใจดีอย่างออดอ้อน
“ได้ครับ” เจ้าของร้านดอกไม้ค้อมตัวลงจนใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกับคู่สนทนา
จ้องลึกเข้าไปในดวงตาโศกซื่อใส ยกสองมือขึ้นประคองหัวไหล่ทั้งสองข้างของเด็กชายพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แต่เวลาต้องอาบน้ำให้สะอาด ๆ นะ ห้ามวิ่งผ่านน้ำ ตกลงไหมครับ”
“โอเคครับ” เวลาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มกว้าง
จากนั้นจึงปีนลงจากม้านั่งแล้วหมุนตัววิ่งตัง ๆ ขึ้นชั้นสองไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อหน้าที่ลูกมือของเด็กชายสิ้นสุด
คเชนทร์ก็ทยอยจัดเก็บข้าวของซึ่งอยู่ผิดที่ผิดทางเรียงกลับเข้าในตู้ นับจากวันที่แมวหน้ากากคลอดลูกเป็นต้นมา
พ่อม่ายก็มักจะขนจานชาม อีกทั้งเครื่องครัวสารพันอย่างมาหย่อนทิ้งไว้ครั้งละมากบ้าง
น้อยบ้าง จนเมื่อเร็ว ๆ นี้ เขาต้องสละตู้เก็บของหนึ่งใบสำหรับเก็บสมบัติบ้าของตาทึ่มโดยเฉพาะ
“คุณ”
เจ้าของร้านดอกไม้สะดุ้งโหยง เพราะไม่คิดว่าธามจะโผล่มาเงียบ
ๆ แม้จะไม่เคยแบ่งแยกหรือชี้ชัดหน้าที่ของอีกคน
ทว่าในเมื่อพ่อม่ายรับหน้าที่หุงหาอาหาร หลังกินข้าวเสร็จ คเชนทร์จึงปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งเป็นคุณชาย
ดูเขาล้างจาน เก็บบ้าน ทำความสะอาดไปตามเรื่อง แล้ววันนี้นึกครึ้มอะไร ถึงได้มายืนขวางทางกัน
“อะไร”
“วันอาทิตย์เย็น ๆ ม้าถึงจะกลับ”
หนุ่มผมยาวก้มหน้าก้มตาเช็ดครัว
ไม่พูดไม่จา แต่ธามรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังตั้งใจฟัง
“คุณอยากได้คนงานหรือเปล่า”
เจ้าถิ่นถอนหายใจยาวก่อนเร่งมือขัดคราบเขม่าตรงหัวเตาแก๊ส
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมปิดหน้าร้านไว้ก่อน”
ช่วงที่ย่าของเวลาไม่อยู่
คเชนทร์จะเป็นคนไปรับพวกเด็ก ๆ ที่โรงเรียน ระหว่างนั้น ธามจะให้ไอซ์มาช่วยเฝ้าร้านไปพลาง
ๆ อดีตนางโชว์เดาว่า ที่พ่อม่ายพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นเพราะเจ้าตัวอยากดึงไอซ์กลับไปช่วยงาน
ซึ่งความเข้าใจดังกล่าวนับว่าถูกต้อง... ทว่าเพียงครึ่งเดียว
“คุณไม่ต้องปิดร้านหรอกเพราะเด็กมันจะมาเริ่มงานพรุ่งนี้”
เดี๋ยว! เมื่อกี้ตาทึ่มพูดว่าอะไรนะ
เด็กจะมาเริ่มงานพรุ่งนี้งั้นเหรอ... เด็กเดิกที่ไหน แล้วใครไปตกลงด้วย?!
“เฮ้ยคุณ อะไรของคุณเนี่ย!” หนุ่มผมยาวตวัดสายตาขึ้นมองหน้าธาม
พอเห็นสีหน้ามึน ๆ ใกล้ ๆ ความหงุดหงิดก็โถมเข้าใส่จนต้องหรุบตาเลี่ยงมองเตาแก๊สเสียเดี๋ยวนั้น
“ก็คุณไปรับเวลาแทนผม
ผมก็ต้องรับผิดชอบสิ” พ่อม่ายว่าพลางก้าวประชิดตัวเจ้าบ้าน
“ไม่ต้อง ผมจัดการของผมได้” คเชนทร์กระถดหนีพร้อมกับระบายโทสะลงกับหัวเตาแก๊ส
แต่อยู่ ๆ ธามกลับคว้ามือข้างที่กำลังขัด ๆ ถูๆ คราบสกปรกไปกุมไว้
“ผมไม่อยากให้คุณเหนื่อย” ชายหนุ่มเอ่ยพลางพลิกฝ่ามือที่กุมไว้แล้วลากปลายนิ้วแตะไปทั่ว
“แดงหมดแล้วคุณ พอเถอะ”
ทันทีที่สองพ่อลูกคืนดีกัน หนุ่มผมยาวก็เฝ้าเกลี้ยกล่อมธามให้เร่งกำจัดปัญหาคาราคาซัง
ซึ่งในที่สุด พ่อม่ายกับเลือดเนื้อเชื้อไขก็ยอมไปพบนักจิตวิทยาจนได้ แม้หนทางในการฟื้นฟูจิตใจทุกฝ่ายจะยังอีกยาวไกล
แต่เค้าลางของการเปลี่ยนแปลงก็เริ่มมีให้เห็น ทั้งบรรยากาศภายในครอบครัวร้านขนมปังที่ดีขึ้นจนอาม่าเริ่มออกเดินสายทำบุญไหว้พระเป็นว่าเล่น
ไหนจะเรื่องที่พ่อม่ายขยันพูดมากกว่าเดิม... ซึ่งหลายครั้ง เจ้าตัวพูดคำยาก ๆ
ออกมาง่าย ๆ ง่ายเสียจนหัวใจคนฟังหวั่นไหวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ผมจะให้ไอซ์มาช่วยคุณเหมือนเดิมนะ”
อดีตนางโชว์ใจเต้นโครมคราม
ยิ่งพอจะชักมือกลับมาแต่อีกฝ่ายยื้อยุดไม่ยอม หนำซ้ำยังจ้องตากันอย่างแน่วแน่
เขาก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก สุดท้ายจึงหลวมตัวเออออกับพ่อม่ายไปโดยไม่ทันรู้ตัว “อ้าว
แล้วเด็กอีกคนล่ะ”
“ก็คุณไม่อยากได้” คนพูดช้อนตามองเจ้าของร้านดอกไม้อย่างตัดพ้อ
เดิมที ธามไม่ได้จะเก็บเด็กใหม่ไว้เอง แต่เพราะกังวลว่า หากคเชนทร์เห็นหน้าเด็กที่ตัวเองถือวิสาสะว่าจ้างแล้วอาจจะโมโหจนไม่ยอมคุยด้วย
ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนแผนการณ์กะทันหัน...
ไม่เป็นไร ให้เขาลำบากฝึกเด็กใหม่เองดีกว่า
ส่วนช่วงนี้ก็ให้ไอซ์ช่วยทั้งสองร้านไปพลาง ๆ ไว้ถ้าคนใหม่ทำงานคล่องเมื่อไร ค่อยคุยกับไอซ์อีกทีว่าเจ้าตัวอยากย้ายไปทำงานที่ร้านดอกไม้หรือเปล่า
คเชนทร์หลับตาพลางสูดลมหายใจยืดยาว ทำไมคน
ๆ นึงถึงได้พูดจาไม่รู้เรื่อง แถมยังทั้งมึน ทั้งมั่ว
ทั้งทึ่มแบบที่ไม่คิดจะแบ่งใครเขาบ้างเลย
“ผมไม่ได้บอกว่าผมไม่อยากได้
แต่ผมยังทำร้านไหว ไม่ต้องให้ใครช่วย”
“ผมขอโทษ”
หนุ่มผมยาวลืมตาเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสเบา
ๆ ตรงปลายนิ้ว ธามกำลังนวดฝ่ามือของเขาเบา ๆ เหมือนกำลังเอาใจ ให้ตายสิ ถึงจะรั้นจนน่าหงุดหงิด
แต่ลึก ๆ แล้ว เขากลับโกรธตาทึ่มนี่ไม่ลงสักที
“พรุ่งนี้คุณบอกให้เด็กใหม่มาที่นี่แล้วกัน”
เจ้าของร้านดอกไม้จ้องตาคู่สนทนาพลางดักคออย่างรู้ทัน “แต่ถ้าผมไม่ชอบ
ผมไม่เอาไว้นะ”
“แล้วแต่คุณเถอะ” พ่อม่ายก้มหน้าพลางนวดเฟ้นฝ่ามือคเชนทร์ไม่เลิก
“ปล่อยได้แล้ว เดี๋ยวเวลาลงมา” อดีตนางโชว์พยายามสะบัดมือธามทิ้ง
เพราะหากกะเวลาอาบน้ำตามปกติของเด็กชาย คาดว่าอีกไม่กี่นาที เจ้าตัวเล็กก็น่าจะเดินลงบันไดมาแล้ว
นอกจากจะไม่ยอมปล่อย เจ้าของร้านขนมปังยังจับมือคเชนทร์แน่นกว่าเดิม
“เดือนหน้าเฮียจะพาม้าไปไหว้พระที่ไต้หวันสิบวัน”
ประสาท อยู่ ๆ มาบอกเรื่องอาม่าไปเที่ยวทำไม
แล้วเขาไปเกี่ยวอะไรด้วย?
หนุ่มผมยาวถลึงตามองขู่พลางเขย่าแขนตัวเองมือเป็นระวิงหากแต่ไม่เป็นผล
“...ปล่อยเร็วคุณ...”
“เดี๋ยวตอนพาไอ้ตัวเล็กไปฉีดวัคซีน
ไปร้านอื่นนะคุณ” จนบัดนี้ คนหน้ามึนก็ยังกุมมือเจ้าของร้านดอกไม้ไม่ปล่อย
ดูเหมือนธามจะไม่ชอบคลินิกสัตว์เลี้ยงที่คเชนทร์พาลูกน้องไปทำหมันสักเท่าไร
แต่เอาเถอะ กระทั่งตัวเขาเองก็ลำบากใจ เพราะขนาดไม่ได้ติดต่อไป
นายสัตวแพทย์คนนั้นก็ยังทำเจ้าชู้ยักษ์ใส่กันเหมือนเดิม... เอา ๆ
ร้านอื่นก็ร้านอื่น
“คุณ ปล่อยมือก่อน” หยาดเหงื่อที่ไหลเรื่อยจากไรผมลงไปยังต้นคอเป็นสัญญาณเตือนว่า
พวกเขาทั้งคู่ยื้อยุดฉุดกันมานานเต็มที ขืนยังปล่อยให้ตาทึ่มนี่ทำตามใจจนเวลาลงมาเห็นเข้า
คงยิ่งยุ่งไปกันใหญ่
“คืนนี้ผมนอนนี่นะ”
ทั้งที่นอนค้างคืนที่ร้านดอกไม้มาหลายครั้งจนมีฟูกกิตติมศักดิ์หนึ่งหลังตั้งประจำอยู่บนพื้นห้องนอนของเจ้าบ้านแล้วก็ตาม
แต่ไม่รู้ทำไม ธามกลับชอบพูดจาขออนุญาตอย่างเป็นทางการเสมอ จะเป็นไปได้ไหมว่า หากไม่ได้เห็นคเชนทร์เขินอายจนหน้าแดง
คืนนั้นเขาจะนอนไม่หลับ
“...ปล่อย...” หนุ่มผมยาวชะงักค้างหลังได้ยินเสียงซอยเท้าดังมาจากโถงหน้าห้องชั้นสอง
ถึงคเชนทร์จะขืนตัวแล้วใช้มืออีกข้างช่วยดึง แต่พ่อม่ายก็ยังต่อต้านไม่เลิก
แล้วคนที่วัน ๆ
วุ่นอยู่แต่กับดอกไม้จะเอาพละกำลังจากไหนมาต่อกรกับเจ้าของร้านขนมปังที่นวดแป้งด้วยมือวันละหลายชั่วโมงได้
“เวลาอย่าวิ่งลูก เดี๋ยวตกบันได” พ่อม่ายตะโกนบอกลูกชายก่อนจะหันมาทอดเสียงอ้อนวอนคนข้างตัว
“ให้ผมนอนด้วยนะ”
ไม่รู้ล่ะ ถ้าไม่ได้ฟังคำยืนยันจากปากเจ้าตัว
เขาก็จะตื๊อไปเรื่อย ๆ
“นะ”
“ตามใจคุณสิ” เพราะกลัวเวลาจะเข้าใจผิด
เจ้าของร้านดอกไม้จึงยอมรับปากอย่างเสียไม่ได้ แต่แทนที่คลายพันธนาการ เจ้าของร้านขนมปังกลับจูงมือคเชนทร์เดินไปรอรับลูกชายถึงตรงหน้าบันได
“เมื่อกี้ได้แปรงฟันหรือเปล่าลูก”
“แปรงครับ”
“ดีมาก” ธามคลี่ยิ้มอย่างพอใจ “ป๊าให้เวลาเล่นแมวถึงทุ่มครึ่งนะครับ”
“ครับ” เด็กชายรับคำอย่างว่าง่าย
สายตาที่เจ้าตัวทอดมองทั้งคู่คล้ายไม่แปลกใจกับท่าทางของพ่อกับคเชนทร์แต่อย่างใด
หรือหากจะสรุปว่า ณ เวลานี้ ไม่มีสิ่งไหนจะสำคัญกับกาลกมลมากไปกว่าครอบครัวแมว
ก็คงไม่ผิดนัก
“พอทุ่มครึ่งแล้วต้องขึ้นไปนอนเลยนะ”
“ครับ”
“โอเค งั้นก็ไปเล่นแมวได้” ธามดันแผ่นหลังเล็ก
ๆ ของเลือดเนื้อเชื้อไขให้ก้าวไปข้างหน้า ในขณะเดียวกันก็จับจูงอดีตนางโชว์แล้วพาไปส่งยังโซฟาก่อนจะเปรยกับเจ้าตัวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“คุณนั่งพักเถอะ เดี๋ยวผมเก็บครัวให้”
“อืม” คเชนทร์ส่งเสียงงึมงำในลำคอพลางจับปอยผมปรกหน้าขึ้นทัดหู
ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นเฝ้าดูเวลาเล่นกับลูกแมวอยู่พักใหญ่ ต่อเมื่อแน่ใจว่าปลอดสายตาคน
เจ้าตัวก็แอบเหลือบมองเจ้าของเรือนร่างสูงใหญ่ในห้องครัวแล้วนั่งอมยิ้มอยู่คนเดียว
••••••
“คุณพ่อคะ”
พอวางหนังสือลงบนชั้นเรียบร้อย
ผมก็เดินกลับมานั่งลงบนเตียง ข้าง ๆ กับเจ้าวาฬน้อยที่นอนจ้องหน้าผมกับพี่หนาวตาแป๋ว
ลุงไซด์ไลน์อมยิ้ม ลูบผมลูกสาวอย่างนุ่มนวล “ครับลูก”
“ตอนเด็ก ๆ
คุณพ่ออยากเป็นอะไรเหรอคะ”
เมื่อตอนเย็น เจ้าวาฬน้อยเล่าให้พวกผมฟังว่า
คุณครูเริ่มสอนเรื่องอาชีพพร้อมให้การบ้านเป็นการออกไปเล่าให้เพื่อน ๆ
ฟังหน้าชั้นว่า ‘อาชีพในฝัน’ ของตัวเองคืออะไร ผมจึงไม่แปลกใจที่อยู่
ๆ แกก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมาทั้งที่จวนได้เวลานอนเต็มที...
สงสัยเจ้าหญิงของผมจะยังกังวลเรื่องการบ้านไม่หาย
“อืม” พี่หนาวเอียงคอพลางนิ่งนึก
“ตอนเด็ก ๆ พ่ออยากเป็นหมอครับ”
“ทำไมล่ะคะ” ปลาวาฬพลิกตัวนอนตะแคงหันหน้าไปรอฟังคำตอบอย่างจดจ่อ
“ตอนนั้นพ่อคิดว่า
ถ้าพ่อเป็นหมอ พ่อจะได้คอยรักษาคุณปู่คุณย่าเวลาที่พวกท่านป่วยยังไงล่ะครับ”
“แต่ตอนนี้คุณพ่อไม่ได้เป็นหมอใช่ไหมคะ”
แฟนผมผงกหัวพลางคลี่ยิ้มบาง
“พ่อไม่ได้เป็นหมอครับ”
เห ทำหน้าแบบนี้คือเสียใจที่ไม่ได้เป็นหมอเหรอครับที่รัก...
โอ่เอ๊ ๆ เดี๋ยวกลับห้องแล้วน้องทูกอดปลอบน้า
“แล้วอาชีพของคุณพ่อมันเรียกว่าอะไรเหรอคะ”
“พนักงานบริษัทครับ”
สีหน้าสนใจใคร่รู้ของเจ้าตัวเล็กทำพี่หนาวยิ้มกริ่ม “พ่อทำงานบริษัทเดียวกับลุงเซ็น
หน้าที่ของพ่อ คือ คอยดูแลพนักงานคนอื่น ๆ ให้ทำงานอย่างมีความสุขครับ”
ปลาวาฬพยักหน้าหงึกหงักทั้งที่หัวคิ้วทั้งสองข้างยังขมวดเป็นปม
โธ่... ลูกสาว อาทูล่ะสงสาร แต่เรื่องแบบนี้มันก็ยากเกินกว่าที่เด็กป.
หนึ่งจะเข้าใจแบบทันทีทันใดจริง ๆ นั่นแหละ
อยู่ ๆ
เจ้าตัวเล็กก็เขย่าแขนผม “แล้วปลาทูล่ะคะ ตอนเด็ก ๆ ปลาทูอยากเป็นอะไร”
“อาทูอยากเป็นโปรแกรมเมอร์ครับ”
ผมเท้าข้อศอกลงกับที่นอนแล้วเอนตัวลงนอนคุยกับปลาวาฬใกล้ ๆ “เมื่อก่อนตอนอาทูยังเด็ก
อาเอิงกับอาสามชอบเล่นเกมมาก อาทูเลยอยากเขียนเกมเจ๋ง ๆ ให้สองคนนั้นเล่นครับ”
ช่วงวัยเด็ก ผมขลุกอยู่แต่กับพี่น้อง
สองคนนั่นเลยกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผมนึกอยากตีสนิทกับคอมพิวเตอร์ขึ้นมา ถึงสุดท้ายผมจะไม่ได้หาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นโปรแกรมเมอร์
แต่ถ้าวันนั้นผมไม่ได้นึกอยากประจบพี่น้องแบบออกนอกหน้า
แล้ววันนี้ผมจะมีงานการที่ดี รวมถึงมีแฟนหล่อลากแบบพี่หนาวไหมล่ะ
“แล้วตอนนี้ปลาทูเป็นโปรแกรมเมอร์หรือเปล่าคะ”
ผมส่ายหัว ลูบแก้มปลาวาฬเบา
ๆ แล้วหยิบตุ๊กตาหมีสีรุ้งมานอนเป็นเพื่อนแก “เปล่าครับ อาทูเป็นพนักงานบริษัทเหมือนคุณพ่อเลยครับ
แต่อาทูทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านคอมพิวเตอร์ครับ”
“ที่ปรึกษาคืออะไรเหรอคะ”
และแล้วผมก็เข้าใจหัวอกพี่หนาว เรื่องทั่ว ๆ ไปที่ผู้ใหญ่เราเห็นจนชินชา
อาจเป็นความรู้ใหม่ของเด็ก ซึ่งการจะอธิบายให้คนฟังเข้าใจง่าย ๆ นี่แหละที่โคตรยาก
“ที่ปรึกษาคือคนที่คอยให้คำแนะนำเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้กับคนที่มีปัญหาครับ”
แค่เจ้าตัวเล็กไม่ได้ทำหน้านิ่วเหมือนตอนฟังคุณพ่อสุดหล่อ ผมก็หายใจหายคอโล่งไปหมด
“อย่างอาทูเนี่ย อาทูเป็นที่ปรึกษาเรื่องคอมพิวเตอร์ แต่ก็ยังมีที่ปรึกษาด้านอื่น
ๆ อีกเยอะแยะเต็มไปหมดเลย อย่างเช่น ที่ปรึกษาด้านการเงิน ที่ปรึกษาด้านสุขภาพ ที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม”
“ทำไมตอนที่คุณครูสอน
ไม่เห็นมีอาชีพพนักงานบริษัทเลย” ปลาวาฬเกาคางพลางเหม่อมองเพดานห้อง “แสดงว่ายังมีอาชีพที่ปลาวาฬไม่รู้จักอีกเยอะแยะเลยใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ
ทุกวันนี้มีอาชีพเยอะมาก ๆ มันเยอะขนาดที่อาทูเองก็ยังรู้จักไม่หมดเลยครับ”
“เหรอคะ” ฟังคำผมแล้วเจ้าวาฬน้อยก็ถอนหายใจพลางโอดครวญอย่างท้อแท้
“ถ้าปลาวาฬรู้จักอาชีพไม่ครบ
แล้วปลาวาฬจะรู้ได้ยังไงว่าอาชีพในฝันของปลาวาฬคืออะไรอะคะ”
โอ้โห คำถามนี้ยากมาก
เป็นคำถามชิงมงฯ ที่ผู้ใหญ่บางคนยังตอบตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ...
แต่ในฐานะที่ผ่านจุดนั้นมาหลายปี
ผมจะลองตอบคำถามนี้ด้วยวิธีที่มันเวิร์คกับตัวเองแล้วกัน
“ถึงปลาวาฬจะยังไม่รู้จักทุก
ๆ อาชีพในโลกนี้ แต่เรามาเริ่มกันที่สิ่งที่ปลาวาฬชอบดีไหมครับ” ผมอมยิ้มเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวเล็กเอียงคอจ้องกันไม่วางตา
“ที่อาทูบอกว่าในโลกนี้มีอาชีพเยอะแยะเต็มไปหมด จริง ๆ แล้ว
มันมีบางอาชีพเหมือนกันนะครับที่เกิดจากความชอบของมนุษย์”
“จริงเหรอคะ” ฟังมาถึงตรงนี้
สายตาคนนอนฟังก็เปล่งประกายระยิบระยับ ปลาวาฬกระตุกข้อมือผมอย่างตื่นเต้น
“ครับ
เพราะฉะนั้น แค่รู้ว่าชอบอะไร
อาทูว่าปลาวาฬก็น่าจะรู้แล้วล่ะว่าอาชีพในฝันของปลาวาฬในตอนนี้คืออาชีพไหน”
จังหวะที่ผมตั้งท่าจะตอบคำถาม
พี่หนาวก็เอื้อมมือมาแตะข้อมือกันแล้วชิงตัดบทเดี๋ยวนั้นเลย “ดึกแล้วครับลูก
วันนี้พอก่อนนะครับ”
“ก็ได้ค่ะ” ปลาวาฬบึนปากพลางถอนหายใจยาว
ผมเหลือบดูเวลาแล้วก็พลอยเข้าข้างแฟนอย่างเสียไม่ได้
“ไว้พรุ่งนี้เช้าเราค่อยตื่นมาคุยเรื่องนี้กัน โอเคนะครับ”
“โอเคค่ะ” เจ้าวาฬน้อยทำหน้าหงอย
“ปลาวาฬไม่ต้องรีบทำความเข้าใจทุก
ๆ เรื่องภายในคืนนี้ก็ได้ลูก” พี่หนาวลูบหัวลูกสาวเบา ๆ “พ่อกับอาทูจะค่อย ๆ บอก
ค่อย ๆ สอนลูกไปเรื่อย ๆ ต่อให้ปลาวาฬจะอายุเท่าไร พวกเราก็จะอยู่ข้าง ๆ ลูกเสมอ”
“ใช่ครับ” ผมรีบเสริม
“ถ้าปลาวาฬมีปัญหา อาทูกับคุณพ่อจะคอยตอบคำถามทุก ๆ ข้อของปลาวาฬอยู่ตรงนี้แหละ โอเคไหมครับ”
“โอเคค่ะ” สิ้นเสียง
นิ้วก้อยทั้งสองข้างของเจ้าตัวเล็กก็ยื่นมาตรงหน้าผมกับพี่หนาว “Pinky swear”
“Cross my
heart, princess”
“พ่อรักลูกนะครับ”
เมื่อเห็นผมล่วงหน้าทำสัญญากับปลาวาฬไปเป็นที่เรียบร้อย
พี่หนาวจึงเกี่ยวก้อยกับลูกสาวแล้วก้มลงหอมหน้าผากปลาวาฬเสียเต็มรัก ผมเลยฉวยโอกาสที่เจ้าตัวเล็กเพลี่ยงพล้ำรีบออกอาวุธตามหลังคุณพ่อรูปหล่อไปติด
ๆ
“สุดที่รักของอาทู
มาให้อาทูหอมหน่อยซิ”
ปลาวาฬหัวเราะคิกคักหลังโดนผมปล้ำจุ๊บแก้มแกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“นอนได้แล้วครับลูก
ดึกแล้ว” ทันทีที่คุณพ่อจอมเข้มงวดส่งสัญญาณ
ผมจัดผ้าห่มให้เจ้าตัวเล็กกับองครักษ์เท็ดดี้ทั้งสองตัวอีกที จังหวะที่กำลังจะผละมือ
ปลาวาฬก็จับมือผมแล้วบีบเบา ๆ
“Goodnight ค่ะ”
“Night night,
princess” ผมอมยิ้มอย่างชอบใจ
และแล้วก็มีข้ออ้างที่จะก้มลงหอมหัวเจ้าตัวเล็กอีกครั้งจนได้
••••••
“ลงมากินน้ำเหรอคุณ”
ธามทักเจ้าถิ่นที่เพิ่งเดินลงบันไดมายังชั้นล่างด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง
“เปล่า” หนุ่มร้านดอกไม้ไม่แยแสพ่อม่ายที่กำลังมุ่งหน้ามาหา
คเชนทร์ก้าวฉับ ๆ ไปหยุดยืนกวาดตามองสำรวจทุกตารางนิ้วของเคาน์เตอร์อย่างว้าวุ่นใจ
“หาอะไรคุณ”
“กุญแจบ้าน” คเชนทร์เปิดลิ้นชัก
รื้อดูของข้างใน เขาทำแบบนี้ซ้ำ ๆ จวบจนแน่ใจว่า
ไม่มีลิ้นชักหรือซอกใดเล็ดรอดจากสายตาไปได้ เมื่อของสำคัญไม่อยู่ในที่ของมัน
ความรู้สึกหงุดหงิดก็กัดกินใจจนชายหนุ่มเผลอตัวบ่นออกมาเบา ๆ
“ไม่รู้ไปเผลอวางไว้ไหน”
ก็จำได้ว่าเอาขึ้นข้างบนไปแล้วนี่นา
แต่ทำไมพอออกจากห้องน้ำมาถึงไม่เจอล่ะ...
หรือเขาจะแก่จนเริ่มเลอะ
ๆ เลือน ๆ แล้วจริง ๆ
“อันนี้เหรอ” ธามทำหน้าเหลอหลาพลางชูกุญแจพวงใหญ่ให้เจ้าของบ้านดูใกล้
ๆ
“ใช่” ชั่วขณะที่คเชนทร์กำลังจะฉกกุญแจบ้านคืนมา
พ่อม่ายกลับชักแขนหลบไปอีกทาง
หนุ่มผมยาวเชิดหน้าจึงมองอีกฝ่ายตาขวางพลางสอบสวนคนร้ายอย่างฉุน ๆ “คุณเจอที่ไหน”
“ข้างบน” เห็นอดีตนางโชว์ถลึงตามองมาอย่างไม่เป็นมิตร
เจ้าของร้านขนมปังจึงรีบอธิบายตัวเองเป็นพัลวัน “ผมลงมาปิดบ้านให้
เลยต้องเอากุญแจลงมาด้วย”
“ผมปิดบ้านแล้ว”
เจ้าถิ่นกอดอกถอนหายใจแล้วมองค้อนตัวการของเรื่องทั้งหมดอย่างปลง ๆ เฮ้อ ทึ่มไม่พอ
ยังจะทั้งซื่อ ทั้งบื้อเสียอีกนะตาคนนี้
ธามไม่สลด
หนำซ้ำยังดึงเสื้อนอนที่พาดอยู่บนบ่าลงมาสะบัดแล้วสวมทับแผ่นอกเปล่าเปลือยของตัวเอง
ซึ่งเมื่อใส่เสื้อเสร็จ ชายหนุ่มก็เดินดุ่ม ๆ นำเจ้าของบ้านขึ้นบันไดไปอย่างสบายใจเฉิบเสียอีก
“เดี๋ยวพรุ่งนี้สาย
ๆ คุณแวะไปที่บ้านผมหน่อยสิ” แขกไม่ได้รับเชิญเอ่ยขึ้นลอย ๆ ขณะยืนรอเจ้าของร้านดอกไม้อยู่ตรงชานพักบันได
คเชนทร์ในชุดนอน
ปล่อยผมสยายเคลียไหล่กวาดตามองรอบ ๆ ชั้นล่างอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีก็หมุนตัวแล้ววางฝ่าเท้าลงบนบันไดขั้นแรก “ทำไม”
คนเดินนำไม่ตอบคำถามพลางโบกมือไหว
ๆ ปัดคำขอเมื่อครู่ตกไปทันที “ไม่เป็นไร ไม่ต้องแล้ว”
หนุ่มผมยาวชะงักแล้วยืนปักหลักอยู่ตรงชานพักพร้อมจ้องแผ่นหลังกว้างไม่วางตา
เป็นอะไรของเขาอีกล่ะ... อยู่ ๆ ก็เกิดจะงอนกันขึ้นมาหรือไง
ธามคงรู้ตัวว่าเผลอคิดเองเออเองอยู่คนเดียว
เจ้าตัวจึงพักฝีเท้าแล้วหันหน้ากลับมาค่อย ๆ อธิบายเศษเสี้ยวความคิดที่วิ่งวุ่นอยู่ภายใน
“เสื้อที่ร้านซักรีดส่งคืนรอบนี้มันมีเสื้อของคุณติดมาด้วยแล้ววันนี้ผมลืมหยิบมา
ผมเลยจะให้คุณไปเอาตอนสาย แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้เย็นผมค่อยหิ้วมาให้คุณก็ได้... ในตู้คุณมีเสื้อตั้งหลายตัว
พรุ่งนี้ก็ใส่ตัวอื่นไปก่อนแล้วกัน”
ใครเลยจะคิดว่า
บันไดเพียงไม่กี่ขั้นจะทำให้คนตัวสูงใหญ่ยิ่งดูคล้ายยักษ์ปักหลั่น ระหว่างการสนทนา
คเชนทร์ที่ส่วนสูงผิดจากอีกฝ่ายอยู่หลายสิบเซนฯ จึงจำเป็นต้องแหงนคอเชิดหน้ามองธามอย่างไม่มีทางเลือก
“จะให้ไปที่ร้านตอนสายใช่ไหม”
“อย่าเลย
คุณต้องอยู่ร้าน”
“ไม่เป็นไร
ผมจะแวะไปซื้อครีมอาบน้ำด้วย”
“คุณรอวันอาทิตย์ได้ไหมล่ะ
เดี๋ยวตอนไปรับม้าแล้วค่อยแวะซื้อ”
“ทำไมผมต้องรอ”
ที่สุดแล้ว หนุ่มผมยาวก็ยอมก้าวขึ้นบันได หนำซ้ำเจ้าตัวยังตั้งใจจะแซงพ่อม่ายแล้วชิ่งหนีเสียด้วย
แต่แทนที่แผนการจะสำเร็จ เจ้าของร้านขนมปังกลับหมุนตัวเดินบ้าง ฝ่ายที่ขึ้นบันไดทีหลังจึงต้องก้มหน้าก้มตารักษาระยะห่างจากแผ่นหลังกว้างอย่างจำใจ
“ก็จะได้ไปพร้อมกัน”
“ประสาท!”
“คุณไม่ได้รับปากเวลาเหรอว่าจะพาแกไปกินไอติมอาทิตย์นี้”
นอกจากจะไม่เห็นสายตาค้อนควักของคนเดินตามหลัง
ธามยังจดจ่อกับหัวข้อที่ตนสนใจจนน่าหมั่นไส้ แต่แทนที่จะหงุดหงิด คเชนทร์กลับหลุดสีหน้าโล่งอกออกมาทันควัน
“เออ... ผมลืม” แรกที่รู้ว่าตนเองไม่ได้หลงลืมกุญแจบ้าน
ชายหนุ่มก็คลายใจ แต่พอรู้ตัวว่าลืมนัดกับเวลาเสียสนิท อดีตนางโชว์ก็ชักจะวิตกเกี่ยวกับความทรงจำของตัวเองเสียแล้ว
“ก็นี่ไง
เดี๋ยววันอาทิตย์นี้เราออกไปด้วยกัน” พ่อม่ายหยุดหยืนรอเจ้าบ้านอยู่ตรงหน้าห้องนอน
ชายหนุ่มทอดสายตามองหนุ่มผมยาวที่เพิ่งก้าวขึ้นชั้นสองด้วยสีหน้าจริงจัง
“คุณพาเวลาไปกินไอติม ไปซื้อของ แล้วก็เลยไปรับม้ากับผม”
จะด้วยความรู้สึกผิดต่อกาลกมลค่าที่ตนเผลอลืมนัดหมาย
หรือเพราะถ้อยคำวิงวอนที่ซุกซ่อนไว้ภายในแววตาคู่นั้นก็ตาม ทว่าในที่สุด คเชนทร์ก็ยอมกลืนคำปฏิเสธลงคอไปจนได้
“อืม”
เมื่อได้ฟังคำที่อยากได้ยิน
พ่อม่ายก็ล่วงหน้าเข้าห้องไปทรุดตัวลงนอนบนฟูกหลังบางตรงข้างเตียง
ขณะยืนรอปิดไฟอยู่ตรงกรอบประตูห้องนอน
เจ้าของร้านดอกไม้ก็นิ่งมองภาพสองพ่อลูกอย่างหลากใจ...
เดิมที ฟูกหน้ากว้างสามฟุตหลังนั้นปูอยู่ติดกับฝั่งที่เด็กชายนอน
แต่มีอยู่คืนหนึ่งเจ้าตัวเล็กงัวเงียลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำกลางดึก จังหวะที่ก้าวลงจากเตียง
เกิดเดินสะดุดขาพ่อล้มหน้าคว่ำ นับจากคืนนั้นเป็นต้นมา ฟูกกิตติมศักดิ์ก็ย้ายมาปูข้างฝั่งที่เขานอนแทน...
ทั้งที่ไม่ตั้งใจ แต่เมื่อไรไม่รู้ที่ตาทึ่มนี่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาไปเสียแล้ว
“คุณ” พ่อม่ายเบือนหน้ามองจ้องเจ้าของร้านดอกไม้จนอีกฝ่ายรู้สึกตัว
“เหม่ออะไร มานอนได้แล้ว”
“อืม” ทันทีที่แสงสว่างแหล่งสุดท้ายดับลง
คเชนทร์เดินฝ่าความมืดอ้อมไปขึ้นเตียงจากฝั่งปลายเท้า หนุ่มผมยาวจัดผ้าผวยห่มให้เด็กชายเสียใหม่ก่อนจะล้มตัวลงนอนในจังหวะเดียวกันกับที่พ่อม่ายพลิกตัวตะแคงหันหน้าเข้าหาเตียงนอน
“ฝันดีคุณ”
“อือ” มีเสียงสวบสาบดังขึ้นชั่วอึดใจคล้ายคนบนเตียงขยับตัวยุกยิก
จากนั้นคำอวยพรของคนที่นอนอยู่บนพื้นก็ได้รับการตอบรับอย่างแผ่วเบา “ฝันดี”
ธามดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดเหนืออกแล้วอมยิ้มก่อนหลับตาพริ้ม...
ถ้าทุก ๆ วันผ่านไปแบบนี้
เขากับลูกคงมีความสุขที่สุดแล้ว
••••••
“เมื่อกี้ตอนที่ปลาวาฬถามเรื่องงาน
ผมเกือบไปไม่เป็นแน่ะครับ” ผมนอนตะแคงพลางถอนหายใจใส่แผ่นอกแน่น ๆ
ของคุณแฟนรูปหล่อ ไม่รู้ว่าธรรมเนียมปิดไฟแล้วนอนกอดกันมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อไร แต่ผมกลับชอบที่เราสองคนมักจะหาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาคุยมุ้งมิ้งกันก่อนนอนเสมอ
“เหรอ
แต่พี่ชอบคำตอบของทูนะ”
ผมเงยหน้าขึ้นหอมแก้มคนปากหวานไปหนึ่งที
ลุงไซด์ไลน์หัวเราะเสียงต่ำแล้วงับติ่งหูผมเบา ๆ จนผมต้องย่นคอหนีเพราะยังมีเรื่องที่อยากเม้าท์ใจจะขาด
“ยิ่งอยู่ด้วยกันทุกวัน ผมก็ยิ่งทึ่งกับแกมากขึ้นทุกที พวกเด็ก ๆ
นี่มีอะไรมาเซอร์ไพรส์เราได้ทุกวันเลยนะครับ”
“อืม” พี่หนาวตวัดแขน
ดึงตัวผมเข้าหาแล้วจูบย้ำเหนือขมับ “ตั้งแต่ปลาวาฬเกิดมา เขาก็ทำให้พี่รู้ว่า
การเป็นพ่อเป็นแม่คนมันซับซ้อนและละเอียดอ่อนมาก”
“ครับ” ผมตั้งใจฟังพลางไล้หลังมือไปตามสันกราม
ก่อนจะวนปลายนิ้วนวดแก้มสากของอีกฝ่ายเล่น
“ทูรู้ไหมว่าตอนสองขวบปลาย
ๆ ช่วงที่เขาเริ่มพูดเริ่มถามได้สักพัก พี่ถึงกับต้องหาเวลาอ่านพวกสารานุกรมกับหนังสือความรู้ทั่วไปเพิ่มเลยนะ”
“ทำไมล่ะครับ”
“พี่กลัวตอบคำถามลูกไม่ได้”
น้ำเสียงที่เพิ่งได้ยินฟังหนักแน่นจนผมยังแปลกใจ
“จริงเหรอครับ”
โอ้โห ขนาดคนที่อ่านหนังสือเยอะแบบพี่หนาวยังกลัว
แล้วผมที่วัน ๆ เอาแต่ไถทวิตล่ะ จะเอาสติสตังที่ไหนไปสอนปลาวาฬ
“พี่ต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะเลย
ทั้งเรื่องที่ไม่เคยสนใจ หรือเรื่องที่เคยรู้แต่ลืมไปแล้ว
พี่ไม่ได้เลี้ยงดูให้เขาเติบโตอยู่ฝ่ายเดียวนะ ปลาวาฬยังช่วยให้พี่พัฒนาตัวเองไปพร้อม
ๆ กัน”
ผมพยักหน้าหงึกหงักเพราะเห็นด้วยกับอีกฝ่ายพันเปอร์เซนต์
แม้ช่วงเวลาที่ผมได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้จะไม่นาน แต่ความบริสุทธิ์สดใสของเจ้าวาฬน้อยก็ทำให้ผมอยากทำตัวให้ดีขึ้นกว่าเดิมในทุก
ๆ แง่มุม
“เด็ก ๆ
นี่มหัศจรรย์นะครับ คิดอ่านแต่ละอย่าง บางทียังลึกซึ้งกว่าผู้ใหญ่หลายคนซะอีก” ยิ่งนึกถึงบทสนทนาเมื่อครู่ ผมก็ยิ่งทึ่งกับคำพูดคำจาของปลาวาฬ
“ต่อไปถ้าผมได้ยินใครพูดกับเด็กว่า โตไปเดี๋ยวก็รู้เอง ผมต้องหงุดหงิดแน่ ๆ ”
“แฟนพี่ดุจังครับ”
พี่หนาวหัวเราะร่วน
ผมบึนปากพลางผงกหัวขึ้นจ้องคู่สนทนาอย่างเซ็ง
ๆ “ก็มันจริงนี่ครับพี่หนาว แค่เกิดทีหลังไม่ได้แปลว่าไม่รู้เรื่องเสียหน่อย”
เมื่อก่อนเวลาผมเห็นผู้ใหญ่บางคนปฏิบัติกับเด็กเหมือนเด็กไม่มีวันเข้าใจโลกของพวกผู้ใหญ่
หนำซ้ำยังบิดเบือน หรือไม่ก็อำจนเกิดความเข้าใจผิด ผมมักจะหงุดหงิดใจเสมอ
เพิ่งมารู้เอาตอนมี
(โอกาสเลี้ยง) ลูก (พี่หนาว) นี่แหละว่า ที่ตอนนั้นแอบปรี๊ดทั้งที่ไม่เกี่ยวอะไรกับด้วย
เพราะลองถ้าให้ผมได้เป็นผู้ใหญ่คนนั้น สาบานเลยว่าผมจะตั้งใจอธิบายเรื่องต่าง ๆ ด้วยหลักเหตุผลและความเท่าเทียมกัน
ซึ่งต่อให้เด็กคนนั้นจะยังไม่เข้าใจมันทั้งหมด แต่เชื่อผมเถอะว่า ทุกสิ่งที่พวกผู้ใหญ่พร่ำบอกจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกแกไปจนวันตาย
เหมือนอย่างที่ผมจดจำเรื่องดี ๆ (รวมถึงเรื่องไร้สาระมากมาย) ที่ทั้งพ่อ แม่
และพี่เอิงขยันหามาเล่าให้ฟังตอนผมยังเป็นเด็กน้อยนั่นอย่างไร
“อืม” พี่หนาวพยักหน้าพลางกดหัวผมลงวางตรงซอกคอ
ผมแอบสยิวนิดหน่อยเมื่อไรหนวดตรงสันกรามของอีกฝ่ายถูไถกับหน้าผากทุกครั้งที่เจ้าตัวขยับปากสนทนา
“จริงครับ ดูอย่างทูสิ เลี้ยงลูกเก่งกว่าพี่อีกเนี่ย”
คิดดูสิ ขนาดได้กันมาหลายท่วงท่า
ผู้ชายก็ยังขยันอวยผมไม่เลิก
งุ้ย... แฟนใครว้า
อวยแรงเว่อร์
“ทูครับ”
“ครับ?”
“พี่รักทูนะครับ”
ผมหลุดยิ้มเมื่อได้ยินคำรักจากปากอีกฝ่าย
แหม ไม่อยากจะขิงเลยให้ตาย แต่หลังจากย้ายมาอยู่ด้วยกันได้ไม่ถึงสองอาทิตย์ดี
ผมก็ทำให้พี่หนาวตกหลุมรักผมได้แบบโงหัวไม่ขึ้นจนต้องบอกรักผมก่อนนอนทุกคืน
ไม่งั้นนอนไม่หลับ...
“ผมก็รักพี่ครับ”
อันที่จริง เป็นผมเองหรอกนะที่นอนไม่หลับ
ไม่ใช่ลุงแกหรอก
ก็ผมยังเขินไม่หายนี่นา
ขืนพี่หนาวไม่บอกรักกันก่อน แล้วผมจะเอาความกล้าที่ไหนไปบอกรักลุงแกแบบไม่ดูสี่ดูแปดล่ะ
“อยู่กับพี่ รอดูปลาวาฬโตไปพร้อม
ๆ กันนะครับ”
“ครับ”
พอผมรับปาก พี่หนาวก็จูบหน้าผาก ก่อนจะก้มลงหอมแก้มผมเต็มแรงเหมือนหมั่นเขี้ยว
“Pinky
promise?”
เสียงกระเส่าข้างหูทำเอาผมอมยิ้มอย่างรู้ทัน
“Cross my heart, hon”
บุญบาป... สงสัยคืนนี้
small talk ของเราจะยืดยาว ไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนความรักของเราสองคนแน่ ๆ เลยครับ
••• The End
•••
ขอขอบคุณทุก
ๆ ท่านที่ติดตามกันมาถึงตอนสุดท้าย
จากแรกที่คิดว่าจะปิดเรื่องได้เร็วกว่านี้...
ทำไปทำมา ใช้เวลาเขียนตั้งปีกว่าเฉยเลย
(หลบตา ทำเป็นไม่พูดถึงตอนยื่นใบลาสองเดือนกว่าและตอนที่รวบตอบเมนต์เพราะเขียนไม่ทัน
555)
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับทุก
ๆ กำลังใจและคอมเมนต์ที่มีให้กันเสมอมา
หวังว่าการเดินทางครั้งนี้จะทำให้ทุก
ๆ คนมีความสุขโดยทั่วกันนะคะ
หลังจากนี้เราจะพักการอัปนิยายทั้งหมดเพื่อเริ่มเขียนตอนพิเศษแบบเต็มที่
ถ้ามีความคืบหน้า
สัญญาว่าจะเอาตอนพิเศษมาลงให้ได้อ่านกันนะคะ
อ้อ... ขอแจ้งให้ทราบโดยทั่วกันตรงนี้เลยนะคะว่า
นิยายเรื่องนี้จะรวมเล่มเด้อ
(ผ่าม พาม!)
ซึ่งเรื่องของเชนธามจะเป็นตอนพิเศษเพิ่มเติมจากตอนพิเศษของคู่หลัก
(เป็น Spin-off ว่าด้วยเรื่องของครอบครัวร้านขนมปังโดยเฉพาะเลยค่ะ)
ใครที่รอติดตามความสัมพันธ์ของสองหนุ่ม
เรารับรองเลยค่ะว่าจะตั้งใจเขียนตอนพิเศษของคู่นี้อย่างเต็มที่
ส่วนคู่หลักก็ไม่น้อยหน้าน้า
เพราะถ้าตาไม่แฉะ เราจะไม่เลิกเขียน
(ใครขอตอนพิเศษอะไรเอาไว้
เราจะพยายามเขียนให้นะคะ ไม่ต้องห่วงน้า)
เพราะฉะนั้น...
อดใจรอเล่มกันนิดนึงนะคะ ^^